ตอนที่ 10ที่ห้องโถงของบ้านพักแม่ทัพนาซิม ที่เจ้าของจำต้องย้ายไปพักอยู่กับทหารยาม เวลานี้มีแม่ทัพเชมัลและองครักษ์ทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าเพื่อหารือแผนการทำงาน
“เกรงว่า ผู้ที่จะต้องปลอมตัวไปกับพ่อค้าอาจมีเพียงตง กับ โป เนื่องจากผู้อื่นล้วนแต่เป็นที่จดจำได้” องครักษ์รอมพี่ใหญ่กล่าวขึ้นก่อน
อาเม่ยท้วงขึ้น “แล้วข้าเล่า ท่านจะให้ข้าไปมิใช่หรือ”
ตามแผนที่วางไว้ องครักษ์เก้าจะเป็นคนไปเจรจากับพ่อค้าเพื่อฝากคนงาน 3 คนคือองครักษ์ตง องครักษ์โป และอาเม่ยให้เดินทางไปด้วย
องครักษ์รอมหันไปมองแม่ทัพเพื่อขอความเห็น
“ให้เสี่ยวเม่ยไปเช่นเดิม”
“แต่ว่า...” องครักษ์รอมพี่ใหญ่ค้านไม่เต็มเสียง เพราะเป็นห่วงจิตใจของแม่ทัพในเวลานี้
“เมื่อส่งเก้าไปถึงมือพระราชาก็ไม่มีเรื่องอันใดแล้ว หากให้ไปกันแค่ตง กับโป อาจไม่เพียงพอในเวลาที่ต้องกลับมากันตามลำพัง”
องครักษ์รอมรับคำสั่ง แล้วสรุปเรื่องที่ทั้ง 3 คน จะต้องแฝงตัวไปกับพ่อค้าอีกครั้ง
เมื่อองครักษ์รอมกล่าวจบ ไม่มีใครที่มีคำถาม แม้แต่อาเม่ยคนที่มีคำถามมากมายเสมอ ก็กลับหันไปมองเพียงประตูห้องนอนที่ปิดอยู่
“อยากรู้เรื่องใด” แม่ทัพถาม
“แม่ทัพนาซิมเป็นคนเข้มแข็ง เหตุใดจึงถูกทำร้ายด้วยเวทย์ดำโดยที่เขาไม่รู้ตัว แล้วท่านพี่เก้า...หากเป็นคนทั่วไปคงสิ้นลมไปแล้ว”
แม่ทัพนั่งลงที่เก้าอี้แล้วดึงข้อมืออาเม่ยให้นั่งที่เก้าอี้ตัวข้างๆ
“ท่านพี่นาซิมอยู่ประจำที่นี่ ย่อมต้องออกไปที่นอกด่านเมื่อมีพวกอมนุษย์ปรากฏตัวขึ้น จึงทำให้ถูกเวทย์ดำ ฮูดาเองก็สัมผัสเวทย์ดำเหล่านี้ได้ตั้งแต่แรก”
องครักษ์ตงรีบยกมือขึ้น สีหน้าตกใจ
“ข้าจับนกอสูรตัวนั้น”
องครักษ์ตงหมายถึงตอนที่ออกไปตรวจสอบพื้นที่นอกด่าน พร้อมกับองครักษ์ฮูดา และองครักษ์เก้า แล้วองครักษ์ตงพบนกที่อีกฝ่ายส่งมาสอดแนม จึงใช้เสียงเพลงสังหารแล้วลากกลับมา
องครักษ์รอมพี่ใหญ่เป็นคนตอบ “ฮูดาตรวจเจ้าแล้ว เจ้าไม่ได้ถูกเวทย์ดำ”
องครักษ์ตงยังทำหน้าตาเหรอหรา ไม่รู้ว่าองครักษ์ฮูดาตรวจตั้งแต่เมื่อใด แต่ก็ยังไม่ค่อยวางใจ
“ท่านแม่ทัพกดจุดสกัดให้ข้าก่อนไปได้ไหม หากระหว่างทางข้าหันไป...” องครักษ์ตงใช้สันมือฟันลงกลางอากาศ
“เจ้าจะกลายเป็นเม่นด้วยมีดของข้าในทันที” องครักษ์โปผู้ใช้มีดเล่มเล็กตอบก่อนที่องครักษ์ตงจะพูดจบ
“เป็นเช่นนั้นก็ดี” อีกฝ่ายยอมรับโดยไม่ต้องคิด
แม่ทัพถามคนที่นั่งนิ่งอยู่ข้างๆ “ไม่เป็นกังวลใช่ไหม”
อาเม่ยส่ายหน้า จากแผนที่องครักษ์รอมบอกไม่มีเรื่องใดที่เป็นกังวล
เรื่องที่เป็นกังวลกลับกลายเป็นเวทย์ดำที่กล้าแข็งถึงขั้นที่สามารถชักนำให้แม่ทัพนาซิมทำร้ายองครักษ์เก้าปางตายเช่นนั้น
สิ่งเดียวที่สามารถป้องกันได้คือจิตใจที่เข้มแข็งปราศจากช่องว่าง
“หากพูดถึงจิตใจที่เข้มแข็ง ข้าเชื่อใจตงกับโปโดยไม่ข้อโต้แย้งอยู่แล้ว แต่ข้าจะบอกกับเจ้าเช่นเดียวกับตง จัดการข้าก่อนที่ข้าจะทำอะไรที่จะเป็นการทำร้ายกันเอง”
องครักษ์แซนที่นิ่งเงียบอยู่นานพูดขึ้น “คิดไม่ถึงว่า พวกเจ้าออกหาข่าวครั้งแรกก็ต้องกล่าวคำสาบานเช่นนี้แล้ว”
ก่อนที่จะแยกย้ายกันไปทำงานต่อ องครักษ์ฮูดาก็เดินออกมาจากห้องพักสีหน้าซีดเซียว บอกให้พี่ใหญ่รอมเปลี่ยนเข้าไปดูแลองครักษ์เก้า องครักษ์ตงจึงอาสาพาองครักษ์ฮูดาไปพักที่บ้านพักอีกหลัง แต่องครักษ์ฮูดากลับเรียกองครักษ์โปให้เดินตามมาด้วย
“พวกเจ้ายังต้องเรียนรู้วิธีป้องกันตัวเอง”
แต่พออาเม่ยจะลุกตามมาอีกคน องครักษ์ฮูดากลับชี้ให้อยู่ที่เดิม
“เจ้าต้องฝึกจากท่านแม่ทัพเชมัล ไม่ใช่ข้า ส่วนแซนไม่ไปเตรียมรถม้าหรือไร”
องครักษ์ฮูดาพูดจบก็เดินนำออกไป จนองครักษ์แซนต้องหันมาส่ายหน้ากับองครักษ์รอมพี่ใหญ่ที่ควรเป็นผู้สั่งการเรื่องเหล่านี้
…ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงฮูดาได้...
“ท่านจะไปพักหรือไม่” อาเม่ยหันมาถามแม่ทัพ แต่แม่ทัพกลับมองห้องพักอีกห้องเป็นคำตอบ ห้องนั้นอยู่ถัดจากห้องที่องครักษ์เก้าพักอยู่ ทำให้คนถามนึกได้เอง
“ท่านพักที่นี่”
เพราะแม่ทัพนาซิมเป็นคนพาองครักษ์เก้ามา จึงให้อยู่ในห้องนอนของตนเอง ส่วนอีกห้องย่อมเป็นที่พักของแม่ทัพเชมัล
คนตัวสูงใหญ่หันมาจ้องมองดวงตาสีแปลก “ตอนที่เข้าไปเห็นข้าอยู่กับเก้า เจ้าคิดอะไร”
“มิได้คิดอะไร” อาเม่ยก้มหน้า แล้วก็ยอมรับ “คิดเล็ก คิดน้อย”
“อะไรคือคิดเล็กคิดน้อย”
อาเม่ยกำมือที่เริ่มเย็นเฉียบของตัวเอง
“ข้าแค่คิดว่า......”
แม่ทัพเชมัล ดึงข้อมือให้อาเม่ยขยับขึ้นมานั่งตัก “ข้าไม่เคยคุ้น เวลาที่เจ้าพูดจาอึกอักเช่นนี้”
“ข้าก็ไม่เคยคุ้นกับความรู้สึกของข้าเองเหมือนกัน”
“ข้าชอบที่เจ้าไม่เคยคุ้นกับความรู้สึกนี้”
“ไม่คิดว่าแปลกหรือไร” อาเม่ยหันมาถาม “เป็นผู้ใช้เวทย์ อ่านดิน อ่านลมได้ แต่กลับไม่รู้ว่าอาการแปลกๆ ของตนเอง เกิดจากอะไร”
แม่ทัพยิ้มขำก้มลงหอมหน้าผากสวยของอีกคน
“ท่านเองก็แปลก นับวันก็ยิ่งแปลกมากขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้สึกถึงความแปลกของตนเองหรือไร”
“แปลกอย่างไร”
“ตั้งแต่มาถึงท่านพี่ฮูดาอาการไม่ดี ตอนนี้ท่านพี่เก้าอาการหนักอยู่ในห้อง ท่านที่มีสีหน้าคล้ายคนจะร้องไห้อยู่เมื่อครู่ แต่ตอนนี้กลับ.....ลวนลามผู้อื่น”
“อ้อ.....” แม่ทัพลากเสียง
“อ้อ อันใด อธิบายให้ข้าฟัง”
มือทัพใช้ 2 มือประคองใบหน้าใสไว้ แต่พอจะก้มลงหา อาเม่ยก็รีบเอามือปิดปาก “อธิบายก่อน”
“จูบก่อนแล้วจะอธิบาย”
ใบหน้าใสเปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ “เช่นนั้นก็ไม่อยากฟังแล้ว”
“จูบของข้าแย่เช่นนั้น” แม่ทัพทำสีหน้าที่เต็มไปด้วยคำถาม
“จูบของท่านมิได้แย่ แต่เพราะท่านต่อรองว่าจะจูบก่อนเล่าเรื่องต่างหาก”
“บอกมา ผู้ใดจูบได้ดีกว่าข้า”
อาเม่ยหน้าตาไม่เข้าใจ ลดมือลง “ท่านพูดอันใดของท่าน ข้าเพิ่งมีจูบแรกกับท่านไปเมื่อวาน” คนพูดก้มหน้า “ท่านนี่เจ้าเล่ห์เกินไปแล้ว”
มือใหญ่ช้อนด้านหลังคอให้เงยหน้าขึ้นมาหา แล้วบดริมฝีปากจูบปากบางช่างเจรจา ความอ่อนโยนที่ทำให้ทุกสรรพเสียงรอบตัวเลือนหาย
ทุกความกังวล
ทุกผู้คนล้วนอยู่ห่างไกลจากความสนใจ
“เสี่ยวเม่ย”
อาเม่ยลืมตาขึ้นมองอีกฝ่าย
“เจ้าพร้อมที่จะเป็นปัจจุบัน และอนาคตของข้าหรือไม่”
เมื่อมองสบตา อาเม่ยรู้ดีว่า ทุกคำกล่าวของแม่ทัพยามนี้ คือความจริง
“ขอเวลา มันรวดเร็วเกินไป” อาเม่ยต้องบังคับตัวเองให้พูดต่อ “ข้ารู้ว่าท่านมีความหวังดีต่อข้า แต่ข้าก็....”
“เสี่ยวเม่ย”
“ข้าถึงกล่าวว่ามันแปลก ข้าไม่เข้าใจว่า นี่มันเกิดอะไรขึ้น วันก่อนท่านยังเป็นเหมือนพี่ชายชอบแกล้งอยู่เลย พอวันถัดมา ท่านก็.....” อาเม่ยคิดทบทวน “ข้าไม่ได้...คือ....ทำไมมันยากเช่นนี้นะ”
แม่ทัพกอดคนสับสนไว้แน่น
“ท่านเป็นคนที่ดี ดีที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบมา แม้จะชอบที่ท่านกอดข้าแบบนี้ แต่อีกใจก็ยังท้วงว่า นี่เป็นเรื่องที่รวดเร็วเกินไปอยู่ดี”
“มิเป็นไร แต่ขอให้เชื่อใจ ว่าเจ้าคือหัวใจของข้า ในวัน.....”
อาเม่ยรีบใช้มือปิดปากอีกฝ่าย “อย่ากล่าวคำสาบาน”
แม่ทัพดึงข้อมือบางให้ลดมือลง “นี่คือคำสาบานของข้า ที่ข้าอยากให้เจ้าเชื่อ ว่าในกาลข้างหน้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าทำเพื่อเจ้าคนเดียวเท่านั้น”
คนผู้นี้มักกล่าวคำสาบานที่มีความจริงจัง
และยึดถือคำสาบานนั้นยิ่งกว่าสิ่งใด
“ข้าอาจทำให้ท่านผิดหวัง”
“เสี่ยวเม่ย...มีแต่เจ้าไม่ได้รักข้า จึงจะทำให้ข้าผิดหวัง”
อาเม่ยขยับตัวขึ้นจูบปาก
นิ้วมือใหญ่ที่แตะแก้มสัมผัสหยดน้ำจากดวงตาคู่สวย
ริมฝีปากหนาละจูบที่ริมฝีปากบาง แตะเบาๆ ที่น้ำตาอาบแก้ม แล้วเรื่อยลงมาหาลำคอขาว
นิ้วมือผอมจิกต้นแขนใหญ่ไว้แน่น เมื่อร่างกายผอมบางกลับสั่นไหว เสียงครางแผ่วเบาตอบรับสัมผัสอ่อนโยน จนกระทั่งประตูบ้านเปิดออกแล้วปิดลงทันที ทำให้อาเม่ยรีบกระโดดออกจากตัก แต่แม่ทัพยังตามมาช่วยจัดเสื้อผ้าให้ เรียกถามคนที่ยังอยู่หน้าประตู
“ผู้ใด”
ประตูแง้มออก คนที่โผล่หน้าเข้ามาคือองครักษ์ตง
“อย่าบอกท่านพี่ฮูดานะ ว่าข้าไม่เคาะประตูก่อน”
แม่ทัพส่ายหน้า แล้วโบกมือให้เข้ามาด้านในบ้าน “มีเรื่องอันใด”
“ข้ากำลังจะไปบอกที่โรงครัวให้เตรียมข้าวต้มให้ท่านพี่เก้า ก็เลยจะแวะมาถามว่าท่านแม่ทัพจะรับมื้อเย็นที่นี่หรือจะไปที่โรงครัว”
“เตรียมมื้อเย็นให้เก้ากับรอมที่นี่ ส่วนข้ากับเม่ยจะไปกินที่โรงครัว”
องครักษ์ตงรีบวิ่งนำออกไปก่อน โดยมีแม่ทัพเชมัลเดินตามไป รั้งท้ายคืออาเม่ยที่เดินห่างออกไป 2 ก้าว แม้อีกคนจะหันมามองให้เร่งเท้าเดินขึ้นมาข้างกัน แต่อาเม่ยกลับยิ้มให้และบอกว่า จะเดินห่างเท่าเดิม
เมื่อถึงที่โรงอาหาร แม่ทัพนาซิมมาถึงก่อนแล้ว และกำลังปฏิเสธเมื่อผู้ช่วยกำลังจะรินเหล้าให้
แม่ทัพเชมัลเดินไปนั่งร่วมโต๊ะ อาเม่ยจึงเดินไปนั่งร่วมโต๊ะกับองครักษ์แซน ที่ชวนคุยเรื่องความแตกต่างระหว่างค่ายทหารของแม่ทัพเชมัล กับแม่ทัพนาซิม
จนกระทั่งมื้อนี้ผ่านไป แล้วเดินออกมาด้วยกัน องครักษ์แซนก็ทักขึ้นว่า
“ครานี้เจ้าไม่ได้ซักถามเรื่องแม่ทัพเชมัล ฮูดา และเก้า”
อาเม่ยเพิ่งรู้ตัว “ข้าคงกังวลเรื่องที่จะต้องออกไปนอกด่าน”
“มีเรื่องอันใดให้ต้องกังวล”
องครักษ์แซนถามเพราะไม่อยากเชื่อว่าอาเม่ยที่เดินเข้าไปที่ค่ายทหารเพียงลำพังจะกังวลเรื่องการออกไปนอกด่าน กับเพื่อนอีก 2 คน
“พวกเขาใช้เวทย์ดำ”
พี่สามของกลุ่มเข้าใจประเด็นนี้ “พวกเราไม่อาจรู้ได้ว่าเวทย์ดำนั้นมาจากใคร หรือซ่อนเร้นอยู่ในสิ่งใด จึงทำได้แต่เพียงการควบคุมจิตใจไม่ให้เกิดช่องว่าง"
ทุกคำกล่าวขององครักษ์แซนเป็นสิ่งที่ผู้ใช้เวทย์ทุกคนตระหนักเป็นอย่างดี แต่เมื่อผู้ที่มีเวทย์กล้าแข็งอย่างแม่ทัพนาซิมยังพลาดพลั้งทำให้หวาดระแวง
จู่ๆ อาเม่ยก็หยุดเดิน “เวทย์ที่พี่ฮูดาใช้....”
“ฮูดาใช้เวทย์ดิน ไม่ใช่เวทย์ดำ” องครักษ์แซนตอบอย่างจริงจัง “ข้าเคยบอกกับเจ้าไปแล้ว ความสุขของพริมและเก้าคือคำตอบของทุกสิ่ง แต่แม่ทัพนาซิมถูกเวทย์ดำ เก้าจึงถูกทำร้ายปางตาย”
“ใครๆ ก็รักท่านพี่เก้า” อาเม่ยพูดเสียงอ่อย “จะไม่ประหลาดใจเลย หากพระราชาก็จะชอบท่านพี่เก้าเช่นกัน”
“เหลวใหล เจ้าน่ะมักจะมองแต่คนนั้น คนนี้ จนไม่ได้มองว่าใครกำลังมองเจ้าอยู่” องครักษ์แซนกล่าวพลางส่ายหน้า
อีกคนทำหน้าตายู่ๆ “ใครจะไปคิด”
“ทุกคนคิด” องครักษ์แซนบอก “เพราะทุกคนเห็นว่าแม่ทัพพอใจเจ้า”
“เมื่อเขาพอใจข้า ข้าก็ต้องพอใจเขาหรือไร”
องครักษ์แซนที่เดินมาด้วยกันหยุดเท้าในทันที ทั้งดึงแขนอีกฝ่ายให้หันมา
“แม่ทัพเชมัลมีอันใดที่ด่างพร้อย”
พี่สามของกลุ่มองครักษ์เป็นผู้มีนิสัยเยือกเย็นเหมือนสายน้ำ แม้แต่ในเวลาที่ไม่พอใจ ก็ยังเย็นกว่าผู้อื่นเช่นเดิม
“ข้าไม่ได้ว่าแม่ทัพเชมัลด่างพร้อย เขาเป็นคนดีมาก แต่คงเพราะข้าไม่คาดคิดมาก่อน”
“เจ้ากล่าวคำว่าไม่คาดคิดมาตั้งแต่วันที่ 2 ที่เจ้าเข้ามาที่ค่าย จน 1 เดือนผ่านไปเจ้าก็ยังกล่าวคำเดิม”
“หากทุกคนกล่าวว่า แม่ทัพพอใจท่าน ท่านจะเชื่อได้ทันทีหรือไม่” อาเม่ยสวนพี่สามของกลุ่มทันที
ทั้ง 2 คนมองหน้ากันแล้วหัวเราะ
“เปรียบเทียบอะไรของเจ้า”
“ช่างเถิดๆ” อาเม่ยโบกมือ “ค่ำนี้ จะต้องมีการฝึกดาบกันอีกหรือไม่”
วันนี้เป็นวันที่มีเรื่องราวมาตั้งแต่เช้า จนทำให้ไม่มีใครได้ฝึกซ้อมการใช้อาวุธ
“วันนี้มีเรื่องราวมากมาย....” องครักษ์แซนหยุดพูดไปชั่วอึดใจเพื่อให้อีกฝ่ายรอฟัง “ไปเรียกตงกับโป แล้วไปพบข้าที่ลานฝึกดาบ”
องครักษ์แซนเริ่มการฝึกดาบและสอนเทคนิคการพรางตนให้แก่ทั้ง 3 คน ด้วยการชี้ให้เห็นข้อด้อยของแต่ละคน
องครักษ์ตงนั้นเป็นคนสุภาพ แม้ไม่เทียบเท่าองครักษ์เก้า แต่หากจะพรางตนก็ต้องเป็นคนงานเช่นเดียวกับคนอื่น มีนิสัยกินง่ายอยู่ง่าย
ส่วนองครักษ์โปที่มีนิสัยโอ้อวด โดยเฉพาะความสามารถในการใช้มีด ยิ่งต้องระมัดระวังตน เพราะฝ่ายตรงข้ามย่อมต้องล่วงรู้ความสามารถพิเศษขององครักษ์
“ส่วนเม่ย จิตใจของเจ้าไม่ต่างจากสายลม แปรเปลี่ยนตลอดเวลา เจ้าต้องตัดความสงสัย และมุ่งมั่นในการทำหน้าที่ของตนเองแล้วกลับมา”
อาเม่ยพยักหน้าด้วยความเข้าใจ และเมื่อมองผ่านไปเห็นคนที่ยืนมองอยู่ยิ่งเข้าใจ
เมื่อเสร็จการฝึกซ้อม อาเม่ยเดินเข้าไปหาคนที่รออยู่
“หากไม่มีเรื่องเหล่านี้ ไม่มีทัพเหนือเข้ามาใกล้ ข้าไม่ต้องออกไปนอกด่าน ท่านพี่เก้าไม่ถูกทำร้าย ท่านจะ...เร่งรัดข้าหรือไม่”
แม่ทัพเชมัลยกยิ้มมุมปาก แล้วก้มลงมากระซิบข้างหู “ข้าจะไม่เร่งรัดเจ้า แต่จะรวบรัดให้เจ้าเป็นของข้า ภายในสัปดาห์แรกที่เจ้าเข้าไปอยู่ที่ค่ายของข้าแล้ว”
แก้มคนตัวเล็กแดงเรื่อ “แต่เรามีข่าวทัพเหนือมาใกล้นานแล้ว”
“เพราะมีทัพเหนือเข้ามาใกล้ หากข้ารวบรัดเจ้า อาจส่งผลเสียต่อการนำทัพ”
อาเม่ยก้มหน้ามองพื้น “แปลว่า......ที่ท่านปล่อยให้ข้า...วิ่งไปวิ่งมา ก็เพราะ.......มิใช่สิ มิใช่....”
แม่ทัพเชมัลใช้แขนเดียวรั้งอีกคนเข้ามากอด
“เสี่ยวเม่ย อย่าได้สงสัยความรู้สึกของข้า ข้าต้องการเจ้าตั้งแต่แรกเห็น แต่ข้ารอได้”
คนตัวเล็กพยักหน้าให้กับอกกว้าง
“เข้าใจแล้ว รอข้ากลับมานะ”
แม่ทัพเชมัลก้มลงจูบหน้าผากชื้นเหงื่อ
“ข้าจะรอจ้าอยู่ที่นี่”
...จบตอนที่ 10...
คนเขียนหลักเรื่องนี้ใจเย็นและบรรจงเล่าเรื่องจนผิดวิสัยยิ่งนัก แต่แรกก็วางโครงเรื่องไว้ 20 ตอนแต่บัดนี้เล่าเรื่องเกินไปหลายตอนจึงเพิ่งจะคลายปมไปไม่ถึงครึ่ง ทำให้คนช่วยเขียนเริ่มไม่แน่ใจว่า รูปที่วางคู่กันไว้แต่แรกนั้น ยังเป็นเหมือนเดิมหรือไม่ อันนี้หาได้สปอล์ยแต่อย่างใด เพราะเขายืนยันว่า ก็เป็นไปตามรูป แต่คนเขียนหลักเขาพยายามแก้ไขปัญหาจากเรื่องที่ผ่านๆ มา แต่ถ้ามันช้าเกินไปก็โปรดบอกกัน ยืนยันว่าเราอ่านทุกรีพลาย จริงจังกับทุกคำแนะนำ คุณอินตอนอ่านเรื่องอย่างไร เราก็อินตอนอ่านคำแนะนำของคุณเช่นนั้น และพร้อมที่จะนำไปแก้ไขให้ดีขึ้น
ขอบคุณมากครับ
ไจฟ์กับที