ตอนที่ 29 ตลอดเวลา 3 วันที่พักอยู่ในพื้นที่ซึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มบ้านช่างเหล็ก คนที่ดูผ่อนคลายที่สุดยังคงเป็นต้าซัน คนที่ไม่คิดว่าในชีวิตนี้จะมีความลับอันใดทั้งสิ้น ราชองครักษ์ลาทีฟสัมผัสความจริงจากใจของต้าซันได้ทุกคำพูดที่กล่าวออกมา จนรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง หากต้าซันกับพริมจะพึงพอใจกันและกัน
แต่เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ราชองครักษ์ก็ต้องส่ายหน้าให้กับตนเอง
....ต้าซันอาจพอใจใครอยู่ ส่วนแม่หญิงพริมก็มีองครักษ์เก้า....
....ข้าได้นิสัยชอบจัดการเรื่องส่วนตัวของผู้อื่นมาจากพระราชาเสียแล้ว...
.....หน้าที่ที่ได้รับมอบหมายก็คือการพาอาเม่ยกลับไปต่างหาก...
แน่ใจว่าอาเม่ยแสร้งทำเป็นจำตนเองไม่ได้ แต่มิใช่ปัญหา เพราะในการทำงานสำคัญนี้ติดอยู่ที่ปัญหาเดียว คืออาเม่ยไม่กล่าวสิ่งใด แม้ในวันสุดท้ายที่ให้คำมั่นไว้กับต้าซัน ราชองครักษ์จะกล่าวคำพูดยืดยาวถึงความจำเป็นที่อาเม่ยควรกลับไป ทั้งให้คำมั่นว่าจะไม่ต้องรับโทษ จนกระทั่งขอแค่ไปพูดให้แม่ทัพออกศึก หรือแม้แต่กล่าวเกินจริงไปว่า แผ่นดินนี้อาจถูกเมืองเหนือยึดครอง แต่อาเม่ยก็ยังแกะสลักไม้ไปเรื่อยๆ
สิ่งที่พูดไปคล้ายเป็นแค่สายลมที่ผ่านไป
ราชองครักษ์ลาทีฟหมอยายอมแพ้ต่ออาเม่ยอย่างหมดรูป
ที่ยังพอเยียวยาจิตใจให้ดีขึ้นได้ก็คือเมื่อจะออกรถม้าแล้วเห็นว่า ต้าซันลอบส่งดอกไม้ป่าให้กับพริม
...ก็ไม่ได้กลับเมืองหลวงไปมือเปล่าเสียทีเดียวหรอกนะ...
ระหว่างการเดินทางกลับ และหยุดพักที่บ้านของชาวนาเหมือนเช่นตอนที่เดินทางมา วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวนาที่พบเห็นทำให้ราชองครักษ์ทบทวนข้อสงสัยบางอย่าง
แม้หมู่บ้านที่ 2 พี่น้องอาศัยอยู่บัดนี้จะเหลือเพียง 2 หลัง ส่วนอื่นถูกเผาไหม้ไปหมดแล้ว แต่เมื่อไฟไหม้จากบ้านหลังหนึ่งไปอีกหลังหนึ่ง รวมถึงโรงตีดาบ แสดงให้เห็นว่าไฟนั้นรุนแรงอย่างยิ่ง แต่กลับไม่ได้ลุกลามลงไปถึงส่วนที่เป็นทุ่งนา
นั่นอาจหมายถึงไฟที่เกิดจากเวทย์!
ข้อต่อมาก็คือ เมื่อเป็นหมู่บ้านตีดาบ คนในหมู่บ้านย่อมรู้เชิงดาบ แต่กลับมีอาเม่ยที่รอดมาเพียงผู้เดียว!
แล้วผู้ใช้เวทย์คนอื่นเล่า
หรือเพราะในละแวกนั้นมีอาเม่ยเพียงคนเดียวที่กำเนิดมาพร้อมกับเวทย์ จึงเป็นความแตกต่างที่ทำให้บิดาตัดสินใจส่งไปอยู่กับเหล่าผู้เฒ่า จากนั้นมารดาพาต้าซันหนีไปเมืองหลวงเพียงลำพัง ในเมืองหลวงมีงานมากมาย แต่มารดากลับตั้งใจอย่างยิ่งที่จะพาต้าซันเข้าทำงานในวังหลวง
นั่นอาจเพื่อให้ได้รับความคุ้มครอง
คุ้มครองจากผู้ใด
จากอาเม่ยหรือ
เป็นไปไม่ได้!
2 พี่น้องไม่มีท่าทีเป็นอันตรายต่อกันและกันเลยสักนิด!
เช่นนั้น ผู้เป็นแม่พาต้าซันหนีใครมา!
สุดท้ายก็คือที่นั่นคือกลุ่มบ้านช่างเหล็ก ยังมีซากของโรงตีดาบหลงเหลืออยู่ อาเม่ยเติบโตมาจากที่นั่น แต่ตลอดเวลา 3 วัน อาเม่ยไม่ได้จับโลหะใด นอกไปจากมีดทำครัว และมีดเล็กแกะสลักไม้!
นั่นอาจหมายถึงการที่อาเม่ยเองก็พยายามสะกดอำนาจบางอย่างที่ครอบคลุมตนอยู่
เมื่อมาถึงเมืองหลวงและรายงานข้อสงสัยเหล่านี้ต่อกลุ่มราชองครักษ์ทั้ง 9 แห่งพระราชาฟารัค
ทั้งหมดล้วนเป็นผู้มีเวทย์ที่แข็งแกร่ง เสริมด้วยความรู้ความสามารถที่ยอดเยี่ยม แต่ต่างก็แยกย้ายกันทำงานตามพระบัญชา และมีเพียงหัวหน้าราชองครักษ์บาดาที่อยู่ใกล้ชิด นอกจากการเป็นผู้อาวุโสสูงสุดแล้ว ยังเป็นผู้ที่มีความคิดสุขุมรอบคอบ เชี่ยวชาญเรื่องการใช้วาจาโน้มน้าวผู้คน และที่สำคัญที่สุดคือเวทย์ของราชองครักษ์บาดาในการเสริมความเข้มแข็งให้กับผู้อื่น
ราชองครักษ์ผู้หนึ่งที่เชี่ยวชาญเรื่องธาตุดินและไม้ให้ความเห็น “เรามักใช้ไม้เพื่อสะกดธาตุลม เพราะธาตุลมคือตัวแทนของอารมณ์ที่อ่อนไหว ที่นั่นเป็นพื้นที่แห่งไฟ ถ้าไฟพบกับลมก็มีแต่จะเป็นไฟป่า”
หัวหน้าราชองครักษ์บาดาทักขึ้นในทันที “พระราชาเคยมีรับสั่งเช่นนี้ ตอนที่แม่ทัพพาอาเม่ยมาเข้าเฝ้าพระราชาครั้งแรก ดังนั้นที่ว่าอาเม่ยกลับไปจำอันใดไม่ได้นั้นเป็นเรื่องเท็จ”
“เวทย์ที่สามารถพรางตนเองจนทั้งพระราชา ทั้งแม่ทัพตลอดจนพวกเราทุกคน ทั้งค่ายทหารยังจับไม่ได้” ราชองครักษ์จาบีผู้กล่าวคำกำลังกุมขมับตนเอง “มันคือเวทย์ดำที่มาจากที่ใด หากไม่รู้ที่มา ก็ไม่อาจรู้ว่าจะแก้ไขอย่างไร”
คนผู้นี้มีรูปร่างผอม สีหน้าท่าทางเคร่งเครียดจริงจังต่อทุกสิ่ง เมื่อกล่าวคำขึ้นมาทุกคนในที่นั้นล้วนถอนหายใจอย่างหนักหน่วง
อย่างไรก็ตาม ในความอับจนเรื่องของอาเม่ย ยังมีเรื่องหนึ่งที่ทุกคนพอจะคาดเดาได้ตรงกัน ว่าบุคคลที่กำจัดผู้ที่ลักลอบติดตาม 2 พี่น้องคือใคร
“มีอยู่เพียงคนเดียว ที่เมามายแล้วกลายเป็นผู้ที่เดี๋ยวพบเจอ เดี๋ยวสูญหายไป พระราชายังไม่รู้เรื่องนี้ หากทรงรู้เรื่องก็คงจะเบาพระทัยขึ้น”
แต่ราชองครักษ์จาบีผู้ที่ยังเป็นกังวลเรื่องเวทย์ที่อาเม่ยพยายามควบคุมอยู่ ทักท้วงคำกล่าวของหัวหน้าราชองครักษ์บาดา “เบาพระทัยก็จริง แต่หากให้กลับมาทั้งที่ยังคุมเวทย์ไม่ได้ จะกลายเป็นเรื่องใหญ่หรือไม่ ในการเดินทัพสิ่งสำคัญที่สุดคือการไว้วางใจกัน”
*.*
ต้าซันไม่รู้ว่าจะพาน้องชายหนีไปที่แห่งใด เมื่อพ้นจากตัวเมืองออกมาก็ได้แต่เดินเท้า สลับกับอาศัยรถม้าของผู้อื่น เพราะไม่มีเงินติดตัว กลางคืนก็จำต้องให้น้องนอนในโรงนา ส่วนตนเองรับจ้างทำงานแลกอาหาร
จากหมู่บ้านหนึ่งไปอีกหมู่บ้านหนึ่ง
เรื่องที่จะให้ถามเรื่องราวต่างๆ จากอาเม่ยนั้นเป็นไปไม่ได้เลย ด้วยอาเม่ยไม่ยอมกล่าวสิ่งใด แต่มีบางสิ่งบางอย่างที่ต้าซันพอจะจับได้ว่า น้องกำลังหวาดกลัว กังวล และเป็นทุกข์อย่างยิ่ง
คาดเดาแบบผู้ที่ไม่มีเวทย์ และไม่มีความคิดซับซ้อนหลายชั้น ต้าซันสรุปว่า อาเม่ยหึงหวงที่แม่ทัพพูดจาเป็นอย่างดีกับองครักษ์เก้า
แม้ตอนที่ซัดพลังใส่ จะรุนแรงไปมาก และการต่อสู้กับผู้อื่นในเวลานั้นจะเป็นเรื่องเกินเลย
แต่จะให้สรุปเป็นเรื่องอื่นได้อย่างไร!
ดังนั้นก็ต้องพาน้องหนีออกมาให้ห่างไกลจากเมืองหลวงที่สุด
แต่สุดท้าย 2 คนพี่น้องก็กลับมาหยุดอยู่ที่หมู่บ้านที่เสียหายเพราะเพลิงไหม้ และถูกทิ้งร้าง
ต้าซันเกาผมยุ่งๆ หันไปหาน้องชายที่ดูแปลกใจที่พี่ชายมาพาที่นี่เช่นกัน
“นี่ต้องเป็นเพราะทั้งชีวิต ข้ารู้จักแต่วังหลวงกับที่นี่เท่านั้น ไปสำรวจกันก่อนว่าพอจะมีที่ให้เจ้าพักไหม แล้วข้าจะค่อย ๆ ซ่อมไปนะ”
แต่ในวันแรกที่หมู่บ้าน อาเม่ยไม่ได้นอนพัก หากแต่คอยช่วยต้าซันอยู่ข้างๆ ตลอดเวลา จนกระทั่งกลางคืนที่อาเม่ยได้ยินเสียงผิดปกติ จึงลุกขึ้นมองฝ่าความมืด หันมามองคนที่นอนอยู่ข้างๆ ก็ยังหลับอยู่จึงลุกออกไปดู
ได้ยินเสียงสนทนาจากผู้ที่อยู่ด้านหลังต้นไม้ใหญ่ ตามมาด้วยเสียงอาวุธที่ทะลุผ่านเนื้อพร้อมกับเสียงร้อง จากนั้นคนรูปร่างสูงใหญ่ก็ก้าวออกมาหา
“เสี่ยวเม่ย ที่นี่ไม่ปลอดภัย ไปกับข้าเถิด”
อาเม่ยชักเท้าก้าวถอย พลางส่ายหน้า แล้ววิ่งกลับมาหาต้าซัน ตั้งใจไว้อย่างแน่วแน่ ว่าหากคนผู้นั้นเดินเข้ามาที่บ้าน ก็ชวนพี่ชายหลบหนีต่อไปอีก
แต่คนผู้นั้นไม่ได้ติดตามเข้ามาที่บ้านพัก อาเม่ยอยากปลุกต้าซัน แต่พี่ชายก็เหน็ดเหนื่อยมาหลายวันติดต่อกัน ได้แต่ตั้งใจว่าหากคนผู้นั้นเข้ามาก็จะปลุก สุดท้ายกลายเป็นหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
จากวันนั้นแม้จะไม่พบเห็นคนผู้นั้นอีก แต่กลับยังนึกรู้ว่ายังอยู่ใกล้ ด้วยในบางวันที่ตื่นเช้ามาพบผลไม้ป่ามาวางไว้ที่หน้าบ้านพัก
ต้าซันกลับคิดไปว่าอาจมีสัตว์ป่า หรือนกที่คาบผลไม้มาวางทิ้งไว้ให้
“อย่าออกไปไหนไกลคนเดียวนะ” พี่ชายกล่าวเตือน
จนเย็นวันหนึ่งที่อาเม่ยออกไปหาผลไม้ห่างออกมาทางเชิงเขา พบศพชายแก่คนหนึ่งจึงกลับมาบอกต้าซัน
2 พี่น้องช่วยกันฝังศพ ระหว่างนั้นต้าซันเผยว่า เคยเห็นคนตายทั้ง 2 คน คนหนึ่งเป็นขอทานที่มักเดินผ่านหน้าบ้าน ส่วนอีกคนเป็นเพื่อนบ้าน แต่ไม่รู้ว่าทั้งคู่มาที่นี่ได้อย่างไร
ต้าซันหันมาหาน้องชายที่ไม่ได้กล่าวสิ่งใดมากความนัก “ภายใน 3 วันนี้ถ้ามีใครเข้ามาที่นี่ ข้าจะถือเป็นสัญญาณให้พวกเราเดินทางต่อ และครานี้พวกเราจะเดินทางไปเรื่อย ไร้หลักแหล่ง ไม่ว่าผู้ใดก็หาพวกเราไม่พบ...ตกลงหรือไม่”
อาเม่ยพยักหน้ารับคำของพี่ชาย
และเมื่อมองไปทางต้นไม้ใหญ่ทางด้านหลังของพี่ชาย....คนผู้นั้นก็ยืนมองอยู่ คาดว่าจะได้ยินทุกคำกล่าวของต้าซัน ดวงตาที่มองกันและกันหยุดนิ่ง อาเม่ยกัดริมฝีปาก ค้อมตัวลงช้าๆ และเมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง....คนผู้นั้นก็หายไปแล้ว....
เรื่องราวหลังจากนั้นก็คือการที่อาเม่ยเริ่มแกะสลักไม้อยู่ที่หน้าบ้านพัก และทำสวนครัว ขณะที่ต้าซันซ่อมบ้านตามที่ตั้งใจไว้ และพูดอยู่เสมอว่า จะเอาไม้แกะสลักของอาเม่ยไปขายในหมู่บ้าน
“เจ้าแกะให้มันเป็นปิ่นปักผมของผู้หญิง หรือเป็นด้ามยาสูบ เป็นถ้วยชาอะไรก็ได้ที่มันใช้การได้สิ ข้าจะได้เอาไปขายง่ายๆ เจ้าแกะเป็นม้า เป็นนกแบบนี้ มันขายยาก” ต้าซันเสนอความเห็น
คนแกะไม้ทำหน้ายุ่งๆ จากนั้นก็เปลี่ยนรูปร่างของไม้แกะสลักในมือเป็นเครื่องประดับ และสิ่งของเครื่องใช้ เพื่อให้ต้าซันนำไปขาย
แต่เมื่อต้าซันหยิบม้าและนกที่อาเม่ยแกะไว้ขึ้นมาพิจารณาถึงได้พบว่า สัตว์แกะสลักความสูงครึ่งคืบเหล่านี้ล้วนมีรูปร่างแปลกประหลาด
....ทั้งแปลกประหลาดและน่ากลัว....
“อาเม่ยนี่มัน.....”
“มันเป็นของอัปมงคลอย่าเอาไปขายเลย”
ต้าซันเกาหน้าผากตัวเอง “ว่าที่จริง มันก็สวยดีนะ แต่ถ้าเป็นของไม่ดี ก็อย่าเก็บไว้สิ”
ที่จริงต้าซันอยากกล่าวว่า ของไม่ดีแกะขึ้นมาทำไม แต่ก็เพราะรู้ว่าอาเม่ยต้องมีเหตุผลที่แกะมันขึ้นมา
เหมือนกับทุกสิ่งทุกอย่างที่อาเม่ยทำลงไป มันต้องมีเหตุผลสิ!
และว่าที่จริง การที่อาเม่ยไม่ค่อยพูด ทั้งนั่งแกะสลักไม้อยู่ตามลำพังที่หน้าบ้านเช่นนี้ ไม่ได้ต่างจากอาเม่ยในตอนที่ยังเล็กเลยสักนิด
เพียงแต่ในเวลานั้น อาเม่ยมักจะเล่นไฟ หรือบังคับลมให้ประคองใบไม้ อยู่เหนือฝ่ามือบ้าง ควบคุมก้อนหินก้อนดินเล็กๆ ให้เปลี่ยนทิศทาง แบบที่ต้าซันมักบอกกับมารดาว่า ตนกำลังทำงานและมีน้องเล่นอยู่คนเดียวใกล้ๆ
“อาเม่ยเจ้ายัง.....” ต้าซันถามแค่ครึ่งประโยค
น้องชายผู้มีดวงตาสีแปลกหันมาถาม “กลัวหรือ”
“เจ้าก็รู้ว่าข้าไม่เคยกลัวเจ้า และรู้ว่า 2 ศพที่พบนั่นไม่ใช่ฝีมือเจ้า แต่หากพวกเราต้องเดินทางต่อไป หากจำต้องหนีออกจากเมืองวัน ไปเมืองบาสก์ หากเจ้ายังมีเวทย์ พวกเราอาจถูกขับออกมา”
เพราะแน่ใจว่า คนผู้นั้นไม่อยู่แล้ว อาเม่ยจึงกล่าวขึ้น “ข้ารู้จักที่อีกที่หนึ่งที่อยู่ห่างไกล หากยังมีผู้ติดตามมาอีก เราไปที่นั่นก็ได้”
แต่เมื่อราชองครักษ์ลาทีฟกับพริมตามมาถึงที่นี่และจากไป ทั้งอาเม่ยและต้าซันกลับไม่ได้พูดถึงเรื่องการหลบหนีต่อไปอีก
*-*จบตอนที่ 29*-* 
ภาพนี้จาก
www.etsy.com