ตอนที่ 18เจ้าหน้าที่กองเมืองไปพาต้าซันมาจากกองงานดนตรีของพระราชวัง เพื่อมารับทราบข้อกล่าวหาที่กองเมือง ซึ่งความผิดของต้าซันก็คือน้องชายผิดวินัยทหารทั้งสังหารเพื่อนและหนีทัพ จากนั้นก็พาไปเปลี่ยนเป็นชุดนักโทษสีขาว แล้วจึงพาไปที่เรือนจำ
เรือนจำนี้ไม่ได้อยู่ใต้ดินของกองเมืองที่ไว้คุมขังนักโทษในคดีร้ายแรง
แต่เป็นเรือนจำอาคารชั้นเดียวที่ปลูกสร้างด้วยไม้ ยกพื้นสูง แบ่งเป็นห้องจำนวน 10 ห้อง ผนัง 3 ด้านปิดทึบเหลือเพียงด้านหน้าที่เป็นซี่กรงหนา และระเบียงยาว
ราชองรักษ์คนหนึ่งยืนรออยู่ด้านหน้าของห้องที่ 4
ต้าซันจำราชองครักษ์มีอาผู้นี้ได้ดี แม้จะเป็นผู้ที่แทบจะไม่ค่อยได้พบเห็นบ่อยนักก็ตาม แต่นอกเหนือจากงานหน้าที่ในวังหลวงที่จำต้องรู้จักผู้มีอำนาจแล้ว เรื่องราวซุบซิบนินทาที่เกี่ยวข้องกับผู้ที่อยู่ในวังก็น่าสนใจไม่ต่างกัน
ต้าซันมองไปที่ห้องขังอื่นๆ นักโทษบางคนบ้างกำลังอ่านหนังสือ บ้างกำลังเขียนภาพ ดูผ่อนคลายและหาได้สนใจผู้ที่ถูกพามาใหม่ ส่วนที่อยู่ในห้องขังที่ 4 คือองครักษ์เก้า ที่ส่งยิ้มทักทาย
“ข้าชื่อต้าซัน” หนุ่มนักดนตรีแนะนำตัวต่อราชองครักษ์มีอา
ราชองครักษ์รูปร่างสูงใหญ่กล่าด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เจ้าไม่ได้ทำผิด แต่ที่ถูกพามาเพราะน้องชายของเจ้าทำความผิด”
จนถึงตอนนี้ ต้าซันก็ยังคงมีแต่คำถามว่า อาเม่ยสังหารเพื่อนทหารด้วยกันแล้วหนีไปกับแม่ทัพเชมัลจริงหรือ
อาเม่ยกล้าทำเรื่องร้ายแรงเช่นนี้ได้อย่างไร
ยิ่งแม่ทัพเชมัลที่เป็นผู้นำทัพ กลับหนีทัพเสียเอง มันจะเป็นไปได้อย่างไร
ที่แท้เกิดเรื่องอันใดขึ้น!
ราชองครักษ์มีอาชี้ไปที่ห้องขังที่องค์รักษ์เก้าอยู่ เป็นห้องพักที่สะอาดเอี่ยม ทั้งกั้นพื้นที่เป็นส่วนที่อาบน้ำและส้วม แถมด้วยที่นอนใหม่ 2 หลัง
ต้าซันมองตามมือแล้วหันมาหาราชองครักษ์มีอา
“เหตุใดท่านองครักษ์เก้าจึงถูกคุมขังด้วย”
“พวกเจ้ามีเวลาพูดคุยกันอีกนาน ว่ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร” ราชองครักษ์มีอาลดเสียงลงพอให้ได้ยิน 2 คน “หน้าที่ของเจ้าคือจับตาดูว่า หากเขาเจ็บป่วยให้ตะโกนเรียกผู้คุมในทันที หากมี...คนอื่นมาหาเขาต้องจดจำไว้ และอย่าให้เข้าใกล้”
หนุ่มนักดนตรีงุนงง คำสั่งของราชองครักษ์ผู้นี้ช่างแปลกประหลาด
“เข้าใจหรือไม่”
“ไม่หรอก แต่รู้ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง”
คล้ายกับจะให้มาดูแลองครักษ์เก้า...
ที่กล่าวกันว่าราชองครักษ์มีอาเป็นผู้ปราศจากความรู้สึกอาจเป็นเพียงคำนินทาที่ปราศจากความจริง เพราะเวลานี้เขากำลังยกยิ้มมุมปากแล้วหันไปเปิดประตูห้องขังขององครักษ์เก้า
“ฝากต้าซันให้อยู่กับเจ้า” แต่เมื่อต้าซันจะเดินเข้าไปในห้อง ราชองครักษ์มีอาก็ถามขึ้น “เจ้าต้องการให้นำเครื่องดนตรีของเจ้ามาด้วยไหม”
ต้าซันส่ายหน้า แล้วถามกลับ “ข้าต้องอยู่ที่นี่จนกว่าเม่ยจะกลับมาใช่ไหม”
ราชองครักษ์มีอาพยักหน้าไม่ได้อธิบายสิ่งใดเพิ่มเติมอีก
แต่นั่นก็มากเกินพอ และดีเกินพอสำหรับคนที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรเลย แต่กลับต้องมารับโทษ
ทันทีที่เข้ามาอยู่ภายในห้องขัง ต้าซันคนซื่อก็ถามองครักษ์เก้า
“ท่านก็มีญาติที่หนีทัพเช่นกันหรือ”
องครักษ์เก้ายิ้มพลางส่ายหน้า “ข้าผิดเรื่องชู้สาว”
เสียงขององครักษ์แผ่วเบา ใบหน้าซีดเซียว ดวงตาอิดโรย ทำให้ต้าซันต้องขยับเข้าไปใกล้
“ท่านป่วยหนักแล้ว”
เมื่อครู่นี้เองที่ราชองครักษ์มีอาเพิ่งกล่าวว่า หากเก้าเจ็บป่วยให้ร้องเรียกยาม ดังนั้นต้าซันจึงขยับตัวจะร้องเรียกคน แต่คนเจ็บดึงไว้
“ไม่ต้องเรียกยามหรอก”
ต้าซันพยักหน้าทั้งที่ไม่ไว้ใจ
....เจ็บป่วยก็ยังถูกคุมขัง ความผิดเรื่องชู้สาวกลายเป็นความผิดรุนแรงถึงขั้นนี้เมื่อใดกัน....
แต่เมื่ออีกฝ่ายบอกไม่ให้เรียกยาม ต้าซันก็ไม่เรียก แล้วเปลี่ยนไปชวนคุยเรื่องที่เกี่ยวกับอาเม่ย แต่อีกฝ่ายก็ไม่รู้เรื่องมากนัก เพราะได้รับบาดเจ็บจนถูกส่งตัวกลับมาก่อน
“ข้าแยกกับน้องตั้งแต่เล็กก็จริง แต่เม่ยไม่ใช่คนที่จะทำร้ายเพื่อนได้” พี่ชายพูดอย่างมั่นใจ "เม่ยชอบเล่นใบไม้อยู่คนเดียวก็จริง แต่นั่นไม่ใช่เพราะน้องหนีใครหรอก"
“เจ้ายังจดจำเรื่องที่หมู่บ้านได้หรือไม่”
“จำได้สิ” ต้าซันยิ้มกว้าง “บ้านของพวกเราไม่ห่างจากประตูด่านทางเหนือมากนัก แต่ค่อนมาทางตะวันออก เข้าไปในเขตหุบเขา”
องครักษ์เก้าพลอยยิ้มตาม “เม่ยเคยเล่าว่า บ้านของเขาอยู่ในหุบเขา”
“ใช่ เป็นหุบเขา บ้านของพวกเราอยู่ในกลุ่มบ้านช่างเหล็ก บ้านของพวกเราตีดาบ”
องครักษ์เก้าขมวดคิ้ว เมื่อนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ และคำบอกเล่าของอาเม่ย
บ่ายคล้อยคนที่มาเยี่ยมถึงเรือนจำแห่งนี้ ยิ่งทำให้ต้าซันประหลาดใจกว่าเดิม
พระราชาฟารัค!
แม้จะฉลองพระองค์เหมือนบุคคลทั่วไป แต่นั่นก็ยังเป็นพระราชา ที่มาพร้อมกับหัวหน้าราชองครักษ์บาดา ที่ไม่ได้สวมเครื่องแบบเช่นกัน
ผู้ที่อยู่ในห้องขังล้วนทำความเคารพ แต่พระราชายกมือบอกว่า เสด็จมาเป็นการส่วนพระองค์แล้วตรงมาที่ห้องขังที่ 4
“ต้าซัน อาเก้า เดือดร้อนพวกเจ้าทั้ง 2 คนแล้ว”
ต้าซันหันไปมององครักษ์เก้าที่ได้แต่ก้มหน้า จึงเป็นฝ่ายตอบพระราชาเสียเอง
“ไม่เดือดร้อนหรอกพระองค์ ที่นี่สบายกว่าบ้านของข้าพระองค์มากนัก ทั้งยังไม่ต้องทำงานด้วย”
พระราชาสรวลเบาๆ “เจ้าช่างเป็นผู้ที่มองโลกในแง่ดี”
ราชองครักษ์บาดา เดินไปเปิดประตูห้องขัง เรียกให้องครักษ์เก้าออกมาภายนอก จากนั้นให้ต้าซันช่วยยกเบาะนอนขององครักษ์เก้าออกมาวางที่ทางเดินหน้าห้องขัง
เมื่อองครักษ์เก้านั่งลงบนเบาะนอน พระราชาก็เริ่มต้นการรักษา
ขณะที่พระราชาให้การรักษา ต้าซันจึงเข้าใจ ห้องขังนี้แม้จะสวยงาม และดูคล้ายเป็นที่พักผ่อนมากกว่าห้องขัง นั่นก็เพราะที่นี่มีการลงเวทย์ไว้อย่างแน่นหนา ผู้ที่อยู่ภายในห้องขังเหล่านี้จึงกลายเป็นบุคคลทั่วไป
ดังนั้นหากพระราชาจะใช้เวทย์รักษา จึงต้องทำที่หน้าห้องขัง
และพระราชาผู้นี้ก็มีความมั่นใจมากพอที่จะแสดงให้เห็นเวทย์ที่กล้าแข็งของตนเองต่อหน้าผู้ใช้เวทย์ทุกคน!
และพระราชาก็เสด็จมารักษาองครักษ์ผู้นี้ทุกวัน!
ส่วนแม่หญิงพริมที่เป็นคนรักขององครักษ์เก้านั้น ต้าซันเคยพบนางเมื่อครั้งที่ไปซื้อขนมปัง และเมื่อนางมาเยี่ยมคนรัก ที่ต่างก็นั่งกันอยู่คนละด้านของห้องขัง แล้วพูดคุยกันเบาๆ เรื่องให้รักษาสุขภาพให้ดี
แม้จะไม่เคยมีคนรัก แต่ต้าซันก็รู้สึกพิกล
มีคนรักที่กระทำความผิดเรื่องชู้สาว ปฏิกิริยาของฝ่ายหญิงจะเป็นเช่นนี้หรือ...
แล้วองครักษ์เก้า คนที่ทำผิดจะมีท่าทีเป็นเช่นนี้หรือ...
..ข้าเคยเห็นแต่ฝ่ายหญิงร่ำร้องโวยวาย กับฝ่ายชายที่ได้แต่ก้มหน้าด้วยความสำนึกผิด หรือไม่ก็ไม่ยอมรับผิด จนกลายเป็นโต้เถียงทะเลาะตบตีกัน วุ่นวาย บ้างถึงกับทำลายข้าวของ มีที่ไหนกันที่นั่งคุยกันเงียบๆ แบบนี้...
..ถึงเวลาที่พระราชาเสด็จมา ก็มาครู่เดียว รักษาเสร็จก็กลับไป...
ต้าซันมองผู้นั้นทีมองผู้นี้ที รู้สึกตัวก็เมื่อมือใหญ่ตีที่หน้าผากจนแทบน้ำตาร่วง
เป็นราชองครักษ์มีอา คนที่ใครๆ ต่างก็บอกว่า เป็นคนหน้าตายไม่รู้จักยิ้มแย้ม แต่ต้าซันมั่นใจว่าเวลานี้ คนผู้นี้กำลังยิ้ม
"เจ็บนะ"
แต่ราชองครักษ์มีอากลับทำสีหน้าดั่งจะบอกว่า ไม่เจ็บก็แปลก
...เออ ทำไมข้าถึงได้รู้ว่าสีหน้าแบบนี้แปลว่าอันใด....
ต้าซันกระตุกชายเสื้อของราชองครักษ์ผู้ควบคุมเรือนจำ
"พูดเป็นไหม"
ราชองครักษ์มีอาใช้หางตามอง แต่ต้าซันก็ดันรู้เสียอีกว่า อีกคนไม่ได้ดูหมิ่นหากเป็นเพราะคนหนึ่งนั่งคนหนึ่งยืนอยู่ต่างหาก
"ไม่รู้ว่าจะพูดอันใดละสิ"
ราชองครักษ์มีอาเลิกคิ้วสูง ต้าซันก็ก่อกวนต่อ
"ที่คนเขาพูดกันว่าท่านปราศจากความรู้สึก และเคร่งครัดในกฎระเบียบนั่นไม่จริง ที่จริงเพราะท่านมีความบกพร่องด้านภาษาต่างหาก"
ต้าซันได้ยินเสียงหัวเราะจากผู้คนรอบตัวก็ยิ่งได้ใจ "ที่ต้องคุมเรือนจำเวทย์ หาใช่เป็นผู้ยึดมั่นในกฎระเบียบ แต่เพราะไม่ต้องคอยอธิบาย หรือรายงานอันใดให้ผู้อื่นฟัง เวลาใครถามอันใด ก็ตอบสั้นๆ ว่าเป็นไปตามระเบียบ ช่างง่ายดายดีแท้"
ราชองครักษ์มีอาจะตีที่หน้าผากของคนช่างกล่าวคำอีกที แต่ต้าซันเบี่ยงตัวหลบทัน
"อะ แบบนี้แถวบ้านข้าเรียกว่าวืด"
ราชองครักษ์มีอาส่ายหน้า แล้วกอดอกหันไปหาพระราชาที่กำลังรักษาองครักษ์เก้าต่อ แต่ต้าซันก็กระตุกชายเสื้อ หาเรื่องมาสนทนาต่อ
"นี่ๆ ข้าขออาหารกลางวันเพิ่มได้ไหม"
ราชองครักษ์มีอาหันมาพร้อมกับการขยับมือขวา แต่เมื่อต้าซันเบี่ยงหลบ กลับถูกดึงผมที่รวบมัดไว้ทางด้านหลัง จนหน้าหงาย
"เหวย" จากนั้นก็บ่นพึม "แค่ขออาหารเพิ่ม ถึงกับต้องทำร้ายกันด้วย"
"เหมือนเม่ยจริงๆ" องครักษ์เก้ากล่าวขึ้น ต้าซันก็หันมาเถียง
"ข้าเป็นพี่นะ เม่ยต้องเหมือนข้าสิ มิใช่ข้าเหมือนเม่ย"
"อ่า......" องครักษ์เก้าพยักหน้าอึ้งๆ
พระราชาที่รักษาองครักษ์เก้าเสร็จแล้ว หันไปตรัสกับหัวหน้าราชองครักษ์บาดา
"เวลานี้ทั้ง 2 คนอยู่ที่ใดกัน"
ดำรัสของพระราชาทำให้ทุกคนที่เรือนจำเวทย์ถึงกับเงียบไปชั่วครู่ กระทั่งพระราชาหันมารับสั่งกับต้าซัน "ขอโทษที่ต้องให้เจ้ามาอยู่ที่นี่ แต่คิดว่า หลายวันมานี้เจ้าคงจะเข้าใจเหตุผลแล้ว"
ที่จริงต้าซันเพิ่งจะเข้าใจเหตุผลที่แท้จริงที่ทำให้ต้องมาอยู่ที่นี่ก็ในตอนที่พระราชามีพระดำรัส
ไม่ใช่เพียงแค่การรับโทษแทนน้องชาย หรือการดูแลองครักษ์เก้า แต่เพราะที่นี่คือเรือนจำเวทย์ คนที่ไม่มีเวทย์จึงเป็นผู้ที่มีเสรีภาพอย่างแท้จริง และนั่นคือต้าซัน
คนที่ไม่มีเวทย์ ที่สามารถเคลื่อนไหว คิด และกล่าวคำได้ดั่งเดิม
ต้าซันขยับเฉพาะดวงตามองซ้ายขวาแล้วพยักหน้าช้าๆ
...ให้ข้าเก็บข้อมูลของผู้มีเวทย์เหล่านี้ด้วยสินะ...
พระราชาถึงกับพระสรวลเสียงก้อง
"เป็นเช่นนั้น"
ในรอบ 1 วันช่วงเวลาที่เป็นเรื่องตื่นเต้นสำหรับต้าซันจึงมีเพียงช่วงเวลาที่พระราชาเสด็จมาพร้อมกับราชองค์บาดา และมีอาเท่านั้น
ชีวิตในห้องขังที่ช่างสะดวกสบายนี้ช่างผ่านไปอย่างเชื่องช้า....
*-*
ก่อนที่จะแยกออกจากรอมพี่ใหญ่ของกลุ่มองครักษ์ และ ฮูดาองครักษ์ลำดับที่ 4 ทั้งแม่ทัพเชมัล และอาเม่ยต่างถอดเครื่องแบบส่งคืนให้องครักษ์ทั้ง 2 คนนำกลับมาที่ค่าย เพื่อที่จะเดินทางต่อไปได้อย่างราบรื่นขึ้น
แต่เมื่อเป็นแม่ทัพของเมืองใหญ่ อย่างไรก็ยังเป็นที่จดจำ ขณะที่สีผมของอาเม่ยก็เป็นที่จดจำได้โดยง่ายเช่นกัน การเดินทางไปให้ถึงที่หมายที่นัดแนะไว้ในอีก 1 เดือนข้างหน้า จึงต้องหลบหลีกจากเส้นทางหลักและหมู่บ้านเถื่อนตลอดเส้นทาง
มือใหญ่ต้องจับข้อมือซึ่งสวมกำไลโลหะพาเดินคู่กันไป เพราะหากปล่อยมือ ข้อมือข้างนั้นจะตกลงและถูกตรึงติดอยู่กับผืนดิน
ทุกครั้งที่ทำเช่นนั้น อาเม่ยจะส่งเสียงไม่พอใจ ดั่งบังคับให้จับมือแล้วเดินต่อไป
เวทย์ดำของเฮยอั้นมักทำให้ผู้ที่ถูกเวทย์มีอาการคลุ้มคลั่ง ยากที่จะควบคุมความต้องการในส่วนลึกของจิตใจ ดั่งที่เกิดขึ้นกับแม่ทัพนาซิม
แต่อาเม่ยมีอาการนิ่งเงียบเช่นนี้มาตั้งแต่แรก นั่นอาจเพราะยังไม่พบสิ่งที่ไปกระตุ้นให้แสดงความก้าวร้าวออกมา แม่ทัพได้แต่เฝ้าสังเกตอาการและรอคอย...
และมั่นใจว่า การที่เฮยอั้นลงมือกับอาเม่ย ต้องไม่ใช่เรื่องบังเอิญ!
บ่ายคล้อยใกล้ค่ำ แม่ทัพเชมัลเห็นไก่ป่าหากินอยู่ไม่ไกล จึงพาอาเม่ยไปที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ทันทีที่ปล่อยมือ ข้อมือข้างนั้นก็เพิ่มน้ำหนัก รั้งให้ต้องนั่งลงโดยที่ข้อมือจนถึงศอกข้างนั้นถูกตรึงติดพื้น ทั้งทำให้ต้องนั่งค้อมตัว จนเจ้าตัวส่งเสียงไม่พอใจ พยายามถอดกำไลออก แต่กำไลนั้นผนึกแน่น
“เราจำเป็นต้องพักกินอาหารและหาที่พัก” แม่ทัพบอก แล้วผละไปหาไก่ป่า หยิบชิ้นไม้ขนาดเพียงข้อนิ้วดีดจากระยะไกลถูกส่วนหัวของเป้าหมายอย่างแม่นยำ ได้มื้อเย็นสำหรับวันนี้
“ข้าควรเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางมากกว่านี้” แม่ทัพยังคงกล่าวอยู่คนเดียวเช่นเดิมในระหว่างที่หันมาเตรียมอาหาร แต่เมื่อมองดูข้อมือที่ถูกตรึงติดอยู่กับพื้น จึงเห็นแผลจากรอยเล็บที่เจ้าตัวพยายามจะถอดกำไลออก
นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ไม่ได้เตรียมการไว้...
แม่ทัพเชมัลใช้เวลารักษาในระหว่างที่อาเม่ยกำลังกินอาหาร ที่เจ้าตัวดูอารมณ์ดีขึ้น เพราะเมื่อแม่ทัพจับมืออยู่ ก็ทำให้สามารถนั่งตัวตรงได้
“เจ้าชอบเคลื่อนไหวไปเรื่อย กลับถูกรั้งไว้ด้วยกำไลนี้ย่อมทำให้เจ้าไม่พอใจ แต่ก็ไม่นานนัก ทันทีที่เราไปถึงเกาะนั้น ข้าจะถอดกำไลออกให้” จากนั้นส่งผลแบร์รี่ให้ “ของชอบของเจ้า จำได้ไหม”
อีกฝ่ายจะคว้าไปกินแต่แม่ทัพคว้ามือไว้ก่อน “เช็ดมือก่อนสิ”
เห็นได้ชัดว่า อาเม่ยได้ยินและรับรู้คำพูด แต่ตัวตนที่แท้จริงถูกกักขังไว้ในส่วนลึก เหลือเพียงสัตว์ป่าที่เฮยอั้นใช้เวทย์ดำเข้ามาครอบครองจิตใจ
หลังอาหารมื้อนี้ผ่านไป คนตัวโตก่อกองไฟเพิ่มอีกจุด แล้วใช้ใบไม้รองพื้นจัดเป็นที่นอน
“ข้ามักคิดลามกกับเจ้าอยู่เสมอ อยากกอดเจ้า สัมผัสเจ้าตลอดคืน แต่ไม่คิดเลยว่า จะได้กอดเจ้าในเวลาเช่นนี้”
มือใหญ่รั้งอีกคนเข้ามานอนหนุนแขน
ดวงตากลมสีดำขลับเงยขึ้นมองคนที่กล่าวคำมากมาย แล้วหลับตาลง
อากาศยามเช้าเย็นสบายคนที่เป็นฝ่ายให้นอนหนุนแขนตื่นก่อนนานแล้ว แต่กลับยังไม่กล้าขยับตัว ได้แต่นอนมองอีกคน มือใหญ่เกลี่ยเส้นผมสีเงินที่ระแก้มใส
รอจนอีกคนขยับตัวตื่น จึงได้ลุกขึ้น เตรียมอาหารเช้า พร้อมเสบียงระหว่างการเดินทางแล้วก้าวต่อไป
แม่ทัพเชมัลพยายามหลีกเลี่ยงการเดินทางเข้าใกล้สายน้ำ เพราะนอกจากสัตว์ป่าแล้วผู้คนที่อาศัยอยู่ในละแวกใกล้เคียง ก็ย่อมใช้น้ำเพื่อการดำรงชีวิตเช่นกัน
แต่แผลที่ข้อมือ จากการที่พยายามถอดกำไลออก ทำให้สุดท้ายแม่ทัพก็ต้องพาอาเม่ยไปยังสายน้ำ เพื่อล้างแผล
ลำธารเล็กทอดตัวลงจากหุบเขา คนตัวใหญ่จับข้อมือจูงเดินหาช่วงโค้งของลำธารเพื่อเป็นที่หลบซ่อนและอาบน้ำ
“ทำแผลให้เจ้า อาบน้ำ และกินอาหารมื้อเย็น จากนั้นก็พักแถวนี้ เจ้าเห็นเป็นอย่างไร” ดวงตาสีเข้มหันมามองคนข้างๆ เผื่อจะได้ยินเสียงตอบโต้ดั่งเคย แต่กลับเป็นดวงตาที่มองตรงไปข้างหน้า
“พักริมน้ำไม่เหมาะ ข้าอาจต้องหาต้นไม้ใหญ่ผูกเปลให้เจ้านอน หรือไม่ก็หาที่ห่างออกมาอีกนิด จะปลอดภัยกว่า”
แม่ทัพยืนมองต้นไม้ใหญ่ริมลำธารที่ทอดรากยึดชายฝั่ง ทั้งโขดหิน เหมาะสำหรับการหยุดพัก แต่ไม่เหมาะสำหรับการนอนค้างที่นี่
คนตัวใหญ่วางข้อมือของอีกคนลงบนก้อนหิน ถอดเสื้อผ้าของตนเองก่อน แล้วจึงถอดให้อีกคน แช่ผ้าไว้ในแอ่งน้ำเล็กๆอาเม่ยเพียงขมวดคิ้วเมื่อสัมผัสน้ำเย็น แต่ก็ยอมให้ทำความสะอาดให้ด้วยดี
แม่ทัพเชมัลร่ายเวทย์เพื่อคลายกำไล แต่ยังไม่วางใจที่จะถอดออก เพียงเลื่อนขึ้นไปใต้ศอก แล้วล้างแผลที่ข้อมือทำความสะอาด จากนั้นก็วางแขนข้างนั้นไว้ที่โขดหิน แล้วค่อยหันไปซักผ้า วางพาดไว้
ทุกครั้งที่หันไปมอง อาเม่ยก็เพียงนั่งอยู่นิ่งๆ จนต้องกลับมาอาบน้ำสระผมให้
ผิวกายที่เปื้อนฝุ่นสกปรก กลับมาสดใส เหลือเพียงดวงตาสีดำสนิท ไม่มีคำพูด และไม่มีการเคลื่อนไหว
จับให้อยู่ที่ใดก็อยู่ที่นั้น
“หนาวหรือไม่ ต้องการขึ้นไปนั่งบนโขดหิน หรือต้องการแช่น้ำอยู่เช่นนี้”
ถามไปก็ยังคงไม่มีคำตอบ แม่ทัพจึงปล่อยให้แช่น้ำต่อไป ขณะที่ต้องถอยตนเองออกมาแล้วหันหลังให้
ไม่ง่ายเลยเมื่อต้องอยู่ใกล้ชิดกับคนรักเช่นนี้
ใจนึกกล่าวโทษเฮยอั้น คนที่สลายร่างกายไปแล้ว ที่ช่างล่วงรู้จุดอ่อนนี้
แม้น้ำจะเย็น แต่ความแข็งขึงร้อนรุ่มกลับเพิ่มขึ้น มือใหญ่กอบกุมส่วนกลางของตนเองที่อยู่ภายใต้สายน้ำขยับข้อมือรูดรั้ง รับรู้สายตาที่ยังมองมาจากทางด้านหลัง ไหล่กว้างไหวเยือก น้ำสีขาวขุ่นหยาดหยดจากส่วนปลาย ผ่อนลมหายใจยาวแล้วว่ายน้ำห่างออกมา
เมื่อหันไปอีกที จึงเห็นริมฝีปากสวยกลายเป็นสีม่วง บ่งบอกว่า เจ้าตัวหนาวมาก แต่ไม่มีเสียงร้อง รีบว่ายน้ำกลับมาหาแล้วพาให้นั่งอยู่บนโขดหิน
“ขอโทษนะเสี่ยวเม่ย” คนตัวโตพร่ำกล่าวคำขอโทษ หยิบเสื้อตัวในสีขาวของอีกคนมาสวมคลุมให้ “นั่งรับแดดสักครู่”
จากนั้นหันไปสวมกางเกง แล้วหันมาโอบกอดไว้ลูบแผ่นหลังบางจนร่างกายของอีกคนอุ่นขึ้น
“ที่นี่อาจมีปลาให้เจ้ากินได้ ข้าจะก่อไฟ และทำอาหาร เจ้าชอบปลาหรือไม่”
อาเม่ยเงยหน้าขึ้นมอง เมื่อมือใหญ่สัมผัสใบหน้าใส
“ข้าทำให้เจ้าต้องลำบากแล้ว”
มีแต่เพียงดวงตาสีดำสนิทที่มองกลับมา....
บ่ายคล้อยแม่ทัพเชมัลทำอาหารมื้อเย็น ป้อนปลาให้กับอาเม่ย มีเสียงฝีเท้าเข้ามาใกล้ แต่ยังคงป้อนปลาให้อีกคนต่อไป
คนที่มาไม่ได้มาเพียงคนเดียว แต่เมื่อเข้ามาใกล้ทั้งหมดกลับหยุดยืน
“เจ้ามาจากที่ใด” เสียงกรรโชกถามดังขึ้น แม่ทัพเชมัลเพียงหันไปมอง
เมื่อเห็นว่าคนที่อยู่ในป่าคือใคร ผู้มาทั้งสิ้น 5 คนต่างก็ก้าวถอยพลางหันมองหน้ากัน ผู้ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มถามขึ้น
“แม่ทัพเชมัล เหตุใดท่านจึงอยู่ที่นี่”
“มีความจำเป็นน่ะ” แม่ทัพหันมาป้อนปลาให้อาเม่ยต่อ
“พวกเราเห็นควันไฟ” หากเป็นผู้อื่นแสดงท่าทีเมินเฉยต่อกลุ่มโจรป่า คงได้กลายเป็นศพอยู่ที่นี่ แต่เมื่อเป็นแม่ทัพเชมัล กลุ่มโจรป่ากลุ่มนี้กลับมีท่าทีให้ความเคารพ
“ท่านลุงอาลีสบายดีหรือไม่”
“หัวหน้าสบายดี” หัวหน้ากลุ่มโจรตอบ “น้องชายท่านนั้นไม่สบาย พวกท่านเข้าไปพักที่หมู่บ้านเถิด”
หัวหน้ากลุ่มโจรบอกอย่างคนที่รู้ดี ว่าหากเชิญให้แม่ทัพเชมัลเข้าไปพักที่หมู่บ้าน แน่นอนว่าจะได้รับคำปฏิเสธ แต่จากท่าทีของแม่ทัพที่กำลังดูแลหนุ่มน้อยผู้นี้ แสดงให้เห็นว่า ต้องเป็นผู้ที่มีความสำคัญ
แม่ทัพป้อนอาหารอีกคำ แล้วกล่าวขึ้น “รอสักครู่”
หัวหน้ากลุ่มหันไปมองรอบๆ “เมื่อหลายวันก่อน มีคนเห็นพวกอสูรปรากฏตัว พวกเราควรกลับไปก่อนค่ำ”
แม่ทัพเชมัลพยักหน้า หมู่บ้านโจรแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้เขตเมืองวัน หัวหน้าหมู่บ้านชื่ออาลี เป็นผู้มีนิสัยรักอิสระ ปฏิเสธการปกครองของทางการ และต่อต้านกฎหมาย จึงพากลุ่มผู้สนับสนุนออกมาตั้งหมู่บ้านโจรอยู่นอกเมือง
เมื่อเข้ามาถึงเขตหมู่บ้าน หัวหน้าหมู่บ้านในวัยเกือบ 40 ปีออกมาต้อนรับด้วยความยินดี
“ถึงพวกเราจะเป็นโจร แต่หากเป็นท่านที่เดินทางผ่านมา ก็สมควรแวะพักทักทายกันสักครู่”
กลุ่มบ้านโจรของอาลีมีไม่ถึง 20 หลังแต่ทุกคนในหมู่บ้านล้วนเป็นผู้มีฝีมือดี
แต่เมื่ออาลีเห็นดวงตาสีดำสนิทของอาเม่ยก็หยุดชะงัก
“หากท่านลำบากใจ พวกเราจะพักที่นอกหมู่บ้าน” แม่ทัพกล่าวอย่างเกรงใจ
“ไม่หรอก มีอันใดที่จะต้องลำบากใจ” อาลีบอก และพาไปพักที่บ้านหลังหนึ่ง “ทำไมเขาถึงถูกเวทย์ของเฮยอั้น”
แม่ทัพจับให้อาเม่ยนั่งลงที่แคร่ไม้ตัวใหญ่ในบ้าน แต่ยังไม่ปล่อยมือออก “พวกเราต่อสู้กับกองทัพของฝ่ายเหนือ จากนั้นก็ออกมาตามหาทหาร 2 คนที่สูญหายไป ข้ากำจัดเฮยอั้น แต่อาเม่ยกลับถูกเวทย์ทำร้าย”
อาลีส่ายหน้า พลางถอนหายใจยาว “เฮยอั้นเกลียดชังพวกท่านพี่น้องมาแต่ไหนแต่ไร แต่การปล่อยเวทย์ในลมหายใจสุดท้ายเช่นนี้ ต้องถือว่าเกินไป”
นั่นเพราะทำให้การแก้ไขทำได้ยากกว่าเดิมไปอีกหลายเท่า
ผู้ปกครองของเมืองต่างๆ ย่อมรู้จักกันมาหลายชั่วอายุคน แต่ยิ่งนานเมืองเหนือยิ่งให้ความสำคัญต่อการใช้เวทย์ดำ ขณะที่เมืองวันกลับเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมาย
ชั่วเวลาหนึ่งที่แม่ทัพเชมัลมาประจำการที่ประตูด่านทางนี้ ย่อมต้องเคยออกมาท่องเที่ยว และพบปะผู้คน หัวหน้าหมู่บ้านอาลีที่มีนิสัยนักเลงถูกชะตากับผู้มีความกล้าหาญแบบแม่ทัพเชมัล แต่ไม่ชื่นชอบพระราชาฟารัคมากนักเพราะเห็นว่าเป็นผู้ที่มีเล่ห์เหลี่ยม ขณะที่แม่ทัพนาซิมก็เป็นผู้ปกครองที่มีความในใจตลอดเวลา จึงไม่ให้ความรู้สึกไว้วางใจ
ส่วนเรื่องราวของเมืองเหนือ...
“ลือกันว่ามเหสีองค์รองของเมืองเหนือวางยารัชทายาทเจิ้งเทียน เพื่อแย่งชิงตำแหน่งให้กับเจ้าชายองค์รอง แต่เรื่องนี้ไม่แน่ชัด เพราะมีแต่พวกค้าอาวุธที่นานเป็นเดือนจึงนำเอาของไปส่งที่เมืองเหนือ พวกนี้ชอบโอ้อวด จนไม่รู้ว่าเรื่องที่พูดมาเหลือความจริงอยู่กี่ส่วน แต่หากเป็นจริง เรื่องนี้ย่อมหมายถึงศึกในของเมืองเหนือ”
แม่ทัพเชมัลกล่าวช้าๆ
“พวกกองกำลังเวทย์ดำ กำลังพยายามสร้างผลงานด้วยการรบกวนเมืองวัน นั่นอาจเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจ”
อาลียิ้มมุมปาก “ท่านดูคล้ายไม่ประหลาดใจกับข่าวนี้”
แม่ทัพเชมัลส่ายหน้า
การใช้เวทย์ดำก็บ่งบอกอยู่แล้ว ว่าเป็นผู้ไม่เคารพต่อความถูกต้องและพร้อมที่จะทำร้ายกันเองทุกเมื่อ
อาลียังบอกเล่า ความผิดปกติที่เกิดขึ้นในป่านี้อีกหลายเรื่องให้ฟัง ทั้งการปรากฏตัวของเหล่าอสูร และยักษ์
แม่ทัพเชมัลจึงกล่าวอย่างเป็นกังวล “หากพบพวกมันบ่อยครั้งขึ้น ท่านควรนำผู้คนกลับเข้าไปอยู่ที่เมืองหน้าด่านชายแดน”
แต่อาลีกลับหัวเราะ “เป้าหมายของมันไม่ใช่พวกเรา แต่เป็นพวกท่านต่างหาก”
…จบตอนที่ 18...
อย่านะ อย่ามาถามผมเรื่องต้าซันนะ ผมไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้นแหละ จริงๆ นะเออ 
จากใจผมเลยนะ
พี่ๆ ที่ขัดใจเรื่องเก้า ใจเย็นๆ เดี๋ยวก็เฉลยแล้วครับ
แล้วก็ต้าซันด้วย เอามาเบรคเรียกรอยยิ้มนิดเดียว แล้วก็จะข้ามไปตอนเกือบจบ
ถ้าอ่านแล้วรู้สึกขัดตา ขัดใจ ขัดอารมณ์ ผมขอโทษครับ
.น้ำชา.