ตอนที่ 10
นายน้อยไม่สามารถตื่นเช้าจัดได้ไหวตามที่ใจปรารถนา เพราะถ้าเทียบกันระหว่างเปียโนกับม้าแล้ว เห็นได้ชัดว่าลูกชายคนเดียวของเจ้าของไร่ชื่นชอบในรสดนตรีมากกว่าขี่ม้าผจญภัย ดังนั้นราวเที่ยงคืนของทุกวันหนึ่งตะวันจะยังคงเล่นบรรเลงเพลงและตื่นไหวราว ๆ เจ็ดโมงเช้าที่ส่วนมากผมจะกลับจากคอกม้าเรียบร้อยแล้วโดยมีช่วงเย็นบางวันเท่านั้นที่จะเอาแสงเพชรออกมาขี่เล่นได้ในบริเวณที่ไม่ไกลนัก
หนึ่งตะวันเรียนงานเร็วกว่าที่คิด ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะที่ไร่ไม่มีแสงสีอะไรให้สนใจนัก ความเพลิดเพลินของเขาที่เป็นเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียวคือสไกป์ บ่อยครั้งผมเห็นเขาคุยเล่นกับเพื่อน ๆ หยาบคายหยอกล้อกันเหมือนผู้ชายทั่วไป
นายน้อยมีเพื่อนที่สนิท ๆ กันนับรวมตัวเองด้วยสี่คน เป็นลูกคนใหญ่คนโตทั้งนั้น เรียกได้ว่าเข้าใจคบเพื่อนในระดับเดียวกันทั้งหมดส่วนสนิทที่สุดคือคนเดิม ภูดิศยังคงมีนัดคุยสไกป์กับหนึ่งตะวันช่วงหัวค่ำก่อนเล่นเปียโนบ่อย ๆ แต่ก็ไม่มีแผนจะกลับมาเยี่ยมสหายรักที่โคราชในเร็ววัน
สถานการณ์ของผมกับนายน้อยกลับมาดีขึ้นอีกครั้ง เขาไม่โยเย ไม่กวนอารมณ์ หรือไม่อาจเป็นผมเองที่เคยชินไปแล้ว ทุกคืนผมจะออกมายืนฟังเพลงบรรเลงที่ระเบียง รอจนกว่าไฟห้องนั่งเล่นจะดับค่อยเข้านอน คืนไหนที่เห็นอีกฝ่ายอยู่ดึกเกินจำเป็นจะเข้าไปเตือนบ้างเป็นครั้งคราว
นายน้อยเองก็รู้ว่าผมอยู่ฟัง เขามักจะเล่นเพลงช้า ๆ ฟังสบาย ๆ เก่าบ้าง ใหม่บ้าง สลับกันทุกวัน บางครั้งเป็นเพลงที่ผมไม่รู้จัก ถ้าฟังติดหูรุ่งสางของวันถัดมาจะไปถามว่าเพลงที่เช่นเมื่อคืนชื่ออะไร ผมไม่ใช่คอดนตรี บางทีเป็นเพลงภาษาแปลกๆ ก็จำไม่ได้น้ก รู้แค่ไทยกับอังกฤษระดับสื่อสาร ถ้าเป็นเพลงฝรั่งเศสหรือญี่ปุ่นมาก็ไม่เคยนึกจะจำเสียที
“อ้าวคุณกฤช มาตรวจโรงบ่มหรือคะ”
พี่ก้อย หัวหน้าคนงานประจำโรงบ่มเอ่ยทัก ผมดึงแผ่นกระดาษที่เสียบไว้ข้างผนังออกมาตรวจเช็ค พยักหน้าโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองพลางถามถึงไอ้ตัวแสบอีกคน
“โจ้ล่ะครับ”
“ออกไปวิ่งเล่นในไร่เหมือนเคยค่ะ เพิ่งสวนคุณกฤชไปเมื่อกี้เอง”
ผมพยักหน้าอีกครั้ง หลังจากตรวจเช็ครอบการผลิตเรียบร้อยก็เก็บแผ่นกระดาษไว้ที่เดิม พี่ก้อยทำงานที่นี่มาหลายปี เป็นผู้ใหญ่ที่น่าไว้วางใจ ถ้าเทียบกับไอ้โจ้แล้วคนละเรื่อง
"วันก่อนสั่งถังไม้โอ๊คมาลงใหม่แทนที่ชำรุดไม่ทราบว่ามาส่งหรือยังครับ"
"มาแล้วค่ะ ของเจ้าใหม่ใช่ไหมคะ"
"ครับ" ผมว่า "รายนี้นายน้อยให้รายชื่อมา เห็นว่าเป็นเพื่อนของคุณพอร์ชอีกทีเลยได้ราคาถูกหน่อย ต่อไปคงได้ดีลกันนาน"
"ยังไม่เคยเห็นนายน้อยมาที่โรงบ่มเลย เรียนรู้ไวมากเลยนะคะ"
"ยังไม่มากหรอกครับ ผมเป็นคนคุยเอง แต่เร็ว ๆ นี้จะสอนแล้วเหมือนกัน เรื่องในไร่นายน้อยก็เริ่มดูแลเองหลายอย่างแล้ว" ผมว่า ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู "เดี๋ยวผมไปตามมันกลับมา ไอ้โจ้น่ะ เอาแต่เที่ยวเล่น”
พี่ก้อยยิ้มรับ เป็นการส่งผมกลับจากการตรวจตราประจำวัน
ขนาดของไร่องุ่นตะวันฉายไกลสุดลูกหูลูกตา แต่ก็ไม่พ้นสายตาของคนงานที่นี่ ผมเร่ถามไม่กี่คนก็เจอตัวไอ้แสบโหนค้างองุ่นอยู่กลางไร่ ยืนยิ้มแยกฟันขาวกับใครบางคนที่มองปราดเดียวก็รู้ว่าเป็นนายน้อยโดยไม่ต้องสงสัย
ที่น่าแปลกใจคือมาทำอะไรที่นี่กับไอ้ลูกสมุนปากเปราะ
“งานของเอ็งอยู่ที่ไร่รึไอ้โจ้”
“อ้าว คุณกฤชนี่เอง” มันหันมายิ้มจนตาปิด ไม่ได้รู้สึกถึงความผิดที่ตัวเองหนีงานมา “โจ้มาหาคุณกฤชนั่นแหละ แต่เจอนายน้อยพอดีเลยพากันเที่ยวเล่น กำลังเล่าให้ฟังเรื่องนกหนู”
“ถ้าคุณหนึ่งอยากรู้ทำไมไม่ถามผม” หันไปทักอีกคนที่ปกติหมกตัวอยู่ในบ้านมากกว่าด้วยอารมณ์ขุ่น เห็นไอ้โจ้ยืนชิดนายน้อยแล้วยิ่งหงุดหงิด “แล้วออกมาแบบนี้หมวกก็ไม่ยอมใส่ เดี๋ยวก็ไม่สบาย”
“อะไรของนาย” หนึ่งตะวันขมวดคิ้วมุ่น “ฉันแค่เบื่อตัวเลขเลยออกมาเดินเล่นเท่านั้นเอง เดี๋ยวก็กลับเข้าไปแล้ว”
“ถ้าจะเดินมาไกลขนาดนี้คุณหนึ่งควรจะเรียกผม”
“ไม่ได้จำเป็นขนาดนั้นสักหน่อย”
“ถ้าผมไม่จำเป็นแล้วใครจำเป็น ไอ้โจ้หรือไง มันทำงานอยู่ท้ายไร่จะไปรู้อะไรมาก แล้วเดินพอหรือยัง กลับเข้าบ้านไปได้แล้ว แดดมันร้อน คุณก็เห็น”
“นาย–“
“ผมอยากให้คุณหนึ่ง กลับบ้าน”
เมื่อย้ำคำสุดท้ายหนึ่งตะวันก็อ้าปากหวอ สบตากับผมท่าทางหัวเสียไม่แพ้กันแต่ท้ายที่สุดก็ยอมทำตามคำสั่ง ผมยกมือขึ้นลูบหน้า รู้สึกฉุนขึ้นมาเมื่ออีกฝ่ายให้ความสำคัญกับคนงานคนอื่นมากกว่าตัวเอง
“คุณกฤชโกรธโจ้มากเลยเหรอ”
ไอ้ตัวดีถาม มันก้มหน้าหงอย ๆ ผมถึงได้รู้สึกตัวว่าหงุดหงิดมากไป เถ้าความรู้สึกบางอย่างที่ข่มลงไปให้ลึกตวัดลอยฟุ้ง ผมไม่รู้ ไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้ว่ามันคืออะไีรจริง ๆ หรือแค่ไม่อยากยอมรับ
“โจ้ไม่ได้สอนอะไรไม่ดีให้นายน้อยนะ แค่พูดเรื่องนกหนูที่มากวนองุ่นเท่านั้นเอง”
“ข้ารู้” ผมบอก ถอนหายใจหนัก ยกมือขึ้นพาดบ่าลูกสมุนที่กำลังขวัญเสีย จะเอ่ยขอโทษก็กลัวมันซักไซ้ต่อ “ช่างมันเถอะ แดดแค่ร้อนเกินไป”
แม้จะพูดแบบนั้น แต่ผมรู้ว่าไม่ใช่ ไม่ใช่เพราะอากาศที่ร้อนแต่ใจผมเองที่เปลี่ยน สิ่งที่วกวนในจิตใจก่อเป็นรูปเป็นร่าง ยากที่จะปฏิเสธ มันชัดเจนทุกขณะ เป็นความรู้สึกไม่ปลอดภัยที่ทำให้ขลาดกลัว มันเคยเกิดขึ้น นานมากแล้ว แต่ไม่เคยหักห้าม ผมปิดกั้นตัวเอง หลบลี้เพราะไม่อยากเผชิญมันอีก เป็นกับทุกคนที่อยู่ใกล้คนสำคัญเกินกว่าเหตุ เหตุที่ถูกกำหนดเขตแดนไว้โดยผมเอง ทั้งกับภูดิศ ไม่เว้นแม้ไอ้โจ้ที่ไม่มีอะไรเหนือกว่าตัวเองแม้แต่น้อย
ความรู้สึกของผม...หงุดหงิดคล้ายคนบ้า มันควบคู่มากับคำบางคำ
คำที่หนึ่งตะวันบอกให้ผมจำให้แม่นมั่น
ผมจะต้องตกหลุมรักเขา
มันค่อนข้างยากถ้าจะให้ผมทำใจยอมรับว่าเกิดความรู้สึกอื่นที่ผิดรูปร่างไป ระหว่างทางที่เดินกลับบ้านถึงได้แต่ง่วนกับการเถียงตัวเองในใจตลอดเวลา เกิดมวลคลื่นหมุนภายในอย่างประหลาด ความรู้สึกนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้วจะสามารถลบล้างได้ไหม ผมควรทำอย่างไร มันเพียงชั่วคราว หวั่นไหวเพียงเพราะไม่มีใครมาแรมปีหรือชอบที่จะให้หนึ่งตะวันวิ่งตามแต่ตัวเองต้อย ๆ จริง
บางทีแล้วอาจเป็นเพราะลึก ๆ ผมยังฝังใจในความเย่อหยิ่งของหนึ่งตะวันและร่ำร้องที่จะกำราบเขาอยู่ตลอดเวลา เมื่อตัวเองมีความสำคัญกับอีกฝ่ายหัวใจที่ขาดความชุ่มชื่นมาถึงฮึกเหิม ผมเริ่มดีใจที่เขาเรียกหา งอแงเหมือนเด็ก ๆ หรือกระทั่งยิ้มอ่อนหวานทั้งปากและตา พาลพาโลไปหงุดหงิดคนนั้นคนนี้เมื่อมีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดหนึ่งตะวันราวกับว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้อาจบรรลุได้ง่ายดาย
แต่ถ้าคนที่นายน้อยเพรียกหาไม่ใช่ผมอีกต่อไป เวลานั้นจะรู้สึกแบบไหนกัน ถ้าคนที่หนึ่งตะวันต้องการเป็นคนอื่นไป ผมจะทำใจได้หรือไม่
ความรู้สึกคล้ายคนอยู่ยอดผา ขลาดกลัวแต่ก็ไม่อยากจะยอมรับ มั่นใจว่าตัวเองตั้งมั่นอยู่บนผืนหญ้าตลอดมา ทั้งปลอดภัยและนุ่มนวล รู้ตัวอีกทีก็โงนเงนสั่นไหวบนปากเหวไปตามลมพัด
ผมเดินเหม่อจนเข้ามาในตัวบ้าน ไม่มีเงาของคนที่นึกถึง แม่หยิบอัลบั้มรูปเก่า ๆ ครั้งคุณรุ้งยังมีชีวิตอยู่ออกมาปัดฝุ่น นางสายใจไม่เคยหยุดนิ่ง บ้านหลังนี้ไม่เคยทรุดโทรมเลยเพราะมีแม่กับป้าแววคอยทำความสะอาดเหมือนมดงาน เมื่อผมโผล่เข้าไปในห้องนั่งเล่น พับเพียบลงข้าง ๆ แล้วถอนหายใจหนักเสียงหัวเราะเบา ๆ ก็ดังขึ้น
“ทะเลาะกับนายน้อยอีกแล้วล่ะสิ”
“แม่ก็ ผมอาจจะอารมณ์ไม่ดีเพราะเรื่องอื่นก็ได้ครับ”
“เหรอจ๊ะ”
“แม่นี่รู้ทันผมจัง”
ว่าพลางหยิบอัลบั้มรูปบางส่วนที่เช็ดจนสะอาดสะอ้านมาดู นายน้อยคล้ายนายหญิงมาก ไม่ว่าจะรูปหน้าหรือแววตา องค์ประกอบทุกอย่าง คุณรุ้งก็ยังตัวเล็กกว่าหนึ่งตะวันตอนนี้โข
“แม่เกลียดคุณรุ้งไหม ตอนที่รู้ว่าคุณชนินทร์ต้องแต่งงาน”
“ไม่เลย” มารดาผมยิ้มกับภาพถ่าย บรรจงวางมือบนรูปครอบครัวของนายน้อยเมื่อครั้งยังเด็กที่อยู่กันพร้อมหน้า “ทั้งแม่และนายรู้กันแก่ใจว่ามันเป็นไปไม่ได้ คุณหญิงไม่ได้เมตตาแม่ขนาดนั้น แต่ธรรมดาแหละกฤช พ่อแม่ใครก็อยากให้ลูกตัวเองได้ดี”
เสียงถอนใจดังขึ้นก่อนผู้เล่าประสบการณ์จะพูดต่อ “คุณรุ้งเองก็ดีกับทุกคนมาก เสียดายอายุสั้น ชีวิตก็แบบนี้แหละจ้ะ”
“ครับ” ผมครางรับในลำคอ “ชีวิตก็แบบนี้”
เราสองคนนั่งดูรูปเจ้าของบ้านอยู่พักใหญ่ ต่างฝ่ายต่างจมอยู่กับความเงียบ ผมไม่รู้จะปรึกษาใคร เมื่อยอมรับแล้วว่ารู้สึก แล้วจะจัดการยังไงต่อ มันประเดี๋ยวประด๋าว ผมแค่หวั่นไหว หรือถลำลึกเกินจะถอน ไม่มีทาง ผมเพิ่งรับรู้ถึงความหงุดหงิดจำนวนมหาศาลที่ไม่อาจควบคุมได้ไม่นานนี้เอง บางที ผมหมายถึง ยังมีโอกาส ผมยังมีโอกาสหมุนตัวกลับก่อนที่อะไรจะเตลิดเปิดเปิงไปกว่านี้
ภาพของผู้หญิงคนหนุ่งที่เป็นผู้นำและเคียงข้างเสมอมาผุดขึ้น พี่นุ่น...แม้ตอนนี้จะไม่ได้รักกันแบบนั้นแต่ผมเชื่อว่าพี่นุ่นยังพร้อมจะช่วยแก้ปัญหาครั้งนี้ด้วยความเต็มใจยิ่ง
มาหาพี่ได้เสมอนั่นเป็นคำพูดที่พี่นุ่นพูดถึงบ่อย ๆ ผมเองก็มีประโยคในลักษณะเดียวกันเอ่ยกับอีกฝ่าย แม้จะช่วยได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ผมกับอดีตคนรักต่างประคองความสัมพันธ์มาในลักษณะนี้
ครั้งนี้ก็เช่นกัน พี่นุ่นเป็นคนฉลาด รับรองต้องให้คำปรึกษาที่แก้ปมทุกความรูิสึก คลายความสับสนในอกให้หายไป ฝุ่นลอยฟุ้งที่เหมือนอยู่บนถนนลูกรังจะสงบนิ่ง รายเรียบอย่างที่มันควรจะเป็นอีกหน
“แม่ พรุ่งนี้ผมจะเข้าไปในเมืองนะครับ”
“หืม? ซื้อของเหรอ”
“ผมอยากไปคุยกับพี่นุ่น มีเรื่องอยากปรึกษา”
แม่พยักหน้า “ชวนนายน้อยไปด้วยสิ เผื่ออยากเข้าไปเที่ยวเล่น อยู่แต่ในไร่น่าเบื่อแย่”
ผมครางอึกอัก ก่อนปฏิเสธ “คราวหลังเถอะครับ รอบนี้ผมไปธุระจริง ๆ”
“ถ้าอย่างนั้นขึ้นไปถามแกหน่อยก็ดีเผื่อว่าอยากได้อะไรพิเศษ อ้อ ป้าแววต้มบัวลอยอยู่ในครัว ตักขึ้นไปให้นายน้อยด้วยเลยนะ”
ผมพยักหน้ารับก่อนลุกขึ้นไปตักบัวลอยน้ำกะทิร้อน ๆ ในครัวมาหนึ่งถ้วยเล็ก เดินขึ้นชั้นสอง เคาะประตูเรียกเจ้าของห้องก่อนถือวิสาสะเข้าไป หนึ่งตะวันกำลังเล่นสไกป์กับภูดิศที่ทำหน้าระอาในจอ
“คนดีของมึงมาง้อแล้วมั้งนั่น มีอะไรอีกไหม กูจะทำงาน”
“ไอ้พอร์ช!” หนึ่งตะวันตวาดเสียงแข็ง เหลือบตามามองผมแล้วทำหน้ากระเง้ากระงอดใส่คู่สนทนา “ปากหมา”
“เออ ๆ กูผิด ๆ” ชายในจอคอมพิวเตอร์ครางรับอย่างเสียไม่ได้ “คืนนี้นอนไม่หลับไว้ค่อยทักมา งานกูล้นโต๊ะ มึงก็เห็น”
ภูดิศยกแฟ้มที่กองอยู่จำนวนมหึมาขึ้นชู หนึ่งตะวันงอแงได้ไม่นานก็ยอมปิดช่องทางสนทนาเมื่อภูดิศยืนยันว่าจะทำงานต่อจริง ๆ
ผมวางถ้วยแก้วบนโต๊ะถามเสียงเรียบ “ฟ้องคุณพอร์ชที่ผมดุเหรอครับ”
“ยุ่ง”
“แต่ผมก็มาง้อจริง ๆ แหละ” เจ้าของห้องเงยหน้ามองก่อนหันไปทางอื่น ผมถอนหายใจพลางขยายความ “อากาศมันร้อนมาก นายน้อยเดินไปแบบนั้นหมวกก็ไม่เอามา คราวก่อนหน้าไหม้ไปตั้งหลายวันยังไม่เข็ด”
“สรุปจะง้อหรือจะมาด่าซ้ำ”
“ผมแค่เป็นห่วงเท่านั้นเอง”
“นายใช้คำนี้พร่ำเพรื่อไปแล้ว” จริงอย่างที่หนึ่งตะวันพูด ผมเถียงไม่ออก แต่นายน้อยก็ชอบทำตัวน่าเป็นห่วงจริง “วันนี้นายทำอย่างกับหึงฉันกับโจ้”
“ไม่ได้หึง”
“รู้หรอกน่า!” พูดพลางยกมือกอดอก ไม่รู้จะทำยังไงต่อ ผมขยับถ้วยบัวลอยไปใกล้
“ทานหน่อยสิครับ กำลังอุ่น”
“อุ่นบ้าอะไร ควันขึ้นขนาดนั้น” นายน้อยยังหัวเสียไม่เลิก ก็สมควรแล้ว ผมไม่มีเหตุผลใส่เขาก่อน ถ้าหนึ่งตะวันจะโมโหก็ไม่แปลก “อยากง้อก็กินเอง ห้ามเป่า”
“คุณจะบ้าเหรอ”
“ได้เท่าครึ่งของที่นายเหวี่ยงฉันเมื่อกี้หรือเปล่า”
คราวนี้นายน้อยหันกลับมาจ้องหน้าผมใหม่ ตาต่อตา ไม่มีใครถอย ท้ายที่สุดผมก็ต้องยอมยกบัวลอยขึ้นใส่ปาก หนึ่งตะวันตาโต รีบดึงช้อนออกแต่ไม่ทัน ผมเงยหน้าขึ้นฟ้า พ่นควันสีขาวเหนืออากาศหวังว่ามันจะบรรเทาอาการแสบร้อนที่ลวกลิ้นได้ ใกล้มือมีขวดน้ำวางทิ้งไว้ ผมถูกจับกรอกน้ำใส่ปากจนเปียกปอนจากคางลงมาถึงสะดือ
“ไอ้บ้า โว้ย!! โง่หรือไงวะ”
หนึ่งตะวันแผดเสียงลั่น ผมสำลักน้ำก่อนรับผ้าเช็ดตัวมาซับความชื้นแฉะเหนือริมฝีปาก แทนที่จะอารมณ์ดี นายน้อยกลับยิ่งโวยวายหนักกว่าเดิม เรามองหน้ากันอีกครั้ง หนึ่งตะวันถลกเสื้อตัวเองขึ้นช่วยเช็ดน้ำเปล่าที่ไหลซึม ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาผม
“ไอ้กฤช ไอ้เด็กบ้า นายมันห่วยบรม!”
“คุณโวยวายเหมือนคนเสียสติ” ผมยิ้ม หนึ่งตะวันไม่เถียง
“ก็เกือบ” เขาว่า “คนบ้าอะไรกรอกบัวลอยร้อน ๆ เข้าปาก”
“เดี๋ยวคุณหนึ่งไม่หายโกรธผม”
“โง่ชะมัด” คนเจ้าแผนการบ่นงึมงำ “ฉันล้อเล่น ไม่คิดว่าจะทำจริง ร้อนหรือเปล่า”
ผมส่ายหัว ก่อนชะงักทั้งร่างเมื่อปลายนิ้วขาวยื่นมาแตะเหนือริมฝีปาก คู่สนทนาจับจ้องกลีบปากผมนิ่ง ส่ายหัวนิด ๆ ก่อนหลุดขำ “มีแต่คนบ้าที่ทำแบบนี้”
“งั้นผมคงบ้า”
“แน่นอน นายมันบ้า” ผมหัวเราะบ้าง ยกมือขึ้นมาจับมือเขาที่แตะกลีบปากผมไว้ เราสบตากันแล้วเสียงหัวเราะก็เงียบลง ใจผมเต้นแปลก ๆ กว่าจะรู้ตัวก็ถือข้อมืออีกฝ่ายไว้นานสองนาน
“เอ่อ...พรุ่งนี้ ผมจะเข้าเมือง”
“อะ...เอ่อ...งั้นเหรอ ไปทำอะไร”
“ว่าจะแวะไปหาพี่นุ่นน่ะครับ” ผมตอบ ขยายความเพิ่มเล็กน้อย “มีธุระต้องคุยด้วย”
“เขาทะเลาะกับแฟนเหรอ”
“ครับ?”
“ก็คราวนั้นที่นายคุยกัน” หนึ่งตะวันเงียบเสียงไป ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าช่วงก่อนหน้านี้พี่นุ่นระหองระแหงกับพี่ปูนอยู่ เห็นหนึ่งตะวันเอาแต่สนใจเลือกซื้อของไม่ได้คิดว่าแอบฟัง กระนั้น เอาเข้าจริงพี่นุ่นก็ไม่เคยโทรหา อาจจะดีกันแล้ว หรือไม่พี่นุ่นก็มีหนุ่มใหม่มาดามใจเรียบร้อย
“ไม่อยากให้ไปเลย” หนึ่งตะวันพูด พักเดียวก็ส่ายหน้า “ไม่..ไม่....ฉันหมายถึง ไปเถอะ”
“คุณหนึ่งไม่สบายใจที่ผมไปเจอพี่นุ่นเหรอ”
“ไม่หรอก ไม่มีอะไร” นายน้อยยังคงปฏิเสธทั้ง ๆ ที่ก้มหน้า “รู้หรอกว่ายังรักอยู่ ไปเถอะ เผื่อจะมีข่าวดีอะไร”
บอกตรง ๆ ว่าผมใจคอไม่ดี หนึ่งตะวันไม่โวยวาย ไม่เรียกร้องเอาแต่ก้มหน้ามองมือที่ประสานกันอยู่ข้างหน้า สักพักก็ยกขึ้นเกาหูแก้เก้อ พอก้มหน้าลงมอง เห็นอีกฝ่ายเม้มปากเข้าหากันก็รู้สึกแย่ เหมือนกำลังทำร้ายความรู้สึกหนึ่งตะวันแม้ว่าจะยังไม่ได้ทำอะไรก็ตาม
“ผม...”
แค่อยากไปปรึกษาเรื่องความสับสนในอกตัวเองเวลาที่อยู่ใกล้คุณเท่านั้นประโยคหลังเป็นถ้อยคำที่กลืนลงคอไป เริ่มรู้สึกอยากทำตามความต้องการของอีกฝ่าย หากแต่ถ้ายอมทุกอย่างความรู้สึกผมคงเลิกสับสน ได้คำตอบที่แน่ชัดเกินไปว่ารู้สึกกับอีกฝ่ายอย่างไร และถอนตัวทันหรือไม่ แน่นอนว่าผมไม่พร้อม ไม่อยากยอมรับว่ารู้สึกแบบนั้นจริง
มันต้องมีหนทางดึงตัวเองกลับมาได้สิน่า เกิดมา26ปีเต็มผมยังไม่เคยมีความรู้สึกแบบนี้กับเพศเดียวกันเลยสักครั้ง มันจะเป็นไปได้ยังไง...
“คุณหนึ่งอยากได้อะไรหรือเปล่าครับ”
“ไม่ นายไปเถอะ”
ผมครางรับในลำคอ หนึ่งตะวันกลับลงไปนั่งบนเก้าอี้ เลื่อนถ้วยบัวลอยที่ยังเหลืออยู่มาคน เขานั่งเงียบในขณะที่ผมเริ่มรู้สึกแย่มากขึ้นทุกขณะ
“คุณหนึ่ง”
“หืม?” หนึ่งตะวันเงียบเพื่อฟัง ส่วนผมก็สรรหาคำพูดอยู่ในอกพักใหญ่ ฟังเสียงช้อนขูดกับผิวเซรามิคเมื่อลากวนไปมาในถ้วย
“เมื่อกี้คุณพอร์ชอกว่านอนไม่ค่อยหลับเหรอครับ”
“ก็...ปกติน่ะ ฉันเคยบอกนายแล้วนี่”
“ถ้างั้นคืนนี้ผมมาส่งเข้านอนดีไหมครับ”
หนึ่งตะวันเงยหน้าขึ้น แววตาเขาวูบไหวเล็กน้อยก่อนก้มลงไปใหม่ ผมตีความหมายในแววตาคู่นั้นไม่ออก เรียกได้ว่าเป็นครั้งแรกที่ผมไม่แน่ใจว่านายน้อยรู้สึกอย่างไร
รอยยิ้มนั้นแห้งเหี่ยว แต่อย่างน้อยคู่สนทนาก็แค่นยิ้มออกมาก่อนพูด “ไม่เป็นไรหรอก ฉันก็บอกพอร์ชไว้แล้วว่าถ้านอนไม่หลับจะทักสไกป์ไป”
“เดี๋ยวผมมาอยู่เป็นเพื่อน”
หนึ่งตะวันสบตาผม เขาครางรับในลำคอเมื่อปะทะเข้ากับสายตาที่บ่งบอกว่าไม่ได้มีเจตนาพูดเล่นแต่อย่างใด
หลังอาหารเย็นเสียดนตรีจากเปียโนตัวเดิมลอยฟุ้งในอากาศเหมือนกิจวัตร ผมยกโน้ตบุ๊กของตัวเองมาใช้งานในห้องเดียวกัน เปิดอ่านความรู้ใหม่ ๆ สลับกับแชทคุยกับพี่นุ่นเรื่องนัดแนะของวันพรุ่งนี้
พี่นุ่นยังคงทำงานอยู่ในโรงพยาบาลสัตว์เอกชนของพ่อพี่ปูน เป็นคุณหมอมือฉมังที่ชาวบ้านเรียกหาบ่อย ๆ เวรพี่นุ่นไม่แน่นมาก พรุ่งนี้เกือบจะว่างด้วยซ้ำ ผมเลยนัดในร้านกาแฟที่อยู่ห่างจากโรงพยาบาลออกมาอีกหน่อย ตั้งแต่ช่วงบ่ายถึงพระอาทิตย์ตกดิน คนรักเก่ายินดีมอบเวลาให้ผมปรึกษาปัญหาหัวใจเต็มที่
นึกแล้วขัน พี่นุ่นจะทำหน้ายังไงถ้าได้ยินว่า
‘ผมสงสัยว่าตัวเองจะเป็นเกย์ครับพี่’แน่นอน แม้แต่ตัวเองยังตกใจ ได้แต่ภาวนาว่าวุฒิภาวะของพี่นุ่นที่เป็นผู้ใหญ่นำผมไปหลายเท่าจะช่วยได้ ผมถอนหายใจ เงยหน้ามองแผ่นหลังและต้นคอของนักดนตรีจำเป็นแล้วถอนใจซ้ำใหม่ หนึ่งตะวันเป็นตัววุ่นวาย ตั้งแต่ปรากฏตัวขึ้นในชีวิตผมก็ไม่เจอความสงบสุขเหมือนเก่าก่อนอีกเลย
นี่เขาทำอะไรกับความรู้สึกของผมนับตั้งแต่วันที่ยอมรับว่าชอบตอนนั้น เหมือนผมก็ถวิลหาจะฟังถ้อยคำน่ารัก ๆ จากอีกฝ่ายตลอดมา ชอบมองแก้มขาวที่เปลี่ยนสี แววตาซุกซนที่ออดอ้อนในที ท่าทางหยิ่งผยองที่บ่อยครั้งทำให้ผมเป็นห่วงมากกว่าหมั่นไส้
เสียงดนตรีหยุดลงเมื่อจบเพลง ผมหลบสายตาก่อนคนถูกแอบมองจะทันรู้ตัว
“ง่วงแล้ว”
เสียงงอแงของนักดนตรีมือสมัครเล่นเรียกให้ผมเหลือบตามองนาฬิกาแขวน เป็นเวลาเข้านอนของหนึ่งตะวันจริง แต่เจ้าตัวชอบลุกขึ้นมาเล่นเปียโนใหม่หลังจากสะดุ้งตื่นในอีกราว ๆ สองชั่วโมงถัดมา ผมบอกลาพี่นุ่นและย้ำเวลาอีกครั้งก่อนปิดเครื่อง พับคอมพิวเตอร์ขนาดพกพาลงกระเป๋าเก็บ หนึ่งตะวันสวมชุดนอนสีเทา ผ้าแพรมันเลื่อม ส่วนผมเป็นกางเกงยางยืดกับเสื้อยืดไม่มีลายของแถมจากปุ๋ยที่เหลือแจกพวกคนงานอีกที เมื่อเดินคู่กันเห็นได้ชัดถึงระดับที่แตกต่าง
นายน้อยหาวหวอด ยกมือขึ้นปิดปาก ตาขาวแดงก่ำ เดินนำกลับมาที่ห้อง ผมรูดผ้าม่านปิดไม่ให้แสงจากด้านนอกสาดเข้ามา เมื่อชายหนุ่มมุดตัวเข้าไปอยู่ในมุ้งผมก็ปิดไฟแล้วเดินตามมานั่งบนเตียงข้าง ๆ กัน
“ผมห่มผ้าให้ครับ”
“นอนนี่สิ” หนึ่งตะวันขยับตัวไปอีกฝั่ง เขาช่วยจัดแจงหมอนให้วางคู่กันก่อนชะงักในความมืด “เอ่อ...ขอโทษที ลืมไปว่านายรังเกียจ”
“ผมเปล่า”
“ช่างมันเถอะ ขอบใจมาก เดี๋ยวฉันเข้านอนแล้ว”
“คุณหนึ่ง” เจ้าของชื่อล้มตัวลงนอน หันหลังให้ ผมถอนหายใจแล้วเอื้อมมือไปลูบศีรษะ ผมเส้นเล็กเรียบลื่น เมื่อสัมผัสแล้วชวนให้ลูบเล่นต่อเรื่อย ๆ “ผม...”
“นายกลับไปเถอะ”
“คืนนี้ผมนอนที่นี่ด้วยก็ได้”
“ไม่เป็นไร กลับไปเถอะ”
“เดี๋ยวคุณหนึ่งตื่นตอนดึก ๆ แล้วนอนไม่หลับอีก”
หนึ่งตะวันเงียบเสียงไปพักใหญ่ก่อนตอบเสียงเรียบ “มานึกห่วงอะไรตอนนี้ ฉันก็เป็นแบบนี้นานแล้ว ชินแล้วแหละ”
“ขอผมนอนด้วยเถอะนะครับ” คราวนี้ไม่พูดเปล่า ผมล้มตัวลงข้าง ๆ หนึ่งตะวันยังคงแน่นิ่งเหมือนเคย ผมไม่ชอบที่อีกฝ่ายเป็นแบบนี้ ผมเอาใจเขาไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้หนึ่งตะวันพอใจ
“คุณหนึ่ง...”
“ถ้าฉันกอดนาย นายจะเกลียดฉันไหม”
ผมมองเงาของร่างที่นอนตะแคงไปอีกฝั่ง นึกถึงครั้งที่ถูกสัมผัสครั้งแล้วครั้งเล่า “ผมไม่เกลียดคุณหนึ่งหรอกครับ”
หนึ่งตะวันพลิกตัวกลับมา ยังคงรักษาระยะห่างไว้เท่าเดิม กระทั่งกลายเป็นผมเองที่ขยับตัวเข้าหา ดึงอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ นายน้อยนิ่งไปอึดใจก่อนยกมือขึ้นวางพาดรอบเอวผม
เมื่อหนึ่งตะวันหลับตาลงในอ้อมแขน ผมกดต้นคอเขาให้ซบลงบนบ่า ใช้คางแตะเหนือศีรษะอีกฝ่ายและคลายกังวลลงทันที
ผมชอบที่เขากลายเป็นลูกแมวเซื่อง ๆ ในอ้อมกอดเสียจริง
TBCโดนเล่นงานเองแล้วค่ะ นังกฤช หล่อนคิดว่าพี่นุ่นช่วยแกได้จริง ๆ เรอะ นังโง่! (นี่เกลียดอะไรพระเอก) ช่วงนี้ปั่นถี่มากค่ะ จะพยายามลงให้บ่อยกว่าเดิมหน่อย สงสารคุณหนึ่ง รออิกฤชเหงือกแห้งแล้ว

ขอบคุณสำหรับคอมเมนต์จ้ะ
