ตอนที่ 21นับจากการบังคับอาเม่ยในค่ำวันก่อน แม่ทัพเชมัลก็ต้องเพิ่มการบังคับตนเองให้มากขึ้น ด้วยการหันไปมองทางอื่นยามเมื่อต้องอยู่ใกล้ชิด กำหนดความคิดให้คิดถึงเรื่องที่อยู่ห่างไกล
แต่ก็ยังทำได้ยาก...
หากความต้องการเกิดขึ้นในยามที่อาบน้ำให้ ก็จะเร่งรีบอาบแต่งกายให้ก่อน แล้วจึงไปปลดปล่อยตนเอง
หากความต้องการเกิดขึ้นยามที่นอนอยู่เคียงกัน ก็จะผลุนผลันลุกออกไป
แต่จะสั่งตนเองให้ไม่อยู่ใกล้ชิด ไม่ดูแล ไม่นอนเคียงกัน กลับทำได้ยากยิ่งกว่า
“เหตุใดข้าจึงเป็นคนที่ทั้งสับสนและเลวร้ายได้เช่นนี้...”
การถ่ายเลือดดำจากอาเม่ยที่ชายหาดยังคงดำเนินต่อไป ขณะที่ ห้วงเวลาที่อาเม่ยจะนั่งนิ่งและมองตรงไปข้างหน้าก็ลดลงไปเรื่อยๆ เช่นกัน
แต่แรกนั้นแม่ทัพเชมัลตั้งใจว่าจะเลิกสวมกำไลให้กับอาเม่ย แต่สุดท้ายก็ต้องใช้วิธีสวมกำไลให้ตามอาการที่ปรากฏ
หรือในทันทีที่ผิวกายของอาเม่ยแปรเปลี่ยน
แต่หากไม่มีสิ่งใดผิดปกติ กำไลโลหะนั้นก็ไม่จำเป็น
เมื่อไม่มีสิ่งที่ถ่วงรั้งไว้ ทำให้อาเม่ยอารมณ์ดีขึ้นกว่าเดิม ในบางครั้งถึงกับเดินไปทั่ว จนเมื่อหมดแรงก็จะนั่งลง หรือล้มตัวลงนอนทันที คนที่เดินตามจึงอุ้มกลับมาที่พัก
วันหนึ่งที่อาเม่ยเดินไปจนถึงหน้าผา แล้วก็เดินกลับมาที่พักด้วยตนเอง แต่การที่มาหยุดอยู่ตรงหน้าเตาครัว ทำให้คนที่ได้แต่เดินตามต้องยิ้มขำ “ถ้าไม่หิวก็คงไม่กลับบ้านสินะ” มือใหญ่ชี้บอก “ไปล้างมือก่อน แล้วมากินปลา”
แต่อาเม่ยเพียงแค่มองไปที่อาหารบนเตา คนที่บอกให้ไปล้างมือก่อน จึงต้องจูงมือให้ไปล้าง แล้วกลับมานั่งรอ
ครู่หนึ่งแม่ทัพวางปลาย่างใส่จานพร้อมข้าวมาวางข้างหน้า
“แซนคงตั้งใจที่จะอยู่ดูแลพวกเราที่นี่ด้วยตนเอง จึงทิ้งเสบียงไว้มาก” มากพอที่จะอยู่ได้ถึงครึ่งปี “เจ้าเองก็กินได้ทีละน้อย เมื่อพวกเรากลับไป ชาวเรือที่มาพักที่นี่คงต้องบอกว่าโชคดีอย่างยิ่ง”
อาเม่ยกินได้ไม่มากก็จริง แต่เป็นคนที่กินง่าย ไม่ว่าจะป้อนอะไรให้ก็กินได้ทั้งนั้น แต่ครั้งนี้ป้อนอาหารได้เพียง 2 คำอาเม่ยก็คว้าข้อมือไว้
“ปลาไม่อร่อยหรือไง” คนทำมองอาหารในจาน “ข้าก็ปรุงรสเหมือนทุกครั้งนะ หรือเพราะเหมือนเดิมทุกครั้งเจ้าเลยไม่อยากกิน”
ดวงตาสีดำกะพริบมองคนพูดแล้วหยิบอาหารจากจานกินเอง ทำให้คนทำอาหารยิ้มกว้าง เมื่อกินเสร็จก็ล้มตัวลงนอนตรงนั้นเอง ทำให้ต้องอุ้มเข้าไปนอนพักในห้อง แล้วกลับมาทำงานอื่น แต่ในตอนที่แม่ทัพกำลังผ่าฟืนอยู่ที่ลานหน้าบ้าน อาเม่ยก็เดินออกมา แม่ทัพก็เดินตามไปห่างๆ
คนรูปร่างผอมบางไปหยุดยืนอยู่ที่หน้าผาสูง
ลมพัดแรง จนเส้นผมพลิ้วไหว
เส้นผมที่กลับกลายเป็นสีดำเช่นเดียวกับผิวกาย
อาเม่ยกางแขนทั้ง 2 ข้าง เรียกกระแสลมแรงหมุนวนรอบตัว
...ที่เดินตามมาก็เพราะกังวลว่าอาเม่ยอาจแสดงพลังออกมาได้ทุกเมื่อ
แต่การแสดงพลังที่หน้าผาสูงชันแห่งนี้ เป็นอันตรายเกินไป!
สมควรสวมกำไลให้ แต่กลับเข้าไปใกล้กว่านี้ไม่ได้ ด้วยด้านหน้าของอาเม่ยที่เป็นหน้าผา
คนตัวใหญ่ต้องใช้แขนปิดบังจมูก เมื่อลมแรงหอบฝุ่นละออง และเศษใบไม้ปลิวว่อน
อาเม่ยก้าวไปทางหน้าผา และก้าวต่อไปดั่งมองไม่เห็นว่า ที่ตรงนั้นเป็นอากาศ แม่ทัพเชมัลกระโดดตามไปคว้าตัวไว้ แต่อาเม่ยยามนี้มีเรี่ยวแรงมากมายกลับพยายามผลักอีกคนออก
สุดท้ายจึงตกลงสู่เบื้องล่างทั้ง 2 คน!
แรงกระแทกผิวน้ำรุนแรงจนอาเม่ยหยุดดิ้นรนไปชั่วครู่ แต่แล้วก็กลับบังคับน้ำเป็นคลื่นสูงก่อตัวเข้ากระแทกฝั่ง แต่เพราะแม่ทัพเชมัลยังไม่ยอมปล่อยมือ คลื่นทะเลจึงม้วนตัวพาทั้ง 2 คนลงสู่ใต้น้ำอีกครั้ง
แม่ทัพเชมัลมองหาทิศทาง ดึงอาเม่ยให้กลับเข้าสู่ชายหาด เมื่อร่างกายตั้งแต่ส่วนเอวขึ้นไปพ้นน้ำ แขนใหญ่ก็พลิกกอดล็อกแขนผอมบางให้ไขว้หลัง ร่ายเวทย์รักษาขณะที่กดปลายมีดลงที่ฝ่ามือ ทั้งลมและคลื่นแรงสงบลงในทันที แต่เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังก้อง!
หยดเลือดสีดำไหลลงสู่ทะเลแล้วจางหายไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเสียเลือดร่างกายจะยิ่งหนาวเย็นลง แต่แม่ทัพเชมัลยังคงรั้งรอจนกระทั่งเสียงกรีดร้องหยุดลง และทิ้งน้ำหนักตัวลงซุกหน้ากับอกกว้าง
คนตัวใหญ่ช้อนอุ้มอีกฝ่ายขึ้นมาจากชายหาด พบองครักษ์แซนยืนรออยู่ที่แนวต้นไม้
“ข้าได้ยินเสียงร้อง จึงเร่งมาตามเสียง”
“ได้เวลาเดือนหนึ่งแล้วหรือ” แม่ทัพเชมัลกล่าวตำหนิ “ต่อไปนึกอยากทำเช่นไร ก็ทำไปเถิด”
ผู้เป็นเจ้านายไม่ได้โกรธ ทั้งเข้าใจความเป็นห่วงขององครักษ์ลำดับที่ 3 แต่การทำเช่นนี้จะเป็นอันตรายกับองครักษ์แซนเอง หากอาเม่ยหันไปแสดงพลังเข้าใส่
องครักษ์แซนก้มหน้าเดินตามกลับมา “ข้าเพียงเตรียมข้าวกับอาหารแห้ง และเสื้อผ้ามาให้พวกท่านผลัดเปลี่ยน”
คนที่เดินนำหันมามองหน้า “และเจ้าก็กำลังตั้งใจว่า เจ้าจะกลับไปเตรียมยามาให้อีก”
องครักษ์แซนนิ่งเงียบ ยอมรับว่า สิ่งที่แม่ทัพพูดคือความตั้งใจอย่างแท้จริง
เมื่อกลับมาถึงที่พักจึงพบว่า องครักษ์ผู้เชี่ยวชาญทะเลเตรียมมามากกว่าที่กล่าวไว้
“หนทางจากแผ่นดินใหญ่มาถึงที่นี่ยาวไกล ต่อให้เจ้าเชี่ยวชาญทะเล ก็ยังนับว่าเป็นเรื่องเสี่ยงอันตราย”
แม่ทัพเชมัลอุ้มอาเม่ยเข้าไปนอนในห้องพักทำแผลที่มือให้แล้วจึงกลับออกมา จากนั้นองครักษ์แซนเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองหลวง ทั้งออกปากไม่เข้าใจการกระทำของพระราชา
แม่ทัพเชมัลฟังจนจบเรื่องจึงเอ่ยปาก “เก้าอยู่ที่เรือนจำผู้ใช้เวทย์ปลอดภัยมากกว่าในเขตวัง ต้าซันเองก็จะปลอดภัยไม่ถูกนำตัวไปเป็นเครื่องต่อรองใดๆ”
องครักษ์แซนนิ่งคิดชั่วครู่แล้วจึงเข้าใจ
.....มีแต่ที่นั่น จึงไม่มีใครสามารถใช้เวทย์ทำร้ายทั้ง 2 คนได้
“แล้วท่านพี่นาซิมเป็นอย่างไรบ้าง”
แซนเล่าว่า แม่ทัพนาซิมยังคงรั้งอยู่ที่เมืองชายแดน เพราะแม้ว่าผู้ใช้เวทย์ดำคนสำคัญจะถูกแม่ทัพเชมัลกำจัดไปแล้ว แต่ก็ยังไม่อาจวางใจ
“ทุกคนต่างเล่าลือกันว่า ท่านอยู่ที่นั่นเพียงไม่กี่วัน ก็กำจัดผู้ใช้เวทย์ดำอันดับ 1 ของเมืองเหนือได้ แม่ทัพนาซิมรั้งเมืองอยู่ที่นั่นมาตลอด กลับไม่ทำอะไร”
“ข้าทำเช่นนั้น เพราะถูกกดดัน ไม่ได้ต้องการข่มอำนาจของแม่ทัพนาซิม”
“แต่ทุกคนล้วนพูดกันว่า หากท่านคิดจะจัดการกับพวกเมืองเหนือ ท่านจะลงมือเมื่อไหร่ก็ได้”
แม่ทัพเชมัล มองไปในที่ห่างไกล “ไม่คิดว่านั่นเป็นหลุมพรางเพื่อแยกข้ามาอยู่บนเกาะที่ห่างไกลที่สุดจากเมืองเหนือหรือ”
องครักษ์แซนคิดตาม “ข้าไม่คิดว่าพวกมันยอมเสียผู้ใช้เวทย์คนสำคัญเพื่อแยกท่านออกไปไกล”
“เสี่ยวเม่ยถูกเวทย์ดำจึงสังหารตงและโป จะอย่างไร ข้าก็ต้องพาเขาไปรักษาในที่ที่ห่างไกลจากผู้อื่นให้มากที่สุด ขณะที่ข้าเองเมื่อพบเจอเฮยอั้นก็กลับปล่อยให้ความโกรธแค้นบังตา....” แม่ทัพเชมัลกล่าวไม่จบความ กลับหันไปหาองครักษ์แซน “เจ้าเอง ยิ่งเป็นกังวลมาคอยดูแลข้ากับเสี่ยวเม่ย ยิ่งทำให้แม่ทัพนาซิมอ่อนแอลง การเคลื่อนไหวของคน 1 คน มีผลต่อทั้งหมด ข้าจึงออกคำสั่งให้เจ้ามาที่นี่ในอีก 1 เดือนข้างหน้า เพราะไม่อยากให้เมืองหน้าด่านอ่อนกำลังลง”
“แล้ว...เรื่องยาให้เม่ย”
แม่ทัพเชมัลยิ้มมุมปาก องครักษ์แซนผู้มีจิตใจดี ยังคงคิดที่จะกลับมาที่นี่อีกในไม่กี่วันข้างหน้าจริง “ที่นี่มีสมุนไพรเพียงพอ ข้าเพียงคัดเลือดดำออกไป แล้วเสี่ยวเม่ยก็นับว่าดีขึ้นมากแล้ว”
องครักษ์แซนมองหน้าแม่ทัพอย่างลังเล “จากวันแรกที่ข้ามาส่งท่านที่นี่ก็อีก 2 สัปดาห์เท่านั้น”
“1 เดือน” แม่ทัพบอก “และหากเจ้ามาก่อนเวลาอีก ข้าก็จะนับเวลาอยู่ที่นี่ต่อไปอีก 1 เดือนเช่นกัน”
คำกล่าวย้ำของแม่ทัพ ทำให้องครักษ์หนักใจ “ท่านแม่ทัพ”
“ขอบใจที่เป็นกังวล พวกเราทุกคนต่างก็มีหน้าที่ ที่จะต้องรับผิดชอบ"
สุดท้ายองครักษ์จึงรับคำสั่ง แต่ไม่วายหันมามองอีกครั้ง จนผู้เป็นนายต้องกล่าวเตือน
“1 เดือนนะแซน”
สภาพอากาศในแต่ละวันที่เกาะห่างไกล ยังคงไม่อาจคาดเดาได้อยู่เช่นเดิม วันนี้แม่ทัพเชมัลเดินตามอาเม่ยเข้าไปในเขตป่าโปร่งตอนกลางของเกาะ จู่ๆ ก็มีฝนตกลงมา
คนตัวเล็กหยุดเดิน ค่อยกางแขน 2 ข้างออกช้าๆ อีกคนก็เตรียมพร้อม ไม่ว่าจะใช้เวทย์อันใดออกมา ขอเพียงไม่ใช่การทำร้ายตนเองเท่านั้น!
แต่ครานี้อาเม่ยหันมาซัดลูกไฟใส่แม่ทัพเชมัล! แต่แม่ทัพเชมัลก็สลายลูกไฟที่เข้ามาปะทะได้ทันที
หลังจากลูกไฟก็เปลี่ยนเป็นการบังคับดินโคลนที่เกิดจากการฝนตกก่อนหน้า
แม่ทัพเชมัลขมวดคิ้ว รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ เพราะหลังการซัดใส่เพียงครั้งเดียว อาเม่ยก็ชะงักมือค้างอยู่กลางอากาศ สีหน้าท่าทางดั่งมีการต่อสู้กันอยู่ภายใน
ทางหนึ่งต้องการโจมตี อีกทางหนึ่งไม่ต้องการโจมตี
อาเม่ยส่งเสียงกรีดร้องแหลมเล็กด้วยความอึดอัดทรมาน
แม่ทัพเชมัลซัดลูกไฟลงใกล้เท้าของอาเม่ย แล้วหันหลังกลับวิ่งนำไปทางชายหาด อาเม่ยก็วิ่งตาม ทั้งซัดลูกไฟโจมตีอย่างต่อเนื่อง
แต่เมื่อแม่ทัพสลายไฟเป็นน้ำบ้าง เป็นละอองควันบ้าง อาเม่ยก็ยิ่งโกรธ ลูกไฟที่ซัดตามหลังมายิ่งรุนแรงมากขึ้น จนกระทั่งตามมาถึงชายหาด และวิ่งตามลงมาถึงเข่าก็หยุดยืนแล้วเปลี่ยนเป็นการบังคับน้ำ ให้หมุนวนรอบตัว แล้วระเบิดออกทุกทิศทาง
กลับเป็นพลังน้ำที่ไม่ได้ทำร้ายผู้ใด
หลังการปล่อยพลังครั้งนี้ อาเม่ยยังทรุดตัวลงคุกเข่า แม่ทัพเชมัลตามเข้ามากรีดเลือดจากฝ่ามือที่ไร้เรี่ยวแรงขัดขืน
อาเม่ยกระตุกตัวแรง เงาสีดำพวยพุ่งออกมาจากดวงตา ยังไม่ทันก่อตัวเป็นรูปงูตัวใหญ่ได้เสร็จสิ้นก็ถูกแม่ทัพเชมัลซัดพลังจนสลายไปก่อน
แม่ทัพเชมัลอุ้มคนตัวเล็กขึ้นมานอนอยู่บนชายหาด แล้วเค้นเลือดสีดำให้หยดลงสู่ผืนทราย
เมื่อหันไปมองดวงตาสีดำสนิทที่มองกลับมา ค่อยกลับกลายเป็นสีแปลกตาอย่างช้าๆ
อาเม่ยกะพริบตามอง
“เสี่ยวเม่ย เป็นอย่างไรบ้าง”
“เหนื่อย.....” น้ำเสียงแหบแห้ง เหนื่อยล้า “แล้วก็หนาว.....”
“อีกนิดเดียว เสี่ยวเม่ย เจ้าหลับไปก็ได้ ข้าจะพากลับบ้านเอง”
อาเม่ยพยักหน้า แล้วหลับตาลงตามที่อีกคนบอก
จากผิวกายสีดำ กลับกลายเป็นสีขาว
หยดเลือดที่ไหลรินยังมีสีเข้ม แต่อาเม่ยอ่อนเพลียเกินกว่าที่จะถ่ายเลือดได้อีก แม้อยากเร่งรักษาให้หายดี แต่ใบหน้าขาวซีดลมหายใจอ่อนแรง จนต้องตัดใจใช้ผ้าพันไว้ ช้อนอุ้มใต้สะโพกให้ซุกหน้าลงกับไหล่กว้าง
“กลับบ้านกันนะ”
คนที่ซุกหน้ายังมีแรงพอที่จะพยักหน้า ครู่หนึ่งลมหายใจก็กลับมาเป็นปกติ
ฝนหยุดตกแล้ว อากาศยิ่งสดชื่นกว่าเคย มีความสุขกว่าเคย และมีกำลังใจมากกว่าเคย เมื่ออาเม่ยมีอาการดีขึ้น
อาเม่ยลืมตาขึ้นอีกครั้งเมื่อแม่ทัพกำลังทายาให้
“เจ็บหรือเสี่ยวเม่ย ยังหนาวอยู่หรือไม่”
อีกคนพยักหน้าเป็นคำตอบ
ผ้าห่มทุกผืนที่มีอยู่ในบ้านถูกนำมาห่มให้อีกคน
“อุ่นขึ้นไหม”
อาเม่ยพยักหน้าอีกครั้งแล้วหลับต่อไป
บ่ายจัดประตูบ้านเปิดออก คนที่เดินออกมาหาคนที่กำลังผ่าฟืนอยู่ที่ลานบ้าน มีท่าทีงุนงง
“ดีขึ้นแล้วหรือ”
แม้จะพยักหน้าตอบรับ แต่ดวงตาที่มองไปรอบตัวยังมีแต่คำถาม
“เจ้าไม่ค่อยสบาย ไปนั่งพักอยู่ในที่ร่มเถิด” แม่ทัพเชมัลวางขวาน แล้วจับข้อมือเล็กให้เดินตามมา
อาเม่ยหยุดยืน รั้งมองมือใหญ่ที่จับอยู่
“ข้าคือเชมัล จำข้าได้หรือไม่”
อาเม่ยส่ายหน้าช้าๆ แต่อีกคนยิ้มให้กำลังใจ
“จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไร พวกเรายังมีเวลาพูดคุยกันอีกนาน”
อีกคนเอียงใบหน้าเล็กๆ มองคนที่กำลังพูดแล้วก็พยักหน้าอย่างว่าง่าย แต่ยังไม่มีคำพูดใด มีเพียงดวงตาสีแปลกคู่นั้นที่มองไปรอบๆ แล้วกลับมาหยุดอยู่ที่อีกคน
“อยากดื่มน้ำหรือไม่”
แม่ทัพเชมัลพยายามชวนคุย แต่อาเม่ยพยักหน้าเดินตามอีกคนกลับเข้าไปนั่งที่เก้าอี้ไม้หน้าบ้านพัก มองตามมือใหญ่ที่รินน้ำให้ดื่ม แล้วช่วยเช็ดที่มุมปากให้
คิ้วสวยขมวดแน่น อีกคนจึงถามคำถาม
“สงสัยอันใด”
พออาเม่ยส่ายหน้า อีกคนก็ชวนคุย “หากสงสัยก็พูดคุยกัน เจ้าปล่อยให้ข้าคุยอยู่คนเดียวมาหลายวันแล้ว จนข้าไม่รู้จะหาเรื่องอันใดมาคุยกับเจ้าอีก”
“ไม่รู้....” อาเม่ยกล่าวอย่างไม่เข้าใจ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างว่างเปล่า จนไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นจากที่ใด
“ข้า...กอดเจ้าได้ไหม”
อาเม่ยยังคงพยักหน้า แม่ทัพเชมัลโอบกอดอย่างแผ่วเบาดั่งประคองแก้วบาง แล้วค่อยเพิ่มแรง
เมื่อแขนผอมบางยกขึ้นกอดตอบอย่างลังเล น้ำตาก็ไหลซึมผ่านดวงตาสีเข้ม
“เสี่ยวเม่ยของข้า ในที่สุดเจ้าก็กลับมาหาข้าแล้ว”
อาเม่ยเงยหน้าขึ้นมอง ยิ่งเช็ดน้ำตาให้ อีกคนก็ยิ่งร้องไห้
“ท่านร้องไห้...”
แม่ทัพเชมัลจูบปลายนิ้วที่ช่วยเช็ดน้ำตาให้ แล้วกระชับอ้อมกอดผู้เป็นที่รักยิ่งไว้แน่น
...อ้อมกอดแบบนี้...
...ไม่มีสถานที่ใดหลงเหลืออยู่ในความทรงจำ เว้นแต่อ้อมกอดนี้ และน้ำเสียงที่ช่างคุ้นเคย...
เมื่ออยู่ข้างกันฟังคำบอกเล่า ที่ไหลเรื่อยเหมือนสายน้ำ ล้วนเป็นเรื่องราวที่ฟังดูคุ้นเคย
อาจเพราะทุกสิ่ง เริ่มต้นจากความเชื่อที่ว่า คนผู้นี้กล่าวความจริง
ความทรงจำที่คล้ายภาพวาดที่ถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ถูกเก็บขึ้นมาจัดเรียงใหม่อีกครั้ง
ดวงตาสีแปลกมองผลไม้ลูกเล็กที่มือใหญ่ส่งให้
“พืชและสัตว์บนเกาะนี้มากกว่าครึ่งเป็นพวกเราปลูกขึ้น ที่นี่จึงมีผลไม้ที่เจ้าชอบอยู่ด้วย”
“แบร์รี่”
“ใช่” มือใหญ่ป้อนถึงปาก “ข้าป้อนนะ”
แบร์รี่ลูกเล็กสัมผัสริมฝีปากแต่กลับทำให้ใบหน้าแดงเรื่อ ทั้งยิ่งแดงกว่าเดิมเมื่อดวงตาสีแปลกสบตาสีเข้ม แล้วหลบวูบ
“ชอบไหม”
คนหน้าแดงส่งเสียงในลำคอ อยากปัดนิ้วมือใหญ่ที่สัมผัสแก้ม
“ยังต้องการนอนพักหรือไม่” เมื่ออีกคนส่ายหน้า ก็ชวนไปเดินเล่น
ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง การเดินเล่นด้วยกันเป็นหัวข้อที่เกิดขึ้นเสมอ เมื่อคนที่ทำหน้าที่เล่าเรื่องนึกไม่ออกว่าจะเล่าเรื่องอันใดให้อีกฝ่ายฟัง
เพราะเมื่อเดินเล่น หัวข้อของเรื่องเล่าก็จะเปลี่ยนไปที่เรื่องของต้นไม้ พืช และสัตว์ที่มีอยู่บนเกาะแห่งนี้แทน ส่วนใหญ่แล้วอาเม่ยจะมีรอยยิ้มจางๆ ทำหน้าที่รับฟัง จนกระทั่งมาถึงพุ่มไม้เตี้ย คนตัวโตก็ชี้บอก
“พุ่มแบร์รี่ ไว้หากเจ้าอยากกินก็เดินมาที่นี่ได้”
มือขาวซีดที่มีผ้าพันแผลเด็ดลูกแบร์รี่มามอง ในความทรงจำที่ว่างเปล่ากลับมีบางสิ่งบางอย่างปรากฏขึ้นเองโดยที่อีกคนไม่ได้บอกให้จำ
“ข้าคิด....ว่า ข้าไม่ได้ชอบแบร์รี่มากนัก แต่.....” เมื่อมองดูแบร์รี่ในมือ ดวงตาสีแปลกมีแต่ความไม่แน่ใจ แต่เมื่อหันมาสบตาคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ที่รอคอยคำตอบ กลับส่งประกายแปลกตา
“แต่เพราะข้ากำลังหลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถาม....แล้วก็อยากให้.....สนใจข้าบ้าง ไม่อยากเป็นน้องชาย สุดท้าย...ข้าก็กลับชอบมันจริงๆ”
เมื่ออาเม่ยจะก้มหน้าลงอีกครั้ง แม่ทัพเชมัลก็ช้อนคางให้เงยหน้าขึ้นมองสบตา
แม้คำบอกเล่าจะสะดุด ไม่ต่อเนื่องกัน แต่ก็ไม่ยากที่จะคาดเดา
“เจ้าไม่ใช่น้องชาย แต่ตอนนั้นพวกเราเพิ่งได้พบเจอกัน.....อีกครั้ง....ข้าเกรงว่าเจ้ามองข้าเป็นคนไม่ดี หากแสดงความพึงพอใจออกไปตามที่ใจคิด ทั้งที่ข้ารักเจ้ายิ่งนัก”
จากที่เป็นฝ่ายฟังเพียงฝ่ายเดียวมาครึ่งวัน อาเม่ยเริ่มจากการกล่าวสิ่งที่อยู่ในความคิดเวลานี้
“ในความว่างเปล่า ข้าได้ยินคำนี้นับครั้งไม่ถ้วน คำที่ช่วยรั้งข้าไว้ไม่ให้หลับใหล”
“ข้ารักเจ้า”
ในความว่างเปล่าที่กินพื้นที่กว้างมากมายในความทรงจำ คำบอกรักนี้กลับชัดเจนกว่าสิ่งใด
ฝนเม็ดใหญ่โปรยปราย ต้นไม้ใหญ่ไหวเอนจวนเจียนจะล้มทับบ้านหลังน้อยได้ตลอดเวลา แต่ผู้ที่อยู่ในบ้านหาได้สนใจไม่
คำบอกรักมากมาย จูบมากมาย สัมผัสมากมายด้วยความรักที่ไม่อาจรั้งรอ ผสานเสียงหอบหายใจ และหยาดเหงื่อ
เล็บบางกรีดแผ่นหลังหนายามเมื่อความต้องการมากขึ้น ทั้งเร่งเร้าให้อีกฝ่ายตามใจ แต่อีกฝ่ายเล้าโลมอย่างเนิ่นนาน ด้วยเคยบังคับร่างกายผอมบางนี้ และเกรงว่า การร่วมรักจะซ้ำเติมร่างกายบอบช้ำ จนกระทั่งอาเม่ยพร้อมจึงค่อยสอดแทรกเข้าหา
ร่างกายผอมบางไหวสะท้าน จิกเล็บมือลงกับต้นแขนหนา ดวงตาสีแปลกมีน้ำตารื้น อารมณ์และความต้องการช่วงหนึ่งเชื่องช้าลง แล้วก็ทะยานไปข้างหน้า จากนั้นก็ผ่อนลง และกลับกลายเป็นพายุ
ร่างกายผอมบางซุกตัวอยู่ภายในอ้อมกอดแข็งแรง เงยหน้าขึ้นมองสบตา
“หลับเถิด”
อาเม่ยพยักหน้า แต่กลับกล่าวคำอย่างไม่แน่ใจ “ที่นี่มีเพียงท่านกับข้าใช่หรือไม่”
“ใช่”
“แต่ในใจข้ากลับคิดเปรียบเทียบ”
แขนใหญ่คลายออกเพียงนิดเดียว “เปรียบเทียบอันใด”
อีกคนส่ายหน้า “ไม่รู้เหมือนกันว่าเปรียบเทียบอันใด แต่กลับคิดเปรียบเทียบกับใครสักคน...เปรียบเทียบว่า ท่านดีกับเขามากกว่าข้าหรือไม่....”
อีกคนจูบปิดปากอย่างหวามไหว แล้วผละออก รอยยิ้มอ่อนโยน ดวงตาบอกคำว่ารักชัดเจน
“เจ้าจะเปรียบเทียบกับใครที่เจ้ายังไม่รู้ว่าเขาเป็นใครไปเพื่ออันใด”
อาเม่ยยิ้มหวาน แล้วจูบที่ปลายคาง อีกคนพลิกตัวคร่อมไว้ “เจ้ารำคาญคำบอกรักของข้าหรือไม่”
อีกคนทำตาโตแก้มแดงเรื่อ “ผู้ใดกันจึงจะรำคาญคำนั้น”
ริมฝีปากหนากดจูบ “ข้ารักเจ้า รักที่จะกล่าวคำรัก และรักเวลาที่เจ้าเขินอายเมื่อข้าบอกรัก”
น้ำตาหยาดรื้นดวงตาสีแปลก “ข้าก็คง.....รัก....เมื่อท่านกล่าวคำว่ารัก...ไม่รู้...ข้าไม่รู้จะเปรียบเทียบสิ่งใด รู้แต่เพียงขอเพียงมีท่านเท่านั้น ”
จูบที่อ่อนหวานครั้งแล้วครั้งเล่า สัมผัสที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความต้องการ ร่างกายเปลือยเปล่ากอดรัดแนบแน่น
“ข้ารักเจ้าเสี่ยวเม่ย”
*-*จบตอนที่ 21*-*
ภาพจาก prince.org /// Jekyll Island, Georgia