ตอนที่ 8.1
ตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้พบกับวายุ ผมรู้สึกได้ว่าเขามักจะแผ่รังสีประหลาดที่ทั้งดึงดูดให้คนอยากเข้าใกล้และผลักไสคนให้ถอยห่าง
อาจเพราะหน้าตารูปลักษณ์ไร้ที่ติราวกับหลุดออกมาจากเทพนิยายทำให้ใครต่อใครไม่ว่าจะหญิงหรือชายต่างพากันหลงใหลในขณะเดียวกัน ภาพภายนอกที่สวยงามก็ฉาบความน่าเคลือบแคลงสงสัยเอาไว้ด้วยในเมื่อมีคนมากหน้าหลายตาอยากครอบครองหรือชิดใกล้ความสัมพันธ์เชิงโลกีย์กับใครต่อใครจึงได้มีตามมานับไม่ถ้วนหากมีคนเสนอจะตอบสนองก็คงไม่แปลก
ทว่าสำหรับผมแล้ว คนที่สามารถนอนกับใครได้ไม่เลือกหน้าแบบเขา
ผม เกลียดที่สุด
และความเกลียดนี้ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเนิ่นนานเท่าไร มันยังคงอยู่ คอยกัดกินเนื้อที่ในหัวใจผม
หนึ่งปีกับอีกสี่เดือน
ผมปฏิเสธไม่ได้ว่าตัวเองไม่สามารถขจัดความรู้สึกที่ครอบงำจิตใจออกไปได้แม้เพียงเศษเสี้ยว
ยิ่งความเกลียดมีมากเท่าไหร่ มันก็ยิ่งฝังตัวอยู่ในหัวใจผมลึกขึ้นมากเท่านั้น
แม้บางวันความรู้สึกนั้นจะเจือจางไป จนบางครั้งคิดว่าทุกอย่างที่เคยรู้สึกเป็นเพียงแค่ฝัน ทว่าวันนี้ ราวกับความรู้สึกได้ย้อนหวนกลับคืน
ทันทีทีเห็นวายุเดินเข้ามาในวิถีสายตา หลังจากที่ผมและเขาไม่ได้เจอกันตรงๆ มาตลอดปีกว่า รูปร่างความเกลียดที่เคยคิดว่ามันอาจจางหายไปแล้วกลับก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างชัดขึ้น
ผมไม่เคยลืมเจ้าของใบหน้าและร่างกายนั้น ไม่เคยลืมกลิ่นกายอันแสนดึงดูดนั่น
ไม่เคยลืมคนที่กำลังก้าวเท้าเข้ามาภายในอาณาบริเวณป้ายรถ และมาหยุดอยู่ด้านข้างผม
“อากาศดีจังน้า...”
อีกฝ่ายเอ่ยคำพูดออกมาลอยๆ ด้วยนำเสียงไม่รู้ร้อนรู้หนาวถึงจะพูดออกมาอย่างนั้นหากแต่เห็นได้ชัดว่าเขาเหงื่อโทรมกายด้วยไอแดดแรงจ้า
แค่เห็นก็เกิดความหงุดหงิดใจราวกับว่าร่างที่กำลังยืนอยู่ข้างใกล้นี้สามารถแผ่รังสีที่ทำให้ผมไม่พอใจได้ตลอดเวลา
ผมไม่ปิดบังอารมณ์ที่ขุ่นมัว ไม่ว่าใครก็คงต้องรู้สึกถึงความกดดันนี้
ดูเหมือนอีกฝ่ายจะจับความรู้สึกผมได้ ไม่นานนักเขาจึงเดินออกจากร่มและไปจุดบุหรี่ขึ้นสูบ
ริมฝีปากแดงเรื่อพ่นควันออกด้วยท่าทีผ่อนคลาย รวงควันสีขาวขุ่นม้วนตัวขึ้นเป็นสายในอากาศก่อนจะกระจายตัวออกไป ระยะห่างที่ไม่ไกลกันนัก ทำให้ได้กลิ่นบุหรี่ที่ออกจะรังเกียจเคลือบคลุมกลิ่นน้ำหอม กลิ่นที่หลอมรวมไม่อาจแยกจากกลิ่นเนื้อกาย ผสมผสานกลายเป็นกลิ่นที่ชวนนำพาให้สติหลุดลอยเข้าหาเจ้าของกลิ่นนั้น
วายุดูไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ไม่ยี่หระยังไงก็ยังคงไม่ยี่หระอยู่อย่างนั้น แม้กระทั่งน้ำเสียงยังฟังดูเสแสร้งเหมือนเคย
ทั้งใบหน้าขาวซีดทั้งริมฝีปากแดงที่เม้มสนิทหากแต่เย้ายวนดึงดูดเสื้อเชิ้ตที่ปลดกระดุมออกหลายเม็ดแล้วยังเปียกชื้นเหงื่อจนแนบติดไปกับร่างกายเนียนผ่องนั่นก็ด้วยทุกอย่างทำให้ผมเกลียด เกลียดมากจนอยากถอยห่างไปให้ไกลจากความสวยงามที่อาจลวงให้เข้าไปติดกับตกหลุมอีกครั้ง
และครั้งนี้...ผมรู้ว่าหากหลงไปกับสิ่งลวงหลอกอีก ผมคงหมดสิ้นหนทางหนีและคงขาดใจตายอยู่ในหลุมนั้นไม่มีวันได้กลับขึ้นมาอีก
เพราะงั้นความเกลียดที่ปรากฏชัดเจนขึ้น เป็นสิ่งที่ผมน้อมรับเอาไว้แต่โดยดี อย่างน้อยมันก็ทำให้ผมมั่นใจว่าเรื่องแบบนั้นจะไม่มีวันเกิดขึ้น
ทว่าเวลาที่วายุล้มทรุดลงต่อหน้า ความรู้สึกที่พยายามยึดติดก็ราวกับจะพังครืนลงตาม
ผมรับร่างเขาไว้ได้ทันก่อนที่เขาจะกระแทกลงกับพื้นคอนกรีต ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าเหตุการณ์อย่างนี้จะเกิดขึ้นได้
จะว่าไม่เคยคิดว่าวายุจะมีวันที่แสดงแง่มุมอย่างคนทั่วไปก็ใช่ ในสายตาผม วายุเป็นรูปปั้นไร้ความรู้สึก ไร้ชีวิตจิตใจ โลกภายนอกไม่มีทางไปกระทบความรู้สึกเขาได้
ผมคิดอย่างนั้น จนกระทั่งเวลาที่ประคองร่างขาวซีดไว้ในอ้อมแขน ความเกลียดกลับสั่นคลอน
ไม่ว่าจะเอ่ยเรียกวายุยังไงเขาก็ไม่ตอบรับ เขาดูเปราะบางกว่าที่ผมคิดไว้ ไฝเจ้าน้ำตาใต้ตาซ้ายทำให้รู้สึกว่ารูปปั้นที่สวยงามอย่างไรก็มีย่อมมีจุดด่างพร้อย ผิวขาวซีดราวกับจะโปร่งใสจนเห็นเส้นเลือดจางๆ ก็ทำให้รู้สึกว่าหากทำรุนแรงก็คงทำให้เกิดรอยฟกช้ำง่ายๆ เหมือนวันนั้น
ผมอยากให้เขาแค่แกล้งทำเป็นอ่อนแอ เพราะรูปปั้นอย่างเขาควรจะตั้งตระหง่านอย่างมั่นคงไม่ใช่หรือ
ไอร้อนแผ่จากรูปปั้นที่ ไม่ควร มีชีวิตจิตใจ จะโกหกตัวเองว่าวายุเป็นเพียงแค่ตุ๊กตาต่อไปก็คงได้ ทว่าความเป็นจริงนั้นตอกย้ำในสิ่งตรงกันข้าม
ถ้าหากรูปปั้นนี้ไร้ชีวิตจริง ผมก็ไม่ควรสัมผัสได้ถึงกระแสลมหายใจที่กำลังผะแผ่วอยู่ตรงหน้า
ถ้าหากรูปปั้นนี้ไร้ความรู้สึกจริง ผมก็ไม่ควรต้องกังวลเมื่อเห็นเขาหมดสติ
และถ้าหากคนมีเลือดเนื้ออย่างวายุสามารถทำตัวเองให้กลายเป็นเพียงแค่หุ่นไร้ชีวิตจิตใจได้จริง
คนมีเลือดเนื้ออย่างผม ก็ควรสามารถทำตัวให้เป็นเพียงแค่หุ่นที่ไร้ซึ่งความรู้สึกได้เช่นกัน
แต่ผมไม่ใช่หุ่น...และวายุเองก็...
-----------------
เวลาที่เดินมาถึงห้องสมุด ที่เป็นจุดนัดพบในการทำงานกลุ่ม วายุก็นั่งอยู่ก่อนแล้ว
ใบหน้าสวยราวกับรูปปั้นเทพเจ้าคลี่ยิ้มบางๆ เมื่อเห็นผม ช่างเป็นรอยยิ้มที่ชวนให้สงสัยในความหมาย ภายใต้ความงดงามนั้น จะแฝงอะไรเอาไว้บ้างไม่มีใครล่วงรู้ น่าแปลกที่ผมไม่ได้เกิดอารมณ์หงุดหงิดเหมือนทุกที
ผมเลือกนั่งลงฝั่งตรงข้ามเขา ไม่ได้ยิ้มหรือทักทายตอบ บนโต๊ะมีเพียงแค่ผมกับวา สมาชิกอีกสองคนยังไม่มาเพราะอาจติดฝนด้านนอกทำให้มาช้ากว่าที่นัดหมายไว้
ระหว่างที่รอ เราไม่ปริปากเอ่ยคำพูดใดแม้แต่คำเดียว วายุเหมือนจะเอ่ยอะไรบางอย่าง เวลาก็ผ่านมาพอสมควรเกินกว่าจะเอ่ยทักทาย ผมจึงคิดว่าที่เขาอึกอัก อาจจะเพราะเรื่องเมื่อวาน แต่สุดท้ายเขาก็ไม่พูดอะไร
หากเป็นเมื่อปีก่อน ผมคงไม่คิดมองหน้าเขาตรงๆ แต่ตอนนี้ผมกลับมองอย่างต้องการมองให้ทะลุว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่
ท่ามกลางความเงียบไร้สุ้มเสียง จะได้ยินก็แต่เพียงเสียงเครื่องปรับอากาศภายในห้องสมุด ที่ดังหึ่งๆ กลบเสียงพูดงึมงำของผู้คนที่นั่งอยู่ในละแวกใกล้และไกล
ขนาดแค่นั่งอยู่ไม่ได้ใกล้ชิดกันนัก กลิ่นหอมหวานจากกายอีกฝ่ายก็ยังลอยมาเตะจมูก อาจเป็นเพราะกระแสลมจากเครื่องปรับอากาศที่เป่าอยู่เหนือศีรษะได้พัดเอากลิ่นแชมพูจากเรือนผมเปียกชื้นมาทางนี้ จนทำให้ผมได้กลิ่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ชอบตากแดดไม่พอ นี่คงไปเดินตากฝนมาอีกล่ะสิท่า
ถอนหายใจแรงออกมาอย่างไม่ตั้งใจ จนวายุหันสายตากลับมามอง
สองสายตาประสานชั่วขณะ หากแต่อีกฝ่ายเริ่มขมวดคิ้วเข้าหากันอย่างอึดอัดกับสายตาผมที่มอง ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังสามารถเก็บสีหน้าและความรู้สึกเอาไว้ได้ดี
หน้ากากที่เคลือบความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ภายใน ดูท่าจะไม่กะเทาะออกง่ายๆ สวยงามและมั่นคงยังไง ก็ยังคงสวยงามและมั่นคงอยู่อย่างนั้น ไม่ต่างจากรูปปั้นอันเป็นผลงานประติมากรรมชั้นเลิศ ที่ทุกคนต่างชื่นชมหลงใหลในความสมบูรณ์ไร้ที่ติ หากแต่แท้จริงแล้ว เนื้อในภายใต้เกราะหินอ่อน อาจจะเปราะบาง ผุกร่อน และไม่งดงามเหมือนดั่งภายนอก
ไม่มีทางที่จะสมบูรณ์แบบ โลกนี้ไม่มีอะไรที่สมบูรณ์แบบ
ความเงียบครอบคลุมเราอีกเพียงชั่วครู่ ในที่สุดพ่อรูปปั้นหินอ่อนก็เอ่ยออกมา
“นี่หน้าฉันมีอะไรติดอยู่รึไง?”
คำแรกหลังจากไม่ได้พูดกันมาปีกว่า ไม่ใช่คำทักทายหรือขอบคุณ
ยามริมฝีปากอิ่มขยับเอ่ยเป็นถ้อยคำ ทำให้เริ่มสังเกตเห็นว่าเนื้อปากแดงเรื่อนั้นตัดกับผิวหน้าซีดเซียว ใบหน้าอีกฝ่ายขาวซีดจนเกือบจะเหมือนรูปปั้นไร้เลือดเนื้อเข้าจริงๆ มีแค่บางส่วนเท่านั้นที่ทำให้รู้ว่าเขาไม่ใช่รูปปั้น แล้วเสื้อเชิ้ตก็เปียกเล็กน้อย ยิ่งนั่งอยู่ใต้ลมด้วยแล้ว ไม่รู้ว่าเขายังนั่งแน่นิ่งอยู่ได้ยังไง
เมื่อผมยังไม่ตอบรับ วายุจึงถอนหายใจออกมาบ้าง เขาทอดสายตามองไปทางอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงสายตาผม น่าเสียดายที่ผมไม่อาจมองเห็นสิ่งที่แอบแฝงอยู่ในแววตาเขา เหมือนกับที่ไม่อาจล่วงรู้ถึงเนื้อในที่แฝงอยู่ภายใต้เปลือกนอกที่สวยงาม
บางสิ่งบางอย่างกำลังรบกวนจิตใจเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร ไม่รู้แม้กระทั่งว่ามันเกิดจากสาเหตุใด รบกวนจนผมต้องเอ่ยบางอย่างเพื่อหันเหความสนใจตนเองออกไป
“ฉันว่าเราควรย้ายไปนั่งทางโน้นนะ”
ไม่รีรอให้อีกฝ่ายได้ออกความเห็น ผมก็จัดการหยิบหนังสือและข้าวของของวายุเดินนำไปยังโต๊ะอีกฝั่งฟาก หากเดินมาจากทางเข้าห้องสมุด ผมคิดว่าสมาชิกอีกสองคนคงจะสังเกตเห็นโต๊ะนี้ได้ง่ายกว่า
“อยู่ดีๆ ทำไมถึงย้าย?”
คนที่เดินตามหลังมาเอ่ยถาม ผมยักไหล่พลางเลือกนั่งลงกับเก้าอี้ด้านที่รับลมจากเครื่องปรับอากาศโดยตรง
“นั่งตรงนี้สังเกตเห็นง่ายกว่า อีกสองคนถ้าเดินเข้ามาจะได้มองเห็นง่ายๆ”
“อ้อ...”
เขาถอนหายใจอีกครั้ง ก่อนจะนั่งลงตามยังฝั่งตรงข้าม แล้วเราก็จมอยู่ในห้วงแห่งความเงียบอีกครั้ง จนกระทั่งเวลาผ่านไปหลายสิบนาที สมาชิกอีกสองคนก็มาถึง คนหนึ่งคือสมาชิกผู้หญิง เป็นรุ่นน้องปีหนึ่ง ส่วนอีกคนเป็นรุ่นพี่ผู้ชายที่อยู่ปีสูงกว่า
ทั้งสองคนรีบเข้ามาขอโทษขอโพยที่มาสาย ฝนที่ตกหนักภายนอกทำให้การจราจรเคลื่อนไหวได้ไม่สะดวกดั่งใจ ทั้งผมและวายุไม่มีใครเอ่ยว่าอะไร คงเพราะไม่ใช่นิสัยและไม่อยากเสียเวลามากไปกว่านี้ ผมตัดสินใจเริ่มเป็นฝ่ายเสนอแผนการทำงานก่อน สามคนที่เหลือก็ดูท่าจะให้ความร่วมมือดีกว่าที่คิดไว้
ระหว่างที่ปรึกษางานกัน พอมองคนรอบข้าง ดูเหมือนว่าสมาชิกอีกสองคนต่างมองวายุด้วยสายตาประหม่า ทว่าในความประหม่านั้น ก็ยังบ่งบอกได้ว่าสายตาเหล่านั้นมีความหลงใหลได้ปลื้มแอบแฝงอยู่ไม่น้อย ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย คนคนนี้ก็ทำให้ทุกคนสนใจได้เสมอ ช่างเป็นคนที่ อันตราย เสียจริง
อันตรายมาก จนความหวาดหวั่นก่อตัวภายในใจผมอย่างไร้สาเหตุ
แต่อย่างไรผมก็ไม่อย่างฟุ้งซ่าน และไม่อยากให้เหตุการณ์ในอดีตเกิดขึ้นอีกซ้ำสอง
.
.
TBC
___