ตอนที่ 22อาเม่ยไม่แสดงอาการของเวทย์ดำอีกเลยนับจากวันที่ซัดลูกไฟใส่แม่ทัพเชมัลในครั้งนั้น
ทั้งเครื่องหมายภายนอก ไม่ว่าจะดวงตา เส้นผม ผิวกาย ก็กลับมาเป็นดังเดิม และไม่มีท่าทีเตรียมพร้อมที่จะแสดงพลังใดๆ อีก
เว้นแต่เมื่อมีท่าทีนิ่งเฉย อีกคนก็จะตั้งคำถาม และชวนคุย เพราะเป็นที่ชัดเจนว่า การที่อาเม่ยมีอาการดีขึ้นก็เพราะการที่อีกฝ่ายไม่ท้อถอยที่จะชวนคุย
แรกนั้นอาเม่ยเพียงแต่รับฟัง จากนั้นก็เริ่มตั้งคำถาม
บทสนทนาส่วนใหญ่จึงเป็นเพียงการถาม-ตอบในเรื่องต่างๆ
ดวงตาสีแปลกมองคนที่กำลังทำแผลที่มือทั้ง 2 ข้าง “เลือดของข้าเคยเป็นสีดำหรือ”
“เวทย์ดำของเฮยอั้นควบคุมร่างกายของเจ้า ดวงตาของเจ้า สีผม และสีผิวของเจ้าล้วนเป็นสีดำเช่นเดียวกับเฮยอั้น”
...เชมัลเอ่ยชื่อของผู้คนมากมาย ที่ล้วนเป็นความว่างเปล่า แล้วเฮยอั้นที่กล่าวถึงครานี้คือใคร....
อาเม่ยมองสีผิวของตนเองเปรียบเทียบกับอีกคน
“ดำอย่างไร”
“ดำสนิท เหมือนสีของกลางคืน”
อาเม่ยคิดตาม “ข้าต้องน่ากลัวแน่”
“ไม่หรอก” แม่ทัพบอกแล้วเปลี่ยนไปทำแผลที่มืออีกข้าง “ภาพลักษณ์ภายนอกไม่ได้ทำให้เจ้าดูน่ากลัว แต่การที่เจ้าอ่อนเพลียลงอย่างรวดเร็ว แล้วกลายเป็นหลับแทบจะตลอดเวลา ทำให้ข้ากลัว”
“หลับตลอดเวลามีอันใดให้ต้องกลัว”
“ข้ากลัวที่เจ้าจะไม่ตื่นขึ้นมาอีก"
คำกล่าวนี้ทำให้ดวงตาสีแปลกรู้สึกปวดร้าว จนหยาดน้ำตาไหลริน
ริมฝีปากสวยก้มลงจูบแก้มเปียกน้ำตา “เจ็บแผลหรือ”
คนที่ร้องไห้ส่ายหน้า บอกความรู้สึกที่แท้จริง “จู่ๆ ก็รู้สึกปวดร้าวที่รอบดวงตา มันร้อน แล้วน้ำตาก็ไหลออกมาเอง”
เมื่อทำแผลที่มือทั้ง 2 ข้างเสร็จ คนตัวโตก็ดึงให้อีกคนนั่งพิงอกกว้างไว้
“ไม่มีเรื่องอันใดให้ต้องกังวล”
“ท่านก็มีความกังวล แล้วเหตุใดจึงห้ามข้ากังวล”
“เพราะความกังวล ความรักและความกลัวของข้าล้วนวนเวียนอยู่กับเจ้าทั้งสิ้น ยิ่งเจ้ากังวลข้าก็ยิ่งกังวลกว่าเดิม”
“เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น”
“เพราะข้ารักเจ้า”
“แล้ว...” คนถามก้มหน้าซ่อนแก้มแดงเรื่อ “ท่านเป็นแม่ทัพจริงหรือ”
“จริง ข้าฝึกทหารตั้งแต่จำความได้ เพราะพี่ชายของข้าคนหนึ่งเป็นพระราชา อีกคนเป็นลูกอา เขาเป็นเจ้าเมืองหน้าด่าน ข้าเลยต้องอยู่ทั้งเมืองหลวงและเมืองหน้าด่าน หลายคราที่ต้องออกไปอยู่นอกด่านตามลำพัง”
เรื่องราวนี้ทำให้อาเม่ยแตะที่หน้าผากตนเอง คนอีกก้มลงถาม
“เป็นอย่างไร ปวดหัวหรือ”
อาเม่ยส่ายหน้า แตะที่หน้าผากตนเอง บอกความจริง “มีภาพบางอย่างในนี้ ข้าเห็นท่านเดินนำอยู่ข้างหน้า กับคนอีกหลายคน” ดวงตาสีแปลกมองเสื้อที่อีกคนสวมอยู่ “ท่านไม่ได้แต่งตัวเช่นนี้ แล้ว...มีบ้านเรือน”
“ข้าแต่งตัวอย่างไร”
“ท่าน...สวมชุดทหาร”
นั่นย่อมเป็นวันแรกที่พาอาเม่ยไปเข้าเฝ้าพระราชา
“พวกเราไปหลายคนหรือ”
“หลายคน ท่านอยู่ตรงกลาง แต่...ไปที่ใดกัน ไม่มีภาพต่อไปแล้ว”
...เช่นนั้นก็ควรเล่าเรื่องราวในวันแรกที่พาอาเม่ยไปเข้าเฝ้าพระราชาฟารัค และความสดใสร่าเริงของอาเม่ยที่ทำให้พระราชาประทับใจ...
“ท่านควรอยู่ในกองทัพ แต่เพราะท่านกังวลเรื่องของข้า ท่านจึงละทิ้งทุกสิ่ง เพื่อมา...ดูแลข้า” คนในอ้อมกอดหันมามอง “ข้ามีอาการดีขึ้นมากแล้ว ท่านกลับไปที่กองทัพเถิด” หยุดคิดครู่หนึ่งแล้วก็โอบกอดไว้แน่น “พาข้าไปด้วย”
“ข้าย่อมต้องพาเจ้าไปด้วย” มือใหญ่ลูบเส้นผมสีเงินยาว “จะไม่ยอมให้เจ้าห่างจากข้าอีกแล้ว”
อาเม่ยดูลังเล “ข้าเคยอยู่ในเมืองใช่ไหม”
“เจ้าอยู่ในหมู่บ้านทางเหนือของเมืองวัน แล้วมาอยู่ในกองทัพเป็นองครักษ์ของข้า”
อาเม่ยทำหน้าตาพิกล “เช่นนั้นข้าสมควรดูแลท่าน มิใช่ท่านดูแลข้า”
“พวกเรา...สมควรดูแลกันและกัน”
ริมฝีปากหนาจูบที่แก้มอีกครั้ง จนอีกคนเขินอายจนต้องเปลี่ยนคำถาม
“ก่อนนี้ข้าเป็นอย่างไร ท่านกอดข้าตลอดเวลาเช่นนี้หรือไม่”
“เจ้าเป็นคนช่างถาม มีเรื่องสนใจอยากรู้ตลอดเวลา” ดวงตาที่มองมาหวานจนอีกคนไม่กล้าสบตา “อยู่ที่ค่ายทหารข้าย่อมกอดเจ้าเช่นนี้ไม่ได้ แต่ที่นี่...ไม่เหมือนกัน...”
ก่อนนี้อาเม่ยเหมือนเด็กซุกซนช่างซักถามเป็นคนรักที่เหมือนน้องชายและเพื่อน
แต่ในเวลานี้อ่อนหวานเป็นคนรักที่เป็นคนรักอย่างแท้จริง
“ข้ารักเจ้า”
ยิ่งท่าทีเขินอายเมื่อได้ยินคำรัก ยิ่งทำให้อยากบอกรักสักพันครั้ง...
“ทำแผลเสร็จแล้ว ท่านบอกว่าจะไปหาบน้ำมาเตรียมทำอาหาร” คนที่ซุกใบหน้าแดงจัดกับอกกว้าง เปลี่ยนเรื่องพูดคุยอีกครั้ง
“จริงสินะ” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเสียดาย จนอีกคนแตะที่ไหล่เบาๆ
“ข้าไปด้วย”
“มิเป็นไร เจ้ารอที่นี่เถิด” แม่ทัพเชมัลลุกขึ้นยืน
“เช่นนั้นข้าจะเข้าไปปัดกวาดในบ้าน” กล่าวพลางลุกขึ้นตาม
“หาบน้ำเสร็จข้าจะกลับมาทำเอง”
อาเม่ยยิ้มหวาน “เมื่อครู่ท่านบอกว่า พวกเราสมควรดูแลกันและกัน”
“แต่มือของเจ้ายังเจ็บอยู่ ข้ากลับมาทำครู่เดียวก็เสร็จ”
ครู่เดียวที่แม่ทัพเชมัลหาบน้ำกลับมา กลับพบว่าอาเม่ยนั่งหลับพิงราวบันไดอยู่ที่หน้าบ้าน จึงช้อนอุ้มพาเข้ามานอนในห้อง
อาการหลับอย่างง่ายดายเช่นนี้ไม่ได้พบเห็นมาหลายวันแล้ว และเมื่อจู่ๆ กลับมาเกิดขึ้นอีกครั้งก็ทำให้รู้สึกหนักใจ นั่งมองอยู่ข้างที่นอนจนมีเสียงฝีเท้าที่ด้านนอกบ้าน
เสียงฝีเท้าที่ก้าวช้าๆ สม่ำเสมอดั่งเดินเล่นอยู่ในสวนเขตบ้านของตนเองทำให้แม่ทัพเชมัลกระชับผ้าห่มให้คนที่กำลังหลับ แล้วเดินออกมาหาคนที่ยืนรออยู่ด้านนอก
ผู้ที่กำลังยืนอยู่หน้าบ้านเป็นชายวัยประมาณ 40 ปี ท่าทีองอาจ
แท่ทัพเชมัลค้อมศีรษะทำความเคารพ “พระราชาเมืองบาสก์”
พระราชาเมืองบาสก์ยกมือรับการเคารพ
“อยู่ตามลำพังอย่างเสรี แต่ยังคงความเป็นระเบียบ” นิ้วมือที่สวมเครื่องประดับชี้ไปที่สิ่งของต่างๆ ที่ลานบ้าน “ช่างสมกับที่เป็นเจ้า”
“ข้าพระองค์ไม่ได้อยู่ตามลำพัง”
ดวงตาคมมองเลยไปที่ด้านหลังของอีกคน พลางส่งเสียงในลำคอ
“แทบไม่รู้สึกถึงพลังชีวิต ขอให้ข้าดูเขาได้หรือไม่”
ทั้งที่ยังมีท่าทีอ่อนน้อม แต่แม่ทัพเชมัลกลับชักเท้าขวาง “ข้าพระองค์รักษาเขาได้”
พระราชาเมืองบาสก์ยิ้มอย่างไม่ถือสา หันไปกล่าวกับใครอีกคนที่รออยู่ด้านนอก
“ข้าบอกแล้วว่า วิธีนี้ไม่ได้ผล น้องชายท่านหวงคนที่อยู่ในบ้านสมกับที่ผู้คนกล่าวถึงจริง”
ผู้ที่เดินออกมาครานี้คือพระราชาเมืองวัน
“พระองค์เล่นอันใดกัน” เมื่อเห็นหน้าพระเชษฐา แม่ทัพเชมัลก็หมดความเกรงใจ เพราะรู้ดีว่าพระราชาฟารัคแห่งเมืองวันมีนิสัยชอบเข้าไปจัดการเรื่องราวต่างๆ ของผู้คนรอบตัว
“เจ้าหยุดพักนานเกินไปแล้ว ข้าให้องครักษ์แซนมาตาม เจ้าก็ไล่กลับ แล้วพูดจาข่มขู่อะไรกันไว้องครักษ์แซนก็ไม่ยอมเอ่ยปากสักคำ ดื้อดึงพอกันทั้งแม่ทัพ ทั้งองครักษ์ สุดท้ายข้าต้องไปขอร้องให้พระราชาเมืองบาสก์มาช่วย”
คำกล่าวยืดยาวนี้ทำให้ผู้ที่ละทิ้งการงานมานานเป็นกังวล
“เมืองเหนือรุกคืบหรือ”
หากมิใช่เรื่องนี้พระราชาฟารัคคงไม่ร้อนพระทัยเช่นนี้
“แม้ข้าจะวางใจนาซิม และผู้คนที่มีอยู่ แต่เมื่อมีศึกใหญ่ แล้วน้องชายของข้ากลับยังเฝ้าคนรักอยู่เช่นนี้ มันเหมาะสมหรือไม่”
แม่ทัพเชมัล กล่าวตามความจริง “เสี่ยวเม่ยดีขึ้นมากแล้ว แต่ความทรงจำยังกลับมาเพียงเล็กน้อย ต้องใช้การพูดคุยเพื่อให้ฟื้นความทรงจำ”
พระราชาฟารัคถามย้ำ “เฮยอั้นซ่อนความทรงจำทั้งหมดของเม่ยเช่นนั้นหรือ”
แม่ทัพเชมัลตอบอย่างระมัดระวัง “เวทย์ดำครอบงำทั้งร่างกาย และจิตใจของเสี่ยวเม่ย ความทรงจำถูกซ่อนไว้ เมื่อพูดคุยทบทวน ก็ค่อยจดจำเรื่องราวบางอย่างได้”
“เจ้าจึงเป็นกังวล และไม่อยากพา...” พระราชาเมืองบาสก์ไม่แน่พระทัยว่าควรเรียกอาเม่ย ว่า เสี่ยวเม่ยอย่างแม่ทัพเชมัล หรือ เรียกเม่ยอย่างพระราชาฟารัค “...คนรักของเจ้ากลับไปในเวลานี้”
“เช่นนั้น พระองค์” แม่ทัพเชมัลยอมรับ
มีเสียงการเคลื่อนไหวจากภายในบ้าน กลุ่มผู้ที่กำลังสนทนาอยู่จึงหันไปมอง แม่ทัพเชมัลเดินไปหาคนที่เปิดประตูบ้านแล้วก้าวออกมา
“เจ้าเพิ่งหลับไปได้ครู่เดียว”
อาเม่ยพยักหน้า ดวงตาสีแปลกมองพระราชาฟารัค แล้วมาหยุดนิ่งที่พระราชาเมืองบาสก์
แม่ทัพเชมัลจับตามองตามตลอดเวลา เพื่อดูว่าอาเม่ยจำใครได้บ้าง แต่เมื่ออาเม่ยหันกลับมามองพระราชาฟารัคก็กล่าวขึ้น
“ข้ารู้จักท่าน”
“นั่นคือพี่ชายของข้า พระองค์เมตตาเจ้ามาก และเจ้าก็มักจะบอกว่า พระองค์ชอบแกล้งเจ้า”
ดวงตาสีแปลกของอาเม่ยมีประกายของความยินดีเมื่อจำได้ “พระราชา”
“ข้าเล่าเรื่องของข้ามากมาย เจ้ายังจำข้าไม่ได้ แต่พอพระองค์เสด็จมา เจ้าก็บอกว่าจำได้เช่นนั้นหรือ เชื่อแล้วว่าเจ้าชอบพระราชาจริงๆ”
จู่ๆ แม่ทัพเชมัลก็กลับไปพูดถึงเรื่องราวตั้งแต่แรกพบกัน ด้วยน้ำเสียงที่ทำให้พระราชาเมืองบาสก์ต้องหันไปมองเชิงถามพระราชาฟารัค
พระราชาฟารัคก็หันมามองพระอนุชาที่ส่งสัญญาณทางสายตาให้พูดจาคล้อยตาม
...สรุปว่านี่คือขั้นตอนของการรื้อฟื้นความทรงจำของอาเม่ยเช่นนั้นหรือ
ที่ว่าถูกซ่อนความทรงจำ นี่คือจำใครไม่ได้เลย แม้แต่เชมัลเช่นนั้นหรือ
....ช่างน่าปวดใจยิ่งนัก
แล้วนี่น้องชายของข้ายังกลับดึงดันที่จะรักษาอาเม่ยตามลำพัง ทั้งที่ปวดใจอย่างหนักเช่นนี้
หากปล่อยให้อยู่กันตามลำพังที่นี่ต่อไป ไม่นานคงต้องรักษาเชมัลไปด้วยอีกคน
ผู้เป็นใหญ่แห่งเมืองวัน หันไปสนทนากับพระราชาเมืองบาสก์ “น้องชายขี้อิจฉาของข้าพระองค์มักเป็นเช่นนั้น” คำกล่าวนี้หลีกเลี่ยงการใช้ราชาศัพท์ “ที่จริงแล้วเม่ยชอบข้ามาตั้งนาน แต่เชมัลกลับรวบรัดเก็บเขาไว้ข้างกายตามประสาน้องชายขี้อิจฉา”
อาเม่ยคลี่ยิ้มแล้วพยักหน้า ชี้ไปที่แม่ทัพเชมัล “น้องชายขี้อิจฉา” แล้วก็ชี้ไปที่พระราชา "กับพี่ชายชอบแกล้ง"
“พวกเรามาไม่เสียเที่ยวเปล่าจริงๆ” พระราชาเมืองบาสก์ พอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง
พระราชา 2 พระองค์ของ 2 ดินแดนแย้มพระสรวลให้กันอย่างเบาพระทัย
แม่ทัพแสร้งหันมาบ่นคนที่ยืนอยู่ข้างๆ "เหอะ พอคนที่ชอบมาหาก็จำเขาได้ทันที ข้าอยู่กับเจ้ามาตั้งนาน พูดคนเดียวมาตั้งหลายวัน กว่าที่เจ้าจะจำข้าได้ เจ้านี่มันเหลือเชื่อจริงๆ"
อาเม่ยกอดแขนใหญ่ของแม่ทัพเชมัลไว้แน่น "แต่ข้ารักคนขี้อิจฉานะ"
พอแม่ทัพเชมัลยิ้มกว้างด้วยความเก้อเขิน พระราชาทั้ง 2 พระองค์ก็หันมาล้อเลียน
"บอกตามตรงว่า คนตัวใหญ่ยิ้มยากอย่างเจ้าไม่เข้ากับท่าทีเขินอายเลยสักนิด"
"ผู้ใดว่าข้าเขินอายกัน" ยิ่งเห็นอาเม่ยยิ้มได้ พูดคุยมากขึ้นก็ยิ่งรู้สึกว่าหัวใจพองโต "ข้ากำลังมีความสุขมากต่างหาก"
"ไม่ได้อิจฉาหรือ"
"อ่า......." คนตัวโตลืมไปว่า เมื่อครู่กำลังแสร้งอิจฉา "ก็อิจฉาอยู่นะ แต่เห็นเจ้ายิ้มได้ หัวเราะได้แบบนี้ พักความอิจฉาไว้ก่อนก็ได้"
"ท่านต่างหากที่เหลือเชื่อเลยจริงๆ" อาเม่ยกล่าวคำต่อว่าทั้งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
แม่ทัพเชมัลกอดอาเม่ยไว้แน่น หันไปค้อมศีรษะขอบพระทัยพระราชา 2 พระองค์ ที่เสด็จมาพร้อมกัน กลายเป็นทางลัดในการรักษาอาเม่ย
พระราชาฟารัคนั้นเป็นผู้ที่มีพลังของผู้ปกครองเหนือกว่าพระราชาทุกพระองค์เท่าที่เคยมีมา และหากจะเปรียบเทียบกับพระราชาของเมืองเหนือ กับเมืองบาสก์ก็ยังนับได้ว่า เหนือกว่าอยู่หลายส่วนเช่นกัน
ส่วนพระราชาเมืองบาสก์ก็เป็นผู้ที่มีพลังด้านการสกัดสิ่งชั่วร้าย การที่พระราชาฟารัคให้พระราชาเมืองบาสก์เสด็จเข้ามาพบกับอาเม่ยก่อน ก็เพื่อให้สลายเวทย์ดำของอาเม่ย
แต่การทำเช่นนี้ต้องสูญเสียพลังไปมาก เชื่อว่า พระราชาฟารัคต้องจัดการแลกเปลี่ยนบางสิ่งบางอย่างที่ทำให้พระราชาเมืองบาสก์ต้องเสด็จมาด้วยพระองค์เอง
ลำพังพระราชาฟารัคจะเสด็จมาเอง ยังเป็นเรื่องที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ยิ่งพระราชาเมืองบาสก์จะเสด็จมาด้วยยิ่งเป็นสิ่งที่
แม่ทัพเชมัลไม่เคยคาดคิดเช่นกัน
แต่เหล่านี้ล้วนย้ำว่า สถานการณ์ในเมืองตึงเครียดเพียงใด
แม่ทัพเชมัลจูบหน้าผากสวย แล้วแนบคางที่เส้นผมสีเงิน
....ไม่ว่ากาลเวลาข้างหน้าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น ข้าจะไม่ยอมให้มีใครทำร้ายเจ้าอีก...
...จบตอนที่ 22…
ภาพจาก
http://webneel.com