ตอนที่ 11.2หลังจากเสร็จจากงานสอนเปียโน ผมก็กลับมาที่ห้องในช่วงบ่าย เพลิงส่งข้อความบอกผมว่าจะมาถึงในอีกไม่เกินหนึ่งชั่วโมง ผมจึงเริ่มเอาของที่ได้มาจากเพลิงเมื่อวานออกมาจากห่อและอ่านคู่มือไปพลางๆ
ก่อนที่จะกลับจากการสอน ผมแวะเข้าซุปเปอร์ของห้างและซื้อของสดกลับมาด้วย รู้สึกตื่นเต้นนิดหน่อยเพราะไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะเข้าคลาสทำอาหารได้ในวันหนึ่ง และครูสอนก็ไม่ใช่ใคร แต่เป็นเพลิง ที่หากเป็นเมื่อหนึ่งปีก่อน ย่อมจินตนาการไม่ออกแน่ว่าเขาจะเป็นฝ่ายมาหาผมที่ห้องนี้เอง
ขณะที่ผมนำเอาของสดเข้าตู้เย็น เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ดูเหมือนว่าเพลิงจะมาถึงก่อนเวลา ผมจึงละจากงานตรงหน้าลงไปรับเขาที่ชั้นล่าง
วันนี้เพลิงมาในเสื้อโปโลแขนสั้นสีเข้มและกางเกงยีน แม้เขาจะแต่งตัวเรียบง่าย แต่ด้วยท่าทางการเดินที่หลังตรง รูปร่างที่สูงสมส่วน และใบหน้าที่คมเข้ม ก็ส่งให้เขาดูโดดเด่นจนมักได้รับความสนใจจากคนอื่นเสมอ
นักศึกษาสาวที่มหาวิทยาลัย ทั้งรุ่นพี่รุ่นน้องเข้าหาเพลิงก็ไม่น้อย แต่คนที่มักจะอยู่กับเพลิงให้เห็น คือน้ำหวานคนนั้น
น้องชายของเพลิงก็เคยพูดถึงหวาน คงจะเคยเจอสองคนนั้นอยู่ด้วยกันมาก่อน และบางทีสองคนนั้นอาจจะมีสัมพันธ์อะไรกันมากกว่าที่คิด
ผมยิ้มให้เขาเล็กน้อย แล้วเดินนำเพลิงไปที่ลิฟท์ ขณะที่ยืนคิดอะไรเรื่อยเปื่อยระหว่างรอ เพลิงก็เอ่ยขึ้น
“เหม่ออะไรอยู่”
ผมรีบส่ายหน้า โชคดีที่ลิฟท์มาถึงพอดี อีกฝ่ายจึงไม่เซ้าซี้ถาม
หลังจากมาถึงชั้นที่อาศัย ผมก็พาคุณครูจำเป็นเข้ามาในห้อง เนื่องจากผมยังเก็บของที่ซื้อมาเข้าที่ไม่ดี ตอนถึงห้อง ของสดหลายอย่างจึงยังวางอยู่บนเคาน์เตอร์ครัว และเมื่อคนร่างสูงกว่าเห็น ก็เดินเข้าไปหยิบจับของขึ้นมาดู
“ซื้ออะไรมาบ้างล่ะ” เพลิงเอ่ยถาม
“ก็เท่าที่เห็น แล้วก็มีอยู่ในตู้เย็นนิดหน่อย”
“ข้าวสำเร็จรูป ไข่หนึ่งแพ็ค เนื้อหมู 500 กรัม นมจืด ซอสปรุงรส น้ำมัน...พริกสามแพ็ค”
“......”
“ไม่มีผักเลย”
“......”
แล้วเพลิงก็ยกยิ้มมุมปาก ศีรษะส่ายน้อยๆ พลางเอาของออกมาวางเรียง
“ถ้างั้นวันนี้ทำอะไรง่ายๆ อย่างเจียวไข่ หมูทอดแล้วกัน ดีไหม?”
ผมพยักหน้าหงึกหงัก เพราะต่อให้ทำอะไรอย่างอื่นที่ยากกว่านี้ ผมก็คิดว่าตัวเองคงไม่รอดอยู่ดี และถึงเป็นเมนูง่ายๆ อย่างที่เพลิงว่า ผมก็ไม่มีความมั่นใจเอาเสียเลย
แค่เพลิงให้ผมลองตอกไข่ใส่ชาม ผมก็ทำได้อย่างเก้ๆ กังๆ เปลือกไข่ลงไปผสมกับเนื้อไข่จนเพลิงต้องเป็นคนหยิบเศษออกมาให้ ตอนทอดก็ทำไข่ไหม้ไปหนึ่งด้าน เวลากลับข้างก็ทำไข่เละ หมูทอดยิ่งไม่ต้องพูดถึง ขนาดเพลิงคอยช่วยอยู่ข้างๆ ยังออกมากระดำกระด่าง น่าเห็นใจครูสอนที่มีนักเรียนไร้ฝีมือทางด้านนี้เสียจริง
เวลาที่เพลิงสอน เขาไม่ได้โมโหที่ผมราวกับจะทำทุกอย่างพัง กลับยิ้มขำและสอนอย่างใจเย็น ทว่าหลังจากทำอาหารเสร็จ ความมั่นใจของผมหายไปหมด เพราะอาหารที่ออกมาดูไม่ดีเอาเสียเลย
“ครั้งแรกได้ขนาดนี้ก็ดีแล้วเนอะ มาๆ มากินกันเถอะ”
เพลิงเอ่ยขณะจัดวางอาหารบนโต๊ะ เขาดูอารมณ์ดีผิดปกติจนน่าแปลกใจ บางทีฝีมือของผมมันน่าขำมากขนาดที่ทำให้เพลิงที่หน้าบึ้งตลอดเวลาอารมณ์ดีก็เป็นได้
อาหารบนโต๊ะ ที่อร่อยที่สุดคงเป็นข้าวสำเร็จรูป เพราะไข่เจียวค่อนข้างไร้รสชาติและออกจะติดขม ส่วนหมูทอดก็ทอดออกมาได้แข็ง และออกจะเค็มไปหน่อย แต่กับข้าวที่ไม่น่าจะหมดสุดท้ายก็ไม่มีเหลือสักอย่าง ผมรู้ว่าตัวเองทานไปนิดเดียว คนที่กินไปเยอะก็คือเพลิง ผมเชื่อว่าเขาคงหิวจนไม่รู้รสอะไร เพราะเห็นบอกว่ายังไม่ได้ทานอาหารกลางวันมาด้วย
คลาสเรียนทำอาหารจบลงอย่างไม่สวยงามนัก ผมหดหู่นิดหน่อย แต่ครูสอนก็เอ่ยอย่างให้กำลังใจ และคิดเมนูครั้งหน้าให้เสร็จสรรพ พร้อมจดลิสต์อาหารสดให้ผมซื้อเตรียมไว้ด้วย
“ไว้ครั้งหน้าลองเมนูใหม่ๆ วันนี้นายก็ทำได้ดีเหมือนกันนะ”
ผมไม่ค่อยเชื่อนัก จึงไม่ตอบอะไร เก็บจานชามไปล้างอย่างเงียบๆ เพลิงที่เห็นผมเงียบไปก็เดินเข้ามาใกล้แล้วเอ่ยต่อ
“แต่ละคนก็มีสิ่งที่ถนัดมากถนัดน้อย ถ้าให้ฉันเล่นเปียโนครั้งแรกก็คงเล่นไม่เป็นเพลงเหมือนนาย”
ผมเหลือบมองคนร่างสูงไปหน่อย แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ เพลิงเองก็เงียบไปครู่ ก่อนจะเอ่ย
“สอนหน่อยได้ไหม” เขาชี้นิ้วไปทางเปียโนอัพไรท์สีขาว ผมลังเลเล็กน้อย แต่ก็พยักหน้าให้ เมื่อเก็บล้างของเรียบร้อย ผมก็กลายเป็นครูสอนเพลิงแทน
ผมกับเพลิงย้ายจากครัวมานั่งกันที่เก้าอี้เปียโนริมหน้าต่างห้อง พอผู้ชายสองคนมานั่งเก้าอี้ตัวเดียวกันแล้ว ทำให้รู้สึกร้อนและเกร็งแปลกๆ แต่พอผมได้ลองกดไล่โน้ตไปบนคีย์ ความรู้สึกผ่อนคลายก็ค่อยเกิดขึ้น
นิ้วมือพลิ้วพรมไปตามแป้น และเอ่ยบอกตัวโน้ตให้อีกฝ่ายฟัง หลังจากนั้นก็ให้เพลิงทำตาม ผมลองหยิบโน้ตเพลงที่ใช้สอนเด็กหัดเล่นมาให้ลองอ่านด้วย เขาเรียนรู้ได้เร็วทีเดียว ออกจะดีกว่าผมเรียนทำอาหารเสียด้วยซ้ำ และผมก็บอกเขาไปตามตรง
“แบบนี้ดีหรือ? กว่าจะเล่นเป็นเพลงเพราะๆ แบบนายคงอีกหลายปี”
สะดุดใจนิดหน่อยตรงที่เพลิงเอ่ยเหมือนได้ยินผมเล่นเปียโนมาก่อน ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ถามออกไป
“นายชอบเพลงอะไรหรือ เล่นให้ฟังหน่อยได้ไหม”
เพลงที่ชอบมีหลายเพลง จึงเลือกไม่ได้ในทันที ผมถามเพลิงออกไปแทน “แล้วนายชอบเพลงอะไร ปกติคนอื่นขอให้เล่นเพลงที่ชอบมากกว่า”
ใบหน้าคมขมวดคิ้วน้อยๆ ดวงตาจ้องผมราวกับกำลังเฟ้นหาบางอย่าง
“คนอื่นนี่ใคร” น้ำเสียงที่เปล่งออกมเรียบเสียจนไม่คิดว่าเป็นคำถาม
สายตามองไปที่แป้นเปียโนสีขาวตัดดำขณะที่เอ่ยตอบ “แขกที่โรงแรมที่ทำงานอยู่”
เพลิงนิ่งไปครู่ ราวกับกำลังครุ่นคิด “ไปเล่นเปียโนที่โรงแรมบ่อยไหม” น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยเรียบนิ่ง
“อาทิตย์ละครั้งสองครั้ง”
“คราวหน้า ฉันไปดูที่นายเล่นที่โรงแรมได้ไหม”
“......”
ผมไม่รู้ว่าทำไมเพลิงถึงคิดจะไปดูที่โรงแรม จึงมองเขาอย่างสงสัยหน่อยๆ
“ถ้าลำบากใจ จะปฏิเสธก็ได้ นายน่ะ...ไม่ค่อยปฏิเสธคนอื่นเท่าไหร่”
“......”
“คราวก่อนที่เจ้าณพมาลากนายขึ้นไป หรือตอนที่หมอนั่นลงมาที่นี่ นายคงไม่ได้รู้สึกดีนัก” เพลิงหยุดเว้นช่วง แล้วถอนหายใจ
“หรือตอนที่ฉันให้นายไปที่บ้านด้วยกัน ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องฝืนใจ”
จริงอยู่ที่ผมลำบากใจ แต่ไม่ได้ฝืนใจขนาดนั้น ผมรู้ว่าตอนนี้เพลิงกำลังคิดว่าผมปฏิเสธคนไม่เป็น แน่นอนว่าผมไม่ใช่คนประเภททำตามใจคนอื่น
เหตุผลเรื่องณพ หรือเรื่องที่ผมไปบ้านเพลิง ไม่ใช่เพราะไม่กล้าปฏิเสธ แต่เพราะผมอยากเข้าใกล้เขาให้มากกว่านี้ มากกว่าที่เคยเป็นมาในอดีต ถึงจะรู้ว่าขอบเขตนั้นมีจำกัดแค่ไหน
ต่อให้เพลิงเปิดใจให้ผมมากกว่าเก่า แต่ผมรู้ว่าไม่มีวันมากอย่างที่ผมต้องการ ดังนั้นขอแค่ได้เก็บเกี่ยวความรู้สึกตรงนี้ แค่มีโอกาสได้อยู่ใกล้เขามากขึ้นกว่าที่ผ่านมาก็พอ
“ฉันไม่ได้ฝืนใจหรอก แค่ไม่ชินนิดหน่อย”
ผมตอบออกไป สายตายังคงมองไปที่เปียโนสีขาวตรงหน้า
“แล้วถ้าฉันไปเฝ้านายที่โรงแรมล่ะ จะฝืนใจไหม”
หมายถึงไปดูผมเล่นเปียโนน่ะหรือ?
ผมเหลือบมองเพลิงเล็กน้อย แล้วส่ายศีรษะ ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า ที่เห็นรอยยิ้มจุดขึ้นที่มุมปากของเพลิง ก่อนที่เขาจะทำหน้านิ่งเฉยตามเดิม
“ชอบกินของหวานหรือเปล่า” เพลิงเปลี่ยนเรื่องเอ่ย
“ชอบ”
“ชอบอะไร”
“อืม...ดาร์คช็อกโกแล็ต”
“งั้นคราวหน้าทำขนมกันไหม อย่างเช่น...บราวน์นี่”
พอพูดถึงขนม ผมก็รู้สึกลิงโลดขึ้น ถ้าถามว่าชอบกินข้าวหรือขนมมากกว่ากัน คำตอบคงเป็นขนม
“แต่คงต้องไปใช้เตาอบที่ห้องฉัน นายจะแปลกที่หรือเปล่าล่ะ”
คราวนี้เพลิงยิ้มอย่างคอนข้างจะเจ้าเล่ห์ จนผมขมวดคิ้วมองเขา
“ไม่ใช่เด็กสักหน่อย”
เพลิงไม่ตอบ แต่ยังคงยิ้มอย่างไม่ปิดบัง
“ตกลงจะให้เล่นเพลงอะไรล่ะ เพลงที่นายชอบน่ะ” ผมย้อนกลับไปคุยเรื่องเดิมที่ยังค้างคา
“ใจรัก...รู้จักหรือเปล่าเพลงนี้น่ะ”
“รู้สิ แขกที่ค่อนข้างมีอายุหน่อยที่โรงแรม ขอเพลงนี้อยู่บ่อยๆ” ซึ่งก็น่าแปลกใจที่คนรุ่นเพลิงจะชอบเพลงนี้
ผมเริ่มบรรเลงเพลงที่ไม่จำเป็นต้องดูโน้ตก็สามารถเล่นได้ จังหวะเพลงเนิบช้า ทำนองชวนให้ล่องลอยไปในความฝัน ยิ่งได้ยินเสียงทุ้มต่ำร้องเพลงคลออยู่ข้างๆ ก็ยิ่งชวนให้ไม่อยากตื่นจากฝันนี้เลย
ฟังเพลงใจรัก
https://www.youtube.com/watch?v=vN0KJvQJXL0 แบบเปียโนบรรเลง
https://www.youtube.com/watch?v=xwZPyfQEXYo TBC