--วันนี้..วันสุดท้าย--
อีกสองวันก็จะกลับสู่โหมดโลกแห่งความจริงแล้ว ผมรู้ว่าไม่มีใครหยุดเวลาได้ และผมก็รู้ด้วยว่าชีวิตของผมก็ต้องเดินไปข้างหน้าเช่นกัน สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือซึมซับความรู้สึกดีๆและใช้เวลาที่เหลืออยู่ให้มีค่ามากที่สุด
วันนี้เรามากันที่ตลาดเก่าชื่ออะไรผมจำไม่ได้..ที่นี่เหมือนตลาดร้อยปีที่ไทยแต่ต่างกันที่บรรยากาศและความรู้สึก เมื่อเดินเข้าไปด้านในมีคนนำของใช้ในบ้านมาวางขายเป็นตลาดมือสองย่อมๆ สถานที่ช็อปปิ้งแบบนี้ทำให้ผมเดินแยกกับแม่และเจ้ไปโดยปริยาย อากงอาม่านั่งรถ เค้าเรียกว่าอะไรนะ ช่วงนี้ผมมึนเบลอกับข้อมูลมากเอาเป็นว่ามันคล้ายสามล้อที่มีคนลากน่ะครับ ชมรอบๆตลาด..
ผมเดินเข้าไปในร้านขายของเล่นร้านหนึ่งมีโมเดลมากมายทั้งที่มีและไม่มีขายในไทย กะว่าจะแช่อยู่ที่นี่จนกว่าจะถึงเวลารวม
สถานที่ต่อไปคือสวนที่เราต้องเดินเข้าไปด้านใน เราทานข้าวกลางวันกัน มีร้านค้าขายของฝากเล็กๆอยู่ใกล้ๆ ผมกับเจ้ไปเดินเล่นรอพวกผู้ใหญ่ทานข้าว
ผมเห็นโปสต์การ์ดลายกบสองตัวอยู่บนใบบัว มันสวยดีในความรู้สึกผม ส่งจดหมายกลับบ้านไปหาตัวเองน่าจะเท่อยู่ ลุ้นดีด้วยว่าแอร์เมลล์จะไปถึงไทยมั้ย ผมหยิบโปสการ์ดไปที่เคาท์เตอร์จ่ายเงินพร้อมของมากมายที่เจ้ขนมา
"เจ้ซื้อเยอะขนาดนี้กะไปเปิดร้านที่ไทยเลยเหรอไง"
"เจ้ซื้อฝากเพื่อนย่ะ เพื่อนเยอะก็งี้"
"ครับๆๆ เพื่อนเยอะ ของผมอย่างเดียวฝากจ่ายนะ ขอบคุณมากเจ้"
"เด็กนี่หนิ" เจ้ว่าอย่างไม่ใส่ใจนัก ผมก็เพื่อนเยอะเหอะครับ แต่ตอนนี้ต่างคนก็ต่างแยกย้ายไปมีชีวิตที่โตขึ้นของตัวเอง นัดเจอกันทีคงลำบาก ของฝากคงไม่จำเป็นแค่ยังเป็นเพื่อนที่ช่วยเหลือกันในยามที่ใครต้องการก็พอ
ตอนนี้พวกผู้ใหญ่ทานข้าวเรียบร้อยทยอยกันเดินมาซื้อของฝาก อาม่าขนผักดองเยอะขนาดแจกคนได้ทั้งหมู่บ้าน บ้านละหลายถุงด้วย กินกันยันปีหน้าไปเลยครับ
ใกล้ถึงเวลารวมแล้ว พี่นุ่นนัดรวมที่รถดังนั้นต้องเผื่อเวลาเดินกลับ..ขณะกำลังเดินกลับฝนก็ลงเม็ดปรอยๆ พวกเราเร่งฝีเท้าเพราะอีกไม่นานฝนคงเทหนักกว่านี้ เจ้ปั่นรองเท้ากัดเป็นผมที่ให้เจ้ขี่หลังวิ่งขึ้นรถ ตัวเปียกกันพอควรกลับไปคงต้องกินยากันหวัด ผมแพ้อากาศ เจออากาศเปลี่ยนจากฝนเป็นแอร์เย็นๆบนรถนี่ท่าจะลำบากถึงจะหรี่แอร์จนเหมือนไม่ได้เปิดเลยก็ตามผมก็ยังรู้สึกหนาวอยู่ดี
เรากลับที่พักกันเลยเพราะนี่คือคืนสุดท้ายแล้วที่ประเทศนี้! จะว่าใจหายก็ใจหายนะแต่ถามว่าเป็นแบบนี้ดีมั้ยก็ตอบได้เลยว่าดี เวลาที่จำกัดทำให้เราเห็นค่าของสิ่งที่มีอยู่ ความจริงผมก็เริ่มคิดถึงบ้านที่ไทยแล้วหละ
เราเช็คอินโรงแรมพร้อมกระเป๋าที่ออกลูกออกหลานมากมาย ขามาไม่เยอะเท่านี้สาบานได้ลากกระเป๋าขึ้นไปเก็บบนห้องแล้วชวนเจ้ลงมานั่งเล่นที่ล็อบบี้ด้านล่าง วันนี้โปรแกรมคือให้พักผ่อนเต็มที่เตรียมเดินทางกลับ ใกล้ๆกันนี้มีห้างหลายแห่ง มีมินิมาร์ทเยอะแยะ คุณป้า อาม่า และแม่จะไปเลือกรองเท้าที่ห้างข้างโรงแรม แต่หญิงสามห่วงสวัสดิภาพของตัวเองจึงฉุดกระฉากผม..ชายหนุ่มเพียงคนเดียวที่น่าจะช่วยปกป้องทั้งสามได้..คิดงั้นกันจริงเหรอเนี่ย
"เจ้ไปกับผมเร็ว"ส่งสายตาอ้อนวอนไปให้เจ้ อย่างน้อยถ้าเจ้ไปจะได้ไปเดินโซนที่ไม่น่าเบื่อ ไปกับสาวน้อย(?)สามคนผมก็แย่น่ะสิ
"ไม่ไปอ่ะเจ้ยังเจ็บขาอยู่เลย ถ้าเจอยูนิโคล่เลือกเสื้อมาให้เจ้2ตัวนะ"
"เจ้โคตรทำร้ายปันอ่ะ" ผมหน้างอ แต่เจ้ยิ้มแฉ่ง
"โชคดีและสู้ๆนะน้องชาย" ไม่ต้องมาชูสองนิ้วเลย ผมโกรธจริงๆนะ
"ไปได้ยังห้างจะปิดแล้วนะ" นี่เพิ่งทุ่มนึงเองนะ
"ครับ คุณนาย" เห็นแม่ท้าวเอวอารมณ์บูดถ้าไม่รีบไปตอนนี้นางฟ้าจะกลายร่างเป็นนางยักษ์ได้ ทั้งๆที่ญี่ปุ่นขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองที่ปลอดภัยและห้างก็อยู่ถัดไปแค่นี้ แต่ก็นะผมก็เป็นลูกที่ดีเหมือนกันแหละน่าใช่ว่าจะใจร้ายใจดำเอาแต่ใจตัวเองซะเมื่อไหร่
ห้างที่นี่ไม่ต่างจากประเทศไทยเท่าไหร่คือจะแบ่งเป็นชั้นและเป็นโซน ต่างกันก็ที่แบรนด์และราคา ถึงค่าครองชีพที่นี่จะสูงแต่สินค้าแบรนด์เนมคิดเป็นเงินไทยแล้วถูกกว่าซื้อที่ไทยมาก ผมเข้าใจเลยทำไมคนมาเที่ยวถึงขนกันกลับไปแบบเอาเป็นเอาตายทั้งใช้เองและเพื่อการค้า
เข้าไปชั้นแรกก็เจอกับโซนรองเท้าและที่สำคัญมันเซลล์อยู่..ก็อย่างที่คิดแหละครับคุณผู้หญิงทั้งสามมีล็อคเป้าหมายและวิ่งเข้าใส่ทันที
"แม่ ผมไปดูชั้นอื่นนะ" ผมสะกิดแม่ที่ดูเหมือนจะไม่สนใจผมอีกต่อไปแล้ว
"โอเค สามทุ่มเจอกันตรงนี้นะ"
"ครับ" ผมเดินเข้าไปด้านในอีกหน่อยเห็นบันไดเลื่อนอยู่ไกลๆ วันนี้ชีวิตผมดีนะ สนุกดีมีความสุขดีแต่รู้สึกเหมือนมีบางอย่างขาดหายไป อะไรกันนะผมก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน
ขึ้นมาถึงชั้น2เป็นโซนเสื้อผ้าหลายแบรนด์มากเจ้ปั่นฝากซื้อสองตัวเพราะงั้นเข้าไปเลือกให้หน่อยก็แล้วกัน ผมรู้ว่าเจ้แต่งตัวแนวไหนเราเลยเลือกเสื้อผ้าให้กันได้โดยไม่มีการมาบ่นภายหลัง
ผมเลือกได้1ตัวแต่แถวนี้ยังไม่มีลายที่ถูกใจ เดินเลยไปหน่อยผมก็สะดุดตากับ..ผู้ชายคนนึง คนที่ไม่ได้เจอกัน1วันแต่ทำไมความรู้สึกของผมมันยาวนานกว่านั้น มาเห็นแบบนี้แล้วรู้สึกว่าหัวใจถูกเติมเต็มแปลกๆแฮะ
ผมไม่เคยเจอโอบในโมเมนต์แบบนี้เลย ที่ผ่านมามีแต่โอบที่มักเห็นผมและเข้ามาทักก่อนเสมอ
ไม่รู้ผมคิดอะไรแต่ปฏิกิริยาหลังจากที่เห็นโอบคือผมหาที่ซ่อน ไม่เข้าใจแต่ร่างกายมันเป็นไปแบบนี้ ผมหลบอยู่ในมุมที่คิดว่าโอบไม่มีทางเห็นแน่ๆ จะว่าไปมันก็เป็นคนที่เท่ดีเหมือนกันนะ ดูดึงดูดเวลาที่ได้มองแบบนี้ ผมว่าผมชอบมองมันแหละ
ว่าแต่..นี่มันโซนเสื้อผ้าผู้หญิงนะ มันเลือกไปให้ใคร แม่หรอ..ไม่น่าใช่ หรือว่าแฟน..อันนี้น่าคิด ไม่รอช้าครับ จากที่แอบๆอยู่กลัวมันจะเห็นใจจะขาดผมพุ่งเข้าหามันทันที
"แหนะๆ ซื้อฝากแฟนหรอน้องชาย" มันสะดุ้งเล็กน้อยก่อนทำหน้าประหลาดใจเมื่อเห็นว่าเป็นผม
"งงอะไรครับคุณโอบ"ผมเลิกคิ้วเชิงล้อเลียนมัน
"มาได้ไง"
"คิ้วผูกโบว์แล้วครับ" ไม่พูดเปล่าผมเอานิ้วจิ้มๆระหว่างคิ้วมันแต่ก็ไม่ช่วยอะไร ผมว่าผมคิดผิดมหันต์ที่โหล่ออกมาทักมัน แอบดูอย่างเดิมดูเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขกว่าเยอะ
"แล้วตกลงมาได้ไง?"
"แล้วทำไมผมจะมาไม่ได้ล่ะ ไม่มีป้ายห้ามผมเข้านี่ครับ"
"เฮ้อ" เฮ้ยอะไรอ่ะ จะมาถอนหายใจใส่หน้ากันแบบไม่นี้ไม่ได้นะเว่ย
"แล้วตกลงซื้อให้ใคร แฟนหรอ" ผมถามมันผมก็งงนะกว่ากูจะไปเสือกเรื่องของมันทำไมวะ
"แล้วคุณล่ะจะซื้อไปให้ใคร แค่พวงกุญแจยังไม่พอใช่มั้ย"
"ผมไม่เข้าใจ" ไม่เข้าใจจริงๆนะหมายความว่าไง เสื้อเจ้เกี่ยวอะไรกับพวงกุญแจแล้วพวงกุญแจไหนอะไรยังไง
"ช่างมันเหอะ เสื้อนี่ผมเลือกให้น้องสาว ผมยังไม่มีแฟน" ทำไมมันต้องหน้าหม่นลงแล้วทำไมผมรู้สึกว่าใจมันฟูแปลกๆ ช่วงนี้มีแต่เรื่องแปลกๆผมก็ทำตัวแปลกๆที่ตอบมันไปแบบนั้น..
"เสื้อเจ้ เจ้ฝากซื้อ ส่วนเรื่องพวงกุญ ผมไม่รู้ว่าคุณพูดถึงอะไร"
"ไม่มีอะไรหรอก ผมมันบ้า"
"โอบ ผมไม่รู้เคยบอกไปหรือยัง แต่ผมไม่ชอบการประชด" ปกติผมใจร้อนและเอาแต่ใจตามประสาตี๋เล็กเด็กชายที่เป็นลูกคนสุดท้องของคนจีน แต่ตอนนี้ผมกลับใจเย็นอย่างหน้าประหลาด ผมแค่ไม่ชอบความค้างคา มีอะไรก็เคลียร์เลยเรื่องจะได้จบ
"ผมเปล่าประชด"
"งั้นก็เรื่องของคุณแล้วกัน แต่บอกไว้เลยนะ ถ้ามีใครซักคนไม่สบายใจเพราะผมเป็นต้นเหตุ ผมจะไม่มีความสุข" ผมรู้สึกแบบนี้ และตอนนี้ผมก็รู้สึกว่าโอบมีเรื่องที่ไม่พอใจผมอยู่แต่ผมไม่รู้ว่าเรื่องอะไร ผมหันหลังเดินจากมาเพราะไม่อยากมีปัญหาด้วยแต่ก็ต้องชะงักเท้าเพราะ..
"อย่าทำตัวน่ารักนักได้มั้ยเนี่ย" โอบพูดเบามากเหมือนพึมพำกับตัวเองมากกว่าแต่ผมน่ะหูดี ได้ยินนะเว่ยและตอนนี้ก็เขินมากด้วย เลือดไหลเวียนมารวมกันอยู่ที่หน้าอย่างช่วยไม่ได้ร้อนวูบวาบไปหมด ผมค่อยๆพลิกตัวไปหามันช้าๆ
ในหัวนึกแต่จะถามว่า'ว่าไงนะ'หวังจะได้ฟังอีกสักทีแต่ยังไม่ทันได้มีเสียงเล็ดลอดออกจากปาก ผมก็ถูกแย่งลมหายใจจากคนตรงหน้าอีกแล้ว!
ด้วยความที่ผมตกใจและมันกะทันหันมากทำให้โอบสามารถแทรกลิ้นเข้ามาได้อย่างง่ายดาย ยอมรับแบบแมนๆเลยก็ได้..ผม จูบไม่เป็น ไม่ได้กากนะเว่ยผมแค่สุภาพบุรุษพอ ตอนคบกับแป้งอย่างมากก็แค่จับมือ ผมไม่เคยล่วงเกินอะไรใดๆเลย
กลับมาที่ปัจจุบันดีกว่า..ผมกับโอบกำลังจูบกันอยู่ พูดว่าโอบกำลังจูบผมอยู่น่าจะถูกกว่า แต่สถานที่คือ..กลางห้างเนี่ยนะ ตายๆๆเมื่อผมตั้งสติได้ผมจึงรวบรวมกำลังที่มีผลักโอบออกไป ไม่ได้รังเกียจ ตอบไม่ได้ว่าทำไม แต่แค่กลัวใครมาเห็นเข้า ผมคงอายจนทำตัวไม่ถูกแน่
รสจูบฝากรอยจางๆของความคิดถึงเอาไว้ที่ริมฝีปากผม มันหอมหวานแบบแปลกๆมือผมเลื่อนมาหยุดอยู่ที่ริมฝีปากอย่างช่วยไม่ได้
ถึงตอนนี้สายตาของผมและโอบยังไม่ละออกจากกัน ผมรู้สึกถึงความโหยหา คิดถึง และแฝงไปด้วยความเศร้า เวลาที่นี่นับถอยหลังลงไปทุกที
"ผมกลับไทยพรุ่งนี้" เป็นโอบที่ทำลายความเงียบก่อน
"อ่าหะ" ผมไม่เข้าใจว่าสิ่งที่มันพูดเป็นประโยคคำถาม ประโยคบอกเล่า หรือประโยคบอกลา..
"ทริปนี้เป็นอีกทริปที่ผมมีความสุข"
"อื้อ ผมก็มีความสุขเหมือนกัน ขอบคุณที่มาทำให้ทริปนี้ของผมไม่น่าเบื่อ ขอบคุณที่มาเป็นหนึ่งในความทรงจำที่ดีของผมนะ" ตอนนี้ผมกำลังยิ้ม ผมไม่รู้หรอกนะว่าเราจะได้เจอกันอีกหรือไม่ แต่ที่ผ่านมาผมมีความสุขและทุกสิ่งล้วนเป็นความทรงจำที่สวยงาม ครั้งนี้ผมมั่นใจว่าเป็นการบังเอิญเจอกันของเราสองคนจริงๆ แล้วทำไมจะมีครั้งหน้าอีกไม่ได้ล่ะจริงมั้ย?
เรายิ้มให้กันอีกพักใหญ่ ผมรู้สึกถึงความอบอุ่นที่มันแผ่ซ่านปกคลุมอยู่รอบตัวเรา โอบเดินเข้ามากอดผม ความอบอุ่นของบรรยากาศเมื่อครู่เทียบไม่ได้เลยกับอ้อมกอดของโอบ ผมไม่มีเหตุผลใดๆจะต้องขัดขืนอ้อมกอดอุ่นในคืนที่หนาวเย็นเช่นนี้
"ขอบคุณสำหรับทุกอย่างนะโอบ หวังว่าเราจะได้เจอกันอีก" เป็นผมที่ผละออกมาก่อน ใกล้ถึงเวลาที่แม่นัดแล้ว ถ้าไม่รีบไปแม่อาจจะขึ้นมาตามได้ ผมลาโอบ จ่ายเงินค่าเสื้อให้เจ้ที่สุดท้ายก็เลือกได้แค่ตัวเดียวแล้วเดินกลับลงไปหาแม่ที่รออยู่ก่อนแล้ว
เรา4คนเดินกลับที่พักท่ามกลางบรรยากาศมืดๆ เงียบๆและลมพัดแรง แต่ผมไม่รู้สึกหนาวเลยซักนิด ท่ามกลางเสียงบ่นอากาศหนาวของแม่ อาม่า และคุณป้าตลอดทางกลับผมรู้สึกว่าเสียงพวกนั้นกลืนไปกับสายลม วันนี้ทั้งวันของผมถูกเติมเต็มภายในเวลาไม่นานจากคนบางคน ถ้าเราสามารถขออะไรจากดวงจันทร์ได้วันละอย่าง งั้นคืนนี้ผมขอให้พรุ่งนี้ผมกับโอบได้เจอกันอีก..อีกสักครั้งก็ยังดี..
ผมตื่นเช้าแพคกระเป๋า ถามตัวเองทั้งคืนว่าทำไมถึงยอมให้โอบจูบโดยที่ไม่คิดขัดขืนใดๆ แต่ผมก็ไม่ได้คำตอบเสียที..
วันนี้เราจะไปเที่ยวอีกที่ก่อนกลับซึ่งก็คือสวนวาซาบิ ผมเป็นคนไม่กินเผ็ด โปรแกรมนี้ทำผมเบ้ปากมาแล้วตอนอ่านโปรแกรมทัวร์ที่ไทย
"ซิกเนเจอร์ของที่นี่คือไอติมวาซาบิ อร่อยไม่อร่อยยังไงอย่าลืมมาแชร์ไห้นุ่นฟังกันนะคะ" พี่นุ่นพูดทิ้งท้ายก่อนรถจะจอดให้เราลงไปชมสวนวาซาบิที่ให้ดูตั้งแต่สถานที่ปลูก มีวาซาบิแบบเป็นหัวๆวางขายด้วย ถึงผมจะไม่ได้พิศวาสอะไรแต่ก็อดตื่นเต้นไม่ได้แฮะ
"ปันไปกินไอติมกัน"
"เอาดิ แต่มันจะไม่เผ็ดอ่อเจ้"
"งั้นเจ้ซื้อแล้วให้แกลองกินก่อนก็ได้ ฉันนี่เป็นพี่ที่ดีจริงๆเล้ย"
"แหวะ" แล้วก็โดนเขกหัวไปที ผมยืนรออยู่ข้างร้านขายไอศกรีมเนื่องจากแถวยาวพอสมควร อย่ามองว่าผมไม่เป็นสุภาพบุรุษแบบนั้นสิครับ ผมอาสาไปต่อแถวซื้อให้แล้วแต่เจ้ไม่ยอมบอกว่าอยากดูตอนเค้าบีบ เจ้ปั่นก็ยังเป็นเจ้ปั่นอยู่วันยันค่ำละนะ
ผมยืนกินลมชมวิวฮัมเพลงรอเจ้อยู่ดีๆ ก็เห็นผู้ชายท่าทางคุ้นๆเดินผ่านไป นั่นมันโอบนี่
"โอบๆ" ผมตะโกนพร้อมโบกมืออย่างไม่อายใครแล้วก็ได้ผล โอบเห็นผมและกำลังเดินเข้ามาหา ผมชอบเวลาที่ผมเป็นฝ่ายเจอโอบก่อน มันตลกดีเวลาเห็นโอบทำหน้าเป็นหมาสงสัยแบบนั้น
"เจอผมมันเครียดขนาดนั้นเลยหรอ รู้สึกเจอผมทีไรคิ้วพันกันทุกที" ไม่พูดเปล่าผมเอานิ้วจิ้มๆหว่างคิ้วมันอีกแล้ว เป็นนิสัยแย่ๆที่แก้ไม่หายจริงๆให้ตายเหอะ
"เปล่าซะหน่อย" มันเสมองไปทางอื่นแต่คิ้วพันกันหนักกว่าเดิมอีก เข้าใจคำว่าพูดเล่นมั้ยเนี่ยคุณโอบ
เราสองคนไม่ได้พูดอะไรกันอีกแต่โอบก็ยังไม่เดินไปไหนและยังไม่ยอมหันมามองผมอยู่ดี มันกำลังกินไอศกรีมที่ได้มา แล้วทำไมผมถึงต้องมองลุ้นอย่างกับมันกำลังจะกินไอติมฝีมือผมงั้นแหละ จะว่าไปไอติมสีเขียวอ่อนนี่ไม่น่าจะมีรสเผ็ดเลยนะเนี่ย เห็นมันกินผมเริ่มอยากกินบ้างแล้ว แต่ของแบบนี้ต้องดูกันยาวๆเกิดเผ็ดขึ้นมาเดี๋ยวผมซวย
"มองอะไร อยากกินขนาดนั้นเลย" เลิกคิ้วกวนตีนไปอีก
"เปล่านะ แค่อยากรู้ว่าเผ็ดรึเปล่า" จากที่มันอ้าปากเตรียมงับ มันเลื่อนโคนออกไปไกลตัว ทำงี้แล้วกูจะรู้มั้ยเนี่ย รอเจ้ก็ได้วะ
"กินไปดิรอไร" มันยิ้มมุมปากส่ายหัวไปมา ไอ้ขี้เก๊กเอ๊ยหน้าหมั่นไส้ชะมัด สุดท้ายมันก็กัดเข้าไปเต็มๆหนึ่งคำถ้วนพร้อมเบะปากอยากคายสุดๆ ผมจะทำอะไรได้นอกจากยืนมองมันแล้วก็ขำจนเจ็บท้องไปหมด
"ไม่อร่อยหรอ ฮ่าๆๆ" พยายามกลั้นขำแล้วนะแต่ดูหน้าพะอืดพะอมของมันแล้วหยุดไม่ไหวจริงๆ
"ลองกินดูดิ" พูดจบมันก็ยื่นมือมาจ่อปากผม
"ผะ..เผ็ดมั้ย" ผมทำหน้าแหยงๆแต่เห็นหน้าตาจริงจังของมันพร้อมคำตอบว่าไม่เป็นผมจะทำอะไรได้นอกจากยอมทำตามที่มันบอกคือกัดเข้าไปหนึ่งคำเต็มๆ อื้ม..อร่อย ไม่เผ็ดเลยซักนิด เหมือนไอติมทั่วๆไปที่เจือกลิ่นวาซาบิหน่อยๆแต่ไม่ฉุน อร่อยจนผมต้องหลับตา
"มันอร่อยขนาดนั้นเลยเหรอไง" ดูจากหน้าแล้วคงสงสัยมากจริงๆสินะ
"อืม อร่อยจะตายแล้วทำไมโอบทำหน้างั้นอ่ะ"
"ไม่ชอบของหวาน ถ้าชอบเอาไปเลยยกให้"
"เฮ้ยไม่เป็นไรเกรงใจ"
"งั้นทิ้ง" มันพูดหน้าตายแล้วหันหลังเดินไปทางถังขยะ ไอ้บ้านี่หนิ ผมรีบดึงชายเสื้อมันไว้แล้วลากกลับมาที่เดิม
"ผมซื้อต่อแล้วกัน" ผมรีบดึงโคนไอติมมาจากมือของมันแล้วทำการล้วงกระเป๋าหาเหรียญ มือนึงควานหาเหรียญอีกมือทำหน้าที่ส่งเสบียงเข้าปาก เป็นการใช้อวัยวะทั้งสองข้างได้อย่างคุ้มค่ามาก แต่หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ ประเด็นคือผมยังไม่หยุดกินด้วยแหละ
"โอบถือแป๊บ" ยื่นไอติมให้โอบถือ จากนั้นไม่นานผมก็เจอเหรียญที่ต้องการจนได้ ผมหย่อนเหรียญใส่ช่องใส่น้ำข้างๆกระเป๋าเป้มันเป็นการกวนตีนเล็กน้อยที่ผมพอใจ แล้วยื่นมือจะไปรับไอติมคืน แต่มันไม่ยอมปล่อย
"เอามาดิ ผมจ่ายเงินแล้วนะ" มันยังนิ่ง.. "ได้ จะเล่นแบบนี้ใช่มั้ย งั้นก็ถือไปละกัน" ผมกินทั้งๆที่ไอติมยังอยู่ในมือมันเนี่ยแหละ
ทำไมอยู่ๆมันถึงนิ่งไป ผมเงยหน้าขึ้นมองทั้งที่ปากยังติดกับของหวานที่เย็นชื่นใจ โอบหน้าแดง..ร้อนหรอ ไม่น่าจะใช่แต่ตอนนี้ตัวมันแข็งทื่อไปแล้ว ไม่สบายหรือเปล่า
"เป็นอะไรไป โกรธผมรึเปล่าไม่แกล้งแล้วก็ได้" ผมผละออกมาแล้วหยิบเหรียญข้างเป้มายัดใส่มืออีกข้างที่ว่างอยู่ของมัน แล้วก็หยิบไอติมที่คราวนี้ยอมปล่อยอย่างง่ายดาย
"ปะ..เปล่า" มันหันไปกระแอม2ทีแล้วก็กลับมาเก๊กเหมือนเดิม
"ปันๆ ได้แล้ว อ่าวแล้วนี่ไปเอามาจากไหน"
"ของโอบอ่ะเจ้ เจ้กินไปเลยผมมีแล้ว"
"แล้วนี่.." เจ้ชี้ไปที่โอบ
"นี่โอบ ที่เคยเล่าให้ฟังไง โอบนี่เจ้ปั่นพี่สาวผม"
"ไปหาแม่กันเถอะ" แล้วเจ้ก็ลากผมออกไป ผมโบกมือบ๊ายบายโอบแล้วเดินตามเจ้ไปแบบงงๆ
ถึงเวลาต้องโบกมือลาประเทศญี่ปุ่นอย่างจริงจังแล้ว ใจหายเหมือนกันนะตอนลากกระเป๋าเข้าสนามบิน ผมกับเจ้มีปัญหาเรื่องตั๋วเล็กน้อย เพราะที่นั่งของเราสองคนไม่ได้อยู่ติดกับคนอื่นๆในกรุ๊ปทัวร์ต้องไปนั่งส่วนหลังของเครื่อง พี่นุ่นถามแล้วว่าโอเคมั้ยแต่ผมกับเจ้ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว
แต่มันก็เคว้งคว้างเล็กๆละนะ เจ้เข้ามุมส่วนตัวทันทีที่เครื่องทะยานสู่ท้องฟ้า ผมอยากหลับนะแต่ด้วยเวลาสี่โมงเย็นตามเวลาท้องถิ่นคงไม่เหมาะแก่การนอนเท่าไหร่แถมการที่มานั่งตรงกลางระหว่างเจ้ปั่นกับใครก็ไม่รู้มันก็ทำให้ผมทำตัวตามสบายได้ไม่เต็มที่ โชคดีที่ที่นั่งผมอยู่ช่วงหลังของลำทำให้มีเบาะว่างข้างหลังมากพอสมควร ผมสะกิดเจ้แล้วบอกว่าจะไปนอนเล่นด้านหลังนะเจ้ก็โอเค
ผมเล็งที่นั่งเหมาะๆเอาไว้เรียบร้อยแล้วแต่ขอเข้าห้องน้ำก่อนก็แล้วกัน.. ตอนเดินออกมาจากห้องน้ำอยู่ๆเครื่องก็กระตุกทำผมเซไปชนลูกเรือผู้โชคร้ายที่นั่งติดทางเดิน
"oops! sorry!!"
"ไม่เป็นไรครับ" ฮะ..เฮ้ยยย เสียงคุ้นโคตรผมเงยหน้ามาก็เป็นอย่างที่คิด โอบจริงๆด้วย ผมกระโจนกอดมันเลยครับ
"ดีใจจัง คิดว่าจะไม่ได้เจอกันแล้วซะอีก" ดีใจจริงๆนะ มันเหมือนค้างคาเพราะยังไม่ได้ลากันเลย
"ฮะๆ อะไรจะขนาดนั้น" มันหัวเราะแล้วมองผมแบบล้อเลียน ผมที่ตั้งสติได้รีบผละออกมาจากการระรานมัน
"เอ่อ..ขะ..ขอโทษ"
"ผมยังไม่ทันว่าอะไรเลยนะ" ตอนนี้พูดได้เต็มปากว่าอาย อายมาก รู้สึกว่าตัวเองแรดมากอยู่ๆไปกอดเค้าเฉย ผมกำลังจะเดินไปนั่งที่ เก้าอี้โซนท้ายเครื่องที่แสนสบายที่เล็งไว้แต่แรก เดี๋ยวค่อยมาหาใหม่นะขอกลับไปตั้งหลักก่อน แต่..มีแรงฉุดที่ข้อมือผม
"มานั่งด้วยกันได้ไหม" ผมหันไปตามแรงดึงเจอเข้ากับสายตาอ้อนวอนที่มันส่งมา มีเหรอจะไม่ยอมน่ะ ผมนี่มันใจง่ายจริงๆ พยักหน้าแล้วเดินไปนั่งข้างมัน หน้าแดงแน่ๆเลือดพามารวมตัวกันโดยที่เจ้าของหน้าไม่ต้องการขนาดนี้ แยกย้ายสิแยกย้าย(สั่งเลือด-.-)
"นั่งแล้วเนี่ย ปะ..ปล่อยมือได้ยัง"
"ไม่ปล่อยได้มั้ย"
"ได้ งั้นก็จับให้ตลอดนะ" หมั่นไส้จริงพวกอวดเก่ง จะทดได้นานแค่ไหนกันเชียว ผมแลบลิ้นใส่มันไปที มันหัวเราะอย่างไม่ถือสาพร้อมส่ายหัว
ผมทำลายความเขิน เอ้ยย ความเงียบด้วยการชวนมันคุยนู่นนี่นั่นไปเรื่อยเปื่อยมองนาฬิกาอีกที..หกโมงเย็นแล้วเหรอเนี่ย ผมพูดมากหรือเวลาเดินเร็วขึ้นกันแน่นะ แต่โอบไม่บ่นซักคำ(คงไม่มีจังหวะ)แต่ก็ยังไม่ยอมปล่อยมืออยู่ดี จากที่กำข้อมือในตอนแรกเปลี่ยนมาเป็นประสานมือแทน ว่ามันฝ่ายเดียวก็ไม่ถูก ผมเนี่ยก็ไม่ยอมขัดขืนมันเหมือนกัน
เราทานอาหารเย็นกันเรียบร้อยราบคาบ บอกเลยว่าไม่อิ่ม..ในเมื่อหนังท้องไม่ตึงเราก็ต้องพยายามทำหนังตาให้หย่อนเพื่อลดความหิวโหย
"หลบหน่อยผมจะไปนอนตรงนู้น"
"นอนตรงนี้แหละ"
"มันไม่ถนัด ผมต้องการยืดตัว ยืดตัวอ่ะเข้าใจมั้ย"
"นอนตรงนี้ก็ยืดตัวได้" มันจับหัวผมกดลงบนตักมันแล้วยกขาให้ยืดไปทางสองเบาะที่เหลือ
"นั่งสบายๆไม่ชอบเดี๋ยวเหน็บกินจะสมน้ำหน้าให้"
"ยุ่งน่า ขาผม" แต่หัวกูมั้ยยังไง เกิดมึงเหน็บกินแล้วผลักหัวกูออกล่ะใครจะรับผิดชอบ
ผมหลับไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบแต่พอลืมตาขึ้นมาผมก็เจอกับสายตาของโอบที่มองผมอยู่ก่อนแล้ว นี่ผมนอนน่าเกลียดป่ะวะ มันคงไม่ถ่ายรูปไว้แบคเมล์หรอกเนอะ
"มองไม" น้ำเสียงหาเรื่องโคตร
"อยากมองมีไรป่ะ" กวนตีน
"กรุณาคาดเข็มขัดและปิดเครื่องมือสื่อสารด้วยนะคะ" แอร์สาวสวยเดินบอกตามทาง
"ผมกลับไปนั่งที่ตัวเองดีกว่า ขอบคุณที่ให้หนุนตักนะ หลับสบายมากเลย" ผมลุกขึ้นในขณะที่โอบก้มหน้าลงมา จังหวะนั้นคือผมเบรคไม่ทันแล้วครับ ปากมันชนกับหน้าผากผมเต็มๆ
"เชื่อว่าหลับสบายมากจริงๆ" ไอ้บ้าเอ้ยย ผมต่อยไหล่มันไปก่อนจะรีบกลับไปนั่งที่ตัวเองข้างเจ้
"แอบไปหลับสบายเลยนะแก"
"ไม่ไปเองช่วยไม่ได้เจ้"
สัญญาณคาดเข็มขัดดับลงเป็นการบอกว่าเครื่องจอดสนิทสามารถลงและกลับเข้าสู่ประเทศที่จากมาได้แล้ว..
ความรู้สึกของผมตอนนี้คืออะไร? ตอบไม่ได้ แต่มันโหวงๆแปลกๆ ผมไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้ เพราะอะไรกันนะ
ผมรู้แต่ไม่กล้าที่จะยอมรับมัน
รับกระเป๋าเรียบร้อย ของผมเรียบร้อยแต่ของผู้ใหญ่ที่หิ้วของฝากราวกับจะมาเปิดร้านที่ไทยยังไม่เรียบร้อย ผมยืนรอเรียกง่ายๆว่าเฝ้าของที่เอาออกมาได้แล้ว
"โอ๊ะ ขอโทษครับ" มีคนเดินมาชนผม แต่ไม่ชนเปล่าเค้ายัดอะไรบางอย่างใส่มือผมมาด้วย
"เป็นอะไรรึเปล่า"
"ไม่มีไรเจ้ ปันไปเข้าห้องน้ำแป๊บนึงนะเดียวมา"
"อืม รีบมาล่ะ เจ้ก็อยากเข้าเหมือนกัน"
"ถ้างั้นเจ้ไปก่อนเลยปันยังปวดไม่มาก"
"โอเค แต๊งกิ้วมาก" ตบบ่าสองทีแล้วรีบวิ่งหายไปเลยสงสัยจะทนมานาน บางทีเจ้ก็เป็นคนตลก
'มาเจอกันหน่อยได้มั้ย..รออยู่ในข้างห้องน้ำนะ' ผมกำกระดาษแน่น..มันเป็นความรู้สึกที่เหมือนกับตอนผมอยู่ม.6 ตอนที่ผมกำลังจะต้องบอกลาคนสำคัญของผม เพียงแต่ครั้งนี้โอบไม่ใช่เพื่อนผมเท่านั้นเอง
ผมเดินมาตามหามันตามที่กระดาษแผ่นนั้น แต่ก่อนหามันผมขอเข้าห้องน้ำก่อนแล้วกัน ล้างมือเสร็จกำลังจะเดินออกจากห้องน้ำก็โดนกระชาก แรงกระชากพาผมเข้าไปในอ้อมกอดใครบางคน
"นึกว่าจะไม่มาแล้วซะอีก"
"ไม่ได้มาหาซะหน่อยมากเข้าห้องน้ำ"
"อืม ช่างเหอะผมคงเข้าข้างตัวเองมากไป" อย่าจ๋อยดิ บอกแล้วไงว่าไม่ชอบทำให้ใครรู้สึกไม่ดี
"ล้อเล่นน่า มาหาโอบแหละแล้วมีอะไรรึป่าว" ที่ผมพยายามไม่ดึงบรรยากาศให้เศร้าเพราะผมคิดว่าแค่การลาจากมันก็เศร้าพออยู่แล้ว เราก็ไม่ควรทำให้การจากกันเป็นความทรงจำที่แสนเศร้า
"มีของจะให้"
"ของไร ขนมญี่ปุ่นไม่ต้องนะ ผมซื้อมาเยอะ ฮ่าๆๆ"
"แบมือหน่อย" ผมทำตามอย่างว่าง่าย
มันวางโปสการ์ดแผ่นนึงในมือผม จับมือผมให้กำไว้แล้วเลื่อนข้อมือผมให้ไปอยู่ด้านหลัง
"อ่านตอนแยกกันแล้วนะ หวังว่าจะได้เจอกันอีก"
"ขอบคุณนะโอบ ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง"
ผมเดินกลับมาหาครอบครัวที่ยืนรออยู่พร้อมกระเป๋าที่ออกลูกหลานมากมายที่กองครบอยู่แล้ว ในใจผมตอนนี้ไม่มีความเศร้า ไม่เศร้าที่ต้องจากโอบ ไม่เศร้าที่ต้องจากประเทศในฝันมาเจอโลกแต่งความเป็นจริง ตอนนี้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นผมก็พร้อมที่จะเดินหน้าต่อ
"ไปซะนานเลยนะ"
"พอดีเจอเพื่อนอ่ะเจ้ เลยลากันนิดหน่อย"
"คนที่บอกว่าไปเจอกันที่นู่นอ่ะนะ"
"อ่าหะ"
"โอ๊ย แกจะอะไรนักหนา ก็แค่คนแปลกหน้าที่เจอกันโดยบังเอิญเท่านั้นแหละ"
"อืม ผมก็ว่างั้น" แต่ไม่ว่าจะยังไงอย่างน้อยเรื่องระหว่างผมกับโอบที่นู่นก็จะเป็นความทรงจำที่ดีของผมตลอดไป
--------------------------------------------------------------------------
สวัสดีตอนเกือบๆเที่ยงคืนค่ะ('/\') ตอนนี้เขียนยากมากกกกกก ไม่รู้จะลงยังไงอารมณ์เหมือนขึ้นหลังเสือแล้วลงไม่ได้..พรากกก,___, อันนี้จริงๆเราอยากให้เป็นตอนจบแต่คิดว่าจบแบบนี้มันห้วนไปเลยจะมีบทส่งท้ายค่ะ ที่จริงอยากลงพร้อมกันแต่มันยังไม่เค้นไม่ออกเลยขอแว๊บมาแปะตอนนี้ก่อนแล้วกันเนอะ
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ขอบคุณสำหรับใครที่ตามอ่านมาจะจบ หรือหลงกดเข้ามาอ่านจบจนTvT ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนแต่ถ้าพวกคุณอ่านมาถึงตรงนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องบังเอิญมากๆเลยเนอะที่เราได้รู้จักกัน แม้จะผ่านตัวหนังสือก็ตาม โอ้ววหล่อไปอีก 555555 ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ
ปล.ช่วงนี้ใกล้สอบเวิ่นเยอะเพราะสติหลุดค่ะแฮะๆ
ปล2. อย่าที่เคยบอกไป(?) เรื่องนี้เป็นเรื่องแรก(ที่ลง)ค่ะ ผิดพลาดประการใดตำหนิหรือแนะนำกันได้เลยนะคะไม่ต้องเกรงใจเพื่อการพัฒนาที่ดีต่อไปค่ะ
ปล3.ขอบคุณสำหรับทุกๆคอมเมนต์ ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน เราดีใจมากจริงๆนะไม่รู้จะอธิบายยังไง