ตอนที่ 19แม่ทัพเชมัลและอาเม่ยออกเดินทางจากหมู่บ้านของอาลีตั้งแต่เช้ามืด พร้อมด้วยอาหารแห้งและน้ำดื่ม
“ข้าอาจเกลียดชังผู้ปกครองของเมืองวันจนไม่อาจยืนอยู่ร่วมแผ่นดินเดียวกันได้ แต่ข้าก็เว้นท่านไว้หนึ่งคน" หัวหน้าหมู่บ้านบอก “และแม้ว่าเดินอยู่ในป่านี้ได้เหมือนกับการเดินเล่นอยู่ในค่ายทหารของท่านก็จริง แต่การที่มีเวทย์ดำของเฮยอั้นอยู่ข้างกายตลอดเช่นนี้ เท่ากับท่านมีสัตว์ร้ายอยู่ใกล้ตัว รอแต่จะทำร้ายท่านเมื่อไหร่เท่านั้น โปรดระมัดระวัง”
แม้จะไม่พอใจที่อาลีเรียกอาเม่ยเช่นนั้น แต่แม่ทัพเชมัลก็ยอมรับว่ามันคือความจริง
ไม่อาจล่วงรู้ได้เลยว่า สิ่งใด หรือการกระทำใด ที่จะเป็นดั่งกุญแจปลดปล่อยสิ่งชั่วร้ายจากอาเม่ย ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นกำไลที่ผนึกไว้ก็อาจยังไม่เพียงพอ
แต่ลึกลงไปในใจ แม่ทัพเชมัลยังคงเชื่อมั่นว่าจะสามารถควบคุมได้
บางสิ่งบางอย่างในใจร้องบอกว่า อาเม่ยเองก็กำลังพยายามอย่างมากที่จะเอาชนะเวทย์นี้อยู่เช่นกัน
ลำพังเวทย์ของตนเอง แม่ทัพเชมัลสามารถเดินทางต่อเนื่องได้โดยไม่หยุดพัก และอาจใช้เวลาไม่ถึง 10 วันในการเดินทางอ้อมเมืองไปจนถึงประตูด่านแห่งสุดท้าย ซึ่งจากที่นั่นจะใช้เวลาเดินทางต่อไม่ถึงครึ่งวันก็จะถึงท่าเรือขนาดเล็กที่สามารถหาซื้อเรือ เดินทางต่อไปถึงเกาะที่หมาย
หรือหากเป็นอาเม่ยในยามที่เป็นปกติก็อาจใช้เวลานานกว่าเพียงเล็กน้อยในการเดินทาง
แต่อาเม่ยในเวลานี้ อยู่ในสภาพที่ไม่สามารถคาดเดาสิ่งใดได้ทั้งสิ้น แม่ทัพเชมัลจึงเผื่อเวลาไว้มาก
ตลอดการเดินทางที่ผ่านมา อาเม่ยได้แต่เดินตามมาเรื่อย กว่าที่อีกคนจะรู้ว่าอ่อนเพลียก็ต่อเมื่ออาเม่ยสะดุดรากไม้ เพราะเหน็ดเหนื่อยจนไม่อาจก้าวขาได้อีก
เมื่อหันไปมองจึงเห็นใบหน้าซีดเผือด หอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย ต้องจับให้นั่งพัก และทุกครั้งที่ป้อนน้ำป้อนอาหารให้ก็จะกินหมดอย่างหิวโหย แล้วหลับไปในทันทีที่กินอิ่ม จากเดิมที่ตั้งใจจะเดินทางต่อทันทีที่กินอาหารเสร็จ จึงมักกลายเป็นการเริ่มการเดินทางในเช้าวันถัดไป
“ขอโทษนะเสี่ยวเม่ย ที่ทำให้เจ้าเหน็ดเหนื่อยถึงเพียงนี้”
มือใหญ่ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าให้คนที่หลับ แล้วเกลี่ยเส้นผมอ่อนนิ่ม จากนั้นก็รวบถักเปียให้
“ขอโทษจริงๆ ที่ไม่ได้ปกป้องเจ้า คิดเพียงพวกเจ้าทั้ง 3 คนเพิ่งเข้ามาในกองทัพ ยังไม่เป็นที่รู้จักของผู้คนนอกด่าน ปล่อยให้เจ้าออกมาเผชิญอันตราย แล้วกลับต้องสูญเสียไปทั้งตงและโป ส่วนเจ้า.....ข้าสามารถขจัดเวทย์ดำให้เจ้าได้ แต่นั่นต้องใช้เวลา”
การเดินทางยิ่งนานยิ่งช้าลง เมื่ออาเม่ยอ่อนเพลียมากขึ้นเรื่อยๆ จนใกล้จะถึงประตูเมืองเล็กๆ แห่งสุดท้าย ก่อนที่จะเป็นหน้าผาสูงชัน และทะเลลึก
แม่ทัพเชมัลตัดสินใจแบกอาเม่ยขึ้นหลัง
“ข้ารู้ว่าเจ้าอ่อนเพลีย แต่หากเรารั้งรอหยุดพักเจ้าก็จะยิ่งอ่อนเพลียลงไปอีก อดทนอีกนิดเดียวเท่านั้น”
แนวกันชนที่เคยเป็นเหมือนดินแดนแห่งการผจญภัยของเชมัลเมื่อครั้งที่ถูกส่งตัวมาเป็นรองแม่ทัพที่เมืองหน้าด่าน ยามนี้กลับเป็นเพียงเส้นทางที่ผู้ชำนาญเส้นทางเพียงมุ่งหวังไปให้ถึงที่หมายโดยเร็วที่สุด
เมื่อมาถึงเป็นยามบ่ายจัด ประตูเมืองแห่งสุดท้ายที่แทบไม่เคยเปิดออก ส่งเสียงดังก้องยามกลไก และข้อต่อต่างๆ ขยับตัว พร้อมกันกับที่คนที่อยู่ภายในแทรกตัวออกมาหาในทันทีที่สามารถลอดตัวออกมาได้
เป็นองครักษ์แซนที่นัดหมายให้ไปหาที่เกาะห่างไกลในอีก 1 เดือนข้างหน้า
ในบรรดาองครักษ์ทั้งหมด องครักษ์แซนเป็นคนที่เยือกเย็นที่สุด แม้การฝืนคำสั่งมารอที่ประตูเมืองแห่งนี้จะเป็นที่เข้าใจได้ แต่แม่ทัพเชมัลก็ยังต้องตักเตือน
“ข้าไม่ได้นัดพบเจ้าที่นี่” คนตัวโตกล่าวโดยที่ยังไม่ยอมหยุดเท้า จนเข้ามาภายในเขตเมืองวัน
องครักษ์แซนพร้อมรับการลงโทษ แต่เมื่อจะเอื้อมมือไปรับคนที่หลับอยู่บนหลังของแม่ทัพ แม่ทัพก็เบี่ยงตัวหลบไม่ให้แตะต้อง มือที่เอื้อมมาหาจึงค้างอยู่กลางทาง
ดวงตาสีน้ำทะเลมองแม่ทัพที่ออกคำสั่งต่อทันที
“เราต้องเร่งเดินทางต่อ”
เมื่อหันไปมองรอบตัว องครักษ์ฺแซนจึงเข้าใจ เมื่อม้าที่ผูกไว้ใกล้เคียงมีอาการกระสับกระส่าย พ่นลมหายใจแรง ทั้งบางตัวยังพยายามดึงรั้งเชือกที่ผูกไว้ จนคนคุมม้าต้องพยายามเข้าไปปลอบ
“พวกม้าดูตื่นกลัว”
“พวกเราจึงต้องเดินเท้าเท่านั้น” แม่ทัพยังคงกล่าวคำต่อไป โดยไม่หยุดฝีเท้า
องครักษ์แซนจึงต้องเป็นฝ่ายรับหน้านายด่านที่เพิ่งผละจากการทำงานมาต้อนรับ
“ทหารยามแจ้งว่า แม่ทัพเชมัลมาทางนี้”
“ใช่ แต่แม่ทัพเร่งเดินทางต่อไปแล้ว” แซนหันไปมองม้าที่กลับมามีท่าทีสงบลงทันทีที่แม่ทัพพ้นไป
“เกิดเรื่องเร่งด่วนอันใดขึ้น”
“ข้าเองก็ไม่ล่วงรู้เช่นกัน” องครักษ์แซนกล่าวความจริง “ยังไม่ทันได้พูดคุยอันใด แม่ทัพก็เดินทางต่อทันที”
“แล้ว...ม้ากับเสบียงที่ท่านให้เตรียมไว้” นายด่านยังคงเป็นกังวลว่าจะทำหน้าที่บกพร่อง
“ขอบใจท่านมากที่ช่วยเป็นธุระจัดหาสิ่งของต่างๆ ไว้” องครักษ์แซนหันไปรวบรวมเสบียงสิ่งของต่างๆ “ข้าจะเรียนแม่ทัพว่าท่านเตรียมการรับรองแม่ทัพไว้เป็นอย่างดี ขออภัยที่ข้าเองก็ต้องเร่งติดตามท่านแม่ทัพไปเช่นกัน”
หลังกล่าวคำอำลาอย่างสุภาพ องครักษ์แซนจึงเร่งเท้าออกติดตามมาจนทัน
แม่ทัพเชมัลเลือกใช้เส้นทางหลีกเลี่ยงชุมชน และเดินทางโดยไม่หยุดพัก จนกระทั่งถึงท่าเรือเล็ก องครักษ์แซนชี้ไปยังเรือที่เตรียมไว้
คนรูปร่างสูงมองแม่ทัพที่ประคองอาเม่ยลงนอนภายในเรือ แล้วจึงส่งน้ำดื่มให้ แต่แม่ทัพก็หันไปป้อนให้อาเม่ยก่อน
“เสี่ยวเม่ย ลืมตาขึ้นสักนิด ดื่มน้ำก่อน”
น้ำเสียงอ่อนโยนผิดแผกไปจนองครักษ์แซนต้องเลี่ยงออกมาด้านนอก คัดท้ายเรือมุ่งหน้าไปยังเกาะที่อยู่ห่างไกล
ครู่หนึ่งแม่ทัพเชมัลจึงออกมาหาที่ด้านท้ายเรือ
“ขออภัยที่ฝ่าฝืนคำสั่ง” องครักษ์แซนกล่าวขึ้นก่อน แม่ทัพเพียงพยักหน้ารับ “เมื่อพี่ใหญ่รอมกลับไปถึง และบอกคำสั่งข้าก็จัดหาเสบียงและออกเดินทางมาเลย”
แม่ทัพเชมัลยิ้มมุมปาก องครักษ์แซนคนใจเย็นกลับฝ่าฝืนคำสั่งของทั้งแม่ทัพ และหัวหน้าองครักษ์รอม
“ข้ามาถึงตั้งแต่เมื่อ 5 วันก่อน ยังแปลกใจที่ท่านเดินทางมาถึงล่าช้ากว่าปกติ จนกระทั่งเห็นเม่ย...” องครักษ์แซนหันไปมองในเรือ “พี่ใหญ่รอมไม่ได้บอกอาการของเขา ข้าจึงไม่ได้เตรียมยามาด้วย แต่ส่งท่านก่อนแล้วข้าจะ....”
“ไม่เป็นไร” แม่ทัพขัดขึ้นก่อน “เจ้าส่งพวกเราไว้ที่เกาะ แล้วอีก 1 เดือนข้างหน้าค่อยเอาเสบียงอาหารมาส่งอีกครั้ง หนทางห่างไกล ทั้งพระราชายังต้องการให้เจ้าทำงานสำคัญมากกว่าการดูแลข้า”
องครักษ์แซนพยักหน้า ทั้งที่ตั้งใจจะฝ่าฝืนคำสั่งอีกครั้ง
“ท่านน่าจะได้พักผ่อนสักครู่”
“เมื่อถึงเกาะ ข้าก็จะได้พักผ่อนอย่างสบายแล้ว”
องครักษ์แซนส่ายหน้าแล้วหัวเราะเบาๆ ส่วนแม่ทัพถอนหายใจหนักๆ “รอมเล่าอะไรให้ฟังบ้าง”
คนรูปร่างสูงบอกตามตรง ว่ารอมองครักษ์พี่ใหญ่ของกลุ่ม บอกแต่เพียงว่า องครักษ์ตงและโปเสียชีวิตแล้ว ขณะที่อาเม่ยถูกเฮยอั้นผู้ครองเวทย์ดำแห่งเมืองเหนือทำร้ายในลมหายใจสุดท้ายก่อนที่จะสลายร่าง แม่ทัพจึงไม่อาจเสี่ยงพาอาเม่ยเดินทางเข้าเขตเมืองวัน จำเป็นต้องเดินทางอ้อมเมือง และนัดให้ไปพบในอีก 1 เดือนข้างหน้า
“เมื่อพี่ใหญ่รอม บอกว่า เป็นเฮยอั้นเจ้าเวทย์ดำคนนั้น ข้ายังไม่คิดว่าเม่ยจะบาดเจ็บหนักเพียงนี้"
“ข้าเองก็ประมาท เพราะเห็นว่าทุกคนต่างก็เป็นผู้ใช้เวทย์ น่าจะป้องกันตนเองได้”
เป็นความประมาทร้ายแรงเกินกว่าจะให้อภัยตนเอง!
“พี่ใหญ่รอม กับน้องสี่ฮูดาเคยเผชิญหน้ากับเฮยอั้น พวกเขาย่อมรู้วิธีหลีกเลี่ยง”
แต่เฮยอั้นที่พบกับอาเม่ย ตง และโป กลับใช้เวทย์ดำโจมตีอาเม่ยให้หันไปสังหารเพื่อน แล้วก็โจมตีเม่ยอีกครั้งในการใช้พลังเวทย์ครั้งสุดท้าย เพื่อหวังผลบางอย่างที่มันจะต้องคุ้มค่ากับความตายของตนเอง!
แม้หัวหน้าองครักษ์รอมและองครักษ์ฮูดาจะไม่ได้บอกเล่าเรื่องนี้ให้แซนรู้ ทั้งองครักษ์แซนยังเร่งออกมาจากเมืองก่อน จึงไม่ล่วงรู้ว่าเสนาบดีหลี่นำเรื่องนี้ไปแจ้งให้พระราชา เพื่อลงโทษพี่ชายของอาเม่ยแล้ว
องครักษ์แซนคัดท้ายเรือไปยังเกาะเล็ก ที่ไม่มีท่าเรือ จึงต้องคัดท้ายเรือเข้าไปจนกระทั่งท้องเรือติดผืนทรายแล้วลากต่อขึ้นไปอีกต่อ
แม่ทัพเชมัลอุ้มอาเม่ยลงจากเรือแล้วก้าวขึ้นฝั่ง ตรงไปยังบ้านพักหลังเล็กที่ปลูกสร้างอยู่ในที่สูงท่ามกลางต้นไม้ใหญ่บนเกาะแห่งนี้
องครักษ์แซนถือสัมภาระติดตามมาถึงที่พัก และขอต่อเวลาในการดูแลอีกชั่วยามด้วยการเตรียมอาหารไว้ให้แล้วจากไป
แม่ทัพปลุกคนที่กำลังหลับอยู่ให้ตื่นขึ้นมากินอาหารแล้วอุ้มไปอาบน้ำล้างตัวให้ และเป็นเหมือนกับหลายวันที่ผ่านมา
เมื่อกินอิ่มอาเม่ยก็หลับต่อไปในทันที แม้จะลืมตาขึ้นมองเมื่อร่างกายสัมผัสน้ำเย็นอยู่ครู่หนึ่งก็ตาม
เพียงแต่เมื่อกลับมาถึงที่พัก สวมเสื้อผ้าแล้วเช็ดผมจนแห้ง จับให้ลงนอน เมื่อแม่ทัพเอนตัวลงนอนข้างๆ อาเม่ยกลับลืมตาขึ้นแล้วลุกขึ้นนั่ง
“เสี่ยวเม่ย”
อาเม่ยมองคนที่ถาม
“นอนนาน ทำให้ไม่อยากนอนพักแล้วหรือไง” อีกคนถามด้วยรอยยิ้ม “หรือเมื่อเย็นยังกินไม่อิ่ม”
อาเม่ยกะพริบตาสีดำสนิทแล้วก็กลับล้มตัวลงนอนเอง ทั้งดึงเสื้อของอีกคนให้นอนลงข้างๆ ครู่หนึ่งก็ขยับตัวเข้ามานอนซุกหน้ากับต้นแขนใหญ่
อาเม่ยต้องการไออุ่นจึงซุกตัวอยู่ข้างกัน แต่แม่ทัพเชมัลกลับรู้สึกลำบากใจกับความต้องการที่เกิดขึ้น
ตลอดเวลาในการเดินทาง ยามที่อยู่ในห้วงเวลาผ่อนคลายทั้งในยามที่อาบน้ำล้างตัวให้ และในเวลาที่นอนหลับเช่นนี้ ความต้องการเป็นหนึ่งเดียวกันมักเกิดขึ้น จนต้องละอายตัวเอง
ก่อนนี้จะเปลี่ยนความสนใจไปที่ความตั้งใจฟังเสียงการเคลื่อนไหวรอบตัว เพื่อระวังภัย แต่เมื่อมาอยู่บนเกาะกันตามลำพัง ความตั้งใจนี้กลับยากเย็นยิ่งนัก!
เช้าวันถัดมา หลังจากที่ให้กินอาหารเช้าเสร็จ อาเม่ยไม่มีทีท่าว่าจะนอนต่อ แม่ทัพเชมัลก็จูงมือพาไปที่ชายหาด แล้วถอดกำไลโลหะให้
ทันทีที่กำไลหลุดออก อาเม่ยส่งเสียงครางต่ำๆ ขณะที่หลับตาลง
คนตัวใหญ่ก้าวถอยออกมา 5 ก้าว โดยยังไม่ละสายตาไปจากอีกคน
อาเม่ยเกร็งมือ ผิวกายสีขาวซีดกลับกลายเป็นสีดำไม่ต่างจากดวงตา จากเสียงครางต่ำ กลายเป็นเสียงร้องตะโกนก้องปล่อยพลังที่อัดไว้ออกมา
ลมแรงกระแทกต้นไม้ใหญ่ชายหาดล้มครืน คลื่นทะเลปั่นป่วน ฝุ่นทรายหมุนวนรอบตัว แม่ทัพเชมัลต้องใช้แขนปิดบังจมูก พยายามลืมตามองความเปลี่ยนแปลงและการเคลื่อนไหวของอีกฝ่าย
แต่อาเม่ยกลับไม่มีท่าทีที่จะตรงเข้าทำร้ายแม่ทัพเชมัล เพียงแต่ปล่อยพลังที่อัดไว้ออกแล้ว ทรุดตัวลงคุกเข่า หอบหายใจ
“เสี่ยวเม่ย” แม่ทัพเรียก ขณะที่จับข้อมือของอีกคนไว้ ร่ายเวทย์รักษา
แต่อาเม่ยพยายามขืนตัว แม่ทัพต้องใช้ต้นแขนหนีบแขนของอีกฝ่ายไว้ อาเม่ยจึงมองไม่เห็นเมื่อปลายมีดคมกรีดลงที่ฝ่ามือ
แม่ทัพเชมัลร่ายเวทย์รักษา ขณะที่กดปลายมีดกรีด หยดเลือดสีดำจากปากแผล ตกลงสู่ผืนทรายก่อให้เกิดประกายไฟเล็กๆ ผิวกายกลับมาเป็นสีขาวดุจหิมะดังเดิม
แรงขัดขืนลดลง แม่ทัพเชมัลจึงหันมาจับกอดให้ซุกหน้าไว้กับอกกว้าง แต่ยื่นมือที่ยังมีบาดแผลจากมีดกรีดออกไปสุดแขน
เมื่อคนที่กอดอยู่อ่อนล้าลงแม่ทัพก็สวมกำไลโลหะให้ ใช้ผ้าสะอาดพันแผล แล้วอุ้มพากลับมาที่พักเพื่อทำแผลให้อีกครั้ง
ต้าซัน พี่ชายของอาเม่ยเคยเล่าว่า อาเม่ยสามารถใช้พลังเวทย์ได้หลายอย่าง ขณะที่เจ้าตัวเคยใช้เวทย์ไฟเมื่อตอนที่ทดสอบเข้าร่วมกองทัพ
แต่องครักษ์เก้าเชื่อว่า พลังที่แท้จริงของอาเม่ยคือลม
และวันนี้ พลังเวทย์เพียงอย่างเดียวที่อาเม่ยปลดปล่อยออกมา มีเพียงลม
แต่หยดเลือดนั่นเป็นไฟ
แม่ทัพเชมัลปล่อยให้อาเม่ยนอนพัก ส่วนตัวเองออกไปสำรวจความเสียหายเมื่อครู่ แล้วเดินไปทางฝั่งที่แซนจอดเรือเมื่อวันก่อน
ยังมีต้นไม้ประเภทไม้ผล สวนผักขนาดเล็ก ไก่หลายตัวอยู่ในกรง และบ่อปลาขนาดเล็ก
ต้นไม้เหล่านี้มีอยู่บนเกาะนี้มานาน ส่วนสิ่งอื่นคาดเดาได้ว่า ต้องเป็นฝีมือของบรรดาองครักษ์ที่มาช่วยกันปลูกเตรียมไว้ ซึ่งอาจเป็นองครักษ์ซัน หรือรอม แล้วทั้งหมดก็พากันกลับไปเมื่อวานนี้
ที่ไม่คิดว่าจะเป็นองครักษ์ฮูดา ก็เพราะด้วยนิสัยแล้ว คนผู้นี้จะต้องอยู่รอจนกว่าจะพบ และจัดการความเป็นอยู่ที่นี่อีกหลายวันจึงจะกลับไป
ไม่แน่ว่าอาจต้องมีปากเสียงกันก่อน ถึงจะยอมสะบัดหน้าจากไป
แม่ทัพหยิบไข่ไก่ และผลไม้กลับมาด้วย แต่เมื่อเดินเข้าไปในที่พัก อาเม่ยที่นอนหลับอยู่ก็ลืมตาขึ้นลุกนั่ง ส่งเสียงไม่พอใจที่ข้อมือถูกตรึงไว้กับพื้น
“อยากไปเดินเล่นหรือ” แม่ทัพนั่งลงบนที่นอน มือใหญ่คลายเส้นผมยุ่ง แล้วรวบถักเปียให้ใหม่ “เห็นเจ้าอ่อนเพลียมาหลายวัน ไม่คาดคิดว่า แท้จริงเจ้ามีพลังที่แข็งแกร่งมาก ถึงขนาดที่ล้มต้นไม้ใหญ่ที่ชายหาดไปหลายต้น”
ดวงตาสีดำที่ปราศจากสีขาวล้อมรอบ จ้องมองมือที่มีผ้าพันแผล แม่ทัพก็บอกโดยที่ไม่ต้องมีคำถาม “ข้าขับเลือดสีดำออกไป เจ็บแผลหรือไม่”
มือใหญ่จับมือข้างนั้นไว้ หยุดมองเพื่อรอคอยคำตอบ
แต่มีเพียงเสียงครางต่ำๆ
“ไปเดินเล่นกัน”
อย่างน้อยวันนี้ก็มีปฏิกิริยาตอบโต้ดีกว่าหลายวันที่ผ่านมา แต่แม้จะกล่าวชวนกันไปเดินเล่น อาเม่ยก็ยังทำได้เพียงการเดินตามอีกคนไปเรื่อย
“เกาะนี้อยู่ห่างไกล พวกเรานำสัตว์ป่ามาปล่อยไว้ และปลูกต้นไม้ใหญ่เพื่อให้ออกผลให้แก่นักเดินเรือที่พลัดหลงมา แต่เมื่อครั้งยังเด็ก ข้ากับพระราชาก็เคยมาถึงที่นี่ เพื่อฝึกหัดการเอาตัวรอด” แม่ทัพเชมัล ดึงมืออีกคนให้นั่งลงข้างกันที่โขดหิน มองผืนทะเลที่สงบนิ่ง “ผู้ใหญ่เรียกมันว่าการเอาตัวรอด แต่สำหรับข้ากับพระราชาแล้ว ที่นี่คือสถานที่ที่น่าเบื่อหน่ายยิ่งนัก ที่เขตกันชนระหว่าง 3 เมืองใหญ่นั่นต่างหากจึงจะเรียกว่า ที่ฝึกหัดเพื่อเอาตัวรอด”
ดวงตาสีเข้มหันมามองคนที่นั่งอยู่ข้างๆ ปลายนิ้วแตะแก้มใส
“การที่เฮยอั้น ใช้เวทย์ดำกับเจ้า เพื่อให้เจ้าหันไปทำร้ายตงกับโป ย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มันต้องรู้ว่าเจ้าสำคัญกับข้า มากกว่าชีวิตของข้าเอง และเพราะมันรู้ว่าเจ้าคือคนสำคัญ มันจึงเลือกทำร้ายเจ้าเช่นนี้” ริมฝีปากหนาจูบที่หน้าผากมน “ขอโทษนะเสี่ยวเม่ย”
...จบตอนที่ 19...