** [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ** [---หวังเทวา---] : นิยายรักเศร้าๆสำหรับคนที่แอบรักเพื่อน  (อ่าน 86585 ครั้ง)

Taurus

  • บุคคลทั่วไป
อิอิ...เรื่องนี่คุ้มกับการรอคอยจิงๆคับ :m15: :m15: :m15:
แต่ถ้ามาเร็วๆก็ดีนะ :m1: รอต่อไปคับ

mackerel

  • บุคคลทั่วไป
แหะๆต้องระลึกเรื่องกันใหม่เลยอ่ะครับ

ขอบคุณครับ


ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6
พันไพรจะทำลายกำแพงของนัสได้จริง ๆ หรอ

มารอลุ้นตอนต่อไปค่ะ   :pig4:

Kirimanjaro

  • บุคคลทั่วไป
Re: [---หวังเทวา---]
«ตอบ #63 เมื่อ19-10-2008 21:14:32 »



[เหตุการณ์ปัจจุบัน]





ผมค่อย ๆ ถอยออกจากร่างของพันไพรด้วยใบหน้าแดงเข้มจนถึงใบหู    ทว่าพันไพรกลับเหมือนไม่รู้สึกอายเลยแม้แต่น้อย  เขานั่งลง  และเรียกบ๋อยมาเก็บเงินตามปกติ   ผมเองก็ได้แต่นั่งก้มหน้าเมื่อรู้สึกถึงสายตาหลากหลายคู่จับจ้องมายังเราอยู่ตลอด  พันไพรคงรู้ถึงความลำบากใจของผม  เขาจึงสะกิดให้ผมเดินตามออกไปจากร้านอาหารนั้น

พวกเรานั่งเคียงคู่กันบนรถคันเดิมของเขา ซึ่งกำลังบ่ายหน้าไปยังจุดชมวิวที่เดิม
ลานเหนือยอดเขานั้น  อาบไล้ด้วยสีส้มสดของแสงอาทิตย์ยามเย็น
พันไพรโอบคอผมดึงร่างไปนั่งด้วยกันตรงกอหินราบเรียบแผ่นหนึ่ง     

 "นัสชอบดูดวงอาทิตย์ตอนตกดินใช่มั้ย"

ผมจำไม่ได้ว่าผมเคยบอกเขาเมื่อไหร่  ผมจำได้แต่เพียงเย็นวันที่ผมดื้อดึงไม่ยอมเข้าบ้าน
สงสัยพันไพรคงจะทราบมาตั้งแต่ตอนนั้น...

    "ดวงตะวันยามสนธยา  เป็นจุดสิ้นสุดที่เจิดจรัส  และเป็นจุดเริ่มต้นของราตรีเช่นเดียวกัน
ผมชอบมองความเปลี่ยนแปลง   จุดหักเหระหว่างจุดสิ้นสุด และการเริ่มต้น
มันน่ามหัศจรรย์..
ในบางครั้ง   ผมก็คิดจะเริ่มต้นชีวิตใหม่   เปลี่ยนแปลงตนเองเหมือนที่ดวงตะวันขึ้นและตกในแต่ละวัน
แต่ว่าอันที่จริงแล้ว  ดวงอาทิตย์ไม่ได้เปลี่ยนไป  มันเพียงแต่หมุนสลับแง่มุมต่าง ๆ และเดินทางเคลื่อนผ่านกาลอวกาศเท่านั้น
ชีวิตของผมเองก็คงเหมือนกัน  ไม่อาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรได้  เพียงรอวันสูญสลายไปกับกาลเวลาเท่านั้น.."


พันไพรรีบเอื้อมมือมาปิดปากผมไว้

"อย่าพูดคำนี้   คำว่าสิ้นสุดไม่เหมาะกับนัสหรอก
นัสยังอายุน้อย  ยังมีเรื่องอะไรที่ต้องทำเยอะแยะมากมาย
มีผู้คนจำนวนมากที่รักและเป็นห่วงนัส..."

"รักและเป็นห่วง?  แล้วไง  หากว่าผมไม่มีพลังที่จะก้าวเดินต่อไปล่ะ  จะให้ผมทำอย่างไร
ให้มีชีวิตอยู่อย่างเจ็บปวดและขมขื่นอยู่ทุกวันอย่างนั้นหรือ?"

พันไพรจับหัวไหล่ทั้งสองข้างของผมให้หันมองหน้าเขา

  "นัส  ฟังผมนะ  หากว่านัสไม่มีแรงก้าวเดิน  ผมจะพยุงนัสเอง   หากว่านัสหมดอาลัยตายอยาก  ผมจะอุ้มนัสไปเอง
นัสจะบ่นมากแค่ไหนก็ได้  จะสำออยแค่ไหนก็ได้   แต่ขอให้ไว้ใจในตัวผม  ขอให้วางมือ และทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในอ้อมแขนผม  แล้วผมจะพานัสไปต่อเองบนเส้นทางชีวิตสายนี้"

  "แล้วสักวัน  หากไพรจากผมไปล่ะ?"

เขานิ่งอึ้ง  ทว่ามือของเขากลับรวบร่างของผมไว้ในอ้อมกอดอีกครั้ง

  "หากว่าสักวัน  ผมต้องจากไป   ขอให้นัสรู้ไว้ว่านั่นมิใช่ความปรารถนาของผม
ในใจที่แท้จริงของผมแล้ว  ผมไม่อยากจากนัสไปไหน  ไม่อยากละสายตาจากดวงหน้าของนัสเลยแม้เพียงวินาทีเดียว
เชื่อผม ...  เพราะว่า  ผม..รักคุณ"

เขากระซิบคำนี้ซ้ำอีกครั้งที่ข้างหูผม  ตะวันเริ่มอับแสง  และเป็นเวลาพลบค่ำ   จนในที่สุด  ความมืดก็มาเยือนอีกครั้ง
พันไพรปลดปล่อยผมออกจากพันธนาการของอ้อมกอด   เขาลุกขึ้นยืน 

      "เดี๋ยวผมพานัสไปส่งที่บ้านก่อน  แล้วผมจะกลับไปเอาอะไรบางอย่างที่บ้านของผมด้วย"

เขานำผมมาส่งที่พักของผมดังว่า  พร้อมกับโบกมือบ๊ายบายผมจากในกรอบกระจกข้างรถนั้น  ก่อนเคลื่อนตัวรถออกจากหน้าบริเวณบังกะโล 

ผมก้าวเข้าสู่ตัวบ้านที่มืดมิด  เนื่องจากไม่ได้เตรียมเปิดไฟไว้ก่อน  เพียงเพราะคิดว่าวันนี้คงไม่กลับค่ำ  กุญแจประตูหน้าหมุนได้ลื่นง่ายดายจนดูราวกับไม่ได้ล๊อคไว้   ผมชักแปลกใจ  และหวนประหวัดนึกไปถึงวันที่พี่แนคบุกจู่โจมที่บ้าน  ผมค่อย ๆ เยี่ยมหน้าเข้าไปในตัวบ้าน  ซึ่งมืดสนิทยิ่งกว่าภายนอก   ผมก้าวเข้าไปเงียบ และแช่มช้า

    ทันใด  เงาร่างที่นั่งอยู่บนโซฟาใจกลางห้องเนิ่นนาน  ก็พลันผุดลุกขึ้น  ผมรีบกดสวิทช์ไฟเปิดในทันใด  และเตรียมที่จะเอาอะไรสักอย่างทุ่มหัวผู้บุกรุก

   "ไง  นัส...เดทกับพันไพรสนุกมั้ย"

บุคคลที่ผมไม่คาดฝันว่าจะพบเจอในค่ำคืนนี้พลันปรากฏในสายตา  จนอะไรสักอย่างที่ผมฉวยมาจากพื้นไว้เตรียมต่อสู้  ร่วงหลุดลงบนพื้นด้วยความตกใจ  ผมพูดอะไรไม่ออก  และหันหลังก้าวออกจากบ้านในทันที  ตอนนี้ในหัวผมนึกแต่คำว่าหนี  หนีใครล่ะ  หนีผู้มาเยือน  หรือหนีความจริง  ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน

   "เดี๋ยวก่อน   อย่าเพิ่งไป  เราถามเฉย ๆ ไม่มีอะไรหรอก"

ผมหันกลับมาช้า ๆ  และก้มหน้าจ้องมองปลายเท้าของดั่งเทวาราวกับเด็กทำผิดรอการลงโทษ

    "บังเอิญเรา อยู่ที่เดียวกันเมื่อบ่าย  ยินดีด้วยนะ"

เทพยื่นมือขวาออกมาเบื้องหน้า  ขณะที่ผมซึ่งกำลังงุนงงพูดด้วยเสียงตะกุกตะกัก

   "นาย ..รู้ แล้ว  แล้ว  แล้วเอ่อ  .."

  "อย่างไร  นายก็ยังเป็นเพื่อนเราอยู่เสมอ  อย่าซีเรียสน่า   วันนี้อุตส่าห์มาเยี่ยม  ทำหน้าเหมือนคนท้องผูกให้เพื่อนรักเห็นได้ไงล่ะเนี่ย"

เทพกล่าวยิ้ม ๆ   นั่นสินะ  ถึงจะอย่างไรเราก็เป็นเพื่อนกันเหมือนเดิม   ผมนึกขอบคุณเขาจริง ๆ  ที่เข้าใจผมโดยง่าย
แต่ในขณะเดียวกัน  ผมก็รู้ว่าผมหมดหวังกับเขาแล้ว  เพราะว่าเทพไม่มีทีท่าอะไรนอกเหนือจากนี้เลยแม้แต่น้อย
ซ้ำเขายังรับรู้ถึงสัมพันธภาพพิเศษระหว่างผมกับลูกพี่ลูกน้องของเขาแล้วอีกต่างหาก

ผมยื่นมือขวาออกไปสัมผัสกับเขาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ  เทพจับมันเขย่า  แล้วยิ้มกว้างให้ 

   "อ่า..แล้ว  นึกยังไงถึงมาเยี่ยมเราล่ะ"

แววตาของเทพกลับหมองเศร้าชั่ววูบ

  "มีเรื่องไม่สบายใจเหรอ ?  มีอะไรก็บอกเราได้นะ"

   "ไม่มีอะไรหรอก  ก็เรื่องทั่ว ๆ ไปน่ะ"

  "เรื่องที่จะโดนจับคลุมถุงชนกับญิณราน่ะสินะ"

เสียงของชายหนุ่มอีกคนดังมาจากหน้าบ้าน   พันไพรก้าวเข้ามาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่ทราบ  สายตาของเขาจับจ้องไปยังเทพที่ยืนด้วยท่าทีกระสับกระส่าย

  "ผมสังหรณ์ใจแปลก ๆ เลยแวะมาดูอีกรอบ
ถ้านายไม่อยากเล่าก็ช่างนายนะเทพ  เพราะผมจะเล่าให้นัสฟังเอง  เพื่อนกันก็ไม่ควรมีอะไรปิดบังกันสิ
หรือว่านายไม่ใช่..."

เทพกำหมัดแน่น  ก่อนปล่อยเสียงลอดไรฟันออกมา

  "ไม่ใช่เรื่องของนาย  อย่ามายุ่ง"

ผมเห็นว่าท่าไม่ดี  เลยรีบห้ามพันไพร

  "เออ ไพร  เทพมันไม่อยากเล่าก็ปล่อยไปเหอะ  เดี๋ยวไม่สบายใจไปซะเปล่า ๆ"

  "โอเค  เราจะเล่าให้นายฟัง"

เหนือความคาดหมายเมื่อเทพพลันเปลี่ยนใจ

    "เฮ้ไพร  นายรู้เรื่องดีแล้วจะฟังอีกรอบทำไม  จะไปทำอะไรก็ไปสิ"

พันไพรเหยียดยิ้มกว้าง  เขาทรุดตัวลงนั่งเอกเขนกบนโซฟากลางห้อง

    "น่าเสียดาย   ที่ผมตั้งใจจะมานั่งแถว ๆ นี้พอดี"

ผมกลืนน้ำลายด้วยความไม่สบายใจ  เพราะทราบดีว่าพันไพรกำลังยั่วโมโหญาติของเขา
ทว่า  เทพควบคุมอารมณ์ได้ดี  เขาเดินไปนั่งตรงโต๊ะสีขาวตรงข้างห้องแทน

   "เอาล่ะเริ่มจากตรงไหนดี.."

  "เริ่มจากตอนที่คุณทิพย์ดาราเห็นว่านายกับญิณราไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยจนไม่งามล่ะกัน"

พันไพรขัดจังหวะมาจากโซฟาจนเส้นเอ็นตรงขมับเทพเต้นปุด ๆ  ในขณะที่ผมเองซ่อนยิ้ม  เพราะไม่มีโอกาสได้เห็นเทพตอนโมโหบ่อยนัก

    "มาเล่าแทนเลยมั้ย   อยากรู้จริง ๆ ว่าถ้านายไม่กวนอวัยวะเบื้องต่ำสักวันนี่จะขาดอากาศหายใจตายหรือเปล่า  นี่! นัสจะฟังต่อหรือเปล่า"

พันไพรหัวเราะเริงร่าเมื่อยั่วโมโหอีกฝ่ายสำเร็จ  ขณะที่เทพเองก็ปรามผมเนื่องจากว่าผมเองก็หลุดหัวเราะออกมาบ้างแล้ว

   "ไม่ใช่เรื่องตลกนะเว้ย   เรื่องคอขาดบาดตาย  สะกดเป็นมั้ย  คอขาดบาดตายน่ะ"

   "เออ รู้แล้ว ๆ  เล่าต่อสิ"

   "อย่างที่ไพรมันว่าล่ะ  คุณทิพย์ดาราแม่ของยีนส์น่ะคิดว่าเรากับยีนส์เป็นแฟนกัน  เพราะเห็นไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อย  จนพวกคุณหญิงคุณนายเพื่อนของแม่เราและแม่ยีนส์เอาซุบซิบกันให้หนาหู  กระทั่งพวกผู้ใหญ่ไปคุยกันเอง
แล้วเนี่ย  จะจัดงานหมั้นอยู่แล้ว..."

   "แล้วนายไม่ได้บอกไปเหรอว่าคิดกับยีนส์แค่น้องสาว"

   "บอกแล้ว  ไม่มีใครเชื่อสักคน"

  "ยีนส์ไม่ได้ช่วยยืนยันคัดค้านอีกเสียงเหรอ?" 

  "ป่าว  ยัยยีนส์มันเอาแต่นิ่งเงียบ  ถามอะไรก็ไม่ตอบสักคำ"

ผมเริ่มหนักใจแทนเพื่อน  ในขณะเดียวกันหัวใจผมก็เจ็บแปลบราวกับถูกมีดเฉือน  เมื่อทราบข่าวนี้

   "งั้น  เรายินดีด้วยนะ   แต่งงานเมื่อไหร่อย่าลืมแจกการ์ดล่ะ"

คราวนี้พันไพรไม่หัวเราะไปด้วย  เขาคงจับความเจ็บปวดที่แฝงมากับน้ำเสียงของผมได้
เทพมีสีหน้าเศร้า  แต่แล้วเขาก็ฝืนหัวเราะ

  "ก็นึกอยู่แล้ว  ว่ายังไงนายก็ช่วยเราไม่ได้หรอก  เลยไม่เล่าแต่แรก  นี่เราก็หนีมาตากอากาศให้สบายใจสักหน่อย  ยินดีต้อนรับหรือเปล่าล่ะ"

   "อืม..  ทำใจให้สบายนะ  ทุกปัญหามีทางแก้เสมอ"

ผมตบไหล่เขาเบา ๆ   เทพยิ้มเครียดให้  แล้วนั่งที่โต๊ะตัวนั้นต่อ

สักครู่เราทั้งหมดก็รับประทานอาหารร่วมกันด้วยฝีมือของพันไพร
เราสนทนากันน้อยมาก  และเทพเองก็เลี่ยงที่จะกล่าวถึงความสัมพันธ์ของผมและพันไพร
เมื่อถึงเวลานอน  เทพก็ขอตัวนอนข้างนอกที่โซฟา..

  "ไม่ได้หรอก  นายเป็นแขกมาเยี่ยม  จะให้พักลำบาก ๆ ได้ไง  มานอนที่ห้องเราก็ได้"

  "ไม่เอาว่ะ  ไม่อยากเป็น กขค"

  "จะบ้าเหรอ  ไม่มีอะไรอย่างนั้นสักหน่อย"

พันไพรหัวเราะหึหึ  ผมรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่

  "มาเหอะน่า ข้างนอกยุงกัดตาย"

  "เออ ก็ได้  อย่าปล้ำเรานะเว้ย  สู้จริง ๆ ด้วย"

  "เอา  ไม่หรอกน่า  เพื่อนกัน  กลัวอะไร"

ผมรู้อีกล่ะว่าเขาไม่ได้ระแวงอะไรผมจริง ๆ จัง ๆ หรอก  แต่แสร้งหยอกเล่นพอครึกครื้น
เราทั้งหมดหลับตาลงไปด้วยความรู้สึกแตกต่างกัน...   





อรุณเบิกฟ้ายามรุ่งสางพร้อมกับการพลิกตัวของคนข้าง ๆ  กระทั่งผมได้รับผลกระทบให้ตื่นจากหลับไหล
ผมเอนร่างขึ้นเป็นกึ่งนั่งกึ่งนอน  เพื่อจ้องมองชายหนุ่มอีกสองคนบนเตียง  ชายที่ผมรักทั้งคู่
ทว่าไม่อาจบอกได้ว่ารักใครมากกว่ากัน...

หนึ่งคนที่รับสัมผัสจากสายตาของผมได้ก่อนค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา  พันไพรเผยอยิ้มด้วยสีหน้าเพิ่งตื่น  เมื่อพบว่าผมกำลังมองเขาอยู่  คำทักทายแรกของเขาก็ล่วงออกมาจากปาก

  "หลับสบายดีมั้ยครับนัส..  ฝันร้ายหรือเปล่า  เมื่อคืนได้ยินเสียงละเมอ"

จริงดังที่เขากล่าว  ผมฝันถึงเรื่องราวบางอย่าง   เป็นความฝันที่สวยงาม  ทว่าอ้างว้างอย่างน่ากลัว
ความฝันที่เริ่มต้นด้วยคำว่า

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...

  "นิ่งอย่างนี้แสดงว่าจริงน่ะสิ  เล่าให้ผมฟังได้หรือเปล่าครับ"

ผมยังไม่คิดอยากจะพูดอะไรยาว ๆ ในเช้านี้  จึงส่ายหน้าปฏิเสธไป  อีกคนที่กำลังหลับอยู่ก็ตื่นขึ้นมาด้วยเสียงพูดคุยของเราสองคน  เขาทำหน้าเหมือนนกที่นอนจนอิ่ม  แล้วเหยียดแขนบิดขี้เกียจ   เทพไม่พูดอะไรสักคำ  เขาลุกขึ้นจากเตียงแล้วเดินไปแปรงฟันที่ห้องน้ำ

สักครู่  หลังจากที่เราล้างหน้าแปรงฟันและรับประทานอาหารเช้า (แน่นอนว่าฝีมือของพันไพรอีกนั่นล่ะ)
ผมและพันไพรก็เดินออกมาส่งเทพที่หน้าบ้าน

รถของเขาแล่นออกไป  พร้อมกับผมที่รู้สึกโหวง ๆ พิกล

   "เทพต้องหมั้นกับญิณราจริง ๆ น่ะเหรอ?"

   "ไม่รู้สิ  แล้วแต่ว่าเทพจะกล้าแหกคอกหรือเปล่า  อย่างผม  กล้าแน่นอน  หากว่าผมต้องทำเพื่อนัส"

   "อืม  จากที่ดูเมื่อคราวก่อน  สองคนนั้นก็เหมาะกันดีนะ"

  "นัส.."

   "หืม"

  "ช่างเหอะ  ไม่มีอะไรหรอก  เราเข้าบ้านกันดีกว่า"

ผมเดินตามพันไพรไปอย่างว่าง่าย  เช้านี้รู้สึกใจหวิว ๆ ชอบกล  คล้ายกับจะสูญเสียอะไรบางอย่าง
พันไพรเองก็ทำท่าอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ ชอบกล  ผมเองก็ได้แต่ภาวนาให้วันนี้ไม่มีเรื่องยุ่งยากกวนใจเช่นวันอื่น ๆ
แต่ไม่รู้ว่าคำภาวนานี้จะส่งถึงสวรรค์หรือเปล่าก็ไม่รู้สินะ...




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-10-2008 21:30:28 โดย Kirimanjaro »

Kirimanjaro

  • บุคคลทั่วไป

บทที่ ๗






[ความฝัน]




กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...

ยังมีเด็กผู้หญิงฝาแฝดอยู่คู่หนึ่ง  พวกเธอมีนามว่า เนล  และ เนซัส
เนล และเนซัสมาจากที่ไหน  ไม่มีใครรู้..    ต้นไม้ในป่าแห่งอาเคเดียรู้เพียงแต่ว่า  พวกเธออาศัยอยู่ในกระท่อมหลังเล็ก ๆ ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของเหล่านางไม้มากมาย

นางไม้  ชอบของสวย ๆ งาม ๆ   เด็กผู้หญิงน่ารักสองคนก็ย่อมเป็นที่ชื่นชอบของนางไม้
พวกเธอมีแก้มแดงสุกปลั่งราวผลเชอร์รี่สุก   ริมฝีปากอิ่มจิ้มลิ้มน่ารัก  ดวงตาสีดำประดุจดืนเดือนมืดที่มีดาวเด่นเพียงดวงเดียวประดับในประกายตา   แพขนตาคู่สวย  และเส้นผมนุ่มสลวยของพวกเธอก็ดำเงางามราวกับขนนกกาน้ำ

พวกเธอรักใคร่กลมเกลียวกัน  และคอยช่วยเหลือกันอยู่เสมอ 
ทุก ๆ เช้า  พวกเธอจะตื่นมาพบกับผลไม้  นมสด  และน้ำผึ้งจำนวนหนึ่งซึ่งวางอยู่หน้ากระท่อม
เนล และเนกซัสมักจะขอบคุณแก่ความว่างเปล่าและสายลมที่พัดพาอาหารพวกนี้มาให้   
แต่จะว่าไปก็ไม่ว่างเปล่าสักเท่าไหร่   เมื่อมีนางไม้หัวร่อต่อกระซิกซ่อนตัวอยู่หลังพุ่มไม้หน้ากระท่อม

อยู่มาวันหนึ่ง   วันที่ท้องฟ้ามืดครึ้ม และลมกระโชกแรง   พายุเหมือนใกล้เคลื่อนตัวเข้าใกล้กระท่อมอันเป็นแหล่งพำนักของสองพี่น้องเข้าทุกที

 เนล  พาเนซัสเข้านอน   เธอห่มผ้าห่มให้เนซัส   พร้อมกับวางถ้วยเทียนในมือลงบนเก้าอี้สูงข้างเตียง
สายลมพลันกระโชกเข้ากระแทกประตู  คล้ายกับมีคนมาทุบประตูแรง ๆ
ไม่สิ  มีคนมาทุบประตูแรง ๆ จนเหมือนสายลมกระโชกเข้ากระแทกประตูต่างหากล่ะ
เนลแตะริมฝีปากของฝาแฝดให้เงียบ  แล้วก้าวไปตามพื้นเย็นเฉียบสู่หน้าประตู
ฝนเริ่มโปรยตัวลงมา  ในขณะที่อาคันตุกะเบื้องนอกตะโกนถามด้วยเสียงอันดัง

      "มีใครอยู่ข้างในมั้ย!"

เนลตัวสั่น  เธอกลัวเสียงดังของชายผู้นี้   ทว่าเนซัสกลับตะโกนมาจากบนเตียง

   "มี   มีเนซัส กับเนล  แล้วท่านเป็นใครกัน?"

เสียงเคาะประตูเงียบหายไป  ก่อนแทนที่ด้วยเสียงแหบห้าวของชายลึกลับอีกครั้ง

  "ข้าคือ  ไดโอนีซัส    ใครบางคนเรียกข้าว่าเทพแห่งเหล้าองุ่น ความรื่นเริง  และงานฉลอง  ขอข้าเข้าไปได้หรือไม่"

เนซัสรีบส่งเสียงเจื้อยแจ้วตอบกลับ

      "เหล้าองุ่น  ความรื่นเริง  และการเฉลิมฉลองเป็นที่ต้อนรับของที่นี่  ขอเชิญท่านเข้ามาเถิด"

ไดโอนีซัสหัวเราะด้วยเสียงอันดัง  ทันใด  สลักบานประตู  ก็เปิดกริ๊กออกเองราวกับมีมือที่มองไม่เห็นมาถอดสลัก  แล้วเขาก็พาร่างใหญ่โตก้าวเข้ามาในกระท่อม

เนลมองเคราครึ้มของชายแปลกหน้าด้วยความพิศวง   เธอไม่เคยเจอคนหน้าตาแบบนี้มาก่อน   หรือจะกล่าวอีกที ก็คือ  เธอสองคนไม่เคยเจอคนอื่นมาก่อนนอกจากกันและกัน

กลิ่นหอมขององุ่นหมักระเหยจากร่างของเขา  จนทั้งบ้านอบอวลด้วยความอบอุ่น  ไดโอนีซัสล้วงเอาเชิงเทียนของเขาออกมาจุด  ทำให้ทั้งบ้านสว่างจ้าด้วยแสงไฟ

เนซัสวิ่งลงจากเตียง  และช่วยเนลจัดเรียงโต๊ะต่อ ๆ กัน
สักครู่  ไดโอนีซัสก็บอกให้สองฝาแฝดหลับตา

เมื่อทั้งคู่ลืมตาอีกครั้ง  อาหารมากมายก็เรียงรายอยู่เต็มไปทั้งโต๊ะ   เสียงดนตรีดังก้องมาจากทุกมุมบ้านเป็นจังหวะที่ไพเราะสนุกสนาน

บัดนี้  กระท่อมน้อยเหมือนถูกตัดขาดจากโลกภายนอกที่พายุพัดจัด และฝนพรำโดยสิ้นเชิง



เวลาแห่งการเฉลิมฉลองผ่านไป   และทั้งหมดก็อิ่มแปร้   ไดโอนีซัสล้มตัวลงนอนกับพื้นส่งเสียงกรนสนั่นหวั่นไหว
เนซัสนั่งจ้องมองเขาอยู่ครู่หนึ่ง  ก่อนที่จะลุกจากเก้าอี้ก้าวเข้าไปใกล้ขวดน้ำเต้าบรรจุเหล้าองุ่นอันแขวนอยู่ข้างตัวของไดโอนีซัส  เนลรีบร้องห้ามฝาแฝดของเธอในทันใด

       "อย่า  เนซัส   อย่าแตะต้องเหล้าองุ่นนั้น  ไดโอนีซัสเพิ่งบอกไปเมื่อครู่เองมิใช่หรือ  ว่าบางขวดเป็นอันตรายร้ายแรง"

เนซัส  ส่ายศีรษะอย่างไม่เชื่อถือ  เธอหัวรั้นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว

       "ไม่เอาน่า เนล   จะมีใครที่ไหนแขวนยาพิษไว้ข้างตัวเล่า   เขาเพียงแต่ขู่เราไม่ให้ลอบลิ้มชิมรสของวิเศษที่เขาหวงแหนเสียมากกว่า"

ว่าแล้วเธอก็ฉวยหนึ่งในขวดข้างเอวของเทพแห่งน้ำเมาผู้หลับไหลไม่รู้เรื่องไม่รู้ราว  มาดื่มเข้าไปจนหมดสิ้นโดยที่เนลไม่มีโอกาสได้ห้ามอีกต่อไป

เนซัสยิ้มร่าชูขวดเปล่า

           "นี่ไง  ไม่เห็นเป็นอะไรเลย..."

เธอก้าวเข้ามาหาเนล  ทว่า   เพียงสามก้าวเท่านั้น เนซัสก็ล้มลงไปกองกับพื้น
เนลก้าวเข้าไปรับร่างบางนั้นด้วยความตกใจ   เป็นจังหวะที่ไดโอนีซัสตกใจตื่นขึ้นมาทันที

     "เนซัส  ตื่น  ตื่น  ตื่นสิ"

  "เฮ้  สาวน้อย"  เขาหยิบขวดเปล่าที่กลิ้งอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมา
   "ข้าไม่ได้บอกพวกเจ้าหรืออย่างไร  ว่าเหล้าองุ่นขวดนี้คือยาที่ทำให้มนุษย์หลับใหลชั่วนิรันดร์"

เนลสั่นศีรษะทั้งน้ำตา  เธอเพิ่งทราบว่าการที่เธอไม่ได้ห้ามคู่แฝดไว้อย่างจริงจังจะมีผลตอบรับที่ร้ายแรงขนาดนี้

  "มีทางแก้มั้ยคะ?  มียาแก้ไขให้เนซัสกลับฟื้นคืนมั้ยคะ?"

ไดโอนีซัสก็ส่ายศีรษะด้วยความจนปัญญา

    "ข้าถือว่าข้าได้กล่าวเตือนแล้ว  ทั้งหมดเกิดจากความอยากรู้อยากเห็นและระแวงสงสัยต่อคำเตือนของข้าเอง  ข้าก็คงจนปัญญาที่จะช่วย"

เนลร้องไห้เสียใจจนกระทั่งสลบไปบนร่างของเนซัสในที่สุด...










[เหตุการณ์ในอดีต]




   ผมล้างหน้าและบ้วนปากด้วยน้ำเปล่าเมื่อเดินมาถึงโรงเรียนจากเส้นทางเก่า
ผมพยายามหลบเลี่ยงจากผู้คนและนั่งรออยู่ในโต๊ะใต้ร่มไม้ระหว่างตึก  รอเวลาเข้าแถว
ผมหิวเล็กน้อย  แต่เชื่อว่าไม่เป็นอะไรมากเท่าไหร่

ส่วนความเมื่อยล้าและง่วงงุนถูกขับไล่ออกไปชั่วคราวด้วยน้ำเย็นเฉียบแล้ว

ผมตบตามเสื้อให้ดูเรียบ ๆ ปกติผมเองเป็นคนที่ไม่ค่อยได้เคลื่อนไหวอะไรเร็ว ๆ สักเท่าไหร่  ทำให้เสื้อผ้าที่ใส่มาแล้วหนึ่งวันยังดูสะอาดเรียบร้อยเหมือนเพิ่งถูกนำมาสวมใหม่ ๆ

เสียงออดบอกเวลาเข้าแถวพร้อมกับเพลงมาร์ชโรงเรียนที่ดังขึ้น  ฉุดดึงร่างผมให้ก้าวเดินช้า ๆ ไปตามถนนอันทอดสู่ที่เข้าแถว

นักเรียนคลาคล่ำบ้างเดินบ้างวิ่งต่างพากันไปยังจุดจุดเดียว  ผมเองก็พยายามก้าวยาว ๆ เพื่อเข้าสู่แถว
ผมเลือกยืนที่ท้ายแถวห้องของผม  อันเป็นที่ประจำ   เพื่อว่าจะได้ไม่ต้องติดต่อปฏิสัมพันธ์กับใครมากนัก  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง  วันนี้ที่ผมไม่อยากให้ใคร ๆ รู้ถึงเรื่องที่ผมเพิ่งกระทำมา

เทพเหลือบเห็นผม   เขากำลังพูดคุยกับคนอื่น ๆ ด้วยท่าทียิ้มแย้มแจ่มใส  และขอปลีกตัวออกมาอย่างสุภาพ  เขาก้าวออกจากช่วงแถวของเขา  และเลือกที่จะมายืนเบื้องหลังของผมแทน   ผมรีบหันหน้าไปทางอื่นเพื่อหลบหน้าเขา  แต่ว่าเทพก็ไม่เดือดร้อนอะไร  เขาก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่เริ่มการทักทายกับผมก่อนแม้แต่คำเดียว

การเข้าแถวสิ้นสุดลง    และผมก็เข้าเรียนตามปกติ  ในสองสามคาบแรก ๆ  ผมยังคงมีสติดีสมบูรณ์พร้อม
ทว่า  พอเข้าคาบที่สาม  อันเป็นคาบคณิตศาสตร์  หนึ่งในวิชาที่ผมไร้ความชำนาญและลงความเห็นว่ามันน่าเบื่อ  ผมก็เริ่มที่จะซบลงสู่อ้อมกอดของนิทรา  และก้มลงแทบตักของหนังสือเรียนอันกางหราอยู่บนโต๊ะ

เทพเหลือบมองผมเฉย ๆ โดยไม่รบกวน  ทว่า  ตั้งแต่เช้ามาเราสองคนก็ยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ
สุดท้าย  เมื่อสิ้นคาบคณิต  อันจะก้าวเข้าสู่ช่วงพักเที่ยง   เขาก็เขย่าตัวผม

     "ตื่น..ตื่น ๆ"

ผมปรือสายตาง่วงงุนไปยังเขาเชิงคำถาม

   "อะไร?"

   "เอาน่า  ตามเรามาหน่อย"

ผมผุดลุกขึ้นตามแรงดึงของเขาอย่างงุนงง   เทพคว้ากระเป๋าของเขาขึ้นพาดบ่า  แล้วเดินออกจากห้อง  โดยไม่ลืมมองข้ามไหล่ของตนด้วยสายตาขู่เข็ญแกมบังคับให้ตามไป

ผมจึงจำต้องตามเขาไปอย่างเสียไม่ได้   เราเดินลงจากชั้นสามของตัวตึกลงมายังลานใต้ตึกเบื้องล่าง
...ที่ซึ่ง  ผมได้พบกับคนที่ผมพยายามหลบหน้ามาหลายวันอีกครั้ง

    "ไง  หายหัวไปไหนมา  พ่อแม่แกเป็นห่วงนะเว้ย"

กรรม์ไม่รอช้า  เขาเข้ามากระชากคอเสื้อผมทันที  ผมยืนนิ่ง  และจ้องมองไปยังอากาศเบื้องหลังเหมือนมองไม่เห็นคนเบื้องหน้า  เขาจ้องหน้าผมอย่างขัดใจ   จนกระทั่งเทพเข้ามาจับมือของกรรม์ให้ปล่อยออกจากผม

    "ไหนว่าจะพูดกันดี ๆ ไงกรรม์"

เขาจึงยอมปล่อยมือจากผม

“ให้ตายสิ  แกนี่เหลวไหลจริง ๆ  แม่แกโทรมาถามเราว่าแกหายไปไหนกันแน่  แล้วจะให้เราตอบว่าไง  ก็ตอบได้แค่ว่าไม่รู้  พ่อแม่แกน่ะ  ร้อนใจจะแย่อยู่แล้ว  จนร่ำ ๆ จะไปแจ้งว่าคนหาย  แต่เราแนะว่ารอดูวันนี้ก่อน"

  "เราเองก็เพิ่งรู้เรื่องจากกรรม์เมื่อเช้า    เราเป็นห่วงนายนะนัส
มีอะไรไม่สบายใจหรือเปล่า  ทำไมถึงไม่กลับบ้าน  เล่าให้เราฟังก็ได้นะ"

ผมไม่ขยับใบหน้าเลยแม้แต่น้อย... 

"ไม่หรอก  เราไม่มีอะไรจะพูด  ไม่มีเรื่องไม่สบายใจอะไร   แค่อยู่ ๆ ก็นึกไม่อยากกลับบ้านเฉย ๆ   ขอโทษที่ทำให้พวกนายเป็นห่วง  ขอตัวก่อนนะ.."

จังหวะที่ผมหมุนตัวจากไป  เทพก็รีบคว้าไหล่ของผมไว้ทันที

"เราว่าแล้ว  ว่านายน่ะพูดดี ๆ ไม่รู้เรื่องหรอก"

โดยไม่ทันตั้งตัว  เขาซัดหมัดเข้ามาที่ใบหน้าของผมทันที
ใบหน้าของผมผงะไปตามแรงหมัด   ผมมึนงง  แทบไม่เชื่อสายตาว่าดอกนี้เทพเป็นคนซัดใส่
กรรม์เองก็งง  จนไม่ได้เข้ามาห้าม

ผมก็เริ่มโมโห  จึงก้าวเข้าใส่เทพอย่างไม่กลัวเกรง
เราทั้งคู่โผเข้าหากันแล้วนัวเนียวงในจนล้มกลิ้งไปกับพื้น
ผมไม่กล้าต่อยเขาแรงมาก   เพียงแค่พยายามกัน  และผลักกดเขาไว้เท่านั้น
เทพก็คงเหมือนกัน  เขาเองก็ทำเพียงแค่กระแทก  กระทุ้งร่างของผม

เราฟัดกันอยู่ครู่หนึ่ง   จนในที่สุด  ผมก็พ่ายแพ้  และเทพนอนคร่อมทับตัวผมอยู่
ใบหน้าของเขามอมแมมคลุกฝุ่น   ทว่ายังคงเป็นใบหน้าของคนที่ขโมยหัวใจของผมไป
ผมหมดสิ้นซึ่งเรี่ยวแรง  เมื่อสบดวงตาสีสนิมเข้มนั้นอีกครั้ง
ผมอยากให้เราอยู่อย่างนี้ตลอดไป..

จนกระทั่ง  กรรม์เข้ามาดึงร่างของเทพออกและฉุดผมให้ลุกขึ้นจากพื้น

  "เฮ้ย  ไหนว่าไม่ให้เราใช้กำลังไงวะเทพ.."

เทพปาดเหงื่อออกจากใบหน้า   เขาหอบแฮ่ก ๆ เหมือนหมาหอบแดดไม่ต่างอะไรจากผม

    "อือ  เราเพิ่งรู้ว่าไอ้นัสมันดื้อกว่าที่คิด"

   "แล้วทำไมถึงต้องต่อยเราด้วย?"

เทพจึงหันมาสบตาผมอีกครั้ง

    "เพราะว่านายคือเพื่อนเรา   เราไม่อยากให้นายต้องเสียใจกับการกระทำของตนในภายหลัง"

ผมจึงค่อย ๆ คลี่ยิ้มขึ้นแผ่คลุมใบหน้า

       "ขอบคุณ  เป็นหมัดที่ดีนะ"

กรรม์ก้าวมาเบื้องหน้าแล้วกระแอมเรียกความสนใจ

   "อะแฮ่ม   คือเราก็มีเรื่องที่จะขอโทษแกว่ะ  เราเพิ่งรู้จากแม่แกว่า ปกติแกไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปไหนมาไหนได้ง่าย ๆ โดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจน  เราขอโทษนะ  ที่ใช้กำลังกับนัสในวันก่อน  ให้อภัยเราได้ป่ะ"

  "อืม.."

ความจริง  ผมไม่ได้โกรธเขามานานมากแล้ว  เพียงแต่ยังมีทิฐิเคลือบอยู่  รอการกะเทาะด้วยคำเพียงคำเดียวนี้
กรรม์ก้าวเข้ามาใกล้อีกและเอาอะไรบางอย่างใส่ในมือของผม

ผมไล้นิ้วไปตามความเนียนเรียบของแผ่นกระดาษแข็งในมือ  และชูขึ้นดูตรงหน้า
ส่วนสุดท้ายของสิ่งสะสมชุดที่ผมตามหามานานอยู่ในมือ

ขาซ้ายของ Exodia the forbidden one

ผมยิ้มให้เขาแทนคำขอบคุณ  เพราะตอนนี้หลากหลายความรู้สึกที่จุกล้นเต็มคอ
ผมเคยนึกว่าจะสูญเสียพวกเขาไป  เมื่อมองย้อนกลับไปช่างเป็นความคิดที่ไร้สาระสิ้นดี  เมื่อพบกับวันนี้
เหตุการณ์หลังจากนั้นช่างรางเลือน  เพราะว่าผมเองก็จำอะไรไม่ได้  ว่าใครสักคนพาผมมาพักผ่อนที่ห้องพยาบาล
แล้วผมก็หลับไปจนเย็น...





ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้ง  เมื่อแสงยามเย็นเริ่มสาดส่อง   ผมกล่าวขอบคุณและลาอาจารย์ห้องพยาบาลก่อนเดินออกมาเบื้องนอก  ผมไม่แน่ใจว่าผมควรจะกลับไปหาพ่ออีกครั้งดีหรือเปล่า  เพราะผมยังคงละอายใจที่หายไปเฉย ๆ โดยไม่บอก  ทว่า  เพื่อนของผมทั้งสองคนกลับรออยู่เบื้องนอก  และช่วยตัดสินใจให้ผมโดยการคุมตัวนักโทษไปส่ง
พวกเขายืนมองผมเงียบ ๆ ขณะที่ผมเดินเข้าไปหาพ่ออย่างกล้า ๆ กลัว ๆ

เขาไม่ถามอะไรผมสักคำ  และออกรถทันทีที่ผมก้าวขึ้นมา
ผมกดเบาะลงแล้วเอนตัวลงเงียบ ๆ
ระหว่างเรามีเพียงความเงียบ   ไม่มีใครเริ่มพูดก่อน  ผมไม่เล่า  เขาไม่ถาม
อาจจะดูเหมือนน่าอึดอัด
แต่แบบนี้ก็ดีแล้วล่ะ  ..ดีที่ที่สุดแล้ว

เรากลับมาถึงบ้านในที่สุด  ผมลงจากรถ  ไม่มีใครซักถามว่าผมไปไหนมา  มีแต่รอยยิ้มและคำบอกเหมือนทุก ๆ วัน

   "หิวมากมั้ยลูก  มากินข้าวก่อนเร้ว  แม่ทำอะไรอร่อย ๆ ไว้หลังบ้าน"

ผมรู้สึกตัน ๆ ตรงหัวตา  แต่ก็กลั้นมันเอาไว้
ผมอยากบอกคำว่าขอโทษ   แต่พูดไม่ออกเสียดื้อ ๆ   ผมทำได้เพียงรับคำแล้วเดินเข้าบ้าน

อาหารมื้อนี้เป็นมื้อที่เอร็ดอร่อยที่สุดเท่าที่ผมจำได้  เป็นมื้อที่ทำให้ผมรู้ซึ้งถึงคุณค่าของอะไรบางอย่างอย่างถ่องแท้
ผมรู้แล้ว   ว่าไม่ว่าผมจะเผชิญความเจ็บปวดมาจากที่ไหน  จะเจอเรื่องอะไรมา  ความรักความอบอุ่นของครอบครัว  จะเยียวยามันได้ในพริบตา

ผมเข้านอนแต่หัววัน  เนื่องจากเมื่อยล้าเป็นอย่างยิ่ง  เมื่อผมก้าวขึ้นเตียงได้สักครู่   ประตูก็เปิดออกมาพร้อมกับคุณแม่ของผม  เธอก้าวเข้ามาช้า ๆ ท่ามกลางสายตาจับจ้องด้วยความสงสัย   แม่ของผม  ทรุดตัวนั่งลงบนขอบเตียงข้าง ๆ ผม  แล้วเอื้อมมือไปกุมมือเล็ก ๆ ไว้

สัมผัสนุ่มจากมือของแม่  ทำไมมันอุ่นแบบนี้   ผมป้ายดวงตาด้วยมือข้างที่เหลือ  เพื่อเช็ดบางสิ่งที่เล็ดออกมานิดหน่อย

    "นัส  แม่รักลูกนะ  ไม่ว่าลูกจะเป็นอะไร  จะทำอะไรมา  แม่ก็รักลูกเสมอ  รักโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
ที่ลูกหายไปเมื่อวาน  แม่เป็นห่วงมาก   หัวใจของแม่เหมือนถูกปลิดออก  เพราะในทุกวินาทีแม่ก็คิดไปแต่ว่าจะเกิดอะไรกับลูกบ้าง  อย่าทำให้พ่อแม่เป็นห่วงอีก  ..ได้มั้ยจ๊ะ?"

ผมผงกศีรษะรับคำอย่างว่าง่าย  คุณแม่ลูบหัวตรงหน้าผากของผมอย่างเอ็นดู  ก่อนก้มลงจุมพิตกลางหน้าผากนั้น
เธอคลี่ผ้าห่มเข้าคลุมร่างของผมให้อีกชั้น  ก่อนอวยพรผมก่อนนอน

  "ฝันดีนะลูก"

ไฟกลางห้องถูกปิดด้วยปลายนิ้วเรียว  ก่อนเจ้าของร่างบางจะก้าวออกไปพร้อมกับปิดประตูลงช้า ๆ
ผมหลับตาลงด้วยความสุข...



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-10-2008 21:29:42 โดย Kirimanjaro »

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6

Kirimanjaro

  • บุคคลทั่วไป


[ความฝัน]




ความมืดกระจายตัวอยู่รอบ ๆ  ความเหงาและเดียวดายที่เป็นประหนึ่งมิตรชิดใกล้ก็วนเวียนพันเกลียวกระหวัดแน่นอยู่รอบ ๆ  ผมเห็นใครคนหนึ่งอยู่กลางความมืด   เขาคุดคู้งอร่างกอดเข่าขดตัวอยู่ตรงมุมของห้องปิดตายซึ่งไร้แสง

ใบหน้าของคนคนนั้นว่างเปล่าไร้อารมณ์ใด ๆ  ดวงตาของเขาที่จ้องไปเบื้องหน้า  เวิ้งว้างเลื่อนลอย
ไม่มีอะไร..อยู่ในแววตานั้นเลยแม้แต่น้อย

เขาคนนั้นไม่ได้ร้องไห้   ดวงตาของเขาแห้งผาก

...

แต่ความเศร้าที่ก่อมวลอัดแน่นหนักอึ้งอยู่ในบรรยากาศรอบ ๆ ตัว  บีบกดจนหัวใจของผมแทบแหลกสลายไปกับความเศร้านั้น

ผมพยายามจะยื่นมือออกไป   ผมอยากปลอบเขา  อยากดึงตัวเขาเข้ามากอด  แต่ผมไม่มีตัวตน...

ผมเจ็บแปลบ  ราวกับหัวใจถูกมีดกรีดเฉือนในทุก ๆ วินาทีที่ล่วงผ่านไปโดยไร้ประโยชน์

เขาคนนั้นยังคงนั่งอยู่ที่เดิม   แต่ตอนนี้  ผมรู้อะไรใหม่ ๆ
ผมเริ่มสังเกตใบหน้าของเขา   ..ทำไมนะ  ทำไมกัน


ทำไมใบหน้าของเขาถึงเหมือนผมขนาดนี้!!










Tifa : เรื่องนี้โทนจะเศร้า ๆ อ่ะครับ   เดี๋ยวไปหื่นเรื่องหน้า  อิอิ

Taurus : โทษทีนะครับ  มัวแต่ยุ่งกับการตามหารุกแท้เกือบลืมเรื่องนี้เลย

mackerel : รอบนี้คงได้ระลึกใหม่อีกทีครับ  จากสิงหามาตุลา  แหะแหะ

nOn†ღ : คงต้องคอยดูในเรื่องน่ะครับ  ว่าจะทำลายได้ไหม

nOn†ღ : อิอิ  มาต้อนรับคนแรกเลยนะครับ  ปลื้ม *-*






ส่วนนี้เป็นความฝันของนัสในวัยเด็กในคืนที่นัสกลับไปนอนที่บ้านนะครับ  ส่วนความฝันเนลและเนกซัส เป็นความฝันของนัสในคืนที่เทพมาค้างด้วยในปัจจุบันของเรื่อง  งงมะ?

ออฟไลน์ kit

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1082
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +186/-3

ออฟไลน์ Tifa

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +417/-2
ไม่งงละจ้า.......กว่าจะมาต่อได้

เล่นเอาต้องอ่านทบทวนใหม่เลย

ก็มีหลายเรื่องนี่เนอะ คริๆ

nartch

  • บุคคลทั่วไป
^
^
^
เหมือนคนข้างบน ๆๆๆๆๆ ต้องอ่านใหม่หมดเลยยย ลืมมมม  :m23:
มีปัญหาคาใจจัง...ทำไมนัสต้องเศร้าขนาดนั้น...นิสัยส่วนตัว
หรือเพราะความรักที่มีให้เทพ...  :เฮ้อ:

 :กอด1:   สงสารพี่แนคที่สุดเล๊ยยยยยยยย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ a_tapha

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4981
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +397/-1
น่าสงสารเทพกับนัสอ่ะ

รักกันแสดงออกไม่ได้  (เดามั่ว)


 :o12:



Taurus

  • บุคคลทั่วไป

mumoo

  • บุคคลทั่วไป
:monkeysad:ในที่สุดก็ได้เข้ามาอ่านเรื่องนี้ซะที   

หลังจากที่ร่ำๆจะอ่านตั้งหลายรอบ แต่แค่อ่านบทนำไปได้ไม่เท่าไรก็ต้อง

ถอยมาตั้งหลักก่อน   ( แต่แอดเป็นเฟเวอริทแล้วนะ) เพราะแค่เปิดเรื่อง

ข้าพเจ้าก็เหมือนจะถูกบีบคั้นอารมณ์จนทำให้รู้สึกเหงาๆเศร้าๆห่อเหี่ยวๆ

ยังไงไม่ยู้ ..บอกมะถูก เลยต้องไปขอแว่บไปอ่านเรื่องแนวฮาๆเพื่อตุน

บรรยากาศสดใสๆเฮฮากิ๊วก๊าวจากเรื่องอื่นๆในเล้าเอาไว้เป็นพลังงานสำรอง

สำหรับคลายความเข้มข้นของบรรยากาศที่เหมือนจะเรียบเรื่อยแต่ออกแนว

ทึมๆ กดดันๆของเรื่องนี้โดยเฉพาะ(หนึ่งในเรื่องที่ถูกนำมาเป็นต้นกำเนิด-

พลังงานชั้นเริ่ดก้อเรื่อง จิตกว่านี้..มีอีกไหม น่ะแหล่ะ ฮุๆ)


คุณคีรู้มะว่าร่วมเดือนเลยนะในการเตรียมความพร้อมที่จะเข้ามา

อ่านเต็มรูปแบบ (ประมาณศรีทนได้แล้วฮ่ะ) เรื่องนี้ขอบอกว่าข้าพเจ้า

ต้องค่อยๆละเมียดอ่าน มะงั้นโง่ๆอย่างข้าพเจ้าอาจก่งก๊งกับเนื้อหาได้ง่ายๆ

แต่เรื่องนี้ถือว่ามีเสน่ห์เฉพาะตัวที่โดดเด่นมากทีเดียวสำหรับข้าพเจ้า

เพราะเวลาอ่านแล้วจะจินตนาการไปถึงสีสันต่างๆที่แตกต่างกันไปตาม

อารมณ์ของเรื่อง(แต่จินตนาการทีไร มันมะค่อยมีโทนสีสว่างๆเรยอ่ะ  :เฮ้อ:

ดีนะที่ตุนพลังงานสำรองกันการห่อเหี่ยวเกินขีดจำกัดของร่างกายไว้ มะงั้นมี

เฉาคาคอมพ์แน่  )


เฮ้อ~แปลกเนาะ เป็นเรื่องที่ไม่ได้อ่านไปร้องไห้ไปอย่างหลายๆเรื่องที่เจอมา

แต่รู้สึกตึ้บๆหนักในหัวใจยังไงมะรู้ อึดอัดมากกกก.................................

แต่ก็ยังอยากอ่านต่อ อยากติดตามบทสรุปของเรื่องมากๆเรย 

เพราะฉะนั้น.................

รีบๆมาต่ออีกนะคร้า~ :เศร้า1:


ป.ล.+1ให้ที่สามารถทำให้เราอ่านไปก็ถอนใจลึกๆไปบ่อยมาก(น้องมันบอก)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-11-2008 00:34:41 โดย mumoo »

ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586

นังแทนย่ามันหายไปไหนนะ

แปลกใจจัง?


แทนย่า  กลับมาได้แล้ว

เจ้คิดถึง


เจ้สอง

Kirimanjaro

  • บุคคลทั่วไป




[เหตุการณ์ปัจจุบัน]

ตอนสายของวันนั้น  ผมกับพันไพรออกมากินข้าวนอกบ้าน  อันที่จริงไม่ค่อยห่างจากตัวบ้านเท่าไหร่หรอก 
เพียงแค่ไปปูเสื่อนั่งกันตรงริมหาดใต้ร่มสนทะเลเท่านั้นเอง
พันไพรดูเงียบขรึมอย่างน่าประหลาดใจ  และผมมักจะสังเกตเห็นว่าเขาฝืนหัวเราะบ่อยครั้ง

ผมรู้สึกใจหายพิกลที่เห็นเขาดูแปลกไปแบบนี้   จึงพยายามพูดคุยอย่างร่าเริง

   "เห็นนกนางนวลตัวนั้นมั้ยครับ"

ผมชี้นิ้วไปยังนกสีขาวปลายปีกดำตัวหนึ่งที่ก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ริมหาด

   "ใครจะรู้ล่ะ  ว่าท่าทางธรรมดา ๆ แบบนั้นอาจจะเป็นโจนาธาน ลิฟวิงตันกลับชาติมาเกิดเพื่อค้นหาสัจธรรมของการบินอีกรอบก็เป็นได้"

ผมหวังว่าพันไพรจะหลุดหัวเราะเมื่อผมล้อเลียนวรรณกรรมที่โด่งดังมากที่สุดชิ้นหนึ่ง  ว่าเขากลับขัดจังหวะด้วยรอยยิ้มบางและเสียงเรียบ

   "นัสครับ  นัสจะว่าอะไรมั้ยครับ  ถ้าผมจะถามนัสคำหนึ่ง"

   "อ้าว  ผมจะว่าอะไรล่ะครับ  ไพรอยากถามอะไรก็ถามมาเลย  ไม่ต้องเกรงใจหรอก"

   "แล้วถ้าผมถามคำถามอะไรที่นัสไม่อยากตอบล่ะ?"

ผมเอียงคออย่างครุ่นคิด  แต่ก็ตอบเขาไปในทันที

  "ไม่หรอกครับ  ผมเชื่อว่า  ขณะนี้  ผมไม่มีอะไรที่ต้องปิดบังไพรอีกต่อไปแล้วล่ะครับ  ว่าแต่ไพรจะถามว่าอะไรล่ะ"

ทว่าพันไพรกลับหลบสายตาผม  และเสเปลี่ยนเรื่อง

   "ไม่มีอะไรหรอกครับ   อย่างไรก็ตาม  หากว่านกนางนวลตัวนั้นเป็นโจนาธานจริง   สักครู่เราคงได้เห็นมันบินควงสว่านสวิงกิ้งแล้วล่ะครับ"

   "ฮ่าฮ่าฮ่า   ใช้ศัพท์ผิดหรือเปล่าน่ะไพร  สวิงกิ้ง  แหม..ทำไปได้"

   "หึหึหึ   ทีเรื่องแบบนี้ล่ะนัสรู้ดีนักนะครับ  ทีใจตัวเองล่ะไม่ยักกะรู้"

ผมนิ่งอึ้งต่อคำพูดที่แทงใจดำ   ใจผมคืออะไร..  ทำไมผมไม่รู้ล่ะ..  ทำไมผมใจง่าย  อยู่ใกล้ใครก็รักคนนั้น  เหมือนกับเถาไม้เลื้อยที่คอยสักแต่จะตวัดพันกิ่งไม้รอบข้าง

ผมเงียบไปจนไพรรู้สึกได้   เขารีบขอโทษผม

   "ขอโทษครับนัส  ผมไม่ควรพูดแบบนั้น  ผมเพียงแค่ร้อนใจ  เพียงเพราะเวลา..ของผม..เหลือน้อยเต็มทีแล้ว"

   "เอางี้ดีกว่านะไพร  เมื่อครู่  จะถามอะไรพูดมาตามตรงเหอะ  ผมจะไม่หลอกตัวเองจากคำถามนั้น  และจะไม่โกหกไพรอีกต่อไปด้วย"

เขาสูดลมหายใจลึกยาวเหมือนรวบรวมกำลังใจเต็มที่  ผมเองก็เริ่มสลายรอยยิ้มที่ปั้นไว้  เพราะบรรยากาศเริ่มเคร่งเครียดขึ้นทุกที

   "นัสครับ   นัสรักผมแบบที่ผมรักนัสหรือเปล่าครับ?"

หากเป็นเมื่อก่อน  ผมอาจจะไม่ตอบ  และตอบไม่ได้  แต่ ณ บัดนี้  ผมรู้ตัวเองแล้ว  ว่าผมรู้สึกอย่างไรกับเขา  ทุกความทรงจำ  ทุกการกระทำของเขาที่ลอยเด่นเข้ามาในห้วงสมอง  ยิ่งทำให้ผมหลงรักเขามากขึ้นทุกที.. 
ผมจึงยืนยัน  ด้วยถ้อยคำที่ผมเคยกระซิบข้างหูเขายามหลับใหล

      "ครับ   ผมรักไพรครับ"

พันไพรคลี่ยิ้มออกมาด้วยความยินดี  ทว่าแฝงความเศร้าอย่างบอกไม่ถูก  เขายื่นมือออกมาหมายจะสัมผัสตัวผม  แต่เพียงแค่ใกล้ร่างของผม  เขาก็ปล่อยมันตกลงตามเดิม

    "ขอบคุณครับ  ขอบคุณสำหรับความรักของนัส   และวันนี้  ผมคิดว่าคงจะถึงเวลาอันควรแล้ว  ที่ผมจะเล่านิทานให้นัสฟังเรื่องหนึ่ง

เป็นเรื่องของเด็กชายคนหนึ่ง  ที่มีความเหงาและความเศร้าเป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิต   แต่แล้ว  ในวันหนึ่ง  วันที่เขามีความสุขที่สุด  เขาก็ฝันเห็นตัวตนของเขาในอนาคต  ซึ่งยิ่งเหงา  เปลี่ยว  เดียวดาย  และจมอยู่กับความเศร้าเมื่อครั้งอดีต เสียยิ่งกว่าตัวเขาเองในขณะนั้น..

..เขาจึงอธิษฐาน   รู้มั้ยครับว่าเขาอธิษฐานว่าอะไร"

ผมสะดุ้ง  เนื่องจากว่าคำพูดของเขาเสมือนกระตุ้นให้ความทรงจำเมื่อครั้งอดีตย้อนกลับมา
เรื่องราวมากมายพลันฉายย้อนกลับราวกับถ่ายหนังย้อน  ความนึกที่พรั่งพรูประดังมาในชั่วเสี้ยวขณะเดียว
และหนึ่งความทรงจำที่โดดเด่นเป็นพิเศษ   มันเหมือนกับถูกเน้นด้วยปากกาเน้นความให้เด่นชัด

   "ขอให้  ใครสักคน  เป็นทุกอย่างที่ตัวผมอันเหงา เศร้า และโดดเดี่ยวผู้นั้นต้องการ   ขอให้ใครสักคน  ช่วยดูแล  ฉุดดึงตัวผมผู้นั้นให้พ้นจากห้วงทุกข์  ขอให้ใครสักคน  มีความรักให้แก่ตัวผมผู้นั้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ...แม้ว่าใครสักคนนั้นจะเป็นเพียงภาพมายาก็ตาม."


ผมตัวสั่น  เมื่อข้อความที่ผมลืมเลือนไปนานกลับแจ่มชัด   น้ำตากลับคลอเบ้าของผม  เมื่อผมพยายามจ้องมองใบหน้าของคนตรงหน้า

   "ใครสักคน..ที่ว่า..  นั่นคือ..นายน่ะหรือ   พันไพร"

พันไพรไม่ตอบ  เขายิ้มเศร้าอยู่เบื้องหน้าของผม  และสบตาอยู่อย่างนั้น

   "นาย..เป็นเพียง  ความว่างเปล่า   เป็นจินตนาการ   ..เป็นแค่ภาพที่ผมสร้างขึ้นเพื่อหลอกตัวเอง..อย่างนั้นหรือ"

เขายังคงนิ่งเงียบ  นัยน์ตาคู่สวยของเขาเศร้าสร้อยจับจิต  ผมจึงขยับเข้าไปเขย่าร่างของเขา

    "ตอบมาสิไพร   ว่าทำไม  ทำไมผมถึงรู้   ทำไมถึงเอาเรื่องแบบนี้มายัดเยียดใส่หัวผม  มันไม่จริงใช่มั้ย!"

   "ทุกอย่าง  ..เป็นเรื่องจริง  อย่างน้อยก็จริงสำหรับผม    ผมอาจจะเป็นเพียงจินตนาการ    หรือเป็นเพียงสิ่งที่ไม่มีอยู่จริงของนัส  แต่ผมมีความทรงจำ   ผมมีความรู้สึก   ผมมีความรัก    ..และผม  จะรักนัสตลอดไป"

ผมนิ่งงัน   ทุกอย่างดูเหลือเชื่อจนเกินกว่าที่จะรับได้ในระยะเวลาสั้น ๆ    ความรู้  และความทรงจำต่าง ๆ ที่หลั่งไหลเข้ามาในสมองในเวลาอันรวดเร็วทำให้ผมไม่อาจจะเชื่อ  แต่ก็ต้องเชื่อ

   "ผมขอโทษ นัส  ที่ผมยังฝืนทำร้าย  ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าชะตากรรมกำหนดมาแต่แรกแล้วว่าเราต้องแยกจากกันในท้ายที่สุด
แต่ผมห้ามใจตัวเองไม่ได้   ห้ามความรักของผมไม่ได้   ผมนี่มันแย่จริง ๆ"

ผมยังคงพูดอะไรไม่ออก  เหมือนตุ๊กตาไขลานนั่งรอฟังที่เขากล่าวต่อ

    "เวลาของผมหมดแล้ว   ทั้ง ๆ ที่ผมยังเหลือคำพูดอีกเป็นล้านคำ  เหลือความรู้สึกอีกมากมาย  เวลา..ช่างน้อยเหลือเกินจริง ๆ    แต่ผม...ผม...ผม..."

เขาพลันรวบร่างผมมากอด  ผมรู้สึกได้ถึงแรงสะอื้นจากร่างของเขา  ผมไม่เคยเห็นพันไพรร้องไห้มาก่อนเลย  และผมจำต้องเข้มแข็งในเวลานี้

   "ผมไม่โกรธไพรหรอกนะ  ใครเล่าจะเสียใจที่ครั้งหนึ่งในชีวิตก็ได้มีช่วงเวลาอันสงบสุขและสวยงามกับคนรัก
แม้จะเป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่กี่วัน    ไพรรู้มั้ย  ไพรเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจที่จะทำให้ผมก้าวเดินต่อไป
ผมเองก็เหมือนกัน   ผมจะจำทุก ๆ อย่างของเรา  จำทุกสิ่งที่เราเคยทำร่วมกัน  จำทุก ๆ วินาที   และจะจดจำทุกสิ่งไว้ในทุก ๆ ลมหายใจของผมตลอดไป"

พันไพรพยามกลั้นสะอื้น  เสียงกระท่อนกระแท่นของเขาเปล่งออกมาอย่างเบาหวิว

   "ขอบ..คุณ  นัส   ขอบคุณ..มาก ๆ   ขอบคุณสำหรับทุก ๆ อย่าง.."

ผมหลับตาลงอย่างเจ็บปวด  ผมรู้โดยอัตโนมัติว่าถึงเสี้ยววินาทีที่เราต้องจากกันแล้ว   สัมผัสของร่างในอ้อมกอดผมพลันจางลงจางลง

จนกระทั่ง...

เมื่อผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง....

ผมพบว่า  ผมกำลังกอดกับอากาศอยู่.....

น้ำตาที่กลั้นไว้เมื่อครู่พลันพร่างพรมลงเป็นสาย   น้ำตาไหลนองอาบแก้มผม   ผมนั่งนิ่ง   แล้วค่อย ๆ ปล่อยแขนทั้งสองข้างให้ตกลงมา

เสียงของอีกบุรุษที่คุ้นเคยดังมาจากเบื้องหลัง

      "ไหล่ของพี่  คงจำเป็นสำหรับนัสแล้วสินะ.."

ผมสะกดกลั้นเสียงต่อไปไม่ได้แล้ว  ผมปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใครพร้อมกับผุดลุกขึ้นถลาเข้าหาชายอีกคนที่อ้าแขนรอรับ

ผมร้องไห้  ร้องไห้จนหมดแรงในอ้อมกอดของเขา








kit : ขอบคุณครับคุณกิต

Tifa : สงสัยคราวนี้พี่หมอเอกคงต้องระลึกชาติอีกล่ะเนี่ย

nartch : อันนี้คงต้องไปถามไอ้นัสมัน  แต่ให้ผมเดานะ  คงมีหลาย ๆ อย่างประกอบกัน

a_tapha : กรี๊ดดดด  เดามั่วแต่....เดาเก่งแฮะ  หุหุหุ

Taurus : คร้าบผม

mumoo : ผมอ่านคอมเม้นท์ของคุณมุมู่ทวนตั้งหลายรอบแน่ะ  ทั้งดีใจทั้งตื้นตันครับ  ที่มีคนเข้าใจอารมณ์ของเรื่องนี้  ขอบคุณมากครับ  ขอบคุณจริง ๆ ^ ^

oaw_eang : หายไปอยู่ในใจเจ๊สองไง ฮิ้วว...
คิดถึงเจ๊เหมือนกันครับ  จุ๊บๆ









ออฟไลน์ Poes

  • คนแรกของหัวใจ คนสุดท้ายของชีวิต
  • Administrator
  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 11342
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2405/-22

ออฟไลน์ Tifa

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +417/-2
แง่มๆ อย่าหายไปนานดิ

ดีกรีความหื่นเลยลดน้อยลงไปเลยช่วงนี้ คริๆ

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6
ผู้ชายแสนดีกลายเป็นความว่างเปล่าไปซะแล้ว  :z3:


Have a great Year. Happy New Year 2009

  :L2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-01-2009 03:51:07 โดย nOn†ღ »

mumoo

  • บุคคลทั่วไป
หลังจากเตรียมตัวสอบปากเปล่าอยู่ระยะหนึ่งเลยไมได้เปิดคอมพ์

พอสอบเสร็จก็เดินสายคลายเครียด ก็เลยไม่ได้เปิดคอมพ์อีก

พอเดินสายเสร็จก็เอาวะ ได้ฤกษ์มาเปิดคอมพ์เข้าเน็ต แต่..... คอมพ์เจ๊งค่ะท่าน ปู่ทวดคอมพ์ของอิชั้นผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ(ก้อนะ ยังเป็นรุ่นจอนูน มิใช่แอลซีดีจอแบนอย่างที่เดี๋วนี้ใช้กัน) ในที่สุดก้อเจ๊งก่อนX'mas แค่ไม่กี่วัน

แต่ม่ายค่ะ คบกันมานานขนาดนี้เราไม่ทิ้งกันอยู่แล้ว จึงตัดสินใจว่าจะเอาไปซ่อม แต่กว่าจะได้เอาไปซ่อมก็โน่นหลังปีใหม่แระ เพราะไปถือศีล8ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ยาวจนวันที่ 2 ม.ค.52โน่น นี่ก็เพิ่งไปรับคอมพ์มาเมื่อวานนี่เอง

จริงๆเข้าเน็ตมาอ่านตั้งกะเมื่อวานแต่ยังไม่ทันเม้นท์ชม.เน็ตก้อหมด(อุปสรรคเยอะจริงๆ)เพราะมัวแต่อ่านทวนของเดิมก่อน เดี๋ยวไม่เคลียร์ ก้อเลยเพิ่งได้มาเม้นท์วันนี้(เลือกอ่านเรื่องนี้ก่อนเรื่องอื่นของคุณคีเพราะเป็นอะไรที่ค้างคาในใจยังไงก้อไม่รุ รู้แต่ว่าต้องเคลียร์)

อ่านตอนล่าสุดแล้ว ก็ต้องบอกว่า.... กดดันได้อีกนะคุณ สำหรับอิชั้น ให้พันไพรตายไปเลยยังจะดีซะกว่าที่จะกลายเป็นว่าไม่มีตัวตนอยู่จริง เพราะมันยิ่งตอกย้ำถึงความสิ้นหวัง เดียวดายของนัส อ่านแล้วรู้สึกประมาณ..เปรียบเทียบกับไรดีหว่า

อ้ะ ประมาณคนที่หิวแทบขาดใจตายอยู่กลางทะเลทราย พยายามกระเสือกกระสนหาอะไรก้อได้ที่จะมาประโลมท้อง แล้วก็เจอแอ่งน้ำอยู่ไกลๆ จึงรีบพาสังขารทรุดโทรมแทบจะไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออยู่ของตนไปยังแอ่งน้ำตรงหน้า แต่พอเดินไปตรงจุดที่คิดว่ามีแอ่งน้ำนั้นอยู่ ก็ไม่เห็นสิ่งใดนอกเหนือไปจากผืนทรายที่แห้งแล้งและร้อนระอุ ไม่ว่าจะลองเดินดูไปเรื่อยๆก็ไม่มีสิ่งที่เขาหวังว่าจะได้พบ เพราะที่เขาเห็นก็เป็นเพียงแค่ปรากฏการณ์อย่างหนึ่ง........ปรากฏการณ์มิราจ....... คุณคีคิดว่าเขาจะรู้สึกยังไงเมื่อในที่สุดต้องมารับรู้ว่าสิ่งที่เขาตะเกียกตะกายไขว่คว้าแทบเป็นแทบตาย ที่แท้นั้น....ไม่เคยมีอยู่จริง

เฮ้อ~ อิชั้นต้องกลายเป็นคนที่ติดการถอนหายใจไปเพราะเรื่องนี้แน่ๆเล้ย แล้วดูซิ มาทิ้งไว้ให้ค้างคาอีก อิชั้นหายไปตั้งนานนะคะ กลับมานึกว่าจะได้อ่านยาวๆ  :angry2: ชริ เจอค้างรับปีใหม่เลย (บ่นไปงั้นล่ะค่ะ ก้อพอจะรู้อยู่ว่ากว่าจะเรียบเรียงกลั่นกรองจนได้แต่ละตอนๆคงไม่ใช่ง่ายๆ เพราะขนาดเราอ่านเรายังต้องค่อยๆอ่าน เพราะงั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนแต่ง ว่าจะขนาดไหน ก้อสู้ๆนะคะ รอตามอ่านอยู่เสมอ)

ปล.1ยังไงก้ออยากให้มีเหตุการณ์ที่มาคลายความเสียดแทงในใจอิชั้นตอนนี้จัง โอ้วว เหมือนมีหนามเล็กๆมาตำ เลือดไม่ออก แต่ระบมไม่หายเจรงๆ (หัวใจอิชั้นมันบอบบางนะคุณคี)

ปล.2 แฮ่ๆ จะน่าเกลียดไปมั้ยถ้าจะมาเมอรี่คริสต์มาส แอนด์แฮปปี้ นิวเยียร์ ย้อนหลังไปกว่าครึ่งค่อนเดือน แต่ก็อวยพรด้วยใจเลยน้า~

ปล.3 เกือบลืม เอาบุญมาฝากทุกคุนนะจร้า(อุตส่าห์ไปนั่งสวดมนต์ทำสมาธิมา ลืมล่ะเสียดายแย่)

Taurus

  • บุคคลทั่วไป
อยากอ่านเรื่องนี้ที่ซู็ดดดดดดดดดดดดด......
ยังไงก้ออย่าทิ้งกันนะคับ ผู้เขียน :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ oaw_eang

  • Global Moderator
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2122/-586

แทนย่าคะ

กลับมาเถอะคะ

เจ้อยากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ













อ่านนิยาย

อิอิ

Kirimanjaro

  • บุคคลทั่วไป
คราวนี้ไม่ใช้สีนะครับ  คงไม่น่าจะสับสนแล้วล่ะ  มาชมบทใกล้จบได้เลยครับ

==========================================================================






ผมรู้สึกเหมือนเคว้งคว้างไร้หลักยึดเหนี่ยวเมื่อเขาจากไป   ถึงแม้ว่าพี่แนคจะเฝ้ามองผมอยู่ห่าง ๆ
ในวันนั้นพี่แนคไม่ได้พูดอะไรมาก  นอกจากบอกให้ผมร้องไห้เสียให้พอ..

ผม  ผม  ไม่รู้สิ
ผมรู้สึกเหนื่อยเกินไป  และผมไม่อยากทำอะไรทั้งสิ้น

ผมมักจะนั่งเหม่อจ้องมองไปนอกหน้าต่างจากภายในตัวบ้าน  ปล่อยให้เวลาไหลผ่านตัวผมไปเงียบ ๆ
พี่แนคก็จะมานั่งใกล้ ๆ  แล้วผมก็ยิ้มให้เขานิดนึง  ก่อนจมสู่ภวังค์ของตนต่อ

ผมพยายามแล้ว  พยายามที่จะลืมเขา
แต่ผมรับปากกับเขาว่าจะจดจำเขาไว้นี่นะ

ช่อดอกฟอเกทมีนอตเหี่ยวแห้งในแจกันยังคงค้างคาอยู่
ดอกไม้ที่มีความหมายว่า  อย่าลืมฉัน

ผมยังคงไม่ลืม  และปล่อยให้มันทิ่มตำหัวใจซ้ำ ๆ ซ้อน ๆ
ผมไม่จำเป็นต้องร้องไห้อีกต่อไป  เพราะมันช่วยอะไรไม่ได้แล้ว

ความเศร้าของผมมันลึกเกินกว่าที่ผมจะระบายมันออกให้หมดด้วยน้ำตา
บางคืน  ผมนอนไม่หลับ  ผมมักจะผุดลุกขึ้นมากลางดึก  จับจ้องไปในความมืดภายนอก

บางทีก็มองไปที่ผนังว่างเปล่า   มองเก้าอี้ตัวที่พันไพรชอบนั่งอยู่เสมอ  และหวังทุกครั้งว่าเขาจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง ณ ที่นั้น

พี่แนคเคยบอกผมว่า    "นัส  เขาจากไปแล้วนะ"

ผมรู้ดี  แต่ผมมักจะได้ยินเสียงที่กล่าวด้วยความงุนงงของผมอยู่เสมอ    "จากไป  ไปไหนล่ะ?"

ผมพยายามยอมรับความจริงอันนี้  แต่บางครั้ง  ผมก็ยังคงหลอกตัวเองอยู่

วันคืนผ่านไปด้วยความเศร้า   จากวันเป็นอาทิตย์  จนกระทั่งพี่แนคไม่อาจทนเห็นผมที่เป็นแบบนั้นได้อีก

พี่แนคพยายามทำให้ผมฟื้นสู่สติ   เขาฉุนเฉียวในบางครั้ง   ทว่า  ผมแทบไม่รับรู้ถึงคำพูดของเขาเลย
ผมมักตัวสั่น  เมื่อเขาเขย่าร่างของผม   แต่แววตาของผมก็ยังคงว่างเปล่า  ผมรับรู้ได้ยามที่มองเห็นตัวเองในกระจก

พี่แนคพาผมไปที่แห่งหนึ่ง  ผมไม่รู้ตัว  เหมือนกับเคลื่อนผ่านหมอก  จนถึงห้องกว้างสีขาวอ่อน  ที่มีชายอีกคนท่าทางใจดี  เขานั่งอยู่บนโซฟานุ่มและเรียกให้ผมไปนั่งด้วย    เขาถามอะไรผมหลายต่อหลายอย่าง   ผมตอบบ้างไม่ตอบบ้าง  ผมเองก็จำไม่ได้ถึงคำถามและคำตอบในบางที..

ในที่สุด  เขาก็เรียกพี่แนคเข้าไปคุย   เขากล่าวถึงยาแก้เศร้า  ยานอนหลับ  ยาลดความเครียด  และอื่น ๆ

ผมงุนงง  ทำไมเขาต้องพรากความเศร้าที่ผมรักไปอีกด้วย
พวกเรากลับไปบ้าน   พี่แนคพยายามบังคับให้ผมกินยา แต่ผมไม่กิน  จนพี่เขาจับกรอกปากผม..

ในที่สุด  ผมก็เรียนรู้ถึงวิธีเสแสร้ง   ผมแอบซ่อนเม็ดยาเอาไว้  แสร้งทำเป็นกลืนกิน
..เพื่อมีความสุข  กับความเหงาและความเศร้าของผมต่อ




ผมเริ่มคิด  คิดถึงเรื่องบางอย่าง   คิดถึงความฝัน  บางคืนผมฝันเห็นพันไพร  ผมเห็นรอยยิ้มของเขา
ผมมีความสุข   และผมอยากเก็บความสุขนั้นตลอดไป

แต่ผมก็ต้องตื่นขึ้นมาพร้อมกับเหงื่อโชก  ..ทุกอย่างกลับสูญสิ้น  และผมต้องกลับมาสู่ความจริงอีกครั้ง
และแล้ว  ผมก็คิดออก  ผมมีวิธีที่จะได้อยู่ในความฝันตลอดไปแล้ว  ผมสะสมแวเลียมได้จำนวนหนึ่ง

ใช่  มันคือยานอนหลับ   ผมอยากหลับไปนาน ๆ   ผมคิดแค่นี้

ผมอาศัยจังหวะที่พี่แนคเผลอ  กลืนกินมันเข้าไปจนหมด    เพียงไม่กี่นาที  ผมก็รู้สึกว่าตัวเบาหวิว  ผมง่วง  ง่วงอย่างสาหัส  รู้สึกถึงความเย็นเฉียบของมือและเท้า   ผมใกล้จะได้กลับไปสู่ความฝันแล้วสินะ    ผมเห็น   เห็นความมืดที่ครอบคลุมหนาแน่นขึ้นทุกที


...จนกระทั่ง  ผมไม่เห็นอะไรอีกต่อไป






...ว่าแล้วเธอก็ฉวยหนึ่งในขวดข้างเอวของเทพแห่งน้ำเมาผู้หลับใหลไม่รู้เรื่องไม่รู้ราว  มาดื่มเข้าไปจนหมดสิ้นโดยที่เนลไม่มีโอกาสได้ห้ามอีกต่อไป...





คุณอยากฟังความฝันของผมต่อมั้ย  ว่าเนลทำอย่างไรกับเนซัสที่หลับใหลไม่ได้สติ
ถ้าคุณอยากฟังก็ตามผมมา...

แต่ก่อนอื่น  เสียงหวอของรถพยาบาลดังเข้าใกล้มาทุกชั่วขณะ 
ใครบางคนที่เขย่าร่างของผมอย่างร้อนรน และพร่ำพูดอะไรบางอย่างซึ่งฟังไม่ได้ศัพท์
ใครอีกหลายคน  พยายามโอบอุ้มพาร่างอ่อนปวกเปียกของผมไป   ผมมองเห็น  แต่จะสนใจไปทำไมกันล่ะ

ในเมื่อ  ผมมีความฝันแล้วนี่นะ..





เนลฟื้นขึ้นมาอีกครั้งเหนือร่างไร้สติของเนซัส   ได้โอนีซัสหายไปแล้ว   ทุกอย่างหายไป
เหลือเพียงกระท่อมน้อยและพวกเธออีกสองคน...

เนลร้องไห้อีกครั้ง   แต่คราวนี้เธอเข้มแข็งเกินกว่าที่จะล้มพับลงไปอีก
เธอพยายามโอบอุ้มร่างของฝาแฝด  และก้าวออกจากกระท่อม   

เธอแข็งแรงอย่างเหลือเชื่อ   เธอก้าวผ่านราวป่า   ผ่านธารน้ำ  ผ่านโขดหินที่มักจะมีเสียงร่ำไห้ของนางไม้
แต่เนลมองไม่เห็นตัวพวกหล่อน   เธอเดินทางไปเรื่อย ๆ  ผ่านวันและคืน  น้ำตาไหลพรากอาบแก้มของเธอเสมอ
เธอร่ำไห้และพร่ำโทษว่าเป็นความผิดของเธอ  ที่ไม่ดูแลคู่แฝดให้ดี ๆ

ต้นไม้และสายลม  กระซิบบอกเธอ  บอกว่าเธอควรไปหาเซ็นทอร์  พวกเขาเหล่านั้นเชี่ยวชาญเรื่องยาพิษ
เธออุ้มร่างของเนซัสไปด้วยความหวัง...





"คุณหมอ  คุณหมอมีวิธีช่วยเขามั้ยครับ?"   นายแพทย์สั่นศีรษะด้วยความอับจนปัญญา

"เราช่วยเท่าที่จะช่วยได้แล้วครับ   ระบบร่างกายของเขายังคงทำงานอยู่   แต่สมองของเขา  ทำงานน้อยมาก ๆ
ผมเสียใจที่จะบอกคุณว่า   เขามีโอกาสเป็นเจ้าชายนิทราอยู่อย่างนี้ถึงแปดสิบเปอร์เซ็นต์.."

"แล้วอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ล่ะครับ"   

นายแพทย์ถอนหายใจเฮือกใหญ่  เขาไม่อยากทำร้ายจิตใจของญาติของคนไข้  แต้ถ้าเขาต้องการที่จะรับรู้จริง ๆ ล่ะก็

"แล้วที่เหลือล่ะครับ  นัสจะมีโอกาสฟื้นกลับมาอีกครั้งมั้ย"

"ผมตอบไม่ได้ครับ  ผมตอบได้เพียง  ถ้าหากว่าคนไข้ฟื้นขึ้นมา  นั่นก็นับว่าเป็นปาฏิหาริย์อย่างยิ่งแล้ว
แล้วก็  ขออภัยด้วยนะครับ  ผมคงต้องขอตัวก่อน"




เมื่อเนลได้พบกับหัวหน้าเผ่าเซ็นทอร์  เขากลับบอกเธอว่าพวกเขาเองก็จนปัญญา  เพราะสิ่งที่ทำให้เนซัสหลับใหลหาใช่พิษ  หากแต่เป็นสุราฤทธิ์ร้ายของไดโอนีซัส

พวกเขาบอกกับเธออีกว่า        "หากแม้นไดโอนีซัสเองก็ยังไม่มีวิธีแก้แล้วไซร้  ในสามภพนี้ย่อมหาผู้แก้ไขมนต์สะกดนี้ได้ยากเต็มที"

แต่หาได้ยากเต็มที  แปลว่าย่อมมีหนทาง   เนลจึงเดินทางต่อไปด้วยหัวใจอ่อนล้า

เธอเดินทางไปจนพบ ซีบิล เทพพยากรณ์ผู้หยั่งรู้ดินฟ้า     ซึ่งซีบิลก็ได้กล่าวกับเธอว่า.. 

 "แฝดของเจ้า  เพียงแค่เดินทางไปในดินแดนแห่งความฝัน  ส่วนจะกลับมาหรือไม่ข้าเองก็หาทราบไม่
ชะตากรรมของพวกเจ้าสองคนช่างมืดมิด  ดังนั้น  คำแนะนำของข้า  คือจงเดินทางต่อไป  อย่าย่อท้อ"

แต่เนลท้อเสียแล้ว  นัยน์ตาของเธอแห้งผาก  ดวงตาเธอสูญสิ้นซึ่งน้ำตาที่ไหลหลั่ง
เธอก้าวเดินต่อไป  พร้อมกับจ้องมองร่างกายที่ผ่ายผอมลงทุกทีของเนซัส
เธอรู้ดี  ว่าในที่สุด  คู่แฝดของเธอต้องตาย    และเธอ  ตกลงใจ  ว่าเธอจะตายตามไปด้วย..





ชายหนุ่มคนหนึ่ง  กุมมือของผมเอาไว้  แล้วดึงไว้แนบใกล้ดวงใจ
เขาไม่ได้ร้องไห้อีกต่อไป   แต่ดวงตาของเขาเหม่อลอยและว่างเปล่า
ผมเสียใจกับเขา   ผมอยากบอกให้เขาเลิกเสีย  อย่าจมอยู่กับผม

ผมอยากกุมมือเขาไว้  แต่ในขณะเดียวกัน  ก็อยากปลดปล่อยเขาไป
แต่ความฝัน   ที่เย้ายวน  เรียกให้ผมกลับไปหามันอีกครั้ง...





เนลอดอาหารตาม  เธอซีดเซียว  เธออ่อนล้า  แต่ปลายเท้าเล็ก ๆ ของเธอยังก้าวต่อไปเบื้องหน้าเรื่อย ๆ
ด้วยแรงบันดาลใจสุดท้าย   เธอขึ้นสู่ยอดเขา...

ณ  ยอดเขานั้น  มีพาเธนอนหินอ่อนอันเป็นวิหารที่สร้างขึ้นเพื่อสักการะเทพีอธีน่า   เทพีแห่งปัญญา
ขณะนั้น  เป็นยามค่ำ  ดวงจันทร์เสี้ยวสาดแสงสลัวเลือนรางลงสู่ผืนพิภพ

เนลค่อย ๆ โซเซพาเอาร่างกายที่เหลือลมหายใจเพียงเล็กน้อย  ทั้งตน และคู่แฝด  ก้าวเข้าสู่พาเธนอนอันเรืองรองและสว่างไสวด้วยแสงเทียนนับพันเล่ม...

เธอไม่หวัง  เธอไม่ภาวนา  เธอไม่วอนขออีกต่อไป
เธอพอใจแล้ว  พอใจที่สุด  ที่อย่างน้อย เธอยังได้สิ้นชีวิตร่วมกับคู่แฝด ณ สถานที่อันสวยงามแห่งนี้

เนลค่อย ๆ เอนร่างอันอ่อนล้าลงบนพื้นหินอ่อน  พลางวางร่างของฝาแฝดไว้บนแท่นไม้หอมเหนือพื้นยกระดับ
เธอเอนกายลงแอบอิงกับแท่นนั้น  พริ้มตาเพื่อจะได้หลับใหลชั่วนิรันดร์คู่กับเนซัส
มือของพวกเธอสองคนเกาะกุมกันไว้แนบแน่น

   ทว่า  ในทันใดนั้นเอง  ช่อใบมะกอกเขียวสดที่ถูกถักเป็นพวกมาลัยสวมศีรษะอันถูกอุทิศถวายแก่เทพีอธีน่า  ณ เบื้องหน้ารูปเคารพ  มันผลิใบขยายรากออกมาอย่างรวดเร็วจนเป็นที่น่าตื่นตา   เนลฝืนลุกขึ้นมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

แสงสว่างไสวสีทองอร่ามเข้าครอบคลุมจนพาเธน่อนเสมือนถูกกลืนหายไปในแสงนั้นทั้งหลัง
กิ่งมะกอกที่งอกเงยพลันหดเข้าหากัน  ใบสีเขียวสดของมันประดับเป็นลายสลักสีเขียวงดงามบนตัวไม้
เส้นใยและกิ่งก้านพลันถูกเหลาให้เรียวบางใสประดุจสายเอ็น   มันขึงระหว่างก้านต่อก้าน  กิ่งต่อกิ่งเป็นระยะที่เท่ากัน  เส้นเหล่านั้นดึงกิ่งมะกอกให้โค้งงอเข้าหากันราวกับคันธนู  แต่โค้งได้อย่างงดงามยิ่งกว่านั้นหลายเท่า
เพียงครู่  พิณ  วิจิตรตระการราวกับเทพเจ้าสลักเสลาก็ปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าของเนล

เสียงนุ่มนวลของใครบางคนกระซิบกระซาบแผ่วเบาจากที่ไหนสักแห่ง

  "ใช้มันสิ  บรรเลงเพลงที่เธอชอบร้องให้เนซัสฟังสิ"

เนลเอื้อมมือสั่นเทาไปยังพิณซึ่งเคลื่อนเข้าหามือของเธอราวกับมีชีวิต   น้ำตาที่เธอเชื่อว่าแห้งเหือดไปสิ้นแล้วพลันไหลหลั่งจากดวงตาอีกครั้ง  เธอพร่างพรมนิ้วเรียวซีดลงบนสายพิณ  เริ่มต้นท่วงทำนองแรกอย่างอ่อนโยน
เสียงไพเราะสะบัดพลิ้วจากเส้นสาย  คลอกับเสียงหวานของเนล  ร้องเพลงที่เธอไม่เคยร้องมานาน..







ชายผู้นั้น  บีบมือของผมแน่น  เขาก้มริมฝีปากลงบนข้างหูของผม  เพลงเพลงหนึ่งที่ผมประทับใจไม่รู้ลืมก็ถูกถ่ายทอดด้วยเสียงสั่นพร่า

I feel your pain
I feel the rain
What happened to you
I can't get to you
Cause there's a wall
In your heart
That no one can get through
And it's cold and it's dark
And you don't have a clue
But this wall it will fall
If it's the last thing I do
I'll get through this wall in your heart
I know your soul
I know I'm home
Just come here to me
I'll let you run through me
Cause there's a wall
In your heart
That no one can get through
And it's cold and it's dark
And you don't have a clue
But this wall it will fall
If it's the last thing I do
I'll get through this wall in your heart
We'll break down all the troubles we have found
And I'll find a way to mend your broken pieces
We'll hold hands and be friends
Until the end and our love will be forever
But there's a wall
In your heart
That no one can get through
And it's cold and it's dark
And you don't have a clue
But this wall it will fall
If it's the last thing I do
I'll get through this wall in your heart


น้ำตาหยดหนึ่ง  หยาดลงมาบนหลังมือของผม...





พลันเสียงพิณสิ้นสาย เนซัสก็กลับฟื้นคืนสู่ชีวิต ทั้งคู่โผเข้ากอดกันด้วยความยินดี...
ทว่า  ด้วยลมหายใจที่เหลือน้อยเต็มที   เทพีอธีน่าจึงปรากฏตัว
เธอนำสองฝาแฝดที่กอดกันแน่นขึ้นไปประดับเป็นดาวสองดวงในหมู่ดาวแกนีมีด
ดาวสองดวงที่หมุนวนเคียงคู่กันชั่วนิรันดร์...






ผมฟื้นขึ้นมา  ผมไม่อยากเห็นใครเสียใจไปมากกว่านี้   ผมลืมตา  สู่ความเป็นจริง
ผมละทิ้งความฝันไว้เบื้องหลัง..

เพราะผมรู้แล้ว..

ว่าในโลกแห่งความเป็นจริง  ก็ยังมีคนที่รักผมไม่แพ้พันไพรอยู่เหมือนกัน..

พี่แนคยิ่งร้องไห้  แต่ครั้งนี้เขาร้องไห้ด้วยความปีติที่ผมฟื้นกลับมา   เขาพูดอะไรไม่ออก  ผมก็พูดอะไรไม่ออก
เรากอดกันแน่น  เหมือนกับไม่ได้เจอกันนานนับศตวรรษ...

บางอย่างที่ก่อตัวทะมึนขวางกั้นในจิตใจของผม  พลันถูกทลายป่นราวกับฝุ่นผง  เมื่อพี่แนคประทับจูบแรกลงบนหลังมือของผม

ผมยิ้มให้เขา...   
พี่แนคก็ยิ้มให้  ทั้งน้ำตา...

ขอบคุณ  ขอบคุณจริง ๆ ครับ




==========================================================================

PEAK

  • บุคคลทั่วไป
^
^
^
อร๊าย ~!  ~   จิ้มคนแต่ง

หายไปนานมาก  ...  คิดถึง   :กอด1:

เรื่องนี้แต่งได้จะจบแล้ว   o13

ขอบคุณนะครับ  ^__^

Kirimanjaro

  • บุคคลทั่วไป
ยังไม่จบนะครับ  เหลืออีกบท  แต่นี่หมายถึงจบบทที่ ๗ แล้วน่ะครับ

ออฟไลน์ Tifa

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1474
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +417/-2
ดีใจจัง.......ได้เจอกันอีกทีแล้ว

ว่างๆก็พาน้องเจซ มาด้วยนะจ๊ะ

คิดถึงอย่างแรง

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6
 :mc4:  มาต่อแล้ว

เหมือนพี่แนคจะอยู่ข้าง ๆ นัสเสมอเลย อยากจะลุ้นให้นัสหันมามองพี่แนคบ้างจังเลย


รออ่านตอนต่อไปจ้ะ  :L2:


Kirimanjaro

  • บุคคลทั่วไป
บทที่๘



ผมเริ่มเรียนรู้ที่จะมีความสุขกับปัจจุบัน  พี่แนคช่วยผมได้มาก  เขาแนะนำหนังสือหลายเล่มให้ผมอ่านฆ่าเวลายามว่าง  พี่แนคหาสุนัขพันธ์เซนต์เบอร์นาร์ดมาให้เลี้ยงหนึ่งตัว   มันเป็นลูกหมาขนปุยตัวเล็กน่ารัก  แต่กินเปลืองชิบ

ผมมีอะไรต่อมิอะไรให้ทำมากขึ้น  ทั้งดูแลสวน  เลี้ยงสัตว์  อ่านหนังสือ  เขียนบทความ
เอ้อ  มีพี่ชายคนหนึ่งที่ผมรู้จักมานานแล้ว  เขาเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการเลี้ยงปลาสวยงาม
และส่งหนังสือเกี่ยวกับการเลี้ยงปลามาเป็นของขวัญวันเกิด 

อ๊ะ  ผมลืมบอกไปหรือเปล่าว่าผมเกิดวันนี้..
แต่คงไม่สลักสำคัญอะไรเท่าไหร่  สิ่งที่น่าสนใจคือ  พี่แนคกลับตื่นเต้นกับหนังสือนี้ และหาปลาสวยงามมาเลี้ยงมั่ง

    "อีโธ่เอ๊ย  อยากดูปลาไปเดินแถว ๆ ตลาดก็ได้  ทั้งอินทรีแดดเดียว ปลากระตักทอดกรอบ  ปลาหมึกดองเค็ม.."

ผมเคยทัดทานเขาไว้แบบนี้  แต่พี่แนคก็แค่หัวเราะแหะ ๆ แล้วก็เทปลาในถุงใส่ตู้อยู่ดี
พี่แนคไม่ได้ให้อะไรเป็นของขวัญวันเกิดผม  พี่เขาบอกผมว่า

   "นี่ถ้าไม่อายชาวบ้านชาวช่องนะ  พี่จะไปหาริบบิ้นใหญ่ ๆ มาผูกโบว์ตัวเองเป็นของขวัญให้เลย"

ผมก็ได้แต่ขำกับความคิดนี้   อย่างไรก็ตาม  ในสายตาของผมแล้ว  พี่แนคก็เป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดที่สวรรค์มอบให้ผมจริง ๆ นั่นล่ะ   (ถึงจะรองจากพันไพรนิดหน่อย   ...โอ๊ย  พี่แนคอย่าตีหัวผม)

วันนี้แดดแจ่มใส  อากาศดี  ผมจึงออกมานั่งแช่เท้าในทรายชื้นเป็นการฉลองวันเกิด
พี่แนคนั่งอยู่ข้าง ๆ และหันมาสบตากับผมบ่อยครั้ง    เราหัวเราะให้แก่กันโดยไม่มีสาเหตุ

ตอนนี้ผมเป็นเด็กดีแล้วน้า  กินยาตรงตามเวลา  ไม่แอบคายทิ้งแบบเมื่อก่อน
จะว่าไป ก็รู้สึกดีขึ้นจริง ๆ ล่ะ  หลังได้รับยา  บวกกับสภาพแวดล้อมที่ดี  ทำให้ผมหายซึมเศร้าได้มาก
ต้องขอบคุณพี่แนคจริง ๆ ที่ไม่ปล่อยปละละเลยผมไปมากไปกว่านี้..

เสียงรถแปลกหูแล่นมาจอดหน้าที่พัก  เรียกสายตาของเราให้หันไปมองจากริมหาด
หญิงสาวร่างบางก้าวลงมาจากรถ  ในขณะที่ผมเดินเข้าไปหาหล่อน

   "ยีนส์  มาไงอ่ะ"

ญินราถอดแว่นกันแดดออก  สีหน้าของเธอไม่เหมือนคนที่ตั้งใจจะมาเที่ยวเมืองชายทะเลเลยแม้แต่น้อย

   "เรามีเรื่องต้องคุยกันนะพี่นัส"

พี่แนคมองตามอย่างสงสัย  ทว่าญินรามองเป็นเชิงว่าขอคุยกันสองคน  เขาจึงถอยออกไป

ผมฝืนยิ้มให้หญิงสาวที่ยืนหน้าเครียดอยู่ตรงหน้า

  "เรื่องอะไรน้อ  ที่สำคัญขนาดหอบยีนส์มาถึงนี่ได้  เทพมันทำอะไรให้ยีนส์ไม่สบายใจหรือเปล่า"

  "เปล่าค่ะ  ไม่ใช่เรื่องนั้น   พี่นัสรักพี่เทพใช่มั้ยคะ?"

ผมอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ เนื่องจากว่างุนงงและสงสัยว่ายีนส์รู้ความรู้สึกที่ผมเก็บซ่อนไว้ลึกขนาดนี้ได้อย่างไร

   "ไม่ต้องตอบก็ได้ค่ะ   เพราะเราน่ะเหมือนกัน  ยีนส์ก็หลงรักพี่เทพอยู่  การหมั้นที่กำลังจะเกิดขึ้นก็เป็นแผนการของยีนส์เอง  แต่ไป ๆ มา ๆ ยีนส์กลับรู้สึกว่ามันไม่แฟร์   รู้มั้ยล่ะคะ  ว่าเพราะอะไร?"

ผมค่อนข้างช๊อคกับเรื่องราวที่ได้รับรู้  ทว่าคำถามนั้นก็ทำให้ผมต้องส่ายศีรษะปฏิเสธโดยอัตโนมัติ

   "ตอนที่พี่เทพเขาเมา  เขาระบายให้ยีนส์ฟัง  เขาบอกว่า  เขากำลังหลงรักเพื่อนคนหนึ่งอยู่
เขาคิดว่ารักนี้คงเป็นไปไม่ได้  และเขาเองก็เพียรเก็บซ่อนความรู้สึกตลอดมา
และชื่อของเพื่อนคนที่พี่เทพหลงรัก.."

แววตาของญิณราร้าวรานและเจ็บปวด

   "..คือพี่นัส"

ผมยิ่งตกตะลึง  นี่มันเกิดอะไรขึ้น   ทำไมคนสองคนที่ใจตรงกัน  ทำไมถึงต้องถูกทำให้พลัดพรากจากกันด้วย
มันเกิดอะไรขึ้นกับเรากันแน่...

    "ไม่จริงมั้ง  แค่เรื่องเข้าใจผิด   มันคงอำยีนส์เล่น ๆ"

     "อย่าค่ะ  อย่าเลย   อย่าทำให้ยีนส์ต้องหลอกตัวเองอีกต่อไป
ยีนส์ไม่อาจทนได้  ที่จะได้อะไรมาโดยไม่แฟร์   ยีนส์มานี่ก็เพื่อจะบอกว่า 
วันพรุ่งนี้  พี่เทพจะไปต่อโทที่ต่างประเทศแล้ว   ยีนส์ก็จะไปด้วยเช่นเดียวกัน
และนี่คือสารท้าดวลของยีนส์   หากว่าพี่นัสแน่จริง  ก็ตามมาชิงหัวใจของพี่เทพกลับคืนไปในวันพรุ่งนี้ดูสิคะ"

เธอเหยียดยิ้มเป็นครั้งสุดท้าย  ก่อนกลับขึ้นนั่งประจำที่คนขับ

ผมรีบเคาะกระจกให้เธอเปิดมาใหม่

   "ขอบใจนะ  สำหรับสารท้าดวล"

เธอฝืนยิ้มให้  ก่อนออกรถไปทันที  ผมรู้ว่าผู้หญิงคนนี้ต้องต่อสู้กับความต้องการ  ความรัก  ความหึงหวงภายในจิตใจมากแค่ไหน  ถึงสามารถมาแจ้งข่าวนี้กับผมได้

ผมพ่ายแพ้แล้ว  พ่ายแพ้ให้กับความแฟร์ของยีนส์...
แต่จะอย่างไร  พรุ่งนี้ผมก็จะไปแน่นอนอยู่แล้ว
พี่แนคยืนมองอยู่ห่าง ๆ  เขาก้มหน้า  แล้วเดินเล่นตามชายหาดต่อ...





คืนนั้นผมนอนไม่หลับ  ผมทั้งประหลาดใจและตื่นเต้น  งุนงง สับสนเป็นบางที
ความรู้สึกเก่า ๆ ที่เกิดขึ้นกับเทพถูกขุดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง  สีหน้า  แววตา  และรอยยิ้มของเขาเหมือนลอยเด่นอยู่ในความรู้สึก

เสียงพี่แนคพลิกตัวทำให้ผมกลับมาอยู่กับปัจจุบัน  ผมเริ่มโมโหตัวเองที่หลายใจอะไรขนาดนี้
ทำไมผมถึงคิดที่จะทอดทิ้งคนที่ทำดีกับผมตลอดเวลาได้ลงคอ  ครั้งพันไพรก็ทีหนึ่งล่ะที่พี่เขายอมเสียสละความสุขของเขาเอง  เพื่อหลีกทางให้ผมได้อยู่กับคนที่ผมรัก

ทว่า  ความทรงจำครั้งที่ผมได้พบกับเทพบนระเบียงเฟื่องฟ้าหวนกลับมาอีกครั้ง
ผมยังจดจำความหวานแกมเศร้า  ความสุขที่คละเคล้าเจือปนกับความทุกข์
ถ้อยคำที่คลุมเครือ  การกระทำที่เป็นปริศนาของเทพ  มาบัดนี้  ผมรู้แล้วว่าเพราะอะไรกันแน่
เช่นนั้นผมควรจะทำอย่างไรดี?

ปล่อยให้เทวาที่ผมมุ่งหวังมาหลายสิบปีต้องหลุดลอยไปอย่างนั้นหรือ
หรือจะปล่อยแก้วมณีซึ่งมีอยู่ในมืออยู่แล้วให้ร้าวรานและแตกสลายเป็นผุยผงจากความผิดหวังและความเจ็บปวดซ้ำสอง

ผมเฝ้าแต่คิดวนเวียนด้วยความหนักใจ  จนกระทั่งผลอยหลับไปในที่สุด..



เสียงแก้วและภาชนะกระทบกัน  มาพร้อมกับกรุ่นกลิ่นกาแฟหอม   ปลุกให้ผมตื่นขึ้นมาสู่ห้องครัวอันพี่แนคจัดเตรียมกาแฟและขนมยามเช้าเอาไว้

เขายิ้มอบอุ่นให้ และเริ่มบทสนทนาแรก..

    "เมื่อวานพี่ได้ยินหมดแล้ว  พอดีว่าพี่หูดีมากไปหน่อย  ขอโทษด้วยนะ"

ผมตกใจจนถ้วยกาแฟแทบหลุดจากมือ

    "ไปสิ  พี่ไม่ว่าอะไรหรอก  พี่เคยบอกนัสเสมอนี่นา  ว่าพี่พร้อมจะหลีกทางให้  อีกอย่างเทพก็มาก่อนพี่ด้วยซ้ำ
เขาย่อมมีสิทธิ์เต็มที่ในตัวนัสเป็นแน่"

    "แต่...  "

    "อย่าลังเลกับความรู้สึก  อย่าโกหกตัวเอง   พี่จะมีความสุขมากที่สุด  หากว่าเห็นนัสมีความสุข
พี่ไม่อยากเห็นนัสเสียใจทีหลัง  หากว่าไม่ได้กล่าวคำนั้นออกไป"

พี่แนคตบไหล่ผมแรง ๆ จนถ้วยกาแฟแทบกระฉอก

    "ไปเลยไอ้น้องชาย  ลองสู้ดูสักตั้ง แล้วค่อยกลับมาซบอกพี่ก็ยังไม่สาย"

ผมยิ้มขอบคุณ  ขอบคุณที่เขาทำให้ผมตัดสินใจได้   ผมรีบไปอาบน้ำแต่งตัว
เพื่อเตรียมไป   เมื่อผมออกมา  พี่แนคยังคงนั่งอยู่ที่เดิม

    "อ้าวพี่  ไปอาบน้ำสิครับ"

    "ทำไมล่ะ  พี่รอฟังข่าวดีอยู่บ้านก็ได้"

    "พี่แนคครับ  ผมอยากแนะนำพี่ชายของผมให้รู้จักกับเพื่อนสนิทน่ะ  ไม่ได้เหรอคร้าบ"

พี่แนคลุกขึ้นด้วยท่าทีกระฉับกระเฉง

    "เอ้า  น้องชายว่าไงพี่ก็ว่าตามล่ะนะ"

เพียงไม่กี่นาที  เราก็อยู่บนรถของพี่แนคระหว่างทางเข้ากรุงเทพเพื่อไปดอนเมือง

ผมกระสับกระส่ายตลอดทาง..

เรามาถึงท่าอากาศยานซึ่งผู้คนคลาคล่ำ  ผมแทบไม่ทราบข้อมูลอะไรเลย  และยืนเก้ ๆ กัง ๆ แถวห้องพักผู้โดยสาร
พี่แนคจึงอาสาว่าจะไปสอบถามประชาสัมพันธ์ให้  แต่ผมต้องไปซื้อเบียร์กระป่องหนึ่งจากคอฟฟี่ชอปในสนามบินมาให้พี่แนคเป็นการตอบแทน

ผมก้าวเข้าไปยังร้านกาแฟที่ตกแต่งอย่างเรียบง่ายเป็นกันเอง  ทว่าหรูหราในความธรรมดานั้น
ผมบอกกับพนักงานว่าขอเบียร์กระป๋องหนึ่ง  และยืนรอที่หน้าเคาเตอร์

    ทันใด  เสียงทุ้มนุ่มที่ผมจำได้ติดหูและเต็มตื้นในหัวใจก็ดังขึ้นจากโต๊ะเบื้องหลัง

    "คาปูชิโน่แก้วนึงครับ  ใส่ครีมเยอะ ๆ นะครับ"

ผมแทบไม่เชื่อหู  เหมือนก้อนอะไรบางอย่างแล่นมาที่หัวอก  มันทำให้ผมตันไปหมด  และผมก็หันไปช้า ๆ
พันไพรนั่งอยู่นั่น  เบื้องหน้าของเขามีแจกันสีฟ้าอ่อนรับกับช่อดอกฟอเกทมีนอตช่อเล็ก ๆ ในแจกัน

เขายังเหมือนเดิมทุกประการ  ไม่ว่าดวงตาระยิบแพรวพราว  รอยยิ้มยั่วที่ประดับไรหนวดจางบริเวณเรียวปากบาง
และเขี้ยวเสน่ห์ซึ่งเผยอออกมายามเขายิ้ม

    "ไพร.."

ผมประหลาดใจยิ่งกว่าครั้งไหน ๆ  แต่อีกฝ่ายกลับพูดกลั้วหัวเราะ

   "มาสินัส  มานั่งนี่สิ  ไง  ได้ข่าวว่าเป็นเด็กดื้อนะเราน่ะ"

ผมแทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่   ผมนั่งลงตรงหน้าเขา  และปล่อยให้หยาดไข่มุกใสร่วงพราวลงสู่พื้น

   "ยังขี้แยไม่เปลี่ยนเลยนะครับ   อย่าทำให้ผมเป็นห่วงนักสิ  หืม"

    "ทำไมนาย  ก็ยังอยู่นี่นา  ทำไม   ทำไมไม่ยอมมาหาผมบ้าง  ทำไมปล่อยผมไว้กับความเหงา..ทำไมกัน"

พันไพรเอื้อมมือมาไล้ข้างแก้มของผมด้วยปลายนิ้ว  เขาปาดเอาน้ำตาของผมให้เกลื่อนไปทั่วข้างแก้ม

   "ผมเคยบอกนัสเมื่อไหร่กัน  ว่าผมจะอยู่ห่างไกลจากนัส  ก็คนมันรักแล้วนี่จะปล่อยให้คลาดสายตาได้อย่างไร"

ผมพยายามหยุดสะอื้น   ผมรู้แล้วว่าพันไพรอยู่ใกล้ ๆ ผมตลอดมา  และจะตลอดไป

และในที่สุด  ผมก็ถาม..

     "ไพร  นายรู้ใช่มั้ยว่าผมจะถามอะไร?"

พันไพรยิ้มบาง   เขาบิดขี้เกียจช้า ๆ

     "ผมจะไปรู้ได้ไงล่ะครับว่านัสจะถามอะไร  คนเราแต่ละคนย่อมมีมุมมองของตนที่แตกต่างกันในแต่ละเรื่อง
และหลายเรื่อง  ที่นัสควรเป็นคนตัดสินใจเอง  ผมเองก็ไม่รู้หรอก   ว่านัสให้คุณค่ากับสิ่งใดมากกว่ากัน
แต่ผมก็ภูมิใจนะ  ที่ครั้งหนึ่ง   นัส..เลือกผม"

ผมนิ่งอึ้ง   เขารู้ความลำบากใจของผมจริง ๆ ด้วย   แต่แล้วเขาก็บอกให้ผมตัดสินใจเองอีกครั้ง

     "จะว่าไป  นัสไม่ได้ติดต่อกับทางบ้านนานแค่ไหนแล้วล่ะ?"

การตัดสินใจใหม่ ๆ ยิ่งพลุ่นพล่านเข้ามาในทุก ๆ ที   พันไพรพลันผุดลุกขึ้น

    "โอเค  ผมคงต้องไปแล้ว  ถึงนัสจะไม่สามารถสัมผัสได้ถึงผม  แต่อยากให้นัสรู้เอาไว้ว่า
   ..I'll be always with you.."

ผมไม่อยากละสายตาไปจากเขา    แต่เสียงแกร๊กของประตูร้านทำให้ผมตกใจและหันไปมอง
เพียงผมหันกลับมา  โต๊ะตัวนั้นก็เหลือเพียงแจกันดอกฟอเกทมีนอตและเก้าอี้เปล่า ๆ
ถ้วยคาปูชิโน่ควันกรุ่นตั้งอยู่เบื้องหน้า    ..ผมกระซิบขอบคุณเขาเบา ๆ จากการช่วยตัดสินใจ
เอาล่ะ  ผมรู้แล้วว่าผมควรจะทำอะไรต่อไปดี..






--------------------------------------------------------


PEAK : หายกลับไปทำใจให้พร้อมมาครับ  และรับมือกับหลาย ๆ เรื่อง  ตอนนี้บทสุดท้ายแล้วครับ  คราวนี้ลงจนจบล่ะ

Tifa : น้องเจสไม่ว่างอ่ะคับ  ติดงานเจ้าแม่ไททาเนีย 555+
แต่ก็ฝากบอกว่าคิดถึงเพื่อนสาวคีน่าอย่างแรงเหมือนกัน คริคริ

nOn†ღ : พี่แนคเป็นแฟนคนแรกของผมครับ  แต่ผมไม่เคยตอบแทนความดีเขาเลย  ผมทำร้ายเขาและเป็นเรื่องที่ผมรู้สึกผิดอยู่นาน  แต่ตอนนี้ก็กลับมาคุยกันใหม่แล้วครับ  หลาย ๆ อย่างที่ไม่เคลียร์ก็เคลียร์  และผมก็ถูกปลดออกจากความรู้สึกผิดนั้น






ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6
แล้วนัสจะเลือกใครละที่นี้

เทพเพื่อนที่ตัวเองหลงรัก รึพี่แนคคนที่คอยดูแลอยู่ข้าง ๆ เสมออ่ะ

รอลุ้นตอนต่อไปจ้า  :L2:


Taurus

  • บุคคลทั่วไป

mumoo

  • บุคคลทั่วไป
 :a5:จะอวสานแล้วเหรอคะ ดีนะที่กลับมาทันอ่าน ฮู่

นัสดีขึ้นแล้ว เย้ๆ แต่ยังไงก้อลุ้นอยู่ดีล่ะ


 :กอด1:กอดพี่แนค 1ทีด้วยความรักและนับถือ ช่างเป็นคนดีอะไรอย่างนี้

ถ้าพี่ยังหาคนดามใจมะได้ คุณคีรีบบอกเลยนะ เด๋วอิชั้นจาไปเซอร์วิสถึงที่เอง 55+
:z1:

ปล.รอตอนต่อไปอย่างใจจดใจจ่อคร่า ^^

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด