ตอนที่ 25 ในสายตาขององครักษ์ฮูดาผู้มีอาวุโสอันดับ 4 คนตัวเล็กที่ถูกแม่ทัพเชมัลโอบกอดอยู่ในเวลานี้ไม่ได้อ่อนแอเลยสักนิด!
ต่อให้พยายามคิดแบบมองแต่ในแง่มุมที่ดีสักเท่าใด พยายามเปลี่ยนมุมมองไปอยู่ในตำแหน่งเดียวกับแม่ทัพเชมัล หรือ คนดีอย่างองครักษ์พี่ใหญ่รอม ก็ยังไม่เคยคิดว่าอาเม่ยจะเป็นคนอ่อนแอ
ในทางตรงข้าม อาเม่ยผู้นี้ทั้งแข็งแกร่งทั้งซับซ้อน เปรียบเสมือนภาพวาดงดงามที่วาดทับภาพแห่งความจริง ที่ไม่เคยมีใครจะค้นหาความจริง
ด้วยเพราะภาพที่มองเห็นมันช่างงดงามยิ่งนัก
ซึ่งในเรื่องนี้ องครักษ์ฮูดายอมรับว่าตนเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน นั่นคือแม้จะรู้สึกถึงอันตรายที่ซุกซ่อนอยู่ภายใน แต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะชื่นชอบความสวยงามที่อยู่ภายนอก สุดท้ายก็คือก้าวข้ามข้อสงสัยของตนเอง
คนตาคมเคยกล่าวถึงความคิดนี้กับหัวหน้าองครักษ์รอม แต่ก็ถูกพี่ใหญ่ตำหนิอย่างรุนแรง ว่าเต็มไปด้วยความอิจฉาริษยาจนไม่ยอมรับความจริงว่านี่คือคนที่แม่ทัพเชมัลรอคอย
เพราะคำนี้ ทำให้องครักษ์ฮูดาได้แต่กัดริมฝีปากตนเอง
ดังนั้น แม้ที่ผ่านมาจะละเลยข้อสงสัยของตนเอง แต่ก็ยังมีความตั้งใจที่แน่วแน่ ว่าหากอาเม่ยทำให้แม่ทัพเสียใจจะจัดการด้วยตนเอง
การครุ่นคิดขณะที่จับตามองไม่วางตา ทำให้พี่ใหญ่รอมต้องกล่าวเตือนอีกครั้ง
“เจ้าทำเหมือนอาเม่ยจะทำร้ายแม่ทัพ”
องครักษ์ฮูดาไม่ตอบโต้ เพราะสิ่งที่กล่าวไปไม่เคยมีใครเชื่อ ที่ทำได้คือการไม่ยอมละสายตา พี่ใหญ่รอมจึงกล่าวเตือนอีกหลายคำ ว่าอาเม่ยไม่แข็งแกร่งพอที่จะทำร้ายแม่ทัพเชมัล แล้วบอกให้ไปเตรียมการทำงาน
...การทำร้ายกันไม่ได้มีแค่การใช้อาวุธหรือเวทย์ หากแต่ยังมีอีกมากมายหลายวิธี
...หลายครั้ง คนดีเหล่านี้ก็ช่างน่ารำคาญ และสร้างความเสียหายรุนแรงกว่าคนร้าย!
ผ่านไปข้ามวันกองเมืองยังไม่มีความคืบหน้าในการสืบคดีสังหารเสนาบดี ขณะที่แม่ทัพไม่ปล่อยให้อาเม่ยอยู่ห่างกาย
ผู้ทำหน้าที่เฝ้าสังเกตการณ์เช่นองครักษ์ฮูดา จึงคาดเดาว่า มากกว่าความรักอย่างมากมาย แม่ทัพจะล่วงรู้บางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับอาเม่ย
ยามบ่ายคล้อยเมื่อความเครียดของการสืบคดีเริ่มผ่อนคลาย อาเม่ยจึงถามถึงต้าซันผู้เป็นพี่ชายที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำเวทย์อีกครั้ง
“พี่ใหญ่ต้าซันถูกลงโทษเพราะข้าใช่หรือไม่”
แม่ทัพกล่าวตามความเป็นจริง “กฎหมายเรื่องนี้อาจไม่เป็นธรรมนัก แต่ก็เพื่อป้องกันการหนีทหาร และเพื่อให้ทหารที่หลบหนีไปกลับเข้ามามอบตัว”
“ข้ากลับมาข้ามวันแล้ว” อาเม่ยบอก “ท่านควรส่งตัวข้าให้กับกรมเมือง และข้าก็อยากพบพี่ใหญ่ด้วย”
เรื่องการส่งตัวอาเม่ยให้กรมเมือง ตลอดจนการปล่อยตัวต้าซัน เป็นเรื่องที่ควรทำตั้งแต่อาเม่ยเดินทางกลับมา แต่ที่ยังไม่มีการเคลื่อนไหวเรื่องนี้ ก็เพราะทุกคนเห็นว่าอาเม่ยยังมีอาการป่วยอยู่ ทั้งในความเห็นของผู้ที่อยู่ที่นี่ทุกคนต่างก็เห็นว่า สำหรับคนธรรมดาอย่างต้าซันแล้ว การได้ไปอยู่ในเรือนจำเวทย์ น่าจะเป็นการตกรางวัลให้ได้พักผ่อนมากกว่า
มือใหญ่เกลี่ยผมสีแปลกที่หน้าผากสวย ใคร่ครวญเรื่องที่จะพาอาเม่ยไปที่เรือนจำเวทย์
แม่ทัพไม่คิดว่าการที่อาเม่ยพบกับต้าซันแล้วจะเกิดเรื่องร้ายขึ้น หากแต่เป็นกังวลที่องครักษ์เก้า
เพราะคนที่สูญหายไปจากความทรงจำของอาเม่ย 3 คน 2 คนแรกคือผู้ที่อาเม่ยสังหาร ส่วนองครักษ์เก้ายังไม่แน่ชัดว่าเพราะเหตุใดจึงหายไปจากความทรงจำเช่นกัน
เมื่อออกมาหน้าบ้านพัก พบกับองครักษ์รอมกับฮูดาที่กำลังฝึกทหารใหม่อยู่จึงเรียกให้ตามมาด้วยทั้ง 2 คน
เขตเรือนจำเวทย์ที่เป็นเพียงเรือนไม้โปร่ง มีทหารยามที่เฝ้าอยู่ทำความเคารพ คนหนึ่งแยกไปรายงานหัวหน้าเรือนจำ ส่วนอีกคนพาทั้งหมดไปที่ห้องขังด้านใน
ผู้ที่ยินดีอย่างยิ่งในเวลานี้ คือต้าซัน ที่ถึงกับยื่นมือข้างหนึ่งออกมานอกห้องขัง ทั้งร้องตะโกนเรียกน้องชายด้วยความยินดี ทั้งร้องบอกนักโทษคนอื่น ว่าน้องชายไม่ได้หนีทัพอย่างที่ทุกคนกล่าวหา
บ่งบอกอย่างชัดเจนว่า ต้าซันเป็นผู้ที่มีมนุษยสัมพันธ์ดีอย่างยิ่ง!
ดวงตาสีแปลกมองพี่ชายขณะกล่าวคำทักทาย แล้วไปหยุดมองอีกคนที่อยู่ข้างๆ แต่ไม่ได้เอ่ยทักทายก็กลับมาพูดคุยอย่างปกติกับพี่ชาย
แม่ทัพเชมัลและองครักษ์คนอื่นๆ ต่างยืนมองการพูดคุยอยู่ครู่หนึ่ง ราชองครักษ์มีอา กับหัวหน้าเรือนจำแห่งนี้ก็มารายงานเรื่องการคุมขัง รวมถึงการที่วันนี้พระราชาไม่ได้เสด็จมารักษาองครักษ์เก้า ทำให้ทั้ง 2 คนยังไม่ได้ออกมาภายนอกตลอดวันนี้
แม่ทัพเชมัลเพียงพยักหน้ารับฟังรายงาน
ก่อนที่จะก้าวเดินเข้ามาในเขตของเรือนจำผู้ใช้เวทย์ อาเม่ยยังนึกถึงเรื่องขององครักษ์อีกคนที่ถูกคุมขังอยู่กับพี่ใหญ่ต้าซันไม่ออก
แม้ที่ผ่านมาจะมีองครักษ์ซัน คอยเล่าเรื่องมากมายเพื่อหวังรื้อฟื้นความทรงจำ แต่เรื่องของคนผู้นี้ก็ยังคงเป็นดั่งช่องว่างในทุกเรื่องราวเช่นเดิม
กระทั่งเมื่อก้าวเดินเข้ามาภายในเขตของเรือนจำเวทย์ อาเม่ยกลับรู้สึกปวดศีรษะอย่างรุนแรง ทั้งที่ก่อนนี้ อาการส่วนใหญ่ที่ปรากฏคือความว่างเปล่า หากครั้งนี้กลับเป็นอาการปวดศีรษะ
และเมื่อได้พบ.....
เพียงแค่มองผ่าน อาการปวดศีรษะรุนแรงพลันหายไป พร้อมกับช่องว่างทั้งหมดที่ถูกเติมเต็ม!
ทุกสิ่งล้วนปรากฏชัด!
ไม่เพียงเรื่องขององครักษ์เก้าแต่ยังมีเรื่องขององครักษ์ตงและโป และเรื่องราวทั้งมวลที่เกิดขึ้นก่อนเดินทางมาถึงเมืองวัน!
...เรื่องราวที่ทำให้ต้องเดินทางมาเมืองวัน!
อาเม่ยยังไม่เอ่ยปากเรื่องความทรงจำที่กลับคืน แต่หันไปขออนุญาตผู้มีตำแหน่งสูงสุดในที่นี้
“ให้พี่ใหญ่ออกมาคุยกันข้างนอกได้ไหม”
แม้แม่ทัพเชมัลจะมีตำแหน่งสูงสุด แต่อาเม่ยก็ตระหนักดีเช่นกันว่าหากผู้คุมเรือนจำเวทย์ ไม่อนุญาต คนผู้นี้ก็จะไม่ฝ่าฝืนกฎเพื่อที่จะตามใจตนอย่างแน่นอน
แต่หากนำคำถามนี้ไปถามกับหัวหน้าองครักษ์รอม ก็จะได้คำตอบว่า แม่ทัพเชมัลพร้อมที่จะข้ามกฎระเบียบทุกข้อ หากอาเม่ยต้องการ
และแม้เรือนจำเวทย์จะมีผู้คุม แต่ผู้คุมก็ยังต้องหันไปขอความเห็นจากราชองครักษ์มีอาอีกทอดหนึ่ง
เมื่อราชองครักษ์มีอาอนุญาตให้เปิดประตูให้ต้าซันออกมาคุยกันที่ด้านนอกได้ อาเม่ยก็ต้องลอบผ่อนลมหายใจยาว เพื่อคลายความเครียด
พี่ชายผู้ไร้เวทย์ยิ่งมีท่าทียินดีอย่างยิ่งที่ได้พบกับน้องชาย หลังการทำความเคารพแม่ทัพ และแสดงความขอบคุณราชองครักษ์อีกครั้ง ก็หันมาสวมกอดน้องชายไว้แน่น ไม่มีคำกล่าวตำหนิใดๆ ออกจากปาก แม้ข้อกล่าวหาว่าน้องชายหนีทหารจะทำให้ต้องติดอยู่ในเรือนจำ มีแต่ความเป็นห่วงที่น้องชายสูญหายไป
หลงป่าไปในที่แห่งใด
โจรผู้ร้ายมีอยู่ทั่วไป กินอยู่อย่างไร
ลำบากอย่างไร ...
ทุกคำพูดมีแต่ความเป็นห่วงกังวล
“ใบหน้าของเจ้ายังซีดมากอยู่เลย เจ้าป่วยหนักมากนะ ที่นี่ พระราชาเสด็จมาให้การรักษาองครักษ์เก้าทุกวัน แต่วันนี้พระองค์ยังไม่เสด็จ ถ้าเจ้ามาที่นี่ช่วงสายๆ ก็จะได้เข้าเฝ้าพระองค์ด้วย พระองค์จะได้รักษาเจ้าได้”
ความเป็นห่วง ทำให้พี่ชายใหญ่หลงลืมไปว่าเมื่อกลับมาถึง เหล่าองครักษ์ต้องเข้ารายงานตัว องครักษ์เม่ยย่อมได้เข้าเฝ้าฯ พระราชาแล้ว
มาถึงตอนนี้ องครักษ์เก้า ออกมานั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นไม้หน้าห้องขัง ห่างจากประตูที่เปิดกว้างเพียงก้าวเดียว แต่อยู่ใกล้กับอาเม่ยเพียงแค่เอื้อมมือ
ขณะที่อาเม่ยหันหน้าเข้าหาพี่ชาย และมีแม่ทัพเชมัลยืนอยู่ทางด้านหลัง ซึ่งกล่าวคำ....
“พระองค์มีเมตตาต่อเจ้ามาก”
นี่ย่อมเป็นการสนทนากับองครักษ์เก้าอย่างมิต้องสงสัย แต่อาเม่ยกลับรู้สึกถึงลูกไฟที่อยู่ในอกที่ค่อยๆ ก่อตัว
....ไม่ใช่ในเวลานี้!... อาเม่ยร่ำร้องอยู่ในใจ
จากนั้นได้ยินเสียงองครักษ์เก้ากล่าวตอบ “ข้าทูลพระองค์ไปแล้วว่า ดีขึ้นมากแล้ว แต่พระองค์ยังไม่วางพระทัย”
“เจ้าเองก็ต้องพักผ่อนและรักษาตนเองให้ดี”
ฉับพลัน!
ทุกสิ่งทุกอย่างในสายตาล้วนกลายเป็นสีแดง! ลูกไฟพุ่งออกจากฝ่ามือสีซีด ตรงเข้าหาองครักษ์เก้าเต็มแรง!...
ไฟลูกแรกโดนองครักษ์เก้าอย่างเต็มที่ เพราะไม่มีผู้ใดเฝ้าระวัง องครักษ์เก้าเองก็ไม่ได้ระวังตน คนสูงโปร่งถูกลูกไฟซัดกระแทกกับลูกกรงของห้องขัง เสื้อผ้ามีไฟลุกไหม้ แต่ได้ราชองครักษ์มีอาส่งเวทย์คุ้มกันควบคุมทั้งไฟและอาการบาดเจ็บให้ในทันที แต่กระนั้นองครักษ์เก้าก็ยังหมดสติไป
ทั้งเมื่ออาเม่ยจะซัดลูกที่ 2 ตามไปซ้ำแม่ทัพเชมัลรีบใช้ตัวขวางองครักษ์เก้าไว้ ขณะที่องครักษ์รอม และฮูดา ตรงเข้าสู้ผลักดันให้อาเม่ยออกห่างมาจากลานด้านหน้าของห้องขังเรือนจำเวทย์
ภาพที่แท้จริงเป็นเช่นใดอาเม่ยมองไม่เห็น
ที่เห็นคือ แม่ทัพเชมัลปกป้ององครักษ์เก้า
ดังนั้น ลูกไฟที่ซัดใส่คู่ต่อสู้ที่เวลานี้คือหัวหน้าองครักษ์รอมและฮูดา ยิ่งมีพลังรุนแรงกว่าเดิม
สติรับรู้ที่เลือนหาย!
ไม่ได้ยินเสียงร้องตะโกนของแม่ทัพเชมัลที่ห้ามผู้ใดทำร้ายอาเม่ย ไม่รู้ว่าแม่ทัพเชมัลกำลังพยายามร้องตะโกนเพื่อเรียกสติให้กลับคืนมา
สิ่งเดียวที่ติดอยู่ในหู คือคำสนทนาของแม่ทัพกับองครักษ์เก้า! สิ่งที่เห็นคือแม่ทัพเชมัลปกป้ององครักษ์เก้า!
ไม่ได้รู้ตัวเลยสักนิดว่า ซัดลูกไฟใส่แม่ทัพเชมัล จนต้องล่าถอยไปหลายก้าว
สุดท้ายแม่ทัพต้องซัดมวลน้ำขนาดใหญ่กระแทกจนอาเม่ยล้มลง
ท่ามกลางความเงียบสงบที่เกิดขึ้นในทันใด!
ใครคนหนึ่งวิ่งเข้ามาคว้าข้อมือของอาเม่ยแล้วพาวิ่งหนีออกมาจากเขตเรือนจำเวทย์
ที่ตรงนั้นมีแต่ผู้ใช้เวทย์ การติดตามย่อมไม่ยาก แต่ทุกคนในที่นั้นล้วนหยุดนิ่ง มอง 2 คนที่พากันวิ่งหนีออกมาซึ่งหน้า
จนเมื่อลับหายไปในเขตต้นไม้ใหญ่ ราชองครักษ์มีอาจึงร้องตะโกนให้ติดตามผู้หลบหนี
ผู้ที่พาอาเม่ยหลบหนี เป็นผู้ที่มีความชำนาญเส้นทางต่างๆ ทั้งเขตทหาร และเขตวังหลวง
เส้นทางสายหลักย่อมไม่สามารถเดินทางได้ ต้องลัดเลาะใช้ประตูพ่อค้า เส้นทางโจร จนกระทั่งออกมาจากเมืองหลวง
อาเม่ยได้วิ่งตามคนที่จูงไป
คนที่ตั้งใจไว้ว่าจะทำเช่นนี้เมื่อนานมาแล้ว!
ข้าคือต้าซัน
ข้าคือพี่ชายของอาเม่ย
ข้าไม่มีเวทย์ แต่น้องชายของข้ามีเวทย์
แม่พาข้าหนีออกมาจากหมู่บ้าน
ตลอดเวลาหลายปีมานี้ ข้าสงสัยมาตลอดว่าเหตุใดจึงต้องหนี
เหตุใดแม่จึงทิ้งน้องไว้ข้างหลัง
แม่ไม่เคยบอกข้า
แต่ข้าตั้งใจไว้ หากพบกับน้องอีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้าจะไม่ทอดทิ้งเขา
เพราะอาเม่ยคือน้องชายของข้า!
แม่ทัพเชมัลที่ยืนมองต้าซันพาอาเม่ยหลบหนีไป ยังคงยืนนิ่งอยู่เช่นนั้นอีกพักใหญ่ จึงได้หันมาดูกลุ่มองครักษ์ทั้ง 3 คนที่ได้รับบาดเจ็บ
องครักษ์เก้าที่โดนลูกไฟโดยตรงมีอาการสาหัสจนราชองครักษ์มีอาต้องเรียกแพทย์หลวงในทันที
ส่วนองครักษ์ฮูดา มีท่าทีเจ็บใจและโกรธแค้นรุนแรงมากกว่าอาการบาดเจ็บที่ตนเองได้รับ
ส่วนหัวหน้าองครักษ์รอมมีพลังในการรักษาตนเอง และกำลังเดินพลังอยู่
"เด็กนั่นกล้าดีอย่างไร ถึงลงมือต่อท่าน" องครักษ์ฮูดากัดฟันพูด "ไหนแซนบอกว่า เขาไม่ทำร้ายท่าน"
แม่ทัพเชมัลได้แต่ส่ายหน้า
"คอยดูนะ ถ้าเจอกันอีกข้าจะฆ่าเจ้าเด็กนั่นให้ได้"
"ฮูดา" หัวหน้าองครักษ์รอมปรามคำพูดของคนตาคม พลางพยักหน้าไปทางแม่ทัพเชมัลที่มีสีหน้าหม่นหมองลง
คนตาคมได้แต่ทำน้ำเสียงขัดใจ แต่ในอีกอึดใจถัดมา ทั้งหัวหน้าองครักษ์รอมและฮูดา 2 คนจึงรู้ว่า ในที่นี้องครักษ์เก้าเป็นผู้เดียวที่บาดเจ็บสาหัส แต่แม่ทัพเชมัลก็ไม่ได้เข้าไปดูแล เพียงยืนมองอยู่ห่างๆ ปล่อยให้ราชองครักษ์มีอากับแพทย์หลวง ทำหน้าที่ดูแล
สองเท้ายังคงยืนอยู่ที่เดิมอย่างมั่นคง ขณะที่สองตามองไปรอบตัว แล้วกลับไปหยุดอยู่ที่เส้นทางซึ่งอาเม่ยหลบหนีไป
ความเสียใจใหญ่หลวงของแม่ทัพเชมัลเป็นเช่นนี้เอง.....
...เขาจะละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่ออาเม่ย คนที่มาเพื่อสร้างความเสียหายแก่เมืองวันจริงๆหรือ...
องครักษ์ฮูดาหันไปมองหัวหน้าองครักษ์รอม ที่มองผู้เป็นหัวหน้าด้วยสายตาที่บ่งบอกว่า กำลังตั้งคำถามแบบเดียวกัน
....จบตอนที่ 25....

รูปนี้มาจาก http://www.incrediblesnaps.com/55-lovely-and-beautiful-photographs-of-rain
ปวดตับปวดไตไมเกรนจะขึ้น
อย่าเพิ่งทิ้งกันไปไหนนะ เพิ่งได้ครึ่งเรื่องเอง ...
.น้ำชา.