ตอนที่ 26องครักษ์ฮูดามิใช่ผู้ที่มีนิสัยร่าเริง มิใช่ผู้ที่มองโลกในแง่ดี และยิ่งมิใช่ผู้อ่อนน้อมถ่อมตน
ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุขึ้นต่อหน้า ทั้งที่เฝ้าจับตามองด้วยความระแวงอยู่ตลอดเวลาจึงทำให้ไม่พอใจเป็นอย่างยิ่ง!
และเมื่อทบทวนการใช้พลัง นับจากการที่อาเม่ยซัดลูกไฟลูกแรกใส่องครักษ์เก้า จนมาถึงอาเม่ยหันมาซัดลูกไฟใส่แม่ทัพ ที่พยายามเข้าไปปกป้อง และสุดท้ายคือแม่ทัพต้องชัดมวลน้ำเพื่อหยุดอาเม่ย
ด้วยพลังเวทย์ดิน ทำให้องครักษ์ฮูดาตระหนักถึงความโกรธ หึงหวง และริษยาอย่างรุนแรงแฝงอยู่ในลูกไฟทั้งหมดที่อาเม่ยซัดออกมา
แต่อาเม่ยหึงหวงองครักษ์เก้าด้วยหรือ อารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้นเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด เหตุใดจึงไม่เคยรู้สึกถึงมันเหล่านั้นมาก่อน!
ยิ่งคิดไม่เข้าใจก็ยิ่งโกรธ!
เพราะที่ผ่านมา ความรู้สึกเพียงอย่างเดียวที่องครักษ์ฮูดาจับได้ ก็คือการที่อาเม่ยมีความเคารพ และความชื่นชมองครักษ์เก้า
ส่วนที่มาคู่กันก็คือ ลางสังหรณ์ว่า อาเม่ยคือผู้ที่จะทำให้แม่ทัพต้องเสียใจอย่างรุนแรง
แต่เพราะลางสังหรณ์กับสิ่งที่คาดหวังให้เกิดขึ้นจริง หลายครามันก็อยู่ใกล้เคียงกันจนไม่แน่ใจ จึงทำได้แค่ขู่ แล้วก็บอกกับตนเองว่าให้ระมัดระวัง
แต่มาถึงยามนี้ที่เรื่องราวเกิดขึ้นแล้ว องครักษ์ฮูดาก็แน่ใจว่า แม่ทัพเชมัลย่อมเสียใจมากที่ไม่อาจหยุดอาเม่ยไม่ให้ลงมือ
ความเสียใจนั้นเกิดขึ้นจริง แต่.....
......เวทย์ดินของข้ามีอันใดบกพร่องจึงจับความรู้สึกของอาเม่ยต่อองครักษ์เก้าไม่ได้
หรือหากมีข้อผิดพลาดบกพร่อง แล้วแม่ทัพเชมัลอาจรักอาเม่ยจนมองข้ามความผิดปกตินี้
แต่พระราชาย่อมต้องรู้เรื่องนี้ และย่อมไม่ปล่อยไปอย่างเด็ดขาด
ต่อให้พระองค์เมตตาต่อองครักษ์น้องเล็กผู้นี้มากเพียงใด แต่เป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้เกิดเรื่องขึ้น
...นี่ข้ารู้เรื่องอันใดบ้าง
...ทุกสิ่งทุกอย่างช่างน่าขัดใจไปเสียทั้งหมด
ยิ่งคิดก็ยิ่งโกรธ โกรธไปเสียทุกคนโดยเฉพาะตนเอง!
องครักษ์ฮูดายังไม่ยอมอยู่ห่างจากแม่ทัพเชมัล แม้ในยามที่พระราชาเสด็จมาดูอาการแม่ทัพเชมัลและองครักษ์เก้า แม้อาการของแม่ทัพเชมัลนั้นไม่น่าวิตก ด้วยเป็นผู้ที่มีเวทย์แข็งแกร่ง หากแต่องครักษ์เก้ากลับยิ่งทรุดหนัก การรักษาจึงต้องใช้พลังมากกว่าเดิม
แต่ครานี้ หัวหน้าราชองครักษ์บาดาผู้รอบคอบ ไม่ยินยอมให้พระราชาและแม่ทัพเชมัลเป็นผู้รักษา กลับไปเรียกราชองครักษ์ลาทีฟ ผู้มีอันดับ 3 ในกลุ่มราชองครักษ์มารักษา และให้ย้ายองครักษ์เก้าไปรักษาที่สถานพยาบาลในค่ายทหาร
หัวหน้าราชองครักษ์บาดาเป็นผู้สุขุมรอบคอบ มักวางแผนคล้อยตามพระดำริของพระราชา มีไม่บ่อยนักที่จะเสนอความขัดแย้ง
ครานี้เมื่อเสนอความเห็นแย้ง ก็ไม่มีผู้ใดคัดค้าน เพราะเหตุผลสำคัญที่สุดในเวลานี้ก็คือ ทั้งพระราชาและแม่ทัพจะต้องพร้อมสำหรับศึกใหญ่ที่มารออยู่
แต่เพียงไม่กี่วันหลังจากนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างในเมืองวันกลับยิ่งเลวร้ายลง และแม่ทัพเชมัลคือผู้ที่ถูกกล่าวโทษ เนื่องด้วยเรื่องราวทั้งหมดถูกสรุปอย่างง่ายดาย ว่าอาเม่ย องครักษ์ที่หนีทหารแล้วถูกแม่ทัพเชมัลตามจับตัวกลับมา คือผู้ลงมือฆ่าเสนาบดีหลี่ แล้วลงมือทำร้ายองครักษ์เก้าต่อหน้าแม่ทัพเชมัล และเหล่าองครักษ์คนอื่นๆ ที่เรือนจำเวทย์ขณะที่พาไปพบกับพี่ชายที่ถูกคุมขังรับโทษแทนน้องชาย
เรื่องราวการสังหาร และการต่อสู้ที่เรือนจำถูกเติมเรื่องราวจนอาเม่ยกลายเป็นประหนึ่งผีร้ายที่แฝงตัวเข้าไปลอบสังหารคนอื่นในยามดึก
องครักษ์ฮูดาถอนหายใจยาวเมื่อรับฟังเรื่องราวที่แม่หญิงผู้เป็นภริยาได้รับฟังมา จากนั้นจึงอธิบายส่วนที่เป็นข้อเท็จจริงให้ผู้เป็นภริยารับทราบ
“เรื่องเสนาบดีหลี่ ต้องรอฟังท่านเจ้ากรมเมือง เพราะเป็นผู้ตรวจสอบหลักฐานและเรื่องราวทั้งหมด อีกอย่างคือเม่ยใช้ดาบยาว และครองเวทย์ไฟ ไม่ได้ใช้มีดเล็กเช่นที่พบที่ศพของเสนาบดี ถ้าเม่ยจะจัดการคน น่าจะฟันขาดแล้วเผา” คนตาคมสะดุดคำพูดตนเอง แล้วกล่าวต่อ “ส่วนเรื่องที่หน้าเรือนจำ มันเกิดขึ้นเพียงอึดใจเดียว แล้วเม่ยก็หนีไปกับพี่ชาย”
“แปลว่า องครักษ์เม่ยเจตนาจะชิงตัวพี่ชายหรือไร” แม่หญิงผู้เป็นภริยาถาม
“นั่นไม่อาจรู้ได้ เจ้าอย่าคาดเดาไป ยิ่งคาดเดายิ่งทำให้เรื่องราวไปกันใหญ่จนไม่รู้ว่าความจริงอยู่ที่ใดกันแน่” องครักษ์อันดับ 4 ทบทวนคำกล่าวของตนเองอีกครั้ง
...อาเม่ยใช้ดาบยาว กับเวทย์ไฟ แต่พระราชา แม่ทัพ และเก้า เชื่อมาตลอดว่านั่นไม่ใช่เวทย์ที่แท้จริงขององครักษ์น้องเล็กผู้นี้
ข้าก็คิดเช่นนั้น แต่เพราะทิฐิทำให้เกิดความผิดพลาดที่มีแต่เลวร้ายลงไปเรื่อยๆ
...ข้าควรคิดลำดับเรื่อง โดยแยกตนเองออกมาจากเรื่องนี้สินะ..
เมื่อกล่าวถึงพระราชากับองครักษ์เก้า มาถึงยามนี้หลายคนล่วงรู้แล้วว่า การที่พระราชาเสด็จมาให้การรักษาองครักษ์เก้าด้วยพระองค์เองทำให้พระชายาหึงหวงไม่พอใจ
ความหึงหวงของสตรี ต่อให้เป็นผู้ตาบอด หูหนวก ก็ยังล่วงรู้ได้ และย่อมเป็นอีกหัวข้อสนทนาที่ถูกต่อเติมขยายความออกไปเช่นกัน
องครักษ์ฮูดา ทบทวนความคิดของตนเองอีกครั้ง
ในเวลาที่ตนคิดร้ายต่อองครักษ์เก้า ก็เพราะความอิจฉา ริษยาเมื่อเห็นว่าแม่ทัพเมตตาองครักษ์เก้า
ที่พระชายาหึงหวง จนองครักษ์เก้าต้องย้ายออกจากเรือนรับรองหลังเล็กมาอยู่ในเรือนจำ ก็เพราะพระราชา
นั่นไม่ได้ต่างจากที่อาเม่ยรู้สึกกับองครักษ์เก้า
ต่างกันที่องครักษ์ฮูดาไม่ปิดบังความรู้สึก
ส่วนพระชายาในพระราชาฟารัค เพียงใช้ผู้อื่นทำงานแทน....
"จำเป็นด้วยหรือที่ท่านจะต้องรู้และเข้าใจทุกเรื่อง" แม่หญิงผู้เป็นภริยาถามขึ้น เมื่อเห็นว่าองครักษ์ฮูดาเอาแต่ครุ่นคิด
"จำเป็นสิ ข้าคือผู้ใช้เวทย์ดินนะ เกิดเหตุร้ายต่อหน้าเช่นนี้ได้เช่นไร"
แม่หญิงผู้เป็นภริยา ที่ยังมีบิดาเป็นผู้มีตำแหน่งใหญ่โตของเมืองวัน แสร้งถอนหายใจ "ความทุกข์ของผู้ครองพลังและครองเวทย์สินะ รู้แล้วเป็นอย่างไร ไม่รู้แล้วเป็นอย่างไร ต่างกันตรงไหน ในเมื่อเหตุเกิดขึ้นแล้ว และที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ก็คือแม่ทัพเชมัลเป็นทุกข์อย่างยิ่ง"
องครักษ์ฮูดาโบกมือ แสดงท่าทีว่ารำคาญคำกล่าวของภริยา ทั้งที่ในใจยอมรับว่ามันคือความจริง
คนตาคมพยักหน้าให้กับตนเอง แม่ทัพเชมัลต้องรู้เรื่องราวบางอย่างเกี่ยวกับอาเม่ย และเพราะความรักทำให้แม่ทัพเชมัลปกปิดเรื่องราวนั้น
และเมื่อความพยายามนั้นให้ผลในทางตรงข้าม แม่ทัพเชมัลจึงหันหลังให้กับทุกสิ่ง แล้วหันหน้าเข้าหาสุรา
ตลอดชีวิตนับจากการเป็นเพื่อนกัน จนถึงเป็นแม่ทัพกับองครักษ์ เป็นผู้รับใช้ใกล้ชิด แล้วก็กลายเป็นองครักษ์อีกครั้ง
นี่เป็นครั้งแรกที่แม่ทัพเชมัล หันหน้าเข้าหาสุรา!
ยามที่ผิดหวังจากองครักษ์เก้า แม่ทัพเชมัลเพียงเศร้าซึมไปชั่วครู่เมื่อทราบเรื่อง แล้วก็กลับยินดีให้กับทั้ง 2 คน
แต่ยามนี้แม่ทัพเชมัลผิดหวังอย่างยิ่ง
วันแรกที่อาเม่ยจากไปพร้อมกับต้าซัน ทุกคนคิดเช่นเดียวกัน ว่าแม่ทัพเชมัลจะต้องออกตามหา แต่ 3 วันผ่านไป แม่ทัพยังคงอยู่ที่ค่ายทหารแล้วเรียกหาแต่สุรา เมื่อไม่นำมาให้แม่ทัพก็ย้ายที่ไปนอนอยู่ที่โรงครัว จนองครักษ์รอมต้องยอมให้ดื่มต่อและย้ายกลับมาที่พักตามเดิม
7 วันผ่านไป แม่ทัพเชมัลก็ไม่ต่างอันใดกับขี้เมาคนหนึ่ง
ผู้ที่เดือดร้อนใจที่สุดย่อมเป็นพระราชาฟารัค หลังจากที่พระอนุชาไม่ได้เข้าวังมา 3 วันติดต่อกัน ก็ต้องเสด็จมาหาถึงที่ค่ายทหารด้วยพระองค์เอง
แต่แรกนั้นก็ยังจะพอคุยกันเข้าใจ แม่ทัพเชมัลยังพอจะยอมเล่าเรื่องความผิดหวังที่ไม่สามารถคุ้มกันอาเม่ยจากเวทย์ดำ
“แน่ใจนะ ว่าที่เสียใจมากมายเพราะผิดหวังที่ไม่สามารถป้องกันเสี่ยวเม่ยของเจ้า ไม่ใช่เพราะเพิ่งรู้ตัวว่า แท้จริงเจ้ารักเก้า ไม่ใช่เพราะคนรักใหม่ ไปทำร้ายคนรักเก่าของเจ้า”
แม่ทัพเชมัลโกรธพระราชาเป็นอย่างยิ่งที่กล่าวคำนี้ถึงขนาดขับไล่พระราชาออกจากค่ายทหาร “อาเก้าจากข้าไปนานแล้ว และรักของข้ามีเพียงเสี่ยวเม่ยเพียงคนเดียวเท่านั้น”
และหลังจากนั้น แม่ทัพเชมัลก็ไม่พูดคุยกับพระราชา ตลอดจนคนอื่นอีก
หัวหน้าองครักษ์รอมที่คอยดูแลอยู่ พอจะได้ยินคำกล่าวของแม่ทัพเชมัลในยามเมามายอยู่หลายคำ แต่ถ้อยคำเหล่านั้น ก็ยังไม่สามารถปะติดปะต่อเรื่องราวอันใดได้ นอกไปจากความผิดหวังที่ทำให้อาเม่ยต้องถูกเวทย์ดำ และถูกกักขังอยู่ในเวทย์ดำนั้นครั้งแล้วครั้งเล่า
...ไม่มีเรื่องของอาเก้า และยิ่งไม่มีฮูดา
เรื่องนี้องครักษ์ฮูดารู้ดีแก่ใจตนเอง ความสัมพันธ์ระหว่างตนกับแม่ทัพเป็นได้เพียงเพื่อน หากวันนั้นไม่มีสุราเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็ไม่อาจได้เป็นผู้รับใช้ใกล้ชิด และเพราะรู้แก่ใจจึงรังเกียจองครักษ์เก้ายิ่งนัก เพราะทันทีที่ก้าวเข้ามา แล้วเพียงแค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็กลับได้รับความรักจากแม่ทัพ และได้รับความเมตตาจากพระราชา จนถึงวันที่ทำร้ายองครักษ์เก้าแล้วพบว่าแม่ทัพผิดหวังยิ่งนัก จึงได้ตระหนักว่าตนเองกลับเสียใจยิ่งกว่า
แต่กับอาเม่ย ถ้าจะกล่าวอย่างถูกต้อง ก็ต้องกล่าวว่า แม่ทัพเป็นผู้ที่เดินไปหาแล้วเรียกให้เข้ามาทดสอบฝีมือ
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะยอมรับ แต่ต้องไม่ทำให้แม่ทัพเสียใจอีก...
พระราชาถอนพระทัยอย่างกลัดกลุ้ม “แม่ทัพเชมัลของพวกเจ้ารักเสี่ยวเม่ยของเขามากอย่างไม่ต้องสงสัย ที่พวกเราควรทำก็คือให้เวลาเขาสักเดือนหนึ่ง เพื่อทบทวนตนเอง ข้าเชื่อว่า หลังจากที่ปล่อยตนเองให้เสียใจอย่างที่สุดไปแล้ว เขาจะสามารถกลับมาได้เอง”
แต่สองเดือนผ่านไป แม่ทัพเชมัลยังไม่ได้ดีขึ้นกว่าเดิม แม่ทัพนาซิมจากเมืองหน้าด่านแจ้งข่าวความเคลื่อนไหวทางเมืองเหนือเป็นระยะ จนพระราชาต้องออกคำสั่งให้หัวหน้าราชองครักษ์บาดาเป็นผู้แทนพระองค์นำเหล่าองครักษ์ และทหารในสังกัดของแม่ทัพเชมัลไปสมทบกับทหารของแม่ทัพนาซิม
องครักษ์เก้าอาการดีขึ้นมากแล้ว และต้องการเดินทางรวมไปกับเหล่าองครักษ์คนอื่น แต่ทุกคนล้วนลงความเห็นว่า องครักษ์เก้าควรอยู่ห่างจากแม่ทัพนาซิม
“อยู่ที่นี่ และช่วยมีอาถวายงานรับใช้พระราชา นี่เป็นหน้าที่ที่จะต้องมาถึงผู้ที่จะมีครอบครัวเช่นเจ้าในสักวันอยู่แล้ว” หัวหน้าราชองครักษ์บาดากล่าวสรุป
แต่องครักษ์เก้าไม่ได้กังวลเรื่องการถวายงานให้แก่พระราชฟารัค หากกังวลเรื่องความหึงหวงของพระชายามากกว่า
ในระหว่างที่ถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำเวทย์ องครักษ์เก้าย่อมเคยถามราชองครักษ์มีอา ว่าเหตุใดจึงถูกย้ายมาที่เรือนจำเวทย์ และเหตุใดต้าซันจึงถูกย้ายมาคุมขังไว้ที่เดียวกัน
แรกนั้นราชองครักษ์มีอาก็ไม่ได้ต้องการเล่าความจริงให้ฟัง แต่เพื่อให้องครักษ์เก้าวางตนอย่างระมัดระวังจึงยอมบอกเล่าสาเหตุที่แท้จริง
“ข้าไม่ได้ทำสิ่งใด”
ราชองครักษ์มีอากล่าวความจริง “บางคนทำ บางคนไม่ทำ แต่ความเดือดร้อนมักตกอยู่กับผู้ที่อยู่ในฐานะที่เล็กที่สุดในเหตุการณ์อยู่เสมอ”
ต่อมาเมื่อถูกอาเม่ยทำร้ายซ้ำโดยที่ไม่ได้รู้สาเหตุ และต้องย้ายจากเรือนจำเวทย์ไปอยู่ที่สถานพยาบาล ได้รับรู้เหตุการณ์อื่นๆ ทั้งเรื่องที่เสนาบดีถูกสังหาร และอาเม่ยพาต้าซันหลบหนีไป องครักษ์เก้าได้แต่ส่ายหน้าไม่ต้องการยอมรับ
“เรื่องทั้งหมดนี่ไม่เกี่ยวกันใช่หรือไม่”
หัวหน้าองครักษ์รอมกล่าวคำ “ยามนี้เกี่ยวหรือไม่เกี่ยวก็ล้วนถูกแยกให้เป็นเรื่องส่วนตัว ที่ส่งผลถึงเรื่องของบ้านเมืองก็เพราะแม่ทัพเชมัลยังไม่ยอมวางถ้วยสุรา ส่วนพระราชาไม่ไว้วางพระทัยที่จะให้แม่ทัพนาซิมคุมทัพใหญ่เผชิญหน้ากับเมืองเหนือ”
“เราต้องไปพาเม่ยกลับมา” องครักษ์เก้าตัดสินใจ
แต่หัวหน้าองครักษ์รอมกล่าวย้ำจนถึงยามที่จะต้องออกเดินทางไปสมทบกับทัพของแม่ทัพนาซิม ว่าห้ามองครักษ์เก้าวู่วามออกจากเมืองหลวงไปตามหาอาเม่ยโดยเด็ดขาด
“ฮูดาทำร้ายเจ้าเพราะเขาเกลียดเจ้า แม่ทัพนาซิมทำร้ายเจ้าเพราะถูกเจ้าปฏิเสธ แล้วเม่ยทำร้ายเจ้าเพราะเหตุใด ไม่มีผู้ใดรู้ เวทย์ของข้าและฮูดา ไม่เคยสัมผัสความรู้สึกใดๆ ที่แสดงให้เห็นว่าเขาต้องการทำร้ายเจ้า หากไม่รู้ก็แก้ไขไม่ได้ อยู่ที่นี่ รักษาตนให้หายดี แล้วตามไปสมทบเมื่อแม่ทัพมีความพร้อม ยังเป็นประโยชน์กว่าการออกไปตามหาแล้วทำให้ต้องส่งคนออกไปตามหาเจ้าอีกที”
องครักษ์เก้ามองหัวหน้าองครักษ์รอมด้วยดวงตากลมโต เพราะหัวหน้าองครักษ์ผู้นี้ไม่ใช่ผู้ที่กล่าวคำยืดยาว แม้จะมีความเป็นห่วงต่อผู้อื่น แต่ก็เป็นการแสดงออก ไม่ใช่การกล่าวคำ
“มองเช่นนี้ เข้าใจหรือไม่”
องครักษ์เก้าพยักหน้า “เข้าใจขอรับ”
หัวหน้าองครักษ์รอมยกยิ้มมุมปาก “วันนี้ข้าดุมากใช่หรือไม่ เจ้าจึงใช้คำสุภาพกับข้า”
องครักษ์เก้ายิ้มตอบ “ที่จริง ข้าคือองครักษ์ที่สุภาพเรียบร้อยที่สุดในเมืองวัน”
องครักษ์ซัน คนอารมณ์ดี ส่งเสียงกระแอมพร้อมกับรอยยิ้มซุกซน “พวกเราต้องเลื่อนวันเดินทางออกไปเป็นวันพรุ่งนี้หรือไม่ เพราะหัวหน้าองครักษ์ กับองครักษ์อันดับ 5 มีเรื่องให้ต้องหารือกันนาน”
องครักษ์เก้าก้มหน้ามองเท้าตนเอง การถูกทักในเชิงหยอกล้อทำให้รู้สึกไม่คุ้นเคย และไม่กล้ากล่าวคำพูดต่อไป เป็นท่าทีที่ทำให้องครักษ์ซันต้องส่ายหน้า
“เพราะเจ้าเป็นเช่นนี้ จึงมักถูกเข้าใจผิด ถูกหึงหวง และถูกทำร้ายอยู่ตลอดเวลา”
องครักษ์แซน ผู้เชี่ยวชาญน้ำกล่าวขึ้นมาลอยๆ “จะมีปัญหาก็เพียงข้อเดียวที่พี่ใหญ่ถือพรหมจรรย์เพื่อครองเวทย์รักษาเท่านั้น”
พี่ใหญ่รอมจึงได้แต่ส่ายหน้า หันไปบ่นองครักษ์อันดับ 2 และ 3 “เวลาที่ข้าไม่ตักเตือน พวกเจ้าก็ว่าข้าละเลย พอข้าตักเตือน พวกเจ้าก็พูดจาเกินเลยเหลวไหล” มือใหญ่ขององครักษ์รอมจับที่ศีรษะขององครักษ์เก้า “เวลานี้เก้ามีเรื่องยุ่งยากใจมากพออยู่แล้ว ทั้งพระราชา แม่ทัพเชมัล และแม่ทัพนาซิม”
“ไม่ใช่ทั้ง 3 คน” องครักษ์เก้ากล่าวแล้วหันไปมองทางอื่น “ท่านไม่ควรลืมว่าพริมคือหญิงคนรักของข้า อย่างไรความรักระหว่างชาย ก็ไม่อาจทัดเทียมความรักระหว่างชายหญิง พวกเขาทั้ง 3 คนไม่ต้องรับผิดต่อข้า แต่ข้าต้องรับผิดต่อพริม” จากนั้นก็หันมาอวยพรให้ทั้งหมดออกเดินทางโดยสวัสดิภาพ
*-*จบตอนที่26*-*