** [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ** [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน  (อ่าน 86605 ครั้ง)

Kirimanjaro

  • บุคคลทั่วไป
สวัสดีครับคุณ cj
ขอแค่มีคนอ่านเรื่องนี้สักคน  ผมก็ยังหน้าทนลงมันต่อไป  ฮ่าๆๆๆ




บทที่ ๔

[เหตุการณ์ในอดีต]


แม่ของผมเคยกล่าวเอาไว้ว่า "เกิดเป็นคนก็ต้องอดทน ไม่ว่าจะความลำบากกายหรือลำบากใจ โดยเฉพาะผู้ชาย ที่จะต้องเป็นเสาหลักของครอบครัวในเวลาข้างหน้า อย่างแม่เอง เวลาที่เลี้ยงลูกตอนตัวเล็ก ๆ เมื่อหกล้ม แม่และพ่อจะไม่เข้าไปปลอบ ไม่เข้าไปฉุดให้ยืน ไม่เข้าไปโอ๋ ลูกต้องยืนให้ได้ด้วยลำแข้งของตนเอง อาจจะดูใจร้าย แต่แม่อยากให้ลูกรู้แต่เล็กว่า น้ำตาและคำคร่ำครวญของเรามันไร้ประโยชน์ สิ่งที่จะได้ตอบแทนมันมีเพียงแต่ความสมเพชเวทนา ซ้ำบางคนยังจะเหยียบย่ำเรา ดังนั้นเข้มแข็งไว้.."

และนั่นทำให้ผมพยายามปิดซ่อนความอ่อนแอของตนด้วยท่าทีแข็งกร้าว ความเย็นชา และรอยฝืนยิ้มที่ผมหัดทำทุกวัน จนกระทั่ง..มันดูสมจริงขึ้นทุกที จนบางครั้งผมก็หลงลืมตัวตนของตนเอง ว่าใบหน้าไหนคือใบหน้าที่แท้จริงของตนกันแน่นะ ?

ผมเหยียดยิ้มร่าเริงเมื่อชายวัยกลางคนซึ่งนั่งอยู่ข้าง ๆ ณ ตำแหน่งคนขับรถเอ่ยปากถามหลังจากที่ผมขึ้นมาบนรถได้พักใหญ่

"โรงเรียนเป็นไงบ้างล่ะลูก"

"ก็ดีครับ ก็ปกติดี"

ผมตอบโดยที่เสสายตามองรถคันอื่นนอกหน้าต่าง แรงสะเทือนเบา ๆ จากการทำงานของเครื่องยนต์เหมือนจะกล่อมให้ง่วงเหงาหาวนอน

"วันนี้ไม่อ่านหนังสือสักวันได้มั้ยครับ ง๊วงง่วง"

ผู้เป็นบิดาเพียงแต่พยักหน้า ผมจึงปรับเบาะให้เอนไปเบื้องหลัง เพื่อเหมาะแก่การเอนกายพักผ่อน

"ฟันเป็นอะไรล่ะลูก"

ผมสะดุ้งเล็กน้อย และเอานิ้วชี้ที่ลูบฟันหน้าบิ่น ๆ ออกจากปาก

"ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไม่เป็นไรหรอกครับ พิสูจน์กลิ่นปากเฉย ๆ"

"ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ฟันจะอยู่กับเราไปชั่วชีวิตดูแลมันดี ๆ หน่อย"

"แน่นอนคร้าบ นัสแปรงฟันก่อนนอนทุกวัน เจอคุณแม่บังคับจนติดเป็นนิสัยไปแล้ว ฮะ ฮะ ฮะ"

"อืม ดี"

บทสนทนาของผมและพ่อสิ้นสุดแต่เพียงเท่านี้ เมื่อผมเอาแขนอีกข้างพาดดวงตาเอาไว้ เพื่อป้องกันการรบกวนจากแสงอาทิตย์ยามสนธยา

เขาขับรถไปเงียบ ๆ ผ่านทางสายเลี่ยงเมือง จนกระทั่งถึงบ้านของผมในเขตชนบท

บ้านของผมไกลจากตัวเมืองแค่ไหนน่ะหรือ ถ้าจะกล่าวไปก็ไม่ไกลเท่าใดนัก แต่ทว่าความล้าหลังของการสื่อสารนั้นอยู่ในระดับที่ไม่มีโทรศัพท์เข้าถึง แน่นอนว่าร้านเกม เทค ผับ หรืออะไรเทือก ๆ นั้นก็เข้ามาไม่ถึงแถบนี้เช่นกัน

บ้านของผมเป็นบ้านสองชั้นขนาดไม่ใหญ่มากนัก มันตั้งอยู่ท่ามกลางเนื้อที่หนึ่งไร่ อันเขียวขจีไปด้วยสวนกล้วย มะม่วง น้อยหน่า ขนุน สะตอ มะรุม แค มะขาม มะพร้าวน้ำหอมเตี้ย มะนาว มะกรูด และอื่น ๆ อีกมากมาย ตรงพื้นที่ทางหน้าตัวบ้าน ข้างถนนปูนอันนำไปสู่โรงจอดรถ ปลูกไว้ด้วยผักสวนครัวยามหน้าหนาว เช่นคะน้า ผักชี ผักกาดหอม ฟักทอง กวางตุ้ง และยี่หร่า สวนนั้นถูกหล่อเลี้ยงด้วยน้ำในบ่อขนาดหนึ่งงานอันขุดไว้เบื้องตะวันออกของตัวบ้าน ฮวงจุ้ยดีไม่เลวเลยใช่มั้ยครับ

ที่ระเบียงของชั้นสอง เปิดกว้างจนแทบจะเป็นห้องห้องหนึ่ง ที่มีผ้าเพดานเป็นท้องฟ้า และหลอดไฟเป็นดวงดาว หากว่าคุณยังจำได้ มุมนั้นมีเฟื่องฟ้าสองกอเลื้อยไล่พัวพันขึ้นมาชูช่อบนระเบียง ผมเป็นคนออกความคิดเอง ว่าปล่อยให้มันขึ้นมา แล้วตัดแต่งบนระเบียงเลยนี่ล่ะ แต่ความสวยงามของดอกเฟื่องฟ้าหลากสีสัน ทั้งดอกขาว ดอกชมพู ดอกแดงสด ใบเขียวเข้ม และใบด่างขาวต้องยกความดีให้แก่พ่อของผม ผู้ซึ่งเชี่ยวชาญวิชาการตัดต่อกิ่ง เพาะชำอีกแขนงด้วย    

รถของเราแล่นเข้าสู่ตัวบ้าน สุนัขที่เลี้ยงไว้พากันเห่าขรมต้อนรับ พวกมันล้วนมีสีดำเป็นสีหลัก เป็นสีโปรดของผมและแม่ ไอ้ตัวดำปนน้ำตาลท่าทางดุร่างใหญ่ ๆ มันชื่อ เฉาก๊วย ตัวดำถุงเท้าขาว มันชื่อเปียกปูน และตัวดำปลอดตัวสุดท้ายที่อายุน้อยที่สุด เป็นตัวที่ผมรักมากที่สุด เพราะผมนำมันมาจากโรงเรียนมาเลี้ยงที่บ้าน มันมีชื่อว่าตับเต่า

เฉาก๊วย ออกมายืนต้อนรับ และเห่าพอหอมปากหอมคอ มันแก่แล้ว จะให้ไปวิ่งตะกายแบบไอ้เปียกปูนที่กำลังพยายามงับแก้มผมอยู่ตอนนี้ก็คงจะไม่ได้ ส่วนตับเต่าถือโอกาสที่ประตูรั้วเปิดเผ่นแน่บออกไปข้างนอกทันที มันคงเขินมั้ง...

ผมปรับเบาะให้เข้าที่แลคว้ากระเป๋ามาพาดหลังไว้พร้อมกับก้าวออกจากรถ สายตาก็เหลือบไปเหนดอกแก้วพราวขาวทั้งกอ ต้นแก้วที่ผมหามาปลูก เพื่อเป็นการขอขมาแก่แม่ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งซึ่งผมจำมันไม่ได้แล้ว แต่ผมเองก็รู้สึกยินดีที่เห็นมันเติบโตเคียงข้างกับดอกไม้ที่กลิ่นหอมไม่แพ้กันคือพุทธชาด ดอกกล้ายไม้สีเหลืองเล็กละเอียดในกระบะเพาะหน้าบ้าน ราวกับแย้มยิ้มชวนเชิญให้คนชำเลืองมอง ผมรักบ้านของผม เพราะมีแต่สิ่งน่าสบายตาสบายใจ

แต่เกลียดแกเว้ยไอ้เปียกปูน เมื่อไหร่จะเลิกตะกายสักที..

ผมเขี่ยร่างของมันออกจากการเกาะแกะแล้วเปิดประตูบ้านเข้าไป แม่ของผมในชุดสบาย ๆ เสื้อสายเดี่ยว กับกางเกงขาสั้นยืนรออยู่ในบ้านอยู่แล้ว  ผมยิ้มให้แม่แล้วกล่าวสวัสดี การสวัสดีเป็นสิ่งหนึ่งที่แม่ของผมถือมาก ว่าควรจะกระทำทุกครั้งเมื่อพบเจอผู้หลักผู้ใหญ่

"ผู้ใหญ่น่ะ เขาจะเอ็นดูคนที่มีสัมมาคารวะ การไหว้ไม่เมื่อยมากหนักหรอก แต่ผลที่ได้คุ้มค่ากว่าที่คิดนะลูก คนอ่อนน้อมถ่อมตน อยู่ที่ไหนก็สบาย แม่ไม่บังคับมากหรอกในเรื่องนี้ แต่ขอให้ลูกนำไปคิดดูให้ดี ๆ"

"วันนี้อยากกินอะไรลูก"

"อะไรก็ได้ครับที่อร่อย"

"แหม อร่อยทุกอย่างล่ะจ๊ะ ถ้าฝีมือแม่ล่ะก็"

ผมหัวเราะเบา ๆ พลางถอดกระเป๋าออกไว้ในที่โต๊ะหนังสือส่วนตัวบริเวณห้องกินข้าว อันผนวกเข้ากับห้องหนังสือ

"เดี๋ยวขอนัสไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนนะครับ แล้วจะลงมาชิมฝีมือคุณแม่"

ผมก้าวขึ้นบันไดสู่ห้องชั้นบนอันเป็นส่วนของผมโดยเฉพาะ ตู้เสื้อผ้าในห้องกลางชั้นสองของผม อุดมไปด้วยเสื้อผ้าหลากหลายชนิดอันได้รับสืบต่อจากญาติพี่น้องมาอีกที เท่าที่ผมจำได้ ผมไม่เคยซื้อเสื้อผ้าใหม่เลยแม้แต่น้อย แต่ผมก็ไม่เสียใจอะไรกับเรื่องนี้ เพราะผมเองไม่ค่อยได้ให้ความสำคัญกับความหล่อเหลาของตนมากนัก

เสียงกระทะ ตะหลิว กะละมัง จานกระเบื้องกระทบกันเคร้งคร้าง บ่งบอกว่าเบื้องล่างมารดาของผมกำลังจัดการเตรียมอาหารสำหรับทุกคนในครอบครัวอยู่ คำที่แม่เคยกล่าวเมื่อกาลก่อนก็ลอยกลับมาอีกครั้ง

"แม่เลือกที่จะทำอาหารให้ลูก และพ่อด้วยตนเอง ก็เพราะว่า เราสามารถไว้ใจได้ว่าเราเลือกวัตถุดิบที่ดีที่สุด สะอาด ปลอดภัยได้คุณค่าทางโภชนาการ และประหยัดอีกด้วย หากจะให้ซื้อกับข้าวถุง ก็ทำได้ แต่ว่าเราไม่รู้ว่าเขาใส่อะไรลงไปบ้าง เขาจะทำสะอาดเช่นดังที่ทำให้ครอบครัวเขาหรือเปล่า แม่อยากให้ครอบครัวของแม่ได้รับแต่สิ่งที่ดีที่สุดเสมอจ๊ะ"

ผมยิ้มขำกับความทรงจำเก่าอีกครั้ง เมื่อแม่ของผมร่อนจานผัดผักจานใหญ่สีสันสวยสดใสราวกับผัดผักสายรุ้งตามภัตรคารจีน แล้วให้ทายราคาของวัตถุดิบ ซึ่งเธอเฉลยในตอนหลังว่าทั้งหมดนั้นเพียงห้าบาทเท่านั้น ครอบครัวของผมอยู่ในระดับชนชั้นกลาง ดังนั้นอะไรที่ประหยัดได้ก็จะประหยัด เพื่ออนาคตที่ดีกว่าของคนรุ่นต่อไป





ผมกับกรรม์เหมือนคนแปลกหน้ากันตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งนั้น   เราไม่พูดคุยกัน   ไม่สบตากัน  และไม่อยู่ที่ไหนด้วยกัน   ยามเดินผ่าน  หากผมเห็นล่วงหน้าผมจะรีบหลบไปทางอื่น  ขณะที่กรรม์เองก็มักจะมองนิ่งมาทางผมด้วยแววตาเสียใจ

ผมนั่งแยกกับเขาในช่วงพักเที่ยง  อยู่อยู่เดียวดายกับกลุ่มเพื่อนเล่นการ์ดเกมสองสามคน   ผมพยายามหัวเราะ  แต่ก็ฝืนยิ้มได้ไม่นานเท่าใด  กระทั่งต้องปลุกปั้นรอยยิ้มใหม่ซ้ำอยู่เรื่อย ๆ

ทว่า  จะไม่มีใครเห็นความเศร้าจากดวงตาผม   ผมพยายามคิดเสียว่าเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยมาก  เมื่อเทียบกับความทุกข์ของผู้อื่น   แต่ทำไมหนอ   ทำไมผมถึงหยุดคิดเรื่องนี้ไม่ได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว  เมื่อคิดถึงเรื่องนี้  ใจผมก็พาลโบยบินไปถึงเรื่องระทึกต่อจากนั้น   ริมฝีปากบางใสยังคงลอยติดตาในความทรงจำ  กระทั่งผมเผลอไล้เรียวปากล่างด้วยปลายนิ้ว

ออดหมดคาบพักดังขึ้น  ผมจึงเก็บของเล่นลงถุง  แล้วนำสมุดที่ใช้วางรองใส่กระเป๋า   

              ทันใดนั้นเอง   มือจาบจ้วงก็แทรกเข้ามาจากด้านหลัง  และดึงเอาถุงเก็บการ์ดของผมออกไปในทันที  ผมหันไปประจันหน้ามันทันที

รายเดิม  ยังคงเป็นรายเดิม    ไอ้หมอนี่ชอบที่จะถูกเรียกว่าตี๋หล่อ   แต่ผมไม่เห็นว่ามันจะหล่อตรงไหนเลย  หน้าขาวปานงิ้ว   ซ้ำตายังตาตี่ ๆ   ไม่คมเข้มเลยแม้แต่น้อย

ไอ้ตี๋หล่อ  เป็นนักเลงที่อยู่ห้องท้าย ๆ ของสายชั้น  ผมกับมันเคยรู้จักด้วยความบังเอิญ  และมันก็มักจะกลั่นแกล้งผมอยู่บ่อย ๆ    แต่ไม่รุนแรงนัก   เช่น  เข้ามาเตะข้างหลัง  จับไข่  ตบหัว  เป็นต้น    ซึ่งผมก็ทำอะไรมันไม่ได้  ได้แต่เดินหนีไปทุกครั้ง

ทว่าครานี้มันละเมิดข้อห้ามอันรุนแรงของผม  คือยุ่งเกี่ยวกับการ์ดของผม  ซ้ำยังมารบกวนตอนที่ผมอารมณ์แปรปรวน   ผมกราดตาขวางใส่คนที่ทำหน้าล้อเลียนตรงหน้า  ตอนนี้ผมอารมณ์คุกรุ่นเอามาก ๆ ความคิดและสติในหัวเริ่มมืดสนิท  จนลืมความจริงไปถึงสามข้อ     

  ไอ้ตี๋หล่อไม่รอช้า  มันออกวิ่งในทันที    พร้อมกับชูถุงผ้าในมือเป็นการเย้ยหยันอีกต่างหาก

ความจริงข้อแรกที่ประจักษ์เมื่อผมวิ่งตามมันไม่ทัน      คือผมตัวเล็ก   และอ่อนแอกว่าไอ้ตี๋หล่อมาก

ความจริงข้อสองคือ   ไอ้ตี๋มันมีพรรคพวกมากกว่า   ผมรู้ก็ต่อเมื่อมีใครบางคนมาวิ่งขนาบข้างและฉุดรั้งแขนของผมไว้  แต่ผมไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมแล้ว  ผมดึงไอ้หมอนั่นที่มาขวางผมมาใกล้ ๆ แล้วซัดไปที่ใบหน้าของมันหนึ่งที  น่าแปลกจริง ๆ ผมไม่เคยกล้าขนาดนี้มาก่อน

แล้วความจริงข้อสามก็ปรากฏ  ว่าผมสู้ใครไม่ได้เลย  เมื่อหมอนั่นก็สวนคืนผมไปด้วยหมัดอีกหมัด   เพื่อนของมันที่นั่งอยู่ศาลาข้าง ๆ ก็กรูกันออกมาและช่วยรุมยำผมอีกที

ผมดิ้นรนชกสะเปะสะปะ  ถีบ กัด  กระชาก  อยู่ท่ามกลางพวกเวรนั่น

ตอนนี้เป็นช่วงที่ระทึกที่สุด  เพราะเลือดกำเดาและเลือดจากปากของผม  เริ่มชโลมเสื้อนักเรียนตรงช่วงอกให้แดงฉาน     ในที่สุด  ผมก็กดหนึ่งในพวกตัวแสบลงกับพื้นได้   ผมกดคอของมันแนบกับพื้นด้วยมือข้างหนึ่ง  ส่วนอีกข้างก็ต่อยมันไม่ยั้ง   ในขณะที่คนอื่น ๆ บ้างก็พยายามดึง  บ้างก็ระดมเตะเข้าใส่ข้างลำตัวของผม   แต่ผมแทบไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น  ผมรู้แต่เพียงว่า  ผมจะถ่ายทอดความแค้นทั้งหมดลงที่คนตรงหน้ายังไง

   ทันใด   ก็มีเสียงตะโกนดัง ๆ ว่า                  “เฮ้ย  อาจารย์บก.รด. มา!!!”

พวกที่รุมผมอยู่นั้น  ต่อให้เป็นผู้ยิ่งใหญ่มาจากแดนไหนในบางขวาง   ก็ยังต้องสำเหนียกกับชื่อของกลุ่มอาจารย์เหล่านี้    มันมันรีบวิ่งแตกฮือกระจายไปคนละทิศ    แต่ผมไม่หยุด  ผมยังทุบลงไปที่ใบหน้าของเหยื่อในมือ    มันคิ้วแตก  และเริ่มร้องครวญคราง

                        และในที่สุด   ใครบางคนก็จับแขนขวาของผมหักไพล่หลังแล้วกระชากออกมาจากร่างของผู้เคราะห์ร้าย   ผมจำท่าของหน่วยคอมมานโดแบบนี้ได้  จึงหันไปมองคนที่มาห้ามผมไว้

กรรม์นั่นเอง   เขาก็มองหน้าผม  แล้วสักครู่จึงปล่อยผมให้เป็นอิสระ     ไอ้ตี๋หล่อเดินมาอย่างเซื่อง ๆ   มันคงไม่คิดว่าความขี้เล่นของมันจะทำให้เรื่องลุกลามขนาดนี้    มันเอาถุงผ้าบรรจุการ์ดเกมคืนให้แก่ผม

อย่างน้อยไอ้ตี๋นั่นก็ไม่ได้เป็นหนึ่งในพวกที่รุมสกรัมผม   ผมจึงยอมรับคำขอโทษและฝืนยิ้มให้แก่มัน

กรรม์ไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว  เขาลากผมที่เบลอ ๆ ไปห้องพยาบาล    ลากไปลากมาจนกระทั่งถึงอาจารย์ฝ่ายปกครอง  แม้ว่าผมจะยืนกรานปฏิเสธการต่อความยาวสาวความยืดแค่ไหนก็ตาม

อาจารย์ตามสืบจนถึงตัวคนที่ฉุดดึงผมไว้     และพาทั้งหมดมาสอบสวนพร้อม ๆ กัน   ไอ้ตี๋นั่งคอตก  และรับไว้ทุกข้อหา    ส่วนไอ้คนที่มาแจมรอบสอง   มันกลับบอกว่า   มันเพียงแต่จะมาห้ามผม  แต่ผมไม่ฟังอะไรเลยกลับซัดมันก่อน  มันเลยต้องป้องกันตัว     ผมเองย้อนคิดไปก็ใจหายวาบ  เพราะรู้สึกว่าผมเริ่มก่อนจริง ๆ   แต่โชคดีที่ภาพพจน์ของผมดูดีในสายตาของอาจารย์มาก    คำกล่าวหาผมนั้นจึงเป็นอันตกไป  และผมเองก็รอดจากการถูกลงโทษ

   ผมปรากฏตัวในคาบต่อไปในสภาพที่ทำให้ทั้งห้องเหวอ  เพราะคราบเลือดที่ยังค้างคาบริเวณอก และปกเสื้อ   รวมทั้งรอยปูดบวมบริเวณใบหน้า   ผ้าพันแผลตรงหัวคิ้ว     แต่ผมไม่สนสายตาของพวกเขาเท่าไหร่หรอก    ผมเพียงแต่นั่งกังวลว่าผมจะตอบกับครอบครัวอย่างไรเกี่ยวกับรอยแผลพวกนี้ 




ผมไปยังจุดที่พ่อจอดรถรับอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ และพยายามเอากระเป๋าปิดบังคราบเลือดไว้ แต่ผมก็เลี่ยงมันไม่พ้น  เมื่อเขาเรียกผมให้มาใกล้ ๆ

                                “ไหนมานี่ซิลูก   เอากระเป๋าออก   บังอะไรไว้” 

ผมจำใจต้องแสดงร่องรอยจากการต่อสู้ให้เขาเห็น     บิดาของผมอึ้งไปครู่หนึ่ง

                              “ขึ้นรถ”

 ผมก้าวขึ้นที่นั่งข้างหน้า  และพยายามไม่หันมองหน้าของอีกฝ่าย

                              “ไหนเล่าให้พ่อฟังซิ  ว่าเรื่องราวเป็นไงมาไง”

 ผมอึดอัด   ผมจะเล่าให้เขาฟังถึงเรื่องทั้งหมดได้อย่างไร   ผมจะบอกเขาได้เหรอว่าลุกของเขาน่ะเป็นเด็กอ่อนแอที่ถูกคนอื่นกลั่นแกล้งตามอำเภอใจอยู่เสมอ  อย่ากระนั้นเลย  มิสู้ปั้นเรื่องมาใหม่จะดีกว่า

                             “นัสเริ่มก่อนครับ  นัสไปหาเรื่องเขาเอง  เลยชกต่อยกัน”

 ดวงตาสีดำสนิทภายใต้คิ้วดกเข้มอันเป็นต้นแบบของผมจ้องมองไปเบื้องหน้าอย่างครุ่นคิด  ก่อนหลุดคำกล่าวออกมา 

                       “ถ้าลูกเริ่มหาเรื่องใครเขาก่อน  พ่อก็คงช่วยอะไรลูกไม่ได้     แต่...พ่อจำไม่ได้ว่าสอนให้ลูกโกหกตั้งแต่เมื่อไหร่   เท่าที่พ่อรู้จักมา  ลูกไม่ใช่คนแบบนี้    อย่างไรก็ตาม   การที่จะบอกหรือไม่บอกก็เป็นสิทธิของลูก  ซึ่งพ่อจะไม่ก้าวก่าย   เพียงแต่อยากให้รู้ว่า  การโกหกจะเป็นผลร้ายต่อชีวิตมากกว่าที่คิด   หวังว่า  ครั้งหน้า  เราคงพูดกันด้วยความจริง”

    ผมนิ่งเงียบ   พ่อของผมมักจะรู้ทันความคิดของผมเสมอ     หลายครั้งที่เขาแกล้งทำเป็นไม่รู้บ้างเหมือนกัน  แต่ไม่ใช่สำหรับครั้งนี้   มันจะมีประโยชน์อะไรเล่าสำหรับความจริง  ในเมื่อผมกล่าวเท็จไปแล้ว   ผมหลับตาลงช้า ๆ อย่างเหนื่อยอ่อน  และเอนเบาะลงนอนดังเช่นทุกวัน...



ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6
 :กอด1:   :L2:

มานั่งจองรออ่านแถวหน้าเลย  :a11:

subaru

  • บุคคลทั่วไป
พึ่งจะเข้ามาอ่านคะ..เข้ามาเป็นกำลังใจให้คะ...

KriT_SuN

  • บุคคลทั่วไป
 o13 ยังไม่ได้อ่านซะที ก๊าก แต่ก็มาช่วยดันละ

Kaku-tsu

  • บุคคลทั่วไป
เหมือนจะเศร้าจังเลยอะ คับ

มาต่อไวๆนะคับ    o13

Taurus

  • บุคคลทั่วไป
 :oni2: :oni2: :oni2: :oni2: :oni2: :oni2: :oni2: :oni2:

ขอลงชื่อติดตามอย่างใกล้ชิด    o13

namtansaidang

  • บุคคลทั่วไป

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6

Kirimanjaro

  • บุคคลทั่วไป
cj : นั่งที่นั่งริงไซด์เลยใช่มะครับ *0*  คุณ cj เต้นให้ดูด้วย  แหะแหะ

subaru : ขอบคุณและยินดีต้อนรับครับ ^ ^

KriT_SuN : สวัสดีครับพี่ ^ ^

Kaku-tsu : ไม่ค่อยเศร้าหรอกครับ  แค่อารมณ์เหงา ๆ

Taurus : ที่นั่งริงไซด์อีกท่าน  *0*

namtansaidang : ขอบคุณคร้าบ  ดอกไม้สวยมาก ^o^





[เหตุการณ์ปัจจุบัน]



โลกยังคงต้องหมุนไปตามเดิมแม้ว่าผมจะป่วยหนักและนอนซมอยู่กับเตียงให้พันไพรดูแล เขาคอยเฝ้าเช็ดตัวและทำอาหารให้ผมกินได้สามวันแล้ว พันไพรเคยคิดจะนำตัวผมไปรงพยาบาล แต่ผมไม่ยอม เพราะเห็นว่ามากเรื่องเปล่า ๆ

"ผมไม่อยากไป ผมก็ป่วยแบบนี้ทุกปีล่ะ ทุกหน้าหนาวกับหน้าฝน เดี๋ยวมันก็หาย"

"ไม่ไปได้ไงล่ะ เดี๋ยวถ้าอาการหนักขึ้นมาจะทำไง"

ผมประดับยิ้มบาง ๆ ที่มุมปาก ที่ผมเห็นว่าหนักคือไออย่างทรมานทั้งคืนก็เคยผ่านมาแล้ว ครั้งนี้ก็แค่ตัวร้อนหมดแรงนอนซมอยู่กับเตียงเท่านั้นเอง

"ไม่หนักหรอกน่า หรือว่า..ไพรเบื่อที่จะดูแลผมแล้ว ถึงคิดจะส่งมือหมอให้พ้น ๆ ไป"

พันไพรฮึดฮัดด้วยความขัดใจ เหตุผลข้อนี้ทำให้เขาเถียงไม่ออก ผมแอบยิ้มด้วยความสะใจ ที่ได้เถียงชนะบ้าง

"งั้นช่างมัน ไม่อยากไปก็ได้ " เขาไปค้นตู้ยาของผม

"อ่า ยาลดไข้ ลดมูก แก้ไอ มีครบเลยแฮะ อ้าวอะไรกัน ยาแก้อักเสบนัสเคยกินหมดแผงบ้างมั้ยนี่"

เสียงฉุนเฉียวโวยวายมาจากตู้ยาจนผมหัวเราะ แต่ต้องรีบหยุดเมื่อการหัวเราะทำให้ผมไออย่างเจ็บปวด
พันไพร รีบวิ่งเข้ามาพร้อมน้ำอุ่น และแผงยาพวกนั้น

"เอ้า กินซะ ไม่รู้ว่าหมดอายุหรือยัง กินกินเข้าไปเถอะ ไม่อยากไปหาหมอเองนี่"

ผมแกะซองยาและเลือกมาอย่างละเม็ดอย่างว่าง่าย ขณะที่อีกคนนั่งอยู่ปลายเตียงและยันคางจ้องมองผมอย่างเงียบๆ

"นัส ผมรักนัสนะครับ"

ผมงี้ทำอะไรไม่ถูก เมื่อเจอเขารุกเร้าด้วยเสียงทุ้มนุ่ม และดวงตาสีน้ำตาลเข้มชวนฝันนั้น

"บ้าแล้วนาย มาบอกรักอะไรคนป่วยใกล้ตาย ดูดิ หน้าซีด ตาโบ๋ ๆ รักลงด้วยเหรอ"

ผมนำเม็ดยาไว้ในกำมือและกรอกปากลงไป ขณะที่จะดื่มน้ำตามมาก ๆ พันไพร ก็กระเถิบเข้ามาใกล้พร้อมกับยุดแขนขวาของผมเอาไว้

"อัน อ๋ม อ๊ะ เอ๊ย" (มันขมนะเว้ย)

เขาแย่งแก้วน้ำอุ่นจากมือไร้เรี่ยวแรงของผมและกรอกลงไปในปากของเขา แก้มพอง ๆ และปากบางใสของเขาเข้ามาใกล้ใบหน้าของผมเรื่อย ๆ

ผมรู้แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป แต่ผมไม่อาจทนขมปากได้ เลยต้องเผยอริมฝีปากรอรับน้ำอุ่นที่พันไพรจะป้อนด้วยวิธีพิสดาร

ผมจำต้องหลับตาโดยอัตโนมัติ เมื่อไม่อาจสู้สายตาของเขาได้ ดวงตาที่น่าหลงใหล ลึกลับ มองลึกเข้าถึงข้างใน
จูบที่ผิวเผินกว่าคราวก่อน เพียงประทับริมฝีปากเข้าด้วยกัน แต่ทำไม ผมรู้สึกอบอุ่นยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ
พันไพรถอนริมฝีปากออกมา เมื่อถ่ายทอดน้ำอุ่นในปากเข้าสู่ลำคอของผมจนหมด
ผมรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งหน้าและมีความรู้สึกเสมือนน้ำท่วมปาก พูดอะไรไม่ออกเลย

พันไพรเองก็มีใบหน้าออกสีเรื่อเหมือนกัน เขาดูไม่เหมือนชายหนุ่มเจนสนามอีกแล้ว ตอนนี้เขาดูเหมือนเด็กหนุ่มแรกรักเสียมากกว่า

"ผม..เอ่อะ..ผม อยากให้นัสรู้ว่าผมรักนัสจริง ๆ"

"ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่ครับ"

ความขวยเขินปิดไม่มิดในน้ำเสียง จนผมต้องเสใบหน้าออกไม่ให้เขาเห็นความอายของผมชัดเจนนัก

ให้ตายสิ ยิ่งกว่านี้ก็เคยทำมาแล้ว ไอ้บ้านัสเอ๊ย ทำไมมัวมาเขินอยู่ได้วะ

"งั้น ดะ ..เดี๋ยวผมออกไปข้างนอกก่อนนะครับ ไปเอาเสือหมอบของนัสที่ส่งซ่อมกลับมาให้"

ผมพยักหน้ารับ เขาจึงยันร่างลุกขึ้น แต่ก่อนจะไป เอาโน้มคอของผมเข้าใกล้และจูบหน้าผากลวก ๆ

"อยู่บ้านเฉย ๆ นะครับคนดี อย่าซนมากนักนะครับ"

อารายวะ สั่งยังกะสั่งหมาสั่งแมว แต่ผมก็ดีใจนะ ที่มีคนยอมเตือนผมแบบนี้

พันไพรสาวเท้ายาว ๆ พาร่างสูงออกจากห้องไป เสียงรถสตาร์ท แล้วแล่นออกไปไกลจากที่พักในที่สุด

ผมถอนหายใจลึกยาว แต่พลันสะดุ้งเมื่อมีเสียงประตูเปิดแอ๊ดจากหน้าบ้าน

"ใครน่ะ!"

ไม่มีเสียงตอบรับ มีเพียงเงาวูบวาบจากเงาร่างของใครตัดแสงอาทิตย์จากหน้าประตูห้อง ผมพยายามยันกายขึ้นจากเตียงเพื่อออกไปดูให้รู้แน่  เพียงโผเผของผมก้าวไปถึงประตูห้อง มันก็เปิดผลัวะออกมาพร้อมกับอีกร่างที่จู่โจมใส่ผมโดยไม่ทันให้ตั้งตัว !!!!






หัวใจของผมกระตุกวาบอย่างรุนแรงราวกับว่ามีใครบางคนพยายามเข้าใกล้คนที่ผมรัก  ผมหักพวงมาลัยอย่างกระวนกระวายใจ   เมื่อรู้สึกว่าเขาห่างจากที่พักเดิมไปเรื่อย ๆ   แต่จะไปที่ไหนนั้นผมไม่รู้แน่ชัด   รู้แต่เพียงร่องรอยของกระแสอะไรบางอย่างที่จะช่วยนำทางผมไปพบกับเขาในที่สุด

เวลาของผมใกล้หมดลงทุกที    และทุก ๆ วินาทีที่ผ่านไป  ได้กัดกร่อนผมให้ลางเลือนตามกระแสเวลา   ผมอยากจะใช้เวลาอันมีค่าเหล่านี้ร่วมกับคนที่ผมรัก   แต่ดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่รับรักผมเลย   ผมบีบแตรอย่างงุ่นง่านเมื่อรถคัดข้างหน้ายังคงอืดอาดชักช้าไม่ยอมเคลื่อนกายออกไปเสียทีแม้ว่าไฟเขียวจะติดนานถึงสามวินาที   ดูท่าไอ้คนขับนั่นคงจะหลับใน

ทิวของกิ่งสนทะเลขึ้นครึ้มระหว่างเส้นทางที่แยกออกนอกตัวเมือง   บรรยากาศยามสายของวันที่อากาศสดใสช่างน่าสดชื่น   และผมเองก็ตั้งใจไว้ว่าจะพาคนในห้วงคำนึงไปอาบแดดริมหาดเสียหน่อย   แต่เห็นทีจะต้องยกเลิกเสียแล้วเมื่อเกิดเหตุกะทันหัน      ผมเริ่มรู้สึกแล้ว  รู้สึกว่าเขาอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่  ป้ายหินอ่อนสีขาวทางเบื้องหน้าบอกว่าอีกห้าร้อยเมตรจะถึงโรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่ไม่ไกลจากตัวเมือง

ผมเริ่มคาดเดาได้แล้วว่าใครเป็นคนบุกเข้าไปพาตัวเขามา

ผมจอดรถตรงลานจอดซึ่งอยู่เคียงข้างสนามหญ้าอันมีต้นลั่นทมโดดเดี่ยวสองสามต้น   กลีบดอกสีขาวแกมชมพูร่วงหล่นเรื่อย ๆ ทุกครั้งที่ต้องลมฉิวโชยอ่อน   เจ้าหน้าที่และพยาบาลในชุดขาวสะอาดเดินไปมาในบริเวณตัวอาคารเพื่อต้อนรับคนไข้และญาติของคนไข้    คราแรกผมตั้งใจไว้ว่าจะไปถามชื่อของเขาจากหน่วยประชาสัมพันธ์   ทว่าเงาร่างของใครบางคนที่ยืมอยู่บริเวณลิฟท์อันนำขึ้นสู่ชั้นสูงของตัวอาคาร  เรียกให้ผมสาวเท้ายาว ๆ เข้าไปใกล้     มือของใครคนนั้นเพียบไปด้วยของกินชนิดต่าง ๆ  และเมื่อผมเหลือบมองของในมือก็พบว่าเป็นของโปรดของคนที่ผมรักทั้งสิ้น   ไอ้หมอนี่นี่เอง  ที่ไปพาตัวของเขามาโดยพละการ

คนคนนั้นเริ่มรู้สึกว่าตนตกเป็นเป้าของการจ้องมอง  จึงหันหน้ามาสบตากับผมจนได้


                                              “ไง..”

เขาเริ่มทักทายก่อน  แต่ผมไม่แปลกใจมากนัก  เพราะผมเองก็รู้อะไรหลาย ๆ อย่างที่เขาไม่รู้เหมือนกัน

                                          “อืมก็ดี   คุณแนคคิดยังไงถึงอุตส่าห์ไปลักพาตัวนัสมาที่นี่ล่ะ”

  เขามีท่าทีประหลาดใจเล็กน้อยเมื่อผมรู้จักชื่อของเขา  แต่ยังหรอก  ความประหลาดใจไม่ได้มีเพียงแค่นี้

                           “นัสเล่าให้คุณฟังแล้ว ?”

                         “เปล่าหรอกครับ  นัสน่ะเก็บความรู้สึกและความลับดีจะตาย  ในเมื่อเขาสัญญาว่าจะเก็บข้อมูลเกี่ยวกับคุณเป็นความลับแล้ว  ต่อให้ใกล้ตายเขาก็ไม่มีวันปริปากบอกใครหรอก   แต่ว่าคุณเองเหอะ   คิดยังไงถึงเพิ่งมา   ถ้าหากคุณก้าวเข้ามาตั้งแต่คืนฝนพรำคืนนั้น  ผมเองก็คงจะไม่ลำบากใจที่จะหลีกทางให้คุณหรอกนะ”

                                  “คุณรู้ ..?”

                “ใช่ผมรู้   ผมรู้หลายอย่างที่คุณไม่รู้   รู้กระทั่งว่า..”   ผมนึกอยากยั่วโมโหเขาจึงลดเสียงเบาปานกระซิบ  “...นัสมีลีลายังไงบนเตียง”

เขาจิกปลายนิ้วแน่นในเนื้อมือด้วยความโกรธที่ถูกบีบอัดลงจนไม่มีที่ระบาย

                         “อย่าพูดถึงนัสแบบนั้น   คุณมันปีศาจ  คุณล่อลวงนัส  ถ้าไม่มีคุณ...”

           “ใช่  ผมมันปีศาจ   ถ้าไม่มีผม  นัสก็คงไปมีอะไรกับคนอื่นอยู่ดี   เหอะเหอะ  อย่าให้ผมพูดเลย..”

เขาส่งแววตากร้าวจ้องสวนไม่ลดละ  จนชั่วขณะหนึ่งผมเกือบคิดว่าเราใกล้ปะทุกันเต็มที

ในที่สุด  แนคก็เป็นฝ่ายที่ควบคุมอารมณ์ได้ก่อน

      “ช่างมันเถอะ   ผมเคยคิดว่าคุณจะดูแลนัสได้เป็นอย่างดี  เคยคิดว่าคุณจะช่วยเติมเต็มในส่วนที่ขาดหายไปของเขา    เคยคิดว่าคุณจะเยียวยาแผลในใจของเขาได้  ...

                ..แต่ไม่เลย   คุณตามใจเขามากเกินไป   ดูอย่างครั้งนี้  หมอว่าบอกนัสเป็นไข้หวัดใหญ่  หากนำมาส่งมือหมอช้าไปสองสามวันล่ะก็  เหอะเหอะ  เตรียมต่อโลงไว้ได้เลย

ความรัก  ไม่ได้มาคู่กับการตามใจเสมอไป    ถ้าคุณรักเขาจริง  ก็จงรู้จักเป็นห่วงเขาจากเนื้อแท้  สรรหาสิ่งที่เป็นประโยชน์แท้มาให้เขา   อย่าเอาแต่ตอบสนองความสุขของทั้งคู่ให้มากนัก”

         ผมอึ้งไปครู่หนึ่ง  คำกล่าวของเขานั้นก็ถูกต้อง   แต่สิ่งที่สะเพร่าไปกว่านั้นคือการที่ผมไม่รู้จักดูแลคนที่ผมรักเลยแม้แต่น้อย  ผมหลับตาลงช้า ๆ แล้วลืมใหม่ด้วยแววตาที่อ่อนลงกว่าเดิม

              “เพราะว่าผมเป็นเสมือนดั่งปีศาจร้าย   ผมคงไม่คู่ควรกับเขาได้นานนักหรอก    สักวัน  ผมจะคืนเขาให้คุณ  ให้ผู้ที่เข้าใจเขามากกว่าใคร ๆ และมีความรักถึงระดับที่ยินยอมมอบเขาไว้ภายใต้การดูแลของคนที่คุณคิดว่าดีกว่าคุณ  สักวัน...”

                  “ไม่  คุณจะไม่คืนให้ผม  คุณจะต้องดูแลเขาต่อไป  ผมก็เป็นได้แค่พี่ชายที่พร้อมเตรียมไหล่ให้เขาเช็ดน้ำตาเสมอก็เท่านั้น    อนึ่ง  อย่าพูดคำว่า’คืน’ นัสไม่ใช่สิ่งของที่จะโยนกันไปกันมาได้   เขาเป็นมนุษย์  มนุษย์ที่มีชีวิตจิตใจ  มนุษย์ที่สามารถเลือกอะไรได้ด้วยตัวของเขาเอง   และเขาเลือกคุณแล้ว...

                เขาเคยกล่าวว่า ‘ผมจะเคารพการตัดสินใจของคนที่ผมรักเสมอ’  และในครั้งนี้ผมขอยืนกรานคำพูดนั้นคืนให้แก่คุณ   ผมเชื่อในการตัดสินใจของนัส  แม้ว่ามันจะทำให้ผมเจ็บปวดมากแค่ไหนก็ตาม  และจงอย่าลืม  หากวันใดที่คุณบังอาจทำให้นัสเสียใจ   ผมจะฆ่าคุณแน่!”

เขายัดเยียดถุงของเยี่ยมให้แก่ผม    “เอามันไปซะ  นัสต้องการมัน”

ชายผู้นั้น  หันหลังกลับไปและสาวเท้าอย่างรวดเร็วจนกึ่งวิ่ง   ทว่า  ผมรีบเรียกเขาเอาไว้เพื่อถามคำถามสุดท้าย

     “เดี๋ยว”     เขาชะงัก  แต่ไม่ยอมหันกลับมา  บางทีเขาคงกำลังปิดบังบางอย่างที่ไหลรินออกจากดวงตาอยู่ก็เป็นได้
“คุณรักนัสแน่เหรอ    ถ้าคุณรักจริง  ทำไมไม่ลองสู้เดิมพันหัวใจกับผมดูสักตั้งเพื่อแสดงความรักของคุณ”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า”   แนคระเบิดเสียงหัวเราะดังบั่นจนพยาบาลและคนที่ผ่านไปมาแถวนั้นหันมองชายผู้หัวเราะทั้งน้ำตา

“คุณคงเข้าใจความรักผิดอย่างมหันต์  ความรัก  ไม่ได้มีแค่ต่อสู้เพื่อแย่งชิงมันมาหรอกนะ   ความรักในความหมายของผม  คือการที่เป็นสุข  เมื่อมองเห็นคนที่เรารักมีความสุขกับคนที่เขาเลือก...  ขอให้คุณโชคดี    กับความรัก”

ผมไม่สามารถจะรั้งเขาไว้ได้อีก  เมื่อชายผู้นั้นวิ่งจากไปจากอาคารหลักในทันที

เงาของอาทิตย์ไล่ตามหลังเขาไป  แม้ว่าแผ่นหลังของเขาจะไม่กว้างจนถึงที่สุด   ทว่าแม้แต่ตัวผมเองก็ไม่ปฏิเสธได้ว่า  แผ่นหลังนั้นดูน่าอบอุ่นสมกับฐานะของเขาที่บอกว่าตนเป็นพี่ชายอย่างแน่นอน

ผมละความสนใจจากชายผู้จากไป  และก้าวเท้าเข้าหาประชาสัมพันธ์เพื่อสอบถามที่ตั้งของห้องพักของนัสแทน







ผมนอนนิ่งมองพัดลมติดเพดานหมุนช้า ๆ เหนือเตียงสีขาว    ไม่มีใครอยู่ในห้องเลยแม้แต่คนเดียว  จนผมอดเหงาไม่ได้    พี่แนคบอกว่าจะลงไปหาอะไรมาให้กินข้างล่าง

แต่ผมไม่ได้เป็นห่วงเรื่องนั้น    ผมเกรงแต่เพียงว่าพันไพรจะตกใจแค่ไหนหากพบว่าผมไม่ได้อยู่ที่พัก 
ให้ตายสิ  ผมชักจะลำเอียงและเทใจไปให้หมอนั่นมากขึ้นทุกที    ..เฮ้อ
ทำไมคนที่เขาทำดี ๆ กับเราแต่แรกไม่เอาวะ  ประหลาดจริง

แต่ผมไม่มีเวลาบ่นกับตนเองมากนัก  เมื่อประตูบานสีฟ้าอ่อนถูกผลักเข้ามา  ผมยันกายเพื่อลุกขึ้นดูว่าใครมา
ถึงผมจะรู้แน่ว่า  เวลาแบบนี้มีแต่พี่แนคที่รู้ว่าผมอยู่ที่นี่ก็เหอะ  แต่ก็อดจะดูให้แน่ใจไม่ได้

          ทว่าผมที่โผล่ใบหน้ายิ้มเผล่จากขอบประตูกลับทำให้ผมประหลาดใจอย่างถึงที่สุด

                            “พันไพร...”

            “อะฮ่า    หายดื้อแล้วหรือครับ   ถึงกับมาโรงพยาบาลด้วยตนเองเชียว”

                  “เปล่าครับ  มีคนพามา”

พันไพรลูบปลายครางอันมีเคราหรอมแหรมของเขาเล็กน้อย        “เอ  ใครพามากันน้อ  ใช่คนสูง ๆ หล่อ ๆ เข้ม ๆ หรือเปล่าครับ”

ผมยิ่งประหลาดใจ  เมื่อคำบรรยายของเขาช่างตรงกับพี่แนคนัก      จึงผงกศีรษะตอบรับเบา ๆ

              “ถ้าหากคุณแนคล่ะก็  เขาขอตัวกลับไปแล้วล่ะครับ  เลยให้ผมมาดูแลนัสแทน”

ผมงงเข้าไปใหญ่   ว่าสองคนนี้ไปรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่   แต่สิ่งที่ผมสงสัยที่สุดก็คือ...

        “แล้วไพรตามผมมาที่นี่ได้ไงอ่ะ”

 พันไพรยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ขณะที่มือของเขาก็จัดวางของกินไว้บนโต๊ะข้างเตียง  พร้อมกับยกกาแฟคาปูชิโน่กระป๋องดื่มอย่างเอร็ดอร่อย   จนผมต้องกระวนกระวายเสียเอง  เมื่อมองไปยังลำคอที่ลูกกระเดือกของเขาเคลื่อนตัวตลอดเวลาที่เทของเหลวรสเข้มเข้าปาก อั่ก ๆ

              “อ..ฮ่า..”      ชายหนุ่มปาดหลังมือกับริมฝีปาก  เพื่อเช็ดคราบกาแฟออก     “ถ้าจะให้เล่าตั้งแต่ต้นก็คงจะยาวเกินไป   เอาเป็นว่าผมสรุปง่าย ๆ นะครับ    เอางี้ดีกว่า  นัสเคยได้ยินทฤษฎี  การสั่นพ้องของคลื่นมั้ยครับ”

        “เคย   แต่ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรสักหน่อย”

รอยยิ้มยั่วยังคงประดับที่มุมปากของเขา   ริมฝีปากบนของพันไพรเผยอขึ้นนิดหน่อยเผยเขี้ยวเล็ก ๆ ที่ละลายใจอีกครั้ง

            “ฮ่าฮ่าฮ่า  เกี่ยวสิครับ  เกี่ยวมากเสียด้วย    ถ้าหากนำทฤษฎีการสั่นพ้องของคลื่นมาใช้กับหัวใจสองดวง”

เขาเดินเข้ามาใกล้ผม  และชี้ที่หัวใจของเขาเอง  ลากเป็นเส้นโยงในอากาศจนถึงหน้าอกเบื้องซ้ายของผม

  “หัวใจสองดวงที่ตรงกัน   จะส่งคลื่นหากัน  และทั้งคู่  จะรับรู้ความรู้สึกซึ่งกันและกัน”

              “บ้าแล้ว  ใครว่าเราใจตรงกันวะ”

พันไพรยิ้มกริ่ม  ผมชักสังหรณ์ไม่ดีเท่าไหร่เลย  บ้าชิบ.

               “งั้นให้ผมบอกประโยคหนึ่ง  แล้วผมจะถามนัสประโยคหนึ่งนะครับ   ดูซิว่าเราจะตรงกันหรือเปล่า”

                               “นายบอกก่อนนะ  แล้วเดี๋ยวผมตอบ”

                                           “ครับ”

หึ หึ หึ  อย่างนี้สบาย ๆ  ผมก็แค่แกล้งพูดให้ไม่ตรงก็ได้นี่หว่า

                            “งั้นว่ามา”

พันไพรยิ่งก้าวเข้าใกล้ผมขึ้นทุกที  จนผมขยับตัวหนีไปไหนไม่ได้บนเตียงคับแคบ   แขนข้างซ้ายของเขาท้าวกับผนังคล้ายจะปิดกั้นทางหลบหนีของผมให้สิ้น

ดวงตาของเขาจ้องลงมาจากที่สูงกว่า   ดวงตาสีน้ำตาลสวยอันแพรวพราวยิ่งกว่าประกายดาวยามราตรี    ดวงตาที่ทรงพลังอย่างประหลาด  สะกดผมให้ต้องสบตาเขาแน่นิ่ง  ลมหายใจอุ่นร้อนของเขาระบายจากจมูกโด่งเป็นสัน   กระทบหน้าผากผมเบา ๆ

“นัสครับ   ผมไม่รู้ว่าผมพูดคำนี้กับนัสเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว   แต่ผมจะไม่ท้อ  ที่จะกล่าวถ้อยคำนี้เรื่อย ๆ     ฟังวาจาจากใจจริงของผมอีกครั้งนะครับ”

ผมกลั้นลมหายใจเมื่อแววจริงจังที่แฝงในดวงตาของฝ่ายตรงกันข้ามทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ   

                           “ผมรักคุณครับ..”

ช่วงเวลานั้นยาวนานเหลือเกิน   ดวงใจของดวงที่เต้นแข่งกันโครมครามเหมือนจะช่วยใช้ในการบอกเวลาแทนเข็มวินาทีของนาฬิกาแขวนบนผนัง   ผมกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก  เมื่อปะทะกับแรงกดดัน  ทั้งคำพูด ท่าทาง  แววตา

                              “กะ..ก็  ..แล้ว  ..ไง”

พันไพรยิ้มอย่างอบอุ่น  และยอมคลายมนต์สะกดแห่งดวงตาของตนออกเล็กน้อย

                    “ผมอยากรู้ว่า   นัสล่ะครับ  รักผมมั้ย”

ผมอึ้ง   หูอื้อ ตาลายไปหมดจากคำสารภาพรักที่ดูจริงใจกว่าทุกครั้งของพัน  และตอนนี้เขากำลังถามผมว่าผมรักเขามั้ย


เพียงคำเดียวที่ปรารถนา
อยากฟังให้ชื่นอุราใจพะว้าภวังค์
นานเท่านานพี่คอยจะฟัง
คำนี้คำเดียวที่หวังอยากฟังจากปากดวงใจ
คำ คำนี้มีค่าใหญ่หลวง
พี่รักพี่แหนพี่หวง เพียงดั่งดวงฤทัย
พี่ไม่เคยเฉลยกับใคร แต่แล้วพี่บอกเจ้าไป
เพื่อให้เจ้าตอบเช่นกัน
มีหลายคราที่เคยเหมือนเจ้าจะเอ่ย
เปิดเผยเฉลยคำนั้น
โอ แล้วใยอัดอั้น มิกล้าจำนรรจ์
กลับตื้นกลับตันทรวงใน
ฤา เจ้ามีคู่เคียงอุรา
เจ้ารักเป็นหนักเป็นหนาตรึงติดตราหัวใจ
จึงจดจำถ้อยคำพี่ไว้แอบเอาไปบอกคู่ใจ
ทอดทิ้งพี่ให้อกตรม
มีหลายคราที่เคย
เหมือนเจ้าจะเอ่ยเปิดเผยเฉลยคำนั้น
แล้วใยอัดอั้น มิกล้าจำนรรจ์
กลับตื้นกลับตันทรวงใน
ฤา เจ้าลืมถ้อยคำคำนี้
จึงทำไม่รู้ไม่ชี้ดังไม่มีเยื่อใย
แม้นเจ้าลืมเจ้าเลือนเคลื่อนคลาย
พี่เตือนให้อีกก็ได้ ก็ รัก อย่างไรเจ้าเอย


[color]
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-06-2008 11:37:01 โดย Kirimanjaro »

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






Clear eyes

  • บุคคลทั่วไป
กลอนเพราะมากเลยค่ะ o13
แต่งเองหรือเปล่าคะเนี่ย?

เรื่องนี้ก็สนุก ส่วนเรื่องอื่นก็ติดตามอยู่เช่นกัน

มาต่อเร็วๆนะคะ
(ระหว่างนั้นก็ขอไปรื่นเริงกะเรื่องอื่นๆต่อ :oni1: :oni1:)

ปล.ขอบคุณนะคะที่บอกบรรดาเรื่องที่คุณแต่งให้ทราบ
     แล้วยังไงจะไปตามหาดู
     ถ้าไม่เจอแล้วจะมาบอกค่ะ :กอด1:

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586
ยังไม่มาอีกหรอคะคุณน้องขา  :laugh:

christiyaturnm

  • บุคคลทั่วไป
เม้นต์ก่อน เดี๋ยวตามมาอ่านทีหลังนะคร๊าบ :a11:

ง่วงแล้ววันนี้ :a12:

Taurus

  • บุคคลทั่วไป
 :m31: :m31: :m31:  ทำไมนานขนาดนี้ๆๆๆๆๆๆๆๆ

ดองได้ที่แล้วกระมั้งคับ      :m16: :m16: :m16:

ออฟไลน์ Tifa

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +417/-2
เหอๆ พึ่งแอบเห็นว่ามีเรื่องนี้เลยตามมาอ่าน

ชอบอะ ชอบแอบรักเพื่อน อิอิ แต่ตัว นัส ก็น่าสงสารเนอะ

เครียดจังอะ แบบนี้ให้นายแบดมาช่วยดีกว่า555

Kirimanjaro

  • บุคคลทั่วไป


[เหตุการณ์ปัจจุบัน]





   “เคยมีคนถามผมว่า   ทำไมผมถึงเศร้านัก”     

       “แล้วนัสตอบว่าอะไรล่ะ ?”

“ผมตอบเขาไปว่า   หลายหลายอย่างทำให้ผมเศร้าสร้อย    ใบไม้ไหวปลิดปลิวจากขั้ว  สายลมพัดพรูหอบเอาเศษฝุ่นทรายคละคลุ้ง   เสียงคลื่นกระทบฝั่งพลิกเปลือยหอยบางให้ไหวพะเยิบตามจังหวะคลื่น    แม้แต่ยามเช้าอันสดใสกำจายไอหมอกขาวพร่างน้ำค้างพรู  หรือยามสายอับอบอุ่นด้วยไอแดดก็ทำให้ผมเศร้าได้”

  “แล้วไงอีก..”

          “ผมยังบอกเขาอีกว่า    บางทีผมก็เศร้าขึ้นมาเฉย ๆ   รู้สึกวูบไหวกับความว่างเปล่าและกาลเวลาที่ไหลผ่านตัว  ผมเป็นคนไร้สาระใช่มั้ยล่ะครับ”

               “ไม่หรอก  อารมณ์ศิลปิน”

        “อืม  เขาก็พูดเช่นนั้น  แต่...”

แต่ผมรู้ว่ามีอะไรมากกว่านั้น    ความเศร้าโดยไร้สาเหตุส่งผลกระทบต่อชีวิตของผมมากกว่าที่คิด   มันดูดเอากำลังใจและพลังชีวิตของผมจนหมดสิ้น  ทำให้ผมเป็นเพียงเครื่องจักรที่เผาผลาญกิเลสเป็นพลังงานเชื้อเพลิง  มันทำให้ผมเกลียดตนเอง  ทำให้ผมไม่รักตัวเองเพียงพอที่จะดิ้นรนเพื่อเอาชีวิตรอด

  ตอนนี้ผมก็เหมือนกอสวะไหลไปมาตามแต่กระแสธารของชีวิตจะพัดพาไป     

ผมเป็นคนมองการณ์ไกลนะ    ผมสามารถมองเห็นผลอันยาวไกลจากการกระทำที่ผมทำลงไป   มองเห็นผลร้ายและความพินาศรออยู่เบื้องหน้า     แต่น่าเสียดาย   ที่ผมไม่รักตัวเองเพียงพอที่จะหยุดยั้งการกระทำนั้นนั้น
ผมยังคงจม   ..จมลึกลงเรื่อย ๆ   แต่ผมก็ยังคงหลับตา   ผมยินดีกับความสิ้นสลายนั้น  หากว่าจะนำพาผมไปให้พ้นจากห้วงแห่งความเหงาและความเศร้า

  ผมไออย่างรุนแรงสองสามที  จนพันไพรมีสีหน้าร้อนรน    เขาเข้ามายึดร่างของผมซึ่งกึ่งนั่งกึ่งนอนบนเก้าอี้หวายเบื้องนอกของบังกะโลริมหาดไว้

              “ขอโทษจริง ๆ นัส  ผมไม่ควรพาคุณมาตากลมยามเย็นแบบนี้    มา  เดี๋ยวผมพาเข้าบ้านก่อน”
ผมรีบยกมือห้าม  เมื่อเห็นคนเจ้ากี้เจ้าการจะเข้ามาอุ้มร่างผมไปข้างใน

       “ผมไม่เป็นไรหรอก   ผมอยากเห็นดวงอาทิตย์ยามลับเส้นขอบฟ้า   จุดที่ซึ่งผิวน้ำกับผืนฟ้าเชื่อมต่อเป็นเนื้อเดียวกัน   วันนี้มีได้แค่วันเดียว    หากปล่อยให้ถึงพรุ่งนี้  ผมก็คงไม่ได้เห็นสภาพแวดล้อมแบบนี้อีก”

ปุยเมฆก่อตัว   บิดพลิ้ว อยู่เหนือดวงตะวันสีส้มจาง    มันถูกไล้ไล่สีจากแสงสุริยะ   ไล่จากสีแดงเข้มราวชาด  เป็นสีส้ม  และแต้มเงาเขียวประปรายตามซอกหลืบของเงาเมฆ    ท้องฟ้าที่นอกเหนือจากนั้น   ไล่สีเงินกำมะหยี่จนเข้มราวหมึกคล้ายกับกรอบรูปอันบันทึกภาพวาดอันวิจิตรตระการของจิตรกรมือเอกอันมีชื่อว่าธรรมชาติไว้
ผมเศร้าอีกแล้ว  แต่ครานี้ผมเศร้าอย่างเป็นสุข   เพราะผมเริ่มชินกับมันจนแทบจะขาดมันไปไม่ได้

                   “นัสจะไม่สบาย  หากว่ายังคงอยู่ต่อจนค่ำ”

พันไพรยังไม่ละความพยายามของเขา

                          “ผมจะไม่สบายหากว่าผมไม่ได้ดูมันลับขอบฟ้าอย่างสมบูรณ์แบบ”

ผมส่งสายตาดื้อดึงจ้องสวนดวงตาคู่สวยของอีกฝ่าย   พันไพรถอนหายใจเบา ๆ อย่างระอา

   “ทำไมผมถึงไม่อยากไปหาหมอรู้มั้ยครับ ?”

พันไพรส่ายหน้าช้า ๆ   เขาไม่ล่วงรู้จิตใจของผมไปเสียหมดหรอก

      “ผมไม่รู้..”

              “ผมไม่อยากสำออยเกินเหตุ  อะไรที่พอทนได้ก็ทนไปก่อน..”

         “ไม่..   นัสไม่ได้คิดอย่างนั้น   ทำไมนัสถึงไม่อยากมีชีวิตอยู่ล่ะ ?”

ผมนิ่งอึ้งกับคำกล่าวที่แทงใจดำ

                 “นัสรู้มั้ย    นัสน่ะเหมือนเมื่อวันนั้นเลย   คนที่ร้องเพลงด้วยความเศร้าอยู่ริมขอบผา  โยกร่างเพื่อไม่ให้ผู้อื่นสังเกตเห็นน้ำตา  และฮัมเพลงเพื่อกลบเสียงสะอื้น   ผมกลัว   กลัวว่าสักวันจะต้องสูญเสียนัสไป    กลัวว่าวันใดที่นัสพลาด  และตกลงไปในเหวนั้น   แค่คิดเพียงนั้นผมก็คงทนไม่ได้ที่จะมีชีวิตต่อไป”

ผมยิ่งอึ้งกับข้อความที่กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าของพันไพร   ผมยื่นมือออกไปจับมืออีกข้างของเขา  แล้วดึงเข้ามาหาตัวช้าๆ

                  “ไพร    นายจะต้องอยู่ต่อไป   ไม่มีใครรู้แน่หรอกนะ  ว่าสักวันไพรจะพบกับคนที่ไพรรักยิ่งกว่าผมหรือเปล่า   ไม่มีใครรู้หรอก  ว่าสักวันไพรอาจจะให้กำเนิดชีวิตน้อย ๆ หลายชีวิต   อาจจะเป็นเสาหลักของครอบครัวใดสักแห่ง   หรือไพรอาจจะมีชีวิตอยู่เฉย ๆ   เพื่อเป็นกำลังใจให้แก่ผู้อื่น  ไม่เฉพาะแค่ผม

ทุกคนเป็นหนึ่งในตัวละครของเวทีที่ชื่อว่าโลก   ถึงแม้จะไม่มีบท  แต่การส่งบท  หรือการอยู่ถูกที่ถูกเวลาของแต่ละตัวละครย่อมทำให้โลกยังคงดำเนินต่อไปได้อย่างไม่ติดขัด”

               “แล้วนัสล่ะ  ไม่ใช่หรอกหรือ ?   นัสไม่ใช่ตัวละครหนึ่งตัวในโรงละครแห่งนี้เช่นเดียวกันแน่น่ะหรือ ?”
ผมเหยียดยิ้มบาง ๆ อย่างนุ่มนวลเพื่อปลอบขวัญคนข้าง ๆ

                   “ผมไม่ได้พูดสักคำ  ว่าผมไม่ใช่   ไพรสบายใจเถอะครับ  ผมจะพยายามเท่าที่จะพยายามได้”
มือของผมบีบมือของเขาเบา ๆ   

        นั่นล่ะ..  ผมก็คือผม   คนที่พร้อมจะกลับมาแข็งแกร่งได้ทุกครั้งเมื่อคนรอบข้างอ่อนแอ  พร้อมที่จะเป็นผู้ปลอบประโลมผู้อื่นแทนเสมอ   คนที่ผมวางใจอย่างแท้จริง  ไม่ใช่คนที่ผมจะฟูมฟายด้วย  แต่เป็นคนที่ผมจะไม่ยอมให้เขาเห็นด้านอ่อนแออันไม่น่าสบายใจเป็นอันขาด   

อันที่จริงแล้ว  ผมก็ไม่รู้หรอกว่าผมต้องการอะไรกันแน่   บางทีการได้ระบายกับการเขียนคงจะลดความขัดเขินไปได้ไม่น้อย 

                                 ทว่า..  แล้วตอนนี้ผมเศร้าหรือเปล่าล่ะ      นั่นสิ   ผมเองก็อยากรู้เหมือนกัน







ผมยังไม่หายเหงา   แม้ว่าจะมีร่างสูงแผ่อยู่ข้างกาย  เรานอนเตียงเดียวกัน  แต่เราไม่เคยมีอะไรกันอีกเลยนับแต่คืนวันนั้น  เสียงหายใจของพันไพรลึกและอย่างประหนึ่งนอนหลับสนิท  แต่ผมรู้ว่าเขาประสาทไวมาก  เพราะเมื่อใดที่ผมไอออกมา  เขาจะรีบผุดลุก  แล้วหาน้ำอุ่นละลายยาให้ผมในทันที

ผมถอนหายใจหนัก ๆ ด้วยความลำบากใจ   พันไพรเป็นคนดีเหลือเกิน   เขาทำดีกับผมในทุกเรื่อง  เขาสุภาพ  และเป็นห่วงเป็นไย   นับวันหัวใจผมยิ่งถูกทำลายกำแพงน้ำแข็งออกด้วยความดีของเขา  แต่ผมนี่สิ  ผมแทบไม่รู้ตัวเลยว่าผมรู้สึกอย่างไรกับเขา  บางคราที่ผมร้อนรุ่มเมื่ออยู่ห่าง   ทว่าบางครั้งก็รู้สึกเหมือนยังมีเยื่ออะไรบางอย่างที่กั้นระหว่างเรา

ผมยิ่งแย่ลงทุกที   ผมว่าผมกำลังตกหลุมรักเขาอีกคน   และคนที่ผมรักนั้น  จะไม่มีวันได้เห็นด้านที่อ่อนแอของผมเป็นอันขาด   ผมไม่สามารถระบายเรื่องอะไรหนักอกให้คนที่ผมรักฟังได้  ในขณะเดียวกัน  ผมเองก็ไม่กล้าบอกเล่าความรู้สึกของผมแก่ผู้ที่ไม่รู้จักเช่นกัน

สรุปก็คือ  ผมเองก็คงจะมีแต่เพียงหน้าเดียวที่ไว้พบปะผู้คน   ส่วนอีกใบหน้าน่ะหรือ   ใบหน้าที่อ่อนล้าและสิ้นหวังต่อชีวิต...ก็คงเก็บซ่อนไว้ตลอดไป

ผมอยากเล่าความรู้สึกเช่นนี้ให้ใครสักคนฟัง  แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเป็นทุกข์ไปด้วย  ความรู้สึกสองชนิดที่ตีกันอย่างรุนแรงมันทำให้ผมกดดันมากขึ้นทุกที     

มีใครบางคนแนะนำให้ผมลองคุยกับตนเอง  ให้ผมลองส่องกระจกพูดคุยกับตนเองดูบ้าง
ผมลองแล้ว   บทสนทนาแรกระหว่างเราเต็มไปด้วยความขัดเขิน  มันเริ่มด้วยการแนะนำตนเองอย่างสั้น ๆ ง่าย ๆ  แล้วก็จบลงอย่างง่าย ๆ สั้น ๆ  เช่นเดียวกัน  ผมมีสิ่งที่จะบอกตนเองมากกว่าที่คิด  ในขณะที่ผมเองก็ไม่กล้าที่จะยอมรับมัน  และนั่นทำให้การคุยกับตัวของผมเองล้มเหลวไม่เป็นท่า   เพราะขนาดตนเอง  ผมเองก็ยังไม่กล้าเปิดใจให้แก่ตนเองเลยแม้แต่น้อย   จะไปหวังอะไรกับคนอื่นล่ะ

ผมยันกายลุกขึ้นจากเตียงนุ่ม     แรงสะเทือนเล็กน้อยกลับปลุกให้อีกคนตื่นจากการหลับใหล

                 “นอนไม่หลับหรือครับ ?”

        “อือ  อยากเขียนอะไรสักหน่อย”

                      “เขียนอะไรล่ะครับ ?”

                   “ความลับ”

พันไพรอึ้งไปชั่วขณะ   แต่ก็เพียงชั่วครู่  น้ำเสียงอบอุ่นอ่อนโยนก็ถูกถ่ายทอดมาจากเรียวปากบางใส

                 “อย่านอนดึกนักนะครับ  ผมกลัวนัสจะยิ่งไม่สบาย”

ผมนั่งลงที่โต๊ะหนังสือ ซึ่งเปิดโคมไฟเฉพาะโต๊ะ  พลางหลับตาลงด้วยความปวดร้าว   พันไพร  นายไม่รู้เลยจริง ๆ หรือ  ว่ายิ่งนายทำดีกับผมมากเท่าไหร่  ผมก็ยิ่งเจ็บปวดมากเท่านั้น   ผมทรมานกับความสำนึกผิด  เมื่อไม่สามารถหักใจมอบหัวใจที่มีเพียงหนึ่งของผมให้แก่ใครได้   ทั้งคนหนึ่งที่ผมรัก  และอีกสองคนที่รักผม    ยาก..ยากเหลือเกิน

เวลาที่ผ่านไป  ทำให้ผมพบกระจกอีกบาน   สิ่งที่สามารถสะท้อนความคิดของผมมาได้เกือบทั้งหมด  มันคือกระดาษและปากกา  เงาที่ปรากฏคือเงาหมึกสีน้ำเงินอันซึมลงในเนื้อกระดาษ  ถ่ายทอดเหตุการณ์ในชีวิตของผมไว้   ถ่ายทอดเรื่องราวระหว่างผมกับเทพ

และตอนนี้  ผมกำลังเล่าถึงพันไพร

ผมแปลกใจ  ที่ผมจำแทบทุกสิ่งเกี่ยวกับเขาได้ทั้งหมด  จำได้ในทุก ๆ วินาที่ที่เราพบกันครั้งแรก   ทั้ง ๆ ที่ผมเชื่อว่าตอนนั้นผมกำลังเมาและจ่อมจมกับความทุกข์ก็ตาม

ความทรงจำที่กลับมาคล้ายกับภาพฉายย้อนกลับ    พันไพรปรากฏตัวท่ามกลางผู้คนอันสับสนวุ่นวายยามราตรี   เขาเหมือนก้าวออกมาจากความฝันของผม   เขาดูดีมาก   ไรหนวดอ่อนและดวงตาสีเข้มทำให้เขาดูหล่อเหลาอย่างน่าเหลือเชื่อ   เขาเข้ามาแนะนำตัวและเริ่มการสนทนากับผมได้อย่างมีเสน่ห์     ผมซึ่งกำลังมึนเมา  และต้องการใครก็ได้  ขอแค่ใครสักคนที่อยู่เป็นเพื่อนในค่ำคืนอันอ้างว้าง

..แล้วเราก็มาจบลงที่เตียง

ผมนึกว่านั่นคือจุดสิ้นสุดของสัมพันธ์แบบฉาบฉวยอันผมพบเจอเป็นปกติ    ทว่า   มันกลับเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด...  เรื่องราวที่ทำให้ผมจรดปลายปากกาลงจดบันทึกอีกครั้ง

ผมเว้นว่างที่เหลือไว้เพื่อรอบทสรุป  ผมเองก็ไม่สามารถคาดเดาล่วงหน้าได้เช่นกันว่าบทสรุปของเรื่องนี้จะเป็นเช่นไร..

ผมรู้แต่ว่าบัดนี้....

ผมปิดสมุดบันทึกปกสีน้ำเงินไฟลินลงช้า ๆ  แล้วเลื่อนเก้าอี้ไว้ที่เดิม    พันไพรนอนหลับสนิทอีกรอบแล้ว   ใบหน้าใสบริสุทธิ์ราวเทพบุตรยามนอนหลับของเขาระบายด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ ราวกับกำลังฝันดีอยู่

ผมก้าวเข้าใกล้ร่างของเขา  แล้วโน้มตัวลงกระซิบถ้อยคำบางคำริมหู..

                คำบางคำที่เขารอมานาน  แต่ผมเลือกที่จะบอกเขายามที่เขาไร้สติ...

                                                “ผมรักนายนะ ไพร”







โทษทีนะครับที่มาลงช้า  ผมไม่มีคำแก้ตัวใด ๆ นอกจากขอโทษครับ

ออฟไลน์ Tifa

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +417/-2
อิอิ มาแล้วๆ อ่านไปก็ซึม เศร้า

โอย ปวดใจแทน ไปบอกอารายตอนนอน

จะรู้เรื่องมั้ยนี่ ซิกๆ

TaEnIaE_CoLi

  • บุคคลทั่วไป
ชอบเพลงนี้เหมือนกานเลย

ใช่ชื่อเพลง เพียงคำเดียวป่าวอ่ะคับ

เคยได้ฟังพี่คนนึงร้องเมื่อนานมาแว้ว

ทัมมัยชีวิตช่างเศร้าขนาดนี้เนี่ย

บางทีอารมณ์ศิลปินกะโรคซึมเศร้ามันก็คล้ายกันนะ

เป็นห่วงตัวละครอ่ะ

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6

Taurus

  • บุคคลทั่วไป
 :m4: :m4: :m4: ในที่สุดก็มาต่อแล้ว
แต่ทำไมมันเศร้าเหลือเกิน  :m15: :m15: :m15:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Tifa

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +417/-2
อย่าลืมเรื่องนี้น้า มีคนเขาอ่านอยู่

สงสัยมัวไปตามหา รุก แท้ 555

Kirimanjaro

  • บุคคลทั่วไป
cj : เรื่องนี้ผมอัพช้าหน่อยนะครับโทษที  ว่าแต่ได้ไฟล์เพลงจากไหนครับนี่

Clear eyes : ไม่ใช่กลอนหรอกครับ  เป็นเพลงน่ะ  ผมไม่ได้เป็นคนแต่งด้วย *-*

Clear eyes : มาแล้วครับเจ้สอง ^ ^

christiyaturnm : อย่าเผลอหลับต่อหน้าผมนะครับ  เดี๋ยวมีเฮ อิอิ

Taurus : แง้ววว  ยังไม่เค็มเลยครับ

Tifa : คนละอารมณ์กับควีนฯเนาะครับ  อิอิ  แต่เฮ้อ  เทพในเรื่องก็คนที่ผมเล่าให้ฟังในกระทู้ Queen น่ะครับ  คนที่ไปเที่ยวงานกล้วยไม้ด้วยกัน  นิยายเรื่องนี้เขียนตอนที่อารมณ์อ่อนแอสุด ๆ   ความรู้สึกที่ผมมีต่อเขาก็พลุ่งพล่านที่สุดด้วย

TaEnIaE_CoLi : ถูกต้องครับ  เพลงนั้นแหละ  เพลงมันแล้วแต่อารมณ์คนร้องนะ  เป็นเพลงจีบสาวจีบหนุ่มก็ได้นะฮะเพลงนี้



------------------------------------


บทที่ ๕



 
[เหตุการณ์ในอดีต]
 

  อารมณ์ของผมเหมือนดั่งทะเล   บางครั้งมันก็ดูราบเรียบและสงบง่าย    ทว่าซ่อนคลื่นใต้น้ำอันรุนแรงไว้ภายใน


ผมรู้สึกเบื่อโดยไม่รู้สาเหตุ  จนต้องเคาะโต๊ะเล่น ๆ แก้เซ็ง   กระทั่งเพรียงพร้อมที่ทำงานอยู่ใกล้ ๆ หันมาทำตาเขียวใส่   ฌิณชัยทอดสายตาสงสัยมาพร้อมกับคำถาม

              “นัส  แกเป็นอะไร ?”

            “หืม”

            “ใครบางคนไม่อยู่ใช่มั้ยล่ะ”

เพรียงพร้อมกล่าวได้แทงใจดีจริง ๆ  แต่ผมรีบปฏิเสธ

                  “เทพมันไม่อยู่ก็ไม่เห็นเกี่ยวกับเราเลย  ไม่ได้ตัวติดกันนิ”

          “ฮั่นแน่    คิดถึงเพื่อนรักของแกก็บอก”

ผมลอบถอนหายใจ    เออ  เราเป็นเพื่อนรักกันตั้งแต่เมื่อไหร่วะ   คงจะประมาณว่า  ที่ไหนมีเทพ  ที่นั่นมีนัส  ที่ไหนมีนัส  ที่นั่นมีเทพ  กระมัง

ผมไม่ต่อความยาวสาวความยืด   พวกจตุรเทพทั้งหลายก็เลยไม่ไต่ถามแล้วก้มหน้าก้มตาทำงานของตนต่อ
ผมลอบมองวิธีการทำงานของพวกเขามานานแล้ว   รู้สึกว่าสิ่งที่เป็นเคล็ดลับความเก่งกาจของพวกเขาจะเป็นพรสวรรค์เสียสามส่วน  อีกเจ็ดส่วนเป็นความขยันหมั่นหาความรู้นั่นเอง

ยกเว้นอิม   ซึ่งผมคิดว่าเขาอัจฉริยะผิดปกติ   และคงจะมีพรสวรรค์อยู่เกินห้าส่วนเป็นแน่
หลาย ๆ คนที่ชื่นชมอิมจากผลการเรียน 4.00 ตลอด   แต่ผมมองเห็นอะไรมากกว่านั้น   ผมมองเห็นความคิดลึกล้ำที่ซ่อนอยู่ภายใต้ท่าทางเปิ่น ๆ และการถ่ายทอดเรียบเรียงความคิดออกมาเป็นคำพูดได้อย่างกระท่อนกระแท่น  เมื่อรวมความอัจฉริยะกับความหน้าตาดีของอิม    (โดยมองข้ามบุคลิกพิลึกพิลั่นของเขา)   ผมว่าเขาเป็นคนที่มีเสน่ห์ในสายตาของผมมาก ๆ

แต่ในขณะเดียวกัน  ผมก็เห็นเขาเป็นคู่แข่งทางด้านความคิด  อยู่เสมอ

แตกต่างจากเทพ   ถ้าเทพเป็นพวกซ่อนคมในฝัก  คมที่ว่าคงจะคมกริบจนน่ากลัว  เพราะเขาไม่เคยทำตัวโดดเด่น  ทว่าผมเองก็สัมผัสได้ถึงความลึกลับมิอาจหยั่งจากเขา   ความคิดที่พิสดาร  และหลายครั้งหลายคราที่เขาคาดเดาดักทางความคิดของผมได้อย่างถูกต้อง

อิมเงยหน้าขึ้นจากหนังสือปกอ่อนที่เขาซบอยู่  เขาใช้มือขวาปาดน้ำลายย้อยตรงมุมปากด้วยท่าทีเกียจคร้าน   ดูท่าเมื่อคืนเขาคงจะทำรายงานดึกไปหน่อย

                       “คุยเรื่องไรกันอยู่อ่ะ”

ถ้าเทพอยู่ด้วย  เขาคงบอกว่า  ไม่มีอะไรหรอก   พร้อมกับประดับลักยิ้มยียวนตรงมุมปาก

                       “ไอ้นัสมันเฮิร์ท  เพื่อนรักมันไม่อยู่ใกล้ ๆ”

ฌิณชัยตอบแทนผมในทันที

                  ผมเหล่มองหาเรื่องใส่คนพูดหน่อย ๆ จนเขายอมสงบปาก

                 “ไอ้เทพน่ะเหรอ  ไหนว่าจะไปหานายใต้ตึกที่เล่นการ์ดไง”

ผมทำตาโต  เพราะว่ามันน่าประหลาดใจน้อยเสียเมื่อไหร่ล่ะ

ผมรีบเก็บกวาดเศษซากอุปกรณ์การเรียนเข้าสู่กระเป๋าอย่างรวดเร็วจนเพรียงพร้อมอดแซวไม่ได้

           “รีบไปเชียวนะนัส    ทิ้งเพื่อน ๆ นะแก”

           “เปล่าทิ้ง  เดี๋ยวมา”

     “อีกเดี๋ยว น่ะเมื่อไหร่กัน  เอางี้  แกออกไอเดียงานพรีเซนต์ประวัติพุทธสาวกมาก่อน  แล้วพวกเราจะปล่อยแกไป”

ผมเม้มริมฝีปากด้วยความขัดใจ  แต่แล้วก็ยอมนั่งลง    ผมก็เป็นแบบนี้ล่ะ  ชอบรอให้ไฟลนก้นถึงจะเริ่มทำงาน

 “เราคิดอะไรออกอย่างหนึ่ง  แต่เราออกได้แต่ความคิดนะ  เรื่องจัดการและความเป็นไปได้ลองเอาไปถกกันเอง”

อิมจ้องมองเงียบ ๆ   ส่วนฌิณชัยผงกศีรษะเบา ๆ  เพรียงพร้อมเองก็ปรายตาจากงานที่เขาทำอยู่มามองหน้าผม

         “จัดทำเป็นละครเล็ก ๆ หน้าห้อง  ให้จบภายในเวลาที่กำหนด”

สมัยนั้น  อย่างดีพวกเพื่อน ๆ ผมก็จะใช้วิธีกันผลัดออกไปรายงานตามบทในหน้ากระดาษที่เตรียมไว้  การแสดงด้วยสื่อชนิดอื่นจึงค่อนข้างน่าประหลาดและพิสดารพอสมควร

                “บางอย่างทำได้ยากน่ะสิ  อย่างเช่น...”

“สิ่งที่ทำได้ยากก็เกลาให้มันง่ายสิ    ใช้การทดแทนด้วยสัญลักษณ์ต่าง ๆ ตามมีตามเกิด   ลองคิดดูสิว่าอาจารย์จะชอบแค่ไหน  แล้วคะแนนของพวกนายจะได้เยอะแค่ไหน   นี่ล่ะหน้าที่ของพวกนาย  ทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้  ให้ออกมาเป็นรูปธรรม   ..ในกรอบที่กำหนด”
          “และ  ในเมื่อหมดข้อสงสัยกันแล้ว  เราก็ขอตัวก่อนนะ”

ช่างเป็นงานที่ง่ายอะไรแบบนี้  พูดสองสามคำจบ  ผมนี่มันไอ้เลวตัวถ่วงของกลุ่มของแท้จริง ๆ           
     
“เดี่ยวสิ แล้ว..”

ผมไม่รอให้เขาพูดจบประโยคก็รีบหยอดคำหวานใส่

                  “เราเชื่อในฝีมือและมันสมองของพวกนายทุกคนนะ  ว่างานนี้จะสำเร็จไปโดยราบรื่น  ตัวเราเองก็ไม่มีฝีมือจะทำอะไร  ก็คงมีแต่เพียงกำลังใจที่จะส่งให้แก่สมาชิกกลุ่มผู้เสียสละทุกท่าน  เชียร์ส!”

ผมไม่รอฟังอีร้าค่าอีรมอีกต่อไป   รีบสาวเท้ายาว ๆ ออกมาจากโต๊ะของเหล่าจตุรเทพในทันที





หน้านี้ปีปออกดอกขาวพราวสะพรั่ง    กลีบบางของมันร่วงหล่นลงเกลื่อนโคนต้น ราวกับเกล็ดหิมะดารดาษกลางเหมันตฤดู   ผมเหยียบย่ำไปตามโคนซอกหญ้าอันอยู่ใต้เบื้องพื้นทางนำไปสู่อาคารหลังใหม่  ศาลาเก่าอันผมใช้สำหรับการซุ่มเฝ้าดูกรรม์เมื่อครั้งก่อนอยู่เบื้องหน้า

เงาร่างของคนสองคนที่กำลังคุยกันบนศาลาทำให้ผมชะงัก  และหลบมุมหลังเสาอาคาร
เทพกับกรรม์...

ผมเองยังไม่กล้าเข้าหน้ากรรม์   ไม่รู้สิ  มันแปลก ๆ เหมือนกับว่าผมเองนึกคำพูดไม่ออกเวลาเจอหน้าเขา  ทำไมผมทำตัวเหมือนคนผิดเองก็ไม่รู้แฮะ

เทพล้วงเอากองการ์ดจากกระเป๋า   เขาเอามันสับ ๆ แล้วเจอออกเพื่อเริ่มกระบวนการเล่น   ผมเองไม่รู้จะบอกว่ารู้สึกอย่างไรดี  เพราะว่าผมเองเคยขอให้เทพเล่นกับผมมาหลายครั้งแล้ว  แต่เข้าก็หลบเลี่ยงมาเรื่อย  ขณะที่กับกรรม์
เฮ้อ...แต่ผมไม่ได้โกรธนะ   เพียงแต่ความอยากเจอหน้าที่มีต่อเขาในเที่ยงนี้มันตกฮวบ   ผมควรจะยินดีสินะ  ที่เพื่อนรักของผมกำลังมีความสุขจากการละเล่นนั่น

ผมเดินออกมาจากที่นั่นและเดินไปเรื่อย ๆ ตามถนนภายในตัวโรงเรียน   มันพาอ้อมอาคารอุตสาหกรรมไปสู่เรือนเกษตรอันกอปรด้วยเรือนกระจกขนาดใหญ่  และท้องทุ่งกว้างอันปลูกไว้ด้วยดอกดาวเรืองยาวสุดลูกหูลูกตา  เสียงไก่และเป็ดดังมาเป็นระยะจากโรงเรือนเลี้ยงสุดปลายทุ่งโน่นอันติดกับบ่อน้ำกว้างให้บรรยากาศลูกทุ่งดีจริง ๆ
ผมสิ้นสุดการเดินเรื่อยเปื่อยที่โคนต้นไทรย้อย  อันระย้าห้อยไว้ด้วยรากฝอยระโยงรยางค์จากกิ่งสูงลิ่วเหนือพื้น  แล้วจึงทรุดตัวนั่งลงบนม้าหินอ่อนใต้ต้นไทร  ผมปิดดวงตาด้วยมือข้างซ้ายเพื่อลดความรุนแรงจากแสงจ้าอันสะท้อนจากทิวทัศน์รอบ ๆ พ้นร่มไทรซึ่งเกิดจากแสงอาทิตย์ยามเที่ยง

ความเหงาเป็นเพื่อนกับผมมานานแล้ว   จะว่าไป  นับแต่ผมก้าวเข้ามาที่นี่ผมก็เริ่มรับมันไว้เป็นเพื่อนซี้   ผมมักจะยิ้มให้แก่มัน  คอยเฝ้ามองมันกระโดดไปมาอย่างร่าเริงระหว่างความเศร้าและความเจ็บปวด

ผมพยายามเอนร่างลงซบกับแขนที่ขัดกันไว้บนพื้นโต๊ะแทนหมอน    ตอนนี้ผมเหนื่อยเกินกว่าจะทำอะไร  แม้กระทั่งเรี่ยวแรงที่จะข่อตาหลับกลางวันยังไม่มี  ผมจึงต้องเบิกตาโพลงลืมค้างทอดสายตาไปเบื้องหน้า  ถนนหินคลุกฝุ่นอันเปลี่ยวร้างไร้คนสัญจร

เวลาแห่งความเงียบสงัดมันแสนนาน...นานจนผมไม่รู้สึกถึงกาลเวลา
ตะวันคล้อยสู่ทิศตะวันตกสาดเงายืดให้ยาวขึ้นจากเดิมในทุกวินาที

ลมหนาวเย็นเฉียบแห่งฤดูหนาวเสียดผิวเนื้อแห้งผ่าวกร่อนให้เปลือกผิวปริเป็นลายขาวทั่วเนื้อ
ผมลูบไล้เส้นขนซึ่งชูชันจากการสั่นของกล้ามเนื้อโคนขนเนื่องจากความหนาวเหน็บให้สงบลงดังเดิม 
ผมรู้โดยสัญชาติญาณแล้วว่าช่วงนี้ควรจะเป็นเวลาเรียนของผม    แต่ผมเองยังไม่นึกอยากเข้าไปนั่งที่นั่น
ในห้องเรียนที่หนาวเย็นยิ่งกว่ากลางแจ้งใต้ร่มไทรนี่

ผมนึกอยากทำในสิ่งที่ผมไม่ได้ทำมานานแล้ว  นับตั้งแต่เข้ามาในห้องคิงส์ของโรงเรียน  คือการบ่ายหน้าสู่ทางโรยกรวดอันนำสู่สวนป่าหลังโรงเรียน  ซึ่งมีจุดทะลุลอดเข้าสู่เขตชุมชนใกล้ ๆ  เป็นเส้นทางที่ผมชำนาญดีเมื่อครั้งอดีต  และผมจะย้อนรอยความทรงจำนั้นอีกครั้ง

กระเป๋าในมือของผมถูกโยนฝากไว้ในพุ่มไม้ลึกลับข้างอาคารเกษตร  ซึ่งผมเชื่อแน่ว่าจะไม่มีใครค้นพบจนกว่าเจ้าของกระเป๋าจะมารับมันกลับมาอีกครั้ง    ผมเหลียวซ้ายและขวา  และเงี่ยหูฟังเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีอาจารย์ท่านใดปรากฏร่างอยู่บนเส้นทางหลบหนีของผม   ก็อันตรายน้อยเสียเมื่อไหร่ล่ะ  เพราะว่าเส้นทางที่ผมจะใช้นั้นตัดผ่านกลุ่มบ้านพักครูเลยทีเดียว

แต่ก็นั่นล่ะ  ที่ที่อันตรายที่สุด  ย่อมเป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด..

          ผมก้าวไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รีบร้อนไปตามทางสายนั้น    ทุ่งดาวเรืองเบื้องข้างเบ่งบานสลอนสะท้อนแสงตะวันราวจะเย้ยหยันให้กับความหมองเศร้าอันไม่มีวันจางหายไปจากดวงตาและหว่างคิ้วของผม   ผมจุ๊ปากให้ไก่ในโรงเรือนอันผมผ่านไปเพื่อให้มันเงียบเสียง     พลางระสายตาไล่ไปตามดงหญ้าคาหญ้าแฝกรกชัฏอันขึ้นครึ้มคลุมกระจายไปตามซอกจุดต่าง ๆ ริมสระกว้าง

น้ำในสระค่อนข้างแห้ง   ทว่าผมเองก็ยังประเมินความลึกไม่ถูกเช่นเดิม     สองข้างทางเดินเริ่มเปลี่ยนจากทุ่งโล่งเป็นประดับทิวแนวเขียวเข้มปนน้ำตาลด้วยกิ่งมะขามสานกันแออัดขนัดใบมิให้แสงตะวันยามบ่ายลงสัมผัสผิวดิน

ทางเบื้องหน้า  ทางเดินลอดเบื้องความเขียวขจีของสวนป่าอันแท้จริงปรากฏอยู่ตรงหน้า   เถาวัลย์ระโยงรยางค์เกาะเกี่ยวกิ่งตวัดแน่นทั่วกิ่งไม้สูงลิ่ว   ต้นงิ้วยืนต้นตระหง่านริมทางประดับด้วยปลายหนามทู่ ๆ ประปรายรอบลำต้น   ยังไม่ถึงหน้าของมันที่จะออกดอกสีส้มสด  ต้นสักปลิดใบใหญ่หนาอันปกคลุมด้วยขนนุ่ม ๆ สีอ่อนทั่วใบลงมาระเกะระกะทางเดิน  จนยามเมื่อเท้าของผมย่ำลงไปก่อให้เกิดเสียงกรอบแกรบเป็นระยะ   ซึ่งผมก็พยายามเลี่ยงมัน   พร้อมกับหัวใจที่เต้นระทึกขึ้น  เมื่อโค้งสุดท้ายก่อนนำเข้าสู่รั้วลวดหนามทะลุเป็นช่องของสิ่งที่เรียกว่ารูหมาลอดจะอยู่ทางเบื้องหน้า

และในทันใดนั้นเอง  ผมก็เห็นเงาร่างของใครบางคนไหววูบอยู่เบื้องหน้า    หัวใจผมหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม  เมื่อคาดเดาว่า   เงาร่างนั้นคือใคร ...

ขณะที่ผมกำลังจะมุดลงป่าข้างทางด้วยความเข้าใจนั้น  เงาร่างทางเบื้องหน้าก็โบกมือให้     ผมจึงเขม้นตามองให้ชัด

           “เฮ้ย ไอ้เจ๋ง  ไปไงมาไงวะ”

เจ๋ง  เป็นเพื่อนเก่าของผมตั้งแต่ชั้น ม.2  เขาค่อนข้างเกเรพอสมควร  และมักเป็นเจ้ามือวงไพ่พนันเสมอ  ตอนนี้มาเจอกันอีกครั้งบนเส้นทางหลบหนีออกนอกโรงเรียนมันก็แปลก ๆ  แต่ผมก็อดทักเขาไม่ได้

               “เดี๋ยวนี้ทำตัวเป็นเด็กดีเชียวนะมึง   ว่าแต่นี่จะไปไหนนี่”

  ผมเหลียวซ้ายแลขวาแล้วจึงชวนให้ไอ้เจ๋งออกไปจากกลางถนน

                        “คุยตรงนี้ท่าจะไม่ดี   ออกไปนอกโรงเรียนก่อนค่อยว่ากัน”

                “เออ กูก็ว่างั้นล่ะ  ป่ะ”

ในที่สุด  พวกผมก็มุดลอดรั้วลวดหนามอันอุดมด้วยพงหญ้าครึ้มออกมาเบื้องนอกจนได้   ถนนซีเมนต์สีขาวสะท้อนเปลวแดดเป็นประกายระยิบระยับ       

                             “แล้วนี่นึกไงมึงถึงโดดเรียนวะ”

               “ก็ไม่ไง  ขี้เกียจ  เบื่อ  เซ็ง พอใจ”

                              “อะฮ้า  งั้นไปเล่นเกมส์กับกูมะ   extremes game”

เจ๋งกล่าวถึงเกมส์แข่งรถจักรยานในเครื่อง play station  ซึ่งกำลังได้รับความนิยมในช่วงนั้น

               “เออ  ไปก็ไป   นำดิ”

เจ๋งยักคิ้วแผล่บ  แล้วดึงชายเสื้อออกนอกกางเกงให้หมด  จากนั้นก็กอดคอผมเดินไปตามตรอกซอกซอยอันนำไปสู่ร้านเกมที่มันเคยไปบ่อย ๆ






เวลาล่วงเลยไปเนิ่นนาน จนผมเหงื่อตก  เมื่อจ้องมองนาฬิกา  ห้าโมงกว่า ๆ แล้ว

ถ้าคิดในทางเลวร้าย  พ่อของผมก็คงกลับไปก่อนเพราะรอรับไม่ไหว  แต่ถ้าคิดในทางที่เลวร้ายกว่า  คือเขายังคงรอที่รับส่ง  เพื่อคอยการชำระบัญชี

ผมเดินด้วยฝีเท้าเหมือนจะแน่วแน่มั่นคง  ทว่าจิตใจนั้นหวั่นไหวอย่างยิ่ง   ผมแวะเอากระเป๋าเรียนใบเขื่องซึ่งถูกซุกไว้ที่เดิมออกมาปัดฝุ่นเบา ๆ ให้หมดจากผิวผ้า

ถนนเส้นที่ทอดตัวผ่านใจกลางโรงเรียนกำลังเคลื่อนตัวผ่านปลายเท้าของผมที่เหยียบย่างไปเรื่อย ๆ
 สุนัขท่าทางมอมแมมสองสามสามตัวจ้องมองผมเงียบ ๆ จากในโรงอาหาร   แววตาที่ระคนด้วยความสงสัยถ่ายทอดออกมาจากมัน

ผมเห็นแล้วล่ะ  รถคันเดิมที่จอดอยู่ริมถนนรกร้างไร้ผู้คนภายในโรงเรียน   ผมจำได้  ถึงผู้ชายที่นั่งรออยู่บนรถ  เขาคงมองกลุ่มเด็กที่ทยอยออกไปจากโรงเรียนด้วยความหวังว่าสักคนหนึ่งจะเป็นลูกชายของเขาที่เดินเข้ามาหา  จนในที่สุด  ก็ไม่มีใครเหลือ...

ผมไม่ได้ตั้งใจทำให้เขาโกรธและเสียใจแบบนี้...  แต่ว่า   ใครจะรู้อนาคตล่ะ

ถึงผมจะมองเห็น  แต่ผมควบคุมมันไม่ได้อยู่ดี

รถคันเดียวในโรงเรียนที่เงียบสงัดไร้ผู้คน  ช่างเปลี่ยวเหงาเหลือเกิน   แต่ผมไม่กล้าเดินเข้าหาเขา   ผมนั่งลงตรงม้าหินอ่อนข้างโรงยิม  และลอบมองรถของพ่อจากพุ่มไม้ใบบัง

ฟ้าเริ่มมืดลงเรื่อย ๆ จากยามเย็นย่ำ   สนธยาสีแดงจางอาบไล้รอบ ๆ ให้หม่นไปด้วยความหดหู่    ผมเฝ้ามองเขาจากที่นั่นโดยไม่คิดจะออกไป   ตราบกระทั่งแสงสุดท้ายของดวงตะวันจางหายไปจากขอบฟ้า  แล้วทดแทนด้วยราตรีสีหมึก

ผมยิ้มเศร้า ๆ เมื่อรถของพ่อแล่นไปจากที่นั่นในที่สุด

                         ทำไมผมถึงทำเช่นนี้     ผมไม่รู้   ไม่รู้เลยจริง ๆ  ..........




   
    ถนนยาวมืดมิดทอดตัวอยู่เบื้องหน้า    นับว่าโชคดีที่ค่ำคืนนี้อากาศค่อนข้างอบอุ่นพอสมควร  จึงไม่ส่งผลกระทบต่อผมที่เดินลากเท้าในชุดนักเรียนกลางค่ำกลางคืนมากนัก

ขณะนี้  เวลาประมาณเที่ยงคืน  ซึ่งเป็นเวลาที่ร้านรวงต่าง ๆ ในชุมชนเคหะแห่งนี้ปิดตัวลง  และบ้านต่าง ๆ ก็เริ่มปิดไฟเข้านอนกันแล้ว

ผมยังคงเดินเรื่อย ๆ  ไม่รู้จะไปไหนเหมือนกัน   รถก็หมดแล้ว  เมืองก็อยู่ไกลเกินกว่าที่เท้าของผมจะเดินทางไปถึง  สายลมยามดึกโชยมาเป็นระยะจนขนลุกซู่   ผมเหนื่อยเต็มที  และอยากจะหาที่นอนพักสักแห่ง

ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยอยู่นอกบ้านตอนดึก ๆ   ผมทำบ่อย  แต่ผมก็ขึ้นรถกลับเองในเวลาประมาณสี่ทุ่มครึ่งทุกครั้ง
ทว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรก ..ที่ผมตั้งใจจะอยู่ในโลกภายนอกตลอดทั้งคืน

ผมสบถด่าตนเองในใจทุกครั้งที่ผมหาว  ความง่วงงุนเป็นสิ่งที่ผมควรเอาชนะให้ได้

แสงไฟรางๆ สีส้ม  จากดวงไฟสูงเหนือสวนสาธารณะอันอยู่ใจกลางถนนขนาบสองฟาก  มันคล้ายกวักมือเรียกให้ผมเข้าไป  ชิงช้าตัวเล็กไหวโยกเยกตามลมส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด   ผมมองไปยังเก้าอี้ไม้หลบมุมบังอิงแอบพุ่มไม้   ดูท่าลมจะพัดเข้ามาได้ยาก  และเหมาะที่ผมจะพักผ่อนรอรุ่งทิวา

ผมก้าวเข้าไปนั่ง  ทว่าความมืดที่ถูกเปิดเผยกลับทำให้ผมตกใจเมื่อพบว่ามีใครบางคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว
อีกฝ่ายก็มีท่าทีตกใจเช่นเดียวกัน    ผมรีบขอโทษ  และหันออกไปจากที่นั้น

ทว่า  คนผู้นั้นกลับเรียกผมเอาไว้เสียก่อน

    "เดี๋ยวสิ  นัสใช่มั้ย"

ผมแปลกใจ  ว่าทำไมคนที่บังเอิญพบเจอกันยามดึกกลับทราบชื่อของผม

เขาก้าวออกมาสู่ใจกลางของสวน  ให้แสงไฟส่องกระทบใบหน้า

         "กานท์...ไม่ได้เจอกันนาน  เป็นไงบ้าง"

ผมจำเขาได้ในทันที  เพราะว่าเคยอยู่ห้องเดียวกันเมื่อครั้ง ม.2  พวกเราเคยทำวีรกรรมร่วมกันบางอย่าง  เช่นจุดประทัดเล่นในห้องน้ำ  จนถูกตัดทำโทษจากอาจารย์หัวหน้าสาย   และบัดนี้  กานท์อยู่ในชุดสูทดูดีตัวหนึ่ง..

     "สบายดี  เรื่อย ๆ น่ะนะ"

        "เออ  แล้วหายไปไหนมาซะนานล่ะ"

         "เราออกจากบ้าน..."

ผมรู้ว่าเขามีปัญหากับทางบ้านบ่อยครั้ง  แต่ไม่นึกว่าจะรุนแรงถึงขั้นนี้

แต่เดิม กานท์เป็นคนต่างอำเภอ   พ่อแม่ของเขาฐานะดีมาก   นามสกุลของเขาเองก็เป็นหนึ่งนามสกุลดังในเมืองไทย
ทว่า  ด้วยความที่อยากให้ลูกได้ดี  พ่อแม่ของเขาจึงส่งลูกชายมาเรียนที่โรงเรียนประจำจังหวัด

และฝากให้กานท์พักอยู่กับลุงห่าง ๆ ของเขาในเมือง

สิ่งยั่วยุหลายอย่างบวกกับวัยที่ค่อนข้างน้อย  ทำให้กานท์เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเหล้าบุหรี่ การพนัน  และผู้หญิง
จนลุงของเขาดุด่าว่ากล่าวก็หลายครั้ง  ซึ่งผมมักจะรู้โดยกานท์นำมาเล่าให้ฟังอีกทีว่าเบื่อลุงบ่นมาก

แม่ของเขา  ได้รับแจ้งจากลุงถึงพฤติกรรมเหลวแหลกของลูกชาย   เธอจึงเดินทางมาพาเขาออกไปจากโรงเรียน
แล้วหลังจากนั้น  ผมก็ไม่ได้พบกับกานท์อีก  ...จนกระทั่งวันนี้

              "แล้วออกไปไหนอ่ะ  เล่าให้เราฟังได้ป่ะ"

กานท์นิ่งเงียบ  เขาเดินกลับไปนั่งที่เดิม   และเรียกผมไปนั่งคุยด้วย

          "เราเบื่อ  ขี้เกียจเรียน   เลยยื่นเงื่อนไขกับแม่ว่า  หากเราดำรงชีวิเองทางเบื้องนอกได้ครบสามปี 
จะขอรับสืบทอดกิจการของครอบครัวโดยไม่ต้องจบการศึกษาตามหลักสูตร   แล้วแม่เราก็ตกลง  เราก็เลยไปหางานทำที่กรุงเทพ"

ผมเชื่อที่เขาเล่า  แต่ก็เชื่อด้วยว่าเขาเล่าไม่หมด   ผมคาดเดาว่าเหตุการณ์วันนั้นคงรุนแรงน่าดู

      "แล้วได้งานมั้ย.."

   กานท์ส่ายศีรษะช้า ๆ

         "ตอนแรกก็ไม่ได้หรอก   จนเงินจะหมดลงทุกที   ก็มีพี่คนหนึ่งแนะนำให้ขายตัว"

ผมตกใจ  เพราะเรื่องพวกนี้ดูเหมือนจะไม่ควรเกิดกับเด็กหนุ่มที่อายุไม่ถึงสิบแปดดี

   "เราขายให้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย   เราขยะแขยงที่จะต้องมีอะไรกับผู้ชาย  เราจะอ้วก  แต่เราก็ผ่านมันมาได้   และได้เงินมาก้อนหนึ่ง"

ผมมองเขาด้วยความเห็นใจ   ชีวิตในโลกแห่งความเป็นจริงช่างโหดร้าย  และหลาย ๆ คนก็คิดเพียงแต่จะสนองตัณหาของตนด้วยเม็ดเงิน  โดยลืมคำนึงถึงจิตใจของผู้ถูกกระทำ 

ผมเพียงแค่ส่งสายตา และนิ่งเงียบรอฟังเขาเล่าต่อ

  "หนึ่งในลูกค้าของเรา   เห็นใจเรา  เขาเลยฝากให้เราทำงานที่โรงแรมแห่งหนึ่ง

งานโรงแรม  เป็นอะไรที่ค่อนข้างเหนื่อยเล็กน้อย   ทำอะไรต้องทำด้วยความรวดเร็ว  ให้เสร็จในเวลา

เราได้ทำงานอยู่ในแผนกจัดเลี้ยง   เวลาที่เสร็จงานเลี้ยงพวกเราก็จะเข้าไปเก็บกวาด   ไปจัดเตรียมสถานที่สำหรับงานต่อไป บางทีก็ได้เป็นบริกร  คอยเสิร์ฟอาหารเสิร์ฟน้ำให้แขก    แต่นัสรู้มั้ย  ได้เงินดีมาก ๆ เพราะนอกจากค่าจ้างแล้ว  เราก็จะมีทิปจากลูกค้าที่จะนำมาแบ่งปันกันอีกที  แถมอาหารการกินก็ดี  เพราะกินอาหารที่เหลือจากงานเลี้ยง  มีกุ้งตัวใหญ่ ๆ หมูหัน  ปลาน้ำแดง  อะไรเทือกนั้นบ่อย ๆ  ก็เป็นงานที่เหนื่อยเป็นพัก ๆ  แต่คุ้มค่า  เมื่อเราเก็บเงินได้อีกก้อน  เราก็ออกมา.."

      "อ้าวทำไมล่ะ"

 "ไม่รู้ดิ   อยากกลับมาที่นี่มั้ง"

กานท์ไม่ได้สบตาผม  ผมจึงคิดว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่านั้น  แต่อย่างไรก็ตาม  เรื่องอะไรที่เขาไม่อยากเล่า ผมก็ไม่อยากจะเซ้าซี้สักเท่าไหร่

      "แล้วตอนนี้นายทำอะไรอยู่ล่ะ"

เขาหลุดหัวเราะขมขื่น   "ดูชุดเราสิ  ชุดที่ดูดีเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ   หลายคนเรียกเราว่าแผนกจัดหาบุคคล  ขณะที่อีกหลายคนก็เรียกเราว่าแมงดา.."

ผมยิ่งตกใจ  เมื่อดูเหมือนชีวิตของเพื่อนผมจะน่าเศร้ากว่าเดิม   เขาพลิกบทจากผู้ถูกกระทำมาเป็นผู้กระทำ
ผมอยากรู้นัก  ว่าหากพวกที่เคยซื้อบริการจากกานท์  มีลูกสาว  แล้วลูกสาวของเขาถูกกานท์ล่อลวงไปค้าประเวณีอีกที  พวกเขาจะรู้สึกอย่างไรกัน

    "แล้ว  งานของนายเป็นไง"

"เราไม่ได้ไปบังคับล่อลวงใครหรอกนะ   เราติดต่อทาบทามคนที่ร้อนเงิน  และพวกที่อยากทำงานทางด้านนี้อยู่แล้ว
เราก็เลยต้องใช้ชุดแบบนี้  ทำท่าทางเหมือนหนุ่มสังคมชั้นสูง   เพื่อเสนอแนะงานง่าย ๆ เงินดี ๆ ให้พวกผู้หญิง
ก็มีแต่พวกที่สมัครใจ  ไปหาที่สำนักงานใหญ่.."

ผมอยากรู้มากขึ้นจึงซักไซ้ต่อ    "ที่ทำงานของนายอยู่ที่ไหนล่ะ"

กานท์ยิ้ม  เขาคงนึกว่าผมอยากไปติดต่องานมั่ง   เขากล่าวถึงสถานบันเทิงแห่งหนึ่งที่ขึ้นชื่อในตัวเมือง
ซึ่งมักจะอาศัยรูปแบบบาร์เหล้าบาร์เบียร์บังหน้า  จัดหาผู้หญิงสวย ๆ ยั่ว ๆ นั่งหน้าร้าน   
ขายบริการแอบแฝงโดยอ้างว่าเกิดจากการตกลงกันระหว่างลูกค้ากับพนักงานเอง

กานท์หมดเรื่องที่เขาจะเล่าแล้ว  เขาจึงเริ่มถามถึงชีวิตของผม   ซึ่งผมก็เล่าให้ฟังถึงเรื่องทั่ว ๆ ไป  โดยละเว้นความจริงบางอย่างไว้เช่นกัน  เราคุยกันที่โต๊ะกลางสวนเนิ่นนาน  คุยถึงเรื่องที่เราเคยทำ  คุยถึงเรื่องความชอบของแต่ละคน  เหมือนเพื่อนเก่าแก่ที่จากไปแสนนาน  จนกระทั่งเราตกลงใจว่าจะหลับบนพื้นโต๊ะนั้น...



..ในที่สุด   ไอหมอกของยามเช้าก็คลี่คลุมพร้อมกับแสงเงินแสงทองแห่งรุ่งอรุณ   ไก่บางตัวในเขตเคหะเริ่มส่งเสียงขันต้อนรับพระอาทิตย์  กานท์สะกิดผมให้ตื่น   เขายืนอยู่เบื้องข้างผมที่หมอบอยู่บนแขนตนเองเหนือโต๊ะ

        "เราต้องไปแล้ว   นี่นามบัตรของเรา  หากว่าต้องการความช่วยเหลืออะไรไปหาได้ทุกเมื่อ"

เขายื่นแผ่นกระดาษแข็งให้ผม  ซึ่งรับมามาไว้ในกระเป๋าอย่างงง ๆ

              "จะไปแล้วเหรอ   เออ  ขอถามอีกข้อ   กำหนดสามปีเหลืออีกนานมั้ย"

          "อีกห้าเดือน  ทำไมเหรอ"

           "อืม  ขอให้นายผ่านพ้นมันไปได้โดยไวนะ"

กานท์ขอบคุณผมด้วยแววตา   ผมเองก็ลุกขึ้นจากโต๊ะตัวนั้น

                "นัส   เราอิจฉานายนะ   สิ่งที่นายมี  ขอให้รักษามันให้ดี ๆ   อย่าเหลวไหลแบบเรา..."

เขาทิ้งท้ายด้วยคำพูดที่ผมไม่เข้าใจ  ก่อนเดินจากไปพร้อมกับการโผล่พ้นขอบฟ้าของดวงตะวัน





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-06-2008 11:50:17 โดย Kirimanjaro »

christiyaturnm

  • บุคคลทั่วไป
 :m31:

เดี๋ยวเถอะ พี่เมิงนะเว้ยย



คิดไรเนี่ย... :o8:

จะติดตามตอนต่อไปนะ สนุกดี

นัสดูเป็นคนอบอุ่นและอ่อนไหวดี ครับ o13

iamtoey

  • บุคคลทั่วไป
Re: [---หวังเทวา---] : นิยา
«ตอบ #53 เมื่อ27-06-2008 16:44:37 »

เข้ามาให้กำลังใจนะจ๊ะ อิอิ ถ้าอยากรู้ว่าเป็นใคร ถามน้องริว "ไอ้ปลาทอง" ดูนะ  :o8:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-06-2008 16:46:22 โดย iamtoey »

ออฟไลน์ Tifa

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +417/-2
โหๆ กล้ามากๆเลยนะนั่น ที่ไม่กลับบ้านเลย

งี้กลับไปเจอพ่อ ไม่โดน.........หรอนี่

แต่ สงสารกานท์มากกว่า ว่าแต่.....

สนใจได้เงินซักก้อนมั้นจ้ะ น้องกานท์ 555

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6
มาลงช้า เลยมาอ่านช้าเลย  :o8:

แต่ก้อยังรออ่านเสมอนะคะ  :L2:

ว่าแต่นัสกลับบ้านไปจะเจออารายละเนี่ย  :serius2:

mackerel

  • บุคคลทั่วไป
รออ่านอยู่นะคร้าบพี่...





ออกอาการหน่อยคร้าบพี่คี

nartch

  • บุคคลทั่วไป
:m4:
เป็นเรื่องที่มีสเน่ห์ในแง่ของการนำเสนอและความลื่นไหลของเรื่อง
แต่ความต่อเนื่องของเรื่องยังออกจะห้วน ๆ ไปซักนิด...  :m23:
อ่านแต่ละบทแต่ละตอนแล้วเหมือนหัวใจถูกบีบคั้นพิกล แต่ยังไงก็
หนุกหนาน ๆๆๆๆ รอต่อไปครับ...
 :m1:

Kirimanjaro

  • บุคคลทั่วไป
ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ  แหะแหะ
บทนี้จะเหมือนมานั่งบ่นนะครับ  และผมก็ไม่เคยพูดถึงตัวละครบางตัวมาก่อน
ถ้างงในบางจุดก็ปล่อยไปนะครับ  อีตาพันไพรก็งงเหมือนกันครับ  ว่าไอ้นัสมันเพ้ออะไรฟะ




บทที่ ๖


[เหตุการณ์ปัจจุบัน]

   ช่วงนี้สุขภาพร่างกายผมดีขึ้นเรื่อย ๆ  เพราะมีคนดูแลอย่างใกล้ชิด   อาการไข้ไอเจ็บคอหอบหืดทั้งหลายก็เริ่มห่างหายไปเรื่อย ๆ   จนกระทั่งผมสามารถออกไปเบื้องนอกได้ตามเดิม

วันนี้พันไพรชวนผมมานั่งจิบกาแฟยามเช้าที่ร้านกาแฟเล็ก ๆ น่ารักแห่งหนึ่ง  ร้านนี้ตั้งอยู่เกือบใจกลางเมือง   ทว่ามันดูอบอุ่นด้วยการตกแต่งจากเปลือกไม้สวย ๆ   กำแพงด้านที่ติดถนนกรุกระจกใสบานใหญ่ให้คนนั่งจิบกาแฟสามารถเฝ้ามองความเป็นไปของผู้คนบนบาทวิถีทางเบื้องนอกได้

ชายหนุ่มเบื้องหน้าผมสั่งคาปูชิโน่  ชอบเสียจริงนะไอ้คาปูชิโน่เนี่ย    แต่ผมนี่สิ  เคือง   นึกไงถึงสั่งนมอุ่นเพื่อสุขภาพให้ผมก็ไม่รู้  แต่ช่างเหอะ   ผมไม่ได้เป็นคนจ่ายมื้อนี้นี่นา

           “เออ  ไพรไม่ไปทำงานเหรอครับ  เห็นขลุกอยู่กับผมแบบนี้ทั้งวัน”

    “ช่วงนี้ผมลาพักร้อนน่ะครับ  เลยอยากจะใช้เวลาช่วงนี้กับคนที่ผมรักที่สุด”

ไพรตอบยิ้ม ๆ แต่ดวงตาของเขาเศร้าสร้อย..

ผมพอเดาได้ว่าฐานะของพันไพรต้องดีมาก ๆ อย่างแน่นอน  ถึงจะไม่เท่าท่านผู้นำก็เถอะ  จึงไม่คิดที่จะซักไซ้ต่อ  ทว่าพันไพรเองก็ไม่ถามถึงงานของผม  เขาคงให้คนสืบจนทราบแล้วว่าผมเป็นนักเขียนอิสระ

ผมกระดกแก้วนมดื่มรวดเดียวจนหมด  และพยักเพยิดให้คนตรงหน้าทำตาม
ทว่าพันไพรมัวแต่ขำ  เขาชี้ตรงริมฝีปากของผม   และทำให้ผมรู้โดยอัตโนมัติว่านมอุ่นมันติดจนเป็นไรหนวดสีขาว
เขาดึงกระดาษทิชชูออกมาจากกล่องบนโต๊ะ  แล้วค่อย ๆ ตะล่อมเช็ดให้ผม

                  “ขอบคุณครับ”

พันไพรไม่กล่าวตอบว่ากระไร  เขาโบกมือเรียกให้พนักงานมาเก็บเงิน




เราเดินเคียงคู่กันบนบาทวิถีริมถนน   ต้นปาล์มห้อยระย้ากิ่งก้านออกแผ่ให้ร่มเงาแก่ทางเดิน  เราไม่ได้พูดคุยอะไรกัน   เพียงแต่เดินเคียงคู่กันเหมือนเพื่อนรักสองคน   พันไพรไม่ได้ยื่นมือเข้ามาโอบหรือกุมมือผมไว้ในที่สาธารณะ  เพราะเขารู้ว่าผมไม่ชอบ  แต่เพียงแค่เดินเคียงข้างกับเขา   หัวใจของผมก็เต้นไม่เป็นส่ำชอบกล

คงจะเป็นเพราะบรรยากาศเปลี่ยนไป   ไม่ได้มีแต่เขาและผมเท่านั้น  แต่มีคนอื่นอยู่รอบ ๆ   มันทำให้พันไพรดูเหมือนมีตัวตนมากขึ้น  ไม่ได้เป็นเพียงความฝันชั่วข้ามคืนอีกต่อไป  และผมก็เพิ่งตระหนักด้วยว่า  พันไพรมีเสน่ห์มากเพียงไหน  ด้วยว่า   สาว ๆ มักจะเหลียวมองเขาบ่อยครั้ง  ซ้ำบางคนยังจ้องเอา ๆ จนผมรู้สึกไม่พอใจแทน
..หรือว่าผมจะหึง?

เราทอดน่องมาเรื่อย ๆ จนถึงสวนสาธารณะร่มรื่นอันผู้คนบางส่วนยังวิ่งหรือออกกำลังกายอยู่ภายใน  พฤกษชาตินานาพรรณเขียวขจีคลี่คลุมไปทั่วสวน  กำจายกลิ่นบุปผชาติกรุ่นหอมหวนอบอวลมาตามลมชื่นใจจนผมแทบละความกังวลใจทั้งหมดไปเบื้องหลัง  พันไพรพาผมนั่งลงบนม้าไม้ตัวหนึ่งริมถนนเล็ก ๆ ในสวน  ผมจึงนั่งท้าวคางจ้องมองความเป็นไปของธรรมชาติ นกพิราบฝูงหนึ่งเดินออกหาอาหารอยู่ทั่วทางเดินปูอิฐตัวหนอน  พันไพรยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้ใบหูแล้วกระซิบบอกให้ผมรอเขาสักครู่  ก่อนจะเดินหายไปอีกทาง

ผมเฝ้ามองฝูงนกพิราบอันประกอบด้วยคู่นกผัวเมียหลายคู่   บ้างก็ถลาลมหยอกเย้ากัน  บ้างก็เดินท่อม ๆ เคียงคู่กันไปในวิถี   บางกลุ่มก็ร่าเริงกระดี๊กระด๊า  พลางตีปีกพั่บ ๆ ส่งเสียงจอแจ  มันอาจจะดูร่าเริง  แต่ก็เสียดแทงหัวใจของผมพิกล  เพราะว่าความรักของผม  ไม่อาจแสดงต่อสายตาของสังคมได้  ผมไม่อาจแสดงความรักต่อใครโดยเปิดเผยได้เช่นดั่งนก...

ผมก็ได้แต่หวังว่าสักวัน  สังคมจะเข้าใจ  หวังว่าสักวันผมจะยืนเคียงข้างใครสักคนได้  โดยที่ไม่ต้องทานทนกับสายตาและเสียงซุบซิบนินทา  ผมไม่ได้ต้องการอะไรมาก  ผมไม่อยากได้สิทธิ์อะไรเป็นพิเศษ  เพราะว่าผมก็คือมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง  เป็นผู้ชายธรรมดาที่บังเอิญไปรักผู้ชายอีกคนหนึ่ง
แต่วันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่ก็ไม่รู้...

อย่างน้อย  ผมก็มีครอบครัวที่ไม่ได้เห็นว่าการแต่งงานหรือการสืบตระกูลสำคัญที่สุด   พวกเขาจึงไม่ถามบ่อยนักว่าว่าเมื่อไหร่จะแต่งงาน? หรือเมื่อไหร่จะมีแฟน?    ก็นับว่ากดดันน้อยกว่าคนอื่น ๆ อยู่

พันไพรก้าวเข้ามาขัดภวังค์ความคิดของผม  เขาเข้ามาพร้อมข้าวโพดทอดถุงใหญ่   ด้วยความตะกละ  ผมล้วงมือลงไปหวังจะหยิบกิน  แต่เจอไพรตีมือเพี๊ยะ!
ผมทำตาปรอย ๆ จนเขาต้องถอนหายใจ

       “อาหารนกครับ    เดี๋ยวเลี้ยงพวกมันหมดแล้วผมพานัสไปกินข้าวก็ได้   หิวเร็วจริง ๆ เลย”

ผมหัวเราะร่า  เมื่อพันไพรรู้ทันผมราวกับเป็นพยาธิในท้อง   

เราทั้งคู่ช่วยกันหว่านข้าวโพดให้แก่นกพิราบ   พวกมันฮือเข้ามาล้อมรอบราวกับพวกเราตกอยู่ท่ามกลางคลื่นของกลุ่มก้อนสีเทาที่ผงกหัวไปมาเพื่อจิกกินเมล็ดข้าวโพดบนพื้นอิฐ   

ผมรู้สึกได้ว่าพันไพรจ้องหน้าของผมอยู่  และรู้สึกจะจ้องมองจากเบื้องข้างนานแล้ว   ผมจึงหันไปสบตาของเขาที่มีประกายนุ่มนวลอยู่ในดวงตาคู่สวยนั้น    เขาอมยิ้มนิด ๆ ก่อนเฉลย

            “ผมชอบมองใบหน้าแจ่มใสของนัสครับ   มองได้ไม่รู้เบื่อ   ผมไม่อยากให้นัสจมอยู่กับความเศร้าของตน  และความทรงจำในอดีตมากนัก”

                  “ชอบแค่ใบหน้าของผมเองเหรอครับ”

ชายหนุ่มยิ้มซุกซนก่อนเอาใบหน้าของเขามาพาดไหล่ผมไว้

                           “ถ้าจะว่ากันตามจริง   ผมชอบนัส...ทั้งตัวเลยครับ”

ผมเขินกับวาจาสองแง่สองง่าม   พันไพรนี่ทะลึ่งจริง ๆ เลย   แต่ก็น่ารักดีแฮะ

              “ข้าวโพดหมดถุงแล้วครับ  ไหนใครว่าจะเลี้ยงข้าวผมนะ”

พันไพรลุกขึ้นก่อน  เขายื่นมือให้แก่ผม  แล้วฉุดร่างผมให้ลุกขึ้นตาม   นกพิราบแตกฮือเนื่องจากการกระทำอันกะทันหันของเราสองคน  ผมค่อย ๆ ดึงมือออกจากเขาช้า ๆ ท่ามกลางแววตาเสียดายของพันไพร

           “เจ้ามือนำเลยครับ  หึหึหึ”

เขายิ้มรับ   แล้วจึงก้าวขายาว ๆ นำไปก่อน  ผมมองแผ่นหลังอบอุ่นของเขา  แล้วย่างเท้าตามไปติด ๆ




เรานั่งรับประทานอาหารทะเลกันที่ร้านอาหารริมทะเล   ร้านแห่งนี้ตั้งอยู่ริมทางเลียบระหว่างชายฝั่งกับภูเขา  ตัวร้านเกิดจากการก่อเรือนไม้ยื่นล้ำออกไปในทะเล  จนดูราวกับภัตรคารกลางน้ำ   

พันไพรสั่งเทือกทะเลเผา  โป๊ะแตก   ต้มยำ   ปูผัดผงกระหรี่ และข้าวผัด   ส่วนผมเหรอ   ฮ่า ฮ่า ฮ่า  อ้าปากรอคนป้อนน่ะสิครับ

แต่ล้อเล่นนะ  ผมไม่กล้าทำแบบนั้นจริงหรอก   พันไพรเริ่มการรับประทานอย่างช้า ๆ ตามธรรมเนียมคุณชายตระกูลใหญ่  ขณะที่ผมฟาดเอาฟาดเอาด้วยความเร็วสูง  เนื่องจากว่าหิวโหยมาแต่เช้า  จนพันไพรต้องรีบเบรก

                  “กินเยอะแบบนี้เดี๋ยวก็อ้วนหรอกครับ”

            “หึ หึ หึ  อ้วนก็ดีครับ  จะได้ไม่มีคนมารัก  คุณสมบัติเวลาประกาศหาคู่นอนทางเน็ตจะได้เป็น    ‘หนุ่มหัวหินอารมณ์เปลี่ยวห้องว่าง  23/185 อ้วน’   ”

   “แหม  ปากคอเราะร้าย   แต่ไม่ว่านัสจะเป็นอย่างไรผมก็รักอยู่ดีนะครับ”

   “ให้มันจริงเถอะน่า    ไม่ใช่สักวัน   ไพรก็ทิ้งผมไป  ..เหมือนทุกคน”

อีกฝ่ายชะงักงันกับน้ำเสียงเศร้าของผม

                  “เกิดอะไรขึ้นหรือครับนัส”

ผมยิ้มบางให้เขา   และกำลังชั่งใจอยู่ว่าควรจะเล่าดีหรือไม่  ในที่สุด  ผมก็ตัดสินใจได้...
            “ผมได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง   จากเพื่อนที่ผมรักมากคนหนึ่ง....”

คืนนี้.. ในฐานะของ ชาดาริกา
แล้วเรื่องราวบางอย่างที่ฉันหวาดกลัวก็ดำเนินมาถึง
หนึ่งในคนรัก ..หนึ่งในผู้ที่มาขอพรต่อนางฟ้า
กำลังเดินจากไปแล้ว
ปล่อยมือฉันแล้วเดินจากไปแล้ว
...ฉันสงสัยมาเนิ่นนาน แต่พยายามคิดในแง่ดี
สุดท้าย.. ก็ทำอะไรไม่ได้เลย
ไม่ได้แม้แต่จะพูดคำอวยพรดีๆ
เขาหายไปแล้ว..
หลงเหลือเพียงความทรงจำ
..ฉันนั่งร้องไห้อย่างคนบ้าคลั่ง ขณะที่กำลังนั่งอ่านสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นบันทึกของเขาเท่าที่ผ่านมา
ความลับหลายสิ่ง..ถูกเปิดเผย
คำพูดของฉัน..ภาพเหตุการณ์ของเรา.. อยู่ในบันทึกพวกนั้นด้วย
มัน.. บาดหัวใจ
คุณ..เคยเป็นไหม?
รู้สึกเหมือน..หัวใจกำลังถูกบีบ..กด
ฉัน..เจ็บปวด
มันคือสิ่งที่ฉันไม่ได้เป็นมาเนิ่นนาน
ฉันรู้สึกเหมือนว่า..กำลังสูญเพื่อนรัก
สูญเสีย..ภาพเงาในกระจกตรงหน้า
สูญเสีย..คนที่จะเข้าใจทุกสิ่ง
สูญเสีย..คนรัก
ที่เคยบอกว่า.. จะอยู่กับฉัน
ฉันอยากแข็งใจ..โบกมือลา
แต่ฉันกลับล้มหน้าคะมำ..
ฉันแสดงออกว่าปกติดี
ฉันถามเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง..ถึงหลายๆเรื่อง
คนรักคนนั้นของฉัน..กำลังมีความรัก
ความรักในแบบที่เขาต้องการ
เขา..คงไม่ต้องการ..ชาดาริกา..อีกต่อไป
ชาดาริกา..ที่ไม่มีค่าอะไร
แต่ยินดีและดีใจ ที่ครั้งหนึ่งได้โอบกอดเขาด้วยความรักทั้งหมดเท่าที่มี
เด็กผู้หญิงคนนั้น..ขอโทษฉัน เธอคิดว่าเธอคือต้นเหตุ
เธอบอกว่า..ความจริง  เธออิจฉา..
เธอ..ต้องการ..ความรัก แบบของฉัน
เธอขอให้ฉันเป็นชาดาริกาของเธอ
..ชาดาริกาฤา.. จะสามารถปฏิเสธ..
ทั้งที่ฉันกำลังร้องไห้เสียงดัง..
 แต่ก็ตอบรับเธอไปด้วยความยินดี
ถ้าอย่างนั้น..จงเชื่อในคำพูดของชาดาริกา
จงวางมือลงบนมือของชาดาริกา..
อย่ากังวล อย่าหวาดกลัว
เรื่องที่ผ่านแล้ว..จงผ่านไป
ฉันได้แต่พูด  ฉันทำเองไม่ได้หรอกนะ
วันนี้มันเป็นวันแย่ๆ.. วันที่ฉันได้รู้ความจริง และวันที่ฉันสูญเสียหนึ่งคนรัก
ฉัน.. หายใจไม่ออก
มันแน่นอยู่ในอก
มัน..เหมือนมีแก้วกำลังบาดหัวใจจนเหวอะหวะ
สำหรับ..หนึ่งคนรัก ที่ไม่ว่าคุณจะเป็นอย่างไร จะเคยทำอะไร ผ่านเรื่องอะไรมา แต่ฉันยังคงรักคุณเหมือนเดิม
ชาดาริกาที่คุณร่วมสร้าง..ยังรักคุณเหมือนเดิม
ไม่เคยนึกอะไรไม่ดีกับคุณ..ไม่เคยสักครั้ง
ความรักของฉันไม่แบ่งแยก ไม่จำกัด คุณก็รู้..
ฉันรักคุณ..รักคุณนะ  รักมากๆ
แต่ฉันไม่อาจที่จะส่งเสียงออกไป
ชาดาริกาฤา.. จะสามารถส่งเสียงออกไป
ในเมื่อฉันมองเห็นแล้วว่า คุณกำลังมีความสุข
คุณถูกแวดล้อมด้วยคนรัก..ความรัก..แล้ว
ความรักของชาดาริกา.. ไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว
แต่ชาดาริกายังคงต้องดำรงอยู่ เหมือนที่ใครคนนึงได้บอก
"ยังมีผู้คนที่ต้องการชาดาริกานะคะ..ถึงจะ..ไม่ใช่ทั้งชีวิต..แค่ไม่นาน ก็ยังต้องการชาดาริกา"
ฉันคงต้องมีชีวิตต่อไป ถึงจะสูญเสียคนรักไปก็ตาม


ถ้อยคำเหล่านี้ยังคงดังก้องอยู่ในภวังค์ของผม  จนกระทั่งมืออบอุ่นเอื้อมมาแตะไหล่ของผมเบา ๆ

               “เป็นอะไรไป  เกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับ”

     “อืม..  ครั้งหนึ่ง  ผมว่าผมเคยมีความรัก  ความรักในอีกแบบที่ซับซ้อน  ความรักที่คล้ายกับหลงใหลเงาในกระจกของตน  และเฝ้าจ้องมองอย่างไม่รู้เบื่อ   เราร่วมกันสร้างหลาย ๆ สิ่งขึ้นมา   และบางอย่างเป็นสิ่งที่ผมไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต”

ผมหลับตาลงช้า ๆ แล้วลืมมันขึ้นมาใหม่เพื่อสะกดกลั้นความรู้สึก

  “วันหนึ่ง  เมื่อผมเชื่อว่าผมสามารถวางความรู้สึกทั้งหมดลงในมือของเธอ   ผมก็บอกความลับที่สำคัญยิ่งสำหรับผม     ความลับที่ผมไม่เคยบอกใครแม้แต่พ่อแม่ หรือเพื่อนที่เคยสนิทที่สุด

ไพรรู้มั้ยว่าเธอตอบว่าอะไร?”

พันไพรส่ายศีรษะช้า ๆ และนิ่งเงียบรอคำตอบ

“เธอตกใจ  แต่เธอก็เชื่อคำพูดของผม  เพราะว่า..อะไร ผมก็ไม่รู้

เธอยิ้มให้กำลังใจผม  เธอบอก  ไม่ว่าผมจะเป็นอย่างไร  ผมก็จะเป็นเพื่อน  เป็นเพื่อนที่รักยิ่งของเธอเสมอ...”

“ผมดีใจ   แกมโล่งใจ  ที่ต่อแต่นี้ผมแทบจะไม่เหลือความลับอะไรกับเธออีกต่อไป   ผมไม่มีความจำเป็นต้องพูดโกหกอีกต่อไป”

เสียงถอนหายใจอย่างหนักหน่วงดังจากพันไพร  เขาคงรู้ดีว่าเรื่องมันไม่ง่ายอย่างที่คิด

“แต่แล้ว  ผมก็รู้  ว่ารอยยิ้มของเธอซ่อนน้ำตาไว้ภายใน   ผมรู้ว่าเธอคงเข้าใจถึงความกดดันและความเศร้าของผม   โอ  ชาดาริกาเอย   เจ้าจักโศกในเรื่องที่มิใช่เรื่องของตนเช่นนี้เสมอ
เธอเศร้าใจต่อชะตากรรมของผม   ผู้ที่ใกล้ชิดเธอ  บอกกล่าวกับผมอีกทีว่าเธอร้องไห้ตลอดทั้งคืน
ผมรู้  ...ผมรู้...   ความจริงผมไม่ควรจะบอกเธอ  ไม่ควรใช้เธอเป็นที่ปลดเปลื้องความกดดัน
ผมใช้ข้ออ้างของความเป็นเพื่อนเพื่อความเห็นแก่ตัว  ยัดเยียดสิ่งที่เธอไม่ต้องการรู้
..ให้เธอรู้”

พันไพรยังคงนิ่งเงียบรอฟังต่อ   ผมก้มหน้านิ่งก่อนบอกเล่าจุดหักเหสุดท้าย

“จากนั้นเราไม่เหมือนเดิม  และไม่มีวันจะเหมือนเดิม  ไพรรู้มั้ย  เธอบอกกับผมว่า มือของเราสองคน  คงไม่ได้สัมผัสกันตรงที่เดิมแล้วล่ะนัส

ผมไม่รู้ว่าใครเปลี่ยนไปเพราะอะไร  ผมพยายามบอกว่าตนเองเหมือนเดิม
แต่ไม่รู้จริง ๆ  ผมอาจจะทำอะไรผิดพลาดไปสักอย่าง

แล้ววันหนึ่ง   เราทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็กน้อย    แล้วเธอก็บอกผมว่า  ‘ไปให้พ้น  อย่ามายุ่ง’
อาจจะดูเหมือนถ้อยคำเล็กน้อย    แต่ผมเจ็บปวด   ตอนนั้นผมกำลังอ่อนแอ  ผมถูกปัญหาหลายอย่างรุมเร้า
และหนึ่งในหลายคนที่ผมรักที่สุด โกรธผม  เธอไล่ให้ผมไปให้พ้น

ผมเชื่อ  ว่าถ้าผมทนฟังต่อ  ถ้าผมถูกทำร้ายอีกครั้ง   ผมคงต้องสลายเป็นผุยผง
ผมจึงเลือกที่จะเดินเป็นฝ่ายจากมา

ผมไม่ได้บอกลา   ผมหายไปเฉย ๆ   ผมหวังว่าเธอคงจะคิดไปว่าที่ได้พบเจอผมน่ะเป็นเพียงความฝันชั่วข้ามคืน
ในคืนนั้น   ตอนตีสอง  ผมเดินกลับที่พัก    เดินแบบหุ่นไขลาน   ไม่มีความรู้สึกอะไร  มันโหวงไปหมด
เหมือนกับไม่เหลืออะไรสำคัญแล้วในชีวิต    ผมชาไปหมด   ไม่รู้สึกอะไรอีกต่อไป
ผมไม่ได้ร้องไห้   ดวงตาผมแห้งเหือดจากการร้องไห้เมื่อเช้าแล้ว   ผมไม่รู้ว่าความรู้สึกที่ผมมีอยู่เรียกว่าความเศร้าหรือเปล่า

เพราะถ้าเป็นความเศร้าจริง   เป็นความเศร้าที่ผมคุ้นเคยดี    ผมควรจะมีความสุขมากกว่านี้สินะ   ผมควรจะมีแรงใจที่ถูกส่งมาจากความเศร้าสหายเก่ามากกว่านี้สินะ  ฮะ ฮะ ฮะ”

เสียงหัวเราะแหบ ๆ ของผมกลับทำให้พันไพรสีหน้าไม่ดีเข้าไปใหญ่  แต่เขายังคงทำตัวเป็นผู้ฟังที่ดี  นิ่งเงียบรอฟังเรื่องของผมอยู่

“แล้วในที่สุด   จดหมายอีกฉบับก็ถูกส่งมาจากเพื่อนสนิทของผมอีกคน    คนที่ผมไม่ได้คาดคิดว่าเขาจะถูกนำเข้ามาพัวพันด้วย

เขาคนนั้น  เป็นเพื่อนสนิทของผมในช่วงมหาลัย  ผมจำไม่ได้หรอกนะว่าผมรู้จักกับเขาได้อย่างไร
แต่ผมจำได้  ว่าเขานับว่าเป็นคนหนึ่งที่เรียกได้ว่าเพื่อนแท้  เขาเป็นห่วงผมในหลาย ๆ เรื่อง  แต่เขาไม่เข้าใจผม
หลายครั้งที่เขาเคยตะโกนใส่หน้าผมว่า    ใครมันจะไปเข้าใจแก  ก็แกเล่นบอกว่า ไม่เป็นไร  ไม่มีอะไรหรอก ซะทุกครั้ง  แล้วจะมีใครรู้ความรู้สึกของแกมั้ยล่ะ   

แต่ผมไม่โกรธเขาหรอกนะ  ผมไม่เคยน้อยใจเขาเลย  ผมเพียงแค่รู้ว่าอย่างน้อยก็มีคนที่ยืนข้างผม  ไม่ว่ากรณีใด ๆ อยู่  ก็เพียงแล้ว

ในที่สุด  เขาก็บอกว่าผมเปลี่ยนไปเช่นกัน  แต่ครั้งนี้ไม่ใช่เลย   ผมไม่ได้เปลี่ยนไป  เพียงแต่ผมฝืนทนดำรงอยู่ในรูปลักษณ์ที่ไม่ใช่ตัวตนของผมเองได้    ผมไม่อาจเป็นคนดี  ผมไม่อาจเป็นคนรับผิดชอบ  ผมไม่อาจเป็นคนที่มีความเสียสละ  และผมไม่อาจเป็นคนที่รักษาน้ำใจของใครไว้ได้อีกเช่นกัน

ผมรู้...ว่าผมจะยิ่งทำให้เขาเป็นห่วงในเรื่องที่เขาทำอะไรไม่ได้    ผมรู้ว่าผมจะยิ่งทำร้ายจิตใจของเขา  ผมเลยเลือกที่จะเดินจากมา

ผมทำผิดหรือเปล่าที่ผลักไสความปรารถนาดีของผู้อื่นแล้วตอบแทนมันด้วยความเย็นชา ดื้อดึง
ผมผิดมั้ยที่เลือกที่จะหันหลังให้แก่เพื่อนของผมเอง  ...

ผมคงจะผิดไป  แต่ในใจลึก ๆ เขาเองก็ยังเป็นคนสำคัญคนหนึ่งสำหรับผมเสมอ
               และเธอ..อีกคนหนึ่งก็รู้ดีถึงข้อนี้”

“  ลองพูดใหม่สิ...
คุณน่ะนะ  มีความสำคัญกับนัสมากนะ  รู้ตัวมั้ย ?


เป็นความจริงหนึ่งที่ผมไม่อยากให้เธอเปิดเผยแก่เขา    ผมไม่อยากให้เขามองผมเป็นคนอ่อนแอ
ผมไม่อยากให้เขารู้ว่า ผมเองเป็นที่เสียใจที่สุดเมื่อหันหลังให้แก่เขา

แต่คุณเป็นเพื่อนเค้า คบมานานแค่ไหน
ยังไม่รู้จักเพื่อนตัวเองอีกหรือ ?


น่าเสียดาย  ว่าเธอไม่รู้ความจริงอีกข้อ  ว่าเธอเป็นเพียงผู้เดียวในโลก   ที่ผมเคยยอมวางทั้งหมดลงในมือคู่บอบบางนั้น  เธอจึงถามเขาเช่นนี้

ไพรก็คงจะเข้าใจได้  ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป  เมื่อสองคนที่รู้จักผมในต่างมุม  กลับมาปะทะกัน
มันย่อมจบลงด้วยความไม่เข้าใจและเสียใจ...

สุดท้าย   เขาพยายามถามเธอ  ว่าที่แท้แล้ว  ผมมีความรู้สึก  มีความลับความคิดอะไรบ้าง
เขาพยายามจะทำความเข้าใจผม   แต่เธอยืนกรานให้มาถามผมเอง
เธอคงโมโหมาก  จึงผละไปจากการสนทนานั้นในทันทีที่กล่าวจบ...”

“เขาส่งจดหมายมา ?”

“ใช่  เขาส่งมันมา   เขาบันทึกถึงสิ่งที่เขาและเธอโต้เถียงกันไว้ให้ผมอ่าน  แล้วในที่สุด   เขาก็ถามผมด้วยคำถามเดิม  ว่าผมเป็นอะไรกันแน่ ?  ผมมีปัญหาอะไร ?  ผมรู้สึกอย่างไร ?  ทำไมผมและเธอคนนั้นถึงมีปัญหากัน ?”

“ผมตอบทั้งหมด ...ทุกคำถาม   ด้วยคำเพียงประโยคเดียว    ไม่มีอะไรหรอก  ไม่ต้องเป็นห่วง
งั้นมันก็จริงสินะ   ที่ว่าผมโกหกทุกครั้ง    ผมไม่ควร  ไม่ควรเลยจริง ๆ ที่จะลากคนอื่นเข้ามาพัวพันกับวังวนแห่งความเศร้าของตน
ผมควรจะทำอย่างไรดีไพร”

พันไพรรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าของเขาออกมาเช็ดข้างแก้มผม

           “เช็ดน้ำตาก่อนนัส  เข้มแข็งไว้   ผมยังอยู่ข้าง ๆ คุณ”

ผมพยายามกลั้นสะอื้น  เพราะบางคนในโต๊ะรอบ ๆ  เริ่มหันมามองชายหนุ่มผู้นองไปด้วยน้ำตาแล้ว
ผมนั่งนิ่งปล่อยให้เขาทำความสะอาดรอบดวงตาให้   

“ผมคงช่วยตัดสินใจไม่ได้หรอกนะ  เพราะว่าผมไม่รู้จักทั้งสองคน
สิ่งที่ผมทำได้  มีเพียงแค่ภาวนาให้นัสเลือกทางที่ถูกต้อง  ทางที่จะทำให้นัสมีความสุขที่สุด
และผมจะยืนเคียงข้างเป็นกำลังใจให้   ยืนอยู่บนเส้นทางสายเดียวที่นัสเลือกเสมอ”

“ขอบคุณมากครับ
เอาล่ะ   จุดที่ตลกที่สุดของเรื่องนี้
ตลกมาก ๆ   ผมไม่รู้สึกเศร้าหรือเสียใจเลยแม้แต่น้อย   แต่มันชาไปหมด   เหมือนกับหัวใจไร้ความรู้สึก
ไม่เจ็บ  ไม่ปวดร้าว...    มีเพียงความรู้สึกว่างเปล่าที่ยังคงหลงเหลือ
แต่น่าแปลก  จนบัดนี้ผมยังไม่สามรถหยุดน้ำตาที่ไหลออกมาได้   คงจะเป็นน้ำตาแห่งความสุขน่ะสินะ ฮ่ะฮะฮะ”

พันไพรมองผมด้วยความสงสาร  ทว่าผมไม่ต้องการความสงสาร  ผมจึงเลือกที่จะหลบสายตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้น

“นัสเคยได้ยินเพลงนี้มั้ย   
Cause there's a wall
In your heart
That no one can get through
And it's cold and it's dark
And you don't have a clue”

ผมส่ายศีรษะเบา ๆ  เมื่อได้ยินพันไพรฮัมทำนองเพลงที่ไม่คุ้นเคย  เขาจึงร้องเพลงฉบับเต็มให้ผมฟัง
ผู้คนในร้านอาหารต่างพากันจ้องมองพวกเราราวกับตัวประหลาด   แต่พันไพรไม่สน  เขาลุกขึ้นยืนร้องเพลงด้วยเสียงนุ่มของเขา     

I feel your pain
I feel the rain
What happened to you
I can't get to you
Cause there's a wall
In your heart
That no one can get through
And it's cold and it's dark
And you don't have a clue
But this wall it will fall
If it's the last thing I do
I'll get through this wall in your heart
I know your soul
I know I'm home
Just come here to me
I'll let you run through me
Cause there's a wall
In your heart
That no one can get through
And it's cold and it's dark
And you don't have a clue
But this wall it will fall
If it's the last thing I do
I'll get through this wall in your heart
We'll break down all the troubles we have found
And I'll find a way to mend your broken pieces
We'll hold hands and be friends
Until the end and our love will be forever
But there's a wall
In your heart
That no one can get through
And it's cold and it's dark
And you don't have a clue
But this wall it will fall
If it's the last thing I do
I'll get through this wall in your heart
[/b]

“จะให้ผม  เป็นคนทำลายกำแพงของจิตใจของนัสได้หรือเปล่าครับ
ยื่นมือมาให้ผมได้มั้ย    ให้ผมช่วยดึงนัสขึ้นมา   ไว้ใจผมได้มั้ยครับ...”

น้ำตาที่ผมพยายามกลั้นเมื่อครู่  พลันพรูประดังออกมาอีกครั้ง  เราทั้งคู่สบตากันเนิ่นนาน  ตราบกระทั่ง...
ผมยื่นมือออกไป   

ยื่นมือข้างนั้นลงไปวางลงบนมือของพันไพรที่ยื่นรอไว้อยู่
เรายังคงสบตากัน  แต่ไม่มีถ้อยคำใด ๆ ที่ต้องสื่อถึงกันแล้ว
พันไพรพลันฉุดผมดึงเข้าสู่อ้อมกอดของเขา  และกอดผมไว้อย่างนั้น

หลาย ๆ คนอาจจะมองด้วยสายตาที่ไม่สู้ดี    แต่เสียงปรบมือนำขึ้นมาหนึ่งเสียง   แล้วก็มีเสียงปรบมือดังเซ็งแซ่รอบ ๆ ตัว  ราวกับจะยืนยันความรักระหว่างเราสองคน...

ผมทั้งอาย    และตื้นตัน      ทว่ารู้สึกได้  ถึงแสงสว่างที่เล็ดลอดมาระหว่างกำแพง   แสงนั้นส่งความอบอุ่นมาสู่หัวใจของผม  ผมพริ้มตาในอ้อมกอดของพันไพร          นับต่อแต่นี้ไป   ...  นับต่อแต่นี้ไป
ไม่รู้สิ   ผมไม่รู้เลยจริง ๆ  ...








christiyaturnm : พี่น้องท้องชนหลัง  อิอิ  แต่ผมว่านัสเป็นคนเย็นชามากกว่าอบอุ่นนะเนี่ย

iamtoey : ง่า  ยังไม่ได้ถามเลยครับ  เดี๋ยวไปถาม  ฮ่าๆๆ

Tifa : กล้าหาญชาญสมรมาก ๆ ครับ  ช่วงนั้นเป็นเด็กเลว  ฮ่าๆๆ

cj : จะสลับกลับไปดูเหตุการณ์ในอดีตในบทหน้าครับ

mackerel : แอร๊ยยยย  กรี๊ดดดดด << ออกอาการแล้ว

nartch : ขอบคุณมากครับ  ดีใจมากเลยที่คุณชอบ ^ ^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-08-2008 21:31:11 โดย Kirimanjaro »

ออฟไลน์ Tifa

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +417/-2
อ่านะ มาอ่านต่อเลย

อ่านเรื่องนี้ตอนไหนก็เศร้าตลอด

ขนาดตอนนี้แอบหวานก็ยังเศร้าได้อีก เฮ้อ


ปล. รับเจสซี่สักที่มั้ยคะ ชีวิตซาบซ่า ดื่มเจสซี่ค่ะ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด