บทส่งท้าย II เสียงร้องครืนของท้องฟ้าร้องเตือนว่าอีกเพียงไม่กี่อึดใจ หยาดน้ำนับร้อยนับพันจะพากันไหลรินเทครืนลงมา รีบสาวเท้าเร็วขึ้นเพื่อไปให้ทันรถประจำทางที่กำลังเคลื่อนตัวมาจอดลงที่ป้าย
เมื่อก้าวเท้าขึ้นในตัวรถได้ไม่นาน หยาดฝนก็ค่อยๆ ทิ้งตัวลงจากฟากฟ้า สายตาพลางมองบรรยากาศอึมครึมนอกรถ สองขาเดินไปนั่งลงยังเบาะที่ว่าง นั่งจนลมหายใจหอบเริ่มคงที่ มือก็หยิบเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมาตรวจดู มีข้อความจากเพลิงส่งมาให้ที่ยังไม่ได้อ่านอยู่หนึ่งข้อความ
[วันนี้ฝนตก อย่าลืมพกร่มมาล่ะ]
ดูท่าว่าผมจะได้อ่านข้อความช้าไปหน่อย ขึ้นรถมาอย่างนี้แล้วก็คงไม่เสียเวลาย้อนกลับไปตามที่อีกฝ่ายบอก ไม่รู้ว่าเขาจะพูดอะไรบ้างหากรู้ว่าผมไม่ได้ติดร่มมาด้วย จริงอยู่ที่พอสังเกตเห็นท้องฟ้าสีครึ้มตั้งแต่ก่อนออกจากบ้าน แต่ว่าการต้องเดินตากฝน มันก็ไม่เลวร้ายไม่ใช่หรือ?
เพลิงเคยบอกว่าผมเป็นพวกไม่ระมัดระวังตัวเท่าที่ควร ชอบปล่อยให้ตัวเองเปียกฝนจนบางครั้งก็ทำให้ไม่สบายหนัก
ใจหนึ่งผมก็เห็นด้วย หากแต่อีกใจก็ยังรู้สึกชอบเวลาที่ฝนตกจนอดไม่ได้ที่จะปล่อยให้ร่างกายซึมซับฝนพรำอยู่ดี และผมอาจจะชอบมากกว่าเดิมเสียด้วยซ้ำ ตั้งแต่ที่รู้ว่าจะมีใครอีกคนคอยอยู่เคียงข้างในยามที่ฝนตกแบบนี้
เวลาเกือบครึ่งชั่วโมงรถบัสก็จอดลงที่หน้ามหาวิทยาลัย พอก้าวขาลงจากรถ ก็พบว่าฝนซาลงกว่าเมื่อก่อนหน้า ทำให้ผมสามารถเดินฝ่าสายฝนไปได้อย่างสบายๆ
เดินมาหยุดยืนรอหน้าตึกเรียน อีกเพียงชั่วครู่ก็จะเลิกชั้น แล้วคนที่ผมต้องการพบก็คงจะเดินออกมาหลังจากนั้น ขณะที่ยืนรอ มือก็พลางยื่นรับหยดน้ำเย็นฉ่ำไปด้วย เสียงของฝนตกทำให้จิตใจสงบได้ดีกว่าเสียงใด และในวันนี้ สายฝนก็ทำให้ผมรู้สึกสดชื่นมากกว่าจะหมองหม่น
ท้องฟ้าที่คอยเป็นมิตรแท้ ที่เคยร่วมร่ำร้องไห้ไปกับเรา บัดนี้หยดน้ำจากฟากฟ้ากำลังร้องประสานเปนบทเพลงอันไพเราะ คอยโอบอุ้มความสุขให้คงอยู่ในหัวใจ
ถึงอย่างนั้นทั้งที่ปกติแล้วผมไม่เคยมีปัญหากับหยาดฝนมาก่อน แต่อากาศที่ชื้นแฉะกับลมที่กรรโชกแรง ก็ทำให้ผมหลุดจามออกมาเบาๆ
“บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าให้พกร่มมาด้วย”
น้ำเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นจากทางด้านหลัง ผมหันกลับไปมองเพลิงที่กำลังยืนกอดอกมองผม มือข้างหนึ่งของเขาถือร่มคันใหญ่เอาไว้ด้วย
ร่างสูงเดินเข้ามาใกล้ขึ้น เขายื่นร่มให้ผมรับถือเอาไว้ เพียงแค่เข้ามาใกล้ ก็ได้กลิ่นน้ำหอมประจำตัวของเอีกฝ่าย
มือใหญ่ลูบที่ศีรษะผมเบาๆ ปลายนิ้วค่อยๆ เกลี่ยปอยผมเปียกที่ปรกหน้าไปด้านข้าง
“หิวรึยัง?” คนตรงหน้าเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่ม
ผมพยักหน้า สายตามองใบหน้าคนตรงหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน
“อยากไปร้านไหนเป็นพิเศษรึเปล่า?”
“ไม่”
พอตอบไปอย่างนั้น เพลิงก็ยกมือสัมผัสริมฝีปากตัวเองอย่างครุ่นคิด พอนึกอะไรได้ เขาก็เริ่มดึงให้ผมออกก้าวเดินตาม
“ไปร้านอาหารฝรั่งเศสแถวโรงแรมที่นายทำงานแล้วกัน ชอบพาสต้าที่นั่นนี่” อีกฝ่ายเอ่ยพลางเดินนำไปเรียกรถ
สองเท้าก้าวเดินตามอย่างว่าง่าย ผมไม่เคยมีความสัมพันธ์กับใครในลักษณะนี้มาก่อน ความสัมพันธ์ที่บางครั้งก็ทำให้รู้สึกไม่คุ้นชิน บางครั้งก็ทำให้หวาดกลัวว่าจะทำให้เขาไม่พอใจ กลัวว่าเขาจะเบื่อ กลัวว่าจะทำอะไรไม่ถูกใจ กลัวว่าจะถูกเขา เกลียด อย่างที่เคยเป็นมา
แต่น่าแปลกที่ทุกครั้ง ความหวาดกลัวเหล่านั้น ก็ได้ถูกทำให้หายวับไปด้วยความแน่วแน่มั่นคงของคนที่ได้ชื่อว่าเป็น คนรัก
ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับเพลิงหลายอย่าง แท้จริงแล้วเขาเป็นคนที่อบอุ่น แล้วก็ไม่ได้ขี้โมโหอย่างที่เคยแสดงออก เขาออกจะเป็นคนใจเย็นและมีเหตุผลมากกว่าผม บางครั้งก็ออกจะแสดงความเป็นห่วงมากเกินไปราวกับว่าผมเป็นเด็กเล็ก ถึงอย่างนั้นความเป็นห่วงเป็นใยที่ได้รับ ก็ทำให้ผมรู้สึกดีทุกครั้ง
และเมื่อได้เป็นฝ่ายได้รับ ก็อยากจะได้รับอีกเรื่อยๆ ราวกับว่าเสพติดความสุขที่ได้มาเสียแล้ว และเมื่อเป็นฝ่ายได้ให้ ก็อยากจะให้อีกไม่รู้จบ ราวกับว่าผมเสพติดการทำให้อีกฝ่ายมีความสุข
ไม่น่าเชื่อว่า ความรัก จะทำให้คนเรากลายเป็นได้ทั้งฝ่ายที่ให้ เป็นได้ทั้งฝ่ายที่ตักตวงในคราเดียวกัน
“เพราะนายไม่เอาร่มมา ก็ต้องทนเบียดกันในร่มนี่จนกว่าจะเรียกรถได้นั่นแหล่ะนะ” เขากางร่มคันใหญ่ออกไปด้วย ก่อนจะดึงผมให้เข้าไปอยู่ใต้ร่มด้วยกัน
“ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรนี่”
แล้วผมก็คิดว่าร่มนี่ก็คันใหญ่มากพอสำหรับสองคนอยู่แล้ว
“จงใจไม่เอามางั้นสิ?”
“เปล่าสักหน่อย”
“เฮอะ หลงดีใจ นึกว่าจะอยากเบียดกันซะอีก”
“......”
พออีกฝ่ายแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาแบบนี้ ก็ทำให้ใบหน้าร้อนผ่าว ไม่ว่ายังไงผมก็ยังไม่เคยชินกับความสัมพันธ์แบบนี้จริงๆ นั่นแหล่ะ
คงมีอีกหลายอย่างที่ผมต้องปรับตัว เหมือนกับที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับฤดูกาลที่แปรเปลี่ยนไปอยู่ตลอด จากแสงแดดอ่อนเป็นฝนตกปรอย จากอากาศร้อนเป็นอากาศเย็น คงมีบ้างที่จะรู้สึกว่าปรับตัวไม่ทัน หรือบางครั้งก็คงอยากจะติดอยู่ในฤดูที่ตัวเองชอบนานที่สุดเท่าที่จะนานได้
แต่ยังไงแล้ว ไม่ว่าฤดูกาลจะเปลี่ยนแปลงไปยังไง ปรอยฝนจะหมุนเวียนตกลงมาอีกกี่ครั้ง ผมก็ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอีกต่อไป
เพราะว่าผม จะมีเขาคอยอยู่เคียงข้างในทุกๆ ฤดูกาล
.
.
เพลิงในวายุ
- อวสาน -
๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑
TALK: กรี๊ดดดด จบแล้วค่ะทุกคน >< ขอบคุณที่ติดตามเรื่องนี้มาตลอด และขอบคุณสำหรับทุกๆคอมเม้นต์นะคะ อาจจะไม่สามารถบอกชื่อคนอ่านทุกคนได้ แต่รับรองว่าได้อ่านทุกคอมเม้นต์แน่นอนค่ะ^^
เรื่องนี้ลงไว้หนึ่งปีกว่าๆ กว่าจะลงมาจนจบได้ก็หอบหืดเหมือนกันค่ะ คนอ่านเองก็คงอึดอัดเวลาอ่าน แต่สุดท้ายก็จบแล้วเนอะ >< มีคอมเม้นต์พูดถึงอนาคตของเพลิงกับวาหลังเรียนจบ คนแต่งเองก็มีคิดๆไว้เหมือนกันนะคะ แต่ยังไม่มีพลอตไว้เขียน อาจจะแต่งเป็นตอนพิเศษในตอนเรียนจบมาให้ทุกคนได้อ่านกันนะคะ ซึ่งคนเขียนเองก็คาดหนทางหลังเรียนจบของทั้งคู่ไว้ว่า อย่างวาก็คงจะเป็นนักดนตรีหรือครูสอนดนตรี ส่วนเพลิงจะทำอะไรได้นอกจากสอบเป็นข้าราชการ 55555 นี่คือที่เราจินตนาการไว้ค่ะ เพลิงที่เป็นข้าราชการ ตกดึกก็มารับแฟนที่เล่นเปียโนที่โรงแรมอะไรแบบนี้ โรแมนติกน่าดูค่ะ แต่ในสายตาคนรอบข้าง คงมองว่าขี้หวงชะมัดเลยแน่นอน
ถ้ามีโอกาส จะแต่งตอนพิเศษมานะคะ สำหรับเรื่องต่อไป คนเขียนจะไปเขียนเรื่องที่ค้างไว้ อย่างดวงใจรัตติกาลค่ะ (โฆษณางานอื่นซะได้) เรื่องนั้นแตกต่างจากเพลิงในวายุมากๆ เป็นแนวย้อนยุคไทย และขำขันเล็กน้อยค่ะ ไม่เครียดเท่าเพลิงกับวา หากสนใจแวะไปอ่านได้นะคะ
ขอกลับมาขายของเพลิงกับวายุต่อ
เรื่องนี้จะมีรวมเล่มกับสนพ.วันเดอร์วาย แอบเอาหน้าปกมาให้ดูค่ะ หน้าปกอันนี้คนเขียนชอบมากๆเลย มันละมุน แต่แฝงความดราม่าไว้ ซึ่งคิดว่าเข้ากับเรื่องมาก ยังไงใครสนใจ ฝากหนังสือแบบรูปเล่มด้วยนะคะ มีตอนพิเศษอยู่อย่างน้อย2-3ตอนค่ะ
แล้วพบกันใหม่ในโอกาสหน้านะคะ ^^
ขอบคุณทุกคนมากค่ะ
รัก
Yochan