ตอนที่ 11
ผมมาร่วมโต๊ะอาหารกับครอบครัวของเพลิงอย่างไม่ทันตั้งตัว แม้จะรู้สึกเกร็งและลำบากใจที่ต้องพบเจอคนแปลกหน้า แต่มันก็ไม่แย่เกินไปนัก
ตั้งแต่วันที่ผมตัดสินใจเอ่ย ขอโทษ เพลิง ท่าทีของเขาที่มีต่อผมเปลี่ยนไป และเหมือนว่าคำขอโทษนั้น จะช่วยผ่อนความรู้สึกหนักอึ้งที่มีอยู่ในใจไปได้บ้าง
เพลิงเป็นผู้ใหญ่มากพอที่จะไม่กล่าวโทษอะไรผมอีก เขาปฏิบัติต่อผมเหมือนคนปกติ และออกจะดีกว่าตอนที่เราเป็นรูมเมทกันด้วยซ้ำ
ผมรู้ว่าไม่ควรคาดหวังอะไรตั้งแต่แรก และหนึ่งปีที่ผ่านมาผมได้เรียนรู้แล้วว่าผมไม่สามารถไขว่คว้าสิ่งที่ไม่อาจไขว่คว้าได้ ตอนนี้...เพียงแค่เท่านี้ก็นับว่าดีเพียงพอแล้ว แค่เราไม่ต้องเกลียดกันต่อไปก็พอแล้วจริงๆ
ขณะที่เพลิงกับแม่ของเขาช่วยกันทำอาหารอยู่ในครัว ผมก็ออกมานั่งอยู่ที่ห้องรับแขกกับพี่ชายของเพลิง จากที่สังเกต พี่ภูมิหน้าตาดุเหมือนกับเพลิง และดูเข้มงวดไม่น้อย เขาชวนผมคุยนิดหน่อย แต่พอถึงเวลาอาหารก็ขอตัวผมเดินไปเรียกภรรยาลงมาพร้อมกับลูกเล็กๆ
แค่มองดูก็รู้ว่าครอบครัวของเพลิงเป็นครอบครัวที่แตกต่างจากผมโดยสิ้นเชิง ครอบครัวปกติ ที่ผมไม่มีทางกลมกลืนไปกับพวกเขาได้
เมื่ออาหารเย็นจัดวางบนโต๊ะเรียบร้อย เพลิงก็ให้ผมไปนั่งข้างๆ เขา คนที่นั่งฝั่งตรงข้ามเป็นแม่ของเพลิงและพี่สะใภ้ ส่วนพี่ภูมิ ซึ่งเป็นพี่ชายของเพลิงละจากโต๊ะอาหารไปอุ้มลูกเล็กเพื่อให้ภรรยาทานอาหารได้สะดวก น้องชายของเพลิงกลับมาบ้านก่อนเวลาอาหารไม่กี่นาที โต๊ะอาหารขนาด 6 ที่จึงดูแออัดเล็กน้อยแม้ที่นั่งจะพอสำหรับทุกคนก็ตาม
ผมได้แต่นั่งทานอาหารเงียบๆ อาหารมื้อนี้อร่อยอย่างหาที่ติไม่ได้ พอนึกถึงอาหารที่ตัวเองทานประจำก็คิดว่าช่างแตกต่างจากอาหารครอบครัวแบบนี้เหลือเกิน
“วา...นี่ย่อมาจากเทวาปะพี่”
ผมชะงักช้อนที่กำลังตักข้าวเข้าปาก สายตาเหลือบมองไปยังน้องชายของเพลิงที่เอ่ยถามโพล่งขึ้นมา
“มาจากวายุ เหมือนนายนั่นแหละพาย”
เพลิงเป็นคนตอบแทน
“อ้อ” เด็กหนุ่มในชุดนักศึกษาฉีกยิ้ม
น้องชายของเพลิงดูนิสัยแตกต่างจากพี่ชายทั้งสองคนมาก ขณะที่พี่คนโตและคนกลางดูเอาจริงเอาจัง น้องคนสุดท้องให้ความรู้สึกว่าเป็นคนร่าเริงและรักสนุก
“ตอนแรกเห็นพี่ภูมิบอกพี่พาเพื่อนมาบ้าน ไอ้เราก็นึกว่าจะพาผู้หญิงมา...ใครนะพี่คนนั้นน่ะ น้ำหวานน้ำแดงอะไรน้า”
พายเอ่ยต่อ ทำหน้าทะเล้นใส่พี่ชายคนกลางไปด้วย
เพลิงนิ่งไปไม่ตอบน้องชาย จนพี่ชายเขาที่สลับมานั่งทานอาหารกับภรรยาเอ่ยขึ้นมา
“ถ้ามีแฟนก็พามาให้พี่ให้แม่รู้จักบ้างนะเพลิง”
คนถูกถามทำท่าไม่ใส่ใจ และผมก็คาดเดาไม่ถูกว่าเพลิงกำลังคิดอย่างไรกันแน่ ถึงได้เงียบไม่เอ่ยอะไรออกมา ไม่ตอบรับ ไม่ปฏิเสธ จนทำให้คิดว่าความสัมพันธ์ของเพลิงกับผู้หญิงคนนั้นคงก้ำกึ่ง ถึงจะไม่ใช่คนรัก แต่ก็ทำให้รู้สึกว่าไม่ใช่เพื่อนธรรมดา
หลังทานอาหารเสร็จสิ้น ผมเอ่ยขอช่วยเก็บล้างตามมารยาท แน่นอนว่าไม่มีใครยอมให้ผมล้างจานสักคน น้องชายของเพลิงรับหน้าที่นั้น ผมจึงรอเวลาอีกนิดหน่อยแล้วขอตัวกลับ
ถึงจะไม่รู้สึกแย่ที่มาเป็นแขกของบ้านนี้ แต่ผมปฏิเสธไม่ได้ว่าอึดอัด และแปลกแยก การต้องเข้าสังคมไม่ใช่สิ่งที่ผมถนัดจริงๆ
เพลิงยืมรถของพี่ชายเพื่อขับมาส่งผมที่รถไฟฟ้า ทีแรกเขาตั้งใจจะไปส่งผมที่คอนโดแต่ผมปฏิเสธ ซึ่งเขาก็ไม่ดึงดันอะไร
ท้องฟ้ามืดสนิทแล้วเมื่อรถขับออกมาจากซอยของบ้านที่ไม่รู้จัก แม้จะขับรถจากชานเมือง แต่การจราจรก็แออัดไม่ต่างจากตัวเมืองกรุงเทพฯ รถจึงเคลื่อนตัวไปอย่างเชื่องช้าแม้เวลาจะมืดค่ำแล้ว
เพลิงไม่เปิดวิทยุหรือเพลง เสียงที่ได้ยินจึงเป็นเสียงเครื่องปรับอากาศที่เร่งแรงจนรู้สึกหนาว แต่รู้สึกเช่นนั้นแค่ครู่เดียว คนขับรถก็ยื่นมือมาปรับลดแอร์ลง พลางเอ่ยขึ้น
“เหมือนฉันบังคับพานายมางานเข้าสังคมเลยนะ” เจ้าของดวงตาคมละจากภาพหน้ารถมาทางผมขณะที่เอ่ย
ผมนิ่งไป ก่อนจะหันไปมองแสงไฟจากท้ายรถหลายคันข้างหน้าที่ยังไม่ขยับเขยื้อน
“บ้านนายน่ารักดี อาหารก็อร่อย” ผมไม่ได้รังเกียจที่มาบ้านของเพลิง แค่ไม่ชินและกระอักกระอ่วนกับบรรยากาศแบบนั้นเท่านั้น และคงเพราะผมอยากเปลี่ยนเรื่องพูด จึงพูดต่อ “นายดู...เหมือนพี่มาก แต่ไม่เหมือนน้องชายเลย”
เพลิงขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยิน
ที่ว่าไม่เหมือน ไม่ใช่ว่าหน้าตาไม่คล้าย แต่นิสัยดูต่างกันอย่างสิ้นเชิงมากกว่า
“นายก็ดูเข้ากับคนอย่างน้องชายฉันมากกว่าพี่ฉัน”
ผมไม่รู้ว่าเพลิงต้องการสื่ออะไร และควรจะตอบอะไร จึงได้แต่เงียบไป พอดีกับที่รถเริ่มขยับตัวอีกครั้ง
ระหว่างที่รถเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ ผมก็เอ่ยถามเขาอีกเรื่อง “พ่อนายไม่อยู่หรือ” กว่าจะรู้ว่าไม่ควรถาม ก็ตอนที่สีหน้าของเพลิงเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้น
“ยังอยู่สบายดี ที่บ้านภรรยาใหม่”
น้ำเสียงของเพลิงไม่ได้บ่งบอกว่าไม่พอใจอะไร แต่ผมคิดว่าเขาคงไม่ได้รู้สึกดีนัก
บทสนทนาเงียบไปนาน เพลิงไม่ใช่คนช่างพูด ผมเองก็ไม่ถนัดเริ่มบทสนทนา เราจึงไม่ได้เอ่ยอะไรกันอีกจนกระทั่งรถมาจอดบริเวณรถไฟฟ้า
ผมเอ่ยขอบคุณเพลิง และเตรียมจะลงจากรถพร้อมหอบของพะรุงพะรัง ทว่าก่อนหน้านั้นเพลิงก็เอ่ยกับผม
“วา” หัวใจผมเต้นแรงเมื่ออีกฝ่ายเรียกชื่อ “พรุ่งนี้เจอกัน”
ผมพยักหน้า และลงจากรถ ยืนรอจนรถของเพลิงขับห่างออกไปจนลับสายตา จึงกลับมามองถุงอุปกรณ์ทำครัวในมือทีถืออยู่่ด้วยความรู้สึกประหลาด
หากไม่ได้คิดไปเอง กำแพงที่กั้นระหว่างผมกับเพลิงราวกับกำลังเบาบางลงทีละนิด ถึงอย่างนั้นก็จินตนาการไม่ออกเลยว่าหากกำแพงนั้นทลายลงทั้งหมดแล้วจะเป็นเช่นไร
.
.