ตอนที่ 13เมืองหน้าด่านยามค่ำคืนยังคงคึกคักด้วยพ่อค้ามากมาย ผู้ช่วยของแม่ทัพนาซิมพาเสนาบดีหลี่เที่ยวชมเมืองและดื่มกินที่ร้านค้าใหญ่ที่สุดในพื้นที่ แล้วจัดให้เข้าพักในห้องพักชั้นดี ไม่ได้พากลับมาพักที่ค่ายทหาร เพราะที่นั่นปราศจากสิ่งบันเทิง
ส่วนในการพูดคุยเรื่องแผนการจัดการแม่ทัพเมืองหน้าด่านของเมืองเหนือยังเป็นไปอย่างเคร่งเครียด เพราะต้องมีความรัดกุมอย่างยิ่ง เมื่อการหารือเสร็จสิ้น ทุกคนจึงแยกย้ายกันไปพักผ่อน
แม่ทัพนาซิมที่ลงโทษตัวเองด้วยการไปพักที่เรือนพักยาม ยังมีเรื่องที่ต้องสอบถามจากแม่ทัพเชมัล จึงกลับมาหาอีกครั้งในยามที่ผู้คนส่วนใหญ่พักผ่อนไปแล้ว
เมื่อเข้ามาในที่พัก องครักษ์ฮูดาที่พักอยู่ที่เรือนอีกหลังก็กลับเดินตามเข้ามาด้วย แสดงว่าองครักษ์ฮูดาคือคนที่อยู่เวรยามในคืนนี้
“ขออภัยที่มารบกวนเจ้าในเวลานี้”
ฝ่ายน้องชายกลับโบกมือและเรียกให้นั่งลง
องครักษ์ฮูดาเข้ามารินน้ำชาให้แม่ทัพทั้ง 2 คนแล้วล่าถอยออกไปรอที่มุมห้อง
“ข้าไม่อาจข่มตาให้หลับได้ เพราะพระราชาลงโทษอาเก้าในความผิดของข้า”
แม่ทัพเชมัลเชื่อว่าเมื่อพระราชาทอดพระเนตรบาดแผลขององครักษ์เก้า จะต้องทราบว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น แต่การลงโทษนี้ย่อมมีเหตุผล
“บาดแผลของเก้าอาจต้องใช้เวลารักษาหลายวัน ระหว่างนี้พระองค์คงไม่ใจร้ายถึงขนาดคุมขังคนเจ็บหนัก อาจขู่ให้เราเร่งลงมือมากกว่า”
“ข้าก็อยากคิดเช่นนั้น แต่พระราชาฟารัคเป็นคนที่คาดเดาจิตใจได้ยาก ยิ่งข้าเป็นคนที่อยู่ห่างไกล ยิ่งไม่อยากคาดเดา”
กล่าวโดยง่ายก็คือ แม่ทัพนาซิมอยู่ที่เมืองหน้าด่านนี้มาตลอดชีวิต โอกาสเข้าเฝ้าพระราชาก็ต่อเมื่อพระองค์เสด็จมาที่นี่เท่านั้น แต่แม่ทัพเชมัลคือน้องชายผู้รู้ใจพระราชาเป็นอย่างดี
ที่สำคัญคือ พระราชาพระองค์นี้เป็นผู้ที่มีความคิดซับซ้อนและลึกซึ้งยากที่หยั่งถึง
องครักษ์ฮูดาพูดขึ้น “การลงโทษเก้า ยังมีผลให้พริมต้องเลือกว่าจะคบหากับเก้าต่อไปหรือไม่”
แต่แม่ทัพนาซิมยังไม่เห็นด้วย “ข้อสำคัญคือข้าบังคับ ข้าทำร้ายอาเก้า”
“หรือท่านไม่ต้องการรับผิดชอบเก้า”
องครักษ์ฮูดาย้อนถาม ขณะที่ดวงตาคมจ้องมองแม่ทัพ 2 คนที่พ่ายแพ้ต่อสตรีคนเดียวกัน
“ข้าย่อมต้องการรับผิดชอบต่ออาเก้า” แม่ทัพนาซิมกล่าว “และข้าย่อมให้เกียรติแก่คนรักของอาเก้า แต่คำกล่าวโทษอาเก้านั้น หาใช่ความจริง เพราะความจริงคือข้าทำร้ายเขาอย่างสาหัส การที่พระองค์ลงโทษเขาต่างหากที่ข้าไม่อาจยอมรับ”
“เหมือนกับที่แม่ทัพเชมัลตัดสินใจในเรื่องของเก้าก่อนหน้านี้” องครักษ์ฮูดากล่าวอย่างตรงไปตรงมา “พวกท่านไม่รู้จักคำว่าแย่งชิงหรืออย่างไร”
“พวกเราไม่อาจแย่งชิงคนรักกับสตรีอยู่แล้ว” แม่ทัพเชมัลกล่าวประชดพลางจิบชา “ความรักของชายด้อยค่ากว่ารักของหญิงยิ่งนัก”
ฝ่ายพี่ชายทอดถอนใจ ขณะที่มองน้องชายผู้มีท่าทีครุ่นคิดตลอดเวลา
อาจเพราะห่วงอาเม่ย และกังวลอาการของเก้า ทั้งยังมีเรื่องของปีศาจและอมนุษย์ของเมืองเหนืออีก
“ออกไปเดินเล่นแถวกำแพงเมืองกันไหม” พี่ชายชักชวน
แต่ฝ่ายน้องชายกลับยิ้มเศร้า “ท่านกับข้ากำลังบาดหมางกันอยู่ จะชวนกันไปเดินเล่นให้เกิดข้อสงสัยได้อย่างไร”
แม่ทัพนาซิมส่ายหน้า “อย่างน้อยอาเก้ากับลูกชายของข้าก็อยู่กับพระราชา แต่คนของเจ้าอยู่ข้างนอกนั่น”
องครักษ์ฮูดาขัดความเห็นของแม่ทัพนาซิมอีกครั้ง เพราะรู้สึกไม่สบายใจที่เปลี่ยนเรื่องสนทนาไปหาอาเม่ย “เมื่อครู่ท่านเพิ่งจะกล่าวว่าเป็นห่วงเก้ากับบุตรชายของท่าน”
“ตอนนี้ข้าก็ยังเป็นห่วงพวกเขา” แม่ทัพนาซิมหันมาโต้เถียงกับองครักษ์ฮูดา “แต่เมื่อเชมัลกล่าวว่าพระราชาจะรักษาอาเก้า และที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อให้พวกเราเร่งลงมือ ข้าก็เชื่อตามนั้น แต่การออกไปนอกด่านของพวกอาเม่ยเป็นอีกเรื่องหนึ่ง”
“พวกเขาผ่านการสู้รบมามากกว่าที่ท่านคาดคิด”
คำกล่าวขององครักษ์ฮูดาทำให้แม่ทัพนาซิมหันมามองแม่ทัพเชมัล
“พวกเขาเพิ่งสอดแนมเป็นครั้งแรกมิใช่หรือ"
“ใช่ พวกเขาเพิ่งสอดแนมร่วมกันเป็นครั้งแรก” แม่ทัพเชมัลกล่าว
ก่อนที่แม่ทัพนาซิมจะกล่าวคำต่อ องครักษ์ฮูดาก็ขัดขึ้น “ท่านควรเป็นห่วงเรื่องที่เสนาบดีหลี่มาที่นี่”
“คนผู้นี้ชั่วร้าย” แม่ทัพนาซิมกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “การที่เขาออกไปพักที่สถานพักแรม ทำให้ข้าหายใจได้คล่องขึ้น”
“ผู้คนกล่าวกันว่าแม่ทัพนาซิมมีจิตใจกว้างขวาง ไม่นึกว่าก็มีข้อแม้เช่นกัน” องครักษ์ฮูดากล่าว
“ข้าไม่มีความสามารถในการอ่านใจผู้คน แต่คนผู้นี้ให้ความรู้สึกเลวร้าย จนต้องหวนกลับไปคิดว่าเหตุใดพระราชาจึงสมรสกับบุตรีของเขา และมอบยศตำแหน่งใหญ่โตให้”
แม่ทัพเชมัลเดินออกไปส่งแม่ทัพนาซิมเพียงหน้าบ้านพัก ฝ่ายพี่ชายก็หันมากล่าว
“พรุ่งนี้ข้าจะนำทหารออกไปลาดตระเวนนอกด่าน”
“ระมัดระวังด้วย”
คนรูปร่างสูงใหญ่ยังคงยืนส่งพี่ชายที่เดินกลับไปยังที่พัก
แต่สายตากลับมองผ่านไปในที่แสนไกล องครักษ์ฮูดาก้าวเข้ามายืนข้างๆ
“พรุ่งนี้ข้าจะออกไปลาดตระเวนร่วมกับแม่ทัพนาซิม”
“เช่นนั้นเจ้าควรไปพักผ่อน”
"ข้าจะส่งท่านก่อน"
แม่ทัพเชมัลส่ายหน้า "การอยู่ที่นี่ทำให้สุขภาพของเจ้าไม่แข็งแรงเต็มที่ กลับไปพักผ่อนเถิด"
"อย่าอ่อนโยนกับข้านัก เพราะอาจทำให้ผู้อื่นคิดมาก"
"เจ้าเป็นเพื่อน อ่อนโยนกับเพื่อนจะเป็นไรไป"
"เพื่อนกัน ก็เพียงไล่ให้ไปนอน ส่วนคำพูดที่เหลือไม่ควรกล่าวออกมา"
แม่ทัพเชมัลส่ายหน้าให้กับคนดื้อรั้น
....ดูท่าฮูดาจะอารมณ์ไม่ดี...
"ท่านเข้านอน แล้วข้าจะกลับไปเอง"
"ฮูดา"
องครักษ์ฮูดายืนหลังตรง รอฟังคำสั่ง
"ไปนอน เพราะข้ายังมีเรื่องให้คิด"
องครักษ์ฮูดายกยิ้มที่มุมปาก "เช่นนี้แหละ ทำบ่อยๆ ไม่นานก็ชิน"
นับตั้งแต่ถูกขับออกมาจากเมืองบาสก์อย่างสุภาพ องครักษ์ตง โป และอาเม่ยก็แฝงตัวเข้าสู่เขตป่า หลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับกลุ่มโจร และเมื่อผ่านพ้นกลุ่มหมู่บ้านคนเถื่อนไปได้ครึ่งวัน ทั้ง 3 คนจึงรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนจากใต้ฝ่าเท้า อมนุษย์ร่างกายสูงใหญ่ ผิวสีขาวซีด 2 ตนกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้
องครักษ์ตงกระซิบถาม “พวกมันต้องไปทางหมู่บ้านคนเถื่อน”
“เส้นทางเบื้องหลังของพวกมันอาจเหลือเพียงหมู่บ้านร้าง” องครักษ์โปคาดเดาต่อ
“แล้วเราจะปล่อยให้พวกมันไปทำลายหมู่บ้านนั้นหรือ” อาเม่ยถาม
ถึงจะเป็นหมู่บ้านคนเถื่อนที่ใช้ชีวิตเป็นอิสระไม่ขึ้นตรงกับเมืองใด ทั้งสุ่มเสี่ยงอันตรายจากกลุ่มโจรอยู่ทุกวัน แต่หากต้องเผชิญกับอมนุษย์จากเมืองเหนือคู่นี้ ย่อมยากลำบากกว่าการรับมือกับกลุ่มโจรหลายเท่า
ทั้ง 3 คนหันมามองหน้ากัน แล้วตรงเข้าไปล้อมอมนุษย์ทั้งคู่
ร่างสูงใหญ่ก้มลงมองมนุษย์ที่มีความสูงไม่ถึงเข่าแล้วส่งเสียงหัวเราะดังก้องป่า ฟาดอาวุธหนาหนักในมือลงมาหา
แต่ทั้ง 3 คนต่างก็เป็นนักสู้ที่มีท่าร่างว่องไว
แม้องครักษ์ตงจะเป็นนักสู้ที่ใช้เวทย์เพลงเป็นอาวุธ แต่เมื่อต้องเผชิญกับคู่ต่อสู้ในระยะประชิดก็ใช้อาวุธได้ดี เช่นเดียวกับองครักษ์โปที่ใช้มีดสั้น
ส่วนอาเม่ยใช้ดาบยาวประจำกาย แต่การต่อสู้ของคู่นี้กลับกลายเป็นทำลายต้นไม้และก้อนหินในอยู่รอบๆ ที่อมนุษย์รื้อถอนขึ้นมาฟาดใส่อาเม่ยที่วิ่งหลบหลีกไปทั่ว
ท่ามกลางการต่อสู้ทำลาย อาเม่ยรู้สึกถึงไอร้อนจากส่วนกลางในอกที่ลุกลามไปทั่วร่างกาย แล้วกลายเป็นความเจ็บที่ดวงตาจนต้องกัดฟันผ่อนลมหายใจ
ฉับพลันกลับมองเห็นจุดอ่อนของอมนุษย์ที่กำลังต่อสู้กัน ความเคลื่อนไหวรอบตัวเชื่องช้ากว่าที่เป็นจริง อาเม่ยกระโดดขึ้นสุดตัวแล้วปักดาบลงไปที่ดวงตาของอมนุษย์
ร่างสูงใหญ่ส่งเสียงร้องดังก้อง อาเม่ยถอนดาบออกแล้วปักดาบลงที่ดวงตาอีกข้าง ร่างสูงใหญ่ล้มครืนลง อาเม่ยหันไปหาอมนุษย์อีกตน ที่ก้าวถอยกรูด แล้วเปลี่ยนเป็นวิ่งหนีเมื่ออาเม่ยไล่ตามแล้วกระโดดขึ้นเหนือหัวปักดาบลงกลางหัว ร่างสูงใหญ่ล้มครืนลง
อีก 2 คนยืนดูการต่อสู้อย่างตะลึงลาน
ควรทราบว่าอาเม่ยเป็นผู้ที่อายุน้อยที่สุด รูปร่างหน้าตาอ่อนหวานที่สุด มีนิสัยร่าเริงดั่งน้องน้อย การต่อสู้ที่ผ่านมามักบ่งบอกถึงความอ่อนด้อยและผิดพลาด แม้ในการต่อสู้ครั้งนี้ ช่วงแรกก็ยังเป็นฝ่ายล่าถอยเป็นส่วนใหญ่ แต่จู่ๆ ก็กลับกลายเป็นโหดเหี้ยม ตรงเข้าปลิดชีพของอีกฝ่าย
องครักษ์ตงขมวดคิ้วแน่น นึกถึงครั้งแรกที่อาเม่ยแสดงเพลงดาบในการต่อสู้กับแม่ทัพเชมัลที่ค่ายทหาร ก็ดุดันผิดกับรูปร่างหน้าตาเช่นนี้
แต่นั่นเป็นเพลงดาบ ที่แสดงออกเพื่อรับการทดสอบ
ครานี้เป็นการมุ่งสังหารเพียงอย่างเดียว!
องครักษ์โปตรงเข้าไปหาอาเม่ย “เจ้าบาดเจ็บหรือไม่”
ชั่ววูบหนึ่งที่อาเม่ยหันมาหา ดวงตาสีแปลกคู่นั้นมีสีดำสนิทแล้วเปลี่ยนกลับมาเป็นเช่นเดิม
“เม่ย...”
องครักษ์โปกระพริบตา ไม่แน่ใจว่าการมองเห็นของตนผิดเพี้ยนไปหรือไม่
“ข้าไม่เป็นไร” แต่เมื่อหันไปมองอีก 2 คนที่มีท่าทีแปลกๆ อาเม่ยก็ต้องกล่าวย้ำ “ข้าไม่เป็นไรจริงๆ”
“เช่นนั้นก็เร่งไปกันต่อเถิด ข้างหน้าอาจมีพวกมันที่ตามมา” องครักษ์ตงกล่าวให้ทั้งหมดเร่งเท้าต่อไป
ระหว่างการเร่งรีบเดินทาง องครักษ์ตงยังเก็บข้อสงสัยเรื่องเพลงดาบดุดันนั้นไว้ในใจ ขณะที่องครักษ์โปยังคงไม่แน่ใจการมองเห็นของตนเอง
ผู้ใช้ไฟบางคนจะมีดวงตาเป็นสีแดงในยามต่อสู้ แต่อาเม่ยมีพลังเวทย์ที่หลากหลายการเป็นผู้มีดวงตาสีแปลกจึงไม่ได้ทำให้รู้สึกกังขา
แต่ดวงตาสีดำสนิทคือสัญลักษณ์ของผู้ใช้เวทย์ดำ!
แต่หากใช้เวทย์ดำทุกคนในค่ายทหารย่อมล่วงรู้
แม่ทัพเชมัลจะไม่เดินเข้าไปทักทายด้วยดี
องครักษ์รอมจะไม่ยินยอมให้เดินเข้าเมืองได้โดยง่าย
ต้องถูกองครักษ์ซันเผาทั้งเป็นตั้งแต่แรก
องรักษ์แซนต้องซัดเกลียวคลื่นโถมใส่ให้จมหาย
ไม่ต้องพูดถึงองครักษ์ฮูดา ที่จะต้องฝังคนผู้นี้จมสู่ห้วงลึกที่สุดของแผ่นดินในทันที
หรืออาเม่ยยังมีเวทย์อันใดอีก แต่ไม่ว่าจะเป็นเวทย์ใด หากมีดวงตาสีดำสนิท นั่นหมายถึงอันตราย
....อันตรายที่ต้องรีบเตือนผู้ร่วมทางอีกคนโดยเร็ว!..
ทั้ง 3 คนยังเร่งรีบเดินทางต่อโดยไม่แวะพัก จนถึงใกล้ค่ำ กลิ่นคาวเลือดปะทะจมูก องครักษ์ตงส่งสัญญาณให้อีก 2 คนหยุดเท้า แล้วกระโดดขึ้นบนยอดไม้สูงเพื่อมองไปยังที่หมายที่อยู่ห่างไกลออกไป
องครักษ์ตงเห็นลานดินกว้างและบ้านเรือนประมาณ 10 หลัง
กลางลานดินคือศพผู้เสียชีวิตที่ถูกนำมากองไว้รวมกัน
องครักษ์ตงมองไปรอบๆ ไม่เห็นอมนุษย์อยู่อีก จึงลงมาจากต้นไม้ บอกเล่าสิ่งที่พบเห็นให้อีก 2 คนฟัง
“พวกมันส่วนหนึ่งอาจกลับไปที่เมืองเหนือหลังการทำลายหมู่บ้าน แต่เจ้า 2 ตนที่อาเม่ยสังหารอาจล่วงหน้าไปดูลาดเลา”
คำกล่าวขององครักษ์ตงคือการยกความชอบให้แก่อาเม่ย
แม้ผู้ได้รับการยกย่องจะไม่เห็นด้วย แต่ตัดสินใจที่จะเก็บคำโต้เถียงไว้ในยามที่กลับถึงด่านชายแดนเมืองวัน
องครักษ์โปถามขึ้น “พวกมันไม่ได้เผาทำลายบ้านเรือน แต่ฆ่าคน”
เมื่อองครักษ์ตงพยักหน้า องครักษ์โปก็เสนอความเห็น “พวกเราควรเดินทางเลี่ยงหมู่บ้าน”
อาเม่ยสงสัย “ที่หมู่บ้านอาจมีผู้รอดชีวิตที่รอความช่วยเหลือ”
องครักษ์โปส่ายหน้าพลางอธิบาย “การวางเพลิงคือสัญญาณบ่งบอกว่า ไม่เหลือผู้ใดแล้ว ที่ไม่วางเพลิงก็เพื่อหลอกล่อให้เราเข้าไป”
องครักษ์ตงกล่าวย้ำอีกครั้ง “ที่นั่นไม่เหลือคน มีแต่เพียงกับดัก”
เมื่ออาเม่ยยังแสดงท่าว่ามีคำถาม องครักษ์ตงจึงกล่าวเตือน
“พวกเรามีเวลาเพียง 7 วันก่อนที่เวทย์ของแม่ทัพต่อเจ้าจะคลายลง และเวลานี้เราก็เหลือเวลาอีกเพียง 1 วันเท่านั้น”
เวลาของทั้ง 3 คนใช้ไปกับการเดินทางตามขบวนของพ่อค้า จากนั้นก็คือการเดินป่า เมื่อคำนวณดูแล้วเหลือเวลาไม่มากนัก
อาเม่ยตัดสินใจ “เช่นนั้นก็เร่งเดินทางไปเมืองเหนือกันเถิด”
องครักษ์ตงนำทางเดินอ้อมหมู่บ้านที่ถูกทำลาย ตรงไปยังเมืองเหนือที่อยู่ห่างออกไป
..จบตอนที่ 13..
ตกมาหน้า 4
มันช่างเศร้าใจยิ่งนัก
ไม่ชอบพระราชา ไม่ชอบพี่เช ผมเข้าใจนะฮะ แต่ผมไม่สามารถเร่งให้คนเขียนรวบรัดตัดตอนให้อาเม่ยมาเร็วขึ้นได้ ด้วยสาเหตุใด จะเฉลยนับจากนี้เป็นต้นไป
อยากคุยใจจะขาด แต่คุยท้ายเรื่องด้วยความไร้สาระทีไร กลับสร้างความหนักใจให้กับคุณผู้อ่านซะทุกครั้งไป นินทาพี่ไจฟ์ในนี้เยอะไป ก็จะทำเรื่องเสีย ดังนั้น ถ้าอยากคุยกัน ตามไปในเฟสนะฮะ แต่ถ้ายังไม่ได้เป็นเพื่อนกัน รบกวนส่งคำขอซ้ำนะฮะ
ย้ำ ** สงสัยไม่เข้าใจอะไรคุยกันนะฮะ **
น้ำชา