ตอนที่ 9.2
ผมนานั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารในห้องคอนโดของณพอย่างไม่เข้าใจความเป็นไปนัก เจ้าของห้องเชื้อเชิญผมอย่างยินดี ชวนผมคุยเรื่องที่มหาวิทยาลัยไม่หยุด ส่วนเพลิงที่ยืนเตรียมอาหารอยู่ที่เคาน์เตอร์ครัวก็นิ่งเงียบไม่พูดอะไร จนผมคิดว่าบางทีที่เพลิงไม่เอ่ยปากไล่คงจะเกรงใจเพื่อนเจ้าของห้อง
รู้สึกลำบากใจไม่น้อยที่ต้องเข้ามาอยู่ในห้องของคนไม่รู้จัก หลังจากนั่งได้ครู่หนึ่งและบทสนทนาที่เงียบไปเนื่องจากผมไม่รู้จะเอ่ยอะไร ผมก็ลุกขึ้นยืน คิดว่าจะขอตัวกลับเพราะนั่นคงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
“จะไปช่วยไอ้เพลิงใช่ไหม?” ณพเอ่ยขึ้น ริมฝีปากของเจ้าของห้องที่นั่งเท้าคางยกยิ้มประหลาด “งั้นฝากช่วยมันแทนทีนะ ฉันไปเล่นเกมรอ ถ้าเสร็จแล้วมาเรียกด้วย”
แล้วเจ้าของห้องก็ละจากโต๊ะอาหารไปยังโซฟาห้องนั่งเล่น เปิดทีวีและเครื่องเกมอย่างสบายอกสบายใจ ปล่อยให้ผมยืนมองตาค้าง
เมื่อผมหันกลับไปทางเคาน์เตอร์ครัว ก็เห็นเพลิงยืนมองมาด้วยใบหน้าบึ้งตึง ถึงจะรู้สึกลำบากใจแค่ไหนผมก็เดินไปทางเขา คิดว่าจะเอ่ยบอกว่าผมไม่ร่วมวงอาหารด้วย ทว่ายังไม่ทันเอ่ยอะไรเพลิงก็ผลักถุงอาหารสดมาทางผมเสียก่อน
“นายล้างแล้วหั่นผักไปแล้วกัน”
“......”
ผมยืนนิ่งอย่างตามไม่ทันนัก แต่เพลิงก็เดินละออกไปทำอย่างอื่น ผมมองถุงผักตรงหน้าด้วยความรู้สึกบอกไม่ถูก ทั้งณพและเพลิงปฏิบัติต่อผมแปลกๆ พวกเราไม่ได้สนิทกันขนาดจะชวนมาร่วมโต๊ะในห้องเช่นนี้เสียหน่อย แล้วผมก็เพิ่งจะเคยคุยกับณพเป็นครั้งแรกด้วย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเพลิงที่ความสนิทสนมเป็นศูนย์ ผมคิดว่าเขาจะไล่ตะเพิดผมแล้วด้วยซ้ำ
“ถ้าไม่อยากทำก็ไปนั่งรอที่โต๊ะก็ได้” เสียงของเพลิงทำให้ผมสะดุ้ง ผมหันกลับไปมองคนร่างสูงที่ตอนนี้สวมผ้ากันเปื้อนทับชุดนักศึกษา ช่างเป็นภาพที่คาดไม่ถึง จะว่าไม่เข้ากับเขาก็ไม่เชิง ผมเพียงแค่คิดว่าชาตินี้คงไม่มีโอกาสได้เห็นภาพของเพลิงแบบนี้มากกว่า
สุดท้ายผมก็ได้แต่ลอบถอนหายใจเบาๆ แล้วตัดสินใจว่าจะช่วยพวกเขา แล้วค่อยขอตัวกลับห้อง
ผมหยิบถุงอาหารสดไปที่ซิงค์น้ำ นึกถึงเรื่องที่ณพบอกว่าจะทำสุกี้ ในถุงจึงเห็นพวกผักชนิดต่างๆ ที่คนนิยมทานกัน ผมหยิบผักออกมาวางไว้ข้างซิงค์น้ำ ทั้งผักกาดขาว ผักบุ้ง และผักอย่างอื่นที่ผมนึกชื่อไม่ออก นอกจากนี้ก็มีเห็ดฟาง เห็ดเข็มทอง
เพลิงบอกว่าให้ล้างผักแล้วหั่น ผมจึงหยิบผักกาดมาแกะออกจากห่อก่อน แล้วเปิดน้ำล้างคราบดินออก ล้างทั้งหัวเสร็จก็เตรียมหยิบผักชนิดอื่นต่อ แต่ทันใดเพลิงก็เข้ามาประชิดผมแล้วเอ่ยขึ้น
“เคยล้างผักมาก่อนไหม”
พอผมไม่ได้ตอบอะไร เพลิงก็หยิบเอาผักกาดไปแกะออกเป็นใบๆ แล้วล้างให้ผมดู “นายต้องแกะออกก่อน แล้วค่อยล้าง” หลังจากนั้นเขาก็ให้ผมทำต่อ โดยที่ตนเองหยิบเอากะหล่ำปลีหัวใหญ่มาแกะออกและล้างด้วยความรวดเร็ว ด้วยความคล่องแคล่วขนาดนั้น แต่ใบกะหล่ำปลีกลับมีสภาพสมบูรณ์ ผิดกับผักที่ผมแกะที่ใบแตกๆ หักๆ ดูไม่สวยนัก
เพลิงนำใบกะหล่ำปลีไปลวกน้ำร้อน หลังจากนั้นก็นำมาห่ออะไรบางอย่าง ตามด้วยผสมน้ำจิ้ม และอีกหลายๆ อย่าง ขณะที่ผมแค่ล้างผักยังเก้ๆ กังๆ ไม่ต้องพูดถึงการหั่นผัก ที่หั่นแล้วแต่ละชิ้นมีขนาดเล็กๆ ใหญ่ๆ ไม่เท่ากันสักชิ้น
“อย่าบอกนะว่าไม่เคยหั่นผักมาก่อนอีกน่ะ”
จู่ๆ เพลิงก็เดินมายืนข้างผม ดูเหมือนเขาจะเตรียมทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว เหลือแต่ยกของไปวางที่โต๊ะอาหารเท่านั้น แม้น้ำเสียงเพลิงจะไม่เหมือนกำลังดุว่า แต่ผมก็รู้สึกตัวเองไร้ประโยชน์ไม่น้อย
“เดี๋ยวฉันทำต่อเอง นายยกของไปวางที่โต๊ะ แล้วไปเรียกณพ”
เพลิงดึงมีดไปถือไว้เอง แล้วลงมือหั่นผักที่เหลือเสมือนเป็นเรื่องง่ายๆ
ผมทำตามที่เพลิงบอกแล้วเดินไปที่ห้องนั่งเล่นอย่างไม่เข้าใจทั้งพวกเขาและตัวเอง เมื่อณพเห็นผมก็ละมือจากเกมแล้วหันมามอง
“เพลิงบอกให้มาเรียก”
ณพหยักหน้ารับรู้ ผมจึงรีบเอ่ยต่อ “เดี๋ยวเราจะกลับแล้ว”
“อ้าว ยังไม่ได้กินเลยจะกลับได้ไง”
“นายไม่เรียกเพื่อนคนอื่นมาแทนหรือ”
“ไอ้เพลิงมันไม่ชอบคนเยอะ”
ณพไม่พูดอะไรต่อ ลุกขึ้นจากโซฟาแล้วกอดคอผมเดินไปโต๊ะอาหารเสมือนคนสนิทกัน แล้วจับผมนั่งลงกับเก้าอี้
“ลองกินข้าวฝีมือไอ้เพลิงดูก่อนค่อยกลับ โอกาสแบบนี้ไม่ได้หาง่ายๆ นะวา” ณพยิ้มให้ขณะที่เดินไปนั่งฝั่งตรงข้าม
“ไม่...” กำลังจะเอ่ยว่าไม่เป็นไร เพลิงก็เดินพร้อมกับอาหารจานสุดท้าย ทำให้คำพูดของผมขาดตอน
เพลิงถอดผ้ากันเปื้อนออกแล้วพาดไว้กับพนักเก้าอี้ ก่อนนั่งลงที่เก้าอี้ข้างผม
ดูเหมือนว่าผมคงได้แต่ต้องเลยตามเลยเสียแล้ว
จะว่าไปคงหาโอกาสทานอาหารที่เพลิงทำไม่ได้ง่ายๆ อย่างที่ณพว่า แม้ว่าการทำสุกี้จะไม่น่าจะเรียกว่าทำอาหารก็เถอะ
เมื่อทุกคนนั่งลง ผมคิดว่าคงจะทานอย่างสุกี้ทั่วไป ประเภทเอาของทุกอย่างใส่ลงไปในหม้อ รอให้มันสุก อะไรเทือกนั้น ทว่าผมคิดผิดไป สุกี้วันนี้พิถีพิถันกว่าที่คิด เพลิงหยิบจานกะหล่ำปลีที่ห่อบางอย่างไว้และจานขนมจีบมาวางไว้บนถาด ก่อนจะนำถาดนั้นไปวางไว้บนหม้อสุกี้ที่ใช้นึ่งได้
ระหว่างที่รอให้สุก ณพก็ผสมน้ำจิ้มในถ้วยของตนเอง เจ้าของห้องหยิบนู่นผสมนี่ ส่วนเพลิงก็หยิบถ้วยพริกสดมาทางผม
“กินเผ็ดหรือเปล่า”
ขณะที่ไม่รู้จะตอบอะไร เพลิงก็ตักน้ำจิ้มที่เขาผสมเองใส่ถ้วยให้ผมตรงหน้า และให้ผมลองเติมเครื่องตามรสที่ชอบ
ผมรู้สึกประหลาดเหมือนไม่ได้อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง สมองเหมือนจะทำงานไม่ปกติ อดสงสัยไม่ได้จริงๆ ว่าทำไมท่าทีของเพลิงถึงได้เปลี่ยนไปขนาดนี้ เปลี่ยนจนผมทำตัวไม่ถูก สีหน้าก็ควบคุมให้นิ่งเฉยไม่ได้นัก
มือตักพริกสดใส่ถ้วยตัวเองด้วยคิ้วที่ขมวดมุ่น ตักหลายช้อนจนเพลิงยื่นมือมาหยุดผมไว้
“กินเผ็ดขนาดนี้เลยหรือ”
ผมมองไปที่ถ้วยของตนเอง และไม่ได้รู้สึกว่ามันเผ็ดขนาดนั้น
“คนจะกินเผ็ดยังห้าม เผด็จการว่ะ” ณพที่มองดูเหตุการณ์เอ่ยขึ้น
“ไม่ได้ห้าม แค่ถาม เห็นตักไปจนจะล้นถ้วย ไม่กลัวระคายกระเพาะหรือไง” โทนเสียงของเพลิงไม่เหมือนว่ากำลังถามผม ทั้งสายตาของเขาก็หันไปมองเพื่อนเจ้าของห้องด้วย
“อ๋อ ไม่ได้ห้าม แค่เป็นห่วงว่างั้น”
เพลิงไม่ได้ตอบอะไร เขาส่ายหน้าอย่างรำคาญเพื่อนตน ส่วนผมรู้สึกร้อนๆ ขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ของที่เพลิงนึ่งไว้สุกแล้ว เขานำออกมาวางเรียงไว้บนจาน แล้วเริ่มใส่ผักลงไป ทั้งณพและผมไม่มีใครหยิบจับอะไร เพราะพอณพทำท่าจะโยนหมูหมักลงไป เพลิงก็ส่งสายตาไม่พอใจใส่ จนได้แต่ปล่อยให้เพลิงลงมือทำอยุ่คนเดียว และไม่ทันไร อาหารที่สุกก็ถูกนำมาวางไว้ที่จานผม
“อึ้งจนกินไม่ลงเลยหรือวา ฮ่าๆๆ เดี๋ยวลองกินลงไปจะอึ้งกว่านี้อีก” ณพเริ่มคีบอาหารจิ้มกับน้ำจิ้ม “เสียดายวันนี้เป็นสุกี้ ไว้วันไหนมันทำอาหารไทยแล้วจะลงไปเรียก”
ผมคีบขนมจีบขึ้นมาเป็นอย่างแรก จิ้มกับซอสและลองหยิบใส่ปากทาน รสชาติของมันอร่อยกว่าที่ผมเคยทานตามภัตตาคารหลายๆ ที่ อร่อยจนน่าตกใจอย่างที่ณพว่า
“อร่อยไหม?” ณพเป็นคนเอ่ยถาม
ผมพยักหน้า พอเคี้ยวและกลืนลงคอหมดจึงเอ่ยยืนยัน
“อร่อย”
“ใช่ไหม? ตอนรู้ว่าหมอนี่ทำอาหารเก่งก็แทบไม่อยากไปหากินที่อื่นเลยเถอะ”
“ทานบ่อยหรือ” ผมหมายถึง...ณพได้ทานอาหารที่เพลิงทำบ่อยหรือ
ณพเหมือนจะตีความสิ่งที่ผมพูดครู่หนึ่ง ก่อนจจะตอบกลับ
“จะว่าบ่อยก็บ่อย จะว่าไม่ก็ไม่ แล้วแต่อารมณ์มัน เดือนสองเดือนครั้ง หรือถ้าวันไหนโชคดีไปเยี่ยมแม่หมอนี่ ก็ได้กินทั้งอาหารที่แม่และไอ้เพลิงมันทำ...แม่เพลิงเป็นครูคหกรรม สูตรอาหารนี่ตำหรับชาววังเชียวนะ เพลิงได้แม่มาเยอะ”
“เลิกพูดเวลากินข้าวได้แล้ว” เพลิงเอ่ยขัด
“ฮ่าๆๆ น่าเสียดายที่ไม่ค่อยมีคนได้ลองชิมฝีมือหมอนี่ บอกเลยว่าใครได้ไอ้เพลิงไปเป็นพ่อบ้าน สบายพุงไปทั้งชาติ”
ผมเผลอยิ้มออกไปน้อยๆ เพราะคงจะจริงอย่างที่ณพว่า เพลิงดูพิถีพิถันกับการทำอาหารมาก ทั้งยังไม่ยอมให้คนอื่นทำเสียขั้นตอน แล้วรสชาติของอาหารก็ออกมาอร่อย จนรู้สึกอิจฉาณพที่ได้มีโอกาสทานบ่อยๆ
“เฮ้ยๆ!” เสียงโหวกเหวกของณพทำให้ผมตกใจ “เชี่ย เมื่อกี้ยิ้มเปล่าวะ เสียดายถ่ายรูปไว้ไม่ทัน”
“เลิกหยอกเขาสักทีน่า” เพลิงส่ายหน้า แล้วหันมาทางผม “นายกินไป อย่าไปฟังณพมันมาก”
เพลิงหยิบขนมจีบที่พร่องจานผมไปแล้วมาให้ ตามด้วยอีกหลายสิ่ง
ผมรู้สึกปรับตัวไม่ทันเกินไป ไมคาดคิดเลยว่าจะได้มานั่งโต๊ะทานอาหารด้วยกัน จนเหมือนกับว่าหนึ่งปีที่ผ่านมาแค่ฝันไป
หรือจริงๆ แล้วบางทีตอนนี้ ผมอาจจะกำลังฝันไปก็เป็นได้
.
.