ตอนที่ 27 หนทางจากเขตเมืองหลวง มุ่งหน้าไปยังเมืองหน้าด่านชายแดนกลายเป็นเส้นทางที่เหล่าองครักษ์ของแม่ทัพเชมัลมีความคุ้นเคยดั่งให้หลับตาก็ยังเดินทางมาถึงที่หมายได้อย่างถูกต้อง
จากทุ่งนาสลับกับหมู่บ้านจนมาถึงที่หมายอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาเพียง 1 ใน 3 ของบุคคลทั่วไปก็ถึงที่หมาย เนื่องด้วยกลุ่มผู้ที่เดินทางในครานี้ ล้วนเป็นกลุ่มผู้ใช้เวทย์ที่นำโดยหัวหน้าราชองครักษ์บาดา แห่งพระราชาฟารัค
คนที่หากไม่ถึงคราจำเป็น จะไม่ยอมอยู่ห่างจากพระราชาอย่างเด็ดขาด
กลุ่มผู้ใช้เวทย์เพียงเปลี่ยนม้าแล้วเดินทางต่อในทันที จนกลายเป็นทิ้งเหล่านายกองพลทหารราบไว้เบื้องหลัง
เมืองหน้าด่านยามนี้ มีทหารจากประตูด่านทางอื่นมาสมทบรออยู่แล้ว ขณะที่แม่ทัพนาซิมแม้จะมีสีหน้าเคร่งเครียด แต่ยังคงมีท่าทีไว้ตัว และดวงตาที่ดูหมิ่นผู้อื่นอยู่เช่นเดิม หลังการต้อนรับหัวหน้าราชองครักษ์บาดาในฐานะผู้แทนพระองค์ตามพิธีการแล้ว ทั้งหมดจึงเข้าร่วมการหารือที่ห้องประชุมของค่ายทหาร
"ตามธรรมเนียมข้าควรจัดเลี้ยงก่อนคุยเรื่องงาน แต่ครานี้ต้องขอคุยเรื่องงานก่อน" แม่ทัพนาซิมออกตัว ที่ทำหน้าที่เจ้าบ้านบกพร่อง
แต่หัวหน้าราชองครักษ์บาดาเห็นด้วย "รับฟังสรุป แล้วค่อยไปหารือกันก็ไม่สาย"
ทุกคนต่างเข้ามาล้อมโต๊ะตัวใหญ่กลางห้องประชุม
แบบจำลองเหนือแผ่นผ้าผืนใหญ่ที่เป็นต้นไม้และลำคลอง ที่เปลี่ยนไปจากการประชุมครั้งก่อนก็คือ ตำแหน่งของไม้แกะสลักจำลองซึ่งแทนอสูรสัตว์ประหลาดหลายชนิด อมนุษย์ที่เกิดจากดิน ไปจนถึงผู้ใช้เวทย์เมืองเหนือ และมนุษย์ที่ส่วนใหญ่จะอยู่ในเขตเมืองเหนือ
แม่ทัพนาซิมชี้บอกตำแหน่งที่เปลี่ยนไป และกำลังสะสมที่เพิ่มขึ้น
"แม้แม่ทัพเชมัล ทำลายเฮยอั้นผู้ครองเวทย์ดำอิสระของเมืองเหนือไปเมื่อหลายเดือนก่อน" มือใหญ่ชี้ไปยังเขตป่าทึบที่เคยวางม้าสีแดง แต่บัดนี้ว่างเปล่า "แต่กลับยังมีอสูร และอมนุษย์เพิ่มขึ้น ส่วนทหารที่เป็นมนุษย์ในเขตป่านอกเมืองมีน้อยลง คาดเดากันได้ 2 ทาง คือถูกพวกอสูรฝ่ายเดียวกันทำร้าย หรืออาจโยกย้ายกลับเข้าไปในเมือง"
องครักษ์ฮูดาอาสาทันที "เรื่องนี้ข้าออกไปสำรวจได้"
"ไว้ก่อนเถิด" หัวหน้าราชองครักษ์บาดาเตือน แล้วหันไปบอกให้แม่ทัพนาซิมรายงานสถานการณ์ต่อ
องครักษ์ฮูดาที่ไม่ชอบการถูกขัดขวางการทำงานชักสีหน้าทันที แต่ยังสงบปากคำ จนองครักษ์ซันคนอารมณ์ดีที่อยู่ข้างๆ ต้องลอบอมยิ้ม
"ส่วนเรื่องการจัดการกลุ่มชาวบ้านในเขตป่า พวกเราพยายามชักชวนให้ย้ายเข้ามาอยู่ในเขตเมืองได้เพียงเล็กน้อย ส่วนใหญ่แม้จะรับรู้ว่ามีภัยคุกคาม แต่ก็ปฏิเสธที่จะเดินทางเข้าเมือง พวกเขาไม่มาหาเรา ทั้งไม่ไปเมืองบาสก์" มือใหญ่ชี้ไปที่เขตภูเขา ซึ่งตั้งอยู่ค่อนไปทางเมืองเหนือ "ส่วนกลุ่มบ้านที่อยู่ห่างไกลออกไปทางหุบเขา หน่วยสอดแนมไม่พบเห็นควันไฟมาหลายวันแล้ว พวกเขาอาจละทิ้งหมู่บ้าน หรืออาจถูกกวาดล้าง แต่เพราะพื้นที่อันตราย แม้แต่หน่วยสอดแนมก็ยังไม่กล้าเข้าไปใกล้ ได้แต่สังเกตการณ์อยู่ในที่ห่างไกล”
"พวกเขาเชื่อมั่นว่าจะสามารถต้านทานได้" ผู้ช่วยคนหนึ่งของแม่ทัพนาซิมช่วยเสริม
องครักษ์รอมพยักหน้าช้าๆ "หรือเพราะเชื่อว่า นี่เป็นการสู้รบระหว่างเมืองเหนือ กับเมืองวัน"
"คนที่ยอมย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองหน้าด่านส่วนใหญ่พูดอย่างนั้น และไม่เชื่อเรื่องสงครามจนกระทั่งเข้ามาแล้วเห็นว่า ฝ่ายเรากำลังระดมคนไว้ในเขตเมือง แต่เรายังไม่ขยายพื้นที่ออกไปที่นอกกำแพงเมือง" กล่าวมาถึงตอนนี้ แม่ทัพนาซิม หันไปบอกให้เหล่าผู้ช่วยออกไปเตรียมการเรื่องการจัดเลี้ยง และรอจนเมื่อทุกคนออกไปแล้ว แม่ทัพนาซิมจึงถอนหายใจยาว
จากคนที่แสดงท่าทีไว้ตัวและดูหมิ่นผู้อื่น กลับกลายเป็นคนที่มีท่าทีลังเล ที่ทุกคนในห้องนี้ตระหนักว่า เป็นผลมาจากเวทย์ดำที่ทำให้ทำร้ายองครักษ์เก้าในครั้งก่อน
"ข้าไม่วางกำลังไว้นอกเมือง เพราะเกรงเรื่องเวทย์ดำ"
แม่ทัพนาซิมกล่าวอย่างตรงไปตรงมา
"เมื่อข้าเองยังโดนเวทย์นั้น แม้แต่ฮูดาในครั้งก่อนก็ยังย่ำแย่ ข้าจึงต้องวางคนอย่างรอบคอบกว่าเดิม แม้แต่สายสืบที่อยู่ในป่า ก็ยังเป็นผู้ที่ไม่มีครอบครัวและพร้อมที่จะทิ้งชีวิตไว้ที่นั่น ไม่กลับเข้ามาอีก"
องครักษ์แซนกล่าวอย่างจริงจัง "มันคือหน้าที่"
เมื่อได้ยินคำนี้แม่ทัพนาซิมจึงหันมาหาหัวหน้าราชองครักษ์บาดา
“เชมัลเป็นอย่างไรบ้าง เราจะรอเขากลับมาหรือไม่”
หัวหน้าราชองครักษ์บาดา เพียงมองแนวของทัพฝ่ายเหนือในเขตป่า "เวทย์ดำทำลายความมั่นใจของท่าน และทำลายหัวใจของแม่ทัพเชมัล"
องครักษ์ฮูดายก 2 มือขึ้น
"เดี๋ยวนะ"
จากนั้นองครักษ์อันดับ 4 ที่เป็นผู้อ่อนวัยที่สุดในที่นี้ ก็เริ่มเดินวนไปรอบโต๊ะใหญ่ ขณะที่ทุกคนรอคอยจนกระทั่งองครักษ์ฮูดากลับมาหยุดยืนอยู่ที่ด้านหน้าของราชองครักษ์บาดา
การที่องครักษ์ฮูดาแสดงท่าทีสับสน เป็นเรื่องยากที่จะพบเห็น แต่ไม่น่าแปลกใจ เนื่องด้วยเวลานี้ ไม่มีแม่ทัพเชมัลอยู่ในห้อง ทั้งไม่มีกลุ่มองครักษ์ที่ด้อยอาวุโสกว่า องครักษ์ฮูดาจึงคลายความเคร่งเครียดลง
"หากเป็นเช่นนี้ ข้าก็คือส่วนหนึ่งของการทำลายแม่ทัพเชมัล"
ในความคิดขององครักษ์ฮูดา ไม่มีเรื่องใดยิ่งใหญ่ไปกว่าเรื่องที่เกี่ยวกับแม่ทัพเชมัล
นี่เป็นเรื่องที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง!
ราชองครักษ์บาดาหัวเราะในลำคอ ชี้มือสั่งให้องรักษ์ฮูดาไปนั่งที่เก้าอี้ตัวหนึ่งในห้อง
"หากจะมองย้อนไปถึงเรื่องราวที่เจ้าทำว่าเป็นความผิด เรามิต้องมองย้อนไปถึงความขัดแย้งระหว่าง 3 เมืองตั้งแต่อดีตพระราชาเลยหรือไร"
ผู้อาวุโสสูงสุดในที่นี้ไม่รอให้อีกฝ่ายโต้เถียง "ครานี้ เราจะมองที่การตัดกำลังสำคัญของพระราชาฟารัค"
องครักษ์ฮูดามีสีหน้าขัดใจ "แต่แม่ทัพเชมัล..."
หัวหน้าราชองครักษ์บาดาปรายตาเชิงปรามให้อีกคนหยุดเถียง "กำลังสำคัญของพระราชาฟารัคมีเพียงคนเดียว นั่นคือแม่ทัพเชมัล พระองค์ไว้พระทัยพระอนุชามากกว่าตนเอง แต่พระอนุชาก็เป็นผู้ที่มีฝีมือแข็งแกร่ง พวกมันโจมตีโดยตรงไม่ได้ จึงต้องใช้วิธีที่พวกมันถนัด นั่นคือการโจมตีที่หัวใจ"
ในความเป็นจริงคำกล่าวทั้งหมดของราชองครักษ์บาดา คือการถ่ายทอดพระดำรัสของพระราชาฟารัค ที่ทรงวิเคราะห์ไว้หลังจากที่ อาเม่ยทำร้ายองครักษ์เก้า
"กล่าวกันอย่างตรงไปตรงมาก็คือ เม่ยเดินทางเข้าเมืองหลวงด้วยจุดประสงค์นี้" ราชองครักษ์บาดากล่าวต่อทันที "อย่าเพิ่งกล่าวโทษเม่ย เพราะมาถึงวันนี้ มันแสดงเห็นได้อย่างชัดเจนว่า เม่ยเองก็ถูกทำร้ายมาอีกทอดหนึ่งเช่นกัน"
แม่ทัพนาซิมที่คุ้นเคยกับเมืองเหนือมากที่สุดในที่นี้กล่าวเห็นด้วย "พวกมันเป็นอย่างนั้น ทำร้ายคนหนึ่ง เพื่อให้ไปทำร้ายคนอื่นต่อ มันทำร้ายข้า เพื่อให้ข้าทำร้ายอาเก้า ซึ่งนั่นหมายถึงการทำร้ายเชมัลด้วย"
องค์รักษ์แซนถามขึ้นบ้าง "ทำร้ายเม่ย เพื่อให้เม่ยทำร้ายแม่ทัพเชมัล....แสดงว่าพวกมันรู้จักทั้งแม่ทัพเชมัลและรู้จักเม่ย แล้วก็รู้ว่าแม่ทัพเชมัลกับเม่ยรู้จักกันมานานแล้ว"
องครักษ์ซันทุบกำปั้นลงกับฝ่ามือ "พวกเราสงสัยเรื่องที่มาของเม่ยกันมาตลอด แต่เมื่อแม่ทัพและพระราชาวางพระทัย เราก็วางใจ แต่เท่าที่เห็นก็คือ แม่ทัพเชมัลต้องรู้จักเม่ย แต่เม่ยกลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย"
"เม่ยโดนลบความทรงจำ" หัวหน้าองครักษ์รอมพี่ใหญ่ ตอบคำถามนี้ "แม่ทัพต้องพาเม่ยไปที่เกาะห่างไกล เพื่อรื้อฟื้นความทรงจำ"
หัวหน้าราชองครักษ์บาดาช่วยเสริม "พระราชาสงสัยเรื่องที่แม่ทัพเชมัลพอใจเม่ยมาตั้งแต่ต้น เพราะผิดวิสัยที่จะวางตนสนิทกับผู้อื่นอย่างเปิดเผยเช่นนั้น แม่ทัพเชมัลยอมรับว่า เม่ยเหมือนคนที่เคยพบกันมาก่อน แม้ต่อมาจะอ่านความทรงจำแล้วไม่พบ คิดว่าไม่ใช่คนที่เคยพบ แต่ความในใจก็ยังไม่เปลี่ยน พระราชาจึงสนับสนุนพระอนุชาในเรื่องนี้"
ผู้อาวุโสสูงสุดในห้องประชุม หันไปมองแม่ทัพนาซิม แล้วหันไปมององครักษ์ฮูดา
"อย่างที่พวกเรารู้กัน ว่าพระราชาต้องการให้พระอนุชามีความสุข จึงทรงจัดการอะไรหลายอย่าง แต่ทุกอย่างผิดแผน จึงตัดสินพระทัยไปพบแม่ทัพเชมัลที่เกาะห่างไกล และทำให้พระองค์แน่พระทัย ในเรื่องที่เม่ยถูกเวทย์ดำ"
องครักษ์แซนกล่าวถึงคราที่พาพระราชาฟารัค และพระราชาเมืองบาสก์เสด็จไปที่เกาะห่างไกล
"เราทุกคนล้วนแน่ใจเรื่องนั้น แต่ก็สงสัยว่าเม่ยอยู่ใกล้ชิดแม่ทัพตลอดเวลา ทั้งเข้าเฝ้าฯ พระราชาหลายครั้งกลับไม่ถูกพบเห็น"
"นั่นเป็นอีกเรื่องที่ทำให้พวกเราหวนกลับมาไม่แน่ใจในตนเอง" ราชองครักษ์บาดาชี้ชัด
...กล่าวได้ว่า เป็นเรื่องที่ทำให้ทุกคนต้องกลับมาทบทวนพลังอำนาจของตนเองกันทั้งหมดเลยทีเดียว..
"เหมือนแม่ทัพนาซิมไม่แน่ใจการตัดสินใจของตนเอง เหมือนแม่ทัพเชมัลไม่มั่นใจตนเองว่านั่นใช่คนที่เคยพบกันมาก่อนหรือไม่"
องครักษ์ซันกล่าวย้ำ "เมื่อวิเคราะห์ทั้งหมดแล้ว จะกลับไปที่การโจมตีไปที่จิตใจของแม่ทัพเชมัล"
"เพียงแต่นึกไม่ถึงว่า ....." ราชองครักษ์บาดา หันไปมองแม่ทัพนาซิมโดยตรง "ทั้งที่แม่ทัพนาซิมเองก็โดนทำร้ายเช่นกัน แต่กลับเป็นผู้ที่มีความเข้มแข็งมากกว่า"
แม่ทัพนาซิมหัวเราะกระแทกเสียงในลำคอ ยกยิ้มมุมปาก ท่าทีดูหมิ่นผู้อื่นอย่างเปิดเผยกลับมาอีกครั้ง "ท่านเองก็รู้จักการโจมตีที่จิตใจผู้อื่นเช่นกัน ฝากทูลพระราชาด้วยว่า ทันทีที่รู้ว่าท่านนำเหล่านักเวทย์มาที่นี่ ข้าก็รู้ตัวว่า จะต้องถูกนักการทูตปากร้ายเช่นท่านบังคับให้ต้องลุกขึ้นสู้" ทั้งจิตใจเข้มแข็งขึ้น และสมองที่ปลอดโปร่งมากกว่าที่ผ่านมา "แต่ขอให้รู้เช่นกัน ว่าสถานการณ์ของข้าในเวลานี้เป็นเรื่องจำเป็น ข้าจำเป็นต้องทำเป็นเข้มแข็ง ทำเป็นมั่นใจ ทั้งที่ข้ากังวลอยู่ตลอดเวลา ว่าหากวันหนึ่งข้าหันไปฟันดาบใส่คนของข้าเอง จะมีใครหยุดข้าได้ไหม"
"เวลานี้ท่านแสร้งเข้มแข็ง หรือเข้มแข็งอย่างแท้จริง" ราชองครักษ์บาดาบังคับให้อีกคนยอมรับ แต่แม่ทัพนาซิมไม่คล้อยตาม
"เมื่อในที่นี้มีทั้งหัวหน้าราชองครักษ์บาดาและหัวหน้าองครักษ์รอม ข้าไม่อาจโอ้อวดว่า ความเข้มแข็งนี้จู่ๆ ก็เกิดขึ้นได้ด้วยตัวข้าเอง แต่มาจากทั้ง 2 คนที่เสริมความมั่นใจนี้ให้ข้า และข้าขอขอบใจพวกท่านเป็นอย่างยิ่ง"
"แล้วพระราชาเล่า" องครักษ์ซันคนอารมณ์ดีกล่าวยิ้มๆ
"เอาไว้ก่อนเถิด พระราชาฟารัคเจ้าเล่ห์ไม่เป็นรองใคร ทั้งบุตรชายข้ายังอยู่กับพระองค์เช่นนี้" แม่ทัพนาซิมโบกมือ "จะอย่างไรข้าก็ต้องออกไปสนามรบ และมีชีวิตรอดกลับมาเพื่อไปรับลูก"
"แล้วอีกคนเล่า" องครักษ์ฮูดาถามขึ้นบ้าง
แม่ทัพนาซิมมีท่าทีหม่นหมองลงเมื่อกล่าวตอบ "นั่นขึ้นอยู่กับเขา ว่าจะตัดสินใจอย่างไร"
หัวหน้าราชองครักษ์บาดายังอยู่ที่เมืองหน้าด่านต่ออีก 1 วันเมื่อเห็นว่า แม่ทัพนาซิมมีท่าทีที่เข้มแข็งและปกครองเมืองสำคัญนี้ด้วยความเข้มงวดดังเดิมจึงเดินทางกลับเข้าเมืองหลวง
พระราชาลูบคางเมื่อฟังคำสรุปเรื่องราวจากหัวหน้าราชองครักษ์ที่เข้าถวายรายงานทันทีที่มาถึง จากนั้นจึงบอกให้ไปพักผ่อน
ในตอนที่รับฟังรายงาน พระราชาฟารัคตั้งพระทัยที่จะทำตามแผนการในวันถัดไป แต่เพราะเย็นวันนี้การทรงงานเสร็จสิ้นเร็วกว่าที่คาดคิดไว้ จึงเสด็จเป็นการส่วนพระองค์ออกมาที่นอกวังหลวง โดยมีราชองครักษ์มีอาตามเสด็จเพียงคนเดียว
ราชองครักษ์มีอาเป็นคนเข้มงวด และปราศจากอารมณ์ขันอย่างสิ้นเชิง จึงมักรับหน้าที่สำคัญด้านตุลาการและดูแลเรือนจำผู้ใช้เวทย์
ในวันที่อาเม่ยทำร้ายผู้อื่นต่อหน้าแม่ทัพเชมัลแล้วหลบหนีไป ราชองครักษ์มีอาก็อยู่ที่นั่น
ที่ๆ พระองค์เสด็จไป คือร้านขนมปังของครอบครัวพริม
...แผนนี้มันออกจะเดินทางอ้อมไปสักนิด แต่ก็ดีกว่ารอเชมัลไปเรื่อยๆ....
เมื่อคราวที่เหล่าแม่ทัพเชมัลและองครักษ์มาเยือน พ่อและแม่ของพริมตื่นเต้นดีใจมาก แต่ครานี้ทั้ง 2 คนยิ่งดีใจมากกว่าเดิม
พระราชายิ้มแย้มแจ่มใสรับการทำความเคารพ แล้วประทับนั่ง รับสั่งให้ทั้ง 3 คนนั่งร่วมโต๊ะ ด้วยร้านขนมปังเปิดตั้งแต่เช้า และปิดในยามบ่าย ในเวลาที่เสด็จมาถึงจึงเป็นเวลาที่ร้านปิดแล้ว
"พวกท่านสบายดี" พระราชาถามไถ่แล้วชวนสนทนาเกี่ยวกับเรื่องทั่วไป
ข้อดีของการที่มีราชองครักษ์มีอาตามเสด็จก็คือ เวทย์ที่สนับสนุนให้ระเบียบความคิดมีความชัดเจนมากขึ้น แตกต่างจากหัวหน้าราชองครักษ์บาดา ที่จะเน้นไปที่การเจรจารอมชอมเพื่อให้ได้ตามที่วางแผนไว้
แต่ปัญหาก็คือ การบังคับให้เดินไปตามแผนการซับซ้อนที่วางไว้นั่นต่างหาก
สุดท้ายพระราชาฟารัคต้องออกปากให้ราชองครักษ์มีอา ออกไปรอที่หน้าบ้าน และพระองค์ขอหารือกับ 3 คนพ่อแม่ลูกตามลำพัง
แต่จะให้ไกลอย่างไร พระองค์ตระหนักดีว่า ราชองครักษ์ย่อมได้ยินบทสนทนา
หลังจากที่ชวนสนทนาในเรื่องอื่นอีกสักครู่ จึงทรงกลับมาที่เรื่องที่ตั้งพระทัยไว้
"เรื่องขององครักษ์เก้าที่ได้รับบาดเจ็บ" พระราชาหันไปหาพริม "แต่แรกคิดว่าจะให้แม่ทัพเชมัลมาคุยเอง เพราะเขาเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรง แต่จนถึงเวลานี้ก็ยังไม่พร้อมที่จะทำงาน ส่วนเก้า ข้าก็ดูแลอย่างเต็มที่"
หลังทั้ง 3 คนกล่าวขอบพระทัย พระราชาก็รับสั่งต่อ
"แต่เรื่องที่เก้าถูกทำร้าย นั่นขึ้นอยู่กับพริม ว่าคิดเห็นอย่างไร เรื่องนี้ค่อย ๆ คิดไปข้าไม่ได้มาเพื่อเร่งรัด เพียงแต่มีเรื่องที่อยากให้พริมช่วยเหลือ"
ทั้ง 3 คนต่างยินดีที่จะได้ช่วยงานของพระราชาในเรื่องนี้
"แต่ว่าพริมจะต้องเดินทางไกล ไปหมู่บ้านทางเหนือ ข้าจะให้ราชองครักษ์ลาทีฟไปกับเจ้า ปกติแล้วเขาจะอยู่ในห้องยาเป็นหลัก อยากให้เจ้ากับลาทีฟไปดูว่า ที่นั่นมีคนอยู่หรือไม่ หากมีคนอยู่ ก็ช่วยพาคนหนึ่งกลับมาหาเชมัล"
พ่อกับแม่ของพริมยังไม่รู้ว่าคนที่พระราชาตรัสถึงคือใคร แต่เมื่อนึกคนที่หายไปและจะต้องพากลับมาหาแม่ทัพเชมัล พริมก็พอจะนึกได้ว่าคือใคร จึงกราบทูลพระราชา ว่าจะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
"ส่วนเรื่องของท่านพี่เก้า....ที่จริงแล้วข้าไม่ได้รังเกียจในสิ่งที่เกิดขึ้น เพียงแต่แรกเริ่มมา แม้จะรู้ดีว่าท่านพี่เก้าอ่อนโยนกับเข้ามาตลอด แต่ดวงตาของเขามักจะมองผ่านข้าไปเสมอ"
พระราชาตรัสความจริง "เก้าเป็นคนจิตใจดี เหมือนเจ้ากับพวกเจ้า 3 คนพ่อแม่ลูก ที่จริงข้าก็เกรงใจพวกเจ้ายิ่งนัก"
พ่อของพริมรีบโบกมือบอกว่าไม่เป็นไร เรื่องนี้มิได้เป็นเรื่องใหญ่เลยสักนิด
"พวกเรายินดีเป็นอย่างยิ่ง"
"แต่ก็ต้องขอรบกวนให้พริมเดินทางไปสักหลายวัน เพราะถ้าส่งคนของข้าไปก็คงได้ตีตรวนคนกลับมา แล้วก็จะหนีกลับไปอีก ข้าจำเป็นต้องให้เชมัลพร้อมที่จะนำทัพโดยเร็วที่สุด ให้พริมไปกับลาทีฟน่าจะได้ผลดีมากกว่า เพราะคนหนึ่งใจเย็นอีกคนก็เป็นหมอยา"
พริมครุ่นคิด "คนผู้นั้นบาดเจ็บหรือเจ้าคะ"
"คนผู้นั้นถูกเวทย์บางอย่าง แต่มันไม่มีผลกับผู้ไร้เวทย์ เพราะเท่าที่รู้มา พี่ชายของคนผู้นั้นเป็นคนไร้เวทย์ และก็ดูสุขสบายดี"
จากนั้นจึงตรัสถามเกี่ยวกับหน้าที่การงานที่ยังค้างอยู่ เมื่อพริมบอกว่า ไม่มีเรื่องใด ทั้งหมดจึงนัดหมายการเดินทางในเช้าวันถัดไป
“อีกเรื่องที่ข้าอยากมาบอกกับพวกเจ้าด้วยตนเองก็คือ องครักษ์เก้าแข็งแรงขึ้นมากแล้ว แต่เมื่อมีศึกเมืองเหนือมารออยู่ ข้าจะจัดงานสมรสให้พวกเจ้าในเร็ว ๆ นี้ ต้องรอแจ้งทางครอบครัวของฝ่ายองครักษ์เก้าด้วย จากนั้นอีก 1 เดือนข้าจึงจะแต่งตั้งเป็นราชองครักษ์อยู่ในวังหลวง”
เป็นรับสั่งที่ทำให้พ่อและแม่ของพริมมีความยินดีเป็นอย่างยิ่ง
ค่ำวันนั้นเมื่อกลุ่มราชองครักษ์สรุปการทำงานประจำวัน หัวหน้าราชองครักษ์บาดาก็ส่ายหน้า
“พระองค์ไม่ย่อท้อต่อการจับคู่ให้บรรดาผู้ใกล้ชิดจริงๆ”
“ถือเสียว่าเป็นการผ่อนคลายความเครียดจากการทรงงาน” ราชองครักษ์ลาทีฟหมอยา กล่าวขึ้น แล้วหันไปถามราชองครักษ์มีอาคนจริงจัง “จะเกิดอันใดขึ้นหากพระองค์เป็นพระราชาของเมืองเหนือ”
ราชองครักษ์มีอายิ้มมุมปาก “มี 2 ทาง ทางหนึ่งคือเมืองวันและเมืองบาสก์จะสูญหายไป หรือไม่บรรดาผู้ใช้เวทย์ดำในเมืองวันจะหันไปหักล้างกันเอง”
...จบตอนที่ 27...
ภาพนี้จาก
www.magic4walls.com