ตอนที่ 11เช้าวันถัดมาองครักษ์เก้ามีอาการดีขึ้นเพียงเล็กน้อย เพราะมีเพียงร่องรอยบอบช้ำภายนอกที่จางลง แต่ความบอบช้ำภายในยังคงอยู่ สามารถตอบคำถามขององครักษ์รอมพี่ใหญ่ได้เล็กน้อยแล้วก็หลับไป แม่ทัพเชมัลจึงให้องครักษ์แซนเตรียมตัวเดินทางในเวลาเดียวกันกับที่องครักษ์ตง โป และอาเม่ยออกเดินทางไปพร้อมกับคณะพ่อค้า
ทุกคนเข้าใจแผนการนี้ เพราะภาพรวมที่จะออกมาคือก็ทั้ง 3 คน คือองครักษ์ตง โป และอาเม่ย จะกลับเข้าเมืองหลวงไปพร้อมกับองครักษ์เก้าที่ถูกทำร้าย
เพียงแต่ในเวลานี้ ทั้งองครักษ์รอม และ องครักษ์ฮูดาต่างก็อ่อนเพลียจากการรักษาเก้า ยิ่งองครักษ์ฮูดายิ่งอ่อนเพลียมากทั้งจากอิทธิพลของเวทย์ดำในพื้นที่นี้ และจากการรักษา
“เมื่อส่งเก้าออกไป พวกเราก็ได้พักแล้ว” องครักษ์รอมพี่ใหญ่กล่าวให้กำลังใจ
ผ่านจากเรื่องหนึ่งก็ยังพบปัญหาอีกเรื่องหนึ่งที่ทุกคนต่างหนักใจ เพราะองครักษ์ฮูดาไม่สามารถปลอมตัวให้อาเม่ยได้
เส้นผมสีอ่อนยังคงเดิม ไม่ว่าจะใช้สารใดก็ตาม
“ยังมีผู้ใดที่รู้วิธีปลอมตนที่ข้าไม่รู้อีกไหม" คำถามของฮูดาแปลกและแตกต่างในแบบของผู้ที่มีความมั่นใจในตนเองสูงยิ่ง
แต่องครักษ์รอมพี่ใหญ่ และองครักษ์แซนที่รู้นิสัยคนพูดเป็นอย่างดี จึงไม่ถือสา
“ดวงตาสีแปลก ผมสีเงิน ต่อให้ข้าเอาเจ้าไปคลุกโคลน ใครๆ ก็รู้ว่านี่คือองครักษ์อาเม่ย” องครักษ์ฮูดายังคงมีน้ำเสียงและสีหน้า ดังเป็นความผิดของอาเม่ย ที่ไม่สามารถปลอมตัวได้
“ตัดผมให้สั้นๆ แล้วใช้ผ้าพันไว้ดีไหม” องครักษ์โปเสนอ “แต่ก็เสียดายเส้นผมสีนี้”
อาเม่ยจับเส้นผมของตนเอง ไม่ได้นึกเสียดาย แต่กำลังขบคิดว่า ต้องตัดสั้นเพียงใด
ระหว่างการหารือแม่ทัพเชมัลก็เดินนำแม่ทัพนาซิมเข้ามาที่ห้องโถงของบ้าน
“มีอะไร”
องครักษ์ฮูดาจับเส้นผมของอาเม่ย “ข้าไม่สามารถเปลี่ยนสีเส้นผมของเม่ย โปเสนอให้ตัดสั้นแล้วใช้ผ้าพันไว้”
“ตัดไหม” แม่ทัพเชมัลถามยิ้มๆ
“อย่างไรก็ได้” อาเม่ยตอบความจริง
มือใหญ่จับรวบปลายผม เส้นผมสีเงินก็เปลี่ยนเป็นสีเข้ม จากนั้นแตะที่เปลือกตา เมื่ออาเม่ยลืมตาขึ้น ดวงตาก็เปลี่ยนเป็นสีเดียวกับเส้นผม
“เส้นผม และดวงตาสีนี้ จะอยู่กับเจ้าเพียง 7 วัน”
เวทย์โดยทั่วไปจะเป็นเช่นนั้น แต่การออกไปสอดแนมอาจใช้เวลานานกว่า
อาเม่ยจับเส้นผมของตนเอง แล้วถามอย่างตรงไปตรงมา
“ท่านทำอะไรไม่ได้บ้าง”
คนรูปร่างสูงใหญ่กอดอก พลางทำท่าครุ่นคิด
“ไม่มีอะไรที่ข้าทำไม่ได้”
อาเม่ยทำหน้าเบื่อหน่าย “ถ่อมตนไง ที่ท่านทำไม่เป็น แม่ทัพหลงตัวเอง”
แม่ทัพกลับรั้งคนช่างพูดเข้ามากอด “ดูแลตัวเอง แล้วรีบกลับมา”
คนที่อยู่ในอ้อมแขนพยักหน้า
“ข้าส่งเจ้าได้แค่นี้ ให้ฮูดาพาพวกเจ้า 3 คนไปหาพ่อค้า”
คนที่อยู่ในอ้อมแขนพยักหน้าอีกครั้ง
“ดูแลตนเองด้วย”
อาเม่ยนึกอยากกล่าวคำล้อเล่นเหมือนที่ผ่านมา แต่เมื่อมีแม่ทัพนาซิมอยู่ในห้องนี้ด้วย ก็ต้องสงวนคำพูดไว้ แล้วก้าวเดินตามองครักษ์ฮูดา ตง และโปออกมา
องครักษ์ฮูดาคนจริงจังไม่ได้แสดงท่าทีอะไรเป็นพิเศษ เมื่อพาคนงาน 3 คนไปฝากไว้กับขบวนของพ่อค้า
“หนทางในป่าอันตราย ฝากให้เดินทางไปจนถึงอีกเมืองเท่านั้น” คนตาคมส่งเงินให้กับพ่อค้า “รบกวนท่านด้วย”
กล่าวคำจบองครักษ์ฮูดาก็หันหลังเดินกลับไปในทันที
พ่อค้าต่างเมืองผู้นี้ช่างโชคดี เพราะได้รับเงินมัดจำจากองครักษ์เก้าแล้ว และยังได้รับอีกจำนวนมากจากองครักษ์ฮูดา ทั้งยังได้คนงานเพิ่มมาอีก 3 คนที่ถูกใช้ให้ทำงานสารพัด
เดิมพ่อค้าคนนี้มีคนงานอยู่ 1 คนเป็นชายวัยกลางคน ทำหน้าที่ทั่วไปทั้งขนสินค้าและขับรถม้า กับยังมีผู้คุ้มกันอีก 2 คนที่รับจ้างทำงานเมื่อพ่อค้าจะต้องเดินทางข้ามเมืองเท่านั้น
การค้าขายต่างเมือง ไม่อาจเดินทางตามลำพัง แต่จะเป็นการรวมกลุ่มกับพ่อค้าคนอื่นอีกหลายคน เพื่อร่วมกันว่าจ้างคนคุ้มกันในการเดินทางที่ต้องผ่านเส้นทางอันตราย
“พ่อค้าเอาเงินที่รับมาจากเจ้านายของพวกเจ้ามาจ่ายค่าแรงข้า” คนคุ้มกันบอก “เพราะเที่ยวนี้เข้าไปถึงเมืองหลวงไม่ได้ กำไรก็เลยน้อย ต้องขอบใจพวกเจ้าจริงๆ”
ผู้คุ้มกัน 2 คนนี้ ไม่ได้ทำอะไรเลย นอกจากเดินไปทั่วตลาดระหว่างที่บรรดาคนงานของพ่อค้าทุกคนช่วยกันลำเลียงสินค้าขึ้นรถม้า
หลังมื้อเที่ยงผ่านไป ทั้งหมดก็ออกเดินทาง โดยพ่อค้าทั้งหมดต่างก็เข้าไปนั่งอยู่ในรถสินค้าของตน โดยมีคนงานทำหน้าที่ขับรถม้าไปช้าๆ
มีคนคุ้มกันเดินนำหน้า ขณะที่บรรดาคนงานคนอื่นรวมถึง ตง โป กับอาเม่ย เดินอยู่รอบๆ ขบวนรถ จึงไม่ได้พูดคุยอะไรกันมากนัก
ระหว่างทางพบหมู่บ้านเล็กๆ ที่มีคนเดินออกมามองเมื่อเห็นรถม้าผ่านมา พ่อค้าร้องถามว่าต้องการสินค้าหรือไม่ แต่เมื่ออีกฝ่ายเพียงแค่ยืนมอง พ่อค้าก็บอกให้คนงานขับรถผ่านไป
หลังจากที่ขบวนรถของพ่อค้าต่างเมือง ผ่านประตูเมืองออกไป แม่ทัพเชมัลก็อุ้มองครักษ์เก้าไปขึ้นรถม้าอีกคันหนึ่ง มีทหารรูปร่างเล็กอีก 3 คนรีบตามขึ้นไปในรถม้า และองครักษ์แซนเป็นผู้ขับรถม้า
เหลือเพียงแม่ทัพเชมัล องครักษ์รอม กับ องครักษ์ฮูดาที่รอส่งจนรถม้าลับสายตา
เมื่อหันกลับมาพบแม่ทัพนาซิมยืนรออยู่อย่างสงบ
“ออกไปนอกด่าน” แม่ทัพเชมัลกล่าวถ้อยคำสั้นๆ เมื่อเดินผ่าน
น้ำเสียงห้วนสั้น เปี่ยมด้วยพลัง หลังตรง ดวงตาแข็งกร้าว
รังสีแห่งความไม่พอใจฉายชัดจนไม่มีผู้ใดกล้ากล่าวคำ
ความอ่อนโยนลดลงเมื่อปล่อยอาเม่ยจากอก และความใจดีหายไปเมื่อวางองครักษ์เก้าลงในรถม้า
ยามนี้เหลือเพียงแม่ทัพเชมัลผู้จริงจัง เคร่งเครียด และยอมหักไม่ยอมงอ!
เสื้อคลุมเครื่องแบบถูกถอดทิ้งไว้ในเขตประตูเมือง
ประตูเมืองหน้าด่านเปิดกว้าง เหล่าผู้ช่วยของแม่ทัพนาซิม ยืนเรียงแถว ต่อด้วยองครักษ์รอม และ ฮูดา
ที่ด้านนอก แม่ทัพ 2 คนยืนห่างกันหลายก้าว
ห่างไกลออกไป คือนกตัวใหญ่สีดำสนิท จ้องมองมาด้วยดวงตาสีแดงดั่งเปลวเพลิง!
แม่ทัพ 2 คน ที่ต่างสวมเพียงเสื้อตัวใน กับกางเกงยาวบ่งบอกถึงเรื่องที่เกิดจากนี้คือเรื่องส่วนตัว!
ต่างไม่ได้ถืออาวุธ ยืนประจันหน้ากันเพียงอึดใจ ก็วาดมือเป็นวงกลม ลำแสงสีขาวปะทะกันส่งเสียงดังก้อง เปลวไฟปะทุขึ้นกลางอากาศแล้วสลายไป
แม่ทัพนาซิมกลับเป็นฝ่ายล่าถอยไปหลายก้าว แต่เมื่อจะยกมือขึ้นอีกครั้ง ก็ถูกพลังอีกฝ่ายฟาดเข้าใส่จนกระเด็นลงไปนอนอยู่กับพื้น
ภาพในสมองหมุนวน ดวงตาพร่าเลือน แต่ยังรู้สึกถึงรสฝาดในปาก
แม่ทัพเชมัลก้าวเข้ามายืนค้ำ ดวงตาที่มองมาเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดหวัง และเสียใจ
"เจ้ามันไม่ใช่ลูกผู้ชาย!"
ฝ่ายพี่ชายเช็ดเลือดจากมุมปาก ทั้งรู้สึกเจ็บราวซี่โครงเมื่อลุกขึ้นนั่ง
“ข้าเฝ้าดูแลทนุถนอม เก็บไว้ข้างกายตลอดเวลา แต่เหตุใด...”
“เหตุใดจึงถูกสตรีไร้ฝีมือคนหนึ่งช่วงชิงไปอย่างง่ายดาย” ฝ่ายที่ยังนั่งอยู่กับพื้นตอบโต้ ทำให้ถูกเตะเข้าเต็มแรงจนกลิ้งไปกับพื้น
“สตรีไร้ฝีมือ กับผู้ชายโง่งมที่กล้ายกตนเป็นพี่ชายของข้า!” แม่ทัพเชมัลกล่าวเสียงก้อง เส้นเลือดเต้นตุบที่ขมับทั้ง 2 ข้าง
"ข้าถูก...เวทย์” แม่ทัพนาซิม กล่าวอย่างยากลำบาก แต่คนที่ก้าวตามมากลับเตะอัดซี่โครงอีกครั้ง!
“จิตใจที่สกปรก คิดแย่งชิงของท่านต่างหากที่ทำร้ายคน”
แม่ทัพเชมัลคุกเข่าลงข้างหนึ่ง
“หากไม่ใช่เพราะพระราชารับสั่งไว้ ท่านจะปราศจากลมหายไปนานแล้ว!”
แม่ทัพนาซิมบ้วนเลือดสีเข้ม “ทั้งข้ายังโชคดี ที่ทำร้ายคนแล้วสามารถอ้างเวทย์ดำ ทั้งยังแย่งชิงคนรักจากเจ้าด้วย!”
แม่ทัพเชมัลเงื้อหมัดแล้วชกเข้าที่ใบหน้าอีกฝ่ายเต็มแรง!
เมื่อแม่ทัพเชมัลหันหลังให้แล้วเดินกลับไปที่ประตูด่านชายแดน
สิ่งเดียวที่คนที่ยังไม่สามารถลุกขึ้นได้นึกออกก็คือ ไม่ควรทำให้น้องชายคนนี้โกรธอย่างเด็ดขาด!!
ที่ประตูเมือง องครักษ์รอมยืนเคียงข้างอยู่กับองครักษ์ฮูดา คนตาคมหันไปมองหน้าพี่ใหญ่ของกลุ่มองครักษ์ที่กำลังส่ายหน้า
“อันใดกัน” องครักษ์ฮูดาถาม
แต่องครักษ์รอมยังคงส่ายหน้า “ไม่ค่อย...เต็มที่สักเท่าไหร่”
“หากเต็มที่ เราคงต้องหาแม่ทัพเมืองหน้าด่านใหม่แล้ว” องครักษ์ฮูดาบอก ขณะที่ใช้หางตามองกลุ่มผู้ช่วยของแม่ทัพนาซิม พบว่ามีอยู่คนหนึ่งแยกออกจากกลุ่ม
ส่วนองครักษ์รอมกำลังจ้องมองไปที่นกสีดำในที่ห่างไกล
องครักษ์ฮูดาพูดเบาๆ “อย่างช้าเย็นพรุ่งนี้ พระราชาต้องส่งคนมาจัดการพระอนุชาทั้งคู่”
“แม่ทัพเชมัลต้องการเวลาแค่สัปดาห์เดียว เพื่อรอหัวใจของเขากลับมา”
คนตาคมใช้ข้อศอกกระทุ้ง “กล่าวมาแต่ละคำ..”
“อย่ากล่าวเท็จกับข้า ว่าเจ้าไม่ได้อยากให้เจ้าตัวเล็กนั่นกลับมา”
องครักษ์ฮูดาหันมามองพี่ใหญ่ของกลุ่มตรงๆ แล้วคลี่ยิ้ม “ข้าคงต้องมีหัวใจที่ทำด้วยเพชรหากคิดจะกล่าวเท็จกับท่าน เราทุกคนย่อมต้องการให้เจ้าตัวเล็กกลับมา...ก็ทั้ง 3 คนนั่นแหละ” ผู้มีอาวุโสลำดับที่ 4 หันไปมองแม่ทัพเชมัลที่กำลังก้าวกลับมาที่ประตูด่าน “ข้ารักแม่ทัพเชมัลคนที่มีความสุข และข้าย่อมรักคนที่ทำให้เขามีความสุขด้วย”
องครักษ์รอมยิ้มพลางพยักหน้า ทำให้องครักษ์ฮูดาหัวเราะเบาๆ
“ท่านเป็นผู้ที่เกิดมาเพื่อเป็นองครักษ์ของแม่ทัพเชมัลอย่างแท้จริง”
“แล้วเจ้าล่ะ”
“ข้าเป็นเพื่อน อย่างไรก็เป็นได้แค่เพื่อน”
เมื่อแม่ทัพเชมัลก้าวผ่านประตูเข้ามา องครักษ์ฮูดาก็เข้าไปช่วยสวมเสื้อคลุมให้
แล้วหันไปมองแม่ทัพนาซิมที่ยังคงพยายามลุกขึ้นอย่างยากลำบาก
แม้ทุกคนจะต้องการเข้าไปช่วยพยุง แต่ผู้ที่กระทำผิดต้องพยายามลุกขึ้นมาเอง แล้วลากเท้าก้าวเดินช้าๆ กลับเข้ามา
ที่ยังหยุดรอ ก็เพราะที่นี่คือเมืองหน้าด่าน จะอย่างไรแม่ทัพนาซิมยังต้องปกครองที่นี่ และเป็นการประกาศต่อทุกคนว่า ความขัดแย้งระหว่างพี่น้องคลี่คลายด้วยการดวลกันที่นอกด่านแล้ว บัดนี้ถึงเวลาที่ทุกคนจะกลับมาทำหน้าที่ของตนเอง
จนเมื่อผ่านประตูเมือง ผู้ช่วย 2 คนจึงเข้าไปช่วยพยุงไหล่
“ขอบใจ...” แม่ทัพนาซิมกัดฟันบอกกับแม่ทัพเชมัลที่ยืนรอ
อีกฝ่ายเพียงพยักหน้ารับแล้วหันหลังเดินกลับไปที่บ้านพัก
ส่วนผู้ที่บาดเจ็บ แยกกลับไปที่ห้องพักของยาม องครักษ์รอมเดินตามไปด้วย แต่เมื่อไปถึงแพทย์หลวงมารออยู่ก่อนแล้ว
มีเพียงเสียงถอนหายใจหนักๆ และการที่ผู้ช่วยแต่ละคนต่างหันมามองหน้ากันโดยไม่ได้กล่าวคำ
สุดท้ายแม่ทัพนาซิมถึงกล่าวขึ้น “ข้าเป็นคนผิด และต้องขอบใจเชมัลที่ให้อภัยข้า”
ผู้ที่บาดเจ็บหันมาหาองครักษ์รอม รอให้กล่าวคำ แต่องครักษ์รอมกลับกล่าวให้แม่ทัพนาซิมพักผ่อน
เมื่อออกมานอกห้องพัก ทุกคนจึงเข้ารุมล้อมเพื่อสอบถามจากองครักษ์รอมอีกครั้ง
“แม่ทัพนาซิมเป็นผู้ปกครองเมืองหน้าด่านแห่งนี้ วันหนึ่งพวกท่านมาถึง องครักษ์เก้าบาดเจ็บหนักกลับไป แม่ทัพนาซิมต้องมาพักที่ห้องพักของยามคับแคบ แล้วแม่ทัพ 2 คนก็ดวลกัน”
ซึ่งเป็นการดวลที่แม่ทัพนาซิมบาดเจ็บหนัก โดยที่ไม่อาจทำอะไรอีกฝ่ายได้เลย
องครักษ์รอมมองผู้ช่วยของแม่ทัพนาซิม ก่อนตอบคำถาม
“พวกเขาเป็นพี่น้องกัน ต่างก็เป็นแม่ทัพ และจะอย่างไรแม่ทัพนาซิมก็เป็นผู้ปกครองที่นี่ เมื่อมีความขัดแย้งกัน พวกเขาดวลกัน ความขัดแย้งนั้นก็จบลง”
“ความขัดแย้งนั้นคืออะไร”
องครักษ์รอมแสร้งทิ้งช่วงให้ทุกคนกระวายกระวายใจ ทำท่าจะกล่าวคำ แล้วก็เปลี่ยนใจ ส่ายหน้า
“ข้าเป็นหัวหน้าองครักษ์แม่ทัพเชมัลไม่ควรให้เรื่องนี้ออกจากปากข้า หากแม่ทัพนาซิมเห็นว่าควรให้พวกเจ้ารู้ ก็ให้ออกจากปากเขาเองเถิด”
เมื่อกลับมาที่บ้านพัก แม่ทัพเชมัลกำลังจิบน้ำชา
องครักษ์ฮูดาคือคนที่ถามในทันที “พวกเขาเป็นอย่างไรบ้าง”
“ย่อมอยากรู้”
“พวกเขาย่อมอยากรู้ แต่อยากรู้ว่าอย่างไร”
องครักษ์รอมไม่ตอบคำถาม แต่หันไปหาแม่ทัพเชมัล “ท่านเป็นอย่างไรบ้าง”
“ไม่เป็นไร”
องครักษ์รอมกอดอกมอง “นกดำตัวนั้นจับจ้องท่านตลอดเวลา แต่คล้ายไม่อาจทำอะไรท่านได้เลย”
ตลอดเวลาที่องครักษ์รอมและองครักษ์ฮูดาแสดงความกังวล แม่ทัพเชมัลมองถ้วยชาในมือ ในใจกลับคิดถึงคนที่ติดตามไปกับขบวนสินค้า
…ข้ารู้ดี ว่าเจ้ามีความแข็งแกร่งมากพอ ถึงได้กล้าเดินทางเข้าเมืองหลวงโดยลำพัง แต่นอกด่านนั่นเป็นพื้นที่ที่แตกต่างกัน....
“อยากติดตามออกไปหรือไม่” องครักษ์ฮูดาถาม
แต่องครักษ์รอมเป็นผู้ตอบ “หากทำเช่นนั้น เจ้าตัวเล็กก็จะเป็นเพียงน้องเล็กตลอดไป”
แม่ทัพเชมัลถอนหายใจยาว แล้วเดินเข้าห้องนอน
องครักษ์ฮูดาหันมามองหน้าพี่ใหญ่ของกลุ่ม แล้วต่างคนต่างก็ถอนหายใจเช่นกัน
...จบตอนที่ 11...
พบกันอีก 7 วันข้างหน้า
ขอบคุณมากครับ
น้ำชา กับหมา..อะ...ไม่ใช่น้ำชากับป๋าไจฟ์ครับ