ตอนที่ 14องครักษ์ตง โป และอาเม่ยยังอยู่ห่างจากแนวเมืองเหนือในชั่วการเดินประมาณครึ่งวัน แต่ที่ทุ่งหญ้าลาดต่ำลงไปเบื้องหน้าเวลานี้ คือค่ายของมนุษย์ และอมนุษย์จำนวนมากกว่า 200 คน
ค่ายนี้อยู่ห่างจากถนนที่พ่อค้าจะใช้ในการเดินทางไปมาก ส่วนหมู่บ้านที่อยู่ใกล้ที่สุดเป็นหมู่บ้านโจรที่อยู่ห่างออกไปในช่วงการเดินครึ่งวัน
ทั้ง 3 คนซุ่มมองจากระยะไกลแล้วถอยห่างออกมา ก่อนที่จะถูกพบ
“ที่นี่อยู่ห่างจากเมืองวันเพียงชั่วการเดินเท้า 3 วัน และข้าเชื่อว่าหมู่บ้านโจรที่เราผ่านมาอาจเป็นสายของพวกมัน” องครักษ์ตงบอก
อาเม่ยคิดคำนวณ “จากที่นี่กลับไปเมืองวันอาจมีหมู่บ้านโจร ให้ความคุ้มครองอยู่เช่นกัน”
โปพยักหน้าช้าๆ ขณะที่ทั้ง 3 ต่างมองหน้ากัน
พวกเราตกอยู่ในวงล้อมของศัตรู!
และแน่นอนว่าในเวลานี้ไม่สามารถเดินทางกลับไปที่เมืองวันได้
ทางเดียวที่ทำได้คือกลับไปที่เมืองบาสก์ แม้ว่ามันจะหมายถึงการนำภัยไปสู่เมืองบาสก์ก็ตาม!
หากการเดินทางกลับไปอย่างราบรื่นค่อยเดินทางอ้อมกลับไปเมืองวัน
แต่หากถูกขัดขวางก็เหลือเพียงทางเดียวคือต้องจัดการในลักษณะเดียวกันกับที่จัดการกับหมู่บ้านอื่นๆ
โชคร้ายที่การเดินทางกลับ ทั้ง 3 ต้องเผชิญหน้ากับโจรป่ารูปร่างสูงใหญ่ 5 คนที่ยืนขวางทาง
องครักษ์ตงยังไม่ได้เอ่ยคำพูดใดๆ อาเม่ยก็เป็นฝ่ายตวัดดาบในมือฟาดฟันใส่กลุ่มโจรก่อน
เพลงดาบที่ดุดันชัดเจน
ขณะที่องครักษ์ตง กับ โป แยกรับมือกับโจรป่าอีก 2 คน
เมื่อหันมาอีกครั้งคืออาเม่ยยืนรออยู่ท่ามกลางชิ้นส่วนศพของโจรป่าที่กระจัดกระจายอยู่แทบเท้า แล้วเร่งนำกลับไปที่หมู่บ้านโจรป่า
“เราต้องจัดการกับพวกมันให้เป็นเช่นเดียวกับที่พวกอมนุษย์ทำกับหมู่บ้านอื่น”
อีก 2 คนอ้าปากจะพูดแต่ก็กลับทำได้เพียงแค่มองหน้ากัน
ยิ่งต่อสู้อาเม่ยก็ยิ่งลงมือโหดเหี้ยมมากขึ้นเรื่อยๆ
อาเม่ยเร่งเท้านำไปได้ระยะหนึ่ง องครักษ์โปก็กลับขึ้นแซงแล้วซัดมีดไปยังต้นไม้ใหญ่ทางขวามือ
ร่างหนึ่งร่วงหล่นมา ทำให้อาเม่ยหยุดเท้า หันมากล่าวขอบคุณองครักษ์โป
“ข้าไม่รู้สึกเลยว่าถูกจับตาอยู่”
องครักษ์โปเพียงพยักหน้ารับคำขอบคุณ แล้วขึ้นนำจนกระทั่งมาหยุดอยู่ห่างจากหมู่บ้านไม่มากนัก กลุ่มหมู่บ้านเล็กๆ นอกจากบ้านเรือนยังมีเรือนหลังใหญ่ที่คาดเดาได้ว่าคือคลังอาวุธ กลุ่มชายและหญิงกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ที่กลางหมู่บ้าน
องครักษ์โปซัดมีดสั้นใส่กลุ่มคนที่กลางหมู่บ้านล้มลงก่อน จากนั้นบุกเข้าบ้านหลังที่อยู่ใกล้ที่สุด
ส่วนเวทย์ขององครักษ์ตงคือเพลงสังหาร แต่ถึงจะใช้ดาบยาวก็ยังได้ผลดีไม่ต่างกัน
แม้หมู่บ้านโจรจะมีคนไม่มากนัก แต่ทุกคนล้วนเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญการใช้อาวุธ เล่ห์เหลี่ยม และ บางคนยังสามารถใช้เวทย์ดำ
เมื่อเผชิญกับชายรูปร่างผอมสูง บดบังใบหน้าด้วยหมึกสีดำเข้ม องครักษ์ตงก็เปล่งเสียงเพลงสังหาร โจรร้ายที่พุ่งเข้ามาหากลับถูกพลังดีดกลับจนกระแทกฝาผนังแล้วร่วงลง
เมื่อออกมาเห็นบ้านหลังที่อยู่ด้านนอกถูกจุดไฟเผา
เปลวไฟลุกลามจากบ้านหลังหนึ่งไปอีกหลังหนึ่ง อีกครู่หนึ่งไฟอาจลามถึงคลังอาวุธ องครักษ์ตงจึงถอยออกมาด้านนอก
ด้านหนึ่งองครักษ์โปกำลังจัดการกับคนที่กำลังวิ่งหนีออกไปจากหมู่บ้าน องครักษ์ตงจึงเข้าไปช่วยจัดการ เมื่อโจรร้ายหมดลมหายใจลงไปกองอยู่กับพื้นก็เห็นอาเม่ยวิ่งมาหา ทั้งร้องบอก
“ไฟถึงคลังอาวุธแล้ว!”
อีก 2 คนรีบวิ่งนำออกจากหมู่บ้าน เสียงระเบิดดังก้อง แรงระเบิดผลักทั้ง 3 คนกระเด็นไปข้างหน้าอีกไกล
อาเม่ยพลิกตัวขึ้นนอนหงาย แต่ยังไม่ยอมลุกขึ้นนั่ง ผิดกับองครักษ์ตงที่รีบลุกขึ้นแล้วหันไปเร่งอีก 2 คน
“เร็วเถิด อย่ามัวแต่นอนอยู่”
“ผู้ใดอยากนอนกัน” อาเม่ยลุกขึ้นนั่ง มือซ้ายแตะที่ซี่โครงที่รู้สึกเจ็บร้าว
องครักษ์โปลุกขึ้นแล้วหันมามองอีกคนที่ยังนั่งอยู่
“เสียงระเบิดจะเรียกคนในละแวกใกล้เคียงมา ไปกันเถิด”
คนตัวเล็กที่สุดในกลุ่มพยักหน้ากัดฟัน แล้วลุกขึ้น เร่งเท้าตามอีก 2 คน
องครักษ์ตงคำนวณเส้นทางจากดวงอาทิตย์ ใช้อีกเส้นทางเพื่อกลับไปเมืองวัน ไม่หยุดพักแม้ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ก็ยังใช้พระจันทร์ และแสงดาวนำทาง
อาเม่ยทั้งเหน็ดเหนื่อย ทั้งรู้สึกเจ็บซี่โครงจนแทบหายใจไม่ออก แต่เข้าใจได้ว่า ที่องครักษ์ตงไม่ยอมหยุดพักด้วยเหตุใด
แต่การเดินทางกลางคืนในเส้นทางที่ไม่คุ้นเคย ทำให้ต้องหยุดเท้าลงในที่สุด
“ราวเที่ยงพรุ่งนี้ เราอาจถึงเมืองวัน”
เมื่อหยุดเท้า อาเม่ยก็ต้องทิ้งตัวลงนอน องครักษ์โปก้าวเข้ามาหา
“หากหยุดตอนนี้ เจ้าอาจไม่มีแรงก้าวต่อไป”
“ครู่เดียว ขอเวลา เพียง ครู่เดียว เท่านั้น” อาเม่ยกล่าวอย่างยากลำบาก แล้วหลับตาลง
ทั้งองครักษ์ตงและโปคุกเข่าลงข้างหนึ่ง ต่างแน่ใจว่าอาเม่ยบาดเจ็บแต่ไม่มีเวทย์ในการรักษาตนเอง
“ขึ้นหลังข้าไหม” องครักษ์ตงอาสา
แต่อาเม่ยส่ายหน้า เพียงครู่เดียวก็ลืมตาขึ้น
“นี่เป็นเวลาที่เราอยากมีเวทย์ในการรักษาตนเองมากที่สุด”
“มันเป็นเวทย์ที่ใครๆ ก็อยากมีทั้งนั้น” องครักษ์โปบอกด้วยรอยยิ้มกว้าง “ดีขึ้นแล้วใช่ไหม”
“นิดหน่อย” อาเม่ยบอก “แต่เจ้าต้องให้ข้าพักทุก 2 ชั่วยาม”
องครักษ์ตงพยักหน้าทั้งที่ยังเป็นกังวล อาเม่ยจึงพูดต่อ
“พวกเราต้องรีบสูญหายไปก่อนที่พวกเมืองเหนือจะรู้ตัว”
“ขออภัยที่ข้าไม่รู้ว่าเจ้าบาดเจ็บ”
องครักษ์ตงกล่าวทั้งที่มีคำถามในใจเพิ่มขึ้น
ผู้บาดเจ็บย่อมมีลมหายใจผิดปกติ
อาเม่ยมีฝีเท้าเชื่องช้าลง แต่โดยทั่วไปต้องนับว่าไม่ได้ผิดไปจากตอนที่เริ่มต้นออกเดินทางเลยสักนิด
ขณะที่ทั้งตนเองและโปกลับมีท่าทีเหน็ดเหนื่อยจากการเร่งรีบเดินทาง
ทั้ง 3 มองหน้ากันแล้วเร่งเท้าเดินทางต่อไป
ชั่วระยะหนึ่งจึงได้ยินเสียงน้ำ
เรี่ยวแรงที่ใกล้เหือดหายพลันกลับมาใหม่
เพราะสายน้ำเล็กๆ คือสัญลักษณ์ของเมืองวัน
องครักษ์ตงหันมาหาอีก 2 คนพยักหน้าแล้วกลับหยุดยืนนิ่ง
องครักษ์โปและอาเม่ยเตรียมพร้อมอาวุธในมือ
องครักษ์ตงกล่าวเบาๆ “พวกเราต่างเหน็ดเหนื่อย หากเพลี่ยงพล้ำจะกลายเป็นการนำภัยร้ายไปสู่เมืองวัน”
อาเม่ยขยับจะกล่าวคำพูดแต่องครักษ์ตงหันมาสั่ง
“เจ้าต้องกลับไปแจ้งข่าว”
...และไม่ว่าเจ้าจะมีความผิดปกติใด แม่ทัพเชมัลจะรักษาเจ้าได้...
“ไม่” อาเม่ยบอก “เรามากัน 3 คนก็ต้องกลับไปทั้ง 3 คน”
เสียงฝีเท้าม้าเคลื่อนเข้ามาใกล้
องครักษ์โปพยักหน้าเตือนให้ทั้งหมดแยกย้ายปีนป่ายขึ้นต้นไม้สูงคนละต้น
นี่เป็นช่วงเวลากลางดึก อากาศรอบตัวที่เย็นลงแล้วกลับอุ่นขึ้น
ม้าตัวนั้นมีสีแดงดั่งเปลวเพลิง ผู้ขับขี่เป็นชายรูปร่างสูงใหญ่ ผิวสีขาวซีด
ฝีเท้าม้าย่างเหยาะผ่านต้นไม้ใหญ่ตรงมาทางที่ทั้ง 3 คนต่างแยกย้ายกันอยู่
อาเม่ยรู้สึกใจเต้นแรง ฝ่ามือชื้นเหงื่อ
ทั้งที่ต้องการหันกลับไปมององครักษ์ตงกับโป แต่กลับไม่อาจละสายตาจากคนที่นั่งอยู่หลังม้าได้
ไม่ต้องสงสัยว่าคนที่ขี่ม้าเจตนาผ่านต้นไม้ทั้ง 3 ต้น เพราะเมื่อผ่านพ้นไปแล้วก็หันม้ากลับมา เงยหน้าขึ้นมามอง
อาเม่ยทิ้งตัวลงจากต้นไม้ ตามมาด้วย ตง และโป
ดวงตาของคนขี่ม้ามีสีดำสนิท ฉุดรั้งตัวตน และลมหายใจ!
เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งอาเม่ยกำลังก้าวเดินอย่างยากลำบากมุ่งหน้าสู่ประตูเมือง
ดาบในมือยังไม่เข้าฝัก ทั้งอาบชุ่มไปด้วยเลือด
เส้นผมสีเงินระอยู่ข้างแก้ม
ไม่มีองครักษ์ตงนำหน้า ไม่มีองครักษ์โปเดินตามหลัง!
ยามนี้ใกล้เที่ยงวันแล้ว
เวลาตามที่องครักษ์ตงคาดการณ์ไว้ ว่าหากเดินทางโดยไม่หยุดพัก พวกเราจะกลับมาถึงเมืองวันทันเวลา
แต่เวลานี้ทั้ง 2 คนกลับหายไป
เช่นเดียวกันความทรงจำของอาเม่ย
สิ่งเดียวที่จำได้คือดวงตาสีดำคู่นั้น!
และอาการเจ็บร้าวที่ดวงตา!
กับการที่ไม่สามารถหยุดเท้าของตนเองได้!
มองเห็นทหารยามที่ยืนอยู่เหนือประตูเมืองส่งสัญญาณบางอย่าง และประตูเมืองเปิดออก
คน 2 คนวิ่งนำออกมา
คนหนึ่งคือแม่ทัพเชมัล และอีกคนคือแม่ทัพนาซิม
เหน็ดเหนื่อยประหนึ่งร่างกายจะแตกร้าว แต่ 2 ขากลับยังก้าวเดินต่อไป
แม่ทัพเชมัลเร่งเท้าเข้ามาหา แล้วรับร่างกายอิดโรยที่ล้มลงในทันที!
รับรู้ได้ในทันทีที่อาเม่ยล้มลงในอ้อมแขน ว่ามีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติ แต่การไม่พากลับเข้าในกำแพงเมืองกลับอันตรายมากกว่า
แม่ทัพนาซิมเองก็รู้ว่ามีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น
เมื่อก้าวมาถึงหน้าประตู องครักษ์ฮูดาคือผู้ที่ชักเข้าขัดขวาง ไม่ให้แม่ทัพเชมัลอุ้มอาเม่ยผ่านเขตประตูเมือง
“ไม่ได้”
“ข้าต้องพาเสี่ยวเม่ยเข้าไป”
“ไม่ได้ เม่ยมีบางอย่างผิดปกติ” องครักษ์ฮูดาไม่ยอม สายตาที่จ้องมองคนที่แม่ทัพเชมัลอุ้มอยู่เต็มเปี่ยมไปด้วยความกังวล
แม่ทัพเชมัลเสียงแข็งจนผิดปกติ “เจ้าคิดว่าข้าไร้ความสามารถถึงขนาดที่จะช่วยเสี่ยวเม่ยไม่ได้งั้นหรือ!”
องครักษ์ฮูดาลังเล แล้วเลี่ยงหลบไปด้านข้าง
นานมากแล้วที่แม่ทัพเชมัลไม่ได้แสดงท่าทีแข็งกร้าวเช่นนี้
ใช่ว่าจะไม่เชื่อมั่นแม่ทัพเชมัล
แต่ยังมีอีกประการหนึ่งที่ยังต้องเป็นกังวล
นั่นคือเสนาบดีหลี่ที่ยังอยู่ที่เมืองหน้าด่านแห่งนี้!
ชายชราใบหน้าแหลม ดวงตาเรียวยาว จ้องมองแม่ทัพเชมัลที่อุ้มอาเม่ยเข้าไปในบ้านพักของแม่ทัพนาซิมอย่างรวดเร็ว แต่พอจะก้าวตามเข้าไป กลับถูกฮูดาองครักษ์อันดับ 4 เข้าขัดขวาง
“โปรดรอ”
“ทำไมข้าต้องรอ แม่ทัพอุ้มองครักษ์เม่ยเข้าไปในห้องนั่นมิใช่หรือ”
องครักษ์รอมพี่ใหญ่กล่าวเตือน “ท่านก็เห็นว่า ท่านแม่ทัพเพิ่งอุ้มเม่ยเข้าไป นอกด่านนั่น หรือจะที่นี่ล้วนมีแต่เรื่องราวแปลกประหลาด หากให้ท่านติดตามเข้าไป แล้วเกิดเรื่องร้ายขึ้นกับท่าน พวกเรามีอีก 10 ศีรษะก็ไม่พอให้พระราชาสั่งประหารดอก” พี่ใหญ่ของกลุ่มโน้มน้าวด้วยถ้อยคำอ่อนโยน “พวกเราก็อยากรู้เรื่องราวไม่ต่างกับท่านเช่นกัน”
แต่อาเม่ยที่อยู่ในห้องพักกลับสงบนิ่งไม่ต่างจากคนที่หลับลึก
แม่ทัพนาซิมออกมาเอาน้ำเข้าไปให้แม่ทัพเชมัลเช็ดหน้าให้เม่ย แต่ผ่านไปครู่หนึ่งฝ่ายน้องชายก็เงยหน้าบอกกับพี่ชาย
“ข้าอยากจับเขาอาบน้ำ ขัดถูคราบไคลเหล่านี้มากกว่า”
แม่ทัพนาซิมมองน้องชาย สลับกับอาเม่ย “อาเม่ย..มิได้...”
แม่ทัพเชมัลหันมามองพี่ชายเต็มตา “ท่านจับสิ่งผิดปกติมิได้หรือ”
“ได้” พี่ชายยอมรับ “แต่เพราะข้าก็เป็นอีกคนที่ถูกเวทย์นั้นทำร้าย ความรู้สึกของข้าเวลานี้อาจเป็นเรื่องหลอกลวง”
“เวทย์ดำนั่นทำลายความมั่นใจของท่านไปเสียสิ้น”
“เชมัล ข้าไม่เคยทำร้ายผู้ใดปางตายเช่นนั้น ยิ่งเป็นอาเก้าด้วยแล้ว ยิ่งไม่กล้าแม้แต่จะสัมผัสมาตลอด ข้าถามตัวเองอยู่ตลอดเวลา ว่าทำร้ายเขาได้อย่างไร”
น้องชายพยักหน้าด้วยความเข้าใจ วานให้แม่ทัพนาซิมบอกองครักษ์ฮูดาให้เตรียมน้ำอาบ และแจ้งต่อเสนาบดีว่า อาเม่ยอ่อนเพลียมาก ขอเวลาสักวัน 2 วันทุกคนก็พร้อมที่จะออกไปทำตามคำสั่งของพระราชา
“แล้วผู้ใดจะดูแลอาเม่ย...”
“ข้าพอจะมีวิธี”
แต่เมื่อจะก้าวเดินออกไป พี่ชายก็หันกลับมาอีกครั้ง “เชมัล...ข้าเสียใจ”
“ข้าก็เสียใจ แต่พวกเราต้องก้าวไปข้างหน้า ข้าจะช่วยให้ท่านได้คนของท่านคืนมา แต่ท่านก็ต้องช่วยให้ข้าได้อยู่กับคนที่ข้ารักเช่นกัน”
แม่ทัพนาซิม ที่สูญความมั่นใจไปเสียสิ้นกลับยิ้มและพยักหน้าด้วยความมั่นใจ
*-*จบตอนที่ 14*-* 