ตอนที่ 7 เมืองหน้าด่านมีผู้ใช้เวทย์อยู่หลายคน ร่วมด้วยทหารฝีมือดีที่ถูกส่งเข้ามาสมทบ นับตั้งแต่พบการเคลื่อนไหวผิดปกติ
แต่เมื่อขบวนของแม่ทัพเชมัลเข้าใกล้เมืองหน้าด่าน ก็พบม้าเร็ววิ่งสวนมาแจ้งข่าวว่า พบกลุ่มฝ่ายตรงข้ามในลักษณะที่ไม่น่าไว้วางใจ
แม่ทัพเชมัลจึงสั่งให้กลุ่มองครักษ์เร่งม้าตรงไปตามตำแหน่งที่ม้าเร็วแจ้งข่าว
กลุ่มมนุษย์และอมนุษย์จำนวนร้อย รวมอยู่ในทุ่งกว้าง ห่างจากแนวรั้วของเมืองหน้าด่านไม่มากนัก สามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากบนกำแพงเมือง
แม่ทัพนาซิมผู้ปกครองเมืองหน้าด่าน เป็นนักรบที่ใช้ดาบใหญ่เป็นอาวุธ ดวงตาคมกริบ เตรียมพร้อมที่จะเข้าต่อสู้กับฝ่ายตรงข้ามตลอดเวลา
ผมสั้น ผิวสีเข้ม ดวงตาดุดันกึ่งเย้ยหยันผู้คนอยู่ในที
และแม่ทัพผู้นี้ กำลังต้อนรับแม่ทัพเชมัลกับกลุ่มองครักษ์ที่ล่วงหน้ามาก่อนทหารราบบนกำแพงเมือง หาใช่ที่ห้องประชุม บ่งบอกถึงความจริงจังต่อหน้าที่
“เมื่อรุ่งเช้าชาวบ้านมาบอกว่า มันอยู่ห่างออกไปประมาณครึ่งวัน ครู่เดียวพวกมันก็เข้ามาถึงที่นั่นแล้ว ข้าจึงให้ม้าเร็วไปแจ้งข่าว”
“พวกมันผ่านหมู่บ้านโจรเข้ามา ข้าเคยไปปราบโจรที่นั่น” พี่ใหญ่รอมบอก แต่ผู้คุมเมืองหน้าด่านแจ้งว่า หมู่บ้านนั้นไม่ได้ถูกทำลาย แต่พวกมันใช้วิธีเดินทางอ้อมหมู่บ้านหลายแห่งจนเข้ามาถึงแนวรั้วของเมือง
องครักษ์ฮูดาลงจากหลังม้า สัมผัสพื้นดิน แล้วบอก
“ครึ่งหนึ่งเป็นอมนุษย์ที่มาจากดิน อีกครึ่งเป็นมนุษย์”
...เวทย์ดำ...
แม่ทัพนาซิมถามผู้ที่มีศักดิ์เป็นน้อง “พวกเจ้าเพิ่งเดินทางมาถึง...”
“ข้าอยากอวดฝีมือขององครักษ์ใหม่ต่อท่านพี่”
แม่ทัพนาซิมเลิกคิ้วสูงเชิงถาม แม่ทัพเชมัลก็ชี้ไปที่องครักษ์ตง โป และอาเม่ย
“คนใช้มีดสั้นคือโป อีกคนคืออาเม่ย ส่วนอีกคนคือตง...ไว้ก่อนดีกว่า”
องครักษ์ตงได้แต่พูดเสียงอ่อย “ข้าทำได้มากกว่าล้มม้าจริง ๆนะ”
มีเสียงหัวเราะหลายเสียงผสานขึ้น แต่ดวงตาของแม่ทัพนาซิมกลับไปหยุดอยู่ที่องครักษ์เก้าผู้ใช้ธนู
ดวงตา และรอยยิ้มที่คล้ายกำลังดูหมิ่นผู้อื่น กลับอ่อนโยนลง
“วันนี้เจ้าก็มาด้วย”
องครักษ์เก้าเพียงแค่พยักหน้าแล้วก้มหน้าเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา
อาเม่ยพยักหน้าให้กับความคิดของตนเอง คนผู้นี้เพียงมีบุคลิกดูหมิ่นผู้อื่น แต่เนื้อแท้ตรงข้าม อาจเพราะการที่ต้องปกครองเมืองทหารแห่งนี้โดยลำพัง
แม่ทัพเชมัลดูความพร้อมของทุกคนอีกครั้งแล้วขอให้ทั้งหมดเตรียมพร้อมอยู่ที่ด้านหน้าของแนวกำแพง แต่นำกลุ่มองครักษ์เข้าหาฝ่ายตรงข้าม
เมื่อเข้าไปใกล้ กลุ่มมนุษย์และอมนุษย์ในทุ่งกว้างก็จัดขบวนแถวรอรับ
ผู้ที่ก้าวมายืนอยู่ข้างหน้ากลุ่มมีรูปร่างสูงใหญ่ พี่ใหญ่รอมบอกทุกคน “เป็นกองโจรที่สนับสนุนพวกเมืองเหนือ”
แม่ทัพลงจากหลังม้า ฝูงม้าก็กลับไปรอที่กำแพงเมืองโดยไม่ต้องสั่งการ
มีผู้ที่เหลืออยู่ตรงนี้เพียง 6 คนเปรียบเทียบกับฝ่ายตรงข้ามแล้วห่างกันไกล แต่แม่ทัพเชมัลไม่ได้เป็นกังวลในเรื่องนั้น
“แซน ฮูดา เก้า โป เม่ย”
4 คนเตรียมพร้อมที่จะเป็นกลุ่มนำ แต่อาเม่ยกลับเสนอแผนที่ดีกว่า
“ข้ามีทางลัด พี่เก้า ธนูของท่านแรงขนาดไหน”
องครักษ์เก้าชี้บอก “หากต้องการให้ยิงข้ามไปถึงด้านหลังของฝ่ายตรงข้ามก็ได้”
“ดี” อาเม่ยบอก “พี่แซนส่งน้ำให้ข้าด้วย”
ขณะที่คนอื่นยังไม่ค่อยเข้าใจแผนการนี้ แต่แม่ทัพกับพี่ใหญ่รอม กลับคลี่ยิ้มพลางพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดขององครักษ์คนใหม่
องครักษ์เก้า โก่งคันธนูแล้วยิงธนูออกไป จากธนูดอกเดียวแตกออกเป็นร้อย พร้อมกับที่องครักษ์แซนเรียกสายน้ำจากกลางอากาศ และ...
อาเม่ยกระโดดขึ้นเหยียบธนูเพียงหนึ่งดอกพุ่งตรงไปกลางกลุ่มฝ่ายตรงข้าม
องครักษ์ฮูดาร่ายเวทย์เสริมแรงน้ำขององครักษ์แซนเพื่อเร่งสลายร่างดินของฝายตรงข้าม
ส่วนแม่ทัพ พี่ใหญ่รอม และองครักษ์ตง ที่เป็นกลุ่มผู้ใช้ดาบเป็นหลัก ต่างก็ใช้อาวุธในมือฟาดฟันคู่ต่อสู้ที่เป็นมนุษย์
ที่น่าประหลาดก็คือลูกธนูที่ไม่ขาดสายขององครักษ์เก้ากลับไม่สัมผัสฝ่ายเดียวกัน
ท่ามกลางการต่อสู้ชุลมุน หัวหน้าของฝ่ายตรงข้ามซัดอาวุธใส่คนที่ยืนอยู่บนธนูจนตกลงมากระแทกพื้น แต่เพียงอึดใจดาบของแม่ทัพก็ผ่าแยกร่างหัวหน้ากลุ่ม
ทั้งหมดปราบกลุ่มผู้บุกรุกนับร้อยในเวลาเพียงชั่วอึดใจ
ที่ผ่านมาเป็นที่รู้ว่า แม่ทัพเชมัลเป็นคนที่จัดการทุกสิ่งทุกอย่างอย่างเด็ดขาดและรวดเร็ว ศัตรูถึงเกรงกลัว ดังนั้นในครั้งนี้ที่มีศัตรูเพียงหยิบมือจึงไม่น่าเป็นกังวล
แต่การกำจัดทั้งหมดคราวนี้ก็ยังหมดจดรวดเร็วเกินไป
เมื่ออมนุษย์ที่มาจากดินถูกองครักษ์ฮูดาฝังและกำชับด้วยเวทย์เพื่อไม่ให้กลับคืนขึ้นมาอีก จึงเหลือแต่ร่างของผู้ที่เป็นมนุษย์ล้มตายเกลื่อนอยู่บนผืนดิน
“อาเม่ย” แม่ทัพมองหาคนที่หายไป แล้วหยุดที่ร่างที่นอนคว่ำหน้า
คนตัวโตจับให้พลิกหงายแล้วช้อนอุ้มขึ้น จากนั้นหันมาหาอีกคนที่มีอาการเหนื่อยหอบ ที่ก้าวตามมาอยู่ใกล้ชิด
“ไหวไหมฮูดา”
“ไหว”
แม่ทัพพยักหน้า “เดี๋ยวเข้าไปพักในเมือง ขออภัยที่มาถึงก็ให้เข้าปะทะทันที” จากนั้นเดินนำกลับมาที่กำแพงเมือง สวนกับแม่ทัพนาซิม
“ต้องการให้ฮูดาอยู่ช่วยฝังศพคนพวกนี้ก่อนหรือไม่”
“เรื่องเล็กน้อย” แม่ทัพนาซิมบอก “พวกท่านเข้าไปพักผ่อนก่อนเถิด”
แต่อีกไม่ถึง 5 ก้าวถัดมาคนที่อุ้มอยู่ก็ขยับตัว
“ถ้าข้าเป็นเจ้า ข้าจะยังไม่ตื่นในเวลานี้” คนตัวใหญ่ถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย “เจ้าเป็นคนเดียวในกลุ่มพวกเราที่ล้มในกลุ่มศัตรู ขณะที่คนอื่นไม่มีแม้แต่รอยข่วน”
“อะไรนะ!”
อาเม่ยลืมตาโพลง ทั้งดิ้นจนคนที่อุ้มอยู่ต้องปล่อยมือ แถมพอปล่อยมือ ก็ยังเสียหลักล้มลงอีก
“แย่จริง” คนตัวโตแสร้างทำสีหน้าเบื่อหน่าย “ล้มแล้วล้มอีก”
องครักษ์เก้าเข้ามาช่วยดึงมือให้อาเม่ยลุกขึ้น
“ข้า เป็นคนเดียวที่ล้มในการปะทะจริงหรือ” อาเม่ยถามองครักษ์เก้าที่กำลังยิ้มขำ ทั้งยังพยักหน้าบอกว่า คำกล่าวของแม่ทัพนั้นถูกต้อง
เมื่อหันไปมองทุกคนรอบด้าน ไปจนถึงแถวทหารที่ประตูเมือง ที่พากันหัวเราะอาเม่ยยิ่งรู้สึกอับอาย ตั้งใจจะโอ้อวดฝีมือ แต่เหตุใดผลลัพท์จึงออกมาในทางตรงข้ามเช่นนี้!
“ก็บอกแล้วว่าอย่าเพิ่งตื่นขึ้นมาตรงนี้” แม่ทัพเชมัลบอก
องครักษ์เก้าส่งดาบคืนให้อาเม่ย “ขอโทษที่ข้ายิงธนูไม่มั่นคง ทำให้เจ้าตกลงมา”
“อย่าเข้าข้างกันอย่างไร้เหตุผล” แม่ทัพยังมีสีหน้าเบื่อหน่ายไม่เลิก “โดนคนฟาดจนตกลงมา ไม่เกี่ยวกับธนูของเจ้าหรอก”
“เป็นไปได้อย่างไรกัน” อาเม่ยแทบร้องตะโกนด้วยความไม่พอใจ เดินกลับไปที่ประตูด่าน ยังเห็นทหารพากันยิ้มขำ
ไม่ได้ไม่พอใจที่ถูกคนเหล่านี้ขำ
แต่ไม่พอใจแม่ทัพที่...จะด้วยเหตุใดก็ช่าง ไม่พอใจที่สุด!
ขนาดองครักษ์ฮูดาที่ขัดตากันมาตลอด ยังยิ้มขำ
มีแต่แม่ทัพคนนี้ที่เอาแต่ทำสีหน้าเบื่อหน่ายแล้วก็ส่ายหน้า มันช่างน่าโมโหอย่างยิ่ง!
เมื่อกลับเข้ามาอีกครั้ง จึงพบว่า เมืองหน้าด่านไม่ได้ต่างจากค่ายทหารที่เมืองหลวง ผู้คนที่นี่ส่วนใหญ่คือทหาร บ้านเรือนขนาดเล็กปลูกสร้างมั่นคง และตลาดเล็กๆ ที่คนในหมู่บ้านใกล้เคียงนำของมาวางขายเฉพาะในยามเย็นไปถึงค่ำ มิใช่วางขายกันตลอดวัน
เจ้าหน้าที่กรมเมืองเข้ามาเชิญให้ทั้งหมดไปพักผ่อนก่อน เพราะทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว เกินกว่าที่จะเตรียมสิ่งใดทัน
ตั้งแต่กลุ่มแม่ทัพเชมัลมาถึง ออกไปรบ แล้วก็กลับเข้ามา ช่างรวดเร็วเกินไป
ผู้ทำงานทุกคนมีสิทธิ์ที่จะโดนแม่ทัพนาซิมลงโทษฐานบกพร่องต่อหน้าที่ด้วยกันทั้งสิ้น!
“ข้าให้คนไปเรียกท่านหมอแล้ว ท่านองครักษ์เป็นอย่างไรบ้าง” นายด่านถามด้วยความเป็นห่วง แต่อาเม่ยยกมือบอกว่าไม่เป็นไร
ยามนี้ โดนผู้อื่นล้อเลียนหรือยิ้มขำก็ไม่ได้รู้สึกอันใดแล้ว แต่พอเป็นอีกคนกลับยังรู้สึกโกรธอยู่
มีสิ่งใดน่าขำ น่าเบื่อหน่ายนักหนา....
ทั้งแม่ทัพเชมัล และเหล่าองครักษ์ต่างรั้งรออยู่ในห้องประชุมใหญ่ ที่ประกอบไปด้วยตู้เอกสาร กับโต๊ะตัวใหญ่ที่มีแผนที่วางอยู่บนโต๊ะ
ยังมีไม้แกะสลักตัวเล็กเป็นรูปของอมนุษย์ และมนุษย์ วางอยู่เหนือตำแหน่งต่างๆ กับยังมีรูปม้าสีดำตัวหนึ่งที่วางอยู่ในเขตป่า....
แต่ก็ยังมีสัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายสัตว์หลายชนิดผสานกันวางอยู่ใกล้กับเขตเมืองเหนือ ....
แม่ทัพนาซิมกลับเข้ามาเมื่อรวบรวมอาวุธจากกลุ่มผู้บุกรุกเสร็จสิ้น แล้วสั่งการให้ทหารจัดการเรื่องราวต่อ
“สายที่ส่งออกไป พบการเคลื่อนไหวผิดปกติที่เมืองหน้าด่านฝั่งนั้น” นิ้วมือใหญ่ชี้ไปตามแผนที่แผ่นใหญ่บนโต๊ะ “พวกมันเดินทางเร็วมาก แต่หากเราออกไปตั้งรับห่าง ก็อาจถูกกล่าวหาว่าล้ำดินแดนได้”
ในเวลาที่ฟังรายงาน ฟังแผนการบุกโจมตีไม่มีความรู้สึกขุ่นเคืองใด
แต่ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นในทันทีที่ การหารือเสร็จสิ้นแล้วแม่ทัพเชมัลหันมาส่งเสียงเบื่อหน่าย พลางส่ายหน้า
“ต่อไปข้าจะไม่ถูกล้อเลียนเรื่องม้าแล้ว” องครักษ์ตงบอกด้วยความยินดี
จนกระทั่งอาหารมื้อค่ำผ่านไป อาเม่ยออกไปช่วยพี่ใหญ่รอม และองครักษ์แซนจัดเตรียมอาวุธ
“เจ้าเป็นผู้เหินลม แล้วทำไมถึงเล่นไฟในตอนที่คัดเลือก” พี่ใหญ่รอมถาม
อาเม่ยหลบตาพี่ใหญ่ของกลุ่มองครักษ์ “ถึงต้าซันจะบอกว่า ข้าทำได้หลายอย่าง แต่ที่จริงแล้วไม่ได้ดีสักอย่าง”
องครักษ์แซนหลุดหัวเราะเสียงดัง แม้แต่ทหารที่อยู่ใกล้ก็ยังพากันหัวเราะ
“เพราะเอาดีไม่ได้สักอย่าง พ่อก็เลยบอกว่า ข้าน่าจะลองทำอะไรที่มันเป็นประโยชน์บ้าง”
“เจ้าหมายถึงเจ้าใช้เวทย์ได้ทุกอย่างในระดับที่เท่าๆ กันงั้นหรือ” คำกล่าวของพี่ใหญ่ดีเกินกว่าความเป็นจริง
“เราใช้ได้อ่อนในระดับที่เท่าๆ กัน”
“ไม่หรอก” พี่ใหญ่รอมให้กำลังใจ “จากที่เห็น เจ้าเหินลมได้ดีกว่าใช้ไฟ”
การให้กำลังใจและเสริมความมั่นใจเป็นเวทย์ของหัวหน้าองครักษ์รอม แต่พี่ใหญ่ผู้นี้กลับไม่ค่อยได้ใช้ความสามารถด้านนี้บ่อยนัก ด้วยเห็นว่า ความมั่นใจในตนเองสมควรเป็นสิ่งที่ตนสร้างขึ้นเอง มิใช่พึ่งพิงจากผู้อื่น จึงมักจะใช้วิธีการพูดเพื่อกระตุ้นให้ทุกคนมีความมั่นใจมากกว่า
อาเม่ยไม่ค่อยเห็นด้วยกับคำกล่าวของพี่ใหญ่ “ตอนที่ทดสอบ แค่แม่ทัพพลิกฝ่ามือก็ดับไฟได้แล้ว ส่วนครั้งนี้ยังตกลงมาเสียอีก ข้าไม่ได้เรื่องจริงๆ”
“ตงกับเจ้านี่เหมือนกันอยู่อย่าง เวลาที่ถูกล้อเลียนแล้วไม่ตอบโต้รุนแรง” องครักษ์แซนกล่าวด้วยความเอ็นดู
อาเม่ยยิ้มกว้าง “เพราะมันคือความจริงที่เรายังไม่เก่ง จึงผิดพลาด แล้วพวกท่านก็เพียงล้อเลียนไม่ได้กลั่นแกล้งกันแบบเด็กๆ”
แต่พี่ใหญ่รอมส่ายหน้าพร้อมกล่าว “เรื่องตนเองไม่ถือสา แต่กลับไปถือสาเรื่องของผู้อื่น”
“เรื่องผู้ใด” องครักษ์แซนถาม
“เรื่องของเก้า”
องครักษ์แซนกล่าวคล้ายกับที่พี่ใหญ่รอมบอกอยู่เสมอ “อย่าได้แสดงความเห็นเรื่อยไป เพราะเป็นเรื่องส่วนตัวของพวกเขา และพวกเขาต่างก็ตัดสินใจแล้ว”
แต่ภายในห้องประชุมยามนี้ องครักษ์ฮูดากลับเป็นคนเดียวที่ยิ่งนานยิ่งอ่อนเพลีย ใบหน้าที่เคยคมเข้มขาวซีด จนองครักษ์ตงยังสงสัย
“ข้าไม่เคยเห็นท่านเหน็ดเหนื่อยเช่นนี้มาก่อนเลย”
“ข้าไม่เคยเป็นเช่นนี้” องครักษ์ฮูดาสงสัยตนเอง “ข้ามาที่นี่หลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เหน็ดเหนื่อยขนาดนี้”
“ตงพาฮูดาไปนอนพัก ข้ายังมีเรื่องคุยกับท่านพี่นาซิม”
แต่เมื่อองครักษ์ฮูดากับตงออกไปแล้ว แม่ทัพนาซิมกลับชวนแม่ทัพเชมัลให้เดินตามออกไปที่ด้านนอก
ยามนี้เหลือเพียงองครักษ์เก้าที่ตามแม่ทัพไปที่บ้านพักอีกหลังที่ปลูกสร้างอย่างมั่นคง
เมื่อเข้ามาถึงเจ้าของบ้านก็เทสุราใส่ถ้วยใหญ่ขึ้นดื่มทันที
ส่วนแม่ทัพเชมัลมองหาไปทั่วบ้าน “หลานชายของข้าล่ะ”
“ให้ท่านน้าพาไปฝากพระราชาแล้ว” แม่ทัพนาซิมบอก แต่ดวงตากลับมองคนที่ก้มหน้ามองพื้น จนน้องชายต้องกระแอมเรียก
“มิน่าเล่า ตั้งแต่มาถึงไม่เจอ ที่แท้ก็เดินทางสวนกันนี่เอง”
“พอเห็นว่าพวกมันเคลื่อนที่ได้เร็วขนาดนั้น ก็ไม่ไว้ใจ พาไปฝากไว้ในเมืองดีกว่า” แม่ทัพนาซิมรินเหล้าใส่แก้วดินเผาให้กับน้องชาย “มาดื่มกัน”
“ข้ากังวลเรื่องที่ฮูดาป่วย" แต่แม่ทัพเชมัลก็ยังนั่งลง แล้วยกแก้วเหล้าขึ้นจิบ “ฮูดาผู้สัมผัสดินมีอาการอ่อนเพลียมากตั้งแต่มาถึง”
แม่ทัพนาซิมที่กำลังจะยกอีกถ้วยชะงักมือ แล้วเดินออกไปเรียกหาผู้ช่วยที่ด้านนอก “ที่นี่มีผู้ใดที่อาการอ่อนเพลียผิดปกติบ้างหรือไม่”
ผู้ที่อยู่ด้านนอกล้วนตอบว่าไม่ แม่ทัพนาซิมจึงหันมาตอบน้องชาย
“ที่นี่มีสิ่งที่ผิดปกติเกิดขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เพราะฮูดามีสัมผัสพิเศษเขาจึงรับรู้ก่อนผู้อื่น ข้าจะให้แพทย์หลวงไปตรวจดูอาการ แล้วจะประกาศให้ทุกคนเพิ่มความระมัดระวัง"
หลังจากที่แม่ทัพนาซิมสั่งงาน 2 พี่น้องก็กลับมานั่งดื่มด้วยกันต่อ ส่วนองครักษ์เก้าขอติดตามผู้ช่วยของแม่ทัพนาซิมไปหาแพทย์หลวง
เมื่อคนอื่นทราบเรื่องขององครักษ์ฮูดา ต่างก็พากันไปรวมกลุ่มอยู่ในห้องพักขององครักษ์ฮูดา “พี่ใหญ่รอมรักษาท่านฮูดาไม่ได้หรือ” องครักษ์โปถามขึ้น
“อาการอ่อนเพลียเช่นที่เกิดกับฮูดา ข้ารักษาได้แต่ตัวของข้าเอง แต่รักษาผู้อื่นไม่ได้” พี่ใหญ่รอมบอกด้วยความรู้สึกผิด
องครักษ์ฮูดาโบกมือ “ไว้รอถามแม่ทัพดีกว่าว่าต้องทำอย่างไร ข้าเป็นแบบนี้แสดงว่าศัตรูแทรกซึมเข้ามาทางดินอย่างไม่ต้องสงสัย”
พี่ใหญ่รอมหันไปบอกองครักษ์แซนกับตงไปตรวจดูบ่อน้ำภายในค่ายทหาร “ทำในสิ่งที่ทำได้ไปก่อน”
เมื่อแพทย์หลวงตรวจอาการขององครักษ์ฮูดาเสร็จ ก็สั่งยาบำรุงและบอกให้พักผ่อน
“พวกเราคงต้องใช้ท่านเป็นตัววัดความร้ายกาจของศัตรูอีกสักพัก”
องครักษ์ฮูดาทำหน้าเหนื่อย “ไม่สนุกเลยที่ต้องมาเป็นคนป่วยในสถานการณ์คับขันแบบนี้”
พี่ใหญ่รอมให้กำลังใจ “เราจะปกป้องทุกคนได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว ฮูดา เจ้าต้องอยู่ที่นี่เพื่อมองดูความผิดปกติของตัวเจ้าเองแล้วบอกกับเราว่าต้องทำอย่างไร”
องครักษ์ฮูดาพยักหน้ารับคำสั่ง
สิ่งที่เกิดขึ้นกับองครักษ์ฮูดา จะเกิดขึ้นกับทุกคนในที่นี่ในเร็ววัน
เพราะสัมผัสดินเมื่อแรกมาถึง ทั้งยังใช้พลังมากเพื่อสลายอมนุษย์ ทั้งหมดนี้จึงมีผลต่อองครักษ์ฮูดาโดยตรงและเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
ก่อนที่จะหลับตาลง องครักษ์ฮูดาก็กล่าวกับพี่ใหญ่รอม “ช่วยสั่งทุกคนว่าอย่าเพิ่งออกไปที่ด้านนอกด่าน พรุ่งนี้เช้าข้าจะออกไปตรวจดูอีกครั้ง”
องครักษ์เก้าออกไปส่งแพทย์หลวงถึงที่พัก แม้แพทย์หลวงจะปฏิเสธโดยอ้างเรื่องที่ตนเป็นเจ้าบ้านส่วนองครักษ์ของแม่ทัพเชมัลเป็นผู้มาเยือน แต่คนสุภาพก็ยังคงดึงดันที่จะเดินไปส่ง
เมื่อเดินกลับมาตามลำพัง องครักษ์เก้ามองเห็นเงาเคลื่อนไหวที่บริเวณโคนต้นไม้ใหญ่ แต่ประสาทสัมผัสไม่รู้สึกถึงความประสงค์ร้ายจึงเดินผ่าน หากเมื่อเดินผ่านกลับถูกดึงกลับมาที่ต้นไม้ใหญ่แขนใหญ่รัดเอวไว้แน่น อีกมือหนึ่งกดปิดริมฝีปาก
“อย่าเสียงดังไป”
แม่ทัพนาซิมออกคำสั่งขณะที่เหลียวมองไปรอบตัว แล้วคลายมือที่ปิดปากออก
“ครับ ท่านมีเรื่องใด” องครักษ์เก้าถาม พลางแกะมือที่รัดเอวออก แต่แม่ทัพนาซิมกลับรัดเอวแน่นขึ้นกว่าเดิม “อย่าทำเช่นนี้ ข้า ข้ามีคนรักแล้ว”
ผู้อาวุโสกว่าคลายมือที่เอว “เจ้ามีคนรักแล้วหรือ ข้าขออภัย ข้ารู้ว่ามีแต่เพียงฮูดาที่มีครอบครัวแล้ว”
“ฮูดามีครอบครัวแล้ว ส่วนข้ามีคนรักแล้ว” องครักษ์เก้าที่ก้มหน้ามองพื้น เหลือบตาขึ้นมองแล้วก็กลับตาอีกครั้ง
วิธีการมองเช่นนี้ ทำให้แม่ทัพนาซิมกระชับกอดเอวบางใหม่
“ปล่อย ท่านทำเช่นนี้ไม่ได้” องครักษ์เก้ารู้สึกขัดใจ ที่แม่ทัพผู้นี้มือไวยิ่งนัก
“คนรักของเจ้าเป็นหญิงหรือชาย”
“หญิง”
“ไม่ใช่” แม่ทัพกล่าวทันที “ถ้าคนรักของเจ้าเป็นหญิง ข้าจะปล่อยเจ้าไป แต่ถ้าเป็นชายแสดงว่าข้ายังมีสิทธิ์ที่จะชอบเจ้า”
หากคนรักเป็นเพศเดียวกันนั่นคือรักนั้นยังไม่มั่นคง แต่หากคนรักต่างเพศแสดงให้เห็นว่าจะนำไปสู่การแต่งงานและครอบครัวอย่างแท้จริง...
“คนรักของข้าเป็นหญิง นางชื่อพริม”
“ไม่ใช่ คนรักของเจ้าไม่ใช่หญิง”
“นางเป็นหญิง” องครักษ์เก้าเงยหน้าขึ้นมองตาอีกฝ่าย “ท่านเป็นผู้ปกครองที่นี่ ไม่ควรทำผิดด้วยการล่วงเกินผู้ที่มีคนรักอยู่แล้ว”
มือใหญ่จับท้ายทอยของอีกฝ่ายไว้แน่น ขณะที่ก้มลงจูบ
องครักษ์เก้าลืมตาโพลงเมื่อริมฝีปากใหญ่บดเบียดริมฝีปากบางจนรู้สึกเจ็บ กลิ่นเหล้าแตะจมูก ยิ่งขัดขืนก็ยิ่งถูกกอดรัดแน่นขึ้น
แม่ทัพละริมฝีปากออกก้มลงจูบแก้ม “เจ้าไม่ใช่คนที่จะชอบหญิง”
“แต่ข้าเป็น และท่านกำลัง....”
ริมฝีปากหนากดจูบ สอดลิ้นเข้าหา 2 มือทั้งทุบทั้งผลัก เท้าก็เตะเข้าที่หน้าแข้ง แต่อีกฝ่ายกลับหัวเราะอยู่ในลำคอ
เมื่อริมฝีปากใหญ่ละออก องครักษ์เก้ากล่าวคำทันที “ข้าเป็นผู้รับใช้ใกล้ชิดของแม่ทัพเชมัล”
รอยยิ้มยินดีหายไปเหลือเพียงความคาดไม่ถึง “อะไรนะ”
“ข้าเป็นผู้รับใช้ของแม่ทัพเชมัล และข้าก็มีคนรักเป็นหญิง”
“หมายถึง เขาเรียกหาเจ้า ทั้งที่เจ้ามีคนรักงั้นหรือ”
“ข้าไม่ตอบเรื่องนั้น แต่คำพูดของท่านคือการยอมรับว่า ข้ามีคนรักแล้ว ดังนั้นก็ปล่อยข้ากลับไป”
เมื่ออีกฝ่ายเบี่ยงตัว องครักษ์เก้าก็รีบวิ่งกลับมาที่ที่พักทันที
เมื่อเข้าใกล้เขตที่พักชะงักเท้าผ่อนลมหายใจ บังคับมือไม่ให้สั่น ขณะที่เดินช้าๆ ไปที่ที่พัก
“เจ้าหายไปนาน” แม่ทัพเชมัลก้าวเดินออกมาจากเงาของบ้านที่อยู่ใกล้เคียง
“ขะ ข้า ข้า...” องครักษ์เก้าอึกอัก
“เจอกับท่านพี่หรือไม่”
เมื่อแม่ทัพเชมัลถาม องครักษ์เก้าก็ยกมือขึ้นปิดปากทันที ทำให้แม่ทัพต้องหันไปทางอื่น
“แย่จริง”
“ข้า ขอ อภัย”
องครักษ์เก้าตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
แม่ทัพเพียงแต่ยกมือ ใบหน้าที่หันไปทางเงามืดทำให้เก้าไม่รู้ว่าแม่ทัพมีสีหน้าเช่นไร
“ท่านแม่ทัพ ข้า ข้าขออภัย”
แม่ทัพหันมามองคนที่ก้มหน้า มือใหญ่สัมผัสแก้มที่เปียกหยาดน้ำตา
“เจ้าชอบพอท่านพี่หรือไม่”
องครักษ์เก้าส่ายหน้าแรง “ข้ามีเพียงท่าน”
แม่ทัพถอนหายใจหนักๆ
“คนที่เจ้าต้องรับผิดชอบไม่ใช่ข้า แต่เรื่องนี้ จะอย่างไรก็ไม่ควรให้พริมรู้” แม่ทัพหันไปมองทางด้านหลังขององครักษ์เก้า “ข้าเป็นอดีตสำหรับเจ้า อย่าถือเรื่องของข้าไว้เป็นภาระของเจ้า”
แม่ทัพนาซิมได้ยินคำพูดบางคำของน้องชาย
“ข้าตามมาเพื่อขออภัยต่อเจ้า”
แม่ทัพเชมัลโบกมือ “ขออภัยข้าด้วยเรื่องอันใด ทั้งท่านและข้าต่างก็เป็นผู้ที่ต้องเป็นฝ่ายไป” น้องชายเดินเข้าไปโอบไหล่พี่ชายพาเดินกลับไปที่บ้านของแม่ทัพนาซิม “พวกเรากลับไปดื่มสุรา ตามประสาผู้แพ้กันดีกว่า”
องครักษ์เก้ามองผ่านม่านน้ำตาตามหลังของ 2 พี่น้อง กระทั่งรู้สึกตัวเมื่ออาเม่ยแตะที่ข้อศอก
คนตัวเล็กผมสีเงินกล่าวเบาๆ “พี่ฮูดาบอกให้ข้าออกมาดูท่าน”
การเข้าถึงจิตใจที่อ่อนแอเป็นหนึ่งในความชำนาญขององครักษ์ฮูดา
องครักษ์เก้าเช็ดน้ำตาขณะที่พยักหน้า เดินตามอาเม่ยกลับมานั่งที่เก้าอี้ไม้ที่หน้าบ้านพัก
นิ่งไปครู่หนึ่งคนสุภาพก็กล่าวขึ้น “เม่ย....ข้าไม่มีความสุขเลย”
...จบตอนที่ 7...
ขอบ่นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องที่เขียนนิดนึงนะครับ
เช้านี้ ผมคลิ๊กหาชื่อตัวเองในกูเกิ้ล (ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำไปทำไม สงสัยจะเป็นลางสังหาร) ก็เห็นชื่อ jivetea ต่อท้ายด้วยชื่อบอร์ด ไปปรากฏอยู่ในเว็ป xxx ซึ่งผมมั่นใจโดยที่ไม่ต้องโทรไปถามพี่ไจฟ์ก่อนว่านั่นเขาหรือใคร เพราะว่านั่นไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา และไม่ใช่ผมแน่นอน
หรือหากคุณจะคลิ๊กไปเจอชื่อนี้ในเว็ปใดก็ตาม ผมขอให้คุณมั่นใจเช่นกันว่านั่นไม่เรา 2 คน ซึ่งอันที่จริง ถ้าคุณรู้จักเราคุณก็รู้ได้เองแหละว่านั่นไม่ใช่ แต่เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในอนาคต ทั้งกับเราเองและกับบอร์ด ผมคิดว่า อาจถึงเวลาที่จะต้องขอเปลี่ยนชื่อ หลังจากที่ใช้ชื่อนี้มานานหลายปี ซึ่งก็ยังมีเวลาอีกนานละนะ กว่าที่พี่ๆ จะเปิดให้เปลี่ยนชื่อ
โดนลอกเรื่อง โดนทำลิงค์ คราวนี้เอาชื่อไปใช้ในเว็ป xxx อีก ผมว่าผมเริ่มเครียดแล้วนะ
ขอบคุณที่ติดตามนะครับ
.น้ำชา.