ตอนที่ 20หลังอาหารเช้า หรือหากจะเรียกอย่างถูกต้อง ก็สมควรที่จะเรียกว่าอาหารมื้อแรกของวันนี้ แม่ทัพเชมัลจับข้อมือที่สวมกำไลโลหะพาอาเม่ยไปยังชายหาดอีกครั้ง
เกาะแห่งนี้ไม่ได้มีอาณาเขตกว้างขวางมากนัก จากบ้านพักที่ตั้งอยู่ใกล้กับสายน้ำ เดินเรื่อยๆ ผ่านต้นไม้สูงใหญ่ และพุ่มไม้ผลที่ยังไม่ออกดอกออกผล คนตัวโตหันไปชวนคุย และเล่าเรื่องของต้นไม้ใหญ่น้อยในที่นี้
บ้างมีอยู่เดิมตามธรรมชาติ บ้างปลูกขึ้นใหม่
ส่วนสัตว์ต่างๆ ในที่นี้ยกเว้นนก คือสัตว์ที่ถูกนำมาปล่อยไว้เช่นกัน
อากาศที่นี่ก็ไม่สามารถคาดเดาได้ เห็นอยู่ว่ามีแดดแรง แต่ชั่วครู่เดียวก็มีฝนตก
ทั้งเมื่อมีฝนตก แต่ขณะที่เราวิ่งกลับไปหาที่หลบฝน ฝนอาจหยุดตกไปเฉยๆ
แต่ในขณะที่กำลังเล่าเรื่องราวต่างๆ ของเกาะแห่งนี้ ที่ล้วนเป็นเรื่องเดิม ที่เคยเล่ามาแล้วหลายครั้ง คนเล่าเรื่องก็เริ่มรู้สึกว่าเรื่องที่เล่าไม่สนุกเหมือนกับในรอบแรก
เมื่อก้าวลงมายืนใกล้ชายหาด แม่ทัพจึงร่ายเวทย์ขณะปลดกำไลโลหะออกจากข้อมือผอม
ผิวกายขาว กลายเป็นสีดำ เช่นเดียวกับผมสีเงินที่กลายเป็นสีดำสนิท
อาเม่ยสะบัดข้อมือทันที! พร้อมเสียงคำรามก้อง!
เปลวไฟลุกจากปลายนิ้วตกใส่ผืนทรายห่างออกไปวาเศษ กลายเป็นระเบิดทรายขนาดเล็ก!
ทั้งที่แม่ทัพเชมัลยังยืนข้างๆ แต่อาเม่ยไม่มีท่าทีว่าจะหันมาทำร้าย กลับสะบัดลูกไฟใส่ผืนทราย แล้ววิ่งตะบึงไปอีกทาง
แม่ทัพเชมัลก็ปล่อยให้อาเม่ยวิ่งไปโดยไม่ขัดขวาง ทิ้งหลุมทรายกับดวงไฟกองเล็กเป็นแนว 2 ข้างทาง
เพียงแต่เมื่อไปจนสุดทางอาเม่ยก็หันกลับมา แล้วหยุดยืนนิ่ง ดวงตาสีดำสนิทมองตรงมา
เป็นการมองตรงๆ โดยไม่อาจรู้ว่ากำลังมองสิ่งใดอยู่
แม้จะหอบหายใจแรง แต่เวลานี้สีผิวไม่ได้เป็นสีดำสนิทแล้ว รอยริ้วสีผิวที่จริงของอาเม่ยปรากฏให้เห็น ทั้งที่ใบหน้า และแขน
แม่ทัพเชมัลเข้าประชิดตัว ล็อคแขนไขว้หลัง ร่ายเวทย์รักษาขณะที่จรดปลายมีดลงที่ฝ่ามือ เลือดสีดำจากปากแผลหยดลงสู่ผืนทราย
แม้อาเม่ยจะขัดขืน แต่ไม่มีทีท่าว่าจะใช้พลังเวทย์กับแม่ทัพเชมัล เมื่อปากแผลเปิดก็ส่งเสียงดังก้อง!
เสียงร้อง ดั่งเสียงคำรามของสัตว์ร้าย ที่ไม่ใช่เสียงของอาเม่ย ยิ่งได้ยินยิ่งรู้สึกปวดร้าวในอก!
แม่ทัพเชมัลกรีดมีดลงที่ฝ่ามือของตนเอง กดฝ่ามือแนบสนิทกับมือของอาเม่ย
ความร้อนจากหยดเลือดของอีกฝ่ายกำลังผลักดันให้ต้องดึงมือออก แต่แม่ทัพกดมือไว้แน่นกว่าเดิม
เสียงคำรามร้องที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นดังก้อง คนตัวเล็กต่อสู้สุดแรงแต่แม่ทัพยังไม่ยอมปล่อย จนกระทั่งเสียงคำรามขาดหาย ร่างผอมบางเริ่มอ่อนแรง จึงออกคำสั่งกำกับ พร้อมกับคลายมือออก
“ออกไปจากเสี่ยวเม่ย!”
ฉับพลันกลุ่มเงาสีดำพวยพุ่งผ่านปากแผลที่ฝ่ามือ ก่อตัวเป็นเสือตัวใหญ่ แต่แม่ทัพไม่รอให้การก่อตัวเสร็จสิ้นก็ส่งพลังติดตามแล้วระเบิดสูญหายไปในอากาศ!
คนที่ถูกจับล็อคแขนไว้ หมดแรงรูดตัวลงคุกเข่ากับผืนทราย
แม่ทัพเชมัลลูบแผ่นหลังบาง แล้วช้อนอุ้มใต้สะโพกให้ซุกหน้าลงกับไหล่กว้าง....
เป็นความเครียดและเหน็ดเหนื่อยจนต้องผ่อนลมหายใจออกจากปาก
จากพลังของไฟที่สะเปะสะปะ หาทิศทางที่แน่นอนไม่เจอ แตกต่างจากพลังในการบังคับลมทำให้แน่ใจ.....
"เสี่ยวเม่ย เจ้าคือสายลม จิตใจของเจ้าจึงเป็นดั่งสายลม รวนเรไม่แน่นอน ข้าผิดเองที่ไม่อาจทำให้เจ้าเชื่อใจว่าข้ารักเพียงแต่เจ้าเท่านั้น...ทำให้เจ้าถูกทำร้ายเช่นนี้"
ผ่านไปหลายวัน
คนตัวเล็กยามนี้ยิ่งเล็กลงไปกว่าเดิม เนื่องจากการใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการนอนพัก หลังการถ่ายเลือดรักษาในวันนี้แม่ทัพเชมัลที่อุ้มอีกคนกลับมาบ้านกลับต้องคิดมาตลอดทางว่าจะทำอย่างไรอาเม่ยจึงจะกลับมามีสุขภาพที่ดีดั่งเดิม
มิใช่....
ต้องดีกว่าเดิม เพราะแต่แรกมาก็ตัวเล็กกว่าคนอื่นๆ อยู่แล้ว ยามนี้ยิ่งตัวผอมกว่าเดิมเสียอีก
ขณะที่กำลังใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหน้าแล้วทำแผลที่มือ รวมไปถึงรอยช้ำตามตัว จู่ๆ คนที่หลับอยู่ก็ลืมตาโพลง แต่พอจะผุดลุกขึ้น แม่ทัพเชมัลก็รีบสวมกำไลโลหะให้ อาเม่ยส่งเสียงคำรามอย่างขัดใจเมื่อข้อมือถูกกดตรึงอยู่กับพื้นอย่างรวดเร็ว
นี่แหละคือผลของการย้ำเตือนตัวเองว่าต้องมีความระมัดระวังอยู่ตลอดเวลา
“ยังไม่หมดง่ายๆ สินะ” มือใหญ่จับผมยุ่งมัดรวบให้แล้วพาออกมานั่งที่ด้านนอก “วันนี้เจ้าออกแรงมาก ออกไปนั่งข้างนอก กินผลไม้ที่เจ้าชอบกันดีกว่า”
แต่พอให้ออกมาข้างนอกอาเม่ยก็กลับนั่งเฉย ไม่มีท่าทีไม่พอใจหรือหงุดหงิดอันใด
ดูท่าทางแล้วจะชอบอยู่ข้างนอกนี่ มากกว่าในบ้าน ทั้งยังยอมกินผลไม้ที่ป้อนให้
แม่ทัพเชมัลยิ้มให้กับคนที่นั่งนิ่งๆ มองตรงไปข้างหน้า ขณะที่ตนเองกำลังทำงานอย่างอื่นต่อไป
เมื่อไม่ใช่คนช่างพูด ช่างเล่า แต่ต้องพูดต้องเล่าอยู่คนเดียวมาหลายวัน เรื่องที่ออกจากปากก็ยังคงเป็นเรื่องเดิมๆ
“ยังมีเรื่องใดที่ข้ายังไม่ได้เล่าให้เจ้าฟังอีกไหม”
แม่ทัพเชมัลวางท่อนฟืนลงข้างๆ คนที่นั่งนิ่งเหมือนรูปปั้น
“ข้าเล่าเรื่องการผจญภัยของข้าจนไปพบเด็กน้อยตาสีเขียวใสให้เจ้าฟังแล้วใช่ไหม" ดวงตาสีเข้มที่มองคนที่นั่งฟังนิ่งๆ เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก "เบื่อที่ข้าพูดไปเรื่อย จนเจ้าไม่มีโอกาสได้กล่าวคำซักถามข้าหรือยัง”
มือใหญ่แตะที่แก้มใส
"เล่าเรื่องอยู่คนเดียว แต่ไม่มีคำถามจากเจ้ามันช่างไร้ความสนุกสนานอย่างสิ้นเชิง" มือใหญ่ช่วยเก็บเส้นผมสีเงินที่ระแก้ม "ข้ากำลังมีนิสัยชอบเล่นผมสีเงินของเจ้า หากในวันที่เจ้าหายดีแล้วเจ้าไม่ยอมให้ข้าทำเช่นนี้อีก ข้าคงต้องรู้สึกรำคาญตนเองแน่นอน”
จากเส้นผม มือใหญ่ละมาจับข้อมือข้างที่สวมกำไลโลหะ เครื่องคุ้มกันที่อาเม่ยมักจะพยายามถอดมันออกอยู่เสมอ ผิวเนื้อที่ข้อมือจึงมีทั้งรอยข่วน และรอยช้ำ
เมื่อย้ายไปสวมกำไลโลหะที่มืออีกข้าง อาเม่ยก็ทำแบบเดิม ทำให้ข้อมือทั้ง 2 ข้างเต็มไปด้วยรอยแผล
“มีทั้งแผลที่เจ้าทำตัวเอง และที่ข้ากรีดแผลเพื่อคัดเลือดให้เจ้า”
แม่ทัพเชมัลถอนใจยาว ขณะที่ล้างแผลให้ในยามที่ต้องจับให้อาบน้ำ
นี่ยังเป็นความเคยชินอีกเรื่องที่แม่ทัพเชมัลเป็นกังวลมากขึ้นเรื่อยๆ
แม้คนรูปร่างผอมบางจะเพียงแค่มองตรงไปข้างหน้าในยามที่ถูกจับถอดเสื้อผ้า สีหน้าไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆ ในเวลานี้ แต่ความต้องการของแม่ทัพเชมัลกลับเพิ่มมากขึ้น
“ข้านี่ช่างเลวร้ายนัก คิดแต่เรื่องลามกต่อเจ้า ทั้งที่ข้าทำให้เจ้าถูกทำร้าย”
แม่ทัพเชมัลอุ้มร่างกายเปล่าเปลือยลงสู่สายน้ำเย็น เมื่อวางข้อมือที่สวมกำไลไว้บนรากไม้ อาเม่ยจึงส่งเสียงต่ำๆ ในลำคออย่างขัดใจ
“หนาวหรือ เช่นนั้นจะรีบอาบน้ำให้เจ้าก่อนนะ”
มือใหญ่ล้างหน้าล้างตัวให้อาเม่ย โดยที่พยายามไม่สนใจผิวกายละเอียดที่อยู่ข้างหน้า ทั้งไม่สนใจความร้อนรุ่มของตนเอง
อากาศรอบตัวเริ่มเย็นลง ทั้งมีทีท่าว่าฝนอาจกำลังจะตก ตามลักษณะอากาศของเกาะกลางทะเล
อาเม่ยหันไปแสดงความขัดใจกับมือที่ถูกตรึงไว้ โดยใช้มืออีกข้างทุบข้อมือตนเอง จนคนที่กำลังอาบน้ำให้ต้องยื้อข้อมือไว้
“เสี่ยวเม่ย ทำอย่างนี้เมื่อไหร่จะอาบน้ำเสร็จ”
คนตัวโตต้องเปลี่ยนเป็นสวมกอดไว้จากทางด้านหลัง จับมือข้างที่เป็นอิสระไว้แน่นเพื่อไม่ให้ทำร้ายตัวเอง ส่วนอีกมือก็ขัดถูตัวให้
“รู้แล้วว่าหนาว แต่เจ้าดื้อแบบนี้ น้ำก็ขุ่น อาบอย่างไรก็ไม่สะอาด”
อาบน้ำให้แต่ไม่ต่างอะไรจากการต่อสู้กับคนดื้อที่ได้แต่ส่งเสียงฮึดฮัด ไม่ยอมอาบน้ำโดยง่าย
ที่ผ่านมาก็ไม่ใช่คนที่ละเลยการทำความสะอาดตัวเองมากนัก หลายครั้งที่เหน็ดเหนื่อยจากการฝึกหนักกลับมาก็ล้มตัวลงนอนโดยไม่อาบน้ำ
แต่เมื่อต้องดูแลอาเม่ย กลับคิดแต่จะรักษาความสวยงามให้คนนี้ คอยดูแลคนนี้อยู่ตลอดเวลา
...ตั้งแต่จำความได้ นี่เป็นคนแรกที่ทำให้เช่นนี้...
สังเกตว่า เมื่อกล่าวคำไปเรื่อยๆ อาเม่ยจะนิ่งฟัง คนที่กำลังพยายามจะอาบน้ำให้ก็ต้องเริ่มกล่าวคำไปเรื่อย....อีกครั้ง
“เจ้าเป็นคนสวยงาม มีดวงตาสีสวย เส้นผมสวย ผิวกายละเอียด ทั้งหอมอ่อนๆ แม้มีเพียงฝุ่นละอองทำให้เจ้ามัวหมองก็กลับทนไม่ได้ ใจของข้า ลมหายใจของข้า...มีแต่เรื่องของเจ้าอยู่ตลอดเวลารู้ไหม...”
คนที่อยู่ในอ้อมแขนหยุดขัดขืน นิ่งฟังสิ่งที่อีกคนกล่าว
แต่เมื่อเรื่องที่กล่าวคือการบรรยายถึงคนในอ้อมกอด ความต้องการที่ไม่เหมาะสมก็กลับเกิดขึ้น
...มีเรื่องให้กล่าวตั้งมากมาย เหตุใดจึงเลือกกล่าวถึงความเย้ายวนของอีกฝ่ายในเวลาเช่นนี้...
“ข้า...กำลัง...คิด....ในเรื่องที่ไม่เหมาะสม....ต่อเจ้า”
ริมฝีปากหนากดจูบที่แก้ม และไหล่บาง มือใหญ่ละจากข้อมือผอมบาง มาสัมผัสที่อก
“เสี่ยวเม่ย....ข้า...ขอโทษ...”
มือข้างหนึ่งสัมผัสที่อกบางของอีกฝ่าย สะกิดปุ่มปม บีบส่วนปลาย ทั้งออกแรงบีบเคล้น ส่วนมืออีกข้างเร่งรูดรั้งให้กับตนเอง
ตลอดเวลาอาเม่ยเพียงนั่งนิ่ง ดวงตาสีดำขลับมองไปข้างหน้า ไม่มีท่าทีเปลี่ยนไป ไม่รับรู้สิ่งใด แม้ยอดอกจะแข็งเป็นไต ทั้งเปลี่ยนเป็นสีแดงจัด ไหล่บางมีร่องรอยจากการจูบเน้น ยามเมื่อความต้องการของอีกคนกำลังไต่ขึ้นสูง
กระทั่งความรุ่มร้อนถูกปลดปล่อยจึงละริมฝีปากจากไหล่บางแล้วหายใจหนักๆ จากนั้นก็ต้องรีบอุ้มขึ้นจากน้ำ
แม้คนตัวใหญ่จะปลดปล่อยความต้องการ แต่ก็กลับยังรู้สึกค้างคา และไม่เพียงพอ..
ต้องห้ามสายตาตัวเอง ห้ามใจตนเองขณะที่เช็ดตัว สวมเสื้อผ้าให้คนตัวเล็กก่อน แล้วจึงหันมาสวมเสื้อผ้าของตัวเอง เดินกลับมาใกล้ถึงที่พักฝนก็ตกหนัก จนต้องหันไปอุ้มวิ่งกลับมาบ้าน จับมือซ้ายที่สวมกำไลให้กอดรอบคอหนาไว้
เมื่อเข้ามาในบ้านพัก แม่ทัพเชมัลก็ปล่อยให้อาเม่ยลงยืนเองเพื่อที่จะหันไปหยิบผ้าผืนใหญ่ มาห่มให้ แต่น้ำหนักที่ข้อมือที่เพิ่มขึ้นทันที กลับทำให้อาเม่ยต้องกระแทกตัวลงกับพื้นบ้านอย่างแรง
เสียงดังจนคนที่กำลังจะผละไป ต้องรีบหันมากล่าวคำขอโทษ
คนที่นิ่งเฉยไม่รับรู้สิ่งใดกำลังทำสีหน้าไม่พอใจทั้งอาจมีความรู้สึกเจ็บรวมอยู่ด้วย แต่คนที่เป็นสาเหตุกลับอดไม่ได้ที่จะยิ้มขำ
"ขอโทษที่ปล่อยมือเจ้าทั้งที่เจ้ากำลังยืนอยู่" แม่ทัพคว้าจับข้อมือข้างที่ถูกกระแทกกับพื้นขึ้นมาลูบเบาๆ รวมไปถึงข้อศอกและเข่าที่กระแทกพื้นลงมาพร้อมกัน แต่อีกคนอารมณ์ไม่ดีมากขึ้นเรื่อยๆ จนใช้มืออีกข้างทุบที่ต้นแขนใหญ่
แม่ทัพเชมัลไม่ได้ป้องกันตนเอง แต่กลับยิ้มกว้าง
"โมโหขนาดนี้ ท่าทางจะเจ็บมากเลยสินะ"
อาเม่ยหยุดทุบที่ต้นแขนเปลี่ยนเป็นผลักไหล่กว้าง แต่คนตัวใหญ่ก็ไม่ได้ถอยไปจากจุดที่นั่งคุกเข่าอยู่ ทั้งทุบทั้งผลักอยู่หลายครั้ง จู่ๆก็กลับเปลี่ยนเป็นจับไหล่ไว้
แม้ดวงตายังเป็นสีดำสนิท แต่ลักษณะการเคลื่อนไหวบ่งบอกถึงความรู้สึกบางอย่างที่กลับคืนมา
“เสี่ยวเม่ย...ข้าคือเชมัล จำข้าได้ไหม” แม่ทัพเชมัลกล่าวเบาๆ "เสี่ยวเม่ย..."
เจ้าของชื่อเอียงหน้ามองคนที่กำลังพูด
“เสี่ยวเม่ย ข้ารอให้เจ้ากลับมาอยู่ทุกลมหายใจ ตอบข้า หรือแสดงสัญลักษณ์อะไรบางอย่างก็ได้ ว่าเจ้าจำข้าได้”
ยิ่งกล่าวคำ ใจก็ยิ่งร้อนรน ไม่อยากปล่อยให้ช่วงเวลาที่อาเม่ยเปลี่ยนจากการปฏิเสธเป็นท่าทีที่คล้ายจะจำกันได้นี้ต้องหลุดลอยไป
อาเม่ยตอบรับด้วยการขยับเข้ามาใกล้ จูบแตะริมฝีปากแผ่วเบาแล้วถอยห่างออกมาเพียงเล็กน้อย
หัวใจใต้อกหนากระตุกแรงด้วยความยินดี
ความคิดยับยั้งชั่งใจสูญหาย...
ริมฝีปากหนาตามไปกดจูบริมฝีปากแผ่วเบา จากแผ่วเบาค่อยเพิ่มน้ำหนัก แต่เมื่อผละออก อาเม่ยก็กลับกระแทกริมฝีปากกลับมา เป็นจูบที่เหมือนเด็กเล่น
...ก่อนนี้มักคิดเข้าข้างตนเอง ว่าอาเม่ยชอบการโอบกอดสัมผัส และชอบฟังคำบอกรัก แต่เมื่อตนเองเป็นผู้ที่อ่อนด้อยเรื่องการบังคับตนเอง จึงพยายามหลีกเลี่ยง
แต่การปลดปล่อยในยามที่อาบน้ำด้วยกันยังค้างคา...
และเมื่ออาเม่ยแสดงให้เห็นว่ามีความพอใจ...
แม่ทัพเชมัลจูบอีกครั้งด้วยความอ่อนโยน ยกมือข้างที่สวมกำไลขึ้นกอดคอไว้ แล้วช้อนอุ้มมาที่เตียงนอน
ริมฝีปากที่ปิดสนิทเผยอรับจูบ กะพริบตาสีดำสนิทแล้วหลับตาลง
ร่างกายผอมบางไม่ได้ขัดขวางมือใหญ่ที่ปลดสายรัดเอว แทรกมือแตะเอว
อีกมือจับข้อมือบางที่สวมกำไล วางไว้เหนือศีรษะ รั้งให้นอนลง
เพียงนอนนิ่ง ยอมให้จัดท่าทางตามที่อีกคนต้องการ จากนั้นก็ลืมตาขึ้นมอง แล้วหลับตาลงอีกครั้งเมื่อริมฝีปากหนาตามลงมาพรมจูบไปทั่วใบหน้า แล้วกลับมาจูบริมฝีปาก แต่เมื่อจูบไซ้ที่ซอกคอขาว ร่างกายในอ้อมแขนจึงเริ่มสั่นไหว
"ตรงนี้หรือ" ริมฝีปากหนากดจูบไซ้ มือหนาเคล้นคลึงยอดอกบาง
น้ำเสียงทุ้มต่ำกล่าวคำบอกรักครั้งแล้วครั้งเล่า ขณะที่อาเม่ยปราศจากน้ำเสียงที่บอกความพอใจ มีเพียงร่างกายที่สั่นไหว ตอบรับการถูกลูบไล้สัมผัส
ปลายลิ้นโลมเลียยอดอก ดูดเน้นจนแข็งเป็นไตขบฟันซ้ำ แลัวยกตัวขึ้นกระซิบคำบอกรักที่ข้างหู
มือใหญ่ปลดล็อคกำไลโลหะออก แล้วค่อยคลายมือที่จับไว้
ดวงตาสีเข้มมองความเปลี่ยนแปลง เมื่ออาเม่ยดูงงงันวูบที่จู่ๆ น้ำหนักที่ข้อมือหายไป แต่สีของผิวกายยังคงเดิมเช่นเดียวกับสีผม
นิ้วมือใหญ่ลากจากข้อมือผ่านพับแขนมาที่ต้นแขน ไหล่ ลำคอขาว แต่เมื่อแตะที่แก้มใส อาเม่ยก็ส่งเสียงกรีดร้องตะโกนอย่างเจ็บปวด
แม่ทัพเชมัลสวมกอดไว้แน่น มือใหญ่ลูบแผ่นหลังปลอบโยน
"เสี่ยวเม่ย นี่ข้าเอง ข้าอยู่ที่นี่ อย่ากลัวนะ เจ้าต้องกลับมาได้ ข้าอยู่ที่นี่ เสี่ยวเม่ย..."
อาเม่ยหยุดร้องตะโกน เหลือเพียงอาการหายใจแรงและน้ำเสียงในลำคอที่บ่งบอกความไม่พอใจ ตามมาด้วยมือเล็กๆ ที่ทุบที่แผ่นหลังกว้าง
"โกรธ ไม่พอใจ อยากทุบ อยากตี ก็ทำได้เลย ทั้งหมดนี้เพราะข้าผิดเอง เสี่ยวเม่ย กลับมาเถิด"
ร่างกายเปล่าเปลือยเสียดสีจากการขัดขืน พาความรุ่มร้อนกลับมาได้ไม่ยากนัก
คนตัวโตจูบที่แก้มใส เตรียมพร้อมหากอาเม่ยจะแสดงพลังที่อัดอยู่ภายในออกมา แต่ที่เปลี่ยนแปลงไปกลับเป็นความต้องการของตนเองที่ยิ่งกอดไว้แบบนี้ ก็ยิ่งทำให้มีความต้องการมากกว่าเดิม
มือใหญ่เลื่อนลงหาแก่นกายอ่อนนุ่มของอีกคน ร่างกายผอมบางกระตุกวูบ คว้าข้อมือหนาไว้แน่น
คนถูกกอดรัดและลูบไล้ ส่งเสียงทักท้วงในลำคอ แต่เมื่อริมฝีปากหนากดจูบริมฝีปากบางอย่างร้อนแรง อาเม่ยก็กลับหยุดนิ่งรอรับสัมผัสต่างๆ มือเล็กๆ แตะที่ไหล่หนาแล้วกอดรัดไว้แน่น ปลายลิ้นตอบรับจูบร้อน น้ำเสียงผ่านลำคอ และลมหายใจบ่งบอกความต้องการที่มีไม่ต่างกัน
มือใหญ่สัมผัสร่างกายผอมบาง เลื่อนตัวลงพรมจูบหน้าท้องและจุดอ่อนไหว มือใหญ่เน้นย้ำที่ก้นกลม แล้วแทรกปลายนิ้วเข้าหาช้าๆ
เพียงข้อนิ้วเดียวอาเม่ยก็ผลักไส ทั้งกรีดร้องต่อต้าน มือใหญ่ยังไม่ยอมคลายออก ปลายลิ้นตวัดเลียส่วนปลายแล้วครอบริมฝีปากลง
ได้ยินเสียงสะอื้นแรง ทั้งรู้สึกถึงปลายนิ้วและเล็บที่จิกอยู่ที่ไหล่หนา มองเห็นใบหน้าที่แหงนเงย
แต่ไม่คิดที่จะหยุดความต้องการนี้
นิ้วมือใหญ่ถอนออก คนที่กรีดร้องก็ทิ้งตัวลงอย่างผ่อนคลาย แล้วผวาสุดตัวเมื่ออีกคนสอดนิ้วเข้าหาอีกครั้ง เมื่อกดปลายนิ้วหาจุดอ่อนไหว จนพบจึงกดย้ำกระทั่งแท่งเนื้อภายในปากเคร่งเครียด
2 ขาเรียวเกร็ง สะโพกบางกระตุกหาริมฝีปาก
เสียงครางต่ำๆ และลมหายใจผ่อนคลายลงเมื่อหยาดน้ำสีขาวขุ่นปรี่ล้นจากส่วนปลาย ยินยอมให้มือใหญ่รีดเคล้นทุกหยาดหยด
ร่างกายสูงใหญ่ขยับนั่ง ยกสะโพกของอีกฝ่ายขึ้น จดจ่อความรุ่มร้อนของตนเข้าหา ร่างกายผอมบางผวาเฮือกหยาดน้ำตาไหลพราก 2 มือผลักไสอีกฝ่าย ทั้งส่งเสียงต่อต้าน
ริมฝีปากหนาที่จะกดจูบ กลับถูกขบกัดจนได้เลือด แต่พอกดความแข็งขึงสอดลึก อาเม่ยก็คลายฟันส่งเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บ มือเล็กๆ ทั้งทุบทั้งข่วน
ยิ่งช่องทางบีบรัดต่อต้าน อาเม่ยยิ่งเจ็บปวด อีกฝ่ายกลับขยับสะโพกจนสุดแล้วผ่อนลมหายใจอย่างยากลำบาก
รับรู้ทั้งแรงต่อต้าน ทั้งกล้ามเนื้อที่ตอดรัดไว้ ร่างกายรุ่มร้อนจนไม่อาจหยุดนิ่งได้ สาวสะโพกออกแล้วโถมส่วนแข็งขึงกลับเข้าไปจนสุด
เป็นความรู้สึกดีอย่างยิ่ง แม้แต่เสียงกรีดร้อง หมัดเล็กๆ ที่ชกแขน เล็บคมที่ข่วนเข้าที่กลางอก
หยดเหงื่อจากปลายคางหยดลงที่ใบหน้าของอีกฝ่าย ผสานหยาดน้ำตาที่เปียกแก้ม
แต่ในเวลาเดียวกันหน้าท้องยังรับรู้แก่นกายอุ่นร้อนของอีกคน มือใหญ่กอบกุมไว้ แล้วกลับถอนตัวออก อีกฝ่ายเพียงมองตามแล้วบิดตัวเมื่อมือใหญ่รูดให้เบาๆ จนกระตุกร่างกายพ่นหยาดน้ำสีขาวแล้วทิ้งมือลงข้างตัว หอบหายใจจนตัวโยน
มือใหญ่ยกสะโพกบางขึ้นอีกครั้งฝืนสอดเข้าหา อีกคนได้แต่ส่งเสียงต่อต้านอย่างขัดใจ แต่ไร้เรี่ยวแรงขัดขืน คนที่ถาโถมเข้าหาอย่างรุนแรง จนกระทั่งหยาดน้ำปรี่ล้นจากช่องทางด้านหลัง ถอนตัวออกอย่างอ้อยอิ่งแล้วกอดจูบวนเวียน ริมฝีปาก ใบหน้า ลำคอ
ความต้องการที่ยังไม่หมดไปโดยง่าย
ฝนหยุดตกแล้ว มีเสียงแมลงกลางคืนส่งเสียงร้องอยู่ภายนอก ไม่อาจกลบเสียงหอบหายใจของคนที่อยู่ในห้อง อากาศที่เย็นลง ไม่มีผลให้ความเร่าร้อนถดถอย
เนิ่นนานจากนั้น แม่ทัพเชมัล จึงทิ้งตัวลงกอดคนที่หลับใหลอยู่ในอ้อมแขน และไม่คิดที่จะสวมกำไลโลหะให้อีก
*-*จบตอนที่ 20 *-*
ภาพนี้มาจาก
http://photography.nationalgeographic.com/photography/photo-of-the-day/forest-rain-afternoon/ก่อนนี้เราใช้ชื่อ JiveTea ครับแต่คาดว่าชื่อนี้จะเรียกแขกหรือไงไม่ทราบ มีคนเอาไปใช้ในเว็ปอโคจร ผมจึงรบกวนให้พี่โมเปลี่ยนชื่อให้ครับ
ขอบคุณที่ติดตามเสมอมา
ps.1 ตอนที่ 19 เป็นอะไรที่นายน้ำชาลุ้นมาก ว่าจะได้ลงตอนที่ 20 ในหน้าเดิมไหมหว่า จึงขอกราบขอบพระคุณพี่ดันทุกท่านมา ณ โอกาสนี้
ps.2 ผมจะโดนใบสั่งให้คัดคำที่ถูกต้องของคำว่าไหมหว่า แล้วคำนี้ภาษาไทยที่ถูกต้องคืออะไร จะได้เตรียมคัดไว้เลย
.น้ำชา คนน่ารัก ดี๊ดี และหล่อมั่กมั่ก.