ตอนที่ 12การเดินทางไปเมืองบาสก์ใช้เวลา 5 วัน โดยต้องเดินทางผ่านป่าทึบ เข้าสู่ทุ่งกว้าง ผ่านหมู่บ้านเถื่อน และสายตาของผู้ประสงค์ร้ายที่ซุ่มมอง
ตง โป และอาเม่ยต่างระมัดระวังคำพูด เพียงสื่อสารกันทางสายตา และท่าทางเป็นหลัก ต่างจากเวลาที่สนทนากับผู้คุ้มกันและคนงานคนอื่นๆ ทั้ง 3 คนต่างปรับเข้ากับทุกคนได้อย่างกลมกลืน
“ทำไมเด็กๆ อย่างเจ้าถึงคิดจะไปเมืองบาสก์กัน” ผู้คุ้มกันคนหนึ่งถามขึ้น
ตงเป็นคนตอบ “อย่างน้อยที่นั่นก็ไม่มีสงครามเข้ามาคุกคามอย่างเมืองวัน”
“ที่นั่นก็ใช่ว่าจะไม่ระมัดระวัง” ผู้คุมบอก “เมืองวันกำหนดให้ต้องขนถ่ายสินค้าตั้งแต่เมืองหน้าด่าน แต่ที่หน้าด่านของเมืองบาสก์ เราต้องผ่านการทดสอบจากผู้ครองเวทย์”
โปถามทันที “นั่นแสดงว่าผู้ครองเวทย์เมืองบาสก์จะต้องกล้าแข็งมาก”
“เป็นเช่นนั้น”
ทั้งผู้คุ้มกันและคนงานต่างบอกเล่าเรื่องราวมากมายในเมืองบาสก์
“เมืองเหนือคุกคามทั้งบาสก์ทั้งวันในเวลาเดียวกัน ก็คงต้องมีความเชื่อมั่นในตนเองสูงยิ่ง” ตงบอก
“พวกเขาใช้เวทย์ดำ ผู้ใช้เวทย์เช่นนี้มักหลงลำพองในตนเอง”
ผู้คุ้มกันมองกลุ่มคนงานที่ต่างตั้งใจฟังเรื่องราวมากมาย ก็คิดไปว่า เด็กๆ เหล่านี้มีความสนใจในเรื่องราวอย่างยิ่ง จึงบอกเล่าเรื่องราวที่แต่งเติมจนเกินจริง
“ท่านรู้เรื่องมากมายนัก” อาเม่ยบอก
ผู้คุ้มกันยืดตัวอย่างภาคภูมิใจ
“พวกเราเดินทางไปทั่ว ไม่ใช่แค่เมืองบาสก์ เมืองวัน และเมืองเหนือนี่หรอก หากพวกเจ้ารักการเดินทางไปเรื่อย ก็ย่อมรู้เรื่องมากมายเช่นกัน”
ตลอดเวลาที่ผ่านมา การเดินทางและการค้าระหว่าง 3 เมืองสร้างความมั่งคั่งให้กับเหล่าพ่อค้า จนกระทั่งไม่กี่ปีมานี้ที่กฎระเบียบการค้าเพิ่มขึ้นเรื่อย จนกลายเป็นการตรวจค้นสินค้าอย่างเข้มงวดในเวลานี้
เมื่อมาถึงเมืองบาสก์ พ่อค้าต่างแยกกลุ่มกัน เพื่อตั้งค่ายพักชั่วคราว รอเวลาที่แต่ละกลุ่มจะต้องผ่านประตูเมืองเพื่อให้นายด่านตรวจค้นสินค้า ทั้ง 3 คนยังคงสร้างความกลมกลืนไปกับคนอื่น จนกระทั่งถึงเวลาที่นายด่านเรียกให้พ่อค้ากลุ่มนี้เคลื่อนรถเข้าไปในเขตเมือง
ชายรูปร่างผอมสูง สวมชุดยาวกรอมเท้า ยืนอยู่ด้านในจ้องมองทุกคนที่เดินผ่าน บ่งบอกว่าคือผู้ใช้เวทย์กล้าแข็งที่มีหน้าที่ตรวจตราทุกผู้คน
ตัวพ่อค้าเดินนำเข้าไปก่อน จากนั้นทุกคนจึงเดินตามเข้าไป
ดวงตาคมของผู้ใช้เวทย์จ้องมองเหมือนจะผ่านเข้าไปถึงจิตใจ
แม้จะเป็นเพียงคนงานที่มีฝีมือต่อสู้เพียงการวิ่งหนีเอาตัวรอด ยังต้องหวาดกลัวก้มหน้าเมื่อเดินผ่าน ตง โป และ อาเม่ยก็เป็นเช่นเดียวกัน
ผ่านเข้ามาถึงตลาดชายแดน พ่อค้าจึงหันมาบอกกับทั้ง 3 คน
“ข้าจะกลับไปที่หมู่บ้านของข้าก่อน แล้วจะเดินทางไปต่อที่อีกเมือง อาจนานกว่า 1 เดือนถึงจะกลับไปที่เมืองวัน”
“พวกเราจะหางานรับจ้างทำ” ตงบอกกับพ่อค้า ทั้งรอจนกระทั่งการตรวจสินค้าเสร็จสิ้น ส่งขบวนสินค้าออกไปจากเขตด่านเมืองบาสก์
จากนั้นทั้ง 3 คนจึงชักชวนกันไปหาอาหารและที่พักในคืนนี้
เมื่อนั่งอยู่ที่ร้านอาหารผู้ใช้เวทย์รูปร่างผอมสูงคนนั้นเดินเข้ามา แล้วนั่งลงหันหน้ามาทางโต๊ะของทั้ง 3 คน
จู่ๆ อาเม่ยก็หันไปมอง แล้วหัวเราะ
อีก 2 คนก็พลอยหัวเราะตาม
แม้แต่ผู้ใช้เวทย์ผู้นั้นก็ยังหัวเราะ
ผู้คนในร้านได้แต่สงสัยคนพวกนี้หัวเราะเรื่องอันใด
เมื่อผู้ใช้เวทย์พบกับผู้ใช้เวทย์ แทบไม่ต้องใช้คำอธิบายมากนัก ก็พอจะเข้าใจจุดประสงค์ของอีกฝ่ายได้โดยคร่าว
จนกระทั่งอาหารมื้อนี้ผ่านไป ทั้ง 3 คนเดินออกจากร้านอาหารกลับไปที่พัก ผู้ใช้เวทย์คนนั้นยังคงเดินตาม
มาถึงขั้นนี้ ทั้ง 3 คนได้แต่ต้องทำหน้าที่ต้อนรับ
“หากต้องการมาก็มา เหตุใดต้องปะปนมากับขบวนพ่อค้า”
โปแบมือ “เส้นทางอันตราย พวกเรา 3 คนต่างไม่ชำนาญทาง”
ผู้ใช้เวทย์เมืองบาสก์หันมามองหน้าอาเม่ย แล้วหันกลับไปถามโป
“พวกเจ้าต้องการอะไร”
ตงเป็นคนบอก “การป้องกันการคุกคามจากเมืองเหนือ”
ผู้ใช้เวทย์ส่ายหน้า “ในเวลานี้พวกเราไม่ข้องเกี่ยวกับเมืองเหนือ พ่อค้ามีเสรีที่จะเดินทางไปเมืองวัน หรือจะเมืองใดก็ได้แต่ห้ามเข้าไปที่เมืองเหนือเด็ดขาด”
“นั่นเพราะพวกเขาใช้เวทย์ดำ”
“ใช่ พวกเราจึงต้องเพิ่มความเข้มงวดของผู้ที่เดินทางเข้ามา”
เมื่อต่างก็เป็นผู้ใช้เวทย์ขาว จึงไม่มีคำกล่าวเท็จ และเมื่อทั้ง 3 คนปฏิบัติอย่างสุภาพ ผู้ใช้เวทย์เมืองบาสก์จึงปฏิบัติกับพวกเขาอย่างสุภาพเช่นกัน
รวมถึงการไล่ออกไปจากเมืองอย่างสุภาพด้วย!
กลางดึกคืนนั้น ประตูเมืองเปิดแง้มเพียงเล็กน้อย ชายหนุ่ม 3 คนเดินออกมาแล้วหายเข้าไปในป่า.....
ในตอนที่หัวหน้าราชองครักษ์บาดามาแจ้งว่า องครักษ์แซนพาองครักษ์เก้าที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสกลับมา พระราชาฟารัคเพียงสงสัยว่าอาการสาหัสเพียงใดถึงต้องพามาหา จึงบอกให้นำไปพักที่ห้องพักรับรอง แต่เมื่อพบเห็นสภาพบอบช้ำลมหายใจรวยริน พระราชาก็ใช้ผ้าผืนใหญ่คลุมร่างขององครักษ์เก้า อุ้มไปที่เรือนพักหลังเล็กภายในอุทยาน
มือใหญ่แตะที่หน้าผาก ใช้เวลาในการถ่ายพลังรักษาอย่างยาวนานเพื่อให้องครักษ์เก้าฟื้นตัวอย่างช้าๆ
หัวหน้าราชองครักษ์บาดาล่าถอยออกมานอกห้อง เพื่อสอบถามเหตุการณ์จากองครักษ์แซน เมื่อฟังจบหัวหน้าราชองครักษ์บาดาก็ถอนหายใจยาว
“โจมตีผู้ที่มีจิตใจอ่อนแอที่สุด”
องครักษ์แซนพยักหน้ายอมรับ ในกลุ่มองครักษ์ของแม่ทัพเชมัล องครักษ์เก้าเป็นผู้ที่มีจิตใจอ่อนแอที่สุด และอ่อนโยนที่สุด
“พวกเราผลัดกันถ่ายพลังชีวิตให้เก้า แต่ก็ทำได้แค่บรรเทาร่องรอยภายนอก และต่อลมหายใจ แต่ไม่อาจรักษา”
หลังรับฟังเรื่องราวอีกครู่หนึ่ง ราชองครักษ์บาดาก็บอกให้องครักษ์แซนไปพักผ่อน
“เจ้าต้องดูแลคนเจ็บมาตลอดทาง กลับไปพักผ่อนเถิด ทางนี้ข้าจะดูแลเอง”
องครักษ์แซนเป็นผู้ที่เยือกเย็นเสมอมา ทุกคำพูดจึงน่าเชื่อถือ “นี่ไม่ใช่ความผิดของเก้า”
“ข้ารู้” หัวหน้าราชองครักษ์บาดาตอบ
...หากจะมีใครสักคนที่เป็นคนผิด นั่นก็คือพระราชาฟารัค...
ระหว่างนั้นราชองครักษ์ลาทิฟ ผู้มีความเชี่ยวชาญด้านยาต่างๆ ถูกราชองครักษ์บาดาเรียกตัวออกมาห้องยาและเตรียมความพร้อมอยู่ด้วยกัน
ผ่านไปหลายชั่วยาม เมื่อพระราชาฟารัคออกมาที่ด้านหน้าของเรือนเล็กในสวนก็สั่งให้เสนาบดีหลี่ผู้มีศักดิ์เป็นพระสัสสุระ (พ่อตา) กับราชองครักษ์จาบีผู้มีความเคร่งครัดจริงจังเตรียมพร้อมเดินทางไปด่านชายแดน
จากนั้นก็กลับเข้าไปในห้องอีกครั้ง
ใกล้เวลาอาหาร หัวหน้าราชองครักษ์บาดายกเครื่องเสวยมาวางในห้องโถงแล้วเดินเข้าไปในห้องนอนด้านหลัง พระราชาประทับนั่งอยู่บนเตียงขณะที่จับมือซีดของคนเจ็บไว้
“เสวยก่อนเถิด” หัวหน้าราชองครักษ์กล่าวเบาๆ
พระราชาพยักหน้า แล้วเสด็จออกมาประทับนั่งที่โต๊ะอาหาร
“ให้คนไปเตรียมเสื้อผ้ามาเปลี่ยนให้เก้าด้วย”
หัวหน้าราชองครักษ์รับคำสั่งแล้วแจ้งเรื่องวาระการทรงงานของวันนี้ “ข้าพระองค์แจ้งนายท่าเรือไปแล้วว่า วันนี้ฝ่าบาทยังไม่สะดวกหารือกับเขา”
พระราชาถอนพระทัยหนักๆ “ฝากขออภัยด้วยที่ทำให้เสียเวลา แล้วพรุ่งนี้ข้าจะคุยกับนายท่าเรืออีกครั้ง”
“ฝ่าบาททรงอ่อนเพลียมาก หลังเสวยแล้ว ทรงพักผ่อนสักครู่เถิด”
มือที่ถือส้อมค้างอยู่ และรับสั่งให้เรียกเหล่าราชองครักษ์ทั้งหมดมาร่วมการหารือ
“เรียกพระสัสสุระ กับองครักษ์แซนมาหาข้าด้วย”
“เวลานี้หรือพระองค์” ก่อนหน้านี้พระราชาเพิ่งมีรับสั่งให้เสนาบดีหลี่ไปเตรียมตัวเดินทาง
“เวลานี้” พระราชารับสั่ง “ไปจัดการเรื่องที่ข้าบอกเวลานี้”
หัวหน้าราชองครักษ์ได้แต่ล่าถอยออกไปตามคำสั่ง
ไม่นานนักหัวหน้าราชองครักษ์บาดาก็เข้ามาถวายรายงานพระราชาว่า ทั้งหมดมาถึงแล้ว
นับครั้งได้ที่บรรดาราชองครักษ์ทั้ง 10 แห่งพระราชาฟารัคจะอยู่กันพร้อมหน้า ด้วยพระราชามีภารกิจมากมายที่วางพระทัยให้ทุกคนแยกย้ายกันไปทำงานต่างๆ
นอกจากนี้การที่ทุกคนต่างเป็นผู้มีเวทย์เข้มแข็ง บ้างหักล้างกันและกัน บ้างเสริมกันและกัน เมื่อมาอยู่พร้อมหน้า จึงต้องใช้เวทย์ควบคุมพลังของตนเอง มิเช่นนั้นจะกลายเป็นการสร้างความเสียหาย
พระราชาประทับยืนอยู่ที่หน้าบ้านพักหลังเล็ก เบื้องหน้าคือเสนาบดีเฒ่าและเหล่าราชองครักษ์ที่รอรับพระบรมราชโองการ
“แม่ทัพเชมัล แม่ทัพนาซิม และองครักษ์เก้าทำผิดกฎหมาย”
ทั้งหัวหน้าราชองครักษ์บาดา และ องครักษ์แซนต่างส่งเสียงคัดค้านเพียงในใจ
“เก้าอยู่ที่นี่แล้ว ข้าจะจองจำเขาตามกฎหมาย แม่ทัพเชมัลต้องรับผิดในฐานะที่เป็นหัวหน้า ส่วนแม่ทัพนาซิม....” พระราชาทอดเสียงเพื่อดูปฏิกิริยาของทุกคน “โอรสของเขาอยู่กับข้า จึงขอให้พระสัสสุระไปแจ้งแก่แม่ทัพ ทั้ง 2 ว่า ให้เอาหัวของแม่ทัพหน้าด่านเมืองเหนือมาแลกโอรสแห่งแม่ทัพนาซิมกลับไป”
เสนาบดีหลี่ท้วงขึ้น “พวกเขาทำผิดอันใด ถึงต้องลงโทษเพียงนั้น”
“องครักษ์เก้าเป็นผู้รับใช้ของแม่ทัพเชมัล แม้หน้าที่นั้นจะหมดไปเมื่อเก้ามีคนรักเป็นสตรี แต่เมื่อเก้ากลับไปหลับนอนกับแม่ทัพเชมัล ดังนั้นพวกเขาทั้ง 3 คนจึงต้องรับโทษ”
ในความจริงหลังจากที่องครักษ์เก้าคบหากับพริม แม่ทัพเชมัลก็ไม่ได้เรียกหาอีก นอกจากนี้พระราชายังมีเจตนารับสั่งข้ามเรื่องที่แม่ทัพนาซิมทำร้ายองครักษ์เก้าด้วย เสนาบดีหลี่มองเห็นเพียงเค้าโครงของเรื่องราวความขัดแย้งส่วนตัวเหล่านี้ รวมถึงเรื่องที่พระราชาเจตนาปกปิด จึงตั้งใจว่าจะสอบถามจากผู้อื่นต่อไป
ขณะที่ความคิดเห็นคัดค้านของหัวหน้าราชองครักษ์บาดากลับรุนแรงจนพระราชาต้องหันมารับสั่ง
“ไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินของข้าหรือบาดา”
“มิกล้า.....” ราชองครักษ์บาดาก้มหน้า ไม่เข้าใจเป้าหมายของพระราชาแม้แต่น้อยที่ตัดสินเช่นนี้
องครักษ์เก้าถูกทำร้ายถึงเพียงนั้น จะใช้คำเรียบง่ายแล้วลงโทษได้อย่างไร
"ทั้ง 2 คนเป็นพระอนุชาของข้า" พระราชา รับสั่งกับเสนาบดีหลี่โดยตรง “ให้องครักษ์ไปแจ้งคงไม่เหมาะ จึงต้องรบกวนท่านแจ้งข่าวและกำชับให้ทั้ง 2 คนปฏิบัติตาม”
รับสั่งจบก็หันหลังให้ทุกคนแล้วเดินกลับเข้าไปในบ้านพักรับรองทันที
หัวหน้าราชองครักษ์บาดาที่เดินตามมามองสำรับที่พระราชายังไม่ได้เสวย
“ฝ่าบาทเสวยสักนิดเถิด”
พระราชาฟารัคเพียงแค่หันมามองสำรับอาหาร แล้วก็เดินกลับเข้าไปในห้องพักขององครักษ์เก้า
เสนาบดีหลี่เป็น 1 ในข้าราชบริพารไม่กี่คนที่มีท่าทีไม่ชอบแม่ทัพเชมัลอย่างเปิดเผย ด้วยหวาดระแวงว่ากำลังซ่องสุมกำลังเพื่อโค่นอำนาจพระราชาฟารัค
การเดินทางมาที่ด่านชายแดนเพื่อกล่าวโทษแม่ทัพเชมัลในครั้งนี้ย่อมทำให้เสนาบดีเฒ่ามีความสุขเป็นอย่างยิ่ง ทั้งตลอดการเดินทางยังพยายามซักถามองครักษ์ซันว่า เกิดเรื่องอันใดขึ้น แต่ไม่คิดจะถามราชองครักษ์จาบี ด้วยรู้ดีว่าราชองครักษ์ผู้นี้ไม่มีทางเปิดปากเล่าเรื่องใด นอกไปจากการปฏิบัติตามรับสั่งของพระราชาอย่างเคร่งครัด
องครักษ์ซันรู้เรื่องราวจากคำบอกเล่าขององครักษ์แซน แต่บ่ายเบี่ยงที่จะตอบคำถาม โดยอ้างว่า เรื่องราวไม่แน่ชัด ขอให้รับรู้เรื่องราวทั้งหมดเมื่อเดินทางถึงเมืองหน้าด่านพร้อมกันจะเหมาะสมกว่า
“องครักษ์เก้า โดดเด่นทั้งหน้าตาและฝีมือ ท่าทางสุภาพเรียบร้อย กลับสร้างความเดือดร้อนวุ่นวายได้เพียงนี้ ต้องถือว่าเหนือความคาดหมายจริงๆ”
เสนาบดีหลี่ส่งเสียงกล่าวคำไปเรื่อย ขณะที่องครักษ์ซันตำหนิพระราชาแต่เพียงในใจ
ตั้งแต่แรกมา องครักษ์เก้าเป็นเพียงผู้ถูกกระทำมาตลอด
เพราะสุภาพเกินไป และดีเกินไป
หลังตั้งคำถามมากมาย วิจารณ์ไปมากมายแล้วเห็นว่าองครักษ์ซันคนอารมณ์ดีแสดงท่าทีคับข้องใจ เสนาบดีหลี่ก็ยิ่งมีความสุขทวีคูณ
เมืองหน้าด่านเวลานี้มีคนของกรมการค้ามาประจำการเพิ่มขึ้น เพราะคับคั่งไปด้วยพ่อค้าเมืองวันกับพ่อค้าต่างเมืองที่ต้องมาแลกเปลี่ยนสินค้ากันที่นี่ เนื่องจากกฎระเบียบใหม่ที่ห้ามพ่อค้าต่างเมืองเดินทางต่อไปจนถึงท่าเรือ
เมื่อมาถึงเสนาบดีหลี่ก็ตรงไปที่ค่ายทหาร
แม่ทัพเชมัลคือผู้ที่รออยู่ในห้องทำงาน สีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง โดยมีเจ้าหน้าที่ของเมืองหน้าด่านยืนหน้าซีดอยู่ที่ด้านหน้าโต๊ะทำงาน เมื่อเสนาบดีมาถึง เจ้าหน้าที่ของเมืองหน้าด่านก็รีบทำความเคารพแล้วล่าถอยออกไปอย่างรวดเร็ว เสนาบดียังทันได้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ผู้นั้นลอบผ่อนลมหายใจยาว
คาดเดาได้ว่า จะต้องถูกแม่ทัพเชมัลตำหนิการทำงานอย่างรุนแรง แต่ยังไม่ทันได้สอบถามอันใด แม่ทัพนาซิมที่เป็นเจ้าบ้าน ก็ก้าวเข้ามาในห้องทำงาน
เหล่านี้เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ณ บัดนี้ผู้ใดควบคุมเมืองหน้าด่าน
เสนาบดีเฒ่าขอให้องครักษ์และผู้ช่วยของทั้ง 2 ฝ่ายเข้ามาในห้องนี้ เพื่อรับฟังเรื่องราวทั้งหมดพร้อมกัน
“พระราชาฟารัคมีคำสั่งมาถึงพวกท่าน แต่ข้าก็ยังต้องการรับฟังเรื่องราวสักเล็กน้อยก่อนที่จะประกาศพระราชดำรัสของพระองค์”
นั่นเพราะถามเรื่องอันใดองครักษ์ซันก็ไม่รู้เรื่อง ยิ่งราชองครักษ์จาบีที่พระราชาส่งมาด้วยก็ยิ่งไม่เปิดปาก เสนาบดีเฒ่าจึงต้องการรับฟังเรื่องราวจากผู้ที่อยู่ที่นี่
ท่ามกลางผู้คนมากมายในห้อง แม่ทัพนาซิมหันออกไปมองภาพที่ประดับฝาผนัง ขณะที่แม่ทัพเชมัลพยักหน้าก่อนกล่าวคำ
“แม่ทัพนาซิมละเมิดต่อองครักษ์เก้า และในฐานะที่ข้าเป็นผู้บังคับบัญชา ข้าดวลกับแม่ทัพนาซิมไปแล้ว”
เป็นคำสรุปที่รวบรัดยิ่ง และไม่ทำให้เสนาบดีหลี่พึงพอใจแม้แต่น้อย
..ก่อนนี้พระราชามีรับสั่งว่า องครักษ์เก้ามีหญิงคนรักแล้ว แต่ยังกลับไปมีความสัมพันธ์กับแม่ทัพเชมัลมิใช่หรือ..เรื่องนี้ช่างน่าสนุกสนานยิ่งนัก...
“ดวลอย่างไร”
“เราสู้กันที่นอกด่าน”
“ท่านหมายถึง...” เสนาบดีหลี่ชี้ไปทางด้านนอกของด่าน ดวงตาเรียวยาวบ่งบอกชัดเจนว่ามีความอยากรู้เรื่องราวมากกว่านี้
“พวกเราคลี่คลายเรื่องนี้ไปแล้ว” แม่ทัพเชมัลกล่าวสั้นๆ
เสนาบดีเฒ่าเพียงกลอกตา แล้วหันไปมองกลุ่มผู้ช่วยของแม่ทัพนาซิม
....ดูท่า การรับฟังเรื่องราวจากกลุ่มผู้ช่วยของแม่ทัพนาซิม จะได้รับฟังเรื่องราวที่น่าตื่นเต้นมากกว่าการฟังจากแม่ทัพเชมัล
“พระราชามีรับสั่งอย่างไร”
เสนาบดีหลี่กระแอมเพื่อเรียกความสนใจจากทุกคนก่อนกล่าวคำ
“พระราชาฟารัคมีรับสั่งว่า แม่ทัพเชมัล แม่ทัพนาซิม และองครักษ์เก้าทำผิดกฎหมาย ซึ่งในเวลานี้องครักษ์เก้าอยู่ที่วังหลวงแล้ว และจะถูกจองจำตามกฎหมาย ส่วนท่านแม่ทัพเชมัลต้องรับผิดในฐานะที่เป็นหัวหน้า ส่วนแม่ทัพนาซิม โอรสของท่านอยู่กับพระราชา ดังนั้นพระราชาจึงต้องการให้ท่านทั้ง 2 นำศีรษะของแม่ทัพหน้าด่านเมืองเหนือมาแลกกลับไป”
“นั่นไม่ยุติธรรมเลย!” แม่ทัพนาซิมท้วงขึ้นด้วยเสียงอันดัง
เรื่องนี้มีแต่ฝ่ายของแม่ทัพเชมัลที่ทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้น ส่วนกลุ่มผู้ช่วยของแม่ทัพนาซิมทราบเรื่องเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“เก้าไม่ได้ทำผิดอันใด..”
“พระราชามีคำตัดสินโทษของพวกท่านแล้ว” เสนาบดีหลี่ไม่ยอมให้แม่ทัพนาซิมกล่าวจบคำ เพราะแค่ไม่กี่คำของผู้ปกครองเมืองหน้าด่านที่แก้ต่างแทนองครักษ์เก้า ก็พอจะคาดเดาได้ว่า เรื่องนี้จะเป็นสีสันของวงสนทนาต่อไปอีกหลายวัน
“บางเรื่องก็ไม่ควรกล่าวคำออกมาหากจะทำให้ผู้อื่นเสียหาย” คำกล่าวของเสนาบดีตรงกันข้ามกับความคิดอย่างสิ้นเชิง
“องครักษ์เก้าไม่ได้ทำผิดอะไร” แม่ทัพนาซิมยังคงกล่าวคำออกมาในที่สุด
“พวกเรารับพระราชโองการของพระราชา”
แม่ทัพเชมัลกล่าวสรุป “ท่านเสนาบดีเร่งเดินทางมา โปรดพักผ่อน และเยี่ยมชมเมืองหน้าด่านก่อนเถิด”
ผู้ช่วยคนหนึ่งของแม่ทัพนาซิม พาเสนาบดีเฒ่าออกไปจากห้องประชุม
องครักษ์ฮูดาหันไปหาองครักษ์ซัน “เหตุใดพระราชาจึงส่งเสนาบดีผู้นี้มากล่าวโทษแม่ทัพทั้ง 2”
แม่ทัพเชมัลนั่งลงที่เก้าอี้ตัวหนึ่ง
“เพื่อที่จะเตือนพวกเราว่า ยังมีคนที่ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่เห็นพวกเราผิดพลาด”
“แล้วยังคำกล่าวโทษนั่นอีก เก้าถูกทำร้าย เหตุใดจึงต้องคุมขัง แล้วยังโอรสท่านแม่ทัพนาซิมอีก” องครักษ์ฮูดาส่ายหน้า “พระองค์คิดอ่านอันใดกัน”
แม่ทัพเชมัลยังคงต้องเป็นผู้ที่แปลความหมายของพระราชาอีกครั้ง “แปลว่า พวกเราไม่ควรปล่อยเรื่องนี้ให้ยืดยาว”
เมื่อกล่าวคำนี้ทุกคนในห้องล้วนมีท่าทีกระตือรือร้นขึ้นจนแม่ทัพเชมัลหันไปมองแม่ทัพนาซิมในเชิงถาม
อีกฝ่ายนั่งลงที่เก้าอี้ตัวตรงข้ามเมื่อร่วมวางแผน
“พวกเราอยู่ที่นี่ คับข้องใจกับพวกเมืองเหนือมาเป็นเวลานาน หากจะให้ข้ามไปจัดการเรื่องราวบางอย่างเพื่อคลายความคับข้องใจนี้ ก็น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง”
และสำหรับแม่ทัพนาซิมแล้ว การกำจัดหนึ่งในผู้นำของเมืองเหนือย่อมเป็นอีกหนึ่งในการระบายความเคียดแค้นในใจอย่างแน่นอน!
....จบตอนที่ 12... 