เรื่องสั้นตอนเดียวจบ Call Me Teacher
“พันโทอรชุนครับ ท่านนายพลเรียกพบครับ” ผมหยุดทำงานตรงหน้าแล้วรีบไปพบท่านนายพลตามคำสั่งเรียกของท่าน ท่านมักจะมีงานที่จำเป็นต้องเรียกผมไปพบเสมอ คุณคงอยากรู้ว่าผมเป็นใคร มีความสำคัญกับกองทัพมากน้อยขนาดไหน ผมจะบอกให้ก็ได้นะครับ ผมพันโท อรชุน ลูอัส มัวร์ ผมมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าหน่วยกองข่าวสาร ผมไม่ใช่อัจฉริยะ แต่ผมอาศัยประสบการณ์ที่สะสมมากว่า 5 ปี ไต่เต้าจนสามารถ ดำรงตำแหน่งพันโทได้ แต่ว่าผมรู้สึกว่าผมอิ่มตัวจนผมอยากจะลาจากกองทัพเสียให้ได้แล้วกลับไปใช้ชีวิตกับ ภรรยาและลูกสาวที่รักของผม แต่มันก็คงเป็นแค่ความคิดแหล่ะครับ เพราะท่านนายพลยังมีงานมากมายให้ผมทำอยู่ ผมก็จำเป็นต้องอยู่ข้างกายท่าน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก ผมเคาะประตูพอเป็นพิธีแล้วเปิดเข้าไป
“สวัสดีครับท่านนายพล”
ผมทำความเคารพชายวัยกลางคนตรงหน้า ที่ดูยังไงก็อายุไม่เกิน 50 แต่ใครจะทราบว่าท่านอายุ เกือบจะ60 แล้วด้วยซ้ำ
“นั่งก่อนสิ พันโทอรชุน”
“ขอบคุณครับท่าน”
“เข้าเรื่องเลยนะ พันโทอรชุน ฉันรู้ว่านายก็อยากจะออกไปใช้ชีวิตกับครอบครัวเต็มทนแล้ว แต่ติดที่ฉันยังอยากให้นายเป็นลูกน้องแล้วก็มือขวาของฉันอยู่ แต่ฉันก็ห่วงความสุขของลูกน้องทุกคนของฉัน ฉันมีงานชิ้นสุดท้ายให้กับนาย ถ้านายรับปากว่าจะทำ ฉันจะอนุญาตให้นาย ปลดประจำการได้ทันทีที่รับงานนี้ แล้วก็ยังให้เงินก้อนใหญ่กับนายอีกด้วย”
ผมจ้องมองหน้าของท่านนายพลอย่างใช่ความคิด อิสระ เสรีภาพ และครอบครัว ผมกำลังจะได้สัมผัสมันอย่างเต็มตัว ประตูของทางกลับบ้านกำลังเปิดอ้ารออยู่ แต่มันกับทำให้ผมคิดหนักกว่าเก่า เพราะเรื่องที่ท่านให้ผมไปทำคงไม่สบายแน่ๆ และคงไม่ได้งานธรรมดาทั่วไปด้วย
“นายไม่เห็นจำเป็นต้องคิดมากเลยนี่น่า พันโทอรชุน มันก็แค่งานสอนหนังสือให้กับเด็กๆลูกหลานของฉันกับเพื่อนแค่ไม่กี่สิบคน หน้านายเครียดยังกับฉันสั่งให้นายไปตายยังไงยังงั่นเลย”
“งั่นฉันให้เวลานายตัดสินใจอีก 1 วันแล้วนายต้องมาให้คำตอบฉัน”
“ไม่ต้องหรอครับท่าน ผมตกลงรับงานนี้ครับ”
“เดี๋ยวพรุ่งนี้ ฉันจะให้พลทหารมารับนายไปที่บ้านของฉัน ระยะเวลาของงานนี้ก็ประมาณ 3 เดือนหรือไม่ถ้านายเกิดอยากจะต่อเวลาฉันก็ไม่คัดค้านนะพันโท อรชุน”
ผมลุกขึ้นแล้วทำความเคารพก่อนที่จะออกจากห้อง ก่อนที่ผมจะปิดประตูลง ผมเห็นรอยยิ้มแปลกๆของท่านนายพล แต่ผมก็เลือกจะไม่ใส่ใจมันและปล่อยมันผ่านไป
เมื่อก่อนในกองทัพมันซับซ้อนและน่าค้นหามากสำหรับผม แต่ตอนนี้มันไม่ต่างอะไรกับห้องสีเหลี่ยมแคบๆที่แสนจะน่าเบื่อ ผมคิดถึงและเป็นห่วงภรรยาสาวและลูกสาวตัวน้อยของผมมากกว่าความปลอดภัยของประชาชนเสียอีก
ผมมองรูปถ่ายของภรรยาที่ตั่งอยู่บนโต๊ะทำงาน พลางถอนหายใจ ผมไม่รู้จริงๆว่าเด็กๆที่จะไปสอนนั้นอายุเท่าไร ทั่งที่ต้องตรวจสอบงานที่นายพลเสนอให้ทุกครั้ง แต่ครั้งนี้ผมกับปล่อยข้ามเพราะมันเป็นแค่งานสอนหนังสือให้กับเด็กๆ
ผมคงคิดมากเกินไป มันก็แค่งานสอนหนังสือ จะเก็บมาคิดทำไมให้รกสมอง สิ่งที่ผมควรจะคิดถึงคืออิสรภาพของผมมากกว่า
เช้าวันนี้ผมตื่นสายเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ประจำการในกองทัพ ผมรู้สึกถึงกลิ่นไออิสรภาพที่ลอยอบอวนไปหมด มันทำให้ผมยิ้มเป็นมิตรให้กับลูกน้องทุกคนจนพวกมันทำหน้าฝันผวา
ตึก ตึก ตึกเสียงรองเท้าคอมแบทกระทบพื้นจนเป็นจังหวะทำให้ผมต้องหันไปมองที่มาของเสียง คือ พลทหารนายหนึ่งที่กำลังทำความเคารพผมแล้วพูดรายงานตรงหน้าผม
“พันโทครับ รถที่ท่านนายพลส่งมา จอดรออยู่หน้าอาคารแล้วครับ”
“อืม”
ผมตอบรับพอเป็นพิธีแล้วแบกสำภาระขึ้นหลังและออกเดินไปยังทางหน้าอาคารที่รถกำลังจอดรออยู่ โดยไม่ทราบเลยสักนิดว่าอิสรภาพที่ผมฝันถึงมันกำลังจะตายจากผมไปตลอดกาล
รถแล่นมาจอดที่หน้าเซฟเฮ้าส์หลังหนึ่ง ผมลอบมองเข้าไปข้างใน เซฟเฮ้าส์หลังนี้ที่เคยคุมตัวพยาน
และคุ้มครองหลักฐาน ที่เป็นความลับของกองทัพ มีแค่ไม่กี่คนที่รู้ว่ามีเซฟเฮ้าส์หลังนี้มีอยู่
ตึก ตึก ตึกเสียงลูกบาสที่กระทบพื้นทำให้ผมต้องเพ่งมองดูอีกครั้ง มีเด็กวัยรุ่น 4-5 คนกำลังเล่นบาสอยู่ในสนามบาสหน้าเซฟเฮ้าส์ ถ้าให้ผมเดาอายุเด็กพวกนั้น น่าจะประมาณ ไม่เกิน 18 เพราะดูพวกเขาเหมือนเด็ก มอ.ปลาย เด็กพวกนี้คงเป็นหลานๆของท่านนายพลสิน่ะ
ผมเลิกสนใจเด็กพวกนั้น แล้วรับสำภาระจากพลทหารและแบกมันขึ้นหลัง พลทหารเดินนำผมเข้าไปในบริเวณบ้าน ทางเดินเข้าเซฟเฮ้าส์ต้องผ่านสนามบาส ทำให้เด็กพวกนั้นหยุดเล่นแล้วหันมามองผมเป็นตาเดียว
หลังจากผมเก็บสำภาระเสร็จ ก็มองสำรวจภายในห้อง ที่มีเพียงเตียงขนาดคิงไซค์ วางอยู่กลางห้อง และตู้เสื้อผ้าที่ตั่งอยู่ข้างเตียง แทบจะพูดได้เต็มปากเต็มคำเลยว่า ห้องนี้มีเพียงตู้กับเตียง แต่ก็ดีนะ ผมชอบมันดูสะอาดตาดี แตกต่างกับห้องที่กองทัพนิดหน่อยถ้าไม่นับขนาดของห้องที่ใหญ่กว่าและ หน้าต่างที่ติดเหล็กดัด บรรยากาศห้องนี้ทำให้ผมนึกถึงห้องขังมากกว่าห้องพักเสียอีก
ก๊อก ก๊อก ก๊อก เสียงเคาะประตูทำให้ผมหยุดสำรวจห้องแล้วเดินไปประตูให้แขกที่ไม่รับเชิญหน้าห้องเสียอย่างไม่ได้
แอ๊ด!ตรงหน้าของผมคือเด็กผู้ชายผิวขาวรูปร่างค่อนข้างสูงใหญ่ยืนพิงประตูห้องตรงข้ามอยู่ เด็กนั้นมองผมด้วยสายตาที่ผมอ่านไม่ออก
“คุณเป็นคุณครูของพวกผมเหรอ”
“ก็อาจใช่ ถ้าพวกนายตกลงจะให้ฉันสอนน่ะนะ”
“เหอะ สอนหนังสือนะเหรอ”
“ไม่เอาน่าแอล นายอย่าชักใบให้เรือเสียสิ”
เสียงที่พูดแทรกทำให้ผมหันไปมองคนมาใหม่ เด็กผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่ผิวแทน มันอาจตัวไม่หนาเท่าผมแต่ผมรับรองว่าหมอนี้สูงกว่าผมแน่นอน เด็กนั่นอยู่ในสภาพเหงื่อโชกและทั่งเนื้อตัวของเด็กนั่นก็เหลือกางเกงเพียงแค่ตัวเดียว
“หึหึ ตกลง ตกลง พวกผมจะยอมให้คุณสอน แต่ว่า...”
“แต่ว่า อะไรล่ะ”
ผมมองเด็กทั่งสองคนอย่างสงสัย เด็กที่ชื่อแอลล้วงอะไรบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกง มันทำให้สิ่งที่ผมสงสัยนั้นกระจ่าง เข็มฉีดยาที่บรรจุยาไว้แล้ว มันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ ที่เด็กสองคนนี้กำลังจะทำ
ผมขยับตัวแล้วเอื้อมมือไปหมายจะปัดเข็มฉีดยา แต่ไอ้เด็กตัวสูงนั้นมันอาศัยจังหวะตอนที่ผมไม่ทันตั้งตัว ต่อยเข้าที่ท้องของผมเต็มแรง
“ผมว่า คุณต้องสอนตัวเองให้ระวังพวกผมให้มากกว่านี้นะครับ”
“พวกนายคิดจะทำอะไรกันแน่”
ผมพูดได้แค่นั้น เข็มก็ถูกกดลงบนต้นคอของผมทันที
“ไอ้สารเลว แกฉีดยาอะไรให้ฉัน”
“ใจเย็นครับครู”
ผมจำได้แค่ว่านั้นเป็นเสียงสุดท้ายที่ผมได้ยินก่อนสติจะดับวูบลง
“อ๊ะ...อ๊า..”ผมครางออกมาด้วยความเจ็บปวด และรู้สึกมึนหัวแถมยังปวดจี๊ดไปทั่งตัว
“รู้สึกตัวแล้วเหรอครับ คุณครู”
ผมรีบเรียกสติให้เต็มร้อยก่อนที่จะปรับสายตาให้ชัดแต่ภาพตรงหน้า มันเป็นสิ่งที่ทำให้ผมตะลึง เด็กผู้ชายหลายคนกำลังรุมจ้องมองมาทางผมเป็นตาเดียว
“พวกมึงคิดจะทำอะไร..อ่ะ !”
“ก็กำลังจะพาครูไป ทัวร์สวรรค์นะสิครับ”
“ฮ่ะฮ่ะ ดูดิ่ ไอ้แซม ครูเขาหน้าซีดหมดแล้วว่ะ”
“ครูครับ นี้ครูซีดเพราะกลัวหรือเสียวครับนี้ ฮ่าฮ่า”
หลายมือที่ลูบไล้บนตัวผม มันทำให้ร่างกายของผมเกร็งเขม็งไปหมด น่ารังเกียจจริง ๆ กับการกระทำของไอ้เด็กสารเลวพวกนี้
“กูบอกให้พวกมึงหยุด ไอ้สัส เอ้ย! พวกมึงมันเด็กเหลือขอ พวกมึงสารเลวยิ่งกว่าสัตว์”
“หึหึ..ปากดีจังครับ”
“ตอนแรก พวกผมจะพาครูไปทัวร์สวรรค์ แต่คงไม่ต้องแล้วมั่งครับ ปากแบบครูคงชอบแบบรุนแรงมากกว่า”
ผมจ้องลึกเข้าไปในตาของไอ้เด็กนั้น มันน่าขยะแขยงที่สุด สายของมันโลมเลียไปตามผิวกายของผม อย่างน่าสะอิดสะเอียน
ไอ้เด็กที่ชื่อแซมมันกระชากโซ่ที่ตรึงขาชองผมไว้อย่างแรง จนตัวของผมทับอยู่บนตัวของมันอย่างหวาดเสียว
แขนของมันกอดรัดตัวผมอย่างแรง ผมพยายามดิ้นรนและร้องขอให้พวกมันปล่อย
“ปะ ปล่อย ฉันบอกให้ปล่อย ไอ้เด็กสารเลว ปล่อยฉันสิว่ะ”
“ผมชอบเสียงของครูจังเลยครับ ร้องอีกสิครับ”
“หึหึ”
“ทนหน่อยสิครับครู”
“นั้นสิครับ”
“ใจร้อนเป็นเด็กๆไปได้นะครับครู”
“อีกสักพัก พวกผมจะพาครูไปชมนรกนะครับ”
สิ้นเสียงของพวกมัน มือหลายมือที่วนเวียนอยู่บนตัวก็เริ่มหยอกล้อกับร่างกายของผมมากขึ้น
ผมสะดุ้งสุดตัวที่มือหนาของพวกมันหยอกเย้ากับยอดอกข้างขวาของผม อย่างรุนแรง ยอดอกข้างซ้ายของผมถูกริมฝีปากของไอ้เด็กตัวสูงที่ผมเจอมันที่หน้าห้องของผม มันดูดดึงอย่างหิวกระหายทำให้ผมรู้สึกเสียวจนต้องเกร็งตัว
“อ๊ะ..อย่า”
“อย่าช้านะเหรอครับครู”
แก่นกายของผมถูกครอบครองด้วยริมฝีปากหนาของไอ้เด็กตัวขาว มันทั่งดูดดึงและใช่มือค่อยขยับจนผมปวดไปหมดทั่งแก่นกาย
จังหวะที่ผมกำลังเสียวซ่านสุดตัว มีมือหนามาบีบปากของผมให้อ้าออกกว้าง แล้วมันก็ยัดแก่นกายของมันเข้ามาในปากของผม จนคับปากของผมไปหมด มันไม่รอช้าขยับเข้าออกอย่างรุนแรงจนผมแทบสำลักและหายใจไม่ทัน
เผี๊ยะ“อ๊ะ! ...อ๊า ..อย่าให้โดนฟันสิครับ...อ่ะ...อย่างนั้นแหล่ะครับ....อ๊า...ปากของครูนี้โคตรสุดยอดเลยครับ....ซี้ด”
“อื๊อออ...อ๊ะ”
ผมร้องด้วยความเจ็บปวด เมื่อมีบ้างอย่างรุกรานเข้าในเข้าทางคับแคบของผม อย่างถือสิทธิ์ มันแช่นิ่งอยู่สักพัก แล้วเริ่มขยับจากช้าแล้วเริ่มเร็วขึ้น จากที่เจ็บและจุกผมกับรู้สึกเสียวที่ท้องน้อยขึ้นมาอย่างประหลาด
“อ๊ะ...”
จากหนึ่งนิ้วมันกับเพิ่มเป็นสองนิ้ว มันทำให้ผมครางอย่างน่าละอายดวงตาของผมเริ่มพร่าเลือน สมองขาวโพน ร่างกายทรมานปนสุขสม ผมไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน
แก่นกายใหญ่โตในปากของผมที่กำลังขยับเข้าออกมันเริ่มเร่งจังหวะให้เร็วขึ้นจนผมแทบหายใจไม่ทัน มือหนาที่เคยบีบปากของผม มันกับเลื่อนมือของมันไปจับศีรษะของผมไว้แล้วออกแรงกระแทกเต็มแรง มันกระแทกสามสี่ที แล้วครางลั่นอย่างเสียวซ่าน
“อ่า...ซี้ด..ปากของครูนี้แม้ง..อ๊ะ..ซี้ด..ครูครับผมจะแตกแล้วครับ..อ๊ะ..ขอแตกในปากครูนะครับ”แล้วมันเกร็งตัวกระตุก พ่นน้ำกามออกมาเต็มปากของผม
“ฮู้..ปากของครูแม้งดีเป็นบ้าเลยว่ะไอ้แอล”
มันยังคงแช่แก่นกายที่เริ่มอ่อนตัวไว้ในปากของผมแล้วบีบคางของผมเหมือนบังคับให้ผมกลืนน้ำกามของมันลงไป ผมเลี่ยงไม่ได้ จำใจกลืนลงไป รสชาติคาวของมันยังคาวคลุงอยู่ในปากของผม จนอยากจะอาเจียน
“แต่คงสู้ของกูไม่ได้หรอกไอ้นิว ดูดิ่ ตรงนั้นของครูแม้งตอดนิ้วกูเป็นบ้าเลยว่ะ ถ้าเป็นอย่างอื่นนี้คงเสียวพิลึก ฮ่าฮ่า”
คำพูดของไอ้เด็กตรงหน้า มันทำให้ผมหน้าร้อนกับคำพูดที่แสนจะหยาบคาย
“ไอ้นิวมึงมาแทนที่กูดิ่ กูอยากให้ครูดูดให้กูบ้างว่ะ ทนรอไอ้สัสแซมไม่ไหวแล้วว่ะ”
สิ้นเสียงของไอ้เด็กแอลไอ้เด็กตรงหน้าผมมันก็ถอนแก่นกายที่อ่อนตัวออกไปทันที
“แค่กๆ ยะ.อย่า...อุ๊บ!.”
ผมไอจนตัวโย และร้องห้ามมันแต่มันก็ยังยัดแก่นกายขนาดใหญ่เข้ามาในปากของผม จนผมต้องจำใจใช่มือและลิ้มฝีปากทำให้มันอย่างเลี่ยงไม่ได้
“อ๊ะ!...ดูดตรงปลายหน่อยสิครับครู..อ๊ะ..แบบนั้นแหล่ะครับ..ซี้ด!”
ผมหลับตาหนีภาพใบหน้าเหยเกยของไอ้เด็กแอล แต่ก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อรู้สึกเย็นวาบที่ช่องทางคับแคบที่มีนิ้วคาอยู่
“อ๊ะ!..อ๊ะ...”
“สามนิ้วแล้วนะครับครู ถ้าเอานิ้วออกไปแล้ว ผมขอใส่อย่างอื่นเข้าไปในตัวครูได้ไหมล่ะครับ ฮ่าฮ่า”
ผมรู้สึกหน้าร้อนกับคำพูดต่ำๆของไอ้เด็กนั้น
“ครูครับ ผมขอยืมมือครูหน่อยนะครับ”
สิ้นเสียงของมัน มือของผมก็ถูกบังคับให้กำรอบแก่นกายที่แข็งตัว มือของมันก็กำรอบมือผมเพื่อบังคับให้ผมขยับรูดมือตามอารมณ์ของมัน
“อ๊ะ..ซี้ดดดด!”
“ไอ้สัสนิค ไหนบอกไม่เอาผู้ชายไงว่ะ ตะบะแตกเหรอมึง ฮ่าๆ”
“เหอะ ก็ครูเขายั่วกูก่อนนิหว่า ผู้ชายเหี้ยไร น่าเด้าชิบหาย”
ตอนนี้ร่างกายของผมถูกใช่เป็นเครื่องบำบัดกามของพวกเด็กพวกนี้ ผมไม่น่าพลาดเลย เพราะคิดว่าพวกมันเป็นเด็ก ไม่มีพิษสงอะไร แต่สุดท้าย พวกมันร้ายยิ่งว่างูเห่า ทั่งรัด ทั่งกัด ทั่งดูด ไอ้พวกงูนรกสารเลว
“ผมจะเข้าไปในตัวครูแล้วนะครับ..อ๊ะ..แน่นเหี้ยๆ..เลย..อ๊า..ซี้ดดด!..ครู..อ๊า”
“อ๊ะ..ซี้ดด!. โอ๊ะ!..โอ๊ยยย!”.
ช่องทางคับแคบของผมคงจะปริแตกแล้วแน่ๆ ผมได้แต่ครางด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสกับบาดแผลทางช่องทางลึกลับนั้น แต่ถึงผมจะเจ็บปวดเจียนตายแค่ไหน มือและปากของผมก็ยังต้องปรนเปรอแก่นกายของพวกมันที่ยังคงบังคับให้ผมครอบครองด้วยปากและมืออย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“อ๊ะ..จะขยับแล้วนะครับครู..อ๊ะ..อ๊า..ซี้ด..ฟิตเหี้ยๆ..อ๊า......แม้งเอ้ย...ซี้ด!....อ๊า...ตอดจนของกูจะแตกเลยว่ะ”
“ไอ้สัสแซม...อ๊า...อ๊ะ..อย่ามาอ้าง...ซี้ด!...มึงมันไก่อ่อนนี้หว่า..อ๊ะ.อ๊า..แค่นี้ก็จะแตกแล้วเหรอ”
“พวกมึงเบาๆมือกับครูเขาหน่อยก็ดีนะ เดี๋ยวครูเขาจะแตก.....หักไปเสียก่อน ฮ่าๆฮ่าๆ”
ผมได้แต่มองพวกมันตาขวาง ร่างกายของผมถูกพันธนาการด้วยร่างกายของพวกมัน และไฟราคะที่พวกมันได้สุมไว้จนร่างกายของผมร้อนระอุจนกายจะแตกเสียให้ได้ แม้งกระทั่งคำพูดหยาบคายของพวกมันกับกระตุ้นอารมณ์กระสันของผมให้รุนแรงยิ่งขึ้น
ผมช้อนตามองไอ้เด็กตัวขาวที่ผมใช่ปากกับแก่นกายของมัน ใบหน้าที่เหยเกยของมันทำให้ผมกล้ามากขึ้น เหมือนกับผมอยู่เหนือกว่ามัน ผมค่อยๆใช่ลิ้นหยอกเย้ากับแก่นกายที่ร้อนจนเหมือนจะปริแตกของมันและดูดดึงอย่างหิวกระหายให้รสกาม
“อ๊า...อ๊ะ..ครูจะ..อ๊ะ.เก่งเกินไปแล้วนะ...ซี้ด..ผมจะ..อ๊ะๆ..แตกแล้วนะ..ครับ..ซี้ด..เร็วกว่านี้..อ๊า...ซี้ด!..อีกได้ไหมครับครู”
ผมเร่งจะหวะการดูดดึงและหยอกเย้าให้เร็วจนรู้สึกถึงของเหลวอุ่นวาบที่ไหลทะลักออกมาจากแก่นกายของไอ้เด็กตัวขวานั้น
“อ๊า....ปากครูแม้งสุดยอดจริงๆเลยว่ะนิว แม้งกูตัวเบาเลย ฮ่าๆไอ้แซมหน้ามึงอย่างเสียวอ่ะ จะแตกแล้วเหรอว่ะ ไอ้ไก่อ่อน ฮ่าๆ”
“อ๊า! มึงลองมาเป็นกูแล้วจะรู้..อ๊ะ!..แม้งทั่งแน่นทั่งฟิต..ซี้ด!....ผู้หญิงซิงๆยังเทียบไม่ติด...ครูครับ..”
“อ๊ะ!..เจ๊บ..”
ผมได้แต่ครางอย่างเจ็บปนเสียวซ่านอย่างห้ามไม่ได้กับจังหวะการกระแทกกระทั่นของเจ้าของแก่นกายที่อยู่ในร่างกายของผม
“อ๊า...ครูมีอารมณ์กับกูว่ะ..ซี้ด!..ดูดิ่...หน้าครูแม้งอย่างเอ็กแตก...”
ผมเผลอตัวสวนเอวรับจังหวะกระแทกของแก่นกายใหญ่ตัวที่อยู่ในตัวอย่างหลงลืมความผิดถูกที่อยู่ในสมอง ทุกอย่างในหัวของผมมันเริ่มว่างเปล่า ผมต้องการมากกว่านี้ ในหัวของผมมีแต่ภาพใบหน้าของเด็กพวกนั้นที่หิวกระหายในร่างกายที่น่าอายของผม
“ให้ผมช่วยครูนะครับ”
แก่นกายของผมถูกครอบครองด้วยปากและลิ้นที่ชำนาญอย่างคนผ่านสนามรักมานับไม่ถ้วน ผมได้แต่ครางอย่างสุขสมกับการปรนเปอที่หยาบกระด่างและรุนแรง จิตใต้สำนึกของผมแสดงท่าแท้ที่แสนน่ารังเกลียดของผมออกมา ผมมองพวกเด็กๆด้วยสายตาที่แสดงถึงแรงอารมณ์อย่างชัดเจน
เด็กพวกนั้นพลัดกันปลดปล่อยในร่างกายของผม มันเหมือนร่างกายของผมได้รับการเติมเต็มให้สิ่งที่ขาดหาย จิตใต้สำนึกของผมมีแต่ภาพการร่วมรักของผมกับเด็กพวกนั้น ผมเหมือนกับตกเป็นทาสที่ต้องการให้เจ้านายสนองความต้องการอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
“อ๊า...ได้โปรดเข้ามาในตัวฉันเถอะ.....”
“แทนตัวว่าครูสิครับ..หึๆ”
“ได้โปรดใส่มันเข้าในตัวของครูเถอะ...อ๊า...ซี้ด!...ใส่ในตัวของครูใส่ของพวกเธอทุกคนเข้ามาในตัวครูเถอะ...อ๊า..อ๊ะ”
THE END