Charm Online สาปผมเป็นแวมไพร์! [Up Lv.พิเศษ พจนินท์สไตล์3 100% 8/4/61]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Charm Online สาปผมเป็นแวมไพร์! [Up Lv.พิเศษ พจนินท์สไตล์3 100% 8/4/61]  (อ่าน 287742 ครั้ง)

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
อุ้ต้ะ!! แซ่บเนาะ ><

ออฟไลน์ $VAN$

  • Moderator
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1738
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +307/-6

ออฟไลน์ tsubasa_6927

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ชอบคู่ชินวินมากเลยค่ะ ก็เคยคิดๆอยู่ว่าทำไมคนเราจะตัวติดกันได้ขนาดนั้น นี่ยิ่งกว่าคู่ชีวิตอีกนะเนี่ย มันแบบ เกินคำว่ารักไปไกลเลย  :-[

ออฟไลน์ Youi_chin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 166
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-2

ออฟไลน์ PRINCESSPRIME

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
สนุกมาก อ่านเพลินเลยย  o13

ออฟไลน์ badbadsumaru

  • ♡ caramel macchiato
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2461
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-2
เป็นเรื่องที่สนุกมากๆค่ะ ชอบมาก
ขอบคุณนะคะ

พี่วินสายดาร์ก โคตรเท่ 555555

ออฟไลน์ k_keenny

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
สนุกมากกกก ชอบบบบ  :mew1:

ออฟไลน์ Silver Fish

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 335
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +215/-0
    • Fanpage
Part5 แยก

   ชายผมทองในชุดนักศึกษาใหม่เอี่ยมนั่งทานข้าวต้มมื้อเช้ากับน้องชายที่เพิ่งเข้าม.หนึ่งหมาดๆ โดยมีพ่อนั่งมองลูกชายด้วยความปลื้มปริ่มไม่ยอมแตะข้าวต้มสักที ลำบากแม่ต้องเตือนด้วยใบหน้าอ่อนใจ

   “อย่ามัวแต่มองลูก ไม่รีบกินเดี๋ยวก็ไปทำงานสาย”
   
   “ไม่สายหรอกหน่า” คนพ่อเถียงกลับ ก่อนหันมาคุยกับลูกชายท่าทางกระตือรือร้น “วินแน่ใจนะว่าไม่ให้พ่อไปส่งที่มหาลัย”
   
   “แน่สิ ถ้าพ่ออยากขับรถวนไปวนมานัก ไปส่งวัตสิ” พี่ชายโยนให้น้อง วัตตาโตส่ายหัวขวับๆ อย่างไร้เยื่อใย

   “ผมโตแล้วนะ! อีกอย่างได้ไปโรงเรียนคนเดียวครั้งแรก น่าตื่นเต้นจะตายไป”

   อาการดีใจจนเกินหน้าเกินตาของน้องชายเรียกสายตาคมๆ จากพี่ชายได้ชะงัก วัตรีบยกมือปิดปากทั้งที่รู้ว่าไม่ทันแล้ว

   “ไม่ชอบไปโรงเรียนกับพี่ขนาดนั้นเลยเหรอ” ผมขมวดคิ้ว จำได้ว่าที่ผ่านมานอกจากไปเรียนด้วยกัน ขากลับผมไม่ได้บังคับให้น้องกลับด้วย ตั้งแต่วัตขึ้นป.5 จนตอนนี้ม.2 หรือจะถึงช่วงวัยต่อต้าน ควรจับตาดูดีมั้ยนะ น้องจะถูกเพื่อนพาเสียคนรึเปล่า ไม่ๆ วัตเป็นเด็กดีไม่มีทางหลงผิด ตัวเพื่อนนั้นแหละจะเอาเรื่องซวยมาถึงวัต ผมเริ่มกังวลซะแล้วสิ ต้องปรึกษาชิน! ปรึกษาพ่อไปมีแต่จะตีโพยตีพาย ส่วนแม่คงยิ้มแล้วหัวเราะบอกแค่ว่าวัตเริ่มโตเป็นหนุ่มเหมือนตอนผมมีเรื่องชกต่อยแหง

   “พี่วิน อย่าทำสีหน้าน่ากลัวแบบนั้นสิ ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างงั้นสักหน่อย แค่อยากลองไปโรงเรียนคนเดียวดู ผมจะได้พึ่งพาตัวเองได้ไม่เป็นภาระพี่กับพี่ชินไง อีกอย่าง ผมจะช่วยปกป้องพี่ด้วยนะ”

   วัตชูมือมุ่งมัน ผมมองน้องชายด้วยสีหน้าอ่อนลง

   “วัตไม่เคยเป็นภาระพี่กับชินเลย สู้ๆ เขาแล้วกัน มีอะไรรีบโทรบอกแม่ไม่ก็พวกพี่นะ”

   “แล้วพ่อล่ะ!” คนพ่อที่ถูกลูกชายเมินอยู่นานสองนานโวยเรียกร้องสิทธิ์ตัวเองบ้าง ดวงตาสีเทาสองคู่ของลูกชายปรายมองเหมือนกันเปี๊ยบ

   “อ้าว พ่อยังอยู่เหรอ? นึกว่าไปทำงานแล้วซะอีกเนอะพี่วิน”

   “พี่ก็ว่างั้น พ่อเป็นผู้ใหญ่แต่ไปทำงานสายจะเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีกับผมและวัตนะ”

   อาเนซอ้าปากค้าง ได้ยินเสียงภรรยาสุดที่รักหัวเราะคิกๆ อยู่ด้านหลัง ไม่คิดจะช่วยเหลือสามีที่ถูกสองลูกชายรุมรังแกเลยแม้แต่น้อย สรุปเลยรีบทานรีบออกไป ทำหน้าบึ้งไม่ยอมขานรับเสียงลูกไหว้ตอนเช้าเหมือนทุกที สองพี่น้องมองหน้าพากันขำ

   “พ่องอน เอาไงดีพี่วิน”

   “กลับมาค่อยง้อ ไม่ยากเชื่อพี่” ผมบอกน้อง วัตยิ้มรับรีบทานแล้วยกถ้วยไปเก็บให้แม่ พวกเรายกมือไหว้รับพรยามเช้า ก่อนพากันออกมานอกบ้าน เห็นชินกำลังเดินเข้ามาพอดี มหาลัยของผม อยู่ไม่ไกลจากโรงเรียนวัตก็จริง ถึงงั้นยังต้องนั่งรถเมล์ตั้งสองป้าย หมู่บ้านที่เราอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งคู่ วัตไปทางซ้าย ผมกับชินต้องข้ามสะพานลอยนั่งรถไปทางขวา

   ภายในรถเมล์ส่วนใหญ่มีแต่พวกวัยเรียน ผมกับชินดูโด่งเด่นจากทุกคน ด้วยรูปร่างหน้าตา แค่สีผมก็กินขาดแล้ว

   “เธอๆ ดูสองคนนั้นสิ หล้อหล่อ คิดว่าเป็นปีหนึ่งมหาลัยเดียวกับเราป่าว”

   “ฉันว่าใช่แน่ อ๊าย อยากรู้จักว่าอยู่คณะอะไร สาขาอะไร”

   เสียงนักศึกษาหญิงกระซิบกัน เราทำหูทวนลมชินกับเรื่องแบบนี้ คนมันเกิดมาหน้าตาดีให้ทำไงได้ ชินโหนราวรถเมล์อยู่ด้านข้างยื่นหน้ามากระซิบผมในระยะที่พอเหมาะ

   “ฉันได้รถขับแล้ว วันหลังขับรถมากันดีมั้ย”

   เป็นความคิดที่น่าสนใจ ไม่ต้องมาทนเบียดกับคนอื่น หรือเป็นอาหารตาคนอื่นเล่น แต่ว่าผมชอบที่จะมองผู้คน สังเกตสีหน้า พฤติกรรมคนอื่น ถ้าใช้รถส่วนตัวคงน่าเบื่อได้

   “ไม่ล่ะ ฉันอยากนั่งรถเมล์มากกว่า ไว้จำเป็นค่อยใช้รถส่วนตัว”

   ชินยอมละออกไป ยอมรับการตัดสินใจของผม ผมไม่ต้องถามหรอกว่าชินจะโอเคมั้ย หมอนั้นไม่เคยขัดผมแม้แต่ครั้งเดียว อย่างมากก็แค่เตือนๆ พอเป็นพิธี สุดท้ายผมจะทำอะไร เขายังคงทำตามอยู่ดี

   คิดทบทวนดูแล้ว ปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปอนาคตท่าจะลำบาก ตอนนี้ยังคิดไม่ออกจะแก้ไขมันยังไง เอาไว้คิดออกค่อยว่ากันดีกว่า ชินเหมือนรับรู้เจตนาไม่ดี หรี่ตามองผมสมองคงประมวลผลว่าผมจะทำบ้าอะไรอีกชัวร์ นอกจากพ่อแม่กับน้องชาย คนที่รู้ทันผมไปซะทุกอย่างมีแค่ชินนี่แหละ เผลอๆ จะรู้ดีกว่าครอบครัวผมด้วยซ้ำ ในเมื่อหลายสิ่งหลายอย่างผมไม่เผยเวลาอยู่ต่อหน้าทุกคน

   “อยากทำอะไรก็ทำไป จำไว้อย่างหนึ่งว่า ถ้าเป็นผลเสียกับนายฉันไม่ปล่อยแน่”

   ชินเปรย ผมหัวเราะในคอ พอดีกับรถเมล์ถึงหน้ามหาลัย พวกเรายืนอยู่เลยต้องลงก่อน สีหน้าคนที่กำลังทยอยเข้าสู่รั้วมหาลัยดูตื่นเต้นมาก ทั้งหมดคงเป็นเด็กปีหนึ่งเหมือนกันกับผม บางคนมากับกลุ่มเพื่อน บางคนเดินเพียงลำพัง บางคนมีมีพ่อแม่มาส่ง

   เห็นภายนอกผมกับชินเฉยๆ ความจริงแอบตื่นเต้นเหมือนกัน ยังไงพวกผมก็คนธรรมดาคนหนึ่ง พบกับสังคมใหม่มันต้องตื่นเต้นอยู่แล้ว เพียงแค่พวกเราเก็บอาการได้ดีกว่าคนอื่นเท่านั้นเอง และดูเหมือนว่าจะมีคนเก็บอาการได้ดีเหมือนเราอีกคน

   ชายผู้โดดเด่นอยู่ท่ามกลางฝูงชน ผมกับชินหันมาสบตากัน ไม่จำเป็นต้องพูด เราเข้าใจความหมายที่จะสื่อ น่าสนใจไม่เลว ชายผมน้ำตาลไหม้ครึ่งบนผมยาวมัดรวบไว้ ครึ่งล่างไถแบบสกินเฮด เห็นรอยสักโผล่พ้นคอเสื้อ หูไม่ได้เจาะ รูปร่างดี ทางนั้นรู้ตัวว่ามีคนกำลังจ้อง เลยหันมองหา ก่อนสบสายตาเราทั้งคู่ หน้าตาไม่เลว หล่อคมท่าทางทะเล้น ต่างกับชินที่จะออกไปทางคมคาย เข้มๆ ตามสไตล์

   เจ้านั่นยกมือทักทายแล้วเดินไปตามป้ายตึกบริหาร ผมยกยิ้มมุมปาก ถ้ามีโอกาสคงได้เจอ คณะที่ผมกับชินเรียนคือคณะไอที หนีไม่พ้นเรื่องโปรแกรม ผมได้อิทธิพลมาจากพ่อ ชินได้มาจากผมอีกที นี่ถ้ามันทำตามผมหมดทุกอย่างโดยไม่สนใจความต้องการของตัวเอง ผมคงไม่ยอมให้มันตามติดขนาดนี้ ชินมันคุยเปิดอกตอนเราเลือกคณะ บอกว่าทีแรกไม่สน เห็นผมกับพ่อดูสนุกเวลาคุยเรื่องโปรแกรมเลยนึกสนใจขึ้นมา ไปๆ มาๆ กลับกลายเป็นชอบ บ้านมันก็ไม่ขัดอะไร ตามใจลูกชายขนาดนั้น

   เรื่องกิจการทางบ้านไม่ต้องเป็นห่วง อาของชินทำงานด้วย แถมเขายังมีทั้งลูกชายลูกสาว พร้อมที่จะสืบทอดต่ออยู่แล้ว

   การมามหาลัยครั้งแรกก็ไม่มีอะไรมาก ลงทะเบียน เข้าห้องประชุมใหญ่ ฟังนิเทศ พอช่วงบ่ายก็แยกไปตามคณะเพื่อทำความรู้จักอาจารย์กับพวกรุ่นพี่ที่มีตำแหน่งสำคัญๆ ถัดมาแยกไปตามสาขา เด็กปีหนึ่งแข่งกันพูดเสียงเซ็งแซ่ พยายามหาเพื่อนกันสุดฤทธิ์ ผมกับชินมีหน้าที่แค่บอกชื่อ ทักทายไปตามเรื่อง

   หลังจากวันนี้แหละของจริง เปิดการเรียนระบบมหาลัย ไม่มีครูมาตามเช็คตามทวง มีหน้าที่เข้าห้องตามตารางเรียนแล้วก็ออก พอตกเย็นไปตามนัดพวกรุ่นพี่ปีสองเพื่อทำกิจกรรมรับน้อง ช่วงนี้แหละผมทั้งชอบและเกลียด ชอบที่ได้ทำกิจกรรมร่วมกับคนอื่น รู้จักคนมากขึ้น สนุกสนานไปกับชีวิตมหาลัย แต่เกลียดเพราะมันทำให้ผมกลับบ้านดึก! แทบไม่มีเวลาทำอย่างอื่นนอกจากมามหาลัย เข้าเรียน เข้ากิจกรรม กลับบ้านนอน วนเวียนอยู่แบบนี้

   บางวันผมแทบไม่เห็นหน้าวัตด้วยซ้ำ ช่วงวันหยุดวัตเองก็ไม่อยู่บ้าน ไปเที่ยวเล่นกับเพื่อนวัยเดียวกัน ผมต้องนั่งกร่อยอยู่กับชิน

   “น้องวินๆ พี่มีเรื่องจะคุยด้วย” รุ่นพี่สาวผู้รับหน้าที่คุมน้องดาวเดือนดักเจอผมตอนกำลังเลิกเรียนลงมาทานข้าวกลางวัน ผมยิ้มบาง ในสายตาเธอผมคงเหมือนเทวดามีปีกสีขาวบริสุทธิ์ รอยยิ้มสว่างไสวพร้อมวงแหวนบนหัว เบื้องหลังภาพเหล่านั้นคงมีแค่ชินที่เห็น เพื่อนควบตำแหน่งแฟนเบือนหน้าหนี ปากพึมพำว่าเขาหางงอก

   “มีเรื่องอะไรเหรอครับ” ผมถามอย่างสุภาพ ยังคงความเจิดจรัสไว้บนใบหน้า เอาให้ทิ่มแทงตารุ่นพี่คนนี้บอดเลยยิ่งดี อย่าเอาความซวยมาโยนใส่ผมนะ! ชินกระแอมรุ่นพี่ได้สติรีบพูดเข้าเรื่อง

   “คืออย่างงี้จ๊ะ พี่อยากให้น้องสมัครเป็นเดือนคณะจะได้ไปชิงตำแหน่งเดือนมหาลัย ถ้าน้องว่าง...”

   “ขอโทษด้วยครับ ผมอยากช่วยนะ แต่ผมไม่สะดวกจริงๆ พ่อผมให้ช่วยงานทุกวัน”

   “น้องวินพอคุยกับพ่อได้มั้ยจ๊ะ เพื่อคณะนะ” เบื่อคำนี้ชิบหายเพื่อคณะ ในใจคิด สีหน้ายังคงความลำบากใจ ความคิดถึงแวบเข้ามาในหัว จริงสิ โอกาสมาแล้ว ต้องกัดฟันทำ

   “ผมจะลองคุยดูนะครับ ไม่รับประกันว่าจะได้รึเปล่า พ่อผมเข้มงวดมากด้วย เอาอย่างงี้มั้ยครับ ชินว่างอยู่ เห็นบ่นว่าอยากเป็นเดือน เพราะหมั่นไส้เดือนคณะอื่น ถ้าพี่ช่วยดัน ผมเชื่อว่าชินมันต้องสูสีกับเขาแน่”

   ราวกับพบหนทางสว่าง ในขณะที่ชินเริ่มเข้าสู่โหมดทมึน รุ่นพี่หันไปมองชินตาโต ริมฝีปากยิ้มกว้างอย่างยินดี จับมือชินเขย่าๆ ไม่ได้ดูสีหน้ามันเลยว่าเย็นชาติดลบหนึ่งพันองศา

   “ตายจริง! ทำไมไม่รีบบอกพี่ตั้งแต่แรกล่ะว่าน้องชินอยากเป็นเดือน วันนี้ไม่ต้องไปเข้าร่วมกิจกรรมนะ ไปซ้อมดาวเดือนกับพี่”

   ชินหันมามองผมเชื่องช้า ดวงตาสีดำฉายประกายความไม่พอใจ ผมยิ้มปานเทวดาเมตตาโลกต่อไป คุยกับรุ่นพี่จนยอมล่าถอยเปลี่ยนเป้าหมายเป็นชิน หลังนัดแนะเวลาซะดิบดี ชินล็อกคอลากผมไปคุยตรงจุดอับของคณะ สองมือท้าวกำแพงกักผมไว้ตรงกลาง ผมกอดอกมอง

   “เก็บรอยยิ้มเสแสร้งนั่นไปซะ นายรู้ดีกว่าความอดทนฉันต่ำแค่ไหน รู้ทั้งรู้ว่าฉันเกลียดเรื่องวุ่นวายที่สุด ทำไมถึงทำแบบนี้”

   น้ำเสียงกดต่ำอย่างน่าหวาดหวั่น ซึ่งมันไม่สะท้านผมเลยสักนิด ผมปัดแขนเขาออก ไม่ชอบให้ใครมาแสดงตัวเหนือกว่า ชินหรี่ตายอมถอยก้าวหนึ่ง ลดแขนหนึ่งข้าง ส่วนอีกข้างยังคงอยู่ตามเดิม

   “ฉันไม่อยากทำกิจกรรมเพิ่มเพราะแค่นี้ก็แทบไม่มีเวลา ถึงโยนให้นายรับกรรมแทน ในขณะที่นายเกลียดเรื่องพวกนี้มากที่สุด ลองขัดฉันสักครั้งเป็นไง” ชินยังคงเงียบ ผมเสริมอีกประโยค “ฉันไม่อยากให้นายฝืนทำอะไรตรงข้ามกับนิสัยตัวเองเพื่อฉัน”

   ผมเป็นฝ่ายยื่นหน้าเข้าไปประชิด ชินยังคงนิ่ง นิสัยดั้งเดิมของชินที่ผมเห็นมาตั้งแต่เด็ก เขาเป็นคนขี้รำคาญ ไม่ชอบอยู่เบื้องล่างใคร ปกติจะนิ่งเงียบค่อนข้างเย็นชาไม่แยแสโลกสักเท่าไหร่ เว้นผมที่ทำให้นิสัยของเขารวนไปหมด ชินถอนหายใจหนัก ทุบมือกับกำแพงข้างตัวผมจนเกิดเสียงดังทึบ เขาผละออก หยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบหันหลังให้

   “สิ่งที่ฉันกลัวที่สุดคือการไม่ได้อยู่ข้างนาย ฉันพยายามปรับตัวเพื่อการนั้น แต่ในเวลานี้นายกลับบอกว่าให้ฉันเลิกฝืนตัวเอง นายจะให้ฉันทำยังไง ทั้งที่คืนนั้นฉันกับนาย...”

   มือขาวหยิบบุหรี่จากมืออีกฝ่ายมาสูบ พลางมองควันอ่อยอิงที่ลอยอยู่เบื้องหน้า ขนาดพูดเตือนสติ ชินยังคงคิดทุ่มทุกอย่างเพื่อผมโดยไม่สนใจตัวเองอยู่ดี ถึงเวลาที่จะคลายปมนั้นสักที ผมสูดบุหรี่ที่เหลืออีกไม่เท่าไหร่จนหมด โยนลงพื้นใช้เท้าขยี้ก่อนหันไปมองคนข้างตัวที่มองนิ่งรอคำตอบ ไม่ต่างจากหมาผู้ซื่อสัตย์ ผมไม่ต้องการสุนัขรับใช้ สิ่งที่ผมต้องการคือคนที่จะเดินไปด้วยกันต่างหาก

   ในเมื่ออยากทำตามความต้องการของผมนัก ผมก็จัดให้

   “นายไปเป็นเดือนซะ ตอนเช้าไม่ต้องไปรอฉันหน้าบ้าน ขับรถส่วนตัวมามหาลัย ตอนกลับต่างคนต่างกลับ วันหยุดห้ามมาเจอหน้า ติดต่อทางโทรศัพท์ได้ตามปกติ อยู่ที่มหาลัยก็เช่นกัน”

   “วิน...” ชินเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงเหมือนคนหมดแรง ผมยกมือห้ามไม่ให้เขาพูดขัด ใบหน้าร้าวรานชัดเจนอยู่ในดวงตา ใจผมก็เจ็บไม่ต่าง แต่ผมไม่อยากให้ชินสูญเสียตัวตนของตัวเองไปเพราะผม ผมต้องการชินที่เป็นชิน

   “เรายังไม่เลิกกัน ความสัมพันธ์ยังคงเดิม เพียงแค่จะไม่ตัวติดกันเหมือนเมื่อก่อน เริ่มตั้งแต่วันนี้เลย” ตัดสินใจเด็ดขาด โทนเสียงที่ใช้ชินรู้ดีกว่าผมเอาจริง

   ตุบ...

   ชินทรุดลงคุกเข่าไม่กลัวกางเกงเปื้อนดิน จับแขนผมแนบแก้ม แม้ไม่มีน้ำตา แต่ความสับสน ลนลาน ความเจ็บปวดแสดงออกมาชัดเจนทั้งที่คนอย่างชินไม่ควรมีสีหน้าแบบนี้

   “วิน ฉันทำอะไรผิด บอกมาที ฉันยอมทำทุกอย่าง อะไรก็ได้ที่มันไม่ใช่แบบนี้”

   “นายไม่ผิด คนผิดคือฉันเองที่ปล่อยมันมานาน ชินเชื่อใจฉันรึเปล่า” ผมถาม ชินตอบทันทีโดยไม่เสียเวลาคิด

   “ฉันเชื่อใจนายมากกว่าตัวเอง”

   “งั้นทำตามที่บอกซะ” ชินเบิกตากว้าง เขายอมลุกขึ้นและถอยหลังออกไปหนึ่งก้าว ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ฝุ่นจับ หยิบบุหรี่ขึ้นมาสูบอีกมวน ผมทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ปล่อยให้เขาสงบสติอารมณ์เพียงลำพัง ชินเป็นคนฉลาดไม่แพ้ผม ตอนนี้อาจจะยังไม่เข้าใจ ในภายภาคหน้าเขาต้องเข้าใจผมแน่

   ใช้เวลาเพียงบุหรี่สองมวน ชินกลับมานิ่งตามเดิม ทั้งที่ลึกๆ ในแววตายังคงสั่นไหว เอ่ยเสียงที่พยายามคุมให้เป็นปกติ

   “ได้... ฉันจะทำตามที่นายต้องการ ระยะเวลาล่ะ” รอยยิ้มผุดขึ้นบนมุมปากชายผมทอง

   “จนกว่าฉันจะบอก” ชายผมดำหันมามองสบตาผม เขายิ้มฝืดเฝื่อนเต็มที

   “นายใจร้ายมาก”

   “ฉันรู้”

   ดูเผินๆ ชินกับผมไม่ได้ตัวติดกันตลอดเวลาซะทีเดียว บางครั้งยังแยกกันบ้าง อย่างคราวที่ผมถูกเพื่อนร่วมห้องหักหลัง นับตั้งแต่วันนั้นชินไม่ยอมห่างจากผมอีกเลย ย้อนกลับไปสมัยเจอกันครั้งแรก ทุกความทรงจำของผมล้วนมีเขาอยู่ด้วยทั้งสิ้น ต่อให้ไม่ทั้งหมดร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ในแปดสิบเปอร์เซ็นต์ต้องมี

   บอกตามทรง ผมพูดเต็มปากเลยว่า ผมอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีชิน ทุกครั้งที่หันไป มักมีเขาอยู่ในสายตาตลอด งานนี้ถือเป็นการหักดิบเราทั้งคู่ ดัดนิสัยผมไม่ให้เอาแต่ใจหวังพึ่งชินมากเกินไปและตัดไฟตั้งแต่ต้นลม ก่อนที่ชินจะฝืนตัวเองจนไม่อาจย้อนกลับ

   อะไรที่สะสมมากๆ วันละเล็กละน้อย มากเข้าจนระเบิดออกมา มันจะน่ากลัวสักแค่ไหน ถึงวันนั้นอาจเป็นวันสุดท้ายที่ผมมีชินอยู่เคียงข้างก็ได้ ผมไม่ยอมหรอก

   นับจากวันนั้นชินทำตามความต้องการของผม สิ่งที่เชื่อมโยงเราไว้คือความเชื่อใจ เขาร่วมซ้อมกับรุ่นพี่ด้วยสีหน้าราบเรียบ พอถึงช่วงที่ต้องยิ้ม ก็แค่ยิ้มออกมาพอเป็นพิธี

   คนแรกที่สังเกตความเปลี่ยนแปลงได้คือวัต เจ้าตัวคอยถามเซ้าซี้เรื่องผมกับชินตลอด ตั้งแต่วันแรกที่ชินไม่มาหาผมที่บ้านเพื่อไปมหาลัยด้วยกัน จนกระทั่งวันนี้ วัตยังไม่ยอมเข้านอน เขานั่งดูทีวีรอที่โซฟา ผมกลับมาจากทำกิจกรรมเหนื่อยๆ เดินเข้าไปโยนกระเป๋า ทิ้งหัวลงนอนหนุนตัก จั๊กจี้ในใจนิดหน่อยที่พี่ชายดันมานอนหนุนตักน้องชายทั้งที่ควรสลับตำแหน่งกัน แต่เวลานี้ผมต้องการใครสักคน

   “ทำไมยังไม่นอน” ผมชิงถามก่อนทั้งที่รู้อยู่แก่ใจ

   “รอพี่นั่นแหละ ตกลงจะบอกผมได้ยังว่าทะเลาะอะไรกับพี่ชิน หรือว่าแย่งแฟนกัน!”

   ยกมือเขกหัวน้องชายจอมเพ้อเจ้อไปที วัตลูบหัวป้อยๆ

   “จะเป็นแบบนั้นได้ยังไง ในเมื่อพี่กับชินคบกันอยู่”

    ตัดสินใจบอกไป วัตหัวเราะคิดว่าผมเล่นมุก พอผมเงียบมองด้วยสีหน้าจริงจัง รอยยิ้มค้างเติ่งบนใบหน้า วัตจ้องผมตาแทบถลน อ้าปากพะงาบๆ ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก มือไม้โบกมั่วไปหมด พูดติดอ่างอ้ำอึ้ง

   “ปะ เป็นไปได้ยังไง ในเมื่อ ไม่... ไม่ใช่สิ มันไม่แปลก เอ่อ...”

   “รังเกียจรึเปล่า ที่มีพี่ชายสองคนเป็นเกย์” วัตส่ายหัวทันที จ้องผมเขม็งอย่างโกรธๆ

   “ผมยอมรับว่าผมตกใจ แต่ไม่เคยคิดรังเกียจ บ้านเราสอนเอาไว้ว่า ความดีไม่ควรตัดสินที่ภายนอกหรือสิ่งที่เขาชอบ มันอยู่ที่การกระทำ อีกอย่างพวกพี่ดูไม่เหมือนแฟน จะว่าเพื่อนก็ไม่ใช่ มันอธิบายไม่ถูกเพราะมันเป็นอะไรมากกว่านั้น” ใบหน้าอ่อนเยาว์ หน้านิ่วคิ้วขมวด ผมยื่นนิ้วไปจิ้มหว่างคิ้วให้คลายปมออก น้องผมไม่ควรมีเรื่องเครียด

   “จะแบบไหนก็ช่าง แค่เราโอเค พี่ก็พอใจแล้ว” ยันตัวลุกขึ้นโบกมือไล่น้องไปนอน “พี่จะไปอาบน้ำ วัตก็นอนได้แล้ว พรุ่งนี้มีเรียนเช้า”

   “เดี๋ยวก่อนพี่ พี่ยังไม่บอกผมเลยว่าพี่มีปัญหาอะไรกับพี่ชิน ทำไมถึงไม่มาหากันเหมือนทุกทีล่ะ” วัตดึงแขนผมถามด้วยความเป็นห่วง ผมปิดทีวี ปิดไฟ จูงมือน้องขึ้นชั้นบน

   “ไม่มีอะไร พวกพี่แค่กำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ วัตไม่ต้องห่วง”

   “จะไม่ห่วงได้ไง พวกพี่เป็นพี่ชายผมนะ เอางี้ วันหยุดพี่เรียกพี่ชินมา ห้ามปฏิเสธ ไม่งั้นผมโกรธ”

   ดวงตาสีเทามองปริบๆ วัตโกรธง้อยากกว่าพ่อล้านเท่าพันเท่า เพราะวัตเป็นเด็กนิสัยดี ใจกว้าง ร่าเริง เข้าใจอะไรง่าย พอลองโกรธทีถึงได้ง้อยากเย็น

   ผมกับชินเคยลิ้มรสมาแล้วและไม่คิดอยากจะให้เกิดขึ้นอีก เจ็บปวดเกินไป การถูกน้องชายเมินราวกับเป็นอากาศธาตุร่วมอาทิตย์เพราะถูกจับได้ว่าผมกับชินคอยกันท่าเด็กไม่ดี จัดการเด็กที่คิดร้ายกับวัต ทั้งที่คิดว่าเนียนแล้วเชียว วัตยังมองออก สมเป็นน้องชายผมจริงๆ

   “เฮ้อ... เข้าใจแล้ว พี่จะพามา นอนซะ”

   รับคำแบบจำยอม วัตค่อยยิ้มอ่อน สั่งให้ผมปิดไฟให้ด้วยก่อนออกไป ผมจูบหน้าผากน้อยชายราตรีสวัสดิ์ วัตโวยวายหน้าแดงบอกว่าตัวเองไม่ใช่เด็ก ผมยิ้มขำ เดินกลับห้องอาบน้ำนอน ปล่อยเวลาผ่านไปอีกหนึ่งวัน

   ยิ่งแยกกัน ผมกับชินต่างคนต่างเงียบมากขึ้นเรื่อยๆ ความสัมพันธ์เรายังคงแน่นแฟ้น เพียงแค่สิ่งที่เกิดขึ้นมากดดันเราทั้งคู่ ผมบอกกับชินในวันต่อมา ให้เขามาที่บ้าน ทีแรกชินรีบหันขวับมามองผมแสดงความดีใจชัดเจน พอผมบอกว่าวัตสั่งมา ชินเหมือนลูกโป่งที่ถูกเจาะลมจนห่อเหี่ยว

   วันเสาร์ที่พวกเราหยุดทุกคน ชินมาถึงบ้านตั้งแต่เช้า แม่เห็นหน้าดีใจยิ่งกว่าเจอลูกชายแท้ๆ เพราะไม่ได้เจอหน้านานเกือบเดือน วัตยังไม่ตื่น ผมกับชินเลยนั่งหาอะไรทำกันเงียบๆ เวลาประมาณสิบโมงได้ เสียงตึงตังดังมาจากชั้นบน พร้อมร่างของน้องชาย วัตทักชินรีบไปทานข้าวที่แบ่งไว้ส่วนของตัวเองจนหมด ก่อนจะลากพวกเราทั้งคู่เข้าไปในห้องนอน

   ทีแรกผมคิดว่าน้องชายตัวดีจะเปิดโต๊ะสอบสวน เอาไฟส่องหน้าแบบในหนัง ผมคิดผิด ชินเองดูแปลกใจไม่ต่าง วัตปล่อยให้เราเลือกที่นั่งกันตามสบาย ชินนั่งบนเก้าอี้ ผมนั่งบนเตียง วัตหยิบกีต้าร์นั่งอยู่ตรงขอบหน้าต่าง ผมขมวดคิ้วว่าจะห้ามเพราะกลัวน้องหงายหลังลงไป วัตรู้ทันหันมาจ้องเขม็งใส่ให้ผมอยู่เฉยๆ

   “พวกพี่ห้ามลุกหนี ต้องนั่งฟังจนกว่าจะจบ เข้าใจนะ” ผมกับชินมองสบตากัน ยอมทำตามโดยดี ไหงเหมือนเราเป็นเด็กทะเลาะกันเพราะแย่งขนม จนต้องให้พี่ชายมาช่วยไกล่เกลี่ย

   เสียงกีต้าร์เริ่มดังเป็นจังหวะดึงความคิดของผมไปจับจ้องอยู่ที่น้องชาย วัตเริ่มร้องเพลงคลอเบาๆ เป็นเพลงไทยที่ผมไม่เคยได้ยิน

“เสียใจตลอด เสียน้ำตาทำไม ถ้าคิดว่าไม่มีใครก็ให้บอก...
ช้ำใจเท่าไร เดี๋ยวก็ลืมมันไป ต้องทุกข์ไปนานเท่าไร เธอจะพอ...”

   ผมเลิกคิ้วแปลกใจ เรื่องวัตเล่นกีต้าร์เป็นผมรู้ตั้งนานแล้ว แต่ไม่ยักรู้ว่าน้องชายผมไปฝึกร้องเพลงมาด้วย

“มา... มาบอกฉัน เอาความทุกข์ ที่เธอเก็บไว้
มา... มาแบ่งกัน ให้เธอรู้ไว้ว่านี่คือเสียง ที่รู้สึกข้างใน
อยากจะรู้ สิ่งที่ถูกซ่อนไว้
ตรงนี้มีรัก ที่รอคอยเธอ เหมือนลมที่พัดอากาศ ให้เธอได้สูดเข้าไป...”

   ดวงตาสีเทาหรี่ลง เข้าใจความต้องการของวัต น้องชายผมร้องเพลงเพื่อพวกเรา ลมพัดปลายผมให้พลิ้วไหว วัตนั่งดีดกีต้าร์ตรงขอบหน้าต่าง ฉากหลังคือท้องฟ้ากับปุยเมฆลอยเอื่อยๆ มันดูดีมากขนาดพี่ชายผมยังทึ่ง

“อยากให้เธอรู้ อยากให้เธอรับฟัง...
ถ้าเธอรัก ถ้าเธออยากจะเชื่อฉัน
ตอนเธอคิดถึง ใครสักคน เวลาที่ทรมาน
อยากขอเป็นใครคนนั้นที่เธอกำลังต้องการ…”

“ได้ไหม?...”

   คำสุดท้ายแทบทำให้ผมกับชินนั่งไม่ติด สีหน้าเป็นห่วง แววตาอ้อนวอน ด้วยความอ่อนเยาว์ของใบหน้าและเสียงทำให้เพลงอ่อนลง แต่มันสื่อถึงความรู้สึกเต็มๆ ในเมื่อคนร้องต้องการสื่อแบบนั้นจริงๆ เราฟังวัตรอบเพลงวนอีกรอบจนจบ

   “พวกพี่เป็นพี่ชายคนสำคัญของผม ผมไม่อยากเสียใครไปแม้แต่คนเดียว มีอะไรคุยกันดีๆ ถ้าไม่รู้จะคุยกับใคร มาคุยกับผมก็ได้ ผมยังเด็กก็จริง แต่ผมมั่นใจว่าการระบายออกมาดีกว่าเก็บเอาไว้ในใจ” วัตทิ้งช่วงไป แขนกอดกีต้าร์ที่ได้เป็นของขวัญวันเกิดจากผมกับชินเมื่อปีก่อน

   “อย่างน้อยๆ ผมอยากให้พี่รู้ พวกพี่ไม่ได้อยู่เพียงลำพังแค่สองคน ยังมีผม มีพ่อกับแม่...”

   “วัต พี่เข้าใจแล้ว” พอออกปากดัก วัตตั้งท่าจะเถียง

   “แต่... เหวอ!”

   ผมกับชินพร้อมใจกันดึงวัตมากอด นั้นสินะ ไม่ได้มีแค่พวกเราสองคน ยังมีน้องชายคนนี้ มีพ่อกับแม่ให้พึ่งพิง การแก้ไขอะไรไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อสิ่งที่สำคัญที่สุดคือครอบครัว ผมกับชินผูกพันกันด้วยความรู้สึก ไม่ใช่สิ่งที่ควรเป็น ทุกคนโตๆ กันหมด ตัดสินใจเองได้ ผมมองหน้าชิน

   “ชิน ฉันขอยกเลิก” เขารับคำเสียงอืมในคอ

   “ตอนแรกฉันไม่เข้าใจ มาตอนนี้ฉันเข้าใจทุกอย่างแล้ว ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วง”

   “ฉันเองก็เอาแต่ใจเกินไป เอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ ต้องขอโทษด้วย”

   เรายิ้มให้กัน วัตผละออกจับมือผมกับชินด้วยใบหน้ายินดี

   “แสดงว่าพวกพี่ดีกันแล้วใช่ปะ”

   “อ่าฮะ/อืม” รับคำพร้อมกันโดยไม่ต้องนัด วัตยิ่งยิ้มกว้างเข้าไปใหญ่

   “ดีเลยๆ งั้นลงไปข้างล่างกัน แม่บอกจะทำขนมเตรียมไว้รอพวกพี่คืนดีกัน” ชัดเจน นี่ต้องเป็นแผนการของวัตกับแม่แน่ๆ ส่วนคนต้นคิดหนีไม่พ้นพ่อ คิดว่าผมกับวัตได้นิสัยทั้งหลายแหล่มาจากใครล่ะ ถ้าไม่ใช่พ่อแม่

    วัตประสานมือตรงท้ายทอย เดินฮัมเพลงนำพวกผมลงชั้นล่าง เป็นเพลงเดียวกับที่ร้องก่อนหน้านี้ ผมถามอย่างสนใจ

   “เพลงนั้นชื่ออะไร ใครร้อง” วัตหันมายิ้มเห็นฟัน

   “ชื่อ อากาศ ของโยคีเพลย์บอย เพลงเขาเพราะเยอะแยะเลย ถ้าพี่สนใจผมส่งให้ดีมะ”

   “วัตร้องอัดเสียงส่งมาให้พวกพี่ดีกว่า เวลาพี่ทะเลาะกันจะได้ฟังไง” น้องชายเชื่อคำพูดผมสนิทใจ พยักหน้ารับอือๆ รับปากว่าจะทำให้ภายในอาทิตย์หน้า กลายเป็นว่า วัตร้องเพลงอัดเสียงส่งมาให้พวกผมเก็บไว้ฟังเป็นเรื่องปกติ แล้วยังมารู้ในภายหลัง ที่วัตร้องเพลงเพราะขึ้น เป็นผลจากการเรียนเสริมกับครูที่โรงเรียน

   ในชั่วโมงดนตรี วัตมีแววครูเขาเลยจับฝึก แนะนำให้เพื่อนตัวเอง ส่งผลเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ ชื่อของเด็กที่มีพรสวรรค์รู้จักกันวงใน วัตสนุกกับงานอดิเรกนี้

   เริ่มจากร้องเพลงวงของโรงเรียน รับจ๊อบงานเล็กๆ น้อยๆ จากครูและคนรู้จัก ลองไปเรื่อยยันพากย์เสียงจากงานเล็กเป็นงานใหญ่ หลายคนทาบทามให้ไปเป็นนักร้องไม่ก็นักพากย์ น้องชายผมทำเพราะนึกสนุก ไม่คิดจริงจังเลยปฏิเสธไปซะหมด พวกเขาเองไม่ตามตื๊อให้มากความ เด็กมีพรสวรรค์กับพรแสวง ใช่จะมีแค่คนเดียวซะเมื่อไหร่ ยังมีคนอีกมากที่ต้องการ เส้นทางในอนาคตที่อาจจะรุ่งโรจน์เลยจบลงเพียงเท่านี้ วัตยังคงใช้ชีวิตอย่างสงบสุขต่อไป

   เรื่องของผมกับชิน เหตุการณ์นี้ผ่านไป เราเข้าใจกันมากกว่าเก่า ลักษณะนิสัยดั้งเดิมยังคงอยู่ อาจมีบ้างที่เปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อมและเวลา แต่ไม่นับว่าเป็นปัญหาสำหรับพวกเรา ในเมื่อเรามีสิ่งยึดเหนี่ยวอย่างดีอยู่ใกล้ตัว

ออฟไลน์ k_keenny

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 370
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
น่ารักกกกก

ออฟไลน์ tsubasa_6927

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 199
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
กลับมาอ่านอีกรอบค่ะ ชอบตอนที่กลมาดหลุดสุดๆเลย
เวลาแบบ เป็นห่วงวัต ตกใจ อยากอ้อนจนหลุดมาดนิ่ง มันรู้สึกดาเมจมาก :katai1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ magarons

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 969
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +68/-6
พึ่งเห็นว่ามาลง คิดถึงมากก ชอบชินอ่ะ

ออฟไลน์ mentholss

  • "เหตุผล" หรือ "ข้ออ้าง"
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1278
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +55/-1

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
แสบกันหมด

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ Kamung

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 66
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ไม่อยากให้จบเยยยย  :ling1: :ling1:

ออฟไลน์ nutae or

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 218
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-0
ต่อนะๆๆๆๆๆๆ.....ทำหนังสือมะ??? :mew2:

ออฟไลน์ meanmena

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 248
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-1

ออฟไลน์ BankkunG23

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 242
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
สนุกมากๆเลยคับ

ออฟไลน์ Kitsune1st

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 103
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ชอบคู่วัดกับชินนนนน มันมีเสน่ห์บอกไม่ถูกจริงๆอะคู่นี้

ออฟไลน์ Silver Fish

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 335
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +215/-0
    • Fanpage
Part6 เริ่มต้นสร้างเกม
 
   ไม่ว่าบทสรุประหว่างผมกับชินจะจบลงยังไง สุดท้ายแล้วเพื่อนชินยังคงหนีไม่พ้นการถูกลากไปซ้อมดาวเดือน โดยมีผมคอยหัวเราะเยาะอยู่เบื้องหลัง ไม่หวั่นแม้สายตาเย็นเยือกจากเพื่อนควบตำแหน่งคนรักของตัวเอง ทั้งที่คิดว่าจะได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในวัยมหาลัย เดินร่อนเป็นอาหารตาชาวบ้านเล่น 
 
   กลับมาเรื่องพุ่งเข้าหาอยู่ดี ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ชวนปวดหัวอะไร แค่มันน่ารำคาญเท่านั้นเอง ช่วงที่ชินไม่ค่อยว่างจากกิจกรรมของคณะ ผมไม่มีคนคอยช่วยเป็นไม้กันหมา มีคนมากหน้าหลายหน้าพยายามเข้าหา ซึ่งผมตอบปฏิเสธได้หมด มีอยู่สองคนที่หน้ามึนไม่ยอมไป
 
   คนแรก เพื่อนร่วมสาขาที่เพิ่งโผล่หัวมาเรียน ผู้ชายร่างบางใบหน้าสวยสเปกของหญิงสาวหลายคน ทีแรกเราต่างมองผ่านไม่สนใจ นานวันเข้าความสามารถผมในคาบเรียนเริ่มเผยโฉมทีละน้อยทำให้เขาเกิดสนใจผมขึ้นมา
 
   “สวัสดี นายชื่อวินใช่มั้ย ฉันชื่อรุจ ยินดีที่ได้รู้จัก”
 
   มือเรียวบางยื่นมือตรงหน้า ผมหรี่ตามองยอมยื่นมือไปจับพอเป็นพิธี
 
   “อืม สวัสดี”
 
   “นายเก่งจัง ดูฉลาดกว่าทุกคนในห้องซะอีก”
 
   “ขอบคุณที่ชม” น้ำเสียงตอนนี้ของผมแห้งแล้งสุดๆ หมอนี้จะมาไม้ไหน ดูแล้วแตกต่างจากคนวัยเดียวกันและไม่น่าไว้ใจชอบกล
 
   “ฉันชอบคนฉลาด ไว้เจอกันนะ”
 
   เจ้าตัวยิ้มสวย คาดว่าหญิงชายหลายคนคงจะละลายแต่ไม่ใช่กับผม เอาเถอะ ไม่ได้มาร้ายก็ดีไป ผมคิดแบบไม่ใส่ใจนัก มานึกเสียใจในภายหลังว่าตัวเองคิดผิดมหันต์ รุจช่างตื้อกว่าที่คิด เวลาเรียนผมแทบไม่ได้อยู่กับเพื่อนคนอื่นเลยเพราะโดนเจ้าตัวกีดกันซะหมด ที่ปล่อยผ่านคงมีแค่ชิน ตัวร้ายย่อมมองกันออก รุจคงไม่อยากมีปัญหาและทำให้ผมไม่พอใจ ยังดีที่นอกเหนือจากเวลาเรียนรุจจะไม่เข้ามาวุ่นวายกับผม
 
   แวบแรกที่ชินเห็นรุจ เขาพูดกับผมทันทีว่าไม่ชอบผู้ชายคนนี้ อันตรายและไม่น่าไว้ใจ แต่จะให้ตัดสินเลยก็ยังไงอยู่ ในเมื่อรุจไม่เคยก่อเรื่องให้กับผม ถ้างั้นก็ปล่อยไปก่อนแล้วกัน
 
   ส่วนตัวกวนคนที่สอง เหตุการณ์เจอกันครั้งแรกไม่ค่อยโสภาเท่าไหร่...
 
   หลังอาคารจุดไร้ผู้คน ปรากฏชายร่างสูงโปร่งสองคน เจ้าของเรือนผมสีทองอ่อนพิงยืนเอนหลังพิงกำแพงขณะเดียวกันกับที่ชายเรือนผมดำใช้แขนโอบกอดเอวเพื่อช่วยพยุงกาย ใบหน้าหล่อเหลาที่ฉายแววแต่เด็กโน้มแนบริมฝีปากพลางสอดลิ้น อีกคนเอียงหน้าโต้จูบดูดดื่ม 
 
   ชายเสื้อนักศึกษาถูกสอดร่นขึ้นจนเผยหน้าท้องราบเรียบมีกล้ามน้อยๆ ไม่ต่างจากพวกนายแบบมีชื่อ สัมผัสร้อนจากมือสากลากไล้ไปตามกระดูกสันหลัง จมูกโด่งเปลี่ยนตำแหน่งซุกไซร้ลำคอขาว อีกคนแหงนหน้าเปิดทางให้อย่างเต็มใจ แต่มือปลดกระดุมลูบแผงอกเลื่อนไปถึงสะโพกสอบสวมทับด้วยกางเกงนักศึกษา
 
   มองเผินๆ ไม่ต่างจากวัยรุ่นวัยร้อนแรงมาพลอดรักกันในจุดอับของมหาลัย ถ้าไม่ติดว่าทั้งคู่เป็นผู้ชาย! ที่สำคัญยังเป็นว่าที่เดือนคณะไอที กับทูตสวรรค์ไอดอลประจำคณะ!!
 
   “โอ๊ะ! โทษที ไม่คิดว่ากำลังยุ่ง”
 
   คำพูดสวนการกระทำ ปากบอกขอโทษ แต่ยืนนิ่งไม่คิดหลบ ดวงตาสองคู่หันขวับไปจ้องคนรบกวนเขม็ง
 
   พรึ่บ!
 
   ชินดึงชายเสื้ออีกคนปิดลงอย่างรวดเร็ว ส่วนสภาพหลุดลุ่ยของตัวเองกลับไม่ใส่ใจนัก สองเท้าเก้าขึ้นหน้า ยืนบังอีกคนที่ถอนหายใจแต่งตัวอยู่ด้านหลัง
 
   “มึงเป็นใคร”
 
   ชายที่เข้ามาขัดยืนล้วงกระเป๋ายิ้มร่าแบบไม่สะท้านกับสายตาแทบฆ่าคนได้ เขาเป็นคนเดียวกับที่ผมกับชินเจอวันนิเทศ เจ้าของทรงผมสุดล้ำ กับรอยสักโผล่พ้นคอเสื้อ
 
   “บัญญพนต์ ปีหนึ่งบริหาร”
 
   ผมเลิกคิ้วถาม ยกมือแตะบ่าชินให้ถอยไปแต่งตัวบ้าง ตอนนี้ผมกลับมาอยู่ในชุดเรียบร้อยตามเดิม ให้ตายสิ หมอนี้ไม่น่ามาขัด เครื่องกำลังติดอยู่แท้ๆ อุตส่าห์หาทำเลที่คิดว่าไม่มีใครเสนอหน้ามาแล้วเชียวนะ
 
   เจ้าของนามยิ้มยียวนแสร้งก้มทักทายอย่างนอบน้อมจนน่าถีบ ดวงตาพราวระยับเงยขึ้นสบดวงตาสีเทา
 
   “เรียกบันก็ได้ น่าแปลกจริง ทำไมนายถึงรู้จักฉันล่ะ”
 
   “คนที่โดดเด่นอย่างนายใครเห็นเป็นต้องจำได้ คิดว่าฉันไม่รู้จักรึไง” อีกฝ่ายนับว่าเป็นคนดังจากคณะบริหาร ด้วยรูปร่างหน้าตาดีมีชัยไปกว่าครึ่ง แถมยังนิสัยแปลกๆ แต่โดดเด่นเวลาเล่นกิจกรรม ผมจะรู้จักก็ไม่แปลก คงไม่ต่างจากที่อีกฝ่ายรู้จักผมกับชินเหมือนกัน
 
   “ต้องการอะไร”
 
   ชินยืนข้างผมถามไม่สบอารมณ์ สงสัยอารมณ์ค้าง ถึงได้ดูหงุดหงิดงุ่นง่านขนาดนี้ เจ้าบันไม่สำนึกเข้ามากอดคอพวกเราสองคนแบบไม่กลัวตาย
 
   “ไม่เอาน่า อย่าทำหน้าโหดกันแบบนั้นสิ ไปหาที่คุยดีๆ หน่อยเป็นไง พ่อนักรักทั้งสอง”
 
   คำตอบคือศอกพวกเราสองคนซัดเข้ากลางพุงเจ้าคนปากหมาจนทรุดลงกุมท้อง เราต่างคนต่างหักมือเตรียมพร้อม
 
   “เดี๋ยว ใจเย็น... ฉันมาดีแค่อยากทำความรู้จักกับพวกนาย แอ๊ก!”
 
   ชินส่งเท้าไปคนแรก ตามด้วยผม ไม่มีใครสนใจเสียงโวยวายของเจ้าตัวเลยสักนิดนอกจากจัดการเจ้าตัวขัดจังหวะ พอออกกำลังกายจนหนำใจถึงผละออกปล่อยซากทิ้งไว้บนพื้น
 
   หารู้ไม่ หลังจากนั้นมันดันฟื้นคืนชีพตามรังควานพวกเราสองคนไม่หยุดหย่อน เวลาผมหรือชินอยู่ตามลำพังไม่เคยโผล่หัว พออยู่ด้วยกันเท่านั้นแหละ เสนอหน้ามาตลอด ไม่ว่าจะเวลาเรียน กินข้าว กระทั่งเข้าห้องน้ำยังไม่เว้น ชินแทบจะระเบิดลงผมต้องคอยห้ามเพราะกลัวว่าชินจะก่อคดีฆาตกรรมขึ้น
 
   จากอาทิตย์ผ่านเป็นเดือน เผลอแปบเดียวจบไปหนึ่งเทอมแบบงงๆ พร้อมกับบันที่เนียนมาอยู่กับพวกผมได้ไงก็ไม่ทราบ กลายเป็นว่าพวกเราเป็นเพื่อนกันสามคน
 
   คบกันไปถึงรู้ว่า บันไม่ใช่ลูกชาวบ้านธรรมดาตาดำๆ เจ้าตัวเป็นถึงทายาทเพียงคนเดียวของบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ สมัยนั้นเริ่มมีพวกเกมออนไลน์แบบนอนเข้าไปในโลกเกมยุคแรก ซึ่งบริษัทที่ทำก็เป็นของพ่อบัน
 
   ตัวลูกชายแทนที่จะทำตัวสมฐานะ เปล่าเลย ดันหลุดออกนอกลู่นอกทางจนกู่ไม่กลับ มีงานอดิเรกคือการสัก ชอบขนาดที่แอบพ่อเรียน ด้วยความที่ร้อนวิชาเลยคะยั้นคะยอให้ผมกับชินเป็นหนูทดลอง ผมเองเริ่มสนใจเลยออกปากตกลง ขอให้สักรูปแมวตัวเล็กให้ ชินเห็นผมโอเคเลยเอาด้วย
 
   ผมได้รูปแมวลายสวยแต่ดันเบี้ยวจากตำแหน่งที่ต้องการ ส่วนชินเป็นภาพกราฟิกรูปจิ้งจอกตรงหัวไหล่ กลับบ้านไปไม่ว่าจะครอบครัวผมหรือครอบครัวชิน ต่างพากันตกใจไม่คิดว่าลูกชายทั้งคู่จะสักกับเขาด้วย
 
   วัยมหาลัยปีหนึ่งผ่านไปแบบไม่มีอะไรพิเศษนัก ว่างๆ ผมไปช่วยพ่อทำงานบ้าง รับจ๊อบเล็กๆ น้อยๆ เป็นค่าขนมบ้าง จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทุกอย่างเกี่ยวกับเกมแรกที่ผมร่วมมือกับเพื่อนสร้างขึ้นมาอยู่ช่วงปีสอง
 
   เกมแนวใหม่เริ่มเป็นที่นิยม พวกเราสามคนยังเคยเข้าไปเล่นด้วยกัน แต่เพียงไม่นานระดับก็เต็ม ของเทพทุกอย่างจนน่าเบื่อ
 
   ชายร่างสูงสามคนยืนอยู่บนยอดผาภายในเกมออนไลน์ที่บอกกันว่าฮิตในช่วงนี้ เบื้องหน้าคือเมืองขนาดใหญ่ กับดวงอาทิตย์เด่นตระหง่านบนน่านฟ้า เบื้องหลังเป็นฉากป่า ดันเจี้ยนที่โหดที่สุดภายในเกมถูกพวกเราสามคนเคลียร์ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก จนมาถึงจุดที่ชมวิวสวยที่สุด
 
   แต่มันก็เท่านั้น เกมระบบเดิมๆ เล่นไปไม่นานก็เบื่อ ทุกอย่างดูสวยงามก็จริง แต่ขาดความสมจริง ผมคิดพลางหยิบก้อนหินใกล้ตัวขึ้นมาดู ไม่รู้สึกถึงสัมผัสพื้นผิวเลย ขณะที่ผมกำลังคิดวิเคราะห์ว่าเกมนี้น่าจะวางระแบบมาแบบไหนนั่น จู่ๆ บันมันดันโผล่งขึ้นมาดื้อๆ
 
   “เกมพวกนี้ห่วยแตก ฉันสร้างเกมขึ้นมาเองดีกว่า”
 
   ผมหันขวับมองคนพูด
 
   “นายจะเอาปัญญาที่ไหนไปสร้าง ของพวกนี้ต้องใช้คนเยอะ แล้วยังต้นทุนอีกมหาศาล”
 
   “ยากอะไร นายก็รู้นี่ว่าพ่อฉันเป็นใคร” มันยืดอกภาคภูมิใจจนชินหมั่นไส้ออกแรงถีบหน้าทิ่ม เลือดลดไปสิบเปอร์เซ็นต์ ดีนะมีของดี ไม่งั้นปลิวตกผาแน่
 
   “ฝันกลางวัน” ชินเอ่ยเสียงเรียบแววตามองเยาะเย้ย
 
   “ไม่ฝันเว้ย” บันลุกขึ้นมาเหมือนซอมบี้ “พ่อกำลังมีโปรแกรมจะสร้างเกมใหม่พอดี แต่คนไม่พอ ถ้าฉันอาสาช่วยดึงพวกนายร่วมด้วย รับรองเกมของพวกเราได้ถือกำเนิดขึ้นมาแน่”
 
   ผมกับชินมองหน้ากัน สิ่งที่บันพูดใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ถึงบันจะดูไม่ค่อยเอาโล้เอาพายเท่าไหร่ แต่มันเป็นคนฉลาด มีความสามารถสูง ถ้ามันตั้งใจทำอะไรสักอย่างแล้ว ต้องทำจนกว่าจะสำเร็จ น่าสนใจไม่เลวเหมือนกัน เกมที่พวกเราสร้างขึ้นเองงั้นเหรอ…
 
   “เอางี้ ถ้านายสามารถขอร่วมมือกับพ่อสำเร็จ ฉันจะยอมทำงานให้นายก็ได้” ยอมง่ายๆ มันไม่สนุก ต้องมีข้อต่อรองกันหน่อย
 
   “วินว่าไงฉันว่างั้น” หนุ่มผมดำตอบทันทีโดยไม่ต้องคิด บันฉีกยิ้มกว้างปล่อยให้แสงตะวันจำลองอาบไล้ไปทั่วร่าง
 
   “จัดไป! พวกนายเตรียมตัวเป็นลูกน้องฉันได้เลย”
 
   ลูกเจ้าของบริษัทใหญ่ วางท่ามั่นใจเต็มที่ เอาเข้าจริงเวลาผ่านไปร่วมเดือนยังไม่สามารถกล่อมพ่อได้สำเร็จ สุดท้ายเลยต้องลากพวกผมไปแสดงตัวกับพ่อเพื่อหาพวก
 
   แววตาของคนมีอำนาจอยู่ในมือ กวาดมองพวกเราทีละคน ก่อนจะหยุดที่ผมเนิ่นนาน เหตุผลคงไม่พ้นผมหน้าคล้ายพ่อแบบถอดพิมพ์เดียวกันมา ที่สำคัญ พ่อผมยังเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่พลิกโฉมประวัติศาสตร์ ริเริ่มสร้างระบบเกมแบบใหม่
 
   “เห็นกับความตั้งใจของพวกลูก พ่อจะยอมให้ร่วมงานก็ได้ แต่เป็นแค่ทีมงานเล็กๆ เท่านั้นนะ”
 
   วาจานั้นไม่ต่างจากใบเบิกทางของพวกเรา ผมสามคนเริ่มจากตำแหน่งเล็กๆ เป็นทีมงานจิปาถะคอยช่วยเหลือคนอื่นในการทำงาน ก่อนไต่เต้าระดับตัวเองขึ้นมาเรื่อยๆ ควบกับการเรียนหนังสือ
 
   เวลาผ่านไปสองปีกว่า พวกเรากลายเป็นส่วนหนึ่งในพนักงานอย่างเต็มตัว ความสามารถของพวกผมเป็นของจริง ต้องขอบคุณสวรรค์ที่มอบพรสวรรค์นี้ให้เราเหนือกว่าคนวัยเดียวกัน บางทีอาจจะเหนือกว่าผู้ใหญ่บางคนด้วยซ้ำ พอมาถึงระดับนี้ถึงรู้ว่ามันสมองของทีมยังไม่พอ ผมต้องหาคนเพิ่ม คนที่มีความสามารถแบบเดียวกัน
 
   ผมนำเรื่องนี้ไปปรึกษาท่านประธานกับบันและคนอื่นๆ ท่านประธานขอเวลาตัดสินใจระยะหนึ่ง ส่วนบันไม่มีปัญหา ทางเพื่อนร่วมงานมีแต่จะยินดีที่ได้คนมาช่วยเพิ่ม ไม่รู้ว่าโดนลูกน้องกดดันหรือลูกชายอ้อนหนัก ในที่สุดท่านประธานก็ยอมเซ็นอนุมัติให้หาคนเพิ่ม โดยมีข้อแม้ว่า หลังจากผมคัดคนมาแล้ว ต้องส่งข้อมูลให้ท่านประธานก่อน ถ้าผ่านค่อยเข้าทำงานในบริษัทเต็มตัว
 
   ชินตอบสนองความต้องการผมเสมอ เย็นวันนั้นชินส่งข้อมูลมาให้ผมถึงสี่คน...
 
   คู่แรกเป็นฝาแฝด ผมสั้นทั้งคู่ แฝดคนพี่ชื่อวายุมีผมสีขาวอมเขียว ดวงตาสีเขียวอ่อนแปลกตา คนน้องชื่อวาโยไม่ต่างกันเปลี่ยนแค่ผมออกไปทางฟ้าและดวงตาเป็นสีฟ้าอ่อน ประวัติตามสไตล์เด็กเก่ง พ่อแม่เป็นคนมีหน้ามีตา บ้านมีฐานะ ทั้งคู่เคยไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนอยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนจะเกิดปัญหา เข้ากับคนอื่นไม่ได้ ก่อความวุ่นวาย ทะเลาะวิวาททั้งที่หน้าตาไม่ค่อยให้ จนฝ่ายตรงข้ามเข้าโรงพยาบาลไปหลายคน
 
   ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยระดับแนวหน้า อายุน้อยกว่าผมสองปี สิ่งที่น่าสนใจคือ ทั้งคู่เก่งเรื่องโปรแกรมและสิ่งประดิษฐ์เชิงเทคโนโลยีมาก ไม่นับว่าแปลกหน้าเท่าไหร่ เห็นในนิตยสาร หนังสือพิมพ์ ออกข่าวบนทีวีบ่อยๆ ว่าแฝดนรกคว้ารางวัลมานักต่อนัก
 
   ถัดมา เป็นหญิงสาวนามมะลิอายุเท่าแม่ผม แต่งงานแล้ว แต่มีความเก่งกาจ ใบหน้าสวยฉายความมุ่งมั่นจริงจัง เคยทำงานมาแล้วหลายแห่ง ประสบการณ์ในการทำงานโชกโชน หนึ่งในผู้หญิงส่วนน้อยที่ผู้ชายให้การยอมรับ น่าเสียดายปัจจุบันลาออกจากงานเพื่อเลี้ยงลูกอยู่กับบ้าน เอาเถอะคนนี้น่าจะกล่อมไม่ยาก
 
   คนสุดท้าย เด็กหนุ่มหน้าตาโดดเด่นดวงตาและผมสีน้ำเงินเกือบดำ ผิวเข้ม ใครเห็นหน้าเป็นต้องไม่ถูกชะตา แถมประวัติที่อ่านหาความน่ารักไม่เจอ เด็กกว่าน้องชายผมสามปี แต่ก่อเรื่องมากกว่าผู้ใหญ่ที่ใช้เวลามาทั้งชีวิตเสียอีก อาชญากรอายุน้อยหรือนิยามสั้นๆ ว่าเด็กเปรต
 
   รายนามความผิดยาวเหยียดจนผมอ่านต้องยกมือนวดหัวคิ้ว หลักๆ คือการใช้ความสามารถตัวเองในทางมิชอบ ไม่ว่าจะเป็นการแฮกเพื่อท้าทายรัฐบาล แฮกเอาข้อมูลคู่แข่งทางธุรกิจของพ่อไปขาย ตอบโต้โจมตีกันระหว่างแฮกเกอร์ด้วยกัน ก่อเรื่องข้ามประเทศ ช่างเป็นเด็กที่น่าฆ่าทิ้งอย่างยิ่ง
 
   ติดที่ฐานะทางบ้านดี พ่ออยู่ในตำแหน่งระดับสูงมีคนรู้จักกว้างขวาง ครอบครัวทางฝั่งแม่ก็ไม่ใช่เล่นมีญาติผู้ใหญ่อยู่ในตำแหน่งราชการ ที่สำคัญยังเป็นลูกชายคนเดียว หัวแก้วหัวแหวน เลยถูกลงโทษเพียงสถานเบา ตอนนี้หายซ่าอยู่ใต้โอวาทพ่อ แต่ยังไม่วายก่อเรื่องเล็กอยู่เนืองๆ ถ้าฝั่งผู้ใหญ่คนคร้านจะยุ่งเกี่ยว พากันหลับตาข้างหนึ่ง ขอแค่ไม่ก่อเหตุใหญ่โตเป็นใช้ได้
 
   ชื่อของเด็กคนนี้คือ ‘กลวัชร อัคคเดชโภคิน’
 
   ผมละสายตาจากข้อมูลบนจอมามองหน้าเพื่อนสนิทคิดไม่ซื่อ ชินเลิกคิ้วเนียนมาลากเก้าอี้มานั่งเบียด
 
   “มีอะไรเหรอ หรือว่ารายชื่อพวกนี้ยังดีไม่พอ?”
 
   มันดี ดีมาก ทุกคนอยู่ระดับหัวกะทิ ข้อมูลละเอียดแบบที่คนอื่นไม่สามารถหาให้ได้ ถ้าไม่ใช่ชิน โดยเฉพาะคนสุดท้าย ไม่ต้องเอาทุกความผิดมารวมกันให้ผมอ่านก็ได้มั้ง ชินเดาความคิดผมออก เจ้าตัวยักไหล่
 
   “นายบอกว่าอยากได้แบบละเอียด ฉันเลยหามาให้ ไม่ดีเหรอ” ใบหน้าคมคายยื่นเข้ามาใกล้ ดวงตาพราวระยับแบบที่ทำใส่ผมคนเดียวเท่านั้น ไม่รู้ผมควรจะดีใจมั้ย
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-02-2016 15:55:08 โดย Silver Fish »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Silver Fish

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 335
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +215/-0
    • Fanpage
Part6 เริ่มต้นสร้างเกม(ต่อ)

   “มันก็ดีอยู่ ขอบใจที่ช่วย”
 
   “นี่... ไม่คิดให้รางวัลกันหน่อยเหรอ” นายชินกฤตกระแซะๆ เข้ามาหาจนผมต้องเอนหลัง หวาดเสียวว่าจะหงายตกเก้าอี้ ถ้าอยู่ที่บริษัทผมคงจะยกเท้ายัน พอดีตอนนี้อยู่ที่บ้านเลยปล่อยจิ้งจอกได้ใจไปก่อน
 
   “เพิ่งรู้ว่าเดี๋ยวนี้นายทำเพื่อหวังสิ่งตอบแทน ไม่ได้ทำเพื่อฉันจากใจ” มุมปากสีอ่อนยกยิ้มมองอีกคนอย่างเหนือกว่า คนฟังคิ้วขมวดสีหน้าบ่งบอกว่าตัวเองกำลังถูกใส่ร้าย
 
   “ฉันให้นายได้ทุกอย่าง ห้องที่นายอยู่นี่ก็ห้องส่วนตัวฉัน คอมที่นายใช้ก็เป็นของฉัน ทั้งตัวและหัวใจนายก็เป็นของฉัน เราเป็นของกันและกันขนาดนี้ ยังคิดว่าฉันไม่จริงใจกับนายอีกเหรอวิน”
 
   “เฮ้ เดี๋ยวก่อน! ฉันว่ารูปประโยคมันแปลกๆ ใครเป็นของนายตั้งแต่เมื่อไหร่?”
 
   “นายไงเป็นของฉัน ผมนี่ ดวงตา จมูก ปาก ลำคอทุกส่วน ฉันสำรวจตีตราไว้หมดแล้ว” เจ้าของห้องงึมงำพูดระหว่างจูบไล่ตามตำแหน่งที่บอก เริ่มจากกลุ่มผมนุ่มไล่มายังดวงตาให้อีกคนต้องหลับตาอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะงับจมูกเบาๆ แลบลิ้นเลียริมฝีปาก มือหนาสอดเข้ามาในเสื้อ ลูบไล้ถลกขึ้นจนเห็นรอยจ้ำแดงเต็มไปหมด
 
   “ให้มันน้อยๆ หน่อย ฉันไม่ใช่ของนาย นายต่างหากเป็นของฉัน” ผมใช้มือยันหน้าอีกฝ่ายไปห่างๆ ปรายตามองคนที่นั่งอยู่ในสภาพเสื้อคลุมอาบน้ำเผยแองอกกับขาแกร่ง มีรอยจ้ำแดงไม่ต่างจากผม ชวนให้ยกยิ้มอย่างพึงพอใจ ฝีมือผมก็ใช้ได้นะเนี่ย
 
   “โอเคๆ ตกลงเป็นไง จะให้หาคนเพิ่มอีกรึเปล่า”
 
   “ไม่ล่ะ เท่านี้แหละ คนเยอะเรื่องก็มากตาม อีกอย่างนายคัดมาแล้วนี่ นอกจากคนพวกนี้คงไม่มีใครเหมาะอีก” ชินพยักหน้าเลิกทำตัวรุ่มร่ามระหว่างคุยเรื่องจริงจัง ผมยิ้ม “ไปใส่เสื้อผ้าดีๆ เดี๋ยวเป็นหวัด”
 
   สมกับเป็นจิ้งจอกผู้ซื่อสัตย์ ลุกไปแต่งตัวเปลี่ยนเป็นชุดนอนแบบเดียวกับผม แล้วเดินกลับมาพร้อมผ้าขนหนูผืนเล็กในมือ ก่อนลากผมไปนั่งตรงขอบเตียง ย้ายตัวเองนั่งบนฟื้นหันหลังให้พลางส่งผ้าขนหนู ไม่จำเป็นต้องพูดอะไร การกระทำบอกทุกอย่าง
 
   ผมรับผ้ามาบรรจงเช็ดผมเปียกชื้นให้อย่างตั้งใจ ท่าทางเหมือนจะอ้อนแบบนี้ทำให้ผมหลุดขำ ในอดีตชินเป็นคนนิ่งขรึม ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ถ้าไม่มีผมเจ้าตัวไม่คุยกับใครทั้งวันเลยยังได้ ใบหน้าเรียบเฉยไม่ค่อยแสดงอารมณ์ แต่ทุกครั้งที่ผมเรียกชื่อเขา ชินจะหันมาด้วยรอยยิ้มบางชวนให้อุ่นวาบไปทั้งใจ
 
   มันเป็นหลักฐานว่าชินเปิดใจให้ผมเพียงคนเดียว ถึงอย่างงั้นผมกลับทำสิ่งที่ตรงข้ามกับความรู้สึกตัวเอง แนะนำ ผลักดันให้ชินเข้าสังคมมากขึ้น ทั้งที่ในใจไม่อยากให้ชินพูดคุยกับใคร มันคือความเห็นแก่ตัวของผม
 
   รอยยิ้มนี้ น้ำเสียงแบบนี้ ผมอยากเก็บทุกอย่างไว้เป็นของตัวเองทั้งหมด ผมยอมเสียเปรียบ ผมยอมถูกใช้ประโยชน์ได้ แต่ผมไม่มีวันยกชินให้ใครเด็ดขาด
 
   ดวงตาสีเทาฉายประกายวาววับ ใบหน้าหล่อเหลางดงามที่มักยิ้มแย้มอยู่เสมอเปลี่ยนเป็นนิ่งเฉยคล้ายกำลังตัดสินใจเรื่องสำคัญบางอย่าง ชินรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของคนรักเลยแหงนหน้ามองอย่างสงสัย ผมไม่คิดเก็บสีหน้าของตัวเอง ก้มลงไปแนบริมฝีปากกับเรียวปากได้รูปของชิน
 
   ทั้งคู่ค่อยๆ ผละออกจากกัน ดวงตามองสบสื่อความรู้สึกส่วนลึกของตัวเอง
 
   “นายเปลี่ยนไปมากรู้มั้ย ตั้งแต่วันที่ฉันเกิดเรื่อง นายยอมให้คนอื่นเข้าหามากขึ้น” ผมเปรย
 
   ชินหัวเราะเสียงต่ำในลำคอ นึกขำกับคนที่เคยกล่อมตัวเองให้มีมนุษย์สัมพันธ์บ้าง พอโตมากลับดูไม่พอใจซะงั้น
 
   “อิทธิพลจากนายไง ไม่ดีเหรอ” จิ้งจอกเจ้าเล่ห์เอียงคอมอง แล้วเคลื่อนกายมาคร่อมทับด้านบน เท้ามือกักร่างอีกคนไว้ใต้ร่าง
 
   “ดีมั้ง”
 
   “น้ำเสียงไม่ดีใจเท่าไหร่นะ หวงฉันรึไง ไม่ต้องห่วงหรอก แค่การพูดคุยเพียงผิวเผิน คนเราโตขึ้นต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง อนาคตฉันยังต้องพูดคุยกับคนอื่นอีกมากเพื่อช่วยงานนาย ฉันไม่ยอมให้นายออกหน้าคนเดียวหรอกนะวิน”
 
   “อืม... แย่แฮะ รู้ทั้งรู้ว่ามันเป็นแบบนั้น ยังไงฉันก็ยังหวงนายอยู่ดี” แขนขาวยกก่ายหน้าผาก พลางทอดถอนใจระอาตัวเอง บางคนมีเหตุผลอยู่เต็มหัว พอเอาเข้าจริงดันพ่ายแพ้ให้กับความรู้สึก ชินคว้ามือผมไปจูบ
 
   “หวงสิดี นั่นหมายความว่านายเห็นฉันเป็นคนสำคัญ” จิ้งจอกหยอกเย้างับปลายนิ้วผมเล่นเบาๆ
 
   “สำคัญมาก สำคัญที่สุด ฉันจะไม่เอาแต่ใจ แต่ขอบอกไว้ก่อน ฉันไม่ยอมยกนายให้ใคร”
 
   “ความจริงนายเอาแต่ใจบ้างก็ได้ ใจดีกับคนอื่นไปทั่ว ถึงมันจะเพลาๆ จากสมัยก่อนก็เถอะ” ถึงคราวจิ้งจอกบ่น
 
“งั้นฉันจะเป็นคนไปคุยกับเด็กแฝด ส่วนนายไปหาคุณผู้หญิงคนนั้น”
 
   ชินขมวดคิ้ว นั่นไม่ใช่การเอาแต่ใจเลยสักนิด ถ้าเอาแต่ใจมันต้องงอแงไม่ยอมให้เขาไปหาใครสิ พอมองเข้าไปในดวงตาสีเทา ผู้ชายคนนี้ยึดเหตุผลเป็นหลัก คงไม่มีทางอ้อนให้เขาเอาใจแน่ๆ บอกได้เพียงคำเดียวว่าปลง...
 
   “เอางั้นก็ได้ แล้วเด็กที่ชื่อกลวัชรนั่นล่ะ” ชินถามพลางลุกออกมานั่งข้างๆ ดึงแขนให้อีกคนลุกขึ้นตามมา
 
   “ไม่เอา ยังเด็กเกินไป อีกอย่างฉันไม่ว่างมานั่งดัดสันดานเด็ก งานนี้งานใหญ่เวลาปกติก็แทบจะไม่พออยู่แล้ว”
 
   “ตามใจ ไว้พรุ่งนี้ค่อยติดต่อคนพวกนั้นแล้วกัน แน่ใจนะไม่ให้ฉันไปกับนายด้วย”
 
“แน่ใจ แค่เด็กคนสองคนฉันจัดการได้อยู่แล้ว ปิดไฟด้วยจะนอน”
 
   ชายผมทองคลานขึ้นเตียงห่มผ้าเรียบร้อย เจ้าของห้องส่ายหัว ปิดไฟแล้วตามขึ้นไปนอนอีกคน คว้าอีกฝ่ายมากอดอย่างถือสิทธิ์ ซึ่งเจ้าตัวก็ไม่ว่าอะไร แค่ยกขาก่ายกลับเกิดเป็นภาพชวนอนาถ ชินแทบร่ำไห้ในใจ ยอมเปลี่ยนร่างตัวเองเป็นหมอนข้างจนถึงเช้า
 
 
   นัดหมายของพวกเขาถัดจากนั้นไปอีกสามวัน ชินไปคุยกับคุณมะลิก่อน ทีแรกสาวเจ้าลังเลยังไม่ค่อยเชื่อใจเด็กที่มาคุยเรื่องสำคัญกับเธอนัก อาศัยชินกล่อม พร้อมข้อเสนอมากมาย แถมหลักฐานยืนยันว่าสิ่งที่พูดไปเป็นเรื่องจริง พวกเขาต้องการคนช่วยเหลืองานใหญ่ มีเอกสารจากทางบริษัทครบถ้วน สามารถโทรไปเช็คได้
 
   ในที่สุด หญิงสาวก็ตอบตกลงเข้าทำงาน พี่มะลิมาบอกตอนหลังว่าชินไปโอกาสเหมาะ ลูกชายของเธอเข้าโรงเรียนแล้ว ไม่จำเป็นต้องคอยดูแลอย่างเก่า ด้วยความที่เป็นผู้หญิงรักการทำงานและชอบความท้าทายจึงยอมร่วมมือกับพวกเรา นับเป็นเรื่องดี
 
   งานมันเข้าฝั่งผมต่างหาก บ้านหลังใหญ่ผมไม่ตกใจ เดินเข้าออกบ้านชินจนเหมือนบ้านตัวเอง จนทุกคนในบ้านแทบเรียกผมว่าคุณหนูตามชิน ดังนั้นอาการตื่นเต้นกับสถานที่ไฮโซไม่ปรากฏ ไม่เว้นแม้กระทั่งตอนเจอกับพ่อแม่ของเด็กแฝด ท่านทั้งสองมีความกดดันตามประสบการณ์ชีวิตที่มากกว่า ถึงงั้นก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับผมอีกเช่นเคย ผมพบเจอผู้ใหญ่แบบนี้มาตั้งแต่จำความได้ เพราะผมชอบตามพ่อไปทำงานที่ต่างๆ
 
   ผมยิ้ม พูดคุยสุภาพนอบน้อมกับผู้ใหญ่ทั้งสอง เพราะติดต่อมาล่วงหน้าทุกอย่างเลยเป็นไปได้ด้วยดี ผมมาในฐานะตัวแทนของบริษัทไม่ใช่เด็กน้อยเล่นขายของ ทุกสิ่งที่พูดคุยจริงจังเป็นการเป็นงาน พวกท่านอ่านเอกสารที่ผมนำมาด้วยครู่หนึ่ง สบตาปรึกษากัน ก่อนจะปล่อยให้ผมพบลูกชายทั้งสอง
 
   ปัญหาผมเกิดตอนนี้นี่แหละ เดินตามสาวใช้จนมาถึงห้องส่วนตัวของเด็กแฝด เปิดประตูมาไม่ทันไร ลูกเบสบอลถูกขว้างมาอย่างแรง ผมยกมือรับด้วยสีหน้าเรียบเฉย มองสำรวจภายในห้อง แฝดคนพี่กำลังนั่งเล่นคอมตามข้อมูล แฝดคนน้องเจ้าของลูกเบสบอลกำลังเล่นรับส่งลูกกับชายอีกคนหนึ่ง
 
   เขามีเรือนผมสีแดง รูปร่างสูงใหญ่กว่าเด็กวัยเดียวกัน พอเห็นว่ามีคนนอกมาหา เจ้าตัวออกหน้าเดินมายืนขวางระหว่างผมกับสองแฝดอย่างกับองครักษ์ ชวนให้ผมนึกถึงชิน ดูท่าผมจะเป็นราชทูตบุกมาหาเจ้าหญิงถึงหอคอยงาช้างจนถูกอัศวินพิทักษ์เจ้าหญิงเขม่นเอาสินะ
 
   “สวัสดี ฉันชื่ออาชวิน เป็นคนจากบริษัทที่ติดต่อมา”
 
   “ใครน่ะ ติดต่อเมื่อไหร่ไม่เห็นรู้เรื่อง”
 
   วาโยแฝดคนน้องเดินมาชะโงกมองผมผ่านหลังชายหัวแดงที่ยังคงยืนจังก้าไม่ยอมให้ผมเหยียบเข้าห้องแม้แต่ก้าวเดียว ซึ่งผมไม่คิดจะเข้าไป ในเมื่อเจ้าของยังไม่อนุญาต
 
   “จากบริษัทเกมน่ะ อยากชวนพวกนายไปทำเกมด้วยกัน” ผมตอบด้วยรอยยิ้มเทพบุตร ทั้งสามคนมองผมแบบไม่อยากเชื่อสายตา ผมค่อนข้างมั่นใจในหน้าตากับรอยยิ้มตัวเองนะ เรียกว่าเป็นจุดขายของผมเลยก็ได้
 
   “รอยยิ้มสุดยอด ยุดูสิๆ ผู้ชายคนนี้อย่างกับทูตสวรรค์แหนะ” วาโยหนุ่มร่าเริงหันไปคุยกับแฝดตัวเอง คนฟังเพียงแค่พยักหน้ารับเนิบๆ แต่ดวงตาสีเขียวอ่อนยังจ้องผมนิ่งอย่างประเมิน
 
   เด็กพวกนี้ไม่เลวเลย สมกับที่ชินคัดมา ถ้าเป็นพวกหัวอ่อนคงไม่เหมาะกับงานของผม
 
   “บอกตามตรง พวกฉันสนใจ” วายุเป็นคนพูด ผมเลิกคิ้ว ง่ายไปรึเปล่า
 
   “แต่มีข้อแม้”
 
   ทีแท้ไม่ยอมฟรีๆ
 
   “ฉันว่าก่อนพวกเราจะคุยกับเรื่องนี้ ขอเข้าไปนั่งด้านในได้มั้ย คิดว่าน่าจะเหมาะกว่ายืนคุย” ผมชี้ไปด้านในห้อง ชายหัวแดงขมวดคิ้วฉับ ผมเดินเข้าหาแบบไม่กลัวเกรง สองแฝดมองด้วยสายตาสนใจ จนกระทั่งเฉียดใกล้แฝดคนน้องที่เกาะติดกับร่างหนานั่นแหละ เจ้าตัวเริ่มจู่โจม ผมอมยิ้ม เอียงตัวหลบหมัดที่พุ่งเข้ามา แล้วใช้มือสองข้างจับแค่อีกฝ่ายไว้มั่น ก่อนจะจัดการทุ่มข้ามหลังสบายๆ แม้ว่าอีกฝ่ายจะตัวใหญ่กว่าผมก็ตาม
 
   คนโดนทุ่มยังนอนงงอยู่บนพื้น ผมก้มลงส่งมือให้ด้วยรอยยิ้ม
 
   “โทษทีนะ แค่ป้องกันตัว ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ทำอะไรพวกเขาหรอก” ชายตรงหน้าเหมือนสัตว์ดุร้ายที่พร้อมจะทำร้ายทุกคนที่แตะต้องสิ่งที่ตัวเองปกป้อง เรื่องที่คนหาเรื่องถูกหามส่งเข้าโรงพยาบาล คงเป็นผลงานของชายผมแดงไม่ผิดแน่ ก็นะ แฝดสายลมรูปร่างไม่ให้กับการออกกำลังเลยนี่
 
   “ไม่เป็นไรอัคคี เขาไม่ได้มาร้าย”
 
   ดูเหมือนวายุจะเป็นคนคุมทุกอย่าง พอพูดจบ ชายที่ชื่ออัคคียอมส่งมือมาให้ผมฉุดเขาลุกขึ้นยืน
 
   “คุณเก่งมาก” เขาพูดด้วยน้ำเสียงชื่นชม
 
   “ไม่เท่ามืออาชีพอย่างนายหรอก” บรรยากาศเปลี่ยนไปหลังจากผมพูดประโยคนี้ วายุหรี่ตามอง วาโยยิ้มถูกใจ ส่วนอัคคีทำหน้าเครียด เวอร์กันไปได้ เห็นชัดอยู่อัคคีมีหน้าที่อะไร เพื่อนกันไม่ออกโรงปกป้องขนาดนี้ ผมส่ายหัวกับเจ้าหนูทั้งหลายพลางชี้ไปบนโซฟาที่อยู่ไม่ไกล
 
   “ฉันขอนั่งได้รึเปล่า” อีกฝ่ายเป็นเจ้าบ้าน ต่อให้อายุน้อยกว่า ยังไงต้องให้เกียรติ แต่ไม่ใช่ยอมจนดูหงอเกินไป พวกเด็กฉลาดมักมีวุฒิภาวะไม่ต่างจากผู้ใหญ่คนหนึ่ง ในขณะเดียวกัน ยังมีความเอาแต่ใจตามประสาเด็กอยู่ด้วย
 
   “เชิญเลย ตามสบาย” วาโยเป็นคนตอบ ผมหย่อนตัวลงนั่ง ปลดไทเล็กน้อย วันนี้ผมมาในชุดสูทเต็มยศ ต้องแสดงตัวสบายๆ หน่อย จะได้คุยกันง่ายขึ้น
 
   “ขอบคุณ พวกนายก็ไม่ต้องเกร็งนักหรอก ฉันอายุมากกว่าพวกนายแค่สองปี”
 
   สิ้นคำทั้งหมดมองผมเหมือนเป็นตัวประหลาด
 
   “ไม่น่าเชื่อ ทีแรกนึกว่าผู้ใหญ่หน้าเด็กซะอีก” ฟังตรงนี้ชักตะหงิดๆ ผมหันไปมองวายุ น่าจะเป็นคนที่คุยรู้เรื่องที่สุด
 
   “มาคุยเรื่องของเราต่อดีกว่า ข้อเสนอของนายคืออะไร”
 
   วายุนิ่งครุ่นคิด มองสบตาปรึกษากับแฝดตัวเองท่าทางเหมือนพ่อแม่ไม่มีผิด บ้านนี้สงสัยสำเร็จวิชามองตาก็รู้ใจ ส่วนอัคคียืนนิ่งอยู่ไม่ไกลนัก ถ้าผมทำอะไรตุกติกคงพร้อมแลกชีวิตเพื่อปกป้องแฝดชัวร์
 
   ข้อเสนอของแฝดสายลมไม่มีอะไรมาก แค่ขอชีวิตอิสระ ห้ามไปบังคับมากและขอให้อัคคีเข้าร่วมด้วย ผมเลิกคิ้ว ความจริงประวัติของอัคคีผมอ่านผ่านตามาบ้าง เป็นลูกชายนายตำรวจยศสูงคนหนึ่ง เพราะเคยมีบุญคุณกัน แถมลูกชายอายุเท่ากัน เลยส่งมาเป็นเพื่อนเล่นควบตำแหน่งบอดี้การ์ด
 
   ดูเผินๆ เหมือนจะเวอร์เกินไป ส่วนตัวผมคิดว่าไม่ แฝดสองคนนี้ถือเป็นทรัพยากรบุคคลที่ควรปกป้อง ยังไม่นับเรื่องบ้านมีฐานะ จะถูกลักพาตัวไปเรียกค่าไถเมื่อไหร่ไม่รู้ ที่สำคัญ การทำธุรกิจย่อมมีการขัดแข้งขัดขากันบ้าง เล่นงานพ่อไม่ได้ ก็หันมาทางลูก อย่างชินเองก็มีบอดี้การ์ดเหมือนกัน เพียงแค่ไม่โผล่มาชัดเจน หรืออยู่ข้างกายในระยะประชิด ลองให้ชินยกมือ ไม่ก็ส่งสัญญาณสิ คนพวกนั้นพร้อมพุ่งออกมาเป็นฝูงชัวร์
 
ช่างหัวชินมันก่อน ประเด็นอยู่ที่เจ้าหนูอัคคีคนนี้แม้ทักษะการต่อสู้จะโดดเด่น หัวสมองฉลาดไม่เลว หนักแน่นเด็ดขาด แต่เท่าที่ผมอ่าน เขาไม่มีความอัจฉริยะด้านโปรแกรมเป็นพิเศษอย่างพวกผม จะให้พกบอดี้การ์ดเข้าไปทำงานในเขตที่เป็นความลับของบริษัทไม่ได้ซะด้วย
 
   “บอกไว้ก่อนนะ ถ้าคีไปกับเราไม่ได้ เราไม่ตกลงทำงานกับนาย” วายุพูดอย่างเป็นต่อ คิดว่าเหนือกว่าฉันเหรอไอ้หนู ฝันไปเถอะ
 
   “หัวหน้า....”
 
   “ห๊ะ?”
 
   “นับจากวันนี้ไป พวกนายเรียกฉันว่าหัวหน้า เรื่องอัคคีพวกนายไม่ต้องเป็นห่วง เขาไม่มีความสามารถพิเศษด้านนี้ก็จริง แต่นับได้ว่ามีพื้นฐานที่ดีพวกนายฝาแฝดคงสอนมาเองสินะ” ผมลูบคางมองสำรวจทั้งสามคนก่อนกล่าวเสริม “เขาอาจจะเก่งกว่านักโปรแกรมเมอร์ที่เป็นผู้ใหญ่บางคนด้วยซ้ำ ลองศึกษาเพิ่มเติมอีกหน่อยบวกกับความสามารถด้านการเรียนรู้ได้เร็ว คิดว่าทำงานกับพวกเราได้ไม่ยาก”
 
   ผมบอกตามที่คิด วาโยดูทนไม่ไหวถามด้วยความสงสัย
 
   “ทำไมถึงรู้ข้อมูลพวกเราละเอียดจัง”
 
   “ฉันคือคนที่จะมาเป็นหัวหน้าของพวกนาย หากฝีมือไม่สูงกว่า พวกนายจะยอมทำตามคำสั่งรึไง อีกอย่าง ที่บริษัทน่ะมีคนเก่งๆ อีกเพียบ รับรองว่ามีอะไรให้พวกนายทำไม่เบื่อแน่” แต่กระอักออกมาเป็นกองงานอ่ะนะ แน่นอน ผมไม่บอกเดี๋ยวไก่ตื่น เดี๋ยวไม่มีเหยื่อไปช่วยแบ่งเบางานกันพอดี
 
   “ทีแรก ฉันคิดจะทำขำๆ ตอนนี้ชักสนใจขึ้นมาจริงๆ ซะแล้วสิ หวังว่าจะไม่ทำให้ผิดหวังนะหัวหน้า” แฝดคนพี่เริ่มสนใจแล้ว คนน้องดูรักสนุกไม่น่าพลาด ส่วนนายบอดี้การ์ด คาดว่าสองคนว่าไงว่าตามกัน
 
   “ไม่ผิดหวังแน่นอน สนุกจนกระอักเลยล่ะ พวกเรากำลังจะสร้างเกมแปลกใหม่เชียวนะ ฉันปล่อยให้พวกนายใส่ความคิดเต็มที่แน่ ถือว่าพวกนายตกลงรับข้อเสนอ ขอให้พวกนายไปบริษัทตามวันเวลาที่กำหนด เราจะมาเซ็นสัญญากันอีกที”
 
   ผมจับมือพวกเขา ก่อนจะปลีกตัวออกมา หลังจากนั้นคุณมะลิ เจ้าหนูทั้งสามมาเซ็นสัญญาตามเวลาที่ระบุ ผ่านการอนุมัติจากท่านประธาน ทีแรกเริ่มจากการศึกษาระบบงานพื้นๆ ที่พวกเราทำอยู่ คุณมะลิไม่เท่าไหร่ เธอเข้าใจว่าต้องรู้จักเรื่องพวกนี้ก่อนถึงเริ่มงานเจาะลึกลงไปได้ แต่เจ้าแฝดยังคงความเอาแต่ใจ คิดว่าผมไม่ไว้ใจฝีมือ
 
   ผลคือโดนชิงตวัดตามองจัดการพวกนั้นได้อยู่หมัด โดยที่ผมไม่ต้องออกหน้า แหงล่ะ สัตว์ร้ายตัวน้อยจะสู้สัตว์ร้ายอาวุโสได้ยังไง
 
   คุณมะลิคือคนแรกที่ได้จับงานหลักจริงๆ จังๆ ผ่านไปร่วมเดือนเจ้าแฝดถึงจะได้จับบ้างโดยมีผมไม่ก็ชินคอยคุมแบบเนียนๆ ตลอด ไม่ได้บังคับ ให้อิสระเต็มที่ แค่ไม่ให้คลาดสายตาเท่านั้นเอง นี่ผมไม่ได้เข้าไปเจ้ากี้เจ้าการอะไรนะ แต่ไม่รู้ทำไม หลังจากนั้นเจ้าแฝดถึงดูเกรงผมกับชินไปโดยปริยาย สงสัยถูกเคี่ยวกรำจากออร่าของพวกผมเป็นแน่
 
   ฝ่ายอัคคี อาศัยความสามารในการเรียนรู้ได้รวดเร็วกับความพยายามของเจ้าตัว ผมก็หาตำแหน่งที่เหมาะสมให้กับเขาได้ ด้วยการช่วยซัพพอร์ตคนอื่นๆ อีกที ทำให้งานไปได้สวยกว่าเดิม แลกกับที่เจ้าตัวต้องรับบทหนักหน่อย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-02-2016 15:55:51 โดย Silver Fish »

ออฟไลน์ PiSCis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 346
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-2

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
จะเอาอีกกกกก

ออฟไลน์ Silver Fish

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 335
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +215/-0
    • Fanpage
Part7 เข้าเกมครั้งแรก
 
ฝั่งสร้างเกมทุกอย่างกำลังดำเนินไปได้ด้วยดี อาจจะมีปัญหาบ้างนิดหน่อย แต่ทุกครั้งสามารถหาทางแก้ได้ในเวลาไม่นาน
 
สิ่งที่ควรหนักใจคือเรื่องเรียนมากกว่า แม้ผมจะไปสุมหัวสร้างเกมในตำนานอย่างลับๆ กับบริษัทพ่อบัน ความจริงเรื่องที่ตัวเองยังเป็นนักศึกษาปีสี่ไม่อาจหนีได้ เรื่องการเรียนไม่มีปัญหา การสอบผมผ่านสบายมาก ถ้าไม่ติดว่าแบ่งเวลาไปทำงานลับๆ ผมคงสามารถเรียนจบได้ภายในสามปี
 
ปัญหาอยู่ที่เพื่อนร่วมห้องมากกว่า หลายคนมาขอให้ผมช่วยทั้งที่มีเวลาทำงานตั้งมาก ดันมาปั่นเอาตอนสุดท้ายก่อนช่วงสอบ ยังไม่นับโปรเจคจบอีก อาจารย์ให้เลือกว่าจะทำเดี่ยวหรือกลุ่มก็ได้ เพียงแค่ห้ามเกินสามคน ผมว่าจะทำคู่กับชิน
 
ใจจริงอยากช่างหัวพวกมัน ในเมื่อไม่ตั้งใจเองช่วยไม่ได้ แต่อาจารย์ดันขอมา ทำให้ผมปฏิเสธไม่ลง ยังดีหน่อยมีชินช่วงแบ่งเบาภาระอย่างรู้ใจ
 
ช่วงกำลังปั่นงานเตรียมสอบกันหัวหมุน รุจกลับโผล่มาก่อกวนหนักขึ้น ทีแรกแค่ทำตัวตามติดผมเวลาเรียน เหมาผมทำงานกลุ่มด้วยกันบ่อยๆ นอกเวลาจะไม่ยุ่งเหมือนเจ้าตัวมีเหตุต้องไปทำเหมือนกัน มาคราวนี้ตามติดตลอด กีดกันเพื่อนทุกคนที่เข้าใกล้ผม ภายหลังหนักข้อ ถึงกับไปทำลายผลงานของเพื่อนร่วมคลาสที่ผมให้คำแนะนำ
 
เรื่องใหญ่ถึงอาจารย์ต้องออกโรงมาห้าม มีหรือรุจจะฟัง ที่ผ่านมาเจ้าตัวเอาแต่ใจตัวเอง ที่บ้านบริจาคเงินให้มหาวิทยาลัยเยอะด้วย
 
สุดท้ายอาจารย์ต้องยอมทำตามความต้องการของรุจ ไม่ให้ผมช่วยเหลือเพื่อนคนอื่น และเปลี่ยนกลุ่มจากสองเป็นสาม ให้รุจเข้ามาร่วมด้วย ถึงจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ผมค่อนข้างพอใจกับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ไม่ต้องสละเวลาตัวเองไปช่วยคนเหล่านั้น
 
พื้นฐานผมเป็นคนชอบช่วยเหลือคนอื่นก็จริง แต่กับพวกที่คิดจะพึ่งคนอื่นอย่างเดียวนี่ไปไกลๆ เหตุการณ์ที่เคยประสบยังฝังใจจนถึงทุกวันนี้ ยิ่งสังคมมหาลัย ต่างคนต่างอยู่ แทบไม่มีความสนิทสนม
 
อาจจะเสียเวลาหน่อยที่ต้องล้มโปรเจคเดิมทิ้ง เพื่อสร้างผลงานออกมาสามคน รุจฉลาดมาก ถือเป็นหนึ่งในเด็กอัจฉริยะ หากไม่นับเรื่องนิสัยใจคอ ผมคงคัดมาช่วยงานสร้างเกมอยู่หรอก รุจเอาแต่ใจและยึดความคิดตัวเองเป็นใหญ่มากเกินไป ไม่ฟังความเห็นคนอื่น ดูถูกคนที่ฉลาดน้อยกว่า
 
ส่วนสาเหตุที่ชอบผมเดาไม่ยากเลยสักนิด คนแบบนี้ชอบคนเก่ง เรื่องชินอยู่ข้างผมโดยไร้ปัญหา น่าจะมีเหตุผลอย่างเดียวกัน
 
ทีแรกผมกะเอาโปรเจคพื้นๆ พอไม่ให้ขายหน้า แต่รุจไม่ยอม ดื้อดึงจะทำให้เป็นผลงานใหญ่ ชินหงุดหงิดหวิดจะฆ่าทิ้งหลายรอบ ลำบากผมต้องคอยปรามอยู่เสมอ เพื่อตัดปัญหา เลยปล่อยให้รุจทำตามใจ เอาไว้เสร็จงานเรียนจบก็ต่างคนต่างอยู่
 
อาศัยความสามารถของพวกเราสามคน แม้ผลงานจะใช้เวลามากกว่าคนอื่นพอสมควร แต่ออกมาได้ดีถึงขนาดอาจารย์และอธิการบดีหน้าบานเป็นกระด้ง สรรเสริญพวกเราที่สร้างชื่อเสียงให้กับมหาลัย หลายบริษัทคิดดึงตัวพวกเราทำงานด้วย พวกเขาไม่รู้ว่าผมกับชินเป็นคนของพ่อบันไปแล้ว หรือต่อให้รู้ก็คงดึงดันเอาจนได้นั่นแหละ
 
ผมนี่ก่ายหน้าผาก อุตส่าห์ไม่ทำตัวเด่น มางานเข้าเอาตอนจบ จะแก้อะไรก็ไม่ได้ มีหนทางเดียวคือปลงและเก็บตัวซะ
 
บริษัทหรือองค์กรพวกนั้นมีตั้งแต่ระดับรากหญ้าจนถึงระดับรัฐบาล ผมกับชินปฏิเสธทุกที่อย่างไร้เยื่อใย ทางรุจเลือกองค์กรหนึ่งที่ดูไม่ค่อยน่าไว้ใจเท่าไหร่ เขาพยายามชักชวนให้ผมกับชินเข้าร่วมด้วย แต่พวกเรามีเป้าหมายอยู่แล้วจึงไม่คิดสนใจ อีกอย่าง องค์กรกลิ่นไม่ดีแบบนั้น เขาไปมีแต่จะหาเรื่องให้ตัวเอง
 
ใครจะรู้ล่ะว่ารุจตื๊อกว่าที่คิด เขาสั่งให้คนสะกดรอยตามพวกเรา อาศัยช่วงเวลาที่ชินโดนพ่อทรลากไปช่วยงานไม่อยู่กับผมเข้ามาหาตอนผมกำลังเดินเที่ยวเล่นกับน้องชายหลังจากหาเวลาว่างอันน้อยนิดได้ บอกตามตรงผมหงุดหงิดมาก!
 
“วัต อยู่ในร้านห้ามออกไปไหน หลบเข้ามุมไป เดี๋ยวพี่มา”
 
ผมดันหลังน้องชายหลบเข้าซอกในร้านหนังสือขนาดใหญ่ เจ้าพวกบ้าเอ๊ย มาขัดขวางช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนกับน้องชายซะได้
 
“มีอะไรรึเปล่า ผมเห็นท่าทางพี่แปลกๆ ตั้งแต่ออกจากบ้านแล้ว ถ้ามีธุระจะกลับบ้านก็ได้นะ ไว้ผมมาซื้อหนังสือกับไวไวที่หลัง”
 
ไวไวหรือไวภพเป็นเพื่อนสนิทของวัต เจอกันครั้งแรกตอนวัตอยู่ม.ปลาย เพื่อนคนนี้ผมกับชินแสกนแล้วเป็นคนนิสัยดีรักพวกพ้อง แถมยังเป็นหูเป็นตาให้เวลาที่ผมไม่อยู่ใกล้กับน้องชายด้วย
 
“ไม่ รอนี่แหละ ห้ามไปไหน ถ้ายี่สิบนาทีพี่ยังไม่กลับมาให้โทรหาชินซะ”
 
สั่งกำชับน้องชาย วัตขมวดคิ้ว พอเห็นสีหน้าจริงจังของผม จำต้องยอมทำตามที่สั่งอย่างช่วยไม่ได้ ผมยื่นมือไปขยี้หัวน้องชายทิ้งท้ายก่อนเดินออกจากร้าน ไม่มีจุดหมายปลายทางหรอก แค่เดินไปเรื่อยๆ อีกเดี๋ยวพวกนั้นก็โผล่หัวออกมาเอง แล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด แค่ผมออกห่างจากร้านไม่ถึงห้านาที มีผู้ชายในชุดสูทสองคนโผล่มายืนดักหน้าหลัง ผมล้วงกระเป๋าเลิกคิ้วมอง
 
“ขอเชิญคุณไปพบเจ้านายเราด้วยครับ”
 
“นำทางไปสิ” ผมพยักหน้าให้ คนพวกนั้นเผยสีหน้าแปลกใจ ก่อนกลับเป็นเรียบเฉยภายในเสี้ยววิ สงสัยคิดว่าต้องออกแรงกันสักยกมั้ง จะบ้าเหรอ ที่นี่มันในห้างนะ ทั้งคนทั้งกล้องเยอะแยะเต็มไปหมด ไม่ใช่ในหนังสักหน่อย ซัดกันได้ทุกที่
 
คนพวกนั้นเดินนำไปร้านกาแฟบรรยากาศเงียบสงบ ตรงโต๊ะด้านในสุดมีร่างคนคุ้นตา ไม่แปลกใจเลยสักนิด คนที่ใจร้อนคิดอะไรบ้าๆ แบบนี้ออกรอบตัวผมมีอยู่ไม่กี่คน
 
“รุจ”
 
ผมเรียกชื่อพลางหย่อนก้นนั่งฝั่งตรงข้าม
 
“ดีใจที่นายมา วินไม่คิดจะแนะนำน้องชายให้เพื่อนคนนี้รู้จักหน่อยเหรอ” หนุ่มหน้าสวยแย้มรอยยิ้มชวนมอง เบื้องหน้าเขามีกาแฟหอมกรุ่นถ้วยหนึ่งที่ใส่น้ำตาลเป็นภูเขา สงสารเมล็ดกาแฟเป็นบ้า ดื่มได้ไร้คลาสมาก
 
“ไม่จำเป็น คนที่นายต้องการคุยด้วยคือฉันไม่ใช่รึไง มีอะไรรีบพูดมา ฉันมีเวลาไม่มากนัก” ผมสวนกลับทันที คนแบบนี้กันให้ห่างจากวัตได้มากเท่าไหร่ ยิ่งดีต่อพวกเรามากเท่านั้น รุจเปลี่ยนท่าจากเอนหลังสบายมาจ้องผมเขม็ง
 
“ฉันอยากให้นายเข้าร่วมกับเราจริงๆ นะ ที่นี่นายสามารถพัฒนาฝีมือโดยไร้ขีดจำกัด”
 
“ขอปฏิเสธ นายน่าจะรู้ดีกว่าฉันกับชินมีเป้าหมายของตัวเองแล้ว”
 
“การสร้างเกมโง่ๆ นั่นน่ะเหรอเป้าหมาย!!” เสียงตวาดแหลมสูง ฝ่ามือเล็กกำแน่น ผมมองภาพเหล่านั้นด้วยสายตาว่างเปล่า
 
“กับตัวฉันที่คิดจะสร้างเกมโง่ๆ อย่างที่นายว่า แสดงว่าฉันเองก็ไม่ได้ฉลาดไปกว่าใครสักเท่าไหร่ ตัดใจซะ ต่อให้นายจับฉันมัดก็บังคับให้ฉันทำตามความต้องการไม่ได้อยู่ดี”
 
“แต่ถ้าฉันได้ตัวน้องชายนายล่ะก็ไม่แน่” รุจเริ่มสงบลง กลับเป็นผมที่อารมณ์กรุ่นแทน ดวงตาสีเทาตวัดจ้องจนอีกฝ่ายผงะ สายตาเย็นชากับบรรยากาศรอบตัวที่เปลี่ยนไปแบบที่รุจไม่เคยเจอมาก่อน เจ้าตัวเริ่มกระสับกระส่ายเม้มปากแน่นสนิท
 
“ลองแตะต้องน้องฉันแม้แต่ปลายเส้นผม…”
 
น้ำเสียงทุ้มนุ่มชวนฟัง รอยยิ้มงดงามทำให้ใครต่อใครหลงใหล ในเวลานี้กับให้ความรู้สึกตรงกันข้าม ใบหน้าหล่อเหลาปานทูตสวรรค์โน้มลงกระซิบข้างใบหูด้วยเสียงเรียบเรื่อย
 
“นายจะได้พบกับสิ่งที่ยิ่งกว่าความตาย”
 
ข้อนิ้วสวยกอบกุมลำคอบางคล้ายกับจะหักทิ้งได้ทุกเวลา บอดี้การ์ดเตรียมพุ่งเข้ามาเพื่อช่วยนายตัวเอง จังหวะเดียวกับที่ซาตานผละกายออก
 
“เลิกวุ่นวายกับพวกฉันซะ ต่างคนต่างอยู่ คิดว่าระดับอย่างนายน่าจะทำได้นะ”
 
สิ้นคำพูด เจ้าของเรือนผมสีทองหมุนกายจากไปทันที ทิ้งอีกฝ่ายไว้เบื้องหลัง มือเล็กกำแน่นจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ ดวงตาจ้องแผ่นหลังนั้นเขม็ง ฉายประกายวาววับน่ากลัว ตอนนี้เขาอาจยังไม่มีกำลังมากพอที่จะควบคุมอีกฝ่าย แต่ในอนาคตเขาต้องทำให้ได้แน่
 
แค่คิดว่าบุคคลที่หลงใหลชื่นชม สักวันต้องตกอยู่ในกำมือของเขา อารมณ์ขุ่นมัวตอนแรกหายไปเป็นปลิดทิ้ง เหลือเพียงแววตาหมายมาด
 
คนถูกตั้งเป็นเป้าหมายกลับไปหาน้องชายด้วยรอยยิ้ม แล้วพากันเดินซื้อของตามที่ตั้งใจไว้ไม่รู้เรื่องรู้ราวเลยสักนิด
 
หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น รุจเงียบหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ พอไม่มีห่วงเรื่องมหาลัย ผมลงมือทำงานที่บริษัทเต็มตัว ชินกับผมทำงานอยู่แผนกเดียวกัน แทบอยู่กินกันตลอด 24 ชั่วโมง ต่างจากบัน ทางนั้นเรียนบริหารมาเพื่อสานต่อเจตนารมณ์ของพ่อ ยิ่งมีความฝันอยากทำเกมแหวกแนวด้วยแล้ว เจ้าตัวเลยพยายามอย่างหนัก
 
ไม่ว่าจะศึกษางานบริหาร ติดต่อกับเครือข่ายอื่นเพื่อให้เกมสามารถสร้างได้อย่างรวบรื่น ต้องอย่าลืมว่า เกมแนวสมจริงไม่ใช่พึ่งแต่โปรแกรมเท่านั้น ยังต้องมีนักประดิษฐ์สร้างเซฟเวอร์หลักและเครื่องเกมขึ้นมา รวมถึงอุปกรณ์ในการทำงานต่างๆ อีกทั้งยังมีเอี่ยวเรื่องการแพทย์ นักชีววิทยา นักธรณีวิทยา สำหรับสร้างโลกในเกม และอื่นๆ อีกสารพัด ทำให้บันทำงานหัวหมุนมากกว่าใครเพื่อน
 
ว่าตามหลักเกมนี้คงสร้างเสร็จภายในห้าปีไม่ได้แน่ แต่เป็นเพราะพ่อของบันปูทางมาก่อนแล้ว เหลือเพียงเด็กรุ่นใหม่ช่วยกันต่อยอดจนผลงานสำเร็จออกมา
 
เวลาผ่านไปเกือบปี ในที่สุดเกมเริ่มออกเป็นรูปเป็นร่าง ผม ชินและบันอาสาเข้าไปทดลองระบบในช่วงแรกสุดพร้อมกับทีมงานส่วนหนึ่ง เมื่อทุกอย่างพร้อม จึงเปิด Close Beta ให้ผู้เล่นที่ได้รับการคัดเลือกเข้าไปโลดแล่นภายในเกมเป็นกลุ่มแรก
 
Close Beta นี้คือการทดลองเล่นเกมโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้นในระยะเวลาที่กำหนดไว้ เพื่อเช็คความรู้สึกของผู้เล่นที่มีต่อเกม และตามแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ เมื่อทุกอย่างพร้อม 100% ถึงจะเปิดให้เล่นเกมอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ที่สำคัญคือ คนที่เข้าไปเล่นได้มีจำนวนจำกัด ส่วนคนที่หมดสิทธิ์ต้องรอเกมเปิดอย่างเดียว 
 
เหล่าผู้สร้างพากันตื่นเต้นแทบจะแย่งกันเข้าไปเล่นเกม เพื่อตัดปัญหา ผมเลยแบ่งคนเป็นกลุ่ม ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันทำหน้าที่ อย่างกลุ่มผู้ดูแลระบบจากภายนอกและภายในเกม กลุ่มพนักงานที่ต้องเป็นตัวละครชาวบ้านในเกมและกลุ่มที่เข้าไปทดลองเล่นพร้อมกับผู้เล่นคนอื่นๆ
 
ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น กว่าจะถึงคิวเข้าไปลองเล่นชาวบ้านชาวเมืองเขาเริ่มต้นกันไปถึงไหนแล้วก็ไม่ทราบ
 
“เมื่อไหร่จะเริ่มสักที ฉันตื่นเต้นจะแย่อยู่แล้ว”
 
นายบันว่าที่ประธานบริษัทคนต่อไประริกระรี้อยู่ในห้องพักของเหล่าพนักงานระดับสูง
 
“เหลืองานตรงนี้อีกนิด ไม่เห็นต้องรอ นายเข้าไปก่อนเลยก็ได้นี่” ผมพูดแกมรำคาญ ขณะมือรัวพิมพ์บนแป้นพิมพ์โปร่งแสง ดวงตามองหน้าต่างที่ถูกเรียกขึ้นมารอบตัวฉายขึ้นมาจากอุปกรณ์สุดไฮเทค ข้อมูลมากมายไหลผ่านไม่ต่างจากสายน้ำ ทำให้คนมองชักตาลาย
 
“พวกเราอุตส่าห์ร่วมแรงร่วมใจกันมาทั้งที ฉันเลยอยากเล่นพร้อมกัน” ชายร่างสูงใหญ่บ่นอุบ ทรงผมสุดแนวในอดีตถูกเปลี่ยนเป็นทรงธรรมดาที่ยังคงไว้ซึ่งความหล่อเหลาตั้งแต่เริ่มทำงานจริงจัง
 
“งั้นก็เลิกบ่นซะ” ชินปรายตามอง บันยอมปิดปากเงียบไม่กล้ารบกวนเพราะเกรงเจอบาทาจิ้งจอก
 
พอสหายทั้งคู่เสร็จงานปุ๊บ ลูกชายเจ้าของบริษัทรีบลากทั้งคู่ไปทันที เพื่อแยกย้ายกลับห้องพักในบริษัทของตัวเอง จะได้เริ่มเล่นเกมอย่างที่ตั้งใจไว้
 
ชินเลือกนอนห้องเดียวกับผม เราอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าหยิบเครื่องเกมดีไซน์แจ่มมาสวมหัว ดวงตาปิดลงเข้าสู่เสมือนจริง
 
เสียงต้อนรับเข้าเกมกับโฆษณาถูกตัดทิ้ง เพราะผมไม่อยากเสียเวลากับเรื่องพวกนี้ ในเมื่อตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของผู้สร้าง ดูมานับครั้งไม่ถ้วนจวนจะเอียนตายอยู่แล้ว
 
สัมผัสว่างเปล่าจากห้องต้อนรับผู้เล่นเริ่มเปลี่ยนไปอย่างช้าๆ ถูกแทนที่ด้วยสายลมกับกลิ่นอายของธรรมชาติ ใต้เท้าอ่อนนุ่มความรู้สึกแบบเดียวกับตอนเราเหยียบบนดินด้วยเท่าเปล่า พอลืมตาอีกครั้ง รอบกายผมคือผืนป่ากว้าง ต้นไม้สูงใหญ่แผ่กิ่งก้านสร้างใบป้องกันแสงแดด เสียงสายลม เสียงนกร้อง ใบไม้เสียดสีให้ความรู้สึกเหมือนจริง มุมปากยกยิ้มอย่างพึงพอใจ
 
ก่อนอื่นต้องสำรวจตัวเองก่อนสินะ เสื้อผ้าที่ผมสวมเป็นชุดนอนแบบเดียวกับก่อนเข้าเกม คิ้วโค้งเริ่มขมวดมุ่น
 
“แย่จริง ดันลืมว่าเกมนี้พวกเราเป็นคนสร้าง ใส่ชุดแบบไหนเข้ามาก็สภาพนั้น เพราะเจ้าบันมันเร่งแท้ๆ” มือเรียวกดเปิดหน้าต่างสถานะตัวเองขึ้นมาสำรวจดู
 
ชื่อ : อาชวิน
Lv. 1
เลือด : 300/300
อาวุธ : ไม่มี
คำสาป : เทพบุตรซาตาน
คำสาป2 : ย้อนวัย
 
เดี๋ยว! คำสาปแรกผมไม่แปลกใจ ไอ้คำสาปที่สองมายังไง ต้องเป็นหนึ่งในสมาชิกทีมของผมเล่นตลกแน่ ผมรีบกดอ่านรายละเอียดทันที
 
คำสาป2 : ย้อนวัย
ข้อมูล : ผู้ที่ได้รับคำสาปนี้ จะทำให้อายุลดลงแบบแรนดอม
(คุณอายุลดลง 10 ปี)
 
“ก็ไม่เลวร้ายเท่าไหร่ ลดไปสิบ ตอนนี้เราอายุ 14 สินะ” ผมก้มมองมือตัวเองที่เล็กลงอย่างชัดเจน เสียงก็ยังไม่แตกหนุ่มเต็มที่ จากทุ้มนุ่มมันเลยดูอ่อนเยาว์ลง ชุดดันไม่หดตาม ผมเลยต้องพับเอาให้พอใส่ได้ เสื้อไม่เป็นปัญหาเท่าไหร่ กางเกงนี่สิ หันซ้ายแลขวา เห็นเถาวัลย์เส้นเล็ก ดึงมาใช้แทนเข็มขัดไปก่อน
 
ต่อไปก็สิ่งที่เพิ่มขึ้นมาในตัว ผมยกมือจับเขาแข็งหยาบบนหัวที่งอกออกมาสมเป็นซาตานแล้วไอ้เทพบุตรคงจะเป็นปีกสินะ ระบบปีกของเกมนี้แค่นึกถึงปีกจะงอกออกมาตามความต้องการ
 
ผมหลับตานึกถึงปีก
 
พรึบ!
 
ปีกนกสีขาวถูกกางออกกว้าง ขนาดใหญ่พอที่จะโอบตัวมิด มือลองยื่นไปสัมผัสขนปีกนุ่มนิ่มเสียจนอดที่จะเอาแก้มแนบไม่ได้ ภาพเด็กหนุ่มวัยละอ่อนยืนอยู่ท่ามกลางเมกไม้ ผิวกายขาว มือลูบไล้ปีกของตัวเอง เรือนผมสีทองอ่อน ดวงตาสีเทางดงาม ใบหน้าพออกพอใจเรียกรอยยิ้มบนเรียวปาก ผสานกับแสงตะวันที่ส่องเป็นเส้นลงมาอาบไล้ทั่วร่าง ในสายตาคนนอกภาพนั้นไม่ต่างจากเทวทูตตัวน้อย ขนาดเขาบนศีรษะยังถูกคนมองตีเบลอว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของเทพ
 
เหล่าจีเอ็มผู้รับหน้าที่ดูแลระบบอย่างสองแฝดกับบอดี้การ์ดหัวแดงประจำตัว แอบมองภาพหัวหน้าตัวเองโลดแล่นอยู่ในเกม วายุไม่ลังเลที่จะเซฟภาพที่เห็นรัวๆ ถึงขนาดอัดเป็นภาพเคลื่อนไหวเพื่อใช้ในการต่อรองซื้อขายกับจิ้งจอกบางตน น่าเสียดาย จิ้งจอกตนนั้นมัวแต่หัวหมุนอยู่ในป่า เลยอดเห็นภาพนี้ด้วยตาตัวเอง
 
“ทดลองบินหน่อยดีกว่า”
 
หลังชื่นชมปีกเสร็จ ร่างโปร่งย่อตัวลงเพื่อส่งแรงดีดให้ตัวเองลอยเหนือจากพื้น ก่อนใช้ปีกในการพยุงให้อยู่บนอากาศ คราแรกยังทุลักทุเลอยู่บ้าง เพียงไม่ถึงหนึ่งนาที เจ้าตัวสามารถบินได้อย่างคล่องแคล่วราวกับว่ามีปีกเช่นนี้มาตั้งแต่เกิด
 
แม้การบินขึ้นบนฟ้าโดยที่ยังไม่รู้ว่าบริเวณนี้มีอะไรบ้างถือว่าอันตราย แต่ก็ยังดีกว่าเดินงมหัวหมุนอยู่ในป่า ผมตัดสินใจบินขึ้นเหนือยอดไม้ใหญ่ ดวงตาสอดส่องสำรวจทั่วบริเวณ แขนยกกอดอก มือแตะปลายคาง สีหน้าครุ่นคิดไม่ต่างจากผู้ใหญ่ หากอยู่ในร่างปกติคงน่ามองสุดๆ แต่พออยู่ในร่างเด็ก มันชวนให้รู้สึกเหมือนเด็กน้อยพยายามเลียนแบบผู้ใหญ่ยังไงชอบกล
 
หลังจากกวาดสายตามองสำรวจโดยรอบ เห็นผู้เล่นบางคนเดินอยู่ในป่า มอนสเตอร์ระดับไม่สูงนักสมกับที่เป็นจุดเกิดของผู้เข้าเล่นใหม่ น่าทดลองสกิลอยู่เหมือนกัน จากที่ดูข้อมูลโดยละเอียดแล้ว ความสามารถของผมนับว่าเป็นนักเวทดีๆ นี่เอง เพียงแค่มันจะเป็นเวทสายมืดกับเวทธาตุแสงผสมคำสาป
 
ธาตุแสง
ชื่อ : Light Crystal
ชนิด : เวทมนต์
 Lv : 1 (พัฒนาตามเลเวลผู้ใช้และจะเพิ่มหนึ่งลูกทุกๆ 50 เลเวล)
รายละเอียด : คริสตัลแสง ใช้สำหรับส่องสว่างในความมืด ช่วยฟื้นฟูพลัง 5%
 
ชื่อ : Treat
ชนิด : เวทมนต์ 
 Lv : 1 (พัฒนาตามเลเวลผู้ใช้)
รายละเอียด : รักษาแผลบนร่างกาย ยิ่งเลเวลมาก ยิ่งรักษาแผลได้ดียิ่งขึ้น
 
ธาตุมืด
ชื่อ : Formless
ชนิด : เวทมนต์ 
 Lv : 1 (พัฒนาตามเลเวลผู้ใช้)
พลังโจมตี : 50
รายละเอียด : พลังแห่งความมืด สามารถสร้างรูปร่างตามความต้องการและจะหายไปทันทีหลังเสร็จสิ้นการใช้งาน
*เงื่อนไข ผู้ใช้ต้องมีสมาธิและจิตนาการชัดเจน จึงจะสร้างรูปลักษณ์ของพลังออกมาได้
 
เนื่องจากพลังสองธาตุอยู่คนละขั้ว ไม่สามารถหลอมรวมกันได้ ระหว่างใช้งานธาตุใดธาตุหนึ่ง จะไม่สามารถดึงพลังของอีกธาตุออกมาได้
 
อ่านความสามารถตัวเองแล้วอยากกุมขมับ ดูเผินๆ เหมือนจะดี พอมาคิดดูดีๆ แต่ละสกิลใช้ยากมาก ลองนึกภาพระหว่างสู้กับมอนสเตอร์อยู่ ต้องรวบรวมสมาธิเพื่อจิตนาการของสิ่งหนึ่งในการโจมตีฝ่ายตรงข้ามแต่ละครั้ง แถมระหว่างนั้นยังไม่สามารถเรียกสกิลธาตุแสงออกมารักษาได้ด้วย หรือถ้าเรียกออกมาก็ไม่สามารถโจมตีมอนสเตอร์ได้
 
รวมกับผมที่เป็นสายเวทย์เต็มตัว พลังป้องกันต่ำเตี้ยแค่มอนตดใส่ก็ตายแล้วมั้ง เห็นทีผมคงต้องรีบออกตามหาชินเป็นอันดับแรก หวังว่าเจ้านั่นคงได้คำสาปดีๆ ไม่ใช่คำสาปสวยแต่รูปจูบไม่หอมอย่างผมนะ
 
ตัดสินใจได้ผมออกบินหาเป้าหมายทันที มีบ้างที่ร่อนลงพื้นเพื่อถามเอากับผู้เล่นคนอื่นว่าเห็นคนที่มีรูปร่างลักษณะแบบชินรึเปล่า ซึ่งคำตอบส่วนใหญ่คือไม่เห็น และพยายามชักชวนผมเข้ากลุ่มเพราะหวังพึ่งพลังรักษาเต็มที่ แน่นอนว่าผมปฏิเสธทุกคน ขืนตอบตกลงไปไม่ต้องไปไหนกันพอดี ถูกลากไปตีมอนเก็บเลเวลแหง
 
พระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลงทุกที ป่านนี้ผมยังไม่เห็นแม้ปลายเส้นผมชิน ถึงตอนแรกจะเกิดแบบระบบสุ่ม แต่ไม่น่าจะไกลกันมากนัก คงไม่ใช่ว่าต่างคนต่างหากันจนสวนไปมาหรอกนะ สงสัยผมคงต้องหยุดอยู่กับที่ เรียกคริสตัลแสงออกมาลอยวนเวียนรอบตัวให้เป็นจุดเด่น ผลเสียคือมันล่อทั้งคนทั้งมอนสเตอร์
 
ผมบินตลอดเวลาไม่ได้ซะด้วย การขยับปีกเหมือนการขยับแขน พอทำมากๆ เข้ามันปวดเมื่อยไปหมด จำต้องพักบนกิ่งไม้หนึ่ง ถามว่าทำไมผมไม่ไปที่หมู่บ้านเอ็นพีซีน่ะเหรอ ผมลองถามจากผู้เล่นที่เข้ามาเล่นได้ระยะหนึ่ง เขาบอกว่าหมู่บ้าน NPC ที่ใกล้ที่สุดต้องใช้เวลาเดินเท้าตั้งหนึ่งวันกว่าจะถึง
 
ตอนนี้มืดแล้วด้วย ผมไม่อยากเสี่ยงไปเป็นเหยื่อมอนสเตอร์ตอนกลางคืน เอาไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยว่ากันอีกที
 
ขณะที่ผมหลับตาลงเพื่อพักผ่อน อาศัยน้ำจากลำธารและผลไม้ในป่ากินแก้หิว จู่ๆ มีเสียงเคลื่อนไหวจากพุ่มไม้ถัดจากต้นไม้ที่ผมอยู่ไม่ไกลนัก ผมหรี่ตามอง ส่งคริสตัลแสงลอยลงไปส่องดู เห็นดวงตาวาววับคู่หนึ่ง
 
สัตว์ในเกม? มอนสเตอร์? หรือว่าผู้เล่น??
 
ดวงตาสีเทาหรี่มองเตรียมพร้อมทุกเมื่อหากเจ้าสิ่งนั้นกระโจนออกมา ยังดีที่ผมเลือกต้นไม้สูงเป็นที่พัก อย่างน้อยๆ ต่อให้มันปีนต้นไม้ได้ กว่าจะมาถึงผมก็ยังมีเวลาตั้งตัวว่าจะสู้หรือหนี
 
ใครจะไปคิดล่ะว่ามันจะพุ่งเป็นเงาดำมาทางโคนต้น ใช้เวลาเพียงไม่กี่วิก็โผล่มาถึงจุดที่ผมอยู่ จังหวะที่คิดจะกางปีกบินหนีกลับมีมือข้างหนึ่งคว้าข้อเท้าไว้แน่น ผมสลายคริสตัลแสงทิ้ง เรียกพลังความมืดไร้รูปร่างมาสร้างเป็นมีดสั้นหมายจะซัดอีกฝ่ายหาจังหวะถอย
 
“เดี๋ยวก่อน!”
 
เสียงทุ้มต่ำตะโกนดัก พร้อมกับมีดสั้นเบนเป้าหมายไปปักบนต้นไม้แล้วสลายไป ภายในป่ามืดครึ้ม อากาศหนาวเย็น สายลมพัดหอบก้อนเมฆออกจากดวงจันทร์ แสงนวลส่องลงมาเผยให้เห็นร่างสูงโปร่ง เรือนผมสีดำมีหูสามเหลี่ยม ใบหน้าคมเข้มกับดวงตาราวสัตว์ป่าสะท้อนภาพผมอยู่ภายใน มือข้างนั้นค่อยๆ คลายออกจากการจับกุม ข้อเท้าผมกลับมาเป็นอิสระอีกครั้ง
 
ไม่ทันจะอ้าปากพูด เสียงแจ้งเตือนจากระบบดังขึ้นทำลายความเงียบ
 
ผู้เล่นวินพบกับผู้มีคำสาปตรงข้าม ส่งผลให้คำสาปลดวัยเริ่มทำการแรนดอมลดอายุอีกครั้ง...
ผู้เล่นวินอายุลด 4 ปี...
 
“เฮ้ย! / เวรเอ๊ย!”
 
เสียงสบถของเราสองคนดังสนั่น ผมมองมือตัวเองเริ่มหดเล็กลงพร้อมกับส่วนสูง แทบอยากกระอักออกมาเป็นเลือด คนตรงหน้ามีสีหน้าย่ำแย่ไม่ต่างกันนัก หลังการเปลี่ยนแปลงเสร็จ ผมรู้ตัวว่าตัวเองอายุเหลือเพียงสิบขวบและเสื้อที่หลวมจนน่าอนาถ ในขณะที่อีกฝ่ายกลับตัวสูงใหญ่ขึ้นอย่างไม่น่าให้อภัย
 
“คำสาปของนายคืออะไรชิน” ผมกอดอกถามเสียงเรียบระหว่างแก้เถาวัลย์ตรงกางเกงใหม่ให้มันรัดตามขนาดตัว
 
ไม่ผิดแน่ คนตรงหน้าคือชินที่ผมกำลังตามหาอยู่ ผมเรียกคริสตัลแสงออกมาอีกครั้งเพื่อให้เห็นหน้าเขาชัดๆ ใบหน้าคมเข้มดูมากวัยขึ้นกว่าเดิมหลายปี แฝงกลิ่นอายแบบผู้ใหญ่ผู้ผ่านโลกมามาก
 
“คำสาปแรกคือคำสาปจิ้งจอก ส่วนอันที่สองคือเพิ่มวัย ตอนเข้าเกมฉันเพิ่มมา 5 ปี นับรวมกับเมื่อกี้อีก 5 ตอนนี้ฉันอายุ 34”
 
“แก่”
 
คำเดียวกระแทกหน้า คนฟังไม่นำพา ยักไหล่ไม่สะท้าน ก่อนจะก้มลงอุ้มร่างเล็กเข้ามาในอ้อมแขน ส่วนหวงเป็นพวงยาวขนจิ้งจอกสีดำสะบัดส่ายไปมาเล็กน้อยอย่างอารมณ์ดี ผมเพิ่มชินในรายชื่อเพื่อนและชวนเข้าปาร์ตี้ เจ้าตัวกดรับทันที เกมนี้หากจะแอดเพื่อนล่ะก็ ต้องอยู่ต่อหน้าถึงจะสามารถเพิ่มรายชื่อเพื่อนได้ รวมถึงการชวนเข้าปาร์ตี้
 
“นายเป็นจิ้งจอกมองเห็นตอนกลางคืนสินะ ไปหาที่พักกัน ฉันว่าทำเลตรงนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่” หลังจากถูกจิ้งจอกยักษ์กระโจนใส่ไปหนึ่งรอบ
 
“ตามที่นายต้องการ”
 
ชินรับคำว่าง่าย กระโดดวูบเดียวย้ายไปต้นไม้อีกต้น พวกเขาเลือกต้นไม้สูงกว่าเดิม หากิ่งใหญ่สามารถนอนได้สบายๆ ขอแค่ไม่นอนดิ้นก็จะไม่กลิ้งตกลงไป ชินเปลี่ยนตัวเองเป็นหมาจิ้งจอกตัวเขื่อง นอนขดอย่างรู้หน้าที่ ให้ผมมุดเข้าไปนอนตรงส่วนพุงที่มีขนนุ่มอุ่น พวงหางยาวตวัดมาโอบคล้ายผ้าห่ม
 
“ตัวนายสะดวกดีชะมัด” ผมบ่น ชินหัวเราะในคอ เวลาอยู่ในร่างจิ้งจอกคนอื่นจะไม่ได้ยินเสียงชินพูด นอกจากคนที่อยู่ปาร์ตี้ด้วยกัน
 
“ก็ดีแล้วไง จะได้อำนวยความสะดวกให้นาย” ผมคิดไปเองรึเปล่า ทำไมเหมือนเห็นจิ้งจอกยิ้ม? ชินพูดต่อ “นายจะเอาไงต่อไป”
 
เจอหน้ากันแล้วต้องวางแผนชีวิต
 
“คงจะตีมอนสเตอร์เก็บเลเวลแถวนี้สักพัก ค่อยออกเดินทางเข้าเมือง บอกตามตรงฉันเลเวล 1 อยู่แบบนี้ไม่มีทางไปถึงเมืองโดยสวัสดิภาพแน่”
 
“นายลืมไปว่าตอนนี้ตัวเองตัวเล็กด้วยนะ”
 
ผมตวัดตาใส่คนแซว ไม่ติดว่าเจ้าจิ้งจอกเป็นเตียงกับผ้าห่มแสนอุ่นผมจะยันมันตกต้นไม้
 
“มีโอกาสพูดก็พูดไป อย่าให้ถึงทีฉันบ้าง” เทวดาตัวน้อยแสยะยิ้มในน่าหวาดหวั่นขนาดจิ้งจอกยังเผลอพองขนด้วยความสยอง ยอมสงบปากสงบคำทันที คนอย่างซาตานวินไม่ควรล่วงเกินเด็ดขาด ถ้ายังไม่อยากถูกเอาคืนอย่างเลือดเย็น ยิ่งคนมีประสบการณ์มาก่อนอย่างชิน ยิ่งไม่ต้องพูดถึง
 
ตอนนั้นเนียนลวนลามวินมากไปหน่อย สิ่งที่เจอคือโดนสั่งห้ามแตะต้องตัวแม้แต่ปลายเล็บ ในขณะที่อีกฝ่ายสามารถจับอะไรก็ได้ตามใจชอบ ชินแทบจะกัดลิ้นตัวเองตาย หวิดเสียตัวอีกต่างหาก ช่างเป็นความทรงจำอันแสนเลวร้าย
 
คนขู่เห็นจิ้งจอกสำนึกผิดไม่คิดไล่ต้อน ถามหาความสามารถของอีกฝ่าย มันน่ากลุ้มใจตรงที่ชินเองก็เป็นสายเวทเหมือนกัน แต่ความสามารถติดตัวของจิ้งจอกนับว่าใช้ได้อยู่ ประสาทสัมผัสไว ดวงตาเห็นในความมืด มีเล็บไว้ใช้งาน และที่แน่ๆ ถึกกว่าตัวเองชัวร์
 
ผมตกลงกับชินว่าคืนนี้เราจะพักผ่อน พรุ่งนี้ล่ามอนสเตอร์โดยให้ชินเป็นตัวชนผมเป็นฝ่ายลอบโจมตี ไว้ผมเริ่มชินกับการใช้พลังค่อยออกหน้าช่วยกันสังหารโหด มอนสเตอร์แถวนี้เท่าที่ผมสำรวจดูมีเลเวลตั้งแต่ 1-15 เก็บระดับสัก 10+ ก็ออกเดินทางไปเมืองได้ ระหว่างทางค่อยตีมอนไปพลางๆ
 
พอถึงเมืองสิ่งที่ผมจะทำคือ หาวิธีลบคำสาปที่สองเป็นอันดับแรกพร้อมหาเสื้อผ้าใหม่ให้พวกเราสองคน ใส่ชุดนอนเล่นเกมกันแบบนี้คงไม่ไหว
 
ว่าแต่ เหมือนผมลืมอะไรไปบางอย่างแฮะ ช่างมันแล้วกัน ขอนอนเอาแรงไว้ล่ามอนพรุ่งนี้ดีกว่า
 
 
อีกฝั่งของผืนป่า ชายคนหนึ่งยืนชอกช้ำอยู่ข้างซากมอนสเตอร์ที่ยังไม่ได้รับการชำแผละ ตลอดทางที่เขาผ่านมีแต่มอนสเตอร์ตายเกลื่อนดูน่าหวาดหวั่น หากเจ้าตัวไม่ทำท่าทางเหมือนผีดิบผู้น่าสงสาร
 
“วิน! ชิน! พวกนายอยู่ไหน ฉันตายแล้วเกิดเกือบสิบครั้ง ฆ่ามอนสเตอร์อีกฝูงทำไมยังไม่เจอพวกนายเลยล่ะ”
 
บันว่าที่ประธานบริษัทตะโกนเรียกชื่อเพื่อนในยามราตรี บ่นอุบอิบอย่างน้อยเนื้อต่ำใจ เจ้าพวกนั้นต้องหากันเองแล้วลืมเขาแน่นอน ให้ตายสิ อย่าให้เจอนะ พ่อจะซัดให้กระเด็น
 
“เจ้าพวกบ้า... บ้า... บ้า!!”
 
เสียงตะโกนเอคโค่ดังสะท้อนไปทั่วป่า จิ้งจอกกระดิกใบหูทำเมินไม่ได้ยิน พลางใช้หางตบปุๆ ให้ร่างเล็กที่นอกซุกขนนุ่มตรงพุงหลับต่อไม่ต้องสนใจเสียงแปลกปลอม

ออฟไลน์ Aoya

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 906
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-3
แกล้งทำเป็นไม่ได้นินเสียงบัน 555
ชินก็มีมุมร้ายกาจแบบเด็กๆ เหมือนกัน
วินน้อยน่าร้ากกกก

ออฟไลน์ nu-tarn

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 801
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-6
คนแบบรุจนี่น่ารำคาญมากอ่ะ
ตอนวินเป็นเด็กน้อย น่ารักมากเลยอ่ะ พอมาอยู่กับชินที่อายุเพิ่ม
รู้สึกเหมือนตาแก่กินเด็กเลย

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7579
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
งะ โหดร้ายทิ้งเพื่อน 5555

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ PiSCis

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 346
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-2
คู่ชินวินกลายเป็นโชตะไปซะแล้วววววววววววววววววววววว  :hao6: :hao7: :katai2-1:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด