ตอนที่ 17 แม่ทัพเชมัลและองครักษ์รอมพบร่างขององครักษ์ตงกับโปในพื้นที่ห่างจากจุดที่ต่อสู้กับเฮยอั้นไม่มากนัก จากสภาพศพที่พบ สามารถคาดเดาได้ไม่ยากว่าเสียชีวิตด้วยเหตุใด และทำให้ต้องเปลี่ยนความตั้งใจ จากที่ตั้งใจไว้ว่า จะนำร่างของทั้งคู่กลับเข้าเมือง มาเป็นการเผาร่างในที่นี้
องครักษ์รอมเตรียมกิ่งไม้แห้งเพื่อเป็นเชื้อไฟ ขณะที่แม่ทัพเก็บอาวุธของทั้ง 2 คนออกมา แล้วร่ายเวทย์ปลดปล่อยความผูกพัน ความกังวล และภาระหน้าที่ทั้งปวงของผู้เสียชีวิต จากนั้นจึงจุดไฟ
ไฟแห่งเวทย์ร้อนแรง แต่ไม่ลุกลามไปที่แห่งอื่น ทั้งจะไม่ดับลงจนกว่าร่างทั้ง 2 จะมอดไหม้
ร่างสูงใหญ่ทั้ง 2 คนทำความเคารพ ส่งวิญญาณของผู้กล้าหาญสู่สันติ
เสียงกิ่งไม้แตกหัก เปลวไฟพุ่งขึ้นสูงม้วนตัวกลับมาลงหา แล้วพุ่งตรงขึ้นสู่ท้องฟ้าอีกครั้ง
สายลมอ่อนหมุนวนรอบกายทั้ง 2 คนแล้วผ่านไปทางด้านหลัง
รู้...ว่าสายลมนี้หมายถึง...ใคร..และกำลังจะไปอำลาผู้ใด
เปลวไฟร้อนแรงไม่นานนักก็เหลือเพียงเถ้าถ่าน องครักษ์รอมใช้ผืนผ้าบรรจุเศษเถ้าถ่านที่เหลือ เพื่อนำกลับไปเก็บไว้ในสุสานทหาร
เมื่อกลับมาถึง เห็นองครักษ์ฮูดานั่งอยู่บนขอนไม้ห่างรัศมีที่มือของอาเม่ยจะเอื้อมถึง สีหน้าดูก้ำกึ่งระหว่างความเสียใจ กับความไม่พอใจ แต่เมื่อคนตาคมเห็นว่าแม่ทัพเชมัลกลับมาก็ลุกขึ้นยืน
หากไม่ใช่ผู้ใช้เวทย์ ก็คงต้องเล่าความกันยืดยาว แต่สำหรับองค์รักษ์ฮูดาผู้อ่านดิน เรื่องราวกลับชัดแจ้งดั่งร่วมอยู่ในทุกเหตุการณ์
แม่ทัพเชมัลคุกเข่าลงข้างหนึ่งด้านหน้าของอาเม่ย คว้าจับข้อมือที่เงื้อเข้าหา
“เสี่ยวเม่ย จากที่เจ้าเป็นอยู่ในเวลานี้ข้าไม่อาจพาเจ้ากลับเข้าเมือง พวกเราต้องเดินทางไกล และข้าจะรักษาเจ้า ไม่ว่ามันจะใช้เวลานานเพียงใด” แม่ทัพหันมาหาองครักษ์รอม และฮูดา “ฝากแจ้งท่านพี่นาซิม ว่าข้าจำต้องตัดสินใจเช่นนี้ ทั้งหมดนี้มิใช่ความผิดของอาเม่ย และข้าไม่อาจพาเขากลับไปเพื่อให้รับโทษที่สังหารเพื่อนร่วมรบ ไม่อาจพาเขากลับเข้าเมืองเพื่อให้ทุกคนหวาดกลัวเขา ทั้งต้องไหว้วานพวกเจ้านำเถ้าถ่านของตงและโปกลับไปประกอบพิธีให้สมเกียรติ สุดท้ายคือบอกแซนว่า อีกเดือนหนึ่งให้ไปหาข้าที่เกาะมรกต”
ตั้งแต่ได้ยินแม่ทัพกล่าวคำว่าจะพาอาเม่ยไปรักษา ทั้ง 2 คนต่างมีสีหน้าเคร่งเครียด จนกระทั่งคำสั่งสุดท้ายที่บอกให้องครักษ์แซนลูกทะเลไปหาที่เกาะเล็ก ๆ กลางทะเลทั้งคู่จึงยิ้มได้ และขานรับคำสั่ง
แม่ทัพหันกลับไปหาอาเม่ยอีกครั้ง จับข้อมือด้านที่สวมกำไลรัดแน่น
กำไลนั้นกลับเบาดุจไร้น้ำหนัก
อาเม่ยส่งเสียงคำรามต่ำ ๆ ในลำคอ ดวงตาสีดำสนิทจ้องมองคนที่กล่าวย้ำคำ “พวกเราต้องเดินทางไกล”
“พวกเราไปส่งท่านอีกสักนิด” องครักษ์ฮูดากล่าว แต่แม่ทัพยกมือ
“รีบกลับเข้าเมืองเถิด พวกเราออกมานานแล้ว ท่านพี่จะเป็นกังวล”
หนทางข้างหน้ายาวไกล เพราะต้องเดินทางอ้อมเมืองไปตามรอยต่อระหว่างเมืองวัน กับเมืองบาสก์ แต่เมื่อถึงช่วงหนึ่ง ก็ต้องกลับเข้ามาในเขตเมืองวัน หลีกเลี่ยงการเข้าสู่เขตเมืองหลวง เพื่อที่จะหาทางออกไปทะเล ตรงไปให้ถึงเกาะเล็ก ๆ ห่างไกลแห่งนั้น
มีแต่ที่นั่นที่อาเม่ยจะปลอดภัยได้อย่างแท้จริง
ที่พระราชวังเมืองวัน พระราชาฟารัคกำลังใช้นิ้วมือนวดขมับตนเองช้า ๆ หลังจากที่ฟังเสนาบดีหลี่ผู้เป็นพระสัสสุระ (พ่อตา) เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่เมืองหน้าด่าน
แม้เรื่องสำคัญคือการที่เมืองเหนือวางกำลังทหาร อสูร และยักษ์ไว้ในเขตพื้นที่ทึ่ควรเป็นเขตปลอดทหาร แต่เรื่องราวจากปากผู้เฒ่าส่วนใหญ่กลับเป็นเรื่องราวของพระอนุชาทั้ง 2 พระองค์
“แม่ทัพนาซิม สังหารนายกองเมืองเหนือที่ควบคุมกำลังทหารในเขตกันชนได้ก็จริง แต่ยังไม่ใช่แม่ทัพตามพระบรมราชโองการ จึงไม่ควรผ่อนปรนคืนคนให้ แต่อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ พระองค์ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า องครักษ์เก้าเป็นหนึ่งในผู้ใช้เวทย์ แล้วก็พาตนเองเข้าไปสู่สถานการณ์วุ่นวาย เขาเข้าไปพัวพันกับแม่ทัพนาซิม ทั้งที่ตนเองมีคนรักอยู่แล้ว เรื่องที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสกลับมา นั่นก็เรื่องหนึ่ง แต่จะละเว้นการลงโทษย่อมไม่ถูกต้อง"
"ส่วนเรื่องของแม่ทัพเชมัลกับองครักษ์เม่ย เรื่องราวไม่ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดองครักษ์เม่ยที่ออกเดินทางไปพร้อมกับองครักษ์อีก 2 คน จึงกลับมาเพียงคนเดียว แล้วองครักษ์ตงและโปหายไปอย่างไร ต้องมีเหตุร้ายเกิดขึ้นแน่ แล้วองครักษ์เม่ยหนีเอาตัวรอดกลับมา การทอดทิ้งเพื่อนเช่นนี้ย่อมมีความผิด แล้วนี่แม่ทัพเชมัลที่นำกองทหารออกไปก็กลับพากันสูญหายไปด้วยกันอีก ความผิดนี้คือหนีทัพ ทั้งที่มีศึกอยู่ข้างหน้า"
"พระองค์ต้องลงโทษพวกเขา!”
พระราชาฟารัคพยักหน้า
...เรื่องราวเป็นเช่นนั้นจริง..
เสนาบดีหลี่กล่าวต่อ “บทลงโทษนั้นมีอยู่”
ดวงตาสีเข้มมองเสนาบดี ขณะที่ใช้ข้อมือกดขมับอยู่เช่นเดิม “ข้ารู้บทลงโทษนั้น”
พระราชาฟารัคกังวลที่จะต้องใช้บทลงโทษเหล่านั้นมานับตั้งแต่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นกับองครักษ์เก้า และสั่งลงโทษแม่ทัพนาซิมไปแล้ว แต่เมื่อถูกย้ำเตือนเช่นนี้ ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยง
เรือนหลังเล็กที่ตั้งอยู่ด้านในของพระราชวัง เคยเป็นที่อยู่ของเหล่าข้าหลวง แต่ถูกปิดร้างมานานหลายปีกระทั่งมีรับสั่งให้ซ่อมแซม จากนั้นผู้ที่เข้ามาพักคือองครักษ์เก้า
ผู้ที่มีรูปร่างผอมบางกับรอยยิ้มอ่อน และมักจะก้มหน้ารับฟังคำสั่งอยู่เสมอ เวลานี้กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่กับเด็กชายอีกคนอายุไม่ถึง 10 ปี โดยมีข้าหลวงพี่เลี้ยงอยู่ใกล้ๆ เมื่อเห็นพระราชาฟารัคเสด็จมาพร้อมกับราชองครักษ์บาดา ทั้งหมดก็ลุกขึ้นถวายการเคารพ
“วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
“ข้าพระองค์ดีขึ้นมากแล้ว”
“แล้วเจ้าล่ะ” พระราชาหันไปถามเด็กชายตัวน้อย “คิดถึงบ้านหรือไม่”
เจ้าชายองค์น้อยแห่งแม่ทัพนาซิมอย่างมั่นใจ “คิดถึงขอรับ แต่ท่านพ่อบอกไว้ว่าเมื่อเสร็จเรื่องจะมารับ”
“เจ้าเข้มแข็งไม่ต่างจากพ่อของเจ้า” พระราชาจับศีรษะเล็ก ๆ บุตรชายของแม่ทัพนาซิมผู้นี้เสียมารดาไปตั้งแต่เล็ก จึงถอดนิสัยของผู้เป็นบิดามาทั้งหมด “ใกล้เที่ยงวันแล้ว ไปกินอาหารและพักผ่อนเถิด”
เมื่อองค์ชายน้อยถวายความเคารพพระราชาแล้วล่าถอยออกไป พระราชาจึงประทับนั่งที่เก้าอี้ตัวยาว
“วันนี้พริมมาเยี่ยมหรือยัง”
“ยังกระหม่อม”
องครักษ์เก้าตอบแล้วยืนนิ่ง ทำให้พระราชาตบที่นั่งข้างตัว “มานั่งที่นี่”
คนสุภาพเงยหน้ามองพระราชา แล้วหันไปมองราชองค์รักษ์บาดา ที่พยักหน้าบอกให้ทำตามรับสั่ง จากนั้นก็เดินเลี่ยงออกไปยืนในที่ห่างออกมาแล้วหันหลังให้
“รู้ใช่ไหมว่า เจ้ามีคนรักอยู่แล้ว แต่ยังมีความสัมพันธ์กับชายอื่นจะต้องถูกลงโทษ”
องครักษ์เก้าที่เพิ่งนังลงข้างๆ พระราชา รีบขยับตัวจะลงนั่งคุกเข่ากับพื้นเพื่อรับการลงโทษ แต่พระราชาดึงข้อมือไว้
“ฟังข้าพูดให้จบก่อน”
องครักษ์คนสุภาพพยักหน้า
“ในระหว่างที่เจ้ารับโทษ ข้าอยากให้เจ้าเลือกว่า จะยังคงคบหากับพริมต่อไป หรือจะไปเมืองหน้าด่านเพื่อรับใช้นาซิม”
“ข้า....”
พระราชายกมือ ไม่ยอมให้องครักษ์กล่าวจบประโยค ”นอกจากเจ้าจะต้องไปอยู่ในเรือนจำแล้ว ยังมีพี่ชายขององครักษ์เม่ยด้วย”
ครานี้นอกจากองครักษ์เก้าที่เงยหน้าขึ้นมองพระราชาเต็มตาแล้ว หัวหน้าราชองครักษ์บาดาก็หันมามองเช่นกัน
“เจ้าอาจคิดว่าข้าไม่ยุติธรรม แต่กฎหมายเป็นเช่นนั้น”
ดวงตาคมของราชองครักษ์บาดามองพระราชา
พระราชาไม่จำเป็นที่จะต้องเรียกให้องครักษ์คนหนึ่งนั่งลงข้าง ๆ แล้วอธิบายเหตุผลที่จะต้องลงโทษคนผู้นั้นเลยสักนิด
ทุกการกระทำที่ผ่านมาของพระองค์ บอกถึงบางสิ่งที่ไม่ได้ตรัสออกมา นั่นคือ พระองค์ไม่ต้องการให้องครักษ์เก้าเข้าใจผิด
“ตง โป และเม่ยออกไปหาข่าว มีแต่เพียงเม่ยที่กลับมา แล้วเมื่อเชมัลนำทหารออกไปปราบกองทัพฝ่ายเหนือในเขตปลอดทหาร เขาก็พาเม่ยหนีไป”
แม้ที่ผ่านมาองครักษ์เก้าจะพักรักษาตัวอยู่ภายในพระราชวัง แต่ก็ยังมีองครักษ์และพริมมาเยี่ยมเป็นครั้งคราว แต่ไม่มีใครเล่าเรื่องที่ด่านชายแดนให้ฟัง
และแม้จะได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก แต่องครักษ์เก้าก็ยังไม่เห็นด้วย
“พวกเขาไม่ได้คิดหลบหนี”
“นายท่านของเจ้าไม่ใช่คนที่มีนิสัยหลบหนี” พระราชาคล้อยตาม
องครักษ์เก้าย้ำคำกล่าวนั้น “เขาย่อมมีเหตุผลที่พาเม่ยไป”
“หากเรียกรอมกลับมาจากเมืองหน้าด่าน พวกเราย่อมได้คำตอบที่ชัดเจน แต่ยามนี้ข้าอยากให้เขาอยู่ช่วยเหลือนาซิมก่อน” ดวงตาคมมองคนที่นั่งอยู่ข้าง ๆ โดยปราศจากคำพูดจนกระทั่งผู้ที่ถูกมองเงยหน้าขึ้นมอง
"พระองค์ มีเรื่องอันใด ก็ขอได้โปรดรับสั่งเถิด"
"เจ้า......" ตรัสเพียงคำเดียวก็ถอนหายใจยาว
องครักษ์เก้าไม่เข้าใจ แต่ก็พร้อมที่จะทำตามหน้าที่
"ข้าพระองค์ อาการดีขึ้นมากแล้ว หากต้องย้ายไปอยู่ในเรือนจำก็ไม่ผิดแปลก"
"จำคุกเจ้าที่ถูกทำร้าย กับการจำคุกพี่ชายของเม่ยที่ไม่ได้มีส่วนรู้เห็นกับเรื่องราวใด ล้วนเป็นเรื่องผิดแปลกที่ข้าไม่อยากยอมรับ"
พระราชาฟารัคตรัสในที่สุดแล้วถอนพระทัยยาวอีกครั้ง
...ต้องลงโทษคนที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลยนี่มันเป็นกฎหมายประเภทใดกัน..
"การย้ายไปอยู่เรือนจำ ก็คงไม่ต่างกันสักเท่าใด"
พระราชา ส่งเสียงในลำคอ "ขออภัยที่บ้านหลังนี้คับแคบ จนเจ้าคิดว่าไม่ต่างจากคุก"
องครักษ์เก้าถึงกับหน้าซีดเผือด แต่พอจะลุกขึ้นพระราชาก็กลับดึงข้อมือไว้
"ข้าเพียง...." แล้วก็เป็นอีกครั้งที่พระราชาตรัสไม่จบประโยค
องครักษ์เก้าได้แต่มองด้วยความสงสัย ครั้นหันไปมองหัวหน้าราชองครักษ์บาดา ก็เพียงมองสบตาแล้วหันหลังให้เช่นเดิม
"พระองค์ หากทรงมีเรื่องไม่สบายพระทัยเกี่ยวกับข้า ก็ขอทรงมีรับสั่งเถิด"
"เช่นนั้นต้องเริ่มจากการที่เจ้าต้องมองข้า เวลาที่ข้าพูดกับเจ้า"
องครักษ์เก้าพยักหน้าทั้งที่ไม่เข้าใจ
"แม้ข้าจะบอกให้เจ้าเลือก แต่ที่จริงแล้วข้ากลับคิดอยากสั่งให้เจ้าเลือกคนที่ข้าอยากให้เจ้าเลือก"
องครักษ์เก้าพยักหน้าอย่างเข้าใจ แต่พอจะก้มหน้า พระราชาก็มีรับสั่งให้เงยหน้าขึ้น
"อาจเพราะข้าพอจะรู้ว่า เจ้าจะเลือกใคร จริงอยู่ที่พวกเรายึดถือความรักชายหญิงไว้เหนือกว่าทุกสิ่ง แต่แท้จริง รักก็รัก แล้วทั้งเชมัลและนาซิมต่างก็เป็นน้องชายของข้า หากต้องเห็นพวกเขา 2 คนต่างก็ผิดหวัง ข้าก็รู้สึก...ย่ำแย่"
"แต่พริมไม่ได้ผิดอันใด"
"ข้ารู้ แต่...เจ้า...."
"ข้ารับใช้ผู้ชายมา 2 คนสกปรกยิ่งนัก"
"นั่นไม่ถูกต้อง"
พระราชารั้งคนที่กำลังกล่าวโทษตนเองเข้ามากอด
"ข้าไม่ได้ต้องการให้เจ้ากล่าวโทษตนเอง เจ้ารับใช้เชมัลด้วยความเต็มใจ เจ้าเข้าหาพริมเพราะจิตใจที่อ่อนไหว และถูกนาซิมทำร้ายด้วยเวทย์ดำ"
องครักษ์เก้าตกใจเมื่อถูกกอด แต่เมื่ออ้อมกอดนั้นไม้ได้แนบแน่น หรือบังคับ ทั้งพระดำรัสที่เป็นการอธิบาย ก็ทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นมอง
"นายท่านเชมัล มีเม่ยแล้ว เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอนหากข้าจะกลับไปหาเขา"
เหลือเพียงพริมกับนาซิม ซึ่งยากนักที่จะทำให้เก้าเลือกนาซิมคนที่องครักษ์เก้าไม่เคยแม้แต่จะมอง
"ข้าไม่ได้พอใจท่านนาซิม แต่กับพริมก็รู้สึก...."
พระราชาลูบด้านหลังของศีรษะสวย
"พระองค์คิดว่าข้าควรไปที่ใด"
"เจ้าไม่ต้องไปที่ใด" เสียงหญิงสาวดังขึ้น ขณะที่เดินเข้ามาใกล้
หัวหน้าราชองครักษ์บาดาเห็นพระชายาเสด็จมาแต่ไกล ทั้งพยายามเตือนพระราชาที่กำลังสนทนาอยู่กับองครักษ์เก้า แต่พระราชาก็หาได้สนใจไม่ จนกระทั่งพระชายารับสั่งขึ้น
"น้องหญิง"
ดวงตายาวมองมือของพระราชา ทำให้มือโอบเอวบางอยู่ต้องคลายออก
"ขอหม่อมฉัน แสดงความเห็นเรื่องขององครักษ์เก้าสักนิดเถิด" หญิงสาวตัวเล็กก้าวผ่านกลางระหว่างคน 2 คน แล้วนั่งลง ทำให้องครักษ์เก้า ต้องลุกขึ้นและก้าวถอยหลังออกมาอีก 2 ก้าว
"ข้ารู้เรื่องที่ท่านพ่อ" พระราชาหมายถึงเสนาบดีหลี่ "มาพบท่าน และก็เห็นสมควรให้ยึดกฎหมายเป็นสำคัญ ส่วนเรื่องที่ว่าองครักษ์เก้าจะไปที่ใดนั้น หากพระองค์ไม่ต้องการให้เขาไป ก็ควรบอกกับเขาไปตามตรง"
พระราชาเพียงมองพระชายาแล้วหันมามององครักษ์เก้า
พระชายามีพระดำรัสเรียบเรื่อย
"เจ้าคงต้องเลือกระหว่าง พระราชา แม่ทัพใหญ่ แม่ทัพด่านเหนือ กับหญิงสาวร้านขนมปัง"
ดวงตาขององครักษ์เก้าเต็มไปด้วยความตกใจอย่างคาดไม่ถึง
พระชายายังคงกล่าวคำต่อไป "เจ้ายังมีเวลาให้คิด ขณะที่อยู่ในเรือนจำ" พระชายาหันไปกล่าวกับราชองครักษ์ "ราชองครักษ์บาดาที่นี่มีผู้กระทำความผิดอยู่ เหตุใดเจ้าจึงเพิกเฉยไม่จับกุม ปล่อยให้พูดจาท้าทายต่อพระราชาอยู่อีก"
องครักษ์เก้าหันไปมองถามราชองครักษ์บาดาที่นิ่งเฉย จนกระทั่งพระราชามีพระดำรัส
"ให้บาดาพาเจ้าไป"
องครักษ์เก้าถวายความเคารพทั้ง 2 พระองค์ จากนั้นก็เดินตามราชองครักษ์บาดาไปโดยง่าย
เมื่อทั้ง 2 คนห่างออกไปพระราชาฟารัคตรัสขึ้น
"น้องหญิง พวกเราพูดเรื่องนี้กันแล้ว"
"เพคะ เราพูดกันแล้ว แต่หม่อมฉันเพิ่งแน่ใจในสิ่งที่คิดก็วันนี้"
"เจ้าคิดอันใด"
พระชายาลุกขึ้นยืน
"คิดว่าพระองค์ก็เป็นอีกคนที่พอใจองครักษ์เก้า"
"ไม่ใช่เช่นนั้น"
"หม่อมฉันเป็นชายาของพระองค์นะเพคะ รับรู้อยู่ทุกวันว่าพระองค์เป็นกังวลเกี่ยวกับอาการขององครักษ์เก้ามากเพียงใด สัปดาห์แรกที่เขามาถึงพระองค์ก็วางทุกเรื่อง แล้วไปดูแลเขาจนไม่พักผ่อน ไม่ทรงงาน ทั้งที่ให้ราชองครักษ์ลาทีฟ ให้หมอหลวงมาดูแลก็ได้ พอเขาอาการดีขึ้นก็ทรงแวะเวียนมาหาเขาอยู่เช้าเย็น" พระชายาหันไปมองทางอื่น "หากต้องการจะให้เขาอยู่เคียงข้าง หม่อมฉันก็ไม่ถือสา อย่างน้อยเขาก็เป็นชาย ไม่อาจให้โอรสหรือธิดากับพระองค์ได้อยู่แล้ว"
พระราชาฟารัคผ่อนลมหายใจก่อนที่จะมีพระดำรัสตอบ
"ขอบใจที่เจ้าคิดเช่นนั้น แต่สุดท้ายแล้ว ยังต้องขึ้นอยู่กับองครักษ์เก้า ว่าเขาจะเลือกอย่างไร"
พระชายาหันมามอง "ในผู้คนที่รายล้อมเขาอยู่ พระองค์ด้อยกว่าผู้ใด"
พระราชากล่าวตามตรง "ด้วยศักดิ์ข้าย่อมเหนือกว่าผู้อื่น แต่การที่เราจะเลือกอยู่กับผู้ใดย่อมขึ้นอยู่กับความรัก ไม่ใช่ศักดิ์"
ทั้งที่พระราชาตรัสอย่างหนักแน่น แต่พระชายายังมองพระราชาด้วยพระเนตรที่เต็มไปด้วยคำถาม
“พระองค์พอใจองครักษ์เก้าใช่ไหม”
“น้องหญิง” พระราชาไม่ทราบแล้วว่าควรตอบอย่างไร
“ขอเพียงพระองค์ยอมรับ ว่าพระองค์พอใจเขา และเรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะพระองค์พยายามผลักไสเขาไปให้กับคนที่ไม่ได้รักเขาจริง”
พระราชาหันไปทอดพระเนตรทางอื่น
“พวกเรารู้จักกันมาตั้งแต่เยาว์ นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่พระองค์ให้พระโอรสและพระธิดากับหม่อมฉัน สนับสนุนบิดาและครอบครัวของหม่อมฉันมาตลอด ดังนั้นหากพระองค์จะยอมรับหัวใจตนเองในเรื่องนี้หม่อมฉันยังรับได้”
พระราชาโอบกอดพระชายาไว้
...เรื่องราวหาได้ง่ายดายเช่นนั้น
ด้วยนิสัยของเก้า คาดเดาได้ว่าจะต้องเลือกที่จะกลับไปหาพริม นั่นอาจเป็นทางออกที่ดีที่สุด
แต่ยังไม่ใช่ความสุข....
“พ่อของเจ้าคงเล่าทุกเรื่องให้เจ้าฟังแล้ว” พระราชาตรัสขึ้น
“เพคะ หลังจากที่รายงานต่อพระองค์ ท่านพ่อก็มาหาหม่อมฉันที่ตำหนักแล้วเล่าให้ฟัง หม่อมฉันถึงได้มาที่นี่ แล้วก็เห็นว่าพระองค์.........”
พระราชาฟารัคได้แต่ส่ายพระพักตร์ เสนาบดีหลี่เป็นพระสัสสุระ เมื่อเสนอความเห็นต่อพระราชาแล้วยังเกรงว่าพระราชาจะไม่ตัดสินพระทัยอย่างที่ตนต้องการ จึงไปเร่งรัดผ่านทางบุตรสาวอีกทางหนึ่ง
ช่างเป็นคนที่จัดการได้ยากเสียจริง
ในบรรดาเรื่องราวทั้งหมด การทำให้พระชายาเชื่อมั่นว่า พระราชาไม่ได้ชอบพอองครักษ์เก้าในแง่นั้น กลับเป็นเรื่องที่ยุ่งยากที่สุด
หรือเพราะแสดงออกถึงความปรารถนาดีต่อองครักษ์เก้ามากเกินไป
นี่เป็นปัญหาเดียวกันกับที่แม่ทัพเชมัลพบในความสัมพันธ์กับอาเม่ย
เพราะแม้จะมีใจให้อาเม่ย แต่ก็ยังมีความหวังดีและคอยดูแลองครักษ์เก้า
พระราชาทอดถอนพระทัย "ความผิดที่ข้ามีต่อเก้ามันซับซ้อน คล้ายยิ่งทำดีด้วย กลับยิ่งเป็นการทำร้าย และข้าไม่ต้องการยอมแพ้..."
แม้จะอธิบายอย่างไร พระชายาก็ยังคงคิดหึงหวงอยู่เช่นเดิม
...เชมัลก็คงพบกับความยากลำบากแบบเดียวกันนี้เวลาที่ต้องทำความเข้าใจกับอาเม่ยสินะ...
..จบตอนที่ 17..
