[เรื่องสั้น]บังเอิญ..เกินไปไหม (จบ) P.1ตอนพิเศษ(26/11/58)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: [เรื่องสั้น]บังเอิญ..เกินไปไหม (จบ) P.1ตอนพิเศษ(26/11/58)  (อ่าน 7993 ครั้ง)

ออฟไลน์ ume

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

--------------------------------------------------------------------------------------


--แรกพบสบตาเมื่อเจอหน้าเธอ--


"หวังว่าเราจะได้เจอกันอีกนะ"

"แน่นอนดิ ผมยังไม่ตายนะครับคุณหมอฟาง"

"เดี๋ยวเหอะ พูดอะไรเป็นลาง"


วันนี้เป็นวันปัจฉิมนิเทศของโรงเรียน วันที่นักเรียนบางคนจะมีโอกาสได้เจอกันเป็นวันสุดท้าย วันแห่งการจากลา...
แต่มันก็เป็นวันที่ทำให้เราได้นึกย้อนกลับไปว่าเราได้อะไรจากที่แห่งนี้บ้าง..
12ปี เป็นเวลาไม่น้อยที่ผมใช้ชีวิตอยู่ในโรงเรียนนี้ ต่อจากนี้ไปคงได้แค่กลับมาเยี่ยมเยียน ไม่ได้ต้องรีบวิ่งกระหืดกระหอบขึ้นรถเมล์จากบ้านและวิ่งต่อจากป้ายที่ห่างจากประตูทางเข้าหลายกิโลในความคิดผมเพื่อเข้าแถวตอนเช้าให้ทัน..
ที่แห่งนี้สอนให้ผมอ่านออกเขียนได้ สอนให้ผมมีความรัก และยังสอนให้ผมอกหักอีกด้วย แต่สิ่งที่ครูอาจารย์ที่เคารพลืมสอนคงจะเป็น..การสอบให้ติดมหาลัยละมั้ง(หรือผมโง่เองไม่แน่ใจ)


ฟางเป็นแฟนคนแรกและคนเดียวในชีวิตผม เราคบกันตอนม.2 รักกันดีทะเลาะกันบ้างประปราย ผมรักฟางมากนะ คิดไปถึงอนาคตเลยแหละ แต่จุดแตกหักมันอยู่ตรงที่..
ม.5 ผมใช้ชีวิตไปวันๆเหมือนเดิมไม่ได้ทุกร้อนอะไร ในขณะที่ฟางเริ่มอ่านหนังสือเตรียมสอบ พ่อของฟางเป็นหมอ ซึ่งฟางที่เป็นลูกคนเดียวย่อมถูกคาดหวังให้เดินทางตามผู้มีพระคุณ
เรื่องนั้นผมโอเค แต่การที่ฟางกดดันตัวเองแบบนี้ผมไม่โอเค ฟางเป็นคนดี ดีมากจนผมสงสารฟางที่มาคบกับผม จริงๆนะ
คือฟางคิดว่าคนเป็นแฟนกันควรจะคุยกัน ดูแลกัน ซึ่งถ้าเราคุยกันทุกวันเหมือนเมื่อก่อนเวลาอ่านหนังสือของฟางก็จะลดลง
ผมเข้าใจ ผมบอกฟางว่าเราไม่ต้องคุยกันทุกวันก็ได้ แต่ฟางบอกผมว่าเวลาอีกปีกว่ามันไม่ใช่ระยะเวลาสั้นๆที่จะไม่คุยกัน เราสองคนเลยตกลงกันว่า เป็นเพื่อนกันไปก่อน เมื่อฟางสอบติดแล้วถึงตอนนั้นความรู้สึกของเรายังเหมือนเดิมค่อยกลับมาคบกันใหม่ก็ได้..
ยอมรับครับว่าทำใจอยู่นาน แต่จากนั้นเราก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ผมว่าสถานะนี้เหมาะกับเรา2คนมากกว่า..
กลับมาที่ปัจจุบัน..

"ว่าแต่..ปิดเทอมนี้ไปเที่ยวไหนเนี่ย"

"ไปญี่ปุ่นอ่ะ ไปกันหมดบ้านอาม่าอยากไปเที่ยว"

"ทีเรื่องอย่างนี้ตอบไวเชียวนะ แล้วเรื่องเอ็น(ทรานส์)น่ะ ไปถึงไหนแล้ว" ฟางบิดแขนพร้อมค้อนใส่ผม เอ่อ วนเข้าเรื่องนี้ได้ไงวะ

"ไม่ต้องห่วงครับ เดี๋ยวปันยื่นคะแนนก่อนไป วันที่เครื่องแลนด์ที่ไทยก็ประกาศผลพอดี เจ๋งใช่ป่าว" ยักคิ้วไปทีเพิ่มความกวน

"จ้า พ่อคนเก่ง ขอให้ติดนะ อย่าลืมของฝากฟางด้วย"

"ครับผม" ตอบรับพร้อมตะเบ๊ะและแถมยิ้มหวานไปอีก


วันเดินทางมาถึง..ตื่นเต้นนิดหน่อยแฮะ ผมจัดการกระเป๋าเป้ที่ติดตัวขึ้นเครื่องมาใส่ช่องด้านบนเรียบร้อย กลับมานั่งประจำที่พร้อมหนังสือ1เล่มเตรียมพร้อมหลับยาว

ทริปนี้เป็นทริปประจำปีของครอบครัวผมประกอบไปด้วย อาม่า อากง พ่อ แม่ น้ำปั่นพี่สาวผม คุณลุงและคุณป้า
ลูกชายของคุณลุงกับคุณป้าเป็นทหารเรือที่มาประจำอยู่ที่ญี่ปุ่น ท่าน2คนเลยถือโอกาสมาเยี่ยม
ผมหลับยาวที่เบาะด้านหลังเครื่อง(คนไม่เต็มที่ว่างเหลือเพียบ) จนถูกแอร์ปลุกให้รัดเข็มขัดก่อนเครื่องจะแลนด์ออฟลงที่สนามบินเซ็นแทร์ เมืองนาโกย่า..

หลังจากผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเรียบร้อย มีคนญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งโบกธงต้อนรับตรงทางออกที่จะเชื่อมไปขึ้นรถบัส คนญี่ปุ่นนี่น่ารักจริงๆผมชอบครับ โดยเฉพาะสาวญี่ปุ่น แหะๆ

พอเดินออกมานอกสนามบินผมนี่สั่นเลยครับ อากาศไม่หนาวมากแต่ลมพัดมาทีก็เอาเรื่องเหมือนกัน ดีนะที่ผมถูกบังคับให้ใส่ลองจอนตั้งแต่ตอนขึ้นเครื่องขามาไม่งั้นคงแข็งตาย

เราจะตะลุยเที่ยวกันตั้งแต่วันแรกที่มาถึงเนี่ยแหละ ที่แรกที่เราจะไปก็คือหมู่บ้านชิราคาวาโกะ ซึ่งเป็นหมู่บ้านมรดกโลก ด้วยรูปร่างที่แปลกตา ผมไม่ได้มองศิลปะออกว่าสวยงามอะไรขนาดนั้นแต่รูปแบบมันก็เจ๋งดี พี่ไกด์บอกว่ามันกันหิมะได้ดีมากๆ ผมเดินดูและถ่ายรูปไปเรื่อยๆส่วนคนอื่นๆก็แยกย้ายกันไปตามแนวของตัวเองพ่อกับอากง เดินไปสำรวจบ้านอย่างสนอกสนใจราวกับจะไปสร้างเองที่ไทย คุณลุงคุณป้าสวีทเหมือนคู่แต่งงานใหม่ที่เพิ่งมาฮันนีมูน ส่วนอาม่า แม่และเจ้ปั่น..นู่นครับ ร้านของฝาก
ผมเดินมาเรื่อยๆจนเกือบสุดทางเจอร้านค้าร้านนึงเป็นร้านเล็กๆน่ารักๆ ขายของฝากเหมือนกันแต่เป็นของฝากที่ต่างจากร้านอื่นๆที่มีพวงกุญแจหรืออะไรเทือกนั้นเหมือนๆกันหมด เดินวนๆกำลังจะออกสายตาของผมก็ไปสะดุดกับหุ่นตัวนึง สูงกว่าผมพอประมาณสวมหน้ากากปากจู๋ ที่ผมสะดุดตาเพราะหน้ากากปากจู๋นั่นหละ มันคือหน้ากากของแอลในเรื่องเดทโน้ต ผมชอบแอลมากและหน้ากากนี่เป็นหนึ่งในลิสต์ของที่ต้องซื้อกลับบ้าน
ผมเดินเข้าไปใกล้หุ่นนั่น เอามือแตะหน้ากากกะว่าจะลองถอดมาใส่ส่องกระจกดู แต่เมื่อผมแตะลงไปหุ่นนั่นมันดันขยับน่ะสิครับ

"เฮ้ย!! ขอโทษครับๆผมไม่รู้ว่าเป็นคน" เอาแล้วไงกู ไม่รู้ว่าเป็นคน คนฟังจะรู้สึกยังไงวะ แต่..มันอาจจะฟังไม่รู้เรื่องก็ได้นะ สาธุขอให้ไม่ใช่คนไทย

"sorry" ผมพูดพร้อมก้มหัวให้มันเล็กน้อย

"ผมเป็นคนไทยครับ" สัส ซวยแล้วไงกู

"แหะๆ เอ่อ ขอโทษจริงๆครับ" หัวเราะแห้งๆเกาหัวแกรกๆไม่เหมาะกับบุคลิกปกติของผมเลยซักนิดให้ตายเหอะ

"คงจะชอบมาสินะ หึหึ" มันพูดพร้อมปลดหน้ากากออกจากหัวมันแล้วมาสวมที่หัวผมแทน ใจผมเต้นเร็วมาก คงเพราะตกใจและลึกๆคงกลัวว่ามันจะทำอะไรผมข้อหาไปยุ่งกับมันระหว่างจำศีล แต่ลึกลงไปกว่านั้นผมรู้สึกไว้ใจมันอย่างประหลาด

ระหว่างที่มันคาดมันก็ย่อตัวลงมาให้หัวเสมอกัน จากนั้นก็เอามือมาขยี้หัวผมแล้วก็ยิ้มให้ เป็นรอยยิ้มที่ถ้าไม่ตั้งหลักดีๆตงละลายได้เลยแหละ
มันหันหลังกำลังจะเดินจากไป..

"เดี๋ยวครับ" ผมเป็นคนรั้งมันไว้เอง มันหันกลับมาทำหน้างงๆเลิกคิ้วหนึ่งข้าง

"คุณไม่ได้จะซื้อหรอ เห็นใส่อยู่" เห็นแบบนี้ผมก็เป็นคนมีมารยาทนะครับ มันใส่อยู่ก่อนอยู่ดีๆผมที่มาจากไหนไม่รู้จะมาแย่งไปเฉยๆก็ใช่เรื่อง

"มีคนอยากได้มากกว่าน่ะ" เออ มึงมันฉลาด รู้ได้ไงว่ากูชอบมากกก เอ๊ะ หรือมันพูดถึงคนอื่น?

"ถ้างั้น..จะรบกวนเกินไปมั้ยถ้าให้ถ่ายรูปให้หน่อย" ใจกล้าหน้าด้านมากกู ก็ผมชอบของผมอ่ะ อีกอย่างแถวนี้ไม่มีคนไทยเลยด้วย จะสปีคอิงลิชก็เกรงใจคนฟัง

"อืม" ไอ้ขี้เก๊กเอ๊ย ยอมรับว่ามันหล่อแต่ผมไม่ชอบคนขี้เก๊ก หมั่นไส้ว้อยยย

"จะให้ถ่ายแบบไหน เต็มตัว ครึ่งตัว เฉพาะหน้าหรือเอาแต่หน้ากาก" พอมันรับมือถือจากผมไปก็รัวคำถามไม่ยั้ง

"เอาให้มันดีๆอ่ะ ยังไงก็ได้" ก็ผมไม่รู้หนิว่ามันต้องยังไง ตอบส่งๆมากถ้าเป็นคนอื่นคงด่าแล้วก็ไม่ถ่ายให้ผมแล้วแหละแต่มันเป็นคนใจเย็นมากหามุมอยู่ซักพัก ผมก็เก๊กท่าไปดิ

ผมจับหน้ากากด้วยมือทั้ง2ข้าง ชูขึ้นระดับหัวทางด้านซ้ายแล้วหันข้างนิดๆสายตาอยู่ที่หน้ากาก นิ่งค้างอย่างนั้นอยู่ซักพักคิดว่าน่าจะถ่ายเสร็จแล้วนะ ผมลดมือลงมองหน้ากากปากจู๋ในมืออีกที ผมชอบแอลมากจริงๆแหละไอดอลผมเลย ฉลาดและหล่อ

"ขอบคุณนะครับ" มันเดินกลับเอามือถือมาคืนผม ตอนนี้ผมกำลังยุ่งกับการควานหากระเป๋าตังค์เพื่อที่จะจ่ายเงินเลยไม่ได้สนใจคนรอบข้างเท่าไหร่

"มาคนเดียวหรอ" ผมชะงักเล็กน้อยตอนหันออกมาจากเคาน์เตอร์แคชเชียร์ ยังอยู่อีกหรอเนี่ย

"ป่าวครับ มากับทัวร์ ต้องไปแล้วขอบคุณมากสำหรับหน้ากากแล้วก็ที่ถ่ายรูปให้นะครับ" ผมยกมือถือในมือขึ้นมากดถ่ายรูปมัน หน้าซูมขั้นสุดแต่ก็ยังดูดีอยู่เลยคนอะไรน่าหมั่นไส้ชะมัด

"เผื่อเจอที่ไทยจะได้จำได้..คุณ?" ตอนแรกมันก็ขมวดคิ้วจนแทบจะพันกันอยู่แล้วแต่พอผมพูดจบมันก็คลายปมและยิ้มบางๆที่มุมปาก

"โอบ"

"ชื่อดีนะครับความหมายดี ผมต้องไปจริงๆแล้วขอบคุณอีกครั้งครับ" ก้มหัวให้อีกทีแล้ววิ่งออกมา ผมเป็นคนตรงเวลาไม่ชอบให้คนอื่นต้องรอ หลายคนอาจสงสัยว่าผมถ่ายรูปมันมาทำไม ความจริงผมทำแบบนี้กับเพื่อนใหม่ทุกคนแหละครับ เจอกันครั้งแรกเป็นไปได้ยากที่จะจำหน้ากันได้ ถ่ายรูปไว้ก่อนเจอบ่อยๆจนสนิทก็มีรูปไว้แกล้งมันด้วย ส่วนคนที่ไม่สนิทเดี๋ยวสุดท้ายก็ลบทิ้งอยู่ดี แต่การมานี่ ภาพหน้าของทุกคนคือความทรงจำของผม ผมจะไม่ลบภาพในอัลบั้มนี้..

รถบัสพาเราเดินทางต่อไปยังสวนโทนามิ ซึ่งจัดเทศกาลดอกไม้ ซึ่งมีดอกทิวลิปกว่าหมื่นต้นเลยทีเดียว ผมว่าผมน่าจะเปลี่ยนอาชีพเป็นไกด์นะว่ามั้ยข้อมูลแน่นมาก เปล่าครับพูดตามพี่นุ่นไกด์ทัวร์เป๊ะเลยแหะๆ
หลังทานอาหารกลางวันเรียบร้อยแล้วเราก็เดินทางต่อไปยังสวนโทนามิ กินอิ่มนอนหลับคือนิยามของเด็กกำลังโตแบบผม ขึ้นรถปุ๊บหลับปั๊บจนเจ้ปั่นปลุกตอนถึงที่หมายแล้ว

ระหว่างรอพี่นุ่นไปซื้อตั๋วเข้าชม ผมถูกใช้ให้เป็นตากล้องจำเป็นของแม่ เจ้ปั่น และอาม่า..

"ตั้งแต่มายังไม่มีรูปรวมเลยมาถ่ายรวมกันหน่อย" อาม่ากวักมือเรียกพ่อ อากง คุณลุงคุณป้าให้เข้าเฟรม

"ยิ้มกันหน่อยครับ นึง ส่อง ซั่ม"

"แช๊ะ!!"

"แบบนี้ก็ไม่มีรูปผมน่ะสิครับ" ถ่ายเสร็จก็เข้าไปกอดอ้อนอาม่าเรียกคะแนนซะหน่อย

"อาตี๋มาเข้ากล้องด้วย ให้คนอื่นถ่าย" ผมมองดูรอบๆเพื่อหาเหยื่อ.. พี่นุ่นต่อคิวซื้อตั๋วอยู่ และแถวค่อนข้างยาว ถ้ารออาม่าผมต้องโมโหชัวร์ ผู้ร่วมเดินทางคนอื่นๆก็แยกย้ายกันไปถ่ายรูปของตัวเอง.. มองไปมองมาเห็นผู้ชายคนนึงกำลังเดินมาทางนี้ ดูเป็นคนไม่มีภาระที่สุดแล้วคงใช้งานได้

"excu.."

"คนไทยครับ" เค้าถอดแว่นกันแดดออก.. เฮ้ยนี่มันไอ้ขี้เก๊กที่เจอกันเมื่อกี๊นี่

"เอ่อ..รบกวนช่วยถ่ายรูปให้หน่อยครับ" มาถึงขนาดนี้แล้วจะหันหลังกลับก็ยังไงอยู่ ผมพูดพร้อมยื่นกล้องไปให้ บังเอิญไปมั้ยเนี่ย

"แสดงว่าผมถ่ายสวยสินะ เลยมาใช้บริการอีกเนี่ย" ไม่ใช่โว้ย บังเอิญ เข้าใจคำว่าบังเอิญมั้ย จะว่าไปผมยังไม่ได้ดูเลยรูปที่มันถ่ายให้เลย

"ทางนี้ครับ" ผมเมินคำถามมันแล้ววิ่งเข้าไปหาครอบครัวที่รออยู่แล้ว ตรงเข้าไปในตำแหน่งที่ว่างข้างๆอาม่า แล้วยิ้มแฉ่งจนตาแทบปิดให้กล้อง

"ขอบคุณครับ" ผมเดินมาเอากล้องคืน

"ไหนๆเจ้ขอดูหน่อย" เจ้ปั่นแย่งกล้องในมือผมไปหน้าตาเฉย บางทีก็ไม่เข้าใจว่าทำไมผู้หญิงต้องเช็ครูปด้วย ความจริงคงไม่ได้เช็ครูปแต่เช็คหน้าตัวเองมากกว่าผมว่า เพราะ..

"แม่ดูดิ รูปนี้ปั่นหน้าอ้วนน่ะ ดีนะที่รูปต่อไปโอเคไม่งั้นลงรูปไม่ได้น่าเสียดาย" เอิ่ม คุณพี่สาวครับ เจ้สวยที่สุดแล้วหน้าอ้วนอะไรนั่นคิดไปเองทั้งนั้น ผมชอบผู้หญิงมีแก้มนะ น่ารักดีออก ฟางก็ไม่ได้ผอมซะจนเหมือนกระดูกเดินได้ มีแก้มน่ารักน่าหยิกแต่รูปร่างสมส่วนไม่อ้วน

"ปันๆ ไปถ่ายรูปให้แม่กับเจ้หน่อย" เจ้ปั่นกับแม่ตาเป็นประกายมากเวลามองดอกไม้พวกนั้น..

"ผมขี้เกียจได้มั้ย หิวแล้วด้วย ขอไปหาอะไรกินตรงโน้นนะ พ่อครับ มาถ่ายรูปให้แม่กับเจ้ปั่นหน่อย" ผมโยนงานกันซึ่งๆหน้าแล้วรีบวิ่งออกไปทางร้านค้า อากงอาม่านั่งพักอยู่ที่เก้าอี้ตรงทางเข้าเพราะไม่อยากเดินเยอะ ส่วนคุณลุงคุณป้าก็ถ่ายรูปอวดลูกชาย..

พูดไม่ได้ก็ใช้ภาษามือแทนละกัน ผมชี้ๆไปที่น้ำเปล่าขวดนึง พร้อมยื่นแบงค์1000เยน คงไม่แพงไปกว่านี้แล้วละมั้ง ความจริงอยากใช้เหรียญแต่ไม่รู้ราคา ใช้แบงค์นี่เซฟตัวเองสุด

ผมหยิบขนมที่ซื้อมาเมื่อเช้าแล้วเดินไปหาที่นั่ง ที่นี่อากาศดี บรรยากาศก็ดี นั่งกินลมกินขนมชมวิวเรื่อยเปื่อยคงจะเป็นการพักผ่อนที่ดีสำหรับการมาเที่ยวในครั้งนี้

ผมเลือกนั่งที่เก้าอี้ยาวหันหน้าไปทางสวนดอกทิวลิปซึ่งมีทิวลิปยักษ์(ของปลอม)ให้คนเดินขึ้นไปถ่ายรูปได้
นั่งอยู่ซักพักก็มีคนมานั่งข้างๆ ผมจะไม่อะไรเลยนะถ้าเค้านั่งชิดอีกมุมนึงของเก้าอี้ แต่นี่อะไรครับคุณ นั่งชิดขนาดนี้รู้จักก็ไม่รู้จัก!!
ผมไม่สนใจคนข้างๆ ขนมพร่องไปพอสมควรดื่มน้ำเย็นๆคงชื่นใจหน้าดู ผมยกน้ำที่เพิ่งซื้อมาขึ้นดื่ม

"อีกแล้วหรอวะแม่ง แหวะ" โซดาครับ โอ๊ย ประเทศนี้มันจะไม่มีน้ำเปล่าขายเลยเหรอไงนะ หน้าผมคงผะอืดผะอมมากสินะไอ้คนข้างๆมันถึงกลั้นขำขนาดนี้น่ะ แต่ก็ยังหลุดขำอยู่ดี

ผมหันไปมองหน้ามันชัดๆ..นี่มัน นี่มัน..ไอ้บ้าตากล้องเมื่อกี๊นี่(ความจริงผมลืมชื่อมันไปแล้ว)
"นี่คุณ ขำอะไรไม่ทราบ"

"ใครบอกผมขำคุณ" ดูมันครับ หันมาทำหน้ามึนใส่ผมอีก มึงเปลี่ยนอารมณ์เร็วไปมั้ย

"แถวนี้มีผมอยู่คนเดียวไม่ขำผมแล้วคุณขำใคร"

"ไม่ใช่คุณก็แล้วกัน" กวนตีน ผมไม่เคยเจอใครกวนตีนได้หน้าตายเท่ามันมาก่อนเลยนะ

จ้องตากันขนาดนี้ถ้าเป็นปลากัดคงท้องไปแล้ว สุดท้ายผมก็เป็นฝ่ายแพ้ ถึงผมจะกะล่อนปลิ้นปล่อนยังไง เจอสายตาแบบนั้นผมก็ไม่ไปเป็นเหมือนกันนะครับ

"หึ" ดูม้านนน

"มาคนเดียวหรอ" เปลี่ยนเรื่องแม่งเลย ผมเป็นคนอัธยาศัยดี คุยได้กับคนทุกเพศทุกวัย

"อืม"

"อายุเท่าไหรอ่ะ"

"19"

"ผม18 พี่ชื่ออะไรนะผมลืมไปละ"

"โอบ"

"อ้อ เออ พี่โอบ.."

"ไม่ต้องเรียกพี่ก็ได้ปีเดียวเอง"

"โอเค โอบ ผมต้องไปแล้ว บาย"

"เดี๋ยว แล้วคุณชื่ออะไร"

"ผมชื่อปัน แล้วเจอกันนะครับ"

"เดี๋ยว" อะไรกับกูอีกเนี่ย

"ว่าไง?"

"พรุ่งนี้ไปไหน"

"พรุ่งนี้ขึ้นเจแปนแอลป์ฮะ" หันไปตอบขณะวิ่งไปที่จุดนัดพบ ให้ตายยังไงผมก็ต้องไม่สาย..

TBC.

----------------------------------------------------------------------------------------------

สวัสดีค่ะ เรื่องนี้เป็นนิยายเรื่องแรกของเรา..ยังไงก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ กอดดดดดดดดด
ปล.ให้คำแนะนำได้เต็มที่ค่ะน้อมรับและจะนำไปแก้ไขนะคะ :กอด1: :กอด1: :กอด1:

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-11-2015 01:50:30 โดย ume »

ออฟไลน์ mam79

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 28
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
น่ารักค่ะชอบๆ><  o18

ออฟไลน์ ume

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
--เธอทำให้ฉันรู้และเข้าใจคำว่าสองเรา--


เมื่อวานพอถึงที่พักผมก็หลับเป็นตาย เป็นผลต่อเนื่องมาจากการอดหลับอดนอนมานาน ก็นอนบนเครื่องไม่สบายเท่าที่ควรบนรถยิ่งแล้วใหญ่

ผมถูกเจ้ปั่นปลุกแต่เช้าอาบน้ำแต่งตัวเตรียมไปขึ้นเขากัน..

"เจ้ว่าปันใส่เสื้อบางไปนะใส่อีกตัวดีกว่า" ว่าพลางควานหาเสื้อกันหนาวในกระเป๋าผม

"พอแล้วมั้งเจ้ ผมใส่ลองจอนแล้ว"

"ไม่ได้ เดี๋ยวไม่สบายขึ้นมาแย่เลย" เจ้ดูแลผมยิ่งกว่าแม่อีก ซึ่งดี ผมชอบให้คนดูแล


ใช้เวลานั่งรถพอสมควรก็ถึงทางขึ้นเจแปนแอลป์ ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลท์ของทริปนี้ ลงจากรถมาก็หนาวใช่ย่อยนะเนี่ย แต่ผมไม่หนาวมากหรอกก็บอกแล้วใส่อุปกรณ์ป้องกันตัวมาดี อาม่าเลือกหมวกไหมพรมก่อนทางขึ้นเป็นที่ระลึก ส่วนคนอื่นๆก็ยืดเส้นยืดสายเตรียมตัวเตรียมใจสำหรับอุณหภูมิท่ามกลางหิมะที่กำลังจะเจอในไม่ช้า

หลังจากพี่นุ่นติดต่อเรื่องตั๋วเรียบร้อยก็นำพวกเราทั้งหมดไปยังเคเบิ้ลคาร์ พาหนะที่จะนำพาผมและคนอื่นๆขึ้นไปบนเขาแห่งนี้

ทุกคนแย่งกันขึ้นราวกับว่ามันจะมาเป็นคันสุดท้ายของวันทั้งๆที่ยังเช้าอยู่แท้ๆ ผมโดนเบียดไปอยู่ฝั่งตรงข้ามทางเข้า ใกล้กันมีที่นั่งซึ่งตกเป็นของอาม่ากับคุณป้า มีคนอีกชุดเข้ามาดันผมไปข้างหน้าหน่อยๆตอนนี้ผมไม่เห็นใครที่รู้จักแล้ว แต่ก่อนขึ้นมาพี่นุ่นบอกว่าเคเบิ้ลคาร์จะจอดที่เดียวคือสถานีปลายทางดังนั้นเรื่องหลงทางคงจะหมดกังวลไปได้

ผมพยายามหาที่ยึดแต่เสาที่ใกล้ที่สุดเต็มไปด้วยมือนับไม่ถ้วนของนักท่องเที่ยวนานาชาติเสียแล้ว

"จับผมไว้ก็ได้" ผมหันไปตามเสียงนั้นทันที

"อะ..โอบ.. มาได้ไงเนี่ย" ผงะเล็กน้อยแต่เป็นจังหวะที่รถเคลื่อนตัวทำให้ผมเสียหลัก โอบโอบผมไว้ได้ทันการก่อนจะหงายหลังไปชนใครก็ไม่รู้

"ขะ..ขอบคุณ" ผมรีบสะบัดตัวออกจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่ ให้ตายเหอะ ใจเต้นแรงชะมัด ต้องเป็นเพราะตกใจมากแน่ๆ

"หึๆ ที่นี่ก็อยู่ในแพลนของผมเหมือนกัน" ขำครั้งแรกมันคงจะขำผมเพราะผมคงทำหน้าเอ๋อได้ใจแถมยังเอามือกุมอกซึ่งก้อนเนื้อด้านในยังไม่ลดความเร็วในการเคลื่อนไหวลง

"อ่าหะ" จบบทสนทนาได้สั้นจนอยากกัดลิ้นตัวเอง ผมไม่ชอบบรรยากาศอึดอัดที่ก่อตัวจากความเงียบระหว่างคนสองคน แต่ครั้งนี้ไม่รู้ทำไม ผมถึงรู้สึกว่าการเงียบครั้งนี้ทำให้ผมสบายใจอย่างประหลาด

อากาศข้างนอกหนาวจนเกือบติดลบตอนนี้ผมเกาะเสื้อของโอบไว้และพยายามเอนตัวเข้าหาไออุ่นจากคนข้างๆ มือนึงของโอบเกาะราวจับส่วนอีกมือโอบไหล่ผมไว้ไม่ให้ล้มอีก สบายจนอยากจะหลับไปเลยแหละถ้าไม่ติดว่าต้องลงและเดินทางต่อ..

"ขอบคุณนะ" หันไปขอบคุณพร้อมยิ้มกว้างแบบเป็นมิตรจากนั้นก็วิ่งไปรวมตัวกับลูกทัวร์คนอื่นๆ โอบยกมือขึ้นเป็นเชิงลาแล้วเดินไปอีกทาง จะขี้เก๊กไปไหนไม่เข้าใจจริงๆ..


พวกผมมาขึ้นรถบัสกันต่อ จะว่าไปการเข้าถึงที่นี่ยากมากเลยนะเนี่ย อย่างว่าแหละความสวยงามไม่เคยเรียกร้องความสนใจ ตามทางมีหิมะปกคลุมต้นสนอย่างสวยงาม ข้างทางมีกองหิมะที่ถูกเคลียร์ออกไปเผื่อเป็นทางเดินรถ

เรานั่งรถกันไม่นานเพราะวิวที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ มีอะไรที่แต่ต่างจากเดินเสมอในทุกๆวินาทีที่รถเคลื่อนตัว ผมเห็นน้ำตกที่พี่นุ่นตื่นเต้นมากเวลาพูดถึง ผมว่าน้ำตกบ้านเราสวยกว่าเยอะ แต่มันก็แปลกๆดีเค้าให้ดูก็ดูครับ

หิมะข้างทางเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆจนความสูงเลยรถบัสที่เรานั่งมาเป็นสัญญาณบอกว่าใกล้ถึงที่หมายแล้ว..

พี่นุ่นให้เวลาประมาณ1ชั่วโมงในการชมความงามของกำแพงหิมะ พวกผมเดินขึ้นบันไดของสถานีเพื่อออกไปยังจุดชมวิว

หิมะขาวโพลนสุดลูกหูลูกตา อากาศหนาวเย็นกระทบใบหน้าจนชา เทอร์โมมิเตอร์บอกอุณหภูมิ2 องศาเซลเซียส ซึ่งปกติจะติดลบ ผมควรดีใจหรือเสียใจดี? คุณลุงบอกว่าให้ทุกคนทากันแดดเพราะถึงอากาศจะหนาวแต่แดดแรงมากจนผิวอาจจะไหม้ได้

ร่างกายยังอบอุ่นเนื่องจากเตรียมตัวมาดีแต่มือนี่สิ ชาไปหมดแล้วครับ อากาศในยามปกติจะเย็นๆสบายๆ แต่ถ้ามีลมพัดมาเมื่อไหร่น่ะรู้กัน

"เจ้บอกแล้วให้ใส่มาเยอะๆ เป็นไงล่ะ"

"ถึงยังไงปันก็ไม่ได้เอาถุงมือมาจากบ้านอยู่ดี" ไม่คิดว่ามันจะหนาวขนาดนี้นี่

"เอาของเจ้ไป" เจ้ปั่นพูดแล้วเตรียมถอดถุงมือจากมือตัวเอง
 
“ไม่เอาเจ้ ปันเป็นผู้ชายนะ ไม่ต้องแย่งของผู้หญิงหรอกน่าแค่นี้เองปันทนได้”
 
“เรานี่จริงๆเลยนะ คราวหน้าเจ้จัดกระเป๋าให้เอง”
 
“เจ้ปั่น!! ปันไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ ไปถ่ายรูปกันเหอะ ยังไม่มีรูปคู่เจ้เลย” ผมโดนเจ้ปั่นขยี้ผมไปทีก่อนที่จะไปรวมตัวกับพ่อแม่แล้วก็ถ่ายรูปกัน ท่าไม่ยากเท่าไหร่คือเจ้ขี่หลังผมท่ามกลางสโนว์วอลล์
 
เจ้ปั่นเรียนศิลปะศาสตร์ คณะที่ขึ้นชื่อด้านหน้าตาซึ่งผมเห็นด้วย เพื่อนเจ้สวยๆทั้งนั้นดาราเพียบ จากที่กล่าวมาแค่จะบอกว่าการลงรูปคู่น้องชายจะถ่ายแบบธรรมดาไม่ได้ ใครซวยครับงานนี้ แต่ผมเต็มใจนะ รักเจ้มากมีกันแค่นี้..
 
ถ่ายรูปพอหอมปากหอมคอผมก็ขอแยกออกมาก่อนที่มือจะกลายเป็นน้ำแข็งไปซะ หาอะไรอุ่นๆดื่มหน่อยคงดี
 
ระหว่างทางกลับสถานี ผมเจอคนรู้จัก..โอบนั่นเอง ฮะๆ โลกแคบชะมัด
 
“ถ่ายแต่วิวไม่เสียดายเวลาที่มาหรอ ถ่ายรูปตัวเองบ้างดิ” ถ้ามีใครมาพูดกับผมแบบนี้นะ ผมจะตอบกลับแบบไม่คิดเลยว่าเสือก!! แต่โชคดีที่มันไม่ใช่ผม
 
“มาคนเดียวถ่ายแต่วิวก็ถูกแล้ว” โอบดูไม่ตกใจในการปรากฏตัวของผม มันเป็นคนเล่นกล้อง ดูจากกล้องราคาแพงที่คล้องคออยู่(ที่รู้เรื่องประปรายเพราะเจ้เรียนแล้วมาโม้ให้ผมฟัง) คนประเภทนี้ส่วนใหญ่เมมโมรี่จะมีแค่วิวทิวทัศน์ ดอกไม้ใบหญ้า..และแฟน ส่วนรูปตัวเองน่ะหรอ ผมว่าคงหายาก
 
“ผมถ่ายให้เอามั้ย มีรูปตัวเองบ้างก็ดีไม่ใช่หรอ อย่างน้อยก็เป็นการยืนยันการมีตัวตน”
 
“แล้วผมไม่มีตัวตนตรงไหน” ทำไมผมถึงเห็นเครื่องหมายคำถามเต็มหน้ามันไปหมด
 
“หมายถึงมาเที่ยวน่ะ มีรูปตัวเองบ้างก็ดีไม่ใช่หรอ วิวน่ะในเน็ตก็เยอะแยะ เป็นการยืนยันว่ามาถึงแล้วจริงๆไง” มันพยักหน้าหงึงๆ เมื่อผมเห็นมันมีท่าทีคล้อยตามจึงเอื้อมมือไปหยิบกล้องที่คล้องคอมันออก
 
“มือปันเย็นมาก..”
 
“อืม ลืมเอาถุงมือมาน่ะ”
 
“เอาของผมไปใส่ดิ เอามาแต่ไม่ได้ใช้”
 
“ไม่เป็นไรเกรงใจ” ผมหันหลังและเดินห่างออกมา
 
“มองกล้องแล้วยิ้มหน่อย” ก็ดูมันสิครับเปิดเป้ควานหาอะไรก็ไม่รู้ไม่สนใจผมเลย นี่กูเป็นธุระให้มึงอยู่นะ
 
มันเงยหน้าขึ้น หน้าที่มีคิ้วผูกโบว์ มันไม่ใช่หน้าที่แสดงอารมณ์เครียด แต่เป็นหน้าที่กำลังตำหนิการกระทำของผมต่างหากดูได้จากสายตาที่จ้องมา
 
ผมกดถ่ายไปหนึ่งรูป มันเดินเข้ามาใกล้อีก..รูปที่สอง เดินเข้ามาอีกทีนี้เห็นแต่หน้าเลยนะโว้ยภาพจะสวยหรอ..ภาพที่สาม มันยังไม่หยุดเดิน
 
“กล้องไม่โฟกัสแล้วนะ ถอยออกไปหน่อย” ตอนนี้การมองผ่านเลนส์ของผมได้สิ้นสุดลงเพราะโอบดึงกล้องจากมือผมไปเป็นที่เรียบร้อย
 
มันคล้องกล้องที่แขนลวกๆแล้วดึงมือผมไปถูๆ ยกขึ้นเป่า แล้วก็กลับมาถูๆอีก
 
“พะ พอแล้ว ไม่เย็นแล้ว” ไม่รู้ทำไม อยู่ผมก็ไม่กล้ามองหน้ามันขึ้นมาซะงั้น ผมได้ยินเสียงมันหัวเราะเบาๆ แต่ไม่กล้าจะเงยหน้าสบตาเพื่อด่ามัน
 
“เด็กดื้อต้องโดนแบบนี้แหละ” อะไรคือเด็กดื้อ กูไปดื้อกับมึงตอนไหน ผมทนไม่ไหวแล้วนะโว้ย กำมือเตรียมทำร้ายร่างกายมัน ผมง้างมือขึ้นมาได้แต่โดนมันดึงกลับไปอยู่ตำแหน่งเดิม
 
“อยู่เฉยๆเหอะน่า” มันพูดพร้อมใส่ถุงมือให้ผม โอ๊ยมือเมอ หน้าเน้อนี่ร้อนผ่าวไปหมดแล้ว ถุงมือคงไม่จำเป็นแล้วมั้ง
 
“แล้วจะคืนยังไง ไม่ได้เจอกันแล้วนะ”
 
“เดี๋ยวก็เจอกันอีกเชื่อดิ”
 
“ไปเอาความมั่นใจแบบนั้นมาจากไหนกัน” ผมพยายามปรับสภาพตัวเองให้เป็นปกติที่สุด หน้ากูไม่แดงใช่ป่ะวะ
 
“ความลับครับผม จะถ่ายรูปให้ใช้มั้ย อะ เอากล้องไป” มันยื่นกล้องให้ผมแล้วเดินออกไปเลย ผมเห็นมันหน้าแดงด้วย กูควรจะเขินไม่ใช่หรอวะ หรือผมเข้าใจผิด?
 
“ยิ้มหน่อย” ผมมองมันผ่านเลนส์อีกครั้ง ครั้งนี้มันยิ้ม.. องค์ประกอบรูปสวย คนในภาพก็โคตรจะดูดี ผมกดถ่ายไปสองสามรูปแล้วลดกล้องลง แต่มันเนี่ยดิยังไม่หยุดยิ้มเลย
 
มันเดินกลับเข้ามาใกล้ผมเหมือนคนกำลังพยายามกลั้นยิ้มอยู่ กลายเป็นภาพที่น่ารักมากเหมือนมันกำลังมีความสุขสุดๆ ผมว่ามันคงไม่ทำหน้าแบบนี้บ่อยๆแน่..ไม่รู้อะไรดลใจหรือว่าผมคิดอะไรอยู่ ผมหยิบมือถือขึ้นมากดถ่ายภาพมันเอาไว้ มันก็ยังไม่หุบยิ้มอยู่ดีจนเดินมาถึงผม
 
“เลิกยิ้มได้แล้วถ่ายเสร็จนานแล้ว”

“ไม่ได้ยิ้มเพราะต้องถ่ายรูปซะหน่อย” มันเดินมายีหัวผม ขณะที่ผมมึนๆเบลอๆกับคำพูดของมัน มันก็หยิบกล้องแล้วเดินจากไปแล้ว ฝากไว้ก่อนเหอะ คราวหน้าไม่ปล่อยให้หนีไปเฉยๆแบบนี้แน่ มาทำอะไรกับใจผมก็ช่วยรับผิดชอบด้วยเซ่ หัวใจบ้านี่ก็หยุดเต้นรัวๆแบบนี้ซะที เหมือนอกจะระเบิดออกมาอยู่แล้วนะ
 
 
เมื่อรวมพลกันครบ พวกก็ผมเดินทางด้วยรถบัสไฟฟ้าแล้วต่อด้วยนั่งกระเช้าเพื่อไปทานอาหารกลางวัน น่าแปลก ทุกครั้งที่เปลี่ยนพาหนะผมจะต้องมองหาคนๆนึงอยู่เสมอ คนที่มักเจอกันโดยบังเอิญแต่ทำไมเวลามองหากลับไม่เจอนะ พอผมนึกถึงเรื่องที่ผ่านไปเมื่อครู่หน้าผมก็ร้อนขึ้นมาซะงั้น ไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้เลย มันรู้สึกว่า แม้แต่ตัวเราเองยังควบคุมตัวเองไม่ได้..
 
"ปันไปเอาถุงมือมาจากไหน" เจ้ปั่นเล่นกูแล้วไง ลืมถอดครับ ผมภาวนาให้อาหารมาเสิร์ฟไวๆทุกคนจะได้ลดความสนใจผมบ้าง

"เอ่อ.." จะให้บอกยังไงดีล่ะ ซื้อมา? เจ้รู้แน่ว่าโกหกเพราะที่นี่ไม่มีถุงมือแบบนี้ขาย อีกอย่างครอบครัวผมก็ไม่มีใครมีถุงมือแบบนี้เลยซักคน

"พอดีเจอเพื่อน เลยยืมมาน่ะ" ตอบแบบนี้เซฟตัวเองที่สุดแล้ว..มั้ง

"เพื่อน?" เจ้ปั่นนนนน อย่ากดดันโผ้มมม

"อื้ม เจอกันโดยบังเอิญ เลยยืมมา"

"เพื่อนที่ไหน ทำไมไม่เห็นบอกแม่เลยว่าเพื่อนก็มาเที่ยว จะได้รู้จักกันไว้" เรื่องเริ่มลามปามไปใหญ่แล้ว

"เพื่อนที่นี่แหละแม่ แหะๆ" พูดจบก็พุ่งเข้าหาแม่ที่นั่งข้างๆแล้วเอาหน้าซุกพุงนิ่มๆพร้อมกับถูไปมา

"เรานี่นะจริงๆเล้ย ก็รู้นะว่าอัธยาศัยดี แต่ทำความรู้จักคนมั่วๆแบบนี้ระวังจะอันตราย" พ่อมาเต็ม อย่าทำหน้าเอือมระอากับผมแบบนั้นสิครับ บ้านผมไม่ว่าอยู่แล้วถ้าลูกจะทำอะไรหรือเรื่องคบใครก็ตาม พ่อแม่ผมให้อิสระเต็มที่ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่ผมต้องปิดบังหรือโกหก

โต๊ะอาหารถูกแยกเป็น2แถว คือครอบครัวผม4คนอยู่แถวแรก และอาม่าอากง คุณลุงคุณป้าอยู่อีกแถว เพราะงั้น เรื่องของโอบ..รู้กันแค่คนใน

เมื่ออิ่มท้องเราก็เดินทางต่อ..การเดินทางกับกรุ๊ปทัวร์มีข้อจำกัดที่ผมไม่ชอบมากๆอย่างนึกคือเรื่องเวลา เราไม่สามารถทำตัวตามสบายได้เพราะทุกอย่างถูกกำหนดไว้หมดแล้ว ความน่ากลัวของเวลาคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในโลกนี้แล้ว..นำกลับมาใช้ใหม่ไม่ได้ หวนคืนไม่ได้ แก้ไขไม่ได้..

จากยอดเขาเราก็ต่อยานพาหนะอีกหลากหลายชมเขื่อนที่สวยมากแต่ผมไม่มีอารมณ์จะใส่ใจเท่าไหร่เนื่องจากเหนื่อยมาก ตั้งแต่ตื่นเช้าแล้วก็มีกิจกรรมไม่หยุดหย่อน ตอนนี้อยากจะกลับขึ้นรถแล้วนอนซักงีบ

"ถึงแล้วหรอเจ้" ผมถูกเจ้ปั่นปลุกอีกครั้งเมื่อรถจอด สภาพผมคงแย่มากเจ้ขำ แล้วเอามือมาลูบหัวผม ผมเลยเอาหัวดันมือเจ้พร้อมถูไถไปมา สกินชิปเป็นสิ่งที่ผมชอบมาก กอด หอม ยีผม ทุกสิ่งล้วนทำไห้ผมมีความสุข ผมว่าคนที่ปราศจากการสัมผัสคงจะเฉาน่าดู

"แวะห้างน่ะ ก่อนเข้าโรงแรม" โอ๊ย ห้างหรอ น่าเบื่อจะตายชัก

"ปันรอในรถได้มั้ย"

"ไม่ได้ ไปด้วยกัน ปันปันไม่อยากได้อะไรหรอ"

"ไม่อ่ะ ไม่มีใครฝากซื้ออะไรด้วย ลงก็ได้แต่ไม่เดินด้วยนะ"

"ตามใจเธอ แต่เดินด้วยก็ดีจะได้ช่วยเจ้หาของ"

"บายครับ" ผมเดินลงจากรถด้วยอารมณ์ขุ่นมัวเล็กน้อย ไม่รู้จะแวะทำไมกลับๆที่พักไปซะก็จบแล้วเฮ้ออ


"นุ่นให้เวลา1ชั่วโมงนะคะ แล้วกลับมาเจอกันตรงนี้" ครับๆๆ 1ชั่วโมงต่อจากนี้ผมก็จะอยู่ตรงนี้แหละครับ

"ปันไม่เดินนะ รอตรงนี้แหละ" รีบพูดดักทางทุกคนก่อนจะโดนลากไปไหน


ตอนนี้ผมคิดว่าผมมีอะไรให้ทำแล้ว..หลังจากยืนฟังพี่นุ่นบรรยายส่วนต่างๆของห้างแห่งนี้ สายตาของผมมองเลยเข้าไปด้านใน..สถานีรถไฟ

อยากจะบอกว่าเป็นความฝันอีกอย่างของผมเลยนะ..นั่งรถไฟในญี่ปุ่น การคมนาคมที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ไปไหนตอนนี้ถ้าเผื่อเวลาหลงเวลาเดินเล่นคงกลับมาไม่ทันเวลานัดแน่ แต่อย่างน้อยไปนั่งดูคนผ่านไปผ่านมาก็คงไม่น่าเบื่อหรอกมั้ง

ผมนั่งมองผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเรื่องๆก็เพลินดีเหมือนกันนะ ที่เค้าบอกว่าคนมีความสุขมักลืมเวลา คงจะจริง

ผมกระพริบตาปริบๆเมื่อมีมือปริศนามาโบกอยู่ข้างหน้า..

"เหม่ออะไรครับ หืม?"

"เรื่องของผม" ยุ่งไรด้วย บุคคลลึกลับคือโอบ มาได้ไง มาจากไหน มาทำไม..ไม่ได้ถาม

"มาได้ไงเนี่ย" มันทำหน้าแปลกใจเล็กน้อย แปลกมากเหรอไงกับการมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ของผม

ก้มมองนาฬิกา..โชคดีที่ผมยังไม่สาย และโชคดีหรือไม่ไม่รู้ที่ยังพอมีเวลาเสวนากับมันนิดหน่อย ผมเงยหน้ามองมันแต่ก็เงียบ ไม่ใช่ไม่อยากตอบแต่ไม่รู้จะตอบว่าอะไรดี..

"เห็นมั้ย ผมบอกแล้วเดี๋ยวเราต้องเจอกันอีก" มันเดินมายืนพิงผนังข้างๆผม

"เออใช่ ถุงมือ.. โทษที อยู่บนรถ" รีบลงมาแล้วก็คิดว่าไม่ได้ซื้ออะไรอยู่แล้วเลยทิ้งกระเป๋าไว้บนรถ

"ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็ได้เจอกันอีกอยู่ดี" ผมอยากจะรู้จริงๆ มันทำหน้าตายแบบนั้นตลอดเวลาได้ไง

"ทำไมมั่นใจขนาดนั้น?"

"ตอบผมก่อนสิว่าทำไมมาอยู่ที่นี่ได้"

"เกี่ยวกันตรงไหนไม่ทราบครับ" ไม่เกี่ยว ไม่เห็นจะเกี่ยวเลยซักนิด

"เปล่า แค่งงว่ามาห้างทำไม่ไม่เดิน"

"ผมไม่ชอบเดินห้าง"

"แต่ชอบยืนมองคน?"

"ไม่ใช่.. ผมอยากขึ้นรถไฟ"

"ไปกับผมมั้ย" ทำไมประโยคแค่นี้ทำผมใจเต้นอย่างแรงได้นะ ผมไม่กล้าหันไปสบตามัน หันหน้าไปอีกทางน่าจะเป็นการกระทำที่เหมาะที่สุด

"ไปไหน" ไปไหนก็ไม่ไปทั้งนั้นแหละโว้ย

"อยากไปไหนพาไปหมด" พูดจริง?

"มาคนเดียวหรอ" เจอกันก็ตั้งหลายครั้งมันได้แต่ล้วงความลับผม ผมยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลยด้วยซ้ำ.. ความจริงผมไม่ใช่คนอัธยาศัยดีหรอก แต่ผมน่ะพูดมาก ชอบลืมตัวเล่าเรื่องส่วนตัวให้คนอื่นฟังประจำ แม้คนที่เพิ่งรู้จักกันไม่นานก็ตาม

"เหมือนจะรู้นะ" กวนตีน..

"อืม รู้ก็ได้ แล้วมาทำไร"

"มาเที่ยว" นี่ก็กวนตีน..

"อ่า.." ไปต่อไม่เป็นเลยกู

"มาเที่ยวคนเดียว ที่มาคนเดียวเพราะไม่อยากเป็นภาระคนอื่นและไม่ชอบมีใครมาเป็นภาระ" อ่าหะ..แล้วไงต่อ

"อยากพาไปเที่ยวแต่คงกลับมาไม่ทัน" มันพูดแล้วเอื้อมมือมายีหัวผมจนยุ่ง ผมมองค้อนมันไปที

"ไหนบอกไม่อยากมีภาระ" พูดออกไปแล้วเหมือนผมไม่พอใจประโยคก่อนหน้าของมัน แต่ที่จริงผมทำหน้าแบบนี้เพราะไม่ชอบให้ใครมาเล่นหัวต่างหาก..ไม่ใช่ไม่ชอบ แต่มันรู้สึกแปลกๆที่สกินชิปครั้งนี้ไม่ใช่พ่อแม่ อาม่า หรือเจ้ปั่น..เท่านั้นเอง

"แค่นี้ไม่เรียกภาระ เลี้ยงได้สบายมาก" ยัง ยังไม่เอามือออกจากหัวอีก..ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองแสดงสีหน้าแบบไหนออกไป แต่สีที่หน้าเห็นทีจะไม่พ้นสีแดง.. โว้ยยยย ทำไมต้องเขินกับการกระทำแบบนี้ด้วยวะ? อากาศร้อนกูเลยเพี้ยนมั้ง

"ดูแลตัวเองได้หน่า" พูดเหมือนกับว่ามันจะพาผมไปไหนจริงๆงั้นแหละ ทั้งๆที่ถ้ามีโอกาสผมก็คงจะไม่ไป.. แต่คำพูดที่หลุดจากปากไปคงเพราะผมเมาหมัด ไม่สิ..เมาฝ่ามือที่ลูบวนไปมาอยู่บนหัวนี่มากกว่า..

สกินชิปจะมีผลต่อจิตใจกูมากไปแล้วนะ!!

TBC.

---------------------------------------------------------------------------------
 :-[ :-[ :-[ มาแย้ววว เรื่องนี้ตอนแรกตั้งใจว่าจะเป็น3ตอนจบแต่ไปๆมาๆไม่จบแฮะ-.- ขอโควต้า4ตอนละกันเนอะ :o8:
หลักๆอยากให้สัมผัสบรรยากาศน่ารักๆแบบญี่ปุ่นแต่ภาษาอาจจะไม่สวยเท่าไหร่ยังไงก็ขอโทษด้วยนะคะะ

ออฟไลน์ ume

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
--สาม..คิดถึงเธอทุกวัน--
 
 
"ข่าวดีคือ..โรงแรมวันนี้มีไวไฟค่ะ แต่มีเฉพาะที่ล็อบบี้นะคะ" โห ดีใจน้ำตาจะไหล ผมไม้ใช่คนติดโซเชียลมากมาย แต่ถ้าใช้งานอินเตอร์เน็ตได้ก็คงจะดีกว่าละนะ เห็นทีงานนี้เจ้ปั่นจะดีใจสุด



"ดีเลย อาบน้ำเสร็จลงไปเล่นกัน" เจ้ปั่นนัดแนะเสร็จสรรพ ก่อนผมจะล้มตัวลงนอน



เจ้อาบน้ำก่อนเพราะออกมาก็ต้องทาครีมโน่นนี่ ส่วนผมน่ะหรอ อาบเสร็จก่อนเจ้จะทาครีมเสร็จซะอีก..



พอลงมานั่งล็อบบี้ซึ่งมีคนจำนวนไม่มาก เจ้ปั่น ผม คนในกรุ๊ปทัวร์อีก3คน กรุ๊ปนี้ส่วนใหญ่มีแต่คนสูงอายุ พี่นุ่นบอกว่าวัยรุ่นที่มาญี่ปุ่นส่วนไหญ่ไปเที่ยวโตเกียวกันหมด พวกผมเนี่ยแปลก เหอะๆ ทุกอย่างมันมีเหตุผลแค่พี่นุ่นไม่รู้เท่านั้นแหละ



ผู้ใหญ่ของบ้านผมนอนกันหมดแล้ว ส่วนของครอบครัวอื่นคงจะพักผ่อนเนื่องจากวันนี้เราเหนื่อยกันพอสมควร



ความจริงผมไม่มีความจำเป็นใดๆในการมานั่งอยู่ที่นี่ ที่ล็อบบี้..ง่วงนอนจะตายแต่ไปไม่ได้เพราะต้องอยู่เป็นเพื่อนเจ้ เจ้ไม่ได้บอกให้อยู่แต่ผมต้องอยู่ มันเป็นหน้าที่ที่ดีของน้องชาย



ผมเดินไปเซเว่นข้างโรงแรมซื้อขนมเล็กน้อยมานั่งกินเป็นเพื่อนเจ้กันหลับ ไม่มีอะไรทำเลยเปิดดูรูปที่ถ่ายไว้



ผมชอบถ่ายรูปในมุมที่คนส่วนใหญ่ไม่ให้ความสนใจ รูปในมุมมองของผมจึงไม่เหมือนในหนังสือท่องเที่ยว เลื่อนดูเรื่อยๆก็เจอรูปตัวเอง..



เป็นรูปของผมเมื่อวานที่ร้านขายของฝาก..ผมกำลังมองหน้ากากแล้วยิ้ม ซึ่งมันคือรอยยิ้มที่มีความสุข ผมชอบรูปนี้นะถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่รูปที่ผมตั้งใจให้เป็นก็เถอะ



ผมจัดการลงรูปนั้นในแอปพลิเคชั่นแชร์รูปแอปหนึ่งพร้อมแคปชั่น "ถอดหน้ากากแล้วครับ นี่หน้าจริง จริงใจจริงๆนะ cr.โอบ" รูปของผมทุกรูปถ้าไม่ได้เป็นคนถ่ายเองผมจะใส่เครดิต เจ้ปั่นเรียนสายนี้ซีเรียสเรื่องเครดิตมาก



นั่งดูรูปเพื่อนที่ไปเที่ยวเหมือนๆกัน บางคนใกล้หน่อย บางคนไกลหน่อย บางคนบ่นว่าไม่ได้ไปไหนหารู้ไม่ คนพวกนี้สบายจะตาย



"ใครคือโอบ?" เจ้ปั่นที่นั่งอยู่โซฟาตรงข้ามถามขึ้น



"เพื่อนปันเองเจ้ เจอที่นั่นแหละเลยให้ถ่ายให้หน่อย"



"เจ้ไม่เห็นรู้ว่าปันมีเพื่อนชื่อโอบ" คิ้วเจ้เริ่มขมวด อย่ากทำหน้างั้นดิเจ้ เดี๋ยวแก่ไวไม่รู้ด้วยนะ



"เจอกันที่นี่ครับ แหะๆ"



"เรานี่จริงๆเลยนะ เป็นเพื่อนกับทุกคนที่เจอใช่ว่าเค้าจะเห็นเราเป็นเพื่อนเหมือนกันนะ ไหนจะเจ้าของถุงมืออีก"



"เจ้าของถุงมือก็โอบนั่นแหละเจ้ คนนี้ไว้ใจได้เจอกันบ่อยไม่มีพิษไม่มีภัย" นี่ผมปกป้องมันอยู่นะ ทำไมสีหน้าเจ้ถึงดูเป็นกังวลยิ่งกว่าเก่าล่ะ



"เจอกันหลายรอบแล้วหรอ แล้วเค้าเข้ามาคุยกับเราก่อนหรือยังไง มิจฉาชีพรึเปล่า ระวังตัวไว้นะปันมีอะไรบอกเจ้"



"ปันทักมันก่อนตลอดแหละเจ้ เจอกันทุกครั้งก็บังเอิญ ไม่อันตรายหรอกเชื่อปันดิ"



"เรานี่มันจริงๆเลย ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลรีบบอกเจ้ไม่ก็พ่อกับแม่นะรู้มั้ย" เจ้ส่ายหัวเอือมระอากับผมเต็มที่ผมได้แต่ยิ้มอ่อนๆและพยักหน้าช้าๆรับคำ



"จะไปนอนยังปันง่วงแล้ว"



"ไปเลยก็ได้ไม่มีอะไรทำแล้วเหมือนกัน" เป็นอันสิ้นสุดวันนี้โดยที่ผมยังไม่ได้เปิดอีกแอปพลิเคชั่นนึง..แอปพลิเคชั่นสำหรับแชท แค่เห็นจำนวนข้อความว่า999+ ผมก็ขอทำใจอีกวันสองวันแล้วกันค่อยเปิดดู







วันนี้เป็นวันที่3ที่ประเทศเล็กๆแห่งนี้..อยู่ที่นี่แล้วเวลาเดินเร็วแปลกๆ วันนี้ช่วงเช้าเราจะไปชมปราสาทมัตสึโมโตะ ซึ่งมีอีกชื่อว่าปราสาทอีกาเนื่องจากมีสีดำสนิททั้งตัวปราสาท ผมจำรายละเอียดได้เท่านี้เพราะไม่ค่อยได้สนใจฟังเท่าที่ควร



ต่อแถวเข้าไปในบริเวณปราสาทได้แล้วด้านในมีส่วนที่เป็นสวนและส่วนที่เป็นตัวปราสาท เราสามารถเข้าไปชมด้านในได้แต่แถวยาวมาก ผมคนนึงแหละที่ขอบาย ผมมาเที่ยวครั้งนี้ไม่ได้ต้องการเที่ยวแบบลงมาถ่ายรูปๆๆแล้วก็ไปที่อื่นต่อ แต่ผมอยากมาซึมซับบรรยากาศมากกว่า เลยเฉยๆกับการที่จะต้องเข้าไปข้างใน



เมื่อถ่ายรูปให้สาวๆกันจนหนำใจ อากาศร้อนพอควรเราเลยไปหาน้ำดื่มกัน ผมชอบกดตู้กดน้ำมาก ไม่มีเหตุผลแต่ชอบ ผมกดให้แม่ เจ้ และตัวเอง เรา3คนเดินไปหาที่นั่งใกล้ๆคนอื่นๆไปไหนกันหมดไม่รู้



"นั่นอะไรอ่ะ" เจ้พูดพร้อมชี้ไปที่ตู้2อันที่อยู่ข้างกันแล้ววิ่งไปดู "น่ารักอ่ะ ปันเจ้ขอเหรียญหน่อย"



แม่ดันหลังผมให้เดินไปทางเจ้ เจ้แต่งตัวสวยครับและชุดสวยๆส่วนใหญ่จะไม่มีกระเป๋า เพราะงั้นหน้าที่แบกสำภาระทั้งหมดของเจ้ก็ตกเป็นของน้องชายแสนดีแบบผม



"มันคืออะไรอ่ะ" ชะโงกหน้าไปดูแต่ก็ไม่รู้อยู่ดีว่ามันคืออะไร



"ที่ทำพวกกุญแจไง ก่อนอื่นต้องหยอดเหรียญ" เจ้พูดพร้อมกับทำท่าประกอบ "จากนั้นก็กดชื่อเรา แบบนี้.. แล้วก็กดโอเค จากนั้นก็รอ" หันมายิ้มกับผมราวกับเป็นผู้ชนะอะไรซักอย่าง



เสียงเครื่องจักรดังขึ้นจากด้านในคงจะเป็นการกระทบกับระหว่างการตอกชื่อลงไป เมื่อเสียงเครื่องหยุดลงก็มีเสียงเหรียญหล่นลงที่ช่องรับของด้านล่าง



"น่ารักเนอะ ปันทำบ้างดิ" อวดผมเสร็จก็วิ่งไปอวดแม่ต่อ เจ้โตแล้วจริงๆใช่มั้ยเนี่ย



ผมยืนจ้องเครื่องปั๊มพวกกุญแจหน้าตาประหลาดๆนี่ ก่อนตัดสินใจหยอดเหรียญลงไปบ้าง ทำแบบที่เจ้ทำเป๊ะ สิ้นสุดการรอคอย..ผมหยิบพวงกุญแจโลหะแผ่นกลมที่มีรูปปราสาทและกรอบด้านนอกเขียนว่า..'FANG' หวังว่าฟางจะชอบของฝากชิ้นนี้จากผมนะ



ผมจัดการเก็บเรียบร้อยแล้วเดินไปสบทบกับแม่และเจ้ รออีกไม่นานคณะที่เหลือก็มารวมตัวกันเพื่อไปยังสถานที่ต่อไป..





ตอนบ่ายเราไปแวะกันที่วัดแห่งหนึ่งลัษณะเหมือนวัดญี่ปุ่นทั่วไป เก่าแก่.. ตอนนี้ผมกำลังนอนเล่นอยู่ในห้องซึ่งเป็นห้องนอนของผมกับเจ้



วันนี้เรามาพักกันที่โรงแรมเรียวกังแห่งหนึ่ง คือนอนที่พื้นนั่นเองพูดง่ายผมกับเจ้เปลี่ยนเป็นชุดที่ทางโรงแรมเตรียมให้เป็นชุดคลุมสำหรับเตรียมไปออนเซน



เมื่อทานข้าวเย็นกันเรียบร้อยแล้วก็แยกย้าย พวกผู้หญิงนัดกันตอน2ทุ่ม..



"ปันไม่ไปออนเซนหรอ" เจ้ถามก่อนออกจากห้องซึ่งมีแม่ คุณป้าและอาม่ารออยู่หน้าห้องแล้ว



"เดี๋ยวปันค่อยไปขอทำใจก่อน"



"ตามใจ แต่มาทั้งทีควรไปแช่นะ ไม่ได้มีโอกาสบ่อยๆ"



"ครับๆ คร๊าบบบ" ผมอายจริงๆนะถึงจะเป็นผู้ชายด้วยกันก็เถอะ ผมกะว่ารอดึกๆคนน่าจะนอนก่นหมดแล้วเดี๋ยวค่อยลงไปคนเดียวชิวๆ



หลังจากเจ้ออกไปไม่นานก็มีเสียงเคาะประตูห้องอีก คราวนี้เป็นอากง คุณลุงและพ่อ ผมบอกปฏิเสธไปก็โดนทับถมมาต่างๆนานา ของผมเล็กไม่กล้าโชว์บ้างล่ะ ป๊อดบ้างล่ะ เอาเถอะจะพูดอะไรก็พูดไปผมไม่ไปซะอย่างใครจะทำอะไรผมได้..



เจ้กลับมานอนผมนอนกลิ้งไปมาบนเตียอจนใกล้จะหลับไปจริงๆ



"คนหมดยังเจ้" เป็นคำถามที่ไม่ควรถาม เพราะห้องของผู้หญิงกับผู้ชายมันแยกกัน



"นี่อย่าบอกนะว่ายังไม่ได้ไปน่ะ"



"กำลังจะไปแล้วเนี่ย" ผมเดินเอาหัวไปถูไหล่พี่สาวส่วนมือก็กอดเอวไว้หลวมๆ



"จะไปก็รีบไป ดึกมากเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ไม่ตื่นหรอก"



"รู้แล้วหน่า" ถูๆหัวอีกสองสามทีก็ไปหยิบผ้า เอ่อ เรียกว่าผ้าเช็ดผมน่าจะเหมาะกว่าเพราะผืนมันเล็กกว่าผ้าเช็ดตัวหลายเท่า แล้วผมก็เดินไปออเซนอย่างอารมณ์ดี



วันนี้มีความสุขจังเลย ทุกวันของผมมีความสุขจังเลย ไม่มีวันไหนในชีวิตที่ผมอยากกลับไปแก้อะไรทั้งนั้น..



ผมถอดเสื้อคลุมใส่ไว้ในล็อกเกอร์ โหย หวิวชะมัด ขนาดไม่มีคนผมยังอายฟ้าดินเลยนะเนี่ย

ผมเดินเข้ามาในส่วนของบ่อน้ำ ออนเซนที่นี่มี2ส่วน ส่วนแรกด้านในเป็นเหมือนสระว่ายน้ำที่มีน้ำร้อนอยู่ อีกส่วนคืออยู่ภายนอกติดกับภูเขา อากาศเย็นมากแต่น้ำก็ร้อนมากเช่นกัน



บ่อภายนอกตกแต่งให้กลมกลืนกับธรรมชาติมีต้นไม้และก้อนหินวางอย่างสวยงาม ยืนนานๆผมชักเริ่มหนาว เมื่อทำใจได้ผมก็ค่อยๆหย่อนขาลงไป



เริ่มจากลงไปถึงแค่ตาตุ่ม..หัวเข่า..ขาอีกข้าง..จนสุดท้ายก็กลั้นหายใจกดทั้งตัวลงไปนั่ง ผ้าเช็ดผมผืนเล็กถูกจุ่มน้ำบิดหมาดๆแปะอยู่กลางหัว..อา สบายชะมัดยาดเลยแฮะ



"อ้าวคุณ" ผมลืมตาขึ้นมองไปยังแหล่งกำเนิดเสียง เฮ้ยย นั่นมันโอบชิบหายแล้วกู ไอ้เรื่องที่มีคนเนี่ยไม่เท่าไหร่เสือกเป็นคนรู้จักเนี่ยดิ..



"ยะ..หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ!!" มันกลั้นขำแต่ยังไม่ยอมหยุดเดินเข้ามาใกล้ ไม่ได้สนิทกันขนาดที่จะมาแก้ผ้านั่งข้างๆกันนะโว้ย อยากจะลุกหนีแต่ถ้าลุกมันได้เห็นผมเปลือยทั้งตัวแน่ เอาไงดีวะกู คิดสิปันคิดโว้ย



"บังเอิญจังนะ" ขณะที่ผมเลิ่กลั่กอยู่นั้นมันก็ไม่มีท่าทีทีจะหยุดเดินเลยแถมยังชวนคุยเหมือนไม่ได้ยินประโยคก่อนหน้าของผมงั้นแหละ



"ผมไม่ค่อยเชื่อคำว่าบังเอิญของคุณแล้ว"



"ผมก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน" ตอนนี้มันเดินมานั่งข้างๆผมแล้ว ผมนี่ตัวแข็งเลยครับ ตัวนะตัววววว อายจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี



"คุณมาได้ไง" สงสัยจริงๆนะ ไหนๆก็หนีไม่พ้นแล้วขอถามหน่อยเหอะ อะไรมันจะบังเอิญซ้ำซ้อนขนาดนั้น



"เดินมาจากห้องน่ะ มีอะไรหรือเปล่า" หันมาตอบด้วยความอินโนเซนต์แบบนั้นได้ยังไงงงง กวนตีนแล้วไอ้โอบ หรือกูถามไม่เคลียร์เอง



"ผมหมายถึงมาพักที่นี่ได้ไงต่างหาก"



"ต้องการคำตอบแบบไหน" ทำไมอยู่ๆน้ำเสียงมันก็ดูจริงจังซะงั้น กูตามไม่ทันนะฮะบอกก่อน



"คำตอบที่ตรงคำถาม"



"พี่ตามปันมา"



"ตลก" แล้วมาใช้สรรพนามพี่เพ่ออะไรฟังแล้วขนลุก บรึยย



"พอบอกไปก็ไม่เชื่อซะงั้น ไรวะ"



"ได้ยินนะครับ" ถึงจะหันไปพูดกับตัวเองอีกด้านก็เหอะ ผมจับไหล่มันบิดให้หันหน้ามาหาผมแต่มันไม่ยอมหันตามแรงผม



"เป็นอะไรครับคุณโอบ ทำไมอยู่ๆไม่กล้าสบตาผมหรอ" พูดทีเล่นทีจริงแล้วชะโงกหน้าไปดูหน้ามัน เป็นอะไรของคุณวะครับ



"ทำไมหน้าแดง เขินผมหรอ ฮะๆ"



"เปล่าซะหน่อย น้ำร้อนจะตาย หน้าแดงก็ปกติ"



"แก้ตัวน้ำขุ่นๆเลยนะครับคุณ ไม่เขินก็หันมา หันมาหน่อยเร็วอยากเห็นหน้าจัง" การแกล้งคนเป็นความสุขอย่างหนึ่งของผม ผมจับโครงหน้ามันด้วยมือสองข้างแล้วบังคับให้หันมาจ้องตากับผม..



ตึกๆ..



ทำไมอยู่ๆใจผมเต้นแรงขนาดนี้เนี่ย ผมละสายตาไปจากมันไม่ได้เลย.. ทุกอย่างราวกับหยุดเคลื่อนไหวหน้าขอบโอบขยับเข้ามาใกล้ผมเรื่อยๆ ใกล้จนรู้สึกถึงลมหายใจ..



ถึงตอนนี้ผมไม่กล้าลืมตาแล้วครับ หลับตาปี๋เลยแหละ..



รู้สึกถึงสัมผัสเบาบางที่ริมฝีปากแล้วจางหายไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับเสียงหัวเราะในลำคอขอคนข้างๆ ตอนนี้หน้าผมร้อนมาก ถ้ามีเทอร์โมมิเตอร์มาวัดคงร้อนกว่าน้ำในบ่อนี่แน่ๆ



ผมรี่ตาข้างนึงมองไปที่มัน ยังไม่หยุดขำอีกตลกมากนักเหรอไง!!



"ขำอะไรไม่ทราบ"



"ทำไมหน้าแดง เขินผมหรอ ฮะๆ" มันล้อเลียนผมมมม ใครก็ได้ช่วยทีผมไม่ชอบความพ่ายแพ้แบบนี้เลย..



"นะ..น้ำมันร้อนหรอกเว้ย หน้าเลยร้อนด้วย" ผมหันหน้าหนีเลยครับ ไม่กล้าสบตามันแล้ว มันยังขำอยู่เลยอ่ะ จะให้กูรู้สึกผ่ายแพ้ไปถึงไหนวะ



"วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็ได้ พี่ไม่รีบ"



"รีบอะไรของคุณมึงครับ" สุดท้ายแล้วผมก็ต้องหันไปเผชิญหน้ากับมันอยู่ดี



"จะอยู่ถึงกี่โมงอ่ะ" กรุณาสนใจคำถามกูด้วยครับ



"เรื่อยๆง่วงก็กลับ" กูก็บ้านจี้ตอบคำถามมันเนอะ



...



เกิดความเงียบครอบคลุมในพื้นที่ครับ ผมที่ทำตัวไม่ค่อยจะถูกอยู่แล้วเจอสถานการณ์นี้เข้าไปมือไม้นี่เกะกะไปหมด



"อย่าเงียบสิ"



"แล้วจะให้พูดอะไร"



"อะไรก็ได้ชวนคุยหน่อย พี่พูดไม่เก่ง"



ขอมาขนาดนี้ผมก็จัดให้สิครับจะรออะไร ผมมีเรื่องเล่าเยอะติดที่ไม่ค่อยมีใครฟังเท่าไหร่ ผมพ่นเรื่องราวต่างๆในชีวิตผมให้มันฟัง มันก็ดูตั้งใจฟังดีนะถามบ้างประปราย คุยกันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก่อนหน้านี้เลยให้ตายเหอะผมเสียหายนะเนี่ย



"แช่นานกว่านี้ตัวเปื่อยแน่ อาบน้ำแล้วไปนอนเหอะ"



"โอบไปก่อนเลย ผมขอเวลาแป๊บนึง"



"ไปพร้อมกันเนี่ยแหละ เดี๋ยวถูหลังให้" คำพูดน่ะผมเฉยๆนะแต่สายตาที่มันมองมาเนี่ยดิ เลือดสูบฉีดดีอีกแล้ว ใจเต้นแรงหน้าร้อนอีกแล้วววว



"ล้อเล่นน่า ไม่แกล้งแล้วๆขึ้นมาเร็ว" มันก็ยืนเต็มความสูงยื่นมือมาให้ผม อยากรู้จริงๆว่าหน้ามันทำด้วยอะไรไม่อายเลยเหรอไงกัน



"ก็บอกว่าอีกเดี๋ยวไง ไปก่อนเลย"



"อายอะไร ก็เห็นหมดแล้วเนี่ย" โว้ยยยย นี่มันอ่านใจคนได้เรอะะ



"ไม่ได้อายซะหน่อย" ผมพูดติดหงุดหงิดนิดหน่อยแต่ก็ยอมให้มันจับมือดึงขึ้นไปบนขอบบ่อ



"ดูดิมีไอออกจากตัวเต็มเลยอ่ะ เหมือนปล่อยพลังได้เลย ฮ่าๆๆ" พอขึ้นมาจากน้ำร้อนร่างกายสัมผัสอากาศเย็นแบบนี้แล้วมันรู้สึกดีชะมัด มีไอออกมาจากตัวทั้งตัวผมและโอบ ตัวเราทั้งคู่ตัวแดงมากๆแต่ตัวผมเห็นเป็นสีแดงชัดกว่าเนื่องจากขาวกว่ามันนิดหน่อย



ผมกับมันแยกกันอาบน้ำคนละมุมอาบเสร็จก็เก็บของเตรียมกลับห้อง



"อยู่ห้องไหน เดี๋ยวเดินไปส่ง"



"เฮ้ย ไม่เป็นไร ดึกแล้วไปนอนเหอะ"



"ตามใจ"



"ชั้นไหนครับ" ตอนนี้เราอยู่ในลิฟท์



"กดก่อนเลย" เป็นมารยาทที่ผมถูกสอนมาให้คนที่อยู่ใกล้กดก่อนเลยถ้าชั้นใกล้กันจะได้เดินขึ้นลงเอาประหยัดพลังงาน



"บังเอิญไปมั้ยเนี่ย"



"อย่าบอกนะว่าอยู่ชั้นนี้อ่ะ" ผมพยักหน้า มันยิ้มเป็นยิ้มที่น่ามองเป็นยิ้มที่ดูมีความสุขมากแต่เหมือนพยายามจะกลั้นไว้



"เออใช่ เดี๋ยวแวะห้องผมก่อนจะคืนถุงมือ" ผมพูดทำลายความเงียบเมื่อลิฟท์เปิดออก



"ได้ครับผม" พูดเฉยๆก็ได้ไม่ต้องตะเบะหรอกน่า ผมส่ายหัวยิ้มๆ มันยิ้มอ่อนโยนให้ แล้วแปะมือมายีหัวผม



ตึกๆ..



อีกแล้ว มาอีกแล้ว สกินชิปมีผลต่อสภาพกายและจิตใจของผมมากจริงๆ



"อื้อ.." ผมโคตรจะหวั่นไหวกับการถูกสัมผัสแบบนี้เลย ยอมให้โอบลูบหัวอยู่พักนึงก่อนตัดใจผละออกมาแล้วเดินนำไปที่ห้อง



ผมเปิดประตูเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไฟปิดสนิทเป็นสัญญาณบอกว่าเจ้หลับแล้ว ผมเดินคลำทางไปที่กระเป๋าที่ไม่ห่างจากประตูมากนัก ยังพอมีแสงไฟจากด้านนอกสาดเข้ามา ควานหาถุงมือแล้วเดินออกไปหาโอบที่ยืนรออยู่นอกห้อง



"ขอบคุณมากนะ ถ้าไม่ได้ถุงมือนี่แย่เลย" เออว่ะ ลืมสิ่งสำคัญไปเลย..ยืมของคนอื่นเวลาคืนก็ควรจะมีของเล็กๆน้อยๆให้สินะ โอบรับถุงมือไปแต่ยังแบมือค้างไว้อยู่



"อะไรอีก?"



"ไม่มีของตอบแทนหน่อยเหรอไง ถ้าไม่ได้ถุงมือนี่แย่เลยนะ" มันจะล้อเลียนคำพูดผมไปเพื่ออะไรและเพื่อใครกัน แต่ผมก็รู้สึกผิดเล็กๆแฮะ



"ขอโทษที เจอกันคราวหน้าผมจะตอบแทนคุณก็แล้วกัน"



"ผมไม่อยากรอแล้ว เอางี้ หลับตาแล้วนับ1ถึง10ในใจนะ" อะไรของมันวะ แต่ถึงจะงงก็ยอมทำตามครับ ผมเป็นคนเชื่อคนง่าย



1

2

3

4

5

6

7

8

9

10



ผมลืมตาขึ้นพร้อมกับสัมผัสบางอย่างที่หน้าผาก..โอบจูบผม..อีกแล้ว..



"ฝันดีครับ"หน้าผมต้องแดงมากแน่ๆผมมั่นใจ



"ไอ้บ้า"



"อะไรเล่าก็ค่าตอบแทนไง ฮ่าๆๆ" มันหัวเราะพร้อมยีหัวผม



ไม่เข้าใจ..ไม่เข้าใจตัวเองเนี่ยแหละ ทำไมไม่โกรธ ทำไมไม่โมโหที่มันทำแบบนี้ และที่สำคัญ ทำไมไม่รู้สึกขยะแขยงเลยทั้งๆที่มันก็ผู้ชาย ผมก็ผู้ชายเช่นกัน..



ตอนนี้มันกลับห้องไปแล้ว ทิ้งความอุ่นวาบไว้ที่หัวและใบหน้าของผม..ฝันดีเช่นกันนะ..ได้แต่คิดมันคงไม่ได้ยิน



TBC.
 
------------------------------------------------------------------------------------------
หมดสต็อกแล้วค่ะ ขออนุญาติไปปั่นตอนต่อไปรัวๆTvT ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ กำลังใจชั้นดีเลยแหละ :pig4:

ออฟไลน์ RoseBullet

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1027
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +108/-2
ถ้า 4 ตอนจบ งั้นตอนหน้าก็จบแล้วสิคะเนี่ย เร็วจัง
โอบกับปันอะไร๊จะบังเอิญเจอกันได้บ่อยขนาดนี้เนี่ย ยิ่งฝ่ายนึงมากับทัวร์ อีกฝ่ายเที่ยวเองคนเดียวแล้วด้วย
ถ้าไม่ใช่บังเอิญแพลนพวกแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นซิกเนเจอร์หรือสถานที่ที่ทัวร์นิยมพาไปตรงกันแล้วล่ะก็
ต้องเป็นฝ่ายโอบนั่นแหละที่แอบตามปันไปแน่ๆ เพราะไปคนเดียว ยืดหยุ่นแพลนได้เอง เอ๊ะ แต่ขนาดโรงแรมยังพักที่เดียวกันเลยนะ
แล้วฟางกับปันนี่ก็ตกลงเป็นเพื่อนกัน ก็คงไม่มีปัญหาอะไรเนอะ พอดีเห็นคนเขียนปูข้อมูลตรงส่วนของฟางกับปันมาด้วย
เลยไม่แน่ใจว่าจะมีเหตุการณ์อะไรในอนาคตเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของสองคนนี้หรือเปล่าน้า แต่เรื่องจะจบแล้วนี่นา
ตอนล่าสุดเค้ามีจุ๊บๆจูบหน้าผากกันแบ๊ววว อุ๊ยตาย รวดเร็วทันใจ นี่พี่โอบหลงรักน้องตั้งแต่แรกเจอหรือเคยเจอมาก่อนรึเปล่าคะ
กลับไทยแล้วอาจจะเจอกันยากไหม อย่าลืมขอช่องทาการติดต่อด้วยน้าทั้งสองคน

ส่วนตัวชอบรายละเอียดเล็กๆน้อยๆที่คนแต่งใส่มาระหว่างการท่องเที่ยว อธิบายไม่ถูกนะ แต่รู้สึกได้ฟีลคนไปเที่ยวจริงๆ
คือไม่ได้จัดเต็มข้อมูลสถานที่ท่องเที่ยวเยอะเกินไปจนทำให้กลายเป็นนิยายกึ่งสารคดีท่องเที่ยว
แต่มาได้โมเม้นต์ต่างๆที่เวลาไปเที่ยวต่างประเทศเราๆก็อาจรู้สึก หรือพบเจอกับอะไรประมาณนี้น่ะค่ะ
/รู้สึกว่าตัวเองอธิบายได้งงมากๆ ฮ่าาาาา
 :hao7:

ออฟไลน์ boobooboo

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 748
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-2
น่ารักอ่ะ

ออฟไลน์ ReiSei

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1377
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +64/-5
อุ๊ยน่ารัก ชอบๆๆ  โอบนี่ตามเขามาจริง ๆ ใช่มั้ย คืออะไร รักแรกพบเหรอ แฮ่

ออฟไลน์ monoo

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1957
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +101/-4

ออฟไลน์ ume

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
--สามวันนี้เป็นวันสงกรานต์--

"จะไปไหนก็ได้แต่ห้ามสีลม"

"คร๊าบบ ครับๆๆ"

"จะเชื่อใจได้มั้ยเนี่ย"

"ได้ยินนะเว่ยครับ" บ่นจริงๆ ถ้ารู้ว่าขี้บ่นขนาดนี้นะ..จะ..จะ..ก็รักอยู่ดีแหละวะแม่ง

ผมโทรไปบอกโอบว่าจะไปเล่นน้ำกับเพื่อนสิ่งแรกที่มันตอบกลับมาคือ..ข้างต้นเลยครับ

"รู้มั้ยเนี่ยว่าเป็นห่วง"

"อืม" เขินนะเว่ยไอ้บ้านี่หนิ

"ว่าไงนะ"

"เออ รู้แล้วๆ ไปบ้านเพื่อนม.ปลายไม่ใช่สีลมหรอกน่า"

"บ้านเพื่อนอยู่ไหน"

"อยุธยา" ไม่มีอะไรต้องปิดบังกันอยู่แล้ว ตั้งแต่คบกันมาผมไม่เคยโกหกมันเลยนะ

"ใครไปบ้าง" เฮ้ยไอ้นี่หนิ

"หลายคนอ่ะต้องไล่ให้ครบเลยป่ะ"

"ได้ก็ดี" ไอ้บ้าโอบบบบ จะเกินไปแล้วนะ

"ไม่บอก แค่นี้นะ สุขสันต์วันสงกรานต์ถึงบ้านฝนแล้วเดี๋ยวโทรหา" ผมกดตัดสายไปก่อนที่เรื่องจะปานปลายไปมากกว่านี้

"แหม ไอ้เหี้ยปัน ไปไหนต้องรายงานตลอดเลยอ่อวะ" โดนตบหัวไปอีกกู

วันนี้เรานัดกันไปเที่ยวบ้านฝน ไอ้ฝนนี่เป็นผู้ชายนะครับ แมนๆดิบๆเลยแต่ชื่อมุ้งมิ้งสัด เจอกันที่อนุเสาวรีย์ตอน10โมงแล้วขึ้นรถตู้ต่อไปอยุธยา ตอนนี้เป็นเวลา10โมงครึ่งสมาชิกจาก5คนที่นัดไว้ตอนนี้มาแค่2คือผมกับมอส ส่วนที่เหลือน่ะหรอ เหอะ บีทีเอส รถเมล์และแอร์พอร์ตลิ้งค์ คราวหลังกูจะนัด9โมงสาสสส

11โมงตรงมีสมาชิกมาตามนัดหมาย4คนประกอบด้วยผม มอส ป่าน นิค ส่วนชมพู่ สมาชิกคนอื่นๆเห็นสมควรว่า..ทิ้งมันไว้ ตามไปเองแล้วกันนะช้าเองช่วยไม่ได้ เราออกเดินทางด้วยรถตู้เที่ยว11โมงตรงด้วยรถติดช่วงเทศกาลรวมเวลาเติมแก๊สต่างๆนานาทำให้ถึงบ้านฝนในเวลาบ่ายสอง

ทักทายพ่อกับแม่เก็บกระเป๋ากินข้าวด้วยความไวแสงเพราะหิวมาก เมื่อเช้าผมรองท้องไปนิดเดียวเอง กินเสร็จก็พุ่งไปที่ถังน้ำหน้าบ้านแล้วก็สาดดดด

เวลาแห่งความสุขมักผ่านไปไวเสมอ เราเลิกเล่นกันตอน4โมงเย็นด้วยสภาพตัวเปื่อยหน้าเละขั้นสุด เข้าบ้านมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากันเตรียมตัวไปกินหมูกระทะ

มันเหมือนเป็นงานประจำปีไปแล้วที่สงกรานต์จะต้องมาบ้านฝนและตอนเย็นไปกินหมูกระทะ เดี๋ยวตอนเย็นจะมีมาสมทบอีก2และพรุ่งนี้ตามมาอีก2 นี่ถือเป็นการรวมตัวของเพื่อนในห้องที่เยอะมากๆหลังจบม.6ไป เพราะห้องผมมีแค่18คนเองคนในโรงเรียนเรียกพวกเราว่าเด็กพิเศษซึ่งพวกผมไม่คิดงั้นนะ ทุกคนก็เพื่อนกันหมดป่ะวะ

ตอนนี้เราอยู่กันที่ร้านหมูกระทะใกล้บ้านเพิ่งสั่งกันได้ไม่นานฟางกับกิ๊บก็โทรมาบอกให้ไปรับหน้าปากซอย เป็นเจ้าบ้านที่อาสาแต่ฝนมันไม่อยากนั่งเหงกกลับมาคนเดียวเลยลากผมไปด้วยซะงั้น คือมันไม่ได้สนิทกับกิ๊บและฟางขนาดที่จะอยู่ลำพังแบบไม่คนอื่นอยู่ด้วยได้

รับฟางกับกิ๊บเรียบร้อยก็คุยกับเฮฮาตามประสาคนไม่ได้เจอกันนาน แล้วผมก็มีสายเข้า หันออกจากวงสนทนามารับโทรศัพท์แป๊บ

"ว่าไง" คนที่คุณก็รู้ว่าใครครับ

"อยู่ไหน โทรไปตั้งหลายสายทำไมไม่รับ"

"โทษที มาถึงเลทแล้วก็รีบๆด้วยก็เลย.."

"เอ้อลืมเลยปัน ขอบคุณสำหรับของฝากนะ ฟางชอบมากเลยแหละ" ตอนนี้รถจอดสนิทที่ร้านหมูกระทะแล้ว ทุกคนลงจากรถมุ่งหน้าไปยังโต๊ะที่ส่งเสียงโหวกเหวงเกือบที่สุดในร้านแต่ผม..ผมต้องหามุมที่เงียบที่สุดเพื่อคุยกับโอบเช่นกัน

"อย่าเงียบดิ" ผมใจคอไม่ดีเลยนะอย่าเป็นแบบนี้ดิวะ ผมผิดเองที่ไม่โทรหามันแต่ยอมรับก็ได้ว่าลืมจริงๆส่วนเรื่องฟาง ผมรู้ว่ามันไม่ชอบเลยไม่บอกตั้งแต่แรกไงว่าฟางมาด้วยแต่ดันมารู้เองแบบนี้มันก็คงรู้สึกแย่

"ขอโทษ" ผมรู้มันยังฟังอยู่ โอบไม่เคยตัดสายผมเป็นข้อดีเล็กๆข้อนึงที่ผมชอบ

"โอบ ปันขอโทษที่ไม่ได้โทรหา แต่รถมันถึงเลทมากทุกอย่างกะทันหันหมด จริงๆก็ลืมแหละไม่อยากแก้ตัวเลยเฮ้อ ขอโทษนะ"

"ทำอะไรนึกถึงคนอื่นมากๆหน่อยนะ" นั่นไง โดนเต็มๆ แต่ผมผิดเองจริงๆจะเถียงอะไรได้

"ขอโทษ ส่วนเรื่องแป้.."

"ช่างเหอะ"

"จะไม่มีอะไรเกินเลยกว่าคำว่าเพื่อน สัญญา"

"เชื่อมาตลอดแล้วก็จะเชื่อต่อไป"

"ตอนนี้กินหมูกระทะกันอยู่เดี๋ยวถึงบ้านแล้วเฟสไทม์หานะ รอด้วยล่ะ"

"อืม"

"ปันรักโอบนะ"

"รักเหมือนกันแหละน่า" มันทำผมเขินอีกแล้วให้ตายเหอะ ไม่เคยชินกับคำว่ารักของมันซักที

ผมสติไม่ค่อยอยู่กับตัวเท่าไหร่บนโต๊ะอาหารคิดแต่ว่าเมื่อไหร่จะถึงบ้านซะทีแต่ก็ไม่ได้ทำให้บรรยากาศกร่อยหรอกนะ นานๆจะมีโอกาศได้อยู่กันพร้อมหน้า

กลับถึงบ้านผมจองห้องน้ำคนแรกรีบวิ่งผ่านน้ำแล้วออกมา คืนนี้คงไม่ได้นอน คงมีวงไพ่วงเมาท์วงต่างๆนานาที่จะเปลี่ยนไปตามเวลาที่สมควร

คนอื่นๆผลัดกันเข้าไปอาบน้ำแล้วออกไปตั้งวงคุยกันรอคนที่เหลือส่วนผม..ปลีกตัวฮะ ยังมีเรื่องต้องสะสาง ผมโทรหาโอบด้วยสภาพอินเทอร์เน็ตที่ไม่เป็นใจเท่าไหร่

"นอนยัง" ถามไปงั้น นี่เพิ่งสามทุ่มเองมันนอนไม่ดึกแต่สามทุ่มนี่ถือว่ายังหัวค่ำ

"ยัง" หน้ามันไม่ยิ้มนั่นแปลว่าการง้อผ่านเสียงเมื่อครู่ไม่เป็นผล

"ทำไรอยู่" ชวนคุยเนียนๆไปก่อนแล้วกัน

"คุยกับปันไง" มุกหรืออะไร แต่หน้าตามันจริงจังมาก

"เฮ้อ"

"เป็นอะไร"

"เปล่า" ผมเคยบอกไปรึยังว่าโอบเป็นคนจริงจังถ้ายังขอบอกไว้ตรงนี้ บ่อยครั้งมากๆที่มันไม่เกทมุกผม

ความเงียบเข้าครอบงำเราสองคน ผมไม่ชอบบรรยากาศแบบนี้เลยต่างคนต่างก็มีเรื่องที่อยากคุยแต่ไม่มีใครพูดอะไรออกมาซักคำได้แต่จ้องหน้ากันไปกันมา

"ปันๆ ไอ้เหี้ยปันมึงมานั่งทำซากอะไรตรงนี้วะไปนู่นเค้าตั้งวงกันอยู่ตรงโน้น"

"สัด กูคุยโทรศัพท์อยู่" ผมด่าไอ้มอสที่เพิ่งออกมาจากห้องน้ำไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร

"โทษทีว่ะ ซีเรียส?" มันถามผมด้วยเสียงที่เบาลง

"เออ" มอสเป็นเพื่อนเก่าคนเดียวที่รู้ว่าผมคบกับโอบ นอกนั้นบางคนอาจจะรู้แค่ว่าผมมีแฟน แต่ไม่มีใครรู้ว่าเป็นใคร

"เออๆ กูไปละ" ผมโบกมือให้มันไปทีแล้วหันกลับไปหาโอบ

..จอมืดสนิท สัญญาณถูกตัดไปแล้ว อินเทอร์เน็ตไร้การเชื่อมต่อ ให้มันได้อย่างนี้สิเหี้ยเอ้ยยยย ผมหงุดหงิด โคตรหงุดหงิด รีบต่อสายหาโอบไม่ต้องเห็นหน้ามันแล้วตอนนี้ขอแค่ให้มันรับโทรศัพท์ผมเหอะ

"อืม" ชิบหาย ต้องโกรธขนาดไหนกันนะถึงรับโทรศัพท์ด้วยคำว่า'อืม'เนี่ย โอบโกรธผมไม่บ่อย แต่เป็นเรื่องเล็กน้อยที่ง้อแป๊บเดียวก็หาย ครั้งนี้มันอาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อยพวกนั้นที่สะสมมานานแล้ววันนี้ก็มีหลายเรื่องให้หัวเสียจริงๆ โอบโทรหาผม13สาย..ตอนเล่นน้ำผมเก็บมือถือไว้ในกระเป๋าเลยไม่รู้เรื่อง ไหนจะเรื่องฟางอีก ครั้งนี้ผมก็ทำเกินไปจริงๆ

"เมื่อกี๊เน็ตมันตัดอ่ะ ตรงนี้สัญญาณไม่ค่อยดี"

"นึกว่าเพื่อนเรียกซะอีก" เฮ้ยยย อาการไม่ดีแล้ว มันไม่ชอบการประชดและมันก็รู้ว่าผมเองก็ไม่ชอบ

"เฮ้ย พวกมึง กูเข้าห้องก่อนนะ" ผมไม่สนเสียงแซวเดินเข้าห้องแล้วล็อกประตูทันที

"คิดถึงโอบจัง"

"..."

"โอบคิดถึงปันมั้ย"

"..."

"อยากให้ทำไรยอมทุกอย่างเลยหายโกรธเหอะนะ ไม่ชอบแบบนี้เลย"

"..."

"ไม่อยากให้อยู่หรอ กลับเลยก็ได้นะมารับหน่อย" ถ้ามันทำให้โอบไม่สบายใจขนาดนั้นผมกลับก็ได้ อยู่ไปก็คงไม่สนุกแล้ว มันยังเงียบ ผมไม่ชอบแบบนี้เลยจริงๆ

"โอบ" เสียงผมสั่น เป็นอะไรของมึงวะต้องเข้มแข็งดิ

"อืม" 'อืม' แล้วไง?? แล้วผมต้องทำยังไงหรอ

"วันนี้สนุกมากเลย ไอ้มอสม่อหญิงอย่างเดียวไม่สนใจใคร ส่วนไอ้ฝนก็สาดเอาๆเด็กผู้ใหญ่ไม่เว้น.."

"..."

"วันนี้มากัน8คนแหนะ พรุ่งนี้จะมาเพิ่มอีก2 ตอนนี้คนอื่นกำลังเล่นไพ่กันอยู่ข้างนอก.." ผมเริ่มไม่ไหวแล้วนะ

"..."

"โอบ ถ้าปันวิดีโอคอลไปโอบจะรับมั้ย"

"..."

"งั้นปันวางตรงนี้แล้วนะ" ผมกดวางสายแล้วต่อสายวิดีโอไปหาโอบทันทีในห้องสัญญาณดีกว่ามุมอับข้างนอกนู่นเยอะ

"เห็นหน้าแล้วรู้สึกดีขึ้นเยอะเลยเนอะ" ทำไมเป็นผมที่พูดอยู่ฝ่ายเดียววะผมพยายามยิ้ม พยายามแล้วจริงๆนะ

"เอาหน้าเข้ามาใกล้ๆหน่อยอยากเห็นหน้าชัดๆ คิดถึง" มันทำตามที่ผมบอกแต่ไม่ยอมมองกล้อง

"วันนี้ดึกแล้วพรุ่งนี้มารับหน่อย"

"ไม่เป็นไร เล่นให้สนุกเถอะ"

"ถ้าโอบเป็นแบบนี้ปันไม่สนุกหรอกนะ" จนถึงตอนนี้ผมรู้สึกว่าบทสนทนามันไม่คืบเลยนะ ตกลงเราทะเลาะเรื่องอะไรกันอยู่กันแน่วะ ผมรักมันและผมก็มั่นใจว่ามันรักผม จะโกรธกันไปเพื่ออะไรเนี่ย

"ไม่โกรธแล้ว เล่นให้สนุกเถอะครับ"

"จริงๆนะ"

"อื้ม" มันยิ้มแล้ว ถึงจะดูเป็นยิ้มที่ฝืนๆก็เถอะ โอบเป็นคนพูดน้อยพอโกรธก็ยิ่งพูดน้อยเข้าไปใหญ่ด้วยความที่พูดน้อยการสื่อสารให้เข้าใจก็ยากแต่ผมเข้าใจ ก็รักไปแล้วนี่หว่าทำไงได้

"งั้นยิ้มดีๆดิ ยิ้มหน่อยเร็ว ยิ้มมมม" ผมยิ้มตาหยีเห็นรอยยิ้มเล็กๆของมัน โอเคผมถือว่ามิชชั่นคอมพลีท ง้อต่อหลังกลับไปนะโอบง้อทางไกลแบบนี้ไม่ถนัดเลยจริงๆอยากกอดอยากอ้อนก็ทำไม่ได้

"แล้วนี่จะนอนยัง"

"คนอื่นเล่นกันอยู่ข้างนอกอ่ะแต่ปันนอนเลยก็ได้" ออกไปผมคงไม่ได้คุยอะไรเท่าไหร่หรอก

"ไม่เป็นไรไปข้างนอกเถอะ ไม่เจอกันตั้งนานน่าจะมีเรื่องให้คุยกันนะ"

"ขอบคุณนะโอบ เจอกันวันที่15นะ"

"ครับ ฝันดีนะ"

"กู๊ดไนท์โอบ ฝันถึงปันด้วยนะ" ผมโบกมือหยอยๆแต่มันยังไม่ยอมวาง

"มีอะไรรึเปล่า"

"อยากกอดปัน" เย้ย โดนหมัดซ้ายเข้าเต็มหน้าผมนี่มึนเลยครับ

"อยากเหมือนกัน" ถ้าผมเป็นน็อตผมคงบิดตัวเองลงเกลียวได้แล้วเนี่ย

"กอดไม่ได้ขอจูบแทนแล้วกัน" มันยื่นหน้าเข้ามาใกล้จอ ไอ้บ้าเอ๊ย จะทำกูเขินไปถึงไหนเนี่ยฮะ ผมจุ๊บมันกลับไปได้ยินเสียงมันขำเบาๆก่อนที่เราจะกดวาง อยู่ดีๆเลือดก็สูบฉีดดีซะงั้น

ผมเดินออกไปคุยสัพเพเหระส่วนใหญ่จะหาสาระไม่ได้กับคนอื่นๆแต่ก่อนหน้านั้นก็โดนคำถามไปชุดใหญ่เกี่ยวกับ'คนนั้น'ของผม ผมเบี่ยงประเด็นโดยมีมอสเป็นตัวช่วยหลัก คุยกันพอหอมปากหอมคอก็แยกย้ายกันเข้านอน ที่ว่าแยกย้ายคือนอนที่ใครที่มันแต่ห้องเดียวกันแหละครับ มาอาศัยบ้านเค้าอยู่อย่าเรื่องมาก

"มึงโอเคแล้วใช่ป่าว" ไอ้มอสถามผม คนอื่นน่าจะหลับกันหมดด้วยความเพลีย ผมกำลังเคลิ้มๆเลย

"คิดว่าไงล่ะ" ยักคิ้วไปให้มันด้วย

"กวนตีนสัด ตอนทะเลาะกันหน้ามึงอย่างเหี้ย"

"ขนาดนั้นเลยอ่อวะ"

"เออ แผ่รังสีเลยแหละ"

"นิดๆหน่อยๆน่า มึงไม่เคยมีความรักมึงไม่เข้าใจหรอกพ่อมอสยอดรัก" ไอ้นี่กิ๊กเยอะตัวจริงไม่เห็นจะมี

"สัด นอนๆๆ พรุ่งนี้ลุยต่อ"

"อืม"


เช้าวันที่สองของเทศกาลวันนี้คึกคักไม่แพ้วันแรกตอนกลางวันเล่นน้ำกันเอาเป็นเอาตายตอนกลางคืนก็แดกเหล้ากันเอาเป็นเอาตายเช่นกัน นานทีปีหนกับเพื่อนเก่านี่มันมีความสุขมากๆจริงๆเลยนะ คืนนี้เราเล่นคิงกัน แต่ด้วยความสามารถหลบหลีกทำให้ผมรอดตัวบ่ายเบี่ยงไปได้ส่วนของคนอื่นๆก็หนักเอาการแต่ผมจะไม่เผาเพื่อนครับ

"ไว้มาเที่ยวใหม่นะลูก"

"มันก็มากันทุกปีแหละแม่"

"ไปก่อนนะคะไว้ปีหน้าจะมารบกวนใหม่" พวกเรากล่าวลาญาติๆของฝนแล้วขึ้นรถกลับกรุงเทพตอน10โมง เที่ยงตรงถึงอนุเสาวรีย์คนอื่นไปกินข้าวกันต่อแต่ผมขอแยกเลยเพราะผมมีนัด

ผมเจอกับโอบที่ห้างใกล้ๆจุดลงรถ โอบไม่พูดอะไรกับผมซักคำไหนว่าไม่โกรธไง

"ไปไหนกันดีอ่ะ"

"อยากไปไหน"

"ได้หมดเลยแล้วแต่โอบ" คิดว่ามีแพลนแล้วนะเนี่ยแต่ไปไหนก็ได้อยู่แล้วผมชิว

"งั้นกลับห้องนะ"

"ไม่อยากเล่นน้ำหรอวันสุดท้ายแล้วนะ" มันไปทำบุญกับครอบครัวแล้วก็รวมญาติ ผมรู้ว่ามันยังไม่ได้เล่น

"โตแล้ว" ครับพ่อคุณ โตแต่ตัวน่ะสิ

"แล้วแต่นะ"

บทสนทนาจบลงเท่านี้ รถแล่นตามทางไปเรื่อยๆกรุงเทพช่วงเทศกาลนี่มันสวรรค์ชัดๆ มีรถแทบนับคันได้ แต่ทำไมบรรยากาศในรถมันถึงมีรังสีความน่ากลัวแผ่ซ่านอยู่ล่ะ

"โอบไม่โกรธแล้วใช่ป่ะ"

"เรื่องอะไรล่ะ" ชัดเจน แม่งโกรธแต่โกรธเรื่องไรวะกูทำผิดหลายเรื่องรู้ตัว

"ขอโทษ ขอโทษสำหรับทุกเรื่องนะ"

"อืม ช่างมันเถอะ" มันเอื้อมมือมาลูบหัวผม ผมเลยเอนตัวไปพิงมันซะเลย โอ๊ยไม่เจอกันตั้งนานคิดถึงสัมผัสมัน

"ไปกินข้าวกันก่อนได้ป่าวหิวมากกก"

"ยังไม่ได้กิน?"

"รอกินพร้อมโอบ"

"กินแล้ว"

"จริงดิ งั้นไปนั่งเป็นเพื่อนก็ได้ นะๆๆ" มันไม่ตอบอะไรแต่ก็พาไปร้านอาหารแต่โดยดี

ใครเชื่อก็โง่แล้วว่ามันกินมาแล้วจริงๆน่ะ ตักเอาๆขนาดนั้น ระหว่างกินผมก็เล่านู่นนี่ให้มันฟังไปเรื่อยมันก็เออออตามประสา กินเสร็จผมชวนมันไปเล่นน้ำหน้าเซนทรัลเวิร์ล

"อยากเล่นอยู่แล้วก็บอก รู้น่า"

"ป่าวซะหน่อยเห็นปันอยากเล่น"

"เล่นมาสองวันแล้ววันนี้เฉยๆ"

"งั้นกลับ"

"เฮ้ย เดี๋ยวดิไหนๆมาแล้วไปเล่นหน่อย"

"ก็ปันเล่นกับเพื่อนตั้งสองวันแล้ว" ขมวดคิ้วอีกแล้ว โอ๊ยเข้าใจคำว่าแซวเล่นมั้ยเนี่ย

"เล่นกันเพื่อนกับเล่นกับโอบมันเหมือนกันซะที่ไหนล่ะ" ผมยิ้มให้มันตาปิด โอนหัวให้ด้วยเอาสิ มันขยี้หัวผมแล้วส่ายหน้าเหมือนทุกที ผมชอบบรรยากาศแบบนี้ระหว่างเรา

เราเดินออกมาหน้าลานเดินวนๆสองสามรอบตอนนี้บ่ายกว่าๆคนไม่มากเท่าไหร่ มีสาวๆมากหน้าหลายตามาขอประแป้งเราสองคน แต่โอบจับมือผมไว้ตลอดบางคนถึงกับหน้าเจื่อนเลยทีเดียว เรามาเดินเอาบรรยากาศไม่มีปืนหรืออุปกรณ์ป้องกันตัวใดๆทั้งสิ้น ตัวเปียกพอเป็นพิธีก็มานั่งพักในโซนที่ปลอดภัย

"เปียกขนาดนี้แล้วจะกลับยังไงเนี่ย"

"รอแห้งไงง่ายจะตาย"

"เหอะ"

"อย่าสะบัดหัวดิ เหมือนหมาเลยฮ่าๆๆ" มันยังไม่หยุดผมเลยเอาบ้าง เออสนุกดีเหมือนกัน

"เข้าไปเดินข้างในตอนนี้มีหวังป่วยแน่"

"แต่ข้างนอกมันร้อนจะตาย ไปเดินเล่นข้างในเหอะนะ เปียกไม่มากเท่าไหร่เดินแป๊บเดียวก็แห้งจะได้กลับเลย" โอบถอนหายใจหนักๆแต่ก็ยอมตามใจผมอยู่ดี

หลังจากเดินคากแอร์จนตัวแห้งตอนนี้ผมมานั่งรอโอบอาบน้ำอยู่ที่คอนโดมัน ผมมีเซอร์ไพรส์เล็กๆให้มันด้วยแหละ

"กินยากันไว้เลยนะปัน ไม่สบายแน่ๆดื้อชะมัดบอกอะไรก็ไม่ฟั.." โอบที่เช็ดผมออกมาจากห้องน้ำนิ่งไปพอเห็นเก้าอี้กับขันน้ำอบที่ผมเตรียมไว้ รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ตามประเพณีไทยไงครับ

"ทำอะไรอ่ะ"

"มานั่งเหอะน่า" ผมจัดแจงให้มันมานั่งเก้าอี้เอาขันใหญ่รองแล้วเอาขันเล็กที่ใส่น้ำอบไว้แล้วขึ้นมารดมือทั้งสองของมัน ตอนแรกมันก็ขัดขืนหน่อยๆแต่คงเพราะเห็นผมจริงจังเลยไม่ขัดอะไร..ทางร่างกายนะครับแต่สายตานี่บอกชัดเจนว่าเบื่อหน่ายหงุดหงิด แถมอาฆาตไปอีกอย่าง

"สวัสดีปีใหม่ไทย ปีนี้เป็นปีแรกที่เราผ่านวันสงกรานต์ไปด้วยกัน หวังว่าจะมีปีหน้าและปีต่อๆไปเรื่อยๆนะ ปันขอให้โอบมีความสุขมากๆ ไม่เอาดีกว่า ขอให้โอบมองทุกอย่างที่เกิดขึ้นให้มีความสุขนะ ขอบคุณสำหรับช่วงเวลาดีๆที่ผ่านมาที่อยู่ด้วยกันมาตลอด ปันรู้ว่าปันดื้อ งี่เง่าด้วยบางทีแต่โอบก็ทนได้และไม่เคยบังคับให้ปันเปลี่ยนอะไรเลย ขอบคุณนะ ขอบคุณจริงๆ" น้ำในขันเล็กหมดไปนานแล้วก็ความในใจผมมันเยอะนี่ ผมโผเข้าไปกอดมันทั้งที่ยังคุกเข่าอยู่ รู้ว่าวันสงกรานต์ไม่ควรพูดอะไรแบบนี้ ไม่ใช่วันคบรอบหรืออะไรสักหน่อย แต่ผมอยากทำทุกวันให้ดีที่สุด

มันยังนิ่งไม่ตอบอะไรกลับมา แต่การที่มันกอดตอบผมก็ทำใจผมพองโตไปแล้วแหละ

"ดีใจอ่ะดิ คิดไม่ถึงอ่ะดิว่าปันจะมาไม้นี้" ผมผละออกมาแล้วยิ้มล้อมัน จากหน้าที่ยิ้มอ่อนๆกลายเป็นกลั้นยิ้มแล้วในที่สุดมันก็ปั้นหน้าคุยชายผู้หยิ่งยโสได้เหมือนเดิม

"เล่นอะไรเนี่ย เพิ่งอาบน้ำมาเลอะเทอะหมด"

"เลอะอะไรกันเล่า นี่น้ำอบเพิ่งเทจากขวดเลยนะเว่ย"

"แล้วมารดน้ำดำหัวนี่มันอะไรกัน ว่าพี่แก่งั้นหรอ"

"เปล่านะ แค่รู้สึกว่าเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านแค่นั้นเอง"

"ลองดีหรอฮะ แบบนี้ต้องทำโทษ" ผมเห็นท่าไม่ดีก็เตรียมหนีสิครับรออะไร รู้แล้วเหยียบไว้นะผมน่ะบ้าจี้ หลบซ้ายขวาอยู่สองสามทีก็โดนมันจับได้

"โอ๊ย พอแล้วๆๆ ฮะๆ ฮ่าๆๆ หยุดก่อน โอบ" มันหยุดแล้ว แล้วผมก็รู้ด้วยว่าอยู่ในท่าล่อแหลมสุด มันคร่อมอยู่บนตัวผมด้วยสภาพเปลือยด้านบน

"คิดถึง" มันก้มต่ำมาเรื่อยๆ

"เขินนะเว่ย" ผมหันหน้าหนีมัน

"โถ่ กำลังจะซึ้งเลย" มันล็อคคอผมแล้วก้มลงประกบปาก จูบตอบสิครับรออะไร มันถอนริมฝีปากออกเมื่อผมใกล้หมดลมหายใจ หน้าแดงแน่ๆ หน้าแดงแน่ โอยทั้งอายทั้งเขิน

"พี่รักปันนะ รักมาตลอดและจะรักไปตลอดนะ"

เวลาส่วนตัวแล้วนะครับ สวัสดีปีใหม่ไทยนะครับทุกคน



--------------------------------------------------------------
สวัสดีปีใหม่ไปค่ะทุกคน หายไปเกือบเดือนแต่ยังเขียนได้ไม่คืบเลย(ร้องไห้ :z3:) ตอนนี้เกิดจากความอยากล้วนๆ เข้าบรรยากาศสงกรานต์กันหน่อยเนอะ ส่วนเรื่องหลักเราจะลงในเวลาไม่นานค่ะ ขอเวลาอีกไม่นาน..โดนตบ 55555

พี่โอบน่ารักเนอะ น้องปันก็น่ารักเหมือนกัน//หลงรักปันปัน ตอนนี้ตัวละครมั่วๆไปหน่อยใครไม่เก็ทขออภัยด้วยนะคะ

ปล.ตอนนี้เป็นพาร์ทหลังจากเค้าสองคนคบกันแล้วนะคะ ทามไลน์จะอยู่หลังเรื่องหลักอยู่หลายเดือนไม่งงเนอะ แหะๆ

ขอบคุณทุกคนที่หลง(?)เข้ามาอ่านนะคะ(ฮา) :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-06-2015 22:23:55 โดย ume »

ออฟไลน์ TheWanFah

  • ความใกล้ชิด บางครั้ง ทำให้เราเผลอคิดไปเอง
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
น่ารักกก

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ MSeraph

  • This too shall pass
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1751
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-3
น่ารักกกกกก
อยากมีโมเม้นอย่างงี้บ้าง

ออฟไลน์ ume

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
--วันนี้..วันสุดท้าย--


อีกสองวันก็จะกลับสู่โหมดโลกแห่งความจริงแล้ว ผมรู้ว่าไม่มีใครหยุดเวลาได้ และผมก็รู้ด้วยว่าชีวิตของผมก็ต้องเดินไปข้างหน้าเช่นกัน สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือซึมซับความรู้สึกดีๆและใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้มีค่ามากที่สุด

วันนี้เรามากันที่ตลาดเก่าชื่ออะไรผมจำไม่ได้..ที่นี่เหมือนตลาดร้อยปีที่ไทยแต่ต่างกันที่บรรยากาศและความรู้สึก เมื่อเดินเข้าไปด้านในมีคนนำของใช้ในบ้านมาวางขายเป็นตลาดมือสองย่อมๆ สถานที่ช็อปปิ้งแบบนี้ทำให้ผมเดินแยกกับแม่และเจ้ไปโดยปริยาย อากงอาม่านั่งรถ เค้าเรียกว่าอะไรนะ ช่วงนี้ผมมึนเบลอกับข้อมูลมากเอาเป็นว่ามันคล้ายสามล้อที่มีคนลากน่ะครับ ชมรอบๆตลาด..

ผมเดินเข้าไปในร้านขายของเล่นร้านหนึ่งมีโมเดลมากมายทั้งที่มีและไม่มีขายในไทย กะว่าจะแช่อยู่ที่นี่จนกว่าจะถึงเวลารวม

สถานที่ต่อไปคือสวนที่เราต้องเดินเข้าไปด้านใน เราทานข้าวกลางวันกัน มีร้านค้าขายของฝากเล็กๆอยู่ใกล้ๆ ผมกับเจ้ไปเดินเล่นรอพวกผู้ใหญ่ทานข้าว

ผมเห็นโปสต์การ์ดลายกบสองตัวอยู่บนใบบัว มันสวยดีในความรู้สึกผม ส่งจดหมายกลับบ้านไปหาตัวเองน่าจะเท่อยู่ ลุ้นดีด้วยว่าแอร์เมลล์จะไปถึงไทยมั้ย ผมหยิบโปสการ์ดไปที่เคาท์เตอร์จ่ายเงินพร้อมของมากมายที่เจ้ขนมา

"เจ้ซื้อเยอะขนาดนี้กะไปเปิดร้านที่ไทยเลยเหรอไง"

"เจ้ซื้อฝากเพื่อนย่ะ เพื่อนเยอะก็งี้"

"ครับๆๆ เพื่อนเยอะ ของผมอย่างเดียวฝากจ่ายนะ ขอบคุณมากเจ้"

"เด็กนี่หนิ" เจ้ว่าอย่างไม่ใส่ใจนัก ผมก็เพื่อนเยอะเหอะครับ แต่ตอนนี้ต่างคนก็ต่างแยกย้ายไปมีชีวิตที่โตขึ้นของตัวเอง นัดเจอกันทีคงลำบาก ของฝากคงไม่จำเป็นแค่ยังเป็นเพื่อนที่ช่วยเหลือกันในยามที่ใครต้องการก็พอ

ตอนนี้พวกผู้ใหญ่ทานข้าวเรียบร้อยทยอยกันเดินมาซื้อของฝาก อาม่าขนผักดองเยอะขนาดแจกคนได้ทั้งหมู่บ้าน บ้านละหลายถุงด้วย กินกันยันปีหน้าไปเลยครับ

ใกล้ถึงเวลารวมแล้ว พี่นุ่นนัดรวมที่รถดังนั้นต้องเผื่อเวลาเดินกลับ..ขณะกำลังเดินกลับฝนก็ลงเม็ดปรอยๆ พวกเราเร่งฝีเท้าเพราะอีกไม่นานฝนคงเทหนักกว่านี้ เจ้ปั่นรองเท้ากัดเป็นผมที่ให้เจ้ขี่หลังวิ่งขึ้นรถ ตัวเปียกกันพอควรกลับไปคงต้องกินยากันหวัด ผมแพ้อากาศ เจออากาศเปลี่ยนจากฝนเป็นแอร์เย็นๆบนรถนี่ท่าจะลำบากถึงจะหรี่แอร์จนเหมือนไม่ได้เปิดเลยก็ตามผมก็ยังรู้สึกหนาวอยู่ดี

เรากลับที่พักกันเลยเพราะนี่คือคืนสุดท้ายแล้วที่ประเทศนี้! จะว่าใจหายก็ใจหายนะแต่ถามว่าเป็นแบบนี้ดีมั้ยก็ตอบได้เลยว่าดี เวลาที่จำกัดทำให้เราเห็นค่าของสิ่งที่มีอยู่ ความจริงผมก็เริ่มคิดถึงบ้านที่ไทยแล้วหละ

เราเช็คอินโรงแรมพร้อมกระเป๋าที่ออกลูกออกหลานมากมาย ขามาไม่เยอะเท่านี้สาบานได้ลากกระเป๋าขึ้นไปเก็บบนห้องแล้วชวนเจ้ลงมานั่งเล่นที่ล็อบบี้ด้านล่าง วันนี้โปรแกรมคือให้พักผ่อนเต็มที่เตรียมเดินทางกลับ ใกล้ๆกันนี้มีห้างหลายแห่ง มีมินิมาร์ทเยอะแยะ คุณป้า อาม่า และแม่จะไปเลือกรองเท้าที่ห้างข้างโรงแรม แต่หญิงสามห่วงสวัสดิภาพของตัวเองจึงฉุดกระฉากผม..ชายหนุ่มเพียงคนเดียวที่น่าจะช่วยปกป้องทั้งสามได้..คิดงั้นกันจริงเหรอเนี่ย

"เจ้ไปกับผมเร็ว"ส่งสายตาอ้อนวอนไปให้เจ้ อย่างน้อยถ้าเจ้ไปจะได้ไปเดินโซนที่ไม่น่าเบื่อ ไปกับสาวน้อย(?)สามคนผมก็แย่น่ะสิ

"ไม่ไปอ่ะเจ้ยังเจ็บขาอยู่เลย ถ้าเจอยูนิโคล่เลือกเสื้อมาให้เจ้2ตัวนะ"

"เจ้โคตรทำร้ายปันอ่ะ" ผมหน้างอ แต่เจ้ยิ้มแฉ่ง

"โชคดีและสู้ๆนะน้องชาย" ไม่ต้องมาชูสองนิ้วเลย ผมโกรธจริงๆนะ

"ไปได้ยังห้างจะปิดแล้วนะ" นี่เพิ่งทุ่มนึงเองนะ

"ครับ คุณนาย" เห็นแม่ท้าวเอวอารมณ์บูดถ้าไม่รีบไปตอนนี้นางฟ้าจะกลายร่างเป็นนางยักษ์ได้ ทั้งๆที่ญี่ปุ่นขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่ปลอดภัยและห้างก็อยู่ถัดไปแค่นี้ แต่ก็นะผมก็เป็นลูกที่ดีเหมือนกันแหละน่าใช่ว่าจะใจร้ายใจดำเอาแต่ใจตัวเองซะเมื่อไหร่

ห้างที่นี่ไม่ต่างจากประเทศไทยเท่าไหร่คือจะแบ่งเป็นชั้นและเป็นโซน ต่างกันก็ที่แบรนด์และราคา ถึงค่าครองชีพที่นี่จะสูงแต่สินค้าแบรนด์เนมคิดเป็นเงินไทยแล้วถูกกว่าซื้อที่ไทยมาก ผมเข้าใจเลยทำไมคนมาเที่ยวถึงขนกันกลับไปแบบเอาเป็นเอาตายทั้งใช้เองและเพื่อการค้า

เข้าไปชั้นแรกก็เจอกับโซนรองเท้าและที่สำคัญมันเซลล์อยู่..ก็อย่างที่คิดแหละครับคุณผู้หญิงทั้งสามมีล็อคเป้าหมายและวิ่งเข้าใส่ทันที

"แม่ ผมไปดูชั้นอื่นนะ" ผมสะกิดแม่ที่ดูเหมือนจะไม่สนใจผมอีกต่อไปแล้ว

"โอเค สามทุ่มเจอกันตรงนี้นะ"

"ครับ" ผมเดินเข้าไปด้านในอีกหน่อยเห็นบันไดเลื่อนอยู่ไกลๆ วันนี้ชีวิตผมดีนะ สนุกดีมีความสุขดีแต่รู้สึกเหมือนมีบางอย่างขาดหายไป อะไรกันนะผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน

ขึ้นมาถึงชั้น2เป็นโซนเสื้อผ้าหลายแบรนด์มากเจ้ปั่นฝากซื้อสองตัวเพราะงั้นเข้าไปเลือกให้หน่อยก็แล้วกัน ผมรู้ว่าเจ้แต่งตัวแนวไหนเราเลยเลือกเสื้อผ้าให้กันได้โดยไม่มีการมาบ่นภายหลัง

ผมเลือกได้1ตัวแต่แถวนี้ยังไม่มีลายที่ถูกใจ เดินเลยไปหน่อยผมก็สะดุดตากับ..ผู้ชายคนนึง คนที่ไม่ได้เจอกัน1วันแต่ทำไมความรู้สึกของผมมันยาวนานกว่านั้น มาเห็นแบบนี้แล้วรู้สึกว่าหัวใจถูกเติมเต็มแปลกๆแฮะ

ผมไม่เคยเจอโอบในโมเมนต์แบบนี้เลย ที่ผ่านมามีแต่โอบที่มักเห็นผมและเข้ามาทักก่อนเสมอ

ไม่รู้ผมคิดอะไรแต่ปฏิกิริยาหลังจากที่เห็นโอบคือผมหาที่ซ่อน ไม่เข้าใจแต่ร่างกายมันเป็นไปแบบนี้ ผมหลบอยู่ในมุมที่คิดว่าโอบไม่มีทางเห็นแน่ๆ จะว่าไปมันก็เป็นคนที่เท่ดีเหมือนกันนะ ดูดึงดูดเวลาที่ได้มองแบบนี้ ผมว่าผมชอบมองมันแหละ

ว่าแต่..นี่มันโซนเสื้อผ้าผู้หญิงนะ มันเลือกไปให้ใคร แม่หรอ..ไม่น่าใช่ หรือว่าแฟน..อันนี้น่าคิด ไม่รอช้าครับ จากที่แอบๆอยู่กลัวมันจะเห็นใจจะขาดผมพุ่งเข้าหามันทันที

"แหนะๆ ซื้อฝากแฟนหรอน้องชาย" มันสะดุ้งเล็กน้อยก่อนทำหน้าประหลาดใจเมื่อเห็นว่าเป็นผม

"งงอะไรครับคุณโอบ"ผมเลิกคิ้วเชิงล้อเลียนมัน

"มาได้ไง"

"คิ้วผูกโบว์แล้วครับ" ไม่พูดเปล่าผมเอานิ้วจิ้มๆระหว่างคิ้วมันแต่ก็ไม่ช่วยอะไร ผมว่าผมคิดผิดมหันต์ที่โหล่ออกมาทักมัน แอบดูอย่างเดิมดูเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขกว่าเยอะ

"แล้วตกลงมาได้ไง?"

"แล้วทำไมผมจะมาไม่ได้ล่ะ ไม่มีป้ายห้ามผมเข้านี่ครับ"

"เฮ้อ" เฮ้ยอะไรอ่ะ จะมาถอนหายใจใส่หน้ากันแบบไม่นี้ไม่ได้นะเว่ย

"แล้วตกลงซื้อให้ใคร แฟนหรอ" ผมถามมันผมก็งงนะกว่ากูจะไปเสือกเรื่องของมันทำไมวะ

"แล้วคุณล่ะจะซื้อไปให้ใคร แค่พวงกุญแจยังไม่พอใช่มั้ย"

"ผมไม่เข้าใจ" ไม่เข้าใจจริงๆนะหมายความว่าไง เสื้อเจ้เกี่ยวอะไรกับพวงกุญแจแล้วพวงกุญแจไหนอะไรยังไง

"ช่างมันเหอะ เสื้อนี่ผมเลือกให้น้องสาว ผมยังไม่มีแฟน" ทำไมมันต้องหน้าหม่นลงแล้วทำไมผมรู้สึกว่าใจมันฟูแปลกๆ ช่วงนี้มีแต่เรื่องแปลกๆผมก็ทำตัวแปลกๆที่ตอบมันไปแบบนั้น..

"เสื้อเจ้ เจ้ฝากซื้อ ส่วนเรื่องพวงกุญ ผมไม่รู้ว่าคุณพูดถึงอะไร"

"ไม่มีอะไรหรอก ผมมันบ้า"

"โอบ ผมไม่รู้เคยบอกไปหรือยัง แต่ผมไม่ชอบการประชด" ปกติผมใจร้อนและเอาแต่ใจตามประสาตี๋เล็กเด็กชายที่เป็นลูกคนสุดท้องของคนจีน แต่ตอนนี้ผมกลับใจเย็นอย่างหน้าประหลาด ผมแค่ไม่ชอบความค้างคา มีอะไรก็เคลียร์เลยเรื่องจะได้จบ

"ผมเปล่าประชด"

"งั้นก็เรื่องของคุณแล้วกัน แต่บอกไว้เลยนะ ถ้ามีใครซักคนไม่สบายใจเพราะผมเป็นต้นเหตุ ผมจะไม่มีความสุข" ผมรู้สึกแบบนี้ และตอนนี้ผมก็รู้สึกว่าโอบมีเรื่องที่ไม่พอใจผมอยู่แต่ผมไม่รู้ว่าเรื่องอะไร ผมหันหลังเดินจากมาเพราะไม่อยากมีปัญหาด้วยแต่ก็ต้องชะงักเท้าเพราะ..

"อย่าทำตัวน่ารักนักได้มั้ยเนี่ย" โอบพูดเบามากเหมือนพึมพำกับตัวเองมากกว่าแต่ผมน่ะหูดี ได้ยินนะเว่ยและตอนนี้ก็เขินมากด้วย เลือดไหลเวียนมารวมกันอยู่ที่หน้าอย่างช่วยไม่ได้ร้อนวูบวาบไปหมด ผมค่อยๆพลิกตัวไปหามันช้าๆ
ในหัวนึกแต่จะถามว่า'ว่าไงนะ'หวังจะได้ฟังอีกสักทีแต่ยังไม่ทันได้มีเสียงเล็ดลอดออกจากปาก ผมก็ถูกแย่งลมหายใจจากคนตรงหน้าอีกแล้ว!

ด้วยความที่ผมตกใจและมันกะทันหันมากทำให้โอบสามารถแทรกลิ้นเข้ามาได้อย่างง่ายดาย ยอมรับแบบแมนๆเลยก็ได้..ผม จูบไม่เป็น ไม่ได้กากนะเว่ยผมแค่สุภาพบุรุษพอ ตอนคบกับแป้งอย่างมากก็แค่จับมือ ผมไม่เคยล่วงเกินอะไรใดๆเลย

กลับมาที่ปัจจุบันดีกว่า..ผมกับโอบกำลังจูบกันอยู่ พูดว่าโอบกำลังจูบผมอยู่น่าจะถูกกว่า แต่สถานที่คือ..กลางห้างเนี่ยนะ ตายๆๆเมื่อผมตั้งสติได้ผมจึงรวบรวมกำลังที่มีผลักโอบออกไป ไม่ได้รังเกียจ ตอบไม่ได้ว่าทำไม แต่แค่กลัวใครมาเห็นเข้า ผมคงอายจนทำตัวไม่ถูกแน่

รสจูบฝากรอยจางๆของความคิดถึงเอาไว้ที่ริมฝีปากผม มันหอมหวานแบบแปลกๆมือผมเลื่อนมาหยุดอยู่ที่ริมฝีปากอย่างช่วยไม่ได้

ถึงตอนนี้สายตาของผมและโอบยังไม่ละออกจากกัน ผมรู้สึกถึงความโหยหา คิดถึง และแฝงไปด้วยความเศร้า เวลาที่นี่นับถอยหลังลงไปทุกที

"ผมกลับไทยพรุ่งนี้" เป็นโอบที่ทำลายความเงียบก่อน

"อ่าหะ" ผมไม่เข้าใจว่าสิ่งที่มันพูดเป็นประโยคคำถาม ประโยคบอกเล่า หรือประโยคบอกลา..

"ทริปนี้เป็นอีกทริปที่ผมมีความสุข"

"อื้อ ผมก็มีความสุขเหมือนกัน ขอบคุณที่มาทำให้ทริปนี้ของผมไม่น่าเบื่อ ขอบคุณที่มาเป็นหนึ่งในความทรงจำที่ดีของผมนะ" ตอนนี้ผมกำลังยิ้ม ผมไม่รู้หรอกนะว่าเราจะได้เจอกันอีกหรือไม่ แต่ที่ผ่านมาผมมีความสุขและทุกสิ่งล้วนเป็นความทรงจำที่สวยงาม ครั้งนี้ผมมั่นใจว่าเป็นการบังเอิญเจอกันของเราสองคนจริงๆ แล้วทำไมจะมีครั้งหน้าอีกไม่ได้ล่ะจริงมั้ย?

เรายิ้มให้กันอีกพักใหญ่ ผมรู้สึกถึงความอบอุ่นที่มันแผ่ซ่านปกคลุมอยู่รอบตัวเรา โอบเดินเข้ามากอดผม ความอบอุ่นของบรรยากาศเมื่อครู่เทียบไม่ได้เลยกับอ้อมกอดของโอบ ผมไม่มีเหตุผลใดๆจะต้องขัดขืนอ้อมกอดอุ่นในคืนที่หนาวเย็นเช่นนี้

"ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะโอบ หวังว่าเราจะได้เจอกันอีก" เป็นผมที่ผละออกมาก่อน ใกล้ถึงเวลาที่แม่นัดแล้ว ถ้าไม่รีบไปแม่อาจจะขึ้นมาตามได้ ผมลาโอบ จ่ายเงินค่าเสื้อให้เจ้ที่สุดท้ายก็เลือกได้แค่ตัวเดียวแล้วเดินกลับลงไปหาแม่ที่รออยู่ก่อนแล้ว

เรา4คนเดินกลับที่พักท่ามกลางบรรยากาศมืดๆ เงียบๆและลมพัดแรง แต่ผมไม่รู้สึกหนาวเลยซักนิด ท่ามกลางเสียงบ่นอากาศหนาวของแม่ อาม่า และคุณป้าตลอดทางกลับผมรู้สึกว่าเสียงพวกนั้นกลืนไปกับสายลม วันนี้ทั้งวันของผมถูกเติมเต็มภายในเวลาไม่นานจากคนบางคน ถ้าเราสามารถขออะไรจากดวงจันทร์ได้วันละอย่าง งั้นคืนนี้ผมขอให้พรุ่งนี้ผมกับโอบได้เจอกันอีก..อีกสักครั้งก็ยังดี..


ผมตื่นเช้าแพคกระเป๋า ถามตัวเองทั้งคืนว่าทำไมถึงยอมให้โอบจูบโดยที่ไม่คิดขัดขืนใดๆ แต่ผมก็ไม่ได้คำตอบเสียที..

วันนี้เราจะไปเที่ยวอีกที่ก่อนกลับซึ่งก็คือสวนวาซาบิ ผมเป็นคนไม่กินเผ็ด โปรแกรมนี้ทำผมเบ้ปากมาแล้วตอนอ่านโปรแกรมทัวร์ที่ไทย

"ซิกเนเจอร์ของที่นี่คือไอติมวาซาบิ อร่อยไม่อร่อยยังไงอย่าลืมมาแชร์ไห้นุ่นฟังกันนะคะ" พี่นุ่นพูดทิ้งท้ายก่อนรถจะจอดให้เราลงไปชมสวนวาซาบิที่ให้ดูตั้งแต่สถานที่ปลูก มีวาซาบิแบบเป็นหัวๆวางขายด้วย ถึงผมจะไม่ได้พิศวาสอะไรแต่ก็อดตื่นเต้นไม่ได้แฮะ

"ปันไปกินไอติมกัน"

"เอาดิ แต่มันจะไม่เผ็ดอ่อเจ้"

"งั้นเจ้ซื้อแล้วให้แกลองกินก่อนก็ได้ ฉันนี่เป็นพี่ที่ดีจริงๆเล้ย"

"แหวะ" แล้วก็โดนเขกหัวไปที ผมยืนรออยู่ข้างร้านขายไอศกรีมเนื่องจากแถวยาวพอสมควร อย่ามองว่าผมไม่เป็นสุภาพบุรุษแบบนั้นสิครับ ผมอาสาไปต่อแถวซื้อให้แล้วแต่เจ้ไม่ยอมบอกว่าอยากดูตอนเค้าบีบ เจ้ปั่นก็ยังเป็นเจ้ปั่นอยู่วันยันค่ำละนะ

ผมยืนกินลมชมวิวฮัมเพลงรอเจ้อยู่ดีๆ ก็เห็นผู้ชายท่าทางคุ้นๆเดินผ่านไป นั่นมันโอบนี่

"โอบๆ" ผมตะโกนพร้อมโบกมืออย่างไม่อายใครแล้วก็ได้ผล โอบเห็นผมและกำลังเดินเข้ามาหา ผมชอบเวลาที่ผมเป็นฝ่ายเจอโอบก่อน มันตลกดีเวลาเห็นโอบทำหน้าเป็นหมาสงสัยแบบนั้น

"เจอผมมันเครียดขนาดนั้นเลยหรอ รู้สึกเจอผมทีไรคิ้วพันกันทุกที" ไม่พูดเปล่าผมเอานิ้วจิ้มๆหว่างคิ้วมันอีกแล้ว เป็นนิสัยแย่ๆที่แก้ไม่หายจริงๆให้ตายเหอะ

"เปล่าซะหน่อย" มันเสมองไปทางอื่นแต่คิ้วพันกันหนักกว่าเดิมอีก เข้าใจคำว่าพูดเล่นมั้ยเนี่ยคุณโอบ

เราสองคนไม่ได้พูดอะไรกันอีกแต่โอบก็ยังไม่เดินไปไหนและยังไม่ยอมหันมามองผมอยู่ดี มันกำลังกินไอศกรีมที่ได้มา แล้วทำไมผมถึงต้องมองลุ้นอย่างกับมันกำลังจะกินไอติมฝีมือผมงั้นแหละ จะว่าไปไอติมสีเขียวอ่อนนี่ไม่น่าจะมีรสเผ็ดเลยนะเนี่ย เห็นมันกินผมเริ่มอยากกินบ้างแล้ว แต่ของแบบนี้ต้องดูกันยาวๆเกิดเผ็ดขึ้นมาเดี๋ยวผมซวย

"มองอะไร อยากกินขนาดนั้นเลย" เลิกคิ้วกวนตีนไปอีก

"เปล่านะ แค่อยากรู้ว่าเผ็ดรึเปล่า" จากที่มันอ้าปากเตรียมงับ มันเลื่อนโคนออกไปไกลตัว ทำงี้แล้วกูจะรู้มั้ยเนี่ย รอเจ้ก็ได้วะ

"กินไปดิรอไร" มันยิ้มมุมปากส่ายหัวไปมา ไอ้ขี้เก๊กเอ๊ยหน้าหมั่นไส้ชะมัด สุดท้ายมันก็กัดเข้าไปเต็มๆหนึ่งคำถ้วนพร้อมเบะปากอยากคายสุดๆ ผมจะทำอะไรได้นอกจากยืนมองมันแล้วก็ขำจนเจ็บท้องไปหมด

"ไม่อร่อยหรอ ฮ่าๆๆ" พยายามกลั้นขำแล้วนะแต่ดูหน้าพะอืดพะอมของมันแล้วหยุดไม่ไหวจริงๆ

"ลองกินดูดิ" พูดจบมันก็ยื่นมือมาจ่อปากผม

"ผะ..เผ็ดมั้ย" ผมทำหน้าแหยงๆแต่เห็นหน้าตาจริงจังของมันพร้อมคำตอบว่าไม่เป็นผมจะทำอะไรได้นอกจากยอมทำตามที่มันบอกคือกัดเข้าไปหนึ่งคำเต็มๆ อื้ม..อร่อย ไม่เผ็ดเลยซักนิด เหมือนไอติมทั่วๆไปที่เจือกลิ่นวาซาบิหน่อยๆแต่ไม่ฉุน อร่อยจนผมต้องหลับตา

"มันอร่อยขนาดนั้นเลยเหรอไง" ดูจากหน้าแล้วคงสงสัยมากจริงๆสินะ

"อืม อร่อยจะตายแล้วทำไมโอบทำหน้างั้นอ่ะ"

"ไม่ชอบของหวาน ถ้าชอบเอาไปเลยยกให้"

"เฮ้ยไม่เป็นไรเกรงใจ"

"งั้นทิ้ง" มันพูดหน้าตายแล้วหันหลังเดินไปทางถังขยะ ไอ้บ้านี่หนิ ผมรีบดึงชายเสื้อมันไว้แล้วลากกลับมาที่เดิม

"ผมซื้อต่อแล้วกัน" ผมรีบดึงโคนไอติมมาจากมือของมันแล้วทำการล้วงกระเป๋าหาเหรียญ มือนึงควานหาเหรียญอีกมือทำหน้าที่ส่งเสบียงเข้าปาก เป็นการใช้อวัยวะทั้งสองข้างได้อย่างคุ้มค่ามาก แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ประเด็นคือผมยังไม่หยุดกินด้วยแหละ

"โอบถือแป๊บ" ยื่นไอติมให้โอบถือ จากนั้นไม่นานผมก็เจอเหรียญที่ต้องการจนได้ ผมหย่อนเหรียญใส่ช่องใส่น้ำข้างๆกระเป๋าเป้มันเป็นการกวนตีนเล็กน้อยที่ผมพอใจ แล้วยื่นมือจะไปรับไอติมคืน แต่มันไม่ยอมปล่อย

"เอามาดิ ผมจ่ายเงินแล้วนะ" มันยังนิ่ง.. "ได้ จะเล่นแบบนี้ใช่มั้ย งั้นก็ถือไปละกัน" ผมกินทั้งๆที่ไอติมยังอยู่ในมือมันเนี่ยแหละ

ทำไมอยู่ๆมันถึงนิ่งไป ผมเงยหน้าขึ้นมองทั้งที่ปากยังติดกับของหวานที่เย็นชื่นใจ โอบหน้าแดง..ร้อนหรอ ไม่น่าจะใช่แต่ตอนนี้ตัวมันแข็งทื่อไปแล้ว ไม่สบายหรือเปล่า

"เป็นอะไรไป โกรธผมรึเปล่าไม่แกล้งแล้วก็ได้" ผมผละออกมาแล้วหยิบเหรียญข้างเป้มายัดใส่มืออีกข้างที่ว่างอยู่ของมัน แล้วก็หยิบไอติมที่คราวนี้ยอมปล่อยอย่างง่ายดาย

"ปะ..เปล่า" มันหันไปกระแอม2ทีแล้วก็กลับมาเก๊กเหมือนเดิม

"ปันๆ ได้แล้ว อ่าวแล้วนี่ไปเอามาจากไหน"

"ของโอบอ่ะเจ้ เจ้กินไปเลยผมมีแล้ว"

"แล้วนี่.." เจ้ชี้ไปที่โอบ

"นี่โอบ ที่เคยเล่าให้ฟังไง โอบนี่เจ้ปั่นพี่สาวผม"

"ไปหาแม่กันเถอะ" แล้วเจ้ก็ลากผมออกไป ผมโบกมือบ๊ายบายโอบแล้วเดินตามเจ้ไปแบบงงๆ



ถึงเวลาต้องโบกมือลาประเทศญี่ปุ่นอย่างจริงจังแล้ว ใจหายเหมือนกันนะตอนลากกระเป๋าเข้าสนามบิน ผมกับเจ้มีปัญหาเรื่องตั๋วเล็กน้อย เพราะที่นั่งของเราสองคนไม่ได้อยู่ติดกับคนอื่นๆในกรุ๊ปทัวร์ต้องไปนั่งส่วนหลังของเครื่อง พี่นุ่นถามแล้วว่าโอเคมั้ยแต่ผมกับเจ้ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว

แต่มันก็เคว้งคว้างเล็กๆละนะ เจ้เข้ามุมส่วนตัวทันทีที่เครื่องทะยานสู่ท้องฟ้า ผมอยากหลับนะแต่ด้วยเวลาสี่โมงเย็นตามเวลาท้องถิ่นคงไม่เหมาะแก่การนอนเท่าไหร่แถมการที่มานั่งตรงกลางระหว่างเจ้ปั่นกับใครก็ไม่รู้มันก็ทำให้ผมทำตัวตามสบายได้ไม่เต็มที่ โชคดีที่ที่นั่งผมอยู่ช่วงหลังของลำทำให้มีเบาะว่างข้างหลังมากพอสมควร ผมสะกิดเจ้แล้วบอกว่าจะไปนอนเล่นด้านหลังนะเจ้ก็โอเค

ผมเล็งที่นั่งเหมาะๆเอาไว้เรียบร้อยแล้วแต่ขอเข้าห้องน้ำก่อนก็แล้วกัน.. ตอนเดินออกมาจากห้องน้ำอยู่ๆเครื่องก็กระตุกทำผมเซไปชนลูกเรือผู้โชคร้ายที่นั่งติดทางเดิน

"oops! sorry!!"

"ไม่เป็นไรครับ" ฮะ..เฮ้ยยย เสียงคุ้นโคตรผมเงยหน้ามาก็เป็นอย่างที่คิด โอบจริงๆด้วย ผมกระโจนกอดมันเลยครับ

"ดีใจจัง คิดว่าจะไม่ได้เจอกันแล้วซะอีก" ดีใจจริงๆนะ มันเหมือนค้างคาเพราะยังไม่ได้ลากันเลย

"ฮะๆ อะไรจะขนาดนั้น" มันหัวเราะแล้วมองผมแบบล้อเลียน ผมที่ตั้งสติได้รีบผละออกมาจากการระรานมัน

"เอ่อ..ขะ..ขอโทษ"

"ผมยังไม่ทันว่าอะไรเลยนะ" ตอนนี้พูดได้เต็มปากว่าอาย อายมาก รู้สึกว่าตัวเองแรดมากอยู่ๆไปกอดเค้าเฉย ผมกำลังจะเดินไปนั่งที่ เก้าอี้โซนท้ายเครื่องที่แสนสบายที่เล็งไว้แต่แรก เดี๋ยวค่อยมาหาใหม่นะขอกลับไปตั้งหลักก่อน แต่..มีแรงฉุดที่ข้อมือผม

"มานั่งด้วยกันได้ไหม" ผมหันไปตามแรงดึงเจอเข้ากับสายตาอ้อนวอนที่มันส่งมา มีเหรอจะไม่ยอมน่ะ ผมนี่มันใจง่ายจริงๆ พยักหน้าแล้วเดินไปนั่งข้างมัน หน้าแดงแน่ๆเลือดพามารวมตัวกันโดยที่เจ้าของหน้าไม่ต้องการขนาดนี้ แยกย้ายสิแยกย้าย(สั่งเลือด-.-)

"นั่งแล้วเนี่ย ปะ..ปล่อยมือได้ยัง"

"ไม่ปล่อยได้มั้ย"

"ได้ งั้นก็จับให้ตลอดนะ" หมั่นไส้จริงพวกอวดเก่ง จะทดได้นานแค่ไหนกันเชียว ผมแลบลิ้นใส่มันไปที มันหัวเราะอย่างไม่ถือสาพร้อมส่ายหัว

ผมทำลายความเขิน เอ้ยย ความเงียบด้วยการชวนมันคุยนู่นนี่นั่นไปเรื่อยเปื่อยมองนาฬิกาอีกที..หกโมงเย็นแล้วเหรอเนี่ย ผมพูดมากหรือเวลาเดินเร็วขึ้นกันแน่นะ แต่โอบไม่บ่นซักคำ(คงไม่มีจังหวะ)แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมืออยู่ดี จากที่กำข้อมือในตอนแรกเปลี่ยนมาเป็นประสานมือแทน ว่ามันฝ่ายเดียวก็ไม่ถูก ผมเนี่ยก็ไม่ยอมขัดขืนมันเหมือนกัน

เราทานอาหารเย็นกันเรียบร้อยราบคาบ บอกเลยว่าไม่อิ่ม..ในเมื่อหนังท้องไม่ตึงเราก็ต้องพยายามทำหนังตาให้หย่อนเพื่อลดความหิวโหย

"หลบหน่อยผมจะไปนอนตรงนู้น"

"นอนตรงนี้แหละ"

"มันไม่ถนัด ผมต้องการยืดตัว ยืดตัวอ่ะเข้าใจมั้ย"

"นอนตรงนี้ก็ยืดตัวได้" มันจับหัวผมกดลงบนตักมันแล้วยกขาให้ยืดไปทางสองเบาะที่เหลือ

"นั่งสบายๆไม่ชอบเดี๋ยวเหน็บกินจะสมน้ำหน้าให้"

"ยุ่งน่า ขาผม" แต่หัวกูมั้ยยังไง เกิดมึงเหน็บกินแล้วผลักหัวกูออกล่ะใครจะรับผิดชอบ

ผมหลับไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบแต่พอลืมตาขึ้นมาผมก็เจอกับสายตาของโอบที่มองผมอยู่ก่อนแล้ว นี่ผมนอนน่าเกลียดป่ะวะ มันคงไม่ถ่ายรูปไว้แบคเมล์หรอกเนอะ

"มองไม" น้ำเสียงหาเรื่องโคตร

"อยากมองมีไรป่ะ" กวนตีน

"กรุณาคาดเข็มขัดและปิดเครื่องมือสื่อสารด้วยนะคะ" แอร์สาวสวยเดินบอกตามทาง

"ผมกลับไปนั่งที่ตัวเองดีกว่า ขอบคุณที่ให้หนุนตักนะ หลับสบายมากเลย" ผมลุกขึ้นในขณะที่โอบก้มหน้าลงมา จังหวะนั้นคือผมเบรคไม่ทันแล้วครับ ปากมันชนกับหน้าผากผมเต็มๆ

"เชื่อว่าหลับสบายมากจริงๆ" ไอ้บ้าเอ้ยย ผมต่อยไหล่มันไปก่อนจะรีบกลับไปนั่งที่ตัวเองข้างเจ้

"แอบไปหลับสบายเลยนะแก"

"ไม่ไปเองช่วยไม่ได้เจ้"



สัญญาณคาดเข็มขัดดับลงเป็นการบอกว่าเครื่องจอดสนิทสามารถลงและกลับเข้าสู่ประเทศที่จากมาได้แล้ว..
ความรู้สึกของผมตอนนี้คืออะไร? ตอบไม่ได้ แต่มันโหวงๆแปลกๆ ผมไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้ เพราะอะไรกันนะ
ผมรู้แต่ไม่กล้าที่จะยอมรับมัน

รับกระเป๋าเรียบร้อย ของผมเรียบร้อยแต่ของผู้ใหญ่ที่หิ้วของฝากราวกับจะมาเปิดร้านที่ไทยยังไม่เรียบร้อย ผมยืนรอเรียกง่ายๆว่าเฝ้าของที่เอาออกมาได้แล้ว

"โอ๊ะ ขอโทษครับ" มีคนเดินมาชนผม แต่ไม่ชนเปล่าเค้ายัดอะไรบางอย่างใส่มือผมมาด้วย

"เป็นอะไรรึเปล่า"

"ไม่มีไรเจ้ ปันไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึงนะเดียวมา"

"อืม รีบมาล่ะ เจ้ก็อยากเข้าเหมือนกัน"

"ถ้างั้นเจ้ไปก่อนเลยปันยังปวดไม่มาก"

"โอเค แต๊งกิ้วมาก" ตบบ่าสองทีแล้วรีบวิ่งหายไปเลยสงสัยจะทนมานาน บางทีเจ้ก็เป็นคนตลก

'มาเจอกันหน่อยได้มั้ย..รออยู่ในข้างห้องน้ำนะ' ผมกำกระดาษแน่น..มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับตอนผมอยู่ม.6 ตอนที่ผมกำลังจะต้องบอกลาคนสำคัญของผม เพียงแต่ครั้งนี้โอบไม่ใช่เพื่อนผมเท่านั้นเอง

ผมเดินมาตามหามันตามที่กระดาษแผ่นนั้น แต่ก่อนหามันผมขอเข้าห้องน้ำก่อนแล้วกัน ล้างมือเสร็จกำลังจะเดินออกจากห้องน้ำก็โดนกระชาก แรงกระชากพาผมเข้าไปในอ้อมกอดใครบางคน

"นึกว่าจะไม่มาแล้วซะอีก"

"ไม่ได้มาหาซะหน่อยมากเข้าห้องน้ำ"

"อืม ช่างเหอะผมคงเข้าข้างตัวเองมากไป" อย่าจ๋อยดิ บอกแล้วไงว่าไม่ชอบทำให้ใครรู้สึกไม่ดี

"ล้อเล่นน่า มาหาโอบแหละแล้วมีอะไรรึป่าว" ที่ผมพยายามไม่ดึงบรรยากาศให้เศร้าเพราะผมคิดว่าแค่การลาจากมันก็เศร้าพออยู่แล้ว เราก็ไม่ควรทำให้การจากกันเป็นความทรงจำที่แสนเศร้า

"มีของจะให้"

"ของไร ขนมญี่ปุ่นไม่ต้องนะ ผมซื้อมาเยอะ ฮ่าๆๆ"

"แบมือหน่อย" ผมทำตามอย่างว่าง่าย

มันวางโปสการ์ดแผ่นนึงในมือผม จับมือผมให้กำไว้แล้วเลื่อนข้อมือผมให้ไปอยู่ด้านหลัง

"อ่านตอนแยกกันแล้วนะ หวังว่าจะได้เจอกันอีก"

"ขอบคุณนะโอบ ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง"

ผมเดินกลับมาหาครอบครัวที่ยืนรออยู่พร้อมกระเป๋าที่ออกลูกหลานมากมายที่กองครบอยู่แล้ว ในใจผมตอนนี้ไม่มีความเศร้า ไม่เศร้าที่ต้องจากโอบ ไม่เศร้าที่ต้องจากประเทศในฝันมาเจอโลกแต่งความเป็นจริง ตอนนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นผมก็พร้อมที่จะเดินหน้าต่อ

"ไปซะนานเลยนะ"

"พอดีเจอเพื่อนอ่ะเจ้ เลยลากันนิดหน่อย"

"คนที่บอกว่าไปเจอกันที่นู่นอ่ะนะ"

"อ่าหะ"

"โอ๊ย แกจะอะไรนักหนา ก็แค่คนแปลกหน้าที่เจอกันโดยบังเอิญเท่านั้นแหละ"

"อืม ผมก็ว่างั้น" แต่ไม่ว่าจะยังไงอย่างน้อยเรื่องระหว่างผมกับโอบที่นู่นก็จะเป็นความทรงจำที่ดีของผมตลอดไป


--------------------------------------------------------------------------

สวัสดีตอนเกือบๆเที่ยงคืนค่ะ('/\') ตอนนี้เขียนยากมากกกกกก ไม่รู้จะลงยังไงอารมณ์เหมือนขึ้นหลังเสือแล้วลงไม่ได้..พรากกก,___, อันนี้จริงๆเราอยากให้เป็นตอนจบแต่คิดว่าจบแบบนี้มันห้วนไปเลยจะมีบทส่งท้ายค่ะ ที่จริงอยากลงพร้อมกันแต่มันยังไม่เค้นไม่ออกเลยขอแว๊บมาแปะตอนนี้ก่อนแล้วกันเนอะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ขอบคุณสำหรับใครที่ตามอ่านมาจะจบ หรือหลงกดเข้ามาอ่านจบจนTvT ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนแต่ถ้าพวกคุณอ่านมาถึงตรงนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องบังเอิญมากๆเลยเนอะที่เราได้รู้จักกัน แม้จะผ่านตัวหนังสือก็ตาม โอ้ววหล่อไปอีก 555555 ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
ปล.ช่วงนี้ใกล้สอบเวิ่นเยอะเพราะสติหลุดค่ะแฮะๆ
ปล2. อย่าที่เคยบอกไป(?) เรื่องนี้เป็นเรื่องแรก(ที่ลง)ค่ะ ผิดพลาดประการใดตำหนิหรือแนะนำกันได้เลยนะคะไม่ต้องเกรงใจเพื่อการพัฒนาที่ดีต่อไปค่ะ
ปล3.ขอบคุณสำหรับทุกๆคอมเมนต์ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เราดีใจมากจริงๆนะไม่รู้จะอธิบายยังไง :pig4: :กอด1: :3123:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-04-2015 00:13:26 โดย ume »

ออฟไลน์ ume

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
--บทส่งท้าย--


โปสต์การ์ดแผ่นนั้นด้านหนึ่งเป็นรูปดอกกุหลาบสีม่วงที่วาดด้วยพู่กันไว้อย่างสวยงาม

ส่วนอีกด้าน มีลายมือของผู้ชายคนหนึ่ง ที่ไม่ได้เจอกันมานานแล้ว

'กุหลาบสีม่วงหมายถึงรักแรกพบ
มีคนบอกว่า
ความโรแมนติกของรักแรกพบคือ การหลงรักใครไปโดยไม่รู้จัก เพราะงั้น รักแรกพบจึงไม่ค่อยจะเกิดขึ้นจริงและยืนยาว
แต่สำหรับผม
ความโรแมนติกของรักแรกพบคือการหลงรักใครไปโดยที่ไม่รู้จัก จะเกิดขึ้นครั้งเดียวเสี้ยววินาทีเดียวเท่านั้น แต่ผมรู้ว่ามันใช่ ผมไม่รู้ว่ามันเป็นเสี้ยววินาทีไหน รู้ตัวอีกทีผมก็ตกหลุมรักปันเข้าไปเต็มๆ...โอบ'

ในกระดาษธรรมดาๆแผ่นนั้น มีข้อความอยู่แค่นั้น แค่นั้นจริงๆแต่แม้ผมจะมองมันบ่อยจนจำทุกพยางค์ได้แต่ผมก็เลิกมองมันไม่ได้เลย นึกโทษตัวเองที่ไม่ได้ขอคอนเทคใดๆของโอบไว้เลย จนถึงตอนนี้ผมก็ได้รู้แล้วว่าความรู้สึกที่ผมมีให้โอบมันมากกว่านั้น มากกว่าแค่คนที่บังเอิญรู้จักกัน


วันนี้เป็นวันเฟิร์สมีตของคณะผม คงไม่ยากเกินไปสำหรับผมหรอกมั้งวันนี้ก็คงรับเอกสารแรกเข้า เลือกชมรม เจอพี่สันทนาการนิดๆหน่อยๆแล้วก็กลับบ้าน

ผมไม่ได้มาคนเดียวเดี่ยวๆแบบเคว้งคว้าง ผมเพื่อนเพียบ แต่เพื่อนเพียบที่ว่าดันอยู่คนละคณะกับผมหมดเลย ดังนั้นเราจึงนัดเจอกันอีกทีตอนที่ต่างคนต่างเรียบร้อยแล้ว งานนี้ผมฉายเดี่ยวเดินแยกทางกับมอส แป้ง ฝน(3คนนี้เป็นเพื่อนที่โรงเรียนและมันอยู่คณะเดียวกัน) ที่เดินมาทางเดียวกัน ส่วนคนอื่นๆก็แยกกันไปตามมุมอื่นๆของมหาลัย ชีวิตแบบใหม่ๆของผมกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว

ผมนั่งอยู่แถวหน้าสุด มันไม่ใช่ว่าผมเสนอหน้าหรืออยากนั่งตรงนี้หรอกครับ ตอนแรกผมน่ะนั่งหลังสุดแต่ดันซวยตรงพี่เค้ามาตัดแถวตรงผมให้ไปขึ้นแถวใหม่ซะงั้น อะไรวะที่เหลือเยอะแยะขี้งกจริง(ไปว่าเค้าซะงั้น)

ตอนนี้ผมอยู่ใต้อาคารอะไรซักอย่างเพื่อฟังรุ่นพี่อธิบายวิธีการลงทะเบียนเรียน

"สวัสดีครับเด็กๆ ก่อนอื่นพี่ต้องขอแสดงความยินดีกับน้องๆทุกคนที่สอบเข้ามายืนอยู่ตรงนี้ได้นะครับ"

"น้องเค้านั่งอยู่" กวนตีนสัด ผมมองหาทันที ใครวะแม่งขอดูหน้าหน่อยเหอะจะตั้งพี่เป็นไอดอลเลย

"เฮ้ย!!" ผมกับโอบร้องขึ้นมาพร้อมกัน

...

เกิดความเงียบชั่วขณะก่อนทุกอย่างจะดำเนินต่อไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

"มาต่อกันเลยดีกว่าเนอะ น้องๆเปิดแฟ้มเอาแผ่นสีชมพูออกมาครับ.."

ตอนนี้สมาธิของผมไม่ได้อยู่กับพี่ที่พูดอยู่เลย ใครมันจะไปตั้งใจฟังได้ถ้ารู้ว่ามีคนจ้องอยู่ขนาดนี้ ผมทนความอึดอัดไม่ไหวยกมือขึ้นแล้วขอไปเข้าห้องน้ำ ถึงจะโดนแซวแบบป่าวประกาศออกไมค์ว่าทนหน่อยไม่ได้เหรอไง ท่อสั้นเหรอน้อง แต่จังหวะนี้ผมไม่สนแล้วขอไปตั้งหลักก่อน

นี่มันบังเอิญเกินไปมั้ยวะ?!?







--------------------------------------------------------------------------------------------

จบแล้วค่ะ พี่โอบเป็นคนน่ารักนะคะเราพิมพ์เองเขินเอง-/////- ขอตัดจบตรงนี้ส่วนที่ว่าเค้าสองคนเป็นแฟนกันได้ไงนั้น..ปล่อยให้เป็นเรื่องของเค้าดีกว่าเนอะ(อ้าวอีนี่-.-) พี่โอบกับน้องปันอยู่คณะเดียวกันค่ะ การเจอกันคงไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปเนอะ ส่วนเรื่องฟาง ปันไม่คิดอะไรกับฟางแล้วค่ะก็เป็นเพื่อนที่ดีต่อกันไปแต่ฟาง..ก็ไม่รู้สินะ 555555
จบแล้วลาแล้วจริงๆขอบคุณทุกคนมากค่าหวังว่าจะได้เจอกันอีกนะคะ ตอนนี้ขอตัวไปอ่านหนังสือก่อนนะ ฟิ้ววววว~ :katai5: :bye2: :bye2: :bye2:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-01-2018 21:42:34 โดย ume »

ออฟไลน์ mukmaoY

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3956
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-7
โอบน่ารักจังเลย

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
น่ารักมากเลยยยยยยยย

ปลื้มพี่โอบ รักน้องปันปัน


ออฟไลน์ KKKwanGGG

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
WOW พี่โอบน่ารักมากครับ

ออฟไลน์ whitelavenders

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 197
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
ทำไมเวลาไปเที่ยวไม่เจองี้บ้างอะ
เจอแต่พวกมากับแฟน 555555555
สองคนนี้นี่พรหมลิขิตชัดๆ อะไรจะบังเอิญแล้วบังเอิญอีกได้ขนาดนั้นน้อออ
ก๊าวมากตอนจุ๊บในห้องน้ำ คิดว่าจะมี NC (ลืมไปน้องใสๆ 5555)
เราชอบนิสัยเจ้าปันนะ ช่างพูดช่างคุยจริงใจดี แต่ถ้าน้องเจอโรคจิตแล้วไปชวนเค้าคุยนี่จบเลยนะ 555
จริงๆนี่คิดว่าพี่โอบจะแอบทิ้งคอนแทคไว้ให้ซะอีก โถ่ๆ
แต่ก็ดีแล้วค่ะที่บังเอิญเจอกันอีกจนได้ ไม่งั้นต้องมีงานตีอกชกหัวตัวเองแน่ๆปัน


ออฟไลน์ Mouse2U

  • บังเอิญ'โลกกลม'..
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3531
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +223/-10
'น้องปัน' เป็นเด็กติดสัมผัสที่น่ารักมากๆ เลยนะคะ แถมยังช่างพูดช่างคุยเสียเหลือเกิน ทำเอาบรรยากาศรอบๆ ตัวของพี่โอบคนพูดน้อย (หัวเราะ) พลันสดใสขึ้นมาทันตาเห็นเลย >< แต่ทางที่ดีหนูต้องระวังตัวเอาไว้บ้างนะคะน้องปัน เพราะคนที่ไม่ดีก็มีอยู่เยอะ อืม~ ท่าทางคงต้องฝากฝังให้พี่โอบช่วยเป็นหูเป็นตาอีกแรงหนึ่งแล้วล่ะ >\\< ชอบเรื่องนี้จังค่ะอ่านแล้วรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาเป็นเท่าตัวเลย..

กอดน้องปันกับพี่โอบ :กอด1:

ปล.1 เป็นความบังเอิญที่อยากให้เกิดขึ้นกับตัวเองสักครั้งบ้างจังเลยน้าา :-[

ปล.2 แฟนเก่าน้องปันชื่อ ฟาง หรือเปล่าคะ ^^ เพราะว่าตอนหลังๆ กลายเป็นชื่อ แป้ง ไปเสียแล้ว :hao7:

ขอบคุณนะค้าา :pig4:

ออฟไลน์ koikoi

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3861
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +311/-13
น่ารักจังเลย

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ purple

  • Aventador FC
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 355
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1
ขอสมัครเป็น FC พี่โอบอย่างไว ..คนอะไรน่ารักเว่อร์
จากนี้ปันคงได้อ้อนรุ่นพี่ไปอีกนานเลยย
ปล.ชอบดราม่าวันสงกรานต์มากค่ะ ได้เห็นมุมโหดของพี่โอบ และรังสีพิฆาตของน้องปัน 55

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
น่ารักเกินไปแล้วววววววว :-[

ขอตอนพิเศษได้มั้ยคะ อยากอ่านพี่โอบกับปัน :ling1: :ling1:อีกอ่ะ

ออฟไลน์ packy

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 176
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
น่ารักเกินไปแล้วว อยากไปเที่ยวแล้วมีโมเม้นท์แบบนี้บ้าง

ออฟไลน์ ketekitty

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0
แค่ชื่อก็อบอุ่น "โอบ"  :katai2-1:

ออฟไลน์ ume

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
--ตอนพิเศษเนื่องในวันลอยกระทง--






"ไม่ไหวแล้วววววว~" ผมละมือและสายตาจากงานตรงหน้าแล้วเลื้อยไปนอนบนโซฟา

"มาทำให้เสร็จ อย่าอู้"

"พักแป๊บดิ ทำมาตั้งแต่เย็นแล้วนะ"

"ไม่เห็นจะทำเลย บ่นตั้งแต่เย็นมากกว่า"

"ไอ้โอบนี่.." ผมโยนหมอนบนโซฟาใส่มันไปที

นี่เป็นหนึ่งสัปดาห์ก่อนสอบไฟนอลย้ำนะครับ หนึ่งสัปดาห์ก่อนสอบ ที่มีการเรียนการสอนตามปกติและงานมากมายมหาศาลราวกับเพิ่งเปิดเทอม พรีเซนต์3รายงานอีก2

โอบนั่งอ่านหนังสืออยู่บนโต๊ะส่วนผมนั่งปั่นสไลด์อยู่ที่พื้นเอาหลังพิงโซฟา ทำไมอยู่ตรงนี้น่ะเหรอ เพราะมันไหลได้ไง

"ถึงไหนแล้ว ให้ช่วยไหม" โอบถอดแว่นเดินมาหาผม มันจะใส่แว่นเฉพาะเวลาอ่านหนังสือเท่านั้น คอนแทคเลนส์ไม่ใส่

"ไม่เป็นไรๆ โอบอ่านของตัวเองไปเหอะเดี๋ยวก็เสร็จแล้ว ขอบคุณมากนะ" ผมรีบลุกมายิ้มให้มันแล้วทำงานต่อเลย ไม่อยากให้มันลำบาก มันเรียนหนักกว่าผมอีกทำไมจะไม่รู้ แค่มันไม่บ่นเท่านั้นแหละ

"มีอะไรให้ช่วยก็บอกนะ" ขยี้หัวผมสองสามทีแล้วมันก็ใส่แว่นเดินกลับไปหากองหนังสือของมันต่อ ส่วนผมก็จมกับสไลด์ต่อไป..

"เสร็จแล้ว!" ในที่สุดก็เสร็จสักที จะได้เอาเวลาไปอ่านหนังสือสอบบ้าง ที่ผ่านมาทำงานก็หมดวันแล้ว

ผมยืนขึ้นบิดขี้เกียจแล้วเดินไปหาโอบ มันมีสมาธิมากขนาดไม่รู้ว่าผมมาอยู่ข้างหลังแล้ว ผมโอบมันแล้วเอาคางเกยไหล่ คิดถึงอ่ะ เจอกันทุกวันแบบไร้การสัมผัสนี่มันเหี่ยวแห้งนะ ผมเสพติดสกินชิปอย่างจริงจังแล้วแหละ วันไหนไม่ได้สัมผัสตัวใครจะรู้สึกเฉาๆ

"ไงเรา" โอบหันหน้ามาปากก็ชนกับแก้มผมพอดี ผมตกใจผละตัวออกแต่มันไวกว่าดึงผมไปนั่งตักหน้าตาเฉย เขินนะเว่ยไอ้บ้า

"งานเสร็จแล้ว ดีใจจัง" ผมบอกมันอีกรอบเผื่อเมื่อกี๊มันไม่ได้ยิน

"ดีแล้ว เห็นป่ะ ทำจริงๆแป๊บเดียวก็เสร็จ"

"จะบอกว่าปันอู้เลยใช้เวลานานใช่ป่ะ โอบแม่ง" ผมแกล้งพองลมแล้วหันหน้าไปอีกทาง ดูก็รู้ว่าแกล้งแต่ก็อยากแกล้งมันอยู่ดี

ผมเป็นคนไม่เคยโกรธใคร จะว่าไม่เคยก็คงไม่ใช่ให้คำว่าไม่ค่อยดีกว่า ผมรำคาญการที่ต้องมานั่งง้อกัน แต่กับโอบผมชอบให้มันง้อ มันก็ยอมง้อผมทุกครั้งทั้งที่รู้ว่าผมแกล้ง

"ใครจะกล้าว่าล่ะครับ" มันเอามือมาเขี่ยๆแก้มผมแล้วก็ยีหัว ผมแพ้ทางมันจริงๆนะเนี่ยสุดท้ายก็เอนตัวเข้าหา "ปันรู้เปล่าวันนี้วันอะไร"

วันไรวะ ครบรอบ?..ไม่ใช่ วันเกิดผม?..ไม่ใช่ วันเกิดโอบ?..ก็ไม่ใช่ ผมทำหน้างงใส่มัน มันเลยทำหน้าแบบมึงไม่รู้จริงๆเหรอมาให้ผม

"วันลอยกระทงไง นี่ทำงานจนลืมวันลืมคืนแล้วเหรอไง" ผมไม่ได้ลืมนะแค่ไม่ได้ใส่ใจจนลืมเท่านั้นเอง..มันก็เรียกว่าลืมป่ะวะ เหอะๆ "ไปลอยกระทงกันป่ะ"

"อยากลอยเหรอ"

"อยากลอยกับปัน" คำพูดไม่เท่าไหร่สายตาเนี่ยดิ ถ้าวันนี้มีคนตายคนๆนี้แหละคือคนร้าย

"งั้นก็ไปดิไปเลยแต่งตัวๆ" ผมรีบพูดเพื่อเลี่ยงสถานการณ์ตรงหน้า ถ้ามีหมอนนี่ผมเอามาปิดหน้าขาดอากาศจริงๆนะเนี่ย



เรามาถึงสระน้ำหน้ามอประมาณ4ทุ่มนิดๆ คนโล่งมากไม่เยอะเหมือนที่คิดไว้ คงเพราะใกล้สอบคนเลยรีบลอยรีบกลับไปอ่านหนังสือต่อกันมั้ง แต่วันนี้ผมฟรีแล้ว ตามสโลแกนงานเสร็จแรดได้

"หิวป่ะ"

"ไม่อ่ะ แล้วโอบอ่า"

"นิดหน่อย"

"พี่โอบๆ เฟรนฟรายมั้ยคะ ช่วยอุดหนุนน้องหน่อย" เด็กปี2รุ่นเดียวกับผมนี่หว่า นี่มันไม่ต้องปั่นสไลด์กับรายงานส่งกับเหรอไงถึงมาขายของได้เนี่ย

สิ่งที่ผมได้จากการมาวันนี้คือ งานลอยกระทงที่มอเป็นงานออกร้านหาเงินเข้าคณะหรือกรุ๊ปต่างๆเป็นงานที่ของกินได้น้อยและราคาแพงแต่ก็ต้องช่วยซื้อละนะ ถือว่าสมทบทุนเข้าคณะ

โอบแม่งโดนคนโน้นคนนี้เรียกเยอะแยะไปหมด ผมละเบื่อหนุ่มฮอตจริงๆ

"เป็นอะไร ร้อนหรอ? เบื่อแล้ว?"

"เปล่า" เปล่าจริงๆนะแค่เซ็งนิดหน่อยแต่ยังไม่ถึงขั้นเบื่อ

"งั้นไปซื้อกระทงกันเลยดีกว่าเนอะ" ทีนี้ใครทักมันเรียกมันซื้อของมันก็ทำแค่ยิ้มไม่ได้เข้าไปทักทายพูดคุยเหมือนที่ผ่านมา โอบแม่งน่ารัก จะน่ารักไปไหนเนี่ย

"ปันเลือกเลย"

"ไม่เอา เลือกด้วยกันดิ"

สุดท้ายเราได้กระทงกะลาที่มีเทียนอยู่ด้านใน ดูไม่เยอะและสวยดี

"ถ่ายรูปกัน"

"ไม่เอา อายเค้า"

"อายทำไม ปันมองกล้องหน่อยครับ เอ้า ยิ้ม" มันโอบไหล่ผมมือนึง อีกมือยื่นมือถือออกไป ผมที่จับกระทงด้วยมือสองข้างเงยหน้ามองทำหน้างงๆก่อนยิ้มให้มันในกล้องไปนิดนึง

ผมกับมันถ่ายรูปกันไม่บ่อย และไม่ค่อยได้ถ่ายนอกสถานที่ที่คนเยอะแบบนี้

"พอแล้วๆลอยเลยดีกว่า"

"อ่าหะ" ผมเดินลงขั้นไปเรื่อยๆจนพอที่จะเอื้อมมือไปวางกระทงถึง โอบเดินลงมาข้างกันช่วยประคองกระทง ผมหลับตาขอขมาพระแม่คงคา และขอให้สิ่งไม่ดีลอยไปกับกระทงให้ผมพบแต่ความสุขรวมทั้งผู้มีพระคุณทุกคนและโอบด้วย

พอลอยไปแล้วผมก็ดันน้ำให้กระทงลอยไปพ้นขอบสระ เป็นการละเล่นอย่างหนึ่งที่ผมชอบ

"พอแล้ว เดี๋ยวก็ตกลงไปหรอก"

"นิดเดียวเอง"

"อย่าดื้อได้ไหม"

"อย่าดุได้ไหม"

"ก็พี่เป็นห่วง" โอเค ผมแพ้แล้ว แพ้ทั้งสายตาและคำพูดเลย คนๆนี้ทำผมแพ้ราบคาบ

"พี่ๆ เอาป่ะหนูให้ จะกลับแล้วอ่ะเล่นไม่หมด" มีเด็กผู้หญิงกลุ่มนึงยื่นไฟเย็นมาให้ ผมรับมางงๆ

"แล้วจะจุดยังไง" ผมหันไปถามความเห็นโอบ จะว่าไปก็น่าสนุกเหมือนกันนะเนี่ย

"เดี๋ยวไปยืมไฟแช็คร้านน้องเฟิร์นให้" ผมรั้งแขนมันไว้

"ไปด้วยกันดิจะทิ้งปันไว้ตรงนี้คนเดียวหรอ" มันหันมาเลิกคิ้วแล้วก็ขำหน่อยๆแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ยกมือข้าที่ถูกผมจับแขนมาจับมือผมแล้วเดินนำไปแทน พอได้ไฟแช็คแล้วเราก็กลับมานั่งที่ริมสระ จุดไฟเย็นไปเรื่อยๆพอหมดก็ต่ออันใหม่

"อยากสอบเสร็จแล้วอ่ะ"

"คิดว่าใครบ้างไม่อยาก" ก็จริงของมันเนาะ ผมไม่ควรงอแง

"ขอบคุณโอบมากนะที่พาปันมาวันนี้" ตาผมมองไฟในมือส่วนตัวผมเริ่มเอนไปซบคนข้างๆ โอบขยับให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง บรรยากาศตอนนี้มันดีจนผมอยากหยุดเวลาเลย

"ขอบคุณปันเหมือนกันนะ ที่ทำให้พี่มีคู่มาลอยกระทงเนี่ย" มันพูดพร้อมเอามือมาลูบหัวผม โอบรู้ใจผมทุกอย่างจริงๆ

"ทำอย่างกับว่าก่อนหน้านี้ไม่มีงั้นแหละ"

"เฮ้ย ทำไมมองพี่แบบนั้นอ่ะ ปันนี่แฟนคนแรกเลยนะ" พอมันพูดคำว่าแฟนเต็มปากเต็มคำผมก็ไปไม่เป็นเลย ลืมต่อไฟเย็นด้วย พัง พัง พังง "เอ้า เขินใหญ่ๆ"

"ไอ้บ้าโอบบบ" ผมเอามือดันหน้ามันไปห่างๆเลย หมั่นไส้อ่ะ คนอะไรหน้าด้านจริงๆพูดได้ไม่อายปาก

"หึหึ" มันหัวเราะแค่นั้นแหละทุกอย่างก็เข้าสู่โหมดไร้เสียง ผมนั่งซบมันมองไฟเย็นที่ค่อยๆจุดไปทีละอัน ลมเอื่อยๆทำให้เย็นสบาย มันก็แค่นี้แหละครับ แค่นี้ผมก็มีความสุขที่สุดแล้ว
.
.
.
.
ก่อนที่จะถึงเวลาอ่านหนังสือสอบสักทีน่ะนะ คิดแล้วเครียดเลย ตอนนี้ขอเวลาไปสูบพลังความสุขก่อนนะครับ:)


---------------------------------------------------------------------
เขียนสดตอนปั่นงานเสร็จแล้วออกไปลอยกระทงกับเพื่อนที่ทำงานด้วยกันเลยค่ะ 555555 บังเอิญเจอโมเม้นมิ้งๆเลยอยากเขียน แฮร่กก ขอบคุณสำหรับทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ>< ส่วนเราเตรียมตัวอ่านหนังสือสอบต่อจ้าา :z3: ใครใกล้สอบก็สู้ๆ ทำงานก็สู้ๆ เรียนก็สู้ๆนะคะ เป็นกำลังใจให้ทุกคนสู้ไปด้วยกันนน :mew1:


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 26-11-2015 11:46:12 โดย ume »

ออฟไลน์ phai

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 406
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +22/-1
น่าร๊ากกกกกกก  :กอด1:

ออฟไลน์ arij-iris

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2904
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +30/-5
โอ๊ยยย หวานไม่บันย่ะบันยังเลยนะ ขอจมกองน้ำตาลแป๊บนะ :jul1: :jul1:

ออฟไลน์ twinmonkey0311

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5480
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +110/-9

ออฟไลน์ benji

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 291
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
พี่โอบ น่ารักอ่าาาา สรุปแล้วไปทัวร์เดียวกันใช่ปะ ไม่ใช่ว่าบังเอิญเจอกัน แต่ที่ มอ นั่นบังเอิญจริง  :mew3:

ออฟไลน์ นอนกินแรง

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1348
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-4

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด