ตอนที่ 16การจัดทัพของแม่ทัพเชมัล ยังคงเน้นรูปแบบที่มีจำนวนนักรบและทหารเพียงหยิบมืออยู่เช่นเดิม
แต่ที่แตกต่างไปจากเดิม และต่างจากผู้อื่นก็คือองครักษ์ฮูดา ที่นอกจากอาวุธดาบเล่มบางแล้ว ยังมีห่อผ้าสัมภาระกระชับแนบลำตัว ดูแปลกตาจนอาเม่ยยังต้องมองซ้ำอยู่หลายครั้งจนถูกดุว่าให้มีสมาธิกับภารกิจ
อย่างไรก็ตาม คนกลุ่มนี้คือผู้ใช้เวทย์ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญอาวุธจำนวน 100 คน มีแม่ทัพเชมัล กับแม่ทัพนาซิมเป็นผู้นำกลุ่มใหญ่ 2 กลุ่มที่ยังแบ่งเป็นกลุ่มย่อยอีก 5 กลุ่ม
เมื่อทั้งหมดทยอยควบม้าออกจากกำแพงเมืองไปเป็นระยะทางหนึ่ง ต่างก็ลงจากหลังม้า ปล่อยให้ฝูงม้ากลับเข้าไปในเมือง จากนั้นก็แยกกลุ่มเพื่อเดินเท้าต่อไปยังค่ายทหารของฝ่ายเมืองเหนือที่ตั้งอยู่ในเขตพื้นที่กันชน
ผู้ช่วยของแม่ทัพนาซิม ล่วงหน้าไปก่อนเพื่อสังหารหน่วยยามที่เฝ้าสังเกตการณ์ จากนั้นให้สัญญาณแยกย้ายตามที่วางแผนไว้
เมื่อไม่มียาม แม้จะมีอสูรและผู้มีเวทย์ดำอยู่ในกลุ่ม แต่การรับรู้เรื่องราวต่างๆ ก็จะช้าลง ดังนั้นเมื่อผู้ที่พักอยู่รอบนอกค่ายเห็นฝ่ายเมืองวันที่ลอบเข้ามา ยังไม่ทันจะได้ร้องเตือนคนอื่น ก็ถูกจัดการเสียแล้ว
แม่ทัพนาซิมมุ่งตรงไปที่ตัวนายกอง ส่วนแม่ทัพเชมัลตรงเข้าหาผู้นำของกลุ่มอสูรร้าย โดยมีอาเม่ยติดตามอยู่ไม่ห่าง
ทั้งพลังเวทย์และพลังดาบที่เข้าปะทะอย่างรุนแรง บีบคั้นให้ยิ่งต้องลงมืออย่างเด็ดขาด
แต่การต่อสู้ในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายดายเหมือนในครั้งแรกที่เมืองเหนือส่งทัพไปหยั่งเชิงที่กำแพงเมือง แม้จะสังหารฝ่ายตรงข้ามไปได้หลายคน
เวลาสู้รบผ่านไปอึดใจ เหลือเพียงผู้ที่มีฝีมือเข้มแข็งที่ยังยืนอยู่
องครักษ์ฮูดาสังเกตเห็นว่าอาเม่ยเหลียวมองไปรอบตัว คล้ายกำลังตามหาบางสิ่งบางอย่าง
“หาสิ่งใด ไว้ก่อน เจ้าสูญเสียสมาธิอาจพลาดพลั้งได้”
อาเม่ยหันมาพยักหน้า แต่ไม่ได้กล่าวสิ่งใด จากนั้นหันไปเข้าหาคู่ต่อสู้ จนเมื่อคู่ต่อสู้ล้มลงด้วยปลายดาบ ก็มองรอบตัวอีกครา เห็นแม่ทัพนาซิมกำลังต่อสู้กับคนผู้หนึ่งใบหน้าดุร้าย ส่วนแม่ทัพเชมัลฟันอสูรอีกตนหนึ่งล้มลง
“ที่นี่ไม่มีคนชุดดำบนม้าสีแดง” อาเม่ยบอกกับองครักษ์ฮูดา
คนรูปร่างสูงโปร่งพยักหน้าด้วยความเข้าใจ หากเรื่องนี้เกิดขึ้นกับใคร ก็ย่อมต้องค้างคาใจเช่นกัน
“พวกเราสำรวจดูในที่นี่ เผื่อจะมีเบาะแสของตงกับโป”
จากที่เมื่อเดินเข้าสู่สนามรบ อาเม่ยอยู่เคียงข้างแม่ทัพเชมัล
เมื่อการสู้รบคลี่คลาย อาเม่ยก็กลับเดินเคียงข้างองครักษ์ฮูดา
องครักษ์รอมที่เฝ้าจับตาดูอยู่ไม่ห่าง มองเห็นความเหมือนกันในข้อนี้ ระหว่างแม่ทัพนาซิมกับอาเม่ย
หากถูกทำร้ายด้วยเวทย์ดำ ความมั่นใจในตนเองก็จะสูญเสียตามไปด้วย
แม่ทัพนาซิม และแม่ทัพเชมัล ยังคงสู้กับศัตรู แต่อาเม่ยเดินตามองครักษ์รอมกับองครักษ์ฮูดาไปทั่วค่ายที่ถูกทำลายลง
“เผาเลยไหม” อาเม่ยถามองครักษ์รอม
พี่ใหญ่ของกลุ่มองครักษ์ไม่เห็นด้วย “จะอย่างไรนกปีศาจที่เคยไปเฝ้ามองพวกเรา อาจไปรายงานที่ประตูเมืองหน้าด่านของพวกมันแล้ว ไม่จำต้องเผาที่นี่เพื่อเร่งให้พวกมันมาเร็วขึ้นดอก”
อาเม่ยพยักหน้ารับความเห็น
องครักษ์ฮูดาท้วงถาม “ทำไมเจ้าถึงคิดว่าควรเผาที่นี่”
อาเม่ยส่ายหน้า "ตอนที่เข้าป่ากับตงและโปพวกเราก็เผาหมู่บ้าน จึงคิดว่าสมควรเผาเช่นกัน" เมื่อเห็นว่าแม่ทัพเชมัลที่เพิ่งฟาดศัตรูล้มลงกำลังเดินมาหา ก็กล่าวต่อ “ข้าต้องไปตามหาตงกับโป”
องครักษ์ฮูดารีบท้วง “เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ไปตามลำพัง”
“เสี่ยวเม่ยย่อมไม่ได้ไปตามลำพัง”
แม่ทัพเชมัลบอกขณะที่เข้ามาใกล้ อาเม่ยเลิกสงสัยไปนานแล้วว่า แม่ทัพเชมัลได้ยินคำสนทนาของทั้ง 3 คนได้อย่างไร
“เจ้า 2 คนอยู่ช่วยแม่ทัพนาซิมจัดการเรื่องทางนี้ก่อน พวกเราจะรีบกลับมา”
หากเมื่อแม่ทัพนาซิมทราบเรื่องกลับบอกว่าไม่ต้องเป็นกังวล เนื่องด้วยมีผู้ช่วยที่เป็นผู้ใช้เวทย์อยูู่หลายคนซึ่งมีพลังกล้าแข็งมากพอที่จะยับยั้งนกดำที่จะไปแจ้งข่าวที่ประตูเมืองหน้าด่าน ดังนั้นอาจต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งฝ่ายเหนือจึงจะปะติดปะต่อเรื่องราวและติดตามมาแก้แค้น
“เมื่อถึงเวลานั้น ข้ายังพอจะมีเวลาสำหรับการเจรจาและโยนความผิดให้มัน ที่รุกล้ำพื้นที่กันชน” แม่ทัพนาซิมให้กำลังใจน้องชาย “พวกเจ้าเร่งกลับมา หากต้องเผชิญหน้ากับพวกมันในระหว่างทาง ก็ขอให้จัดการอย่างเด็ดขาด ด้วยข้ออ้างเดียวกัน”
แม่ทัพเชมัลหันมาทางอาเม่ย “เราควรจะเริ่มจากที่ใกล้แม่น้ำ”
เมื่อพบแม่น้ำทั้งหมดยังต้องเดินตามทางน้ำต่อไป เพราะไม่แน่ชัดว่าอาเม่ยข้ามแม่น้ำตรงจุดใด แต่ในเบื้องต้นนี้ ต่างตกลงใจกันว่าจะตรงไปหาหมู่บ้านโจร ที่อาเม่ยกับตงและโป ช่วยกันวางเพลิงเป็นจุดแรก
ทั้ง 4 คนยังคงก้าวเดินตรงไปข้างหน้า ดวงตาคอยมองหา หูคอยฟังเสียง
จนกระทั่งใกล้จะตกดิน จู่ๆ อาเม่ยก็หยุดเท้า คว้าข้อมือของแม่ทัพเชมัลไว้ แล้วหันไปมองรอบตัว แล้วชี้ไปที่อีกด้านของแม่น้ำ
เมื่อก้าวขึ้นอีกฝั่ง แม่ทัพเชมัลก็บอกให้หยุดพักกันสักครู่
“ข้าอยากไปต่อ” อาเม่ยบอก
แม่ทัพเชมัลดึงเข้ามากอดลูบหลัง “พักกินอาหาร และหารือกัน แล้วจะเร่งเดินทางต่อทันที”
คนตัวเล็กในกลุ่มหันไปมององครักษ์ฮูดาที่แกะห่อผ้า หยิบอาหารแห้งส่งให้กับแม่ทัพ
นี่ไม่ได้อยู่ในแผนการที่ตกลงกันไว้
ทั้งตลอดเวลาที่นั่งลงกินอาหาร แม่ทัพ และเหล่าองครักษ์จะไม่ได้กล่าวคำอะไร แต่อาเม่ยยังคงร้อนใจจนไม่รู้รสอาหาร
...ทั้งไฟ และลมที่อยู่ภายในมวลกายต่างเร่งพลัง โหมแรงกันและกันจนการควบคุมตนทำได้ยากยิ่ง!...
ขณะที่อาเม่ยกำลังพยายามควบคุมตนเองอยู่นั้น แม่ทัพเชมัลก็ทิ้งเศษอาหารที่เหลืออยู่ในห่อ และเทน้ำทิ้งลงบนพื้นดิน อาเม่ยได้ยินเสียงกรีดร้อง และเสียงกระพือปีกของสัตว์ปีกขนาดใหญ่จากที่ด้านหลังต้นไม้ เมื่อลุกขึ้นมอง เสียงกระพือปีกก็กลับห่างไกลออกไป
...ทั้งไฟ และลมที่อยู่ภายในมวลกายกลับสงบนิ่ง...
หันมาอีกทีทั้ง 3 ก็ลุกขึ้นแล้ว
"ขอบคุณ" อาเม่ยกล่าวเบาๆ ไม่จำต้องถามแล้วว่า แม่ทัพเชมัลล่วงรู้ได้อย่างไร
มือใหญ่ลูบผมสีเงิน กับรอยยิ้มอ่อนโยน พาจิตใจของอาเม่ยพุ่งตรงกลับไปถึงสถานที่ที่อยู่ร่วมกับองครักษ์ตงและโปเป็นจุดสุดท้าย
สิ่งที่ไม่กล้าที่จะเอ่ยปากบอกกับคนอื่น ก็คือนับตั้งแต่การหยุดอยู่ที่อีกฝั่งของแม่น้ำ มาจนถึงบัดนี้ล้วนเป็นการคาดเดาทั้งสิ้น
ไม่มีอะไรที่เหลืออยู่ในความทรงจำ ไม่มีแม้แต่ตำแหน่งของหมู่บ้าน
มีแต่เพียงเส้นทางไปยังเมืองบาสก์เท่านั้นที่อยู่ในความทรงจำ
ได้แต่ฝากความหวังไว้กับแม่ทัพเชมัล ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความชำนาญในการเดินทางผ่านป่าแห่งนี้
....บางทีแม่ทัพอาจรู้ว่าอยู่ที่ใด...
จากบ่ายคล้อยจนใกล้ค่ำ
ถัดจากต้นไม้ใหญ่ด้านหน้า คือ ลานหญ้าที่มีขนาดเพียงพอให้ปลูกบ้านสักหนึ่งหลัง ถัดออกไปจึงเป็นพุ่มไม้ และแนวของต้นไม้ใหญ่
จู่ๆ แม่ทัพเชมัลก็หยุดอยู่ที่แนวต้นใหญ่ ยกมือให้อีก 3 คนหยุดยืน แต่ตนเองกลับก้าวออกไปยืนอยู่ที่ลานหญ้า
ลักษณะท่าทางคือการหยุดรอ
เมื่ออาเม่ยหันมามององครักษ์รอมกับฮูดา ทั้งคู่ก็จับดาบเตรียมพร้อม
แต่เพียงอาเม่ยที่กำลังพยายามรวบรวมสมาธิที่กระจัดกระจายวุ่นวาย เพราะความไม่แน่ใจเรื่องเส้นทาง หากเมื่อทำไม่ได้ ทั้งยังไม่รู้ถึงความผิดปกติที่ทำให้ทั้ง 3 คนเตรียมพร้อม ก็ยิ่งตื่นตระหนกกว่าเดิม
เป็นตื่นตระหนกที่เกิดจากการที่ต้องสูญเสียความสามารถใช้เวทย์เพื่อระวังภัยไปอย่างสิ้นเชิง!
...ต้องมีเหตุร้ายสิ แม่ทัพเชมัล รอม และ ฮูดาจึงเตรียมพร้อมเช่นนี้ แต่เหตุใดข้าไม่รู้สึกถึงเหตุร้าย! เกิดอันใดขึ้นกับข้า! พลังดาบข้ายังอยู่ เวทย์ไฟข้าก็ยังใช้ได้อยู่เมื่อครู่ แต่ตอนนี้ข้าระวังภัยตนเองไม่ได้ นี่มันเกิดอันใดขึ้น!..
ความมืดเริ่มเข้าปกคลุม อากาศรอบตัวกลับร้อนอบอ้าว ม้าสีแดงดุจเปลวเพลิงก้าวย่างช้าๆ ออกมาจากต้นไม้ใหญ่ฝั่งตรงข้าม
ผู้ที่อยู่บนหลังม้าสวมชุดสีดำ กับดวงตาสีดำที่น่าหวาดกลัว ดั่งสามารถกลืนกินวิญญาณและลมหายใจของผู้ที่จ้องมอง
แม่ทัพเชมัลสลายพลังเวทย์ดำที่กดทับมากขึ้นทุกย่างก้าวที่ม้าสีแดงตัวนั้นก้าวเข้ามาใกล้ แต่คนบนหลังม้ากลับควบคุมให้ม้าหยุดนิ่ง ที่แนวต้นไม้ใหญ่ฝั่งตรงข้าม
เสียงแหบแห้งพ้นจากริมฝีปากฝ่ายตรงข้าม ได้ยินชัดเจน
“เชมัล”
“เฮยอั้น”
“ไม่เจอกันนาน”
“เจ้ากลายเป็นผู้ใช้เวทย์ดำโดยสมบูรณ์”
ผู้ที่อยู่บนหลังม้าส่ายหน้าช้าๆ อย่างคนที่มั่นใจว่าตนเองเหนือกว่า “นั่นคือสิ่งที่ข้าเหนือกว่าเจ้าไง เพราะข้ามีความกล้าที่จะเดิมพันด้วยทุกสิ่งที่ข้ามี แต่เจ้าไม่กล้า...”
แม่ทัพเชมัลไม่สนใจถ้อยคำดูหมิ่นแหบแห้งนั้น
“ข้าเพียงต้องการให้เจ้าคืนคนของข้า”
ผู้ที่อยู่บนหลังม้าส่งเสียงฝืนหัวเราะ นิ้วมือผอมแห้งดั่งโครงกระดูกชี้ไปทางด้านหลังของแม่ทัพเชมัล “ถามคนสำคัญของเจ้า....”
แม้คำกล่าวนี้จะไม่เต็มประโยค แต่แม่ทัพเชมัล องครักษ์รอม และฮูดาต่างก็เข้าใจความหมายนั้นเป็นอย่างดี
แม่ทัพเชมัลกำดาบแน่น “ลงมาจากหลังม้า!”
แต่อีกฝ่ายกลับยิ้มแย้มกล่าวอย่างเปิดเผย ขณะที่ชักดาบจากฝัก “เจ้าก็รู้ว่า พลังของข้าจะสมบูรณ์ที่สุดเมื่ออยู่บนหลังม้า และข้าก็รู้ดีว่าพลังของเจ้าจะลดทอนลงไปเมื่อเจ้าอยู่ในความโกรธ”
แม่ทัพเชมัลวาดดาบออกในแนวขวาง ม้าสีแดงที่ดูน่าเกรงขามกลับก้าวเท้าถอยหลัง สะบัดคอ จนเฮยอั้นต้องดึงสายบังคับให้หยุดนิ่ง แต่กลายเป็นทำให้ม้าพ้นออกมาจากแนวของต้นไม้ใหญ่อยู่ 2 ก้าว
แม่ทัพเชมัลกระโดดเข้าหาคนที่อยู่หลังม้า พลังเวทย์และพลังดาบที่ปะทะกันดังก้อง เปลวไฟแผ่ขยาย ม้าสีแดงพลันยกตัวขึ้นดีดคนบนหลังม้าตกลงมา
พลังเวทย์ปะทะต้นไม้ใหญ่ด้านหลังล้มครืน
เฮยอั้นฝืนกล่าวคำด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ต่อให้เจ้าฆ่าข้าได้ เจ้าก็ไม่อาจสลายเวทย์ของข้าได้โดยง่าย”
“แต่ในลำดับแรกคือข้าต้องฆ่าเจ้าก่อน”
แม่ทัพเชมัลกล่าว ขณะที่เตรียมพร้อมใช้เวทย์อีกครั้ง
ที่ผ่านมาเฮยอั้น นักรบคนสำคัญของฝ่ายเหนือ คือผู้ใช้เวทย์ดำอันดับ 1 ของเมือง ที่เคลื่อนไหวเป็นอิสระ และนานหลายปีแล้วที่จุดประสงค์เดียวของเฮยอั้นคือ การเอาชนะ 3 พี่น้องของเมืองวัน โดยเฉพาะแม่ทัพเชมัล!
เมื่อครั้งยังเยาว์วัย เฮยอั้นเคยพบเจอกับเชมัลที่เขตนอกด่านแห่งนี้แต่ก็พ่ายแพ้ให้อย่างสิ้นเชิง ต่อมาแม้จะฝึกฝนเวทย์ดำจนถูกเวทย์กลืนกิน ก็ยังไม่อาจฝ่ากำแพงเมืองที่ถูกปกป้องด้วยพลังเวทย์แน่นหนานั่นเข้าไปได้
แม่ทัพนาซิมกับพรรคพวกออกมาลาดตระเวณที่ด้านนอกด่านเป็นระยะ ตอกย้ำว่าพลังเวทย์ของพวกเขากล้าแข็งอย่างยิ่ง ที่ทำได้คือการส่งนกปีศาจเข้าไปในเมืองเพื่อวางยา แต่นกนั่นก็กลับสลายร่างไปจนไม่อาจรู้ได้ว่าทำงานสำเร็จหรือไม่
ที่รู้คือเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อนหน้านี้ ผู้ใช้เวทย์จากเมืองวันเพียงหยิบมือ ขยี้เหล่าอสูร และนักรบแนวหน้าของเมืองเหนือจนแหลกลาญ!!!
พื้นที่นี้เป็นเขตกันชน ตามข้อตกลงปราศจากทหาร
ความสูญเสียนี้ไม่อาจกล่าวโทษเมืองวันได้เลย!
“เจ้าไม่อยากรู้หรือไงว่าอีก 2 คนเป็นอย่างไร”
“เรื่องนั้นข้าจัดการเองได้” แม่ทัพเชมัลบอกพลางวาดดาบ กระโดดเข้าหาอีกครั้ง
พลังเวทย์รุนแรงจนแผ่นสะเทือน เปลวไฟจากปลายดาบ แผ่ปกคลุมทั้ง 2 คน
แต่เมื่อเปลวเพลิงสงบลง คือร่างของเฮยอั้นที่กำลังล้มลงแล้วระเบิดสลายไปกลายเป็นเพียงชิ้นเนื้อ
ความเสียหายรอบตัวมากเกินกว่าที่คาดคิด
แม่ทัพเชมัลหอบหายใจแล้วหันกลับมามอง
องครักษ์รอมและฮูดา เพิ่งได้สติหันกลับมามองคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง!
ผิวกายสีขาวซีด แต่ดวงตากลับเป็นสีดำมืดมิด!
เสียงแหบพร่าร้องตะโกนผ่านริมฝีปากซีด ก่อนที่องครักษ์รอมและฮูดาจะลงมือ แม่ทัพเชมัลกระโดดเข้ากอดรวบ ต่อสู้โดยใช้มือเปล่า พลางร้องบอก
“ฮูดา! กำไล!”
องครักษ์ฮูดารีบหยิบกำไลโลหะ ออกจากห่อผ้าส่งให้
แม่ทัพเชมัลคว้าจับล็อคแขน แล้วสวมกำไลใส่ข้อมือขวา ริมฝีปากหนาร่ายเวทย์ กำไลนั้นกลับหดรัดพอดีกับข้อมือ ทั้งเพิ่มน้ำหนักจนอีกฝ่ายไม่สามารถแบกรับต้องทรุดตัวลงนั่ง ข้อมือถูกติดตรึงอยู่กับพื้น เสียงคำรามแหบแห้งยังผ่านพ้นลำคอ
“ขออภัยที่ลืมเรื่องกำไล” การพบเจอกับผู้ใช้เวทย์ที่กล้าแข็ง ทำให้สมองเลอะเลือน แม้จะวางแผนกันมาเป็นอย่างดี แต่องครักษ์ฮูดาก็กลับละเลยคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง
แม้แต่องครักษ์รอมพี่ใหญ่ยังต้องถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หากในระหว่างที่แม่ทัพเชมัลต่อสู้กับเฮยอั้น แล้วอาเม่ยที่อยู่เบื้องหลังเงื้อดาบสังหาร ทั้ง 2 คนก็คงสิ้นลมหายใจไปแล้ว
อาเม่ยที่ถูกตรึงอยู่กับพื้นด้วยกำไลข้อมือ ส่งเสียงคำราม อีกมือที่ไม่ได้สวมกำไลอาละวาดดึงทึ้งใบไม้ใบหน้า ดวงตาสีดำเข้มบดบังทุกความรู้สึกภายใน
“เฮยอั้นส่งพลังเวทย์โจมตีเม่ย ในลมหายใจสุดท้ายของมัน” แม่ทัพเชมัลบอก
องครักษ์ฮูดาตัดสินใจ“ข้ากับรอมจะไปหาตงกับโป”
แม่ทัพเชมัลพยักหน้าคล้ายเห็นด้วยกับความคิดขององครักษ์ฮูดา แต่กลับสั่งให้อยู่กับอาเม่ย
“ทั้ง 2 คนอยู่ไม่ไกลจากที่นี่ ข้ากับรอมต้องไปจัดการ”
องครักษ์ฮูดา มองอาเม่ยแล้วหันกลับไปมองแม่ทัพ “หมายความว่า....”
“กลับมาแล้วค่อยพูดคุยกัน” แม่ทัพบอกแล้วลุกขึ้นก้าวนำองครักษ์รอมไปทางที่เฮยอั้นปรากฏตัวขึ้น
จากนั้นไม่นาน ที่เบื้องหน้าขององครักษ์ฮูดาจึงมีสายลมอ่อน พัดพาใบไม้หมุนวนแล้วพุ่งขึ้นไปทางดวงจันทร์ แทนคำกล่าวอำลาขององค์รักษ์ลำดับ 6 และ 7 แห่งแม่ทัพเชมัล
คล้ายได้ยินคำกล่าวขอบคุณ และถ้อยคำสุภาพแบบองครักษ์ตง
ดั่งมองเห็นรอยยิ้มกว้างกับประกายมีดสั้นที่โปภูมิใจ
คนสูงโปร่งเช็ดน้ำตาที่รื้นขึ้นมา แล้วหันไปมองคนที่ยังอาละวาดใส่ใบไม้และเศษดินรอบตัว
“คนสำคัญของแม่ทัพเชมัล ถูกทำร้ายด้วยเวทย์ดำของเฮยอั้น พวกมันย่อมไม่ได้ต้องการแค่ให้เจ้าทำร้ายแค่ตงกับโปแน่ๆ”
...จบตอนที่ 16 ...