ตอนที่ 15 เวลาผ่านข้ามวันไปอีกวัน อาเม่ยจึงรู้สึกตัวและลืมตาขึ้น
แสงอาทิตย์ลอดผ่านหน้าต่าง มีเสียงพูดคุยดังอยู่ด้านนอก แต่เงียบลงในทันทีที่คนในห้องขยับตัวลุกขึ้นนั่ง จากนั้นประตูก็เปิดออก
องครักษ์รอมพี่ใหญ่ก้าวเข้ามาในห้องเป็นคนแรก เมื่อเข้ามาก็ตรงเข้ามาจับข้อมือ แล้วแตะหน้าผาก
“หิวหรือไม่”
อาเม่ยพยักหน้า “ตงกับโปเป็นเช่นใดบ้าง”
องครักษ์รอมหันไปบอกทหารยามด้านนอกให้ไปแจ้งแม่ทัพ และบอกครัวให้เตรียมอาหาร จากนั้นจึงนั่งลงบนที่นอน
“มีแต่เจ้าที่กลับมา พวกเราส่งคนออกไปตามหาทั้ง 2 คนแต่ยังไม่มีความคืบหน้า”
เมื่อประตูห้องเปิดออกอีกครั้ง แม่ทัพเชมัล และแม่ทัพนาซิม กับองครักษ์ฮูดาก้าวเข้ามา องครักษ์รอมพี่ใหญ่จึงลุกขึ้นยืน
“เจ้าตื่นแล้ว”
“พี่ใหญ่รอมบอกว่ามีเพียงข้าที่กลับมา” อาเม่ยหันมาถามทันที
แม่ทัพเชมัลนั่งลงแทนที่องครักษ์รอม “เจ้าควรพักผ่อนอีกสักนิด"
อาเม่ยหันมากอดแขนหนาไว้ ท่าทางเต็มไปด้วยความกังวล
“เสี่ยวเม่ย”
คนที่เพิ่งฟื้น พยายามทบทวนเรื่องราวต่างๆ แล้วเงยหน้าขึ้นบอกความจริง
“ข้า...จำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
“เจ้าควรพักผ่อนอีกสักนิด”
อาเม่ยพูดช้าๆ “พวกเราไปถึงเมืองบาสก์ ถูกจับได้ว่ามีอาคม แต่เพราะไม่ได้มีเจตนาร้าย จึงถูกขับออกจากเมืองมาในตอนค่ำ เดินป่าไปทางเมืองเหนือ พบหมู่บ้านโจร และกลุ่มอสูร มีค่ายใหญ่ของเมืองเหนือเตรียมพร้อมอยู่ไม่ห่างจากที่นี่มากนัก”
“เสี่ยวเม่ย เรื่องนั้น...”
“พวกมันมีทั้งอสูร และอมนุษย์ จำนวนนับพัน” อาเม่ยเงยหน้าขึ้นมอง “พวกเรา สังหารอสูรกลุ่มหนึ่ง เผาหมู่บ้านโจรอีกแห่งหนึ่ง แล้วหนีกลับมา” คนตัวเล็กแตะที่เอว “ข้าบาดเจ็บทำให้การเดินทางล่าช้า แต่เพราะค่ายของพวกมันเตรียมพร้อมแล้ว ตงจึงให้เร่งเดินทางต่อมา จากนั้นในเวลากลางคืน พวกเราพบคนขี่ม้าสีแดง...แล้ว...ทุกอย่างมันก็หายไป”
แม่ทัพนาซิม หันไปมององครักษ์รอมกับฮูดาดั่งถามความเห็น
องครักษ์รอมเพียงพยักหน้าให้รับฟังคำกล่าวของอาเม่ย
“เจ้าเพิ่งฟื้น บางเรื่องอาจสับสน ต้องใช้เวลาเพื่อรื้อฟื้นความทรงจำที่หายไป” มือใหญ่จับใบหน้าซีดเซียวไว้ “อย่าเร่งรัดบังคับตนเอง”
อาเม่ยพยักหน้า แต่ยังต้องการบอกความกังวลในใจ “พวกเมืองเหนือเตรียมพร้อมแล้ว พวกมันอาจตามมา”
“พวกเราก็เตรียมพร้อมแล้วเช่นกัน” องครักษ์ฮูดากล่าว “ที่พวกเราให้เจ้า 3 คนออกไปก็เพราะเราต้องการความมั่นใจ”
“แต่ข้าทำให้ตงกับโปหายไป ดังนั้นข้าจะออกไปด้วย” อาเม่ยพูดพลางลุกขึ้น
องครักษ์รอมกับแม่ทัพนาซิมมีท่าทีคัดค้าน แต่แม่ทัพเชมัลพูดอย่างสุขุม “ข้าจะให้เจ้าไป หากเจ้าจะกินอาหารให้อิ่ม ฟื้นฟูกำลัง ไม่เป็นภาระต่อผู้อื่น”
“ท่านจะเดินทางเมื่อใด”
“พรุ่งนี้เช้า เจ้ายังพอมีเวลา”
แต่เมื่อแม่ทัพเชมัล กล่าวให้นอนพักต่อ อาเม่ยก็ปฏิเสธ “ข้าต้องรับผิดชอบที่ทิ้งพวกเขาไว้เช่นนั้น”
แม่ทัพเชมัลยังคงตามใจ หันไปเรียกทหารยามด้านนอกให้จัดเตรียมอาหาร
“แม่ทัพ” องครักษ์รอมทักท้วง
“พวกเราเอง ก็ต้องกินเหมือนกัน นั่งกินอาหารพร้อมกัน แล้วคุยกันดีกว่า” แม่ทัพหันมากล่าวกับอีกคน “เจ้าเองเมื่อกินอิ่มก็นอนพัก แล้วเมื่อตื่นค่อยซ้อมดาบกัน”
ตามที่องครักษ์ฮูดากล่าวไว้ แผนการต่างๆ ถูกวางไว้นานแล้ว และรอเพียงตำแหน่งที่แน่ชัดของฝ่ายศัตรูเท่านั้น การสนทนาในระหว่างมื้ออาหารจึงเป็นการทบทวนแผนการต่างๆ ให้อาเม่ยรับฟังอีกครั้ง
ตลอดเวลาองครักษ์ฮูดายังคงแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าจับตาทุกการเคลื่อนไหว และทุกคำพูดของอาเม่ย จนกระทั่งมื้ออาหารผ่านพ้นไป และทหารยามเก็บจานชามออกไปแล้ว อาเม่ยจึงหันมาหาองครักษ์ฮูดา
“มีวิธีทำให้ข้านึกอะไรออกบ้างไหม”
องครักษ์ฮูดายังไม่ละสายตาจากอาเม่ยเมื่อตอบคำถาม “เจ้าต้องออกไปอีกครั้ง”
“ถ้าออกไปจะจำได้จริงหรือ”
“อาจจะ” องครักษ์ฮูดาถอนหายใจ “แต่ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย พวกเราต้องพาอีก 2 คนกลับมา แล้วแม่ทัพก็ยังต้องกำจัดแม่ทัพฝ่ายเหนือให้ได้ พวกเราไม่อาจอยู่สภาพที่ระแวงเจ้าตลอดเวลา”
ไม่อาจมีใครในแผ่นดินนี้ที่กล่าวคำอย่างตรงไปตรงมาได้เช่นเดียวกับองครักษ์ฮูดาอีกแล้ว
อาเม่ยมองมือตัวเอง “ก่อนที่จะออกไป เรา 3 คนต่างกล่าวคำสาบาน หากถูกเวทย์ดำให้อีก 2 คนสังหารก่อนเป็นภัยร้าย ข้าอยากขอร้อง....”
องครักษ์ฮูดาลุกขึ้นยืน “ข้าไม่รับคำสาบานนั้น” คนตาคมหันไปมองแม่ทัพเชมัล ดั่งกล่าวคำพูด ว่าเรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้ว ต่อให้อาเม่ยถูกเวทย์ดำจริง แม่ทัพเชมัลก็จะไม่ยอมให้ใครลงมือกับอาเม่ยได้ “แต่หากเจ้าทำร้ายแม่ทัพเชมัล ไม่ข้าก็เจ้าที่ต้องหมดลมหายใจ”
องครักษ์รอมลุกขึ้นตาม “พักผ่อนเถิด พรุ่งนี้พวกเราทุกคนที่นี้ล้วนคือกำลังสำคัญ”
แม่ทัพนาซิมบอกกับน้องชาย “พวกเราอาจพบ 2 คนอยู่ในทัพของฝ่ายเหนือ แต่หากไม่อยู่ในที่นั้น เราก็ค่อยแบ่งคนออกติดตาม”
ทุกคนล้วนเข้าใจในเรื่องนี้โดยดี
แต่เมื่อแม่ทัพเชมัลจะลุกขึ้นบ้าง อาเม่ยกลับจับมือไว้ แม่ทัพนาซิมจึงกล่าวด้วยความเข้าใจ
“คืนนี้เหลือเพียงเตรียมอาวุธให้พร้อม เจ้าอยู่เป็นเพื่อนเม่ยก่อนเถิด”
แม่ทัพเชมัลมองคนที่ก้มหน้า
ยังมีความจริงบางอย่างที่อาเม่ยยังไม่ได้กล่าวออกมา
และความจริงข้อนั้นกำลังรบกวนจิตใจ
ในฐานะแม่ทัพ ไม่อาจปล่อยทหารที่มีสภาพจิตใจเช่นนี้ออกสู่สนามรบ
และในฐานะ.......ยิ่งไม่อาจ......
“อยากออกไปเดินเล่นหรืออยากพักอยู่ที่นี่”
เมื่อแม่ทัพเชมัลกล่าวคำ คนอื่นก็ล่าถอยออกไป ส่วนอาเม่ยนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วส่ายหน้า จากนั้นจึงกล่าวคำ
“ข้าถูกเวทย์ดำใช่หรือไม่”
“เรื่องนั้นไม่มีผู้ใดรู้ จนกว่าเจ้าจะแสดงมันออกมา”
อาเม่ยลุกขึ้นยืนแล้วเงยหน้ามองสบตา คนรูปร่างสูงใหญ่
“ข้าอาจฆ่าตงกับโป”
“พวกเขาอาจปกป้องเจ้า จากชายขี่ม้าสีแดงคนนั้น เพื่อให้เจ้ารอดกลับมา” อ้อมแขนใหญ่กอดคนรูปร่างผอมบางไว้ “สัญชาตญาณพาเจ้ากลับมาที่นี่”
.....การใช้หัวใจผูกพันอาเม่ยไว้ นำทางให้อาเม่ยกลับมาถึงที่นี่....
“มีอีกเรื่องที่...ข้าอยากบอกกับท่าน”
คนตัวเล็กสวมกอดเอวหนาไว้
“นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ข้าเป็นเช่นนี้”
แม่ทัพเชมัลดันคางสวยให้เงยหน้าขึ้นสบตา
“ครั้งแรกคือ ในตอนที่เจ้าปรากฏตัวที่เมืองหลวง”
อาเม่ยยิ้มที่มุมปาก
“ท่านรู้...”
แม่ทัพเชมัลพยักหน้า “หลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับเจ้าไม่ชัดเจน”
“แล้วเหตุใดท่านยังให้ข้าอยู่กับท่าน”
แม่ทัพเชมัลก้มลงจูบปากสวย “เพราะหัวใจของข้าบอกว่า หากข้าปล่อยเจ้าไป ข้าจะต้องเสียใจไปตลอดกาล”
อาเม่ยเบี่ยงหน้าหลบจูบทำให้ริมฝีปากหนากดจูบที่ข้างแก้ม “ข้าบอกกับท่านทุกเรื่องที่จำได้ เพียงแต่ความทรงจำบางอย่างมัน....”
มือใหญ่ช้อนใต้สะโพกยกอุ้มขึ้นพากลับมาในห้องนอน คนตัวเล็กเหลียวมองไปทางด้านหลัง คนที่อุ้มอยู่ก็กล่าวให้เล่าต่อ
“ท่านจะให้ข้านอนพักอีกแล้วหรือ”
“เจ้าเหน็ดเหนื่อยมามาก เล่าไปเรื่อยๆ ก็ได้”
“แต่ข้าอยากบอกกับท่าน ก่อนที่จะหลงลืมเรื่องใดไปอีก”
“เล่าสิ”
ริมฝีปากหนากล่าวคำแล้วก้มลงจูบไซ้ลำคอขาว มือใหญ่แทรกเข้าใต้สาบเสื้อ
“มีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้นที่หมู่บ้าน และพ่อสั่งให้ข้ามาเมืองหลวง ข้าจะปลอดภัยหากเราอยู่ในค่ายทหาร”
ทั้งริมฝีปาก และมือซุกซนหยุดนิ่ง
แม่ทัพเชมัลมองสบตาสีแปลกนิ่งๆ แล้วพยักหน้า
“นั่นก็เพียงพอแล้ว”
“เพียงพอได้อย่างไร ข้าจำได้แค่เดินออกมาจากหมู่บ้าน รู้สึกตัวอีกที คือมองเห็นเมืองหลวงอยู่ข้างหน้าแล้ว แล้วมันก็เกิดขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้ข้าอาจเป็นคนลงมือสังหารเพื่อน...”
“เจ้าจำไม่ได้ พวกเรายังไม่พบทั้ง 2 คน หากเจ้านำสิ่งนี้ติดตัวไปจนถึงเช้าวันพรุ่งนี้ เจ้าอาจเป็นอันตรายและพวกเราอาจไม่พบตงกับโปตลอดกาล”
อาเม่ยส่ายหน้า ดวงตาแดงก่ำ “ท่านปกป้องข้าไม่ได้หรอก”
“มีแต่ข้าที่ทำได้”
“ท่านแม่ทัพ” หยาดน้ำตาไหลเรื่อย “ข้าอาจทำร้ายท่าน”
“เจ้าทำร้ายข้าไม่ได้หรอก” มือใหญ่ช่วยเช็ดน้ำตาให้ “อย่าคิดวุ่นวายไป ในเวลานี้ ข้าขอให้เจ้าเพียงคิดทบทวนว่า จุดสุดท้ายที่เจ้าอยู่กับตงและโปคือที่ใด”
อาเม่ยคิดทบทวน “มันมืด...แต่ตงบอกว่า ข้างหน้าไม่ไกลมีแม่น้ำ”
“เราจะไปตามหาพวกเขา และตอบคำถามวุ่นวายในใจของเจ้าตกลงไหม”
อาเม่ยพยักหน้า แต่ยังคงดูครุ่นคิด แม่ทัพจึงกล่าวขึ้น
“ตอนที่ข้ายังเล็ก เวลาที่ข้าซุกซนวุ่นวายทำข้าวของเสียหายมาก พระราชาองค์ก่อนจะจับข้ามายืนตัวตรงแล้วบอกให้ข้าหายใจเข้าลึกๆ 3 ครั้ง”
อาเม่ยมองอีกฝ่ายแล้วคลี่ยิ้ม
“ยิ้มอันใด เจ้าต้องหายใจเข้าลึกๆ 3 ครั้งต่างหาก”
“ข้าคิดวุ่นวาย แต่ไม่ได้ซุกซน”
แม้คำพูดจะเริ่มผ่อนคลายแต่ดวงตายังเต็มไปด้วยความหมองหม่น
“หลับตา แล้วหายใจเข้าลึกๆ บอกกับตนเองว่า....เจ้าคือคนของข้าตลอดไป”
“ข้าไม่สมควรได้รับความเมตตาเช่นนี้”
“หลับตา ทำตามที่ข้าบอก”
อาเม่ยหลับตาลงตามที่อีกคนสั่ง มีรอยยิ้มจางๆ อยู่ที่ริมฝีปาก
แม่ทัพเชมัลใช้นิ้วหัวแม่มือเกลี่ยริมฝีปาก แล้วจูบที่หน้าผากสวย
จู่ๆ อีกคนก็ลืมตาโพลง “ผู้ใดทำความสะอาดข้า”
“ย่อมเป็นข้าอยู่แล้ว” รอยยิ้มยั่วจากอีกคนทำให้คนตั้งคำถามใบหน้าร้อนผ่าว “เจ้าไม่ต่างอะไรจากคนไม่ได้อาบน้ำมาทั้งเดือน ข้าทั้งล้าง ทั้งขัดตัวเจ้า...”
“พอแล้ว!” อีกคนร้องขึ้น แล้วซุกหน้าลงกับไหล่กว้าง “ไม่มีอะไรเลวร้ายไปกว่านี้ได้อีกแล้ว”
อาเม่ยยอมพ่ายแพ้ต่อทุกสิ่ง “ทำไมไม่มีเรื่องดีๆ บ้างเลยนะ”
“การที่เจ้ากลับมาคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว” ดวงตาสีเข้มจ้องมองคนที่เงยหน้าขึ้นมอง ดวงตาสีแปลกยังคงแดงเรื่อ “ขอเพียงเจ้ากลับมา ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนคลี่คลายได้”
อาเม่ยพยักหน้า แล้วเอียงใบหน้ารับจูบ
ริมฝีปากหนากดจูบเนิบช้า มือใหญ่ปลดเสื้อตัวใหญ่สัมผัสแผ่นหลังบาง เสียงครางแผ่วเบาเมื่อริมฝีปากกดจูบที่ต้นคอ นิ้วมือเล็กกดแน่นที่ต้นแขนใหญ่เมื่อไล้ลิ้นที่ใต้ใบหู
...ร่างกายนี้อ่อนหวาน และอ่อนไหวยิ่งนัก...
“เสี่ยวเม่ย....” คนตัวโตละจูบแนบหน้าผากต่อหน้าผาก ลมหายใจร้อนผ่าว ยากที่จะหยุดยั้งตนเอง “พรุ่งนี้เรามีสงคราม”
อาเม่ยกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก เข้าใจความหมายของแม่ทัพ ขยับตัวลุกขึ้น หันไปมองหาเสื้อที่ถูกแม่ทัพถอดอยู่กับพื้น แต่มือใหญ่กลับจับเอวบางเข้ามาหา ริมฝีปากหนาจูบที่ปลายอกบาง
อาเม่ยหายใจหอบ สอดนิ้วมือแทรกผมนุ่มของแม่ทัพ
“ทรมาน....ยิ่งนัก...”
มือใหญ่รั้งขอบกางเกงของอีกคนลง
“ไม่..ไม่ได้..”
แต่อีกคนกลับถอดกางเกงออก แล้วจับให้นอนลง
“พรุ่งนี้...พวกเรา...”
ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนพักไว้ก่อนได้ทั้งสิ้น เมื่อคนๆ นี้แสดงให้เห็นด้านที่อ่อนหวาน
“ยังพอมีเวลา...เสี่ยวเม่ย...”
ริมฝีปากหนาจูบอีกครั้งเมื่อกล่าวคำจบ มือใหญ่ลูบไล้ที่อกบางสะกิดส่วนปลาย แล้วเลื่อนลงหาส่วนกลาง มือเล็กรีบคว้าข้อมือไว้
“ข้า....”
อีกคนหันมาจูบปากแล้ว เลื่อนตัวลงมาจูบที่หน้าท้อง
“อย่า..”
อีกฝ่ายพยายามดันไหล่ คนที่ก้มลงแตะปลายลิ้นที่ส่วนปลาย แล้วกลายเป็นจิกปลายนิ้วไว้แน่น เสียงครางกระชั้น
นิ้วมือใหญ่เลื่อนกระชับก้นกลมไล้ปลายนิ้วที่รอยแยก แล้วยกสะโพกบางขึ้น
อาเม่ยแอ่นกายตาม ไร้เรี่ยวแรงขัดขืนใดๆ จนกระทั่งความต้องการถึงขีดสุด กลั่นน้ำสีขาวหยดจากส่วนปลาย หอบหายใจแรง
“ท่านแม่ทัพ...”
คนตัวใหญ่ขยับกายขึ้นคร่อม ปัดไรผมที่หน้าผากและข้างแก้ม
อาเม่ยแตะที่สายรัดเอวของอีกฝ่าย แต่มือใหญ่จับข้อมือไว้
“รอให้พวกเรากลับมาก่อนก็ได้” ขยับผ้าห่มให้อีกคน แล้วลงนอนข้างๆ ม้วนกอดอีกคนไว้ “เสี่ยวเม่ยของข้า”
แขนบางๆ กอดตอบ “ท่านพี่....”
....ที่ผ่านมาไม่เคยนึกกังวลถึงความหลงลืมห้วงเวลาในการเดินทางมาเมืองหลวง เพราะไม่เคยคิดว่ามันคือเรื่องสำคัญ เช่นเดียวกับการหลงลืม เรื่องราวหลายอย่างในชีวิต หากไม่ได้ใส่ใจ
แต่ในครั้งนี้ไม่เหมือนกัน
เพื่อน 2 คนสูญหายไป เหลือเราเพียงคนเดียวที่กลับมา
อาจกลับมาด้วยสัญชาตญาณ อาจด้วยคำกล่าวย้ำของแม่ทัพ และอาจด้วยคำกล่าวของตงกับโปก็ยังคงย้ำเรื่องนี้หลายครั้งเช่นกัน
ในเมื่อจดจำคำพูดเหล่านั้น จดจำม้าสีแดงตัวนั้นกับคนในชุดดำได้ เหตุใดกลับจำเรื่องราวหลังจากนั้นไม่ได้
เกิดเรื่องใดขึ้น!!...
ริมฝีปากหนาจูบที่หน้าผากชื้นเหงื่อ “อยู่ข้างๆ ข้าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม”
“ท่านพี่...เสี่ยวเม่ย...รักท่าน..”
อ้อมแขนใหญ่กระชับแน่นขึ้น
“ข้ารักเจ้าเสี่ยวเม่ย”
....ข้ารักเจ้า รักโดยไม่มีเหตุผลใดๆ ทั้งสิ้น รู้แต่รักและจะไม่มีวันเสียใจที่ได้รัก ไม่ว่าพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร ขอเพียงมีเจ้าอยู่เคียงข้าง ข้าพร้อมเผชิญหน้ากับทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้น...
“หลับเสีย เสี่ยวเม่ยของข้า เจ้าต้องพักผ่อนให้มาก”
...จบตอนที่15...
มาอีกทีพุธที่ 15 กรกฎนะฮะ