ตอนพิเศษ Vega-1
เมืองเวกา เขตปกครองแบบชนเผ่าภายใต้พระราชาไอโอตา เป็นแผ่นดินกว้างใหญ่ไร้ทางออกทะเล และอยู่ถัดจากเมืองเหนือขึ้นไปทางทิศเหนือ
เมืองแห่งนี้อากาศหนาวเย็น แห้งแล้ง แม้จะมีแร่ธาตุอัญมณีที่มีค่า แต่สิ่งที่ชาวเมืองเวกาปกป้องไว้กลับเป็น "อิสระ"
สามารถอธิบายได้ว่า หากเมืองวันคือกฎระเบียบ เมืองบาสก์คือการทหาร เมืองเหนือคือเวทย์ดำ เมืองกริลล์คือทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ เมืองเวกาก็คือความเป็นอิสระ
เมืองเวกาประกอบไปด้วยชนเผ่านับร้อยชนเผ่า มิใช่หมู่บ้าน หรือกลุ่มบ้าน แต่เป็นชนเผ่าที่ต่อสู้แย่งชิงกันตั้งแต่ผลผลิต ทรัพย์สิน ไปจนถึงอำนาจ แม้พวกเขาจะต่อสู้กันมายาวนาน บ้างสูญหายไปแล้ว บ้างก็เพิ่งจะแยกตัวออกมาจากกลุ่มใหญ่ บ้างเพิ่งก่อตั้งขึ้นใหม่จากการรวมกลุ่มของชนต่างเผ่า แต่ก็มิได้หมายความว่าความขัดแย้งระหว่างกลุ่มจะเป็นเกณฑ์ตัดสินว่าเมืองเวกาคือความแตกแยก เพราะยังมีคำกล่าวว่า "ที่เมืองเวกา อย่าว่าแต่ผู้คนเลยแม้แต่ต้นไม้ที่ท่านเดินผ่านก็มิอาจวางใจได้"
เมื่อหลายปีก่อน พระราชาพระองค์หนึ่งของเมืองเหนือไปมีปัญหากับชนเผ่าชายแดนของเวกา ด้วยความที่เห็นว่าเป็นแต่เพียงชนเผ่าเล็ก ๆ ที่ยังมีปัญหาอยู่กับชนเผ่าเพื่อนบ้าน เมืองเหนือจึงส่งกองทหารไปปราบปราม แต่ผลที่ออกมากลับทำให้เมืองเหนือเสียหายอย่างหนัก เมื่อบรรดาชนเผ่าใกล้เคียงที่เห็นว่าเป็นศัตรูกันอยู่นั้น กลับมาจับมือร่วมกันกลายเป็นกองโจรแล้วแยกย้ายกันบุกจู่โจมเมืองเหนือ
ยังมีอีกเหตุหนึ่งที่ทำให้หลายเมือง ไม่ต้องการเข้าไปต่อกรกับบรรดาชนเผ่าเมืองเวกา ก็เพราะชนเผ่าเหล่านี้เลี้ยงภูติ
ภูติตัวเล็กมีปีก มีสีหลากหลาย รูปแบบหลากหลาย และย่อมมีฤทธิ์เดชหลากหลายเหมือนกับชนเผ่าที่เลี้ยงพวกมัน
ความที่มิอยากต่อกรด้วย มิได้แปลว่ากลัว หากแต่ไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยมากนัก เว้นก็แต่ชาวเมืองกริลล์ที่มีพรมแดนติดต่อกับชนเผ่าเมืองเวกา พวกเขามีการค้าขายกันตามปกติ และไม่เคยปรากฏข่าวที่ว่ามีความขัดแย้งกันเกิดขึ้น
ความลับหนึ่งที่ชาวเมืองกริลล์รู้กันเป็นการภายในก็คือ ภูติที่ชนเผ่าเวกาเลี้ยงไว้ไม่ฆ่ามนุษย์ แต่มันจะหลอกหลอนจิตใจของมนุษย์จนคลุ้มคลั่ง
แน่นอนว่าชนต่างเผ่าของเวกาต่างเรียนรู้ที่จะกำจัดภูติของอีกฝ่าย แต่บรรดาผู้ที่อยู่ในหมู่บ้านชายแดนเมืองกริลล์ก็รู้วิธีสกัดภูติเหล่านี้เช่นกัน แต่พวกเขามิได้เลี้ยงภูติ เนื่องด้วยมีผลต่อสัตว์เลี้ยง
สัตว์เลี้ยงของชนเผ่ากริลล์กลัวพวกภูติเหล่านี้
แต่สัตว์เลี้ยงบางชนิดเมื่อกลัวแล้วก็จะวิ่งหนี แต่บางชนิดกลับตรงเข้าไปฉีกทึ้งเจ้าตัวร้ายมีปีกขนาดเล็กนี้ในทันที
นี่คือความลับที่ชาวเมืองกริลล์มิได้บอกใคร
มิได้บอก จะหมายความว่ามิมีผู้ใดล่วงรู้เช่นนั้นหรือ มิใช่แน่!
เมืองเวกาไม่ได้มีพรมแดนติดต่อกับเมืองวัน ดังนั้น การเดินทางจากเมืองวัน มาถึงเมืองหลวงของเวกาจึงต้องใช้เวลาถึง 3 เดือน ต่อให้เป็นผู้ครองเวทย์ก็ยังต้องใช้เวลาถึง 2 เดือน หรืออาจนานกว่านั้น
เหตุที่การเดินทางใช้เวลานาน เพราะอุปสรรคจากเส้นทาง ในพื้นที่ทางเหนือของเมืองเหนือเอง ทั้งเมื่อเข้าสู่เขตรอยต่อก็ยังต้องเผชิญกับพายุหิมะ
พายุนี้บ้างจริง บ้างเกิดจากเวทย์
สังเกตได้โดยง่าย หากเป็นพายุจริง ย่อมมีผลมาถึงเมืองเหนือหรือเมืองกริลล์ด้วย แต่หากเกิดจากเวทย์ย่อมไม่มีผลต่อเมืองเหนือและเมืองกริลล์นั่นเอง
ส่วนแม่ทัพเชมัลและเหล่าองครักษ์ติดอยู่ในเรือนพักหลังหนึ่งของชนเผ่าดานีมานานข้ามวันแล้ว
ชนเผ่าชายแดนแห่งนี้อยู่ใกล้กับเมืองเหนือ
และพายุหิมะนี้ เกิดจากเวทย์
ส่วนสาเหตุที่ต้องเดินทางไกลมาถึงที่แห่งนี้ ก็เพราะปัญหาร้ายแรงที่ลุกลามไปยังเมืองเพื่อนบ้าน และจนถึงเมืองวัน ชนเผ่าดานีที่ต้องได้รับความเดือดร้อนเพราะการอยู่ในพื้นที่ชายแดน จึงให้การต้อนรับแม่ทัพเชมัล และองครักษ์เป็นอย่างดี เพื่อหวังให้ช่วยแก้ไขปัญหาความเดือดร้อน
หากก็เป็นดั่งที่กล่าวไว้แต่แรก ว่าอย่าเพิ่งวางใจ
หลังจากการต้อนรับ และผู้เฒ่าของชนเผ่าดานี บอกเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในส่วนที่ชนเผ่าดานีเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย จากนั้นก็กลับไปพัก แต่อีกไม่นานพายุหิมะที่เกิดจากเวทย์ก็พัดเข้ามาปกคลุม
เจ้าของเรือนพักเตือนว่า อย่าเพิ่งออกไปจนกว่าพายุจะเบาบางลง เพราะมิรู้ว่า สิ่งที่แฝงอยู่ในหิมะคือสิ่งใด
การเดินทางไกลในครั้งนี้ เกิดจาก "ผงฝุ่นลืมตน" จากชนเผ่าทาคา หนึ่งในชนเผ่านับร้อยของเมืองเวกา ที่พ่อค้า และกลุ่มโจรนำเข้าสู่เมืองเหนือ แล้วกระจายไปยังอีกหลายเมือง
ผงฝุ่นลืมตนมิใช่ภูติเพราะมันไม่มีชีวิตและบินไม่ได้ หากแต่คือผงจากการสกัดดอกไม้หลายชนิด หนึ่งในนั้นคือดอกไม้ลืมตน-ดอกไม้สีฟ้าเรืองแสงส่องสว่างในยามกลางคืน แต่ในเวลากลางวันมันคือดอกไม้สีขาวไร้พิษ
นานมาแล้วดอกไม้ลืมตนเป็นเพียงดอกไม้ป่า พบเจอเฉพาะที่หุบเขาระหว่างชนเผ่า 3 ชนเผ่าคือ ไอ รา และกี ผู้เจ็บป่วยไม่สบายนำดอกไม้นี้ไปต้มน้ำชาดื่ม เพื่อให้นอนหลับสบาย แต่เมื่อสัก 1 ปีที่ผ่านมากลับมีการเพาะปลูกดอกไม้ชนิดนี้เป็นพืชหลักในพื้นที่เดิม โดยมีชนเผ่าทาคานำไปแปรรูป ผสมกับดอกไม้ และพืชอีกหลายชนิด กลายเป็นผงฝุ่นลืมตน ในคำแนะนำการค้าบอกว่า ให้นำไปผสมในเครื่องดื่ม หรือผสมในยาสูบ ความสุขและความสงบก็จะมาเยือนในจิตใจ
แต่แท้จริงแล้ว ผงฝุ่นนี้คือสารเสพติดที่ทำให้ผู้เสพเซื่องซึม และหลับไหล
การค้าผงฝุ่นลืมตนยิ่งดำเนินไปด้วยดีมากเท่าใด บรรดาเมืองต่าง ๆ ก็ยิ่งเสียหายมากขึ้นเท่านั้น
ผู้คนทั่วไปมองเห็นปัญหาในการเข้าไปปราบปรามการค้านี้ แต่พระราชาฟารัคแห่งเมืองวัน มองเรื่องนี้เป็นเรื่องสนุกสนานอย่างยิ่ง
ดังนั้น เมื่อคำร้องทุกข์เกี่ยวกับผงฝุ่นลืมตนเพิ่มสูงขึ้นมามากกว่า 1 คืบ พระองค์ก็ทรงหารือเป็นการส่วนพระองค์กับพระราชาอีกหลายเมือง ด้วยความสนุกสนานอย่างยิ่ง
แต่แม่ทัพเชมัลผู้ถนัดการสู้รบแบบ "ไม่มากคนเท่ากับไม่มากความ" กำลังคิดว่าการที่ต้องติดอยู่ที่นี่คือเรื่องน่าเบื่อหน่าย....
...ช่างน่าเบื่อหน่าย...นี่คือความเห็นพ้องต้องกันตั้งแต่แม่ทัพไปจนถึงองครักษ์
เรื่องที่จะต้องไปที่ใด จัดการใคร และทำอันใดบ้าง ล้วนกำหนดไว้หมดแล้ว แต่จนถึงยามนี้กลับได้แต่รอคอยอย่างอดทน
ด้านนอกเรือนพักยังคงมีพายุรุนแรง หิมะทับถมขึ้นมาสูงครึ่งบานประตูแล้ว
ผู้คนที่นั่งอยู่ภายในบ้างจิบน้ำอุ่น บ้างเช็ดทำความสะอาดอาวุธ บ้างนอนหลับอย่างสบายใจ
แม่หญิงผู้เป็นภรรยาของเจ้าของเรือนพักกำลังหนักใจที่เมื่อเวลาผ่านไป ใกล้ถึงเวลาอาหาร แล้วจะหาสิ่งใดมารับรองผู้คนทั้ง 11 คน นี้ได้
ใช่! ในเวลานี้มีคนต่างถิ่นอยู่ที่นี่ 11 คน
หนึ่งคือแม่ทัพเชมัลแห่งเมืองวัน ต่อมาคือองครักษ์รอมที่กำลังเล่นหมากรุกอยู่
ต่อมาคือ องครักษ์ซัน องครักษ์แซน ในลำดับ 2 และ 3 ที่กำลังทำความสะอาดอาวุธ
จากนั้นจึงเป็นกลุ่มองครักษ์ใหม่ที่ทยอยรับเข้ามาเสริมในกลุ่มนี้ ได้แก่ องค์รักษ์ซาดาน ผู้ใช้ดาบและครองเวทย์ไฟ
องครักษ์ทูบา ผู้เป็นดิน และมีความสามารถพิเศษในการเพาะปลุกพืชได้แม้ในพื้นที่ซึ่งปราศจากน้ำ นามนี้องครักษ์ลำดับ 4 และ 5 อยู่ในกลุ่มเดียวกับองครักษ์ซันและแซน ทั้ง 4 คนไม่ได้สนทนากัน เพียงแต่กำลังใช้พลังเวทย์เพื่อคุ้มครองกันและกัน
องครักษ์ซันกับซาดาน เป็นผู้ใช้ไฟ ดังนั้นการที่ต้องมาอยู่ท่ามกลางหิมะจึงเปรียบเสมือนการตกอยู่ท่ามกลางบ่อพิษที่มีฤทธิ์กัดกร่อนตนเอง
ที่แม่ทัพเชมัลยังไม่ยอมออกไปในเวลานี้ ก็เพราะองครักษ์ 2 คนนี้
ลำดับถัดมาคือองครักษ์ในลำดับที่ 6 องครักษ์ราดี ผู้สามารถเรียกอาวุธจากอากาศที่ว่างเปล่า ขณะที่คนผู้นี้ใช้ทวนยาว แต่ในความเป็นจริงองครักษ์ราดีไม่อาจเรียกอาวุธได้ตามใจชอบ นั่นคืออาวุธต้องมีอยู่จริงและถูกจัดวางในรัศมีที่สามารถเรียกมาได้ หากอยู่ห่างไกลออกไป หรือไม่มีอยู่จริง สิ่งที่เรียกได้ก็คือความว่างเปล่าเช่นกัน
มาถึงลำดับที่ 7 องครักษ์นัสเซอร์ คนผู้นี้มีพลังเวทย์พื้นฐานทั้ง 4 ในระดับเล็กน้อย แต่กลับเป็นผู้เชี่ยวชาญการใช้อาวุธ ต่อให้ในมือเป็นเพียงกิ่งไม้เล็กบาง ก็กลับแข็งแกร่งดั่งดาบเหล็ก เป็นพลังที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน
องครักษ์มาซิน คนผู้นี้ชำนาญการใช้อาวุธขนาดเล็ก และยาพิษ
และสุดท้ายคือองครักษ์มาจิด หรือคุณชายมาจิดที่เข้าสู่ตำแหน่งองครักษ์ด้วยอายุเพียง 15 ปี
อ้อ ที่นี้ยังมีอีกผู้หนึ่งคือเจ้าชายฮัมซา อดีตองค์รัชทายาท ที่กำลังให้ความสนใจการต่อสู้เชิงหมากรุกระหว่างแม่ทัพเชมัลอย่างเต็มที่
เมื่อมองดูกลุ่ม 11 คนที่อยู่ในที่นี้ยังมองเห็นถึงความไม่สมดุล
ใช่ ที่นี้ขาดสายลม
เป็นความเข้มแข็งที่ไม่สมดุล ที่ทำให้แม่ทัพเชมัลรู้สึกขัดใจ และทำให้หัวหน้าองครักษ์รอมต้องทำหน้าที่สร้างสมดุลด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง
บางที...บางที นี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้เฒ่าดินต้องส่งอดีตรัชทายาทมาที่นี่
แต่แม่ทัพเชมัลคิดมาตั้งแต่ในทันทีที่ก้าวเท้าออกจากเมืองชายแดน เข้าสู่เขตเมืองเหนือ ว่าอยากให้สายลมเดินทางมาด้วย
สายลมที่ว่านี้ จะเป็นใครได้อีกนอกจากอาเม่ย ผู้ครองเวทย์พื้นฐานทั้ง 4 โดยปราศจากความสมดุล และมีเพียงแม่ทัพเชมัลควบคุมได้
สายลมแรงพัดกระแทกประตูเรือนพักอีกครั้ง แม่ทัพเชมัลหันไปมองแล้วยิ้มมุมปาก
อีก 2 ชั่วยามจากนั้น ทั้งหมดจึงออกเดินทางกันอีกครั้ง
เดินทางท่ามกลางหิมะที่สูงในระดับอก!
...
ที่เมืองวัน องค์ชายน้อยดาริมเดินทางกลับมาเยี่ยมบิดาที่เมืองหน้าด่าน ด้วยไอชานางข้าหลวงผู้ดูแลองค์ชายน้อยเริ่มตั้งครรภ์
จะตั้งครรภ์กับผู้ใดได้อีก นอกจากแม่ทัพนาซิม
เมื่อหลายเดือนก่อน แม่ทัพนาซิมมาเยี่ยมองค์ชายน้อยที่เมืองหลวง ซึ่งในคืนนั้นไอชาก็กล่าวกับองค์ชายน้อย ว่าจะยอมรับได้หรือไม่ หากนางจะเป็นผู้รับใช้แม่ทัพนาซิม องค์ชายน้อยที่ยังเป็นหนึ่งในผู้ครองเวทย์ ถามไปถึงเรื่องที่จะมีทายาท แต่ไอชายืนยันหนักแน่น ว่านางขอเป็นเพียงผู้รับใช้แม่ทัพนาซิม ด้วยแม่ทัพผู้นี้มีผู้อื่นอยู่แล้วในหัวใจ ครอบครองเต็มพื้นที่จนมิมีผู้ใดแทรกเข้าไปได้ ดังนั้นหากมีบุตร บุตรนั้นก็จะมีศักดิ์เป็นผู้ติดตาม หาได้เทียบเท่าองค์ชายไม่
องค์ชายน้อยยังคงถามไถ่อีกหลายคำ แต่ไอชาย้ำว่า นี่เป็นเพียงหน้าที่เท่านั้น และนางยังคงให้ความสำคัญกับองค์ชายน้อยเป็นลำดับแรกมิเปลี่ยนแปร
องค์ชายน้อยดาริมยิ้มรับ ทั้งฝากให้ไอชาดูแลแม่ทัพนาซิมให้ดีเช่นกัน
สิ่งหนึ่งที่ติดอยู่ในใจมาตลอดก็คือ ใครคือผู้ที่แม่ทัพนาซิมให้ใจ จนมิอาจมีผู้ใดได้อีก
ไม่กี่เดือนถัดมาไอชาก็มีอาการอ่อนเพลีย และแพทย์หลวงแจ้งว่านางตั้งครรภ์ ไอชาก็ยังเป็นกังวลความรู้สึกขององค์ชายน้อยเป็นลำดับแรก และยืนยันความภักดีต่อองค์ชายน้อยไม่เปลี่ยนแปร แต่นางต้องเดินทางกลับมาที่เมืองหน้าด่าน องค์ชายน้อยจึงทูลขอพระราชานุญาตจากพระราชาฟารัค เดินทางกลับมาเมืองหน้าด่านเช่นกัน
แม่ทัพนาซิมที่ออกมารอรับองค์ชายน้อย เพียงหันไปพยักหน้าให้กับไอชา และเอาใจองค์ชายน้อยเหมือนเดิม
นั่นยิ่งทำให้ผู้เยาว์วัยไม่เข้าใจความสัมพันธ์ในลักษณะนี้มากกว่าเดิม
พระราชามีพระชายา และพระสนม ก็หาได้มีผู้รับใช้ ไม่เคยได้ยินว่า พระองค์จะมีพระโอรสหรือธิดาจากที่อื่นอีก
แม่ทัพเชมัลมีเพียงอาเม่ย ก็มิเคยยุ่งเกี่ยวกับผู้ใด
แล้วเหตุใด แม่ทัพนาซิมที่รักคนผู้หนึ่งจนเต็มหัวใจ จึงมีสตรีผู้รับใช้ และนางกำลังจะให้กำเนิดทายาท แต่สตรีนั้นยังคงอยู่ในตำแหน่งเดิม ทั้งทายาทนั้นยังปราศจากตำแหน่งใด
หลังรับอาหารเช้าในวันถัดมา องค์ชายน้อยชักชวนนางข้าหลวงคนใหม่ ออกไปที่นอกประตูเมือง
พื้นที่ที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปตามลำพังโดยไม่มีทหารคุ้มกันออกไปด้วย
ในครานี้ก็เช่นกัน แต่เพียงออกไปได้ไม่ไกลนัก ยังไม่ถึงเขตป่าด้วยซ้ำ นกสีขาวตัวใหญ่บินตรงเข้ามาหา
นางข้าหลวงกรีดร้องเสียงดัง
ทหารคุ้มกันขยับกายเข้ามาให้ความคุ้มครอง
พลธนูที่กำแพงเมืองน้าวสายธนู
แต่ทุกอย่างล้วนช้าไป
เพียงเงาที่เข้าปกคลุม องค์ชายน้อยก็หายไป ทิ้งไว้เพียงเกล็ดหิมะตรงที่องค์ชายน้อยยืนอยู่เมื่อครู่!
...จบตอนพิเศษ Vega-1...
ตอนพิเศษนี้ มี 5 ตอนจบ โปรดติดตามตอนต่อไปครับ
jivetea