ตอนที่ 30 พระราชาถึงกับสะกดความดีพระทัยเอาไว้ไม่ได้ เมื่อหัวหน้าราชองครักษ์บาดากราบทูลว่า องครักษ์เก้าและพริมขอเข้าเฝ้าฯ เป็นการส่วนพระองค์ จึงมีรับสั่งให้ทั้งคู่ไปรออยู่ที่หน้าเรือนพักหลังเดิมที่องครักษ์เก้าเคยพักก่อนหน้านี้
เมื่อครั้งที่ถูกแม่ทัพนาซิมทำร้าย องครักษ์เก้าถูกส่งตัวมารับการรักษาที่นี่เพื่อความสะดวกของพระราชาเอง ต่อมาจึงถูกย้ายไปคุมขังที่เรือนจำเวทย์ จากนั้นก็ย้ายไปอยู่ที่ค่ายทหารหาได้กลับมาพักที่เดิมไม่
แต่ไม่ว่าจะถูกย้ายไปที่ใดพริมก็จะไปเยี่ยมเยียนอยู่เสมอ ทำหน้าที่คนรักโดยไม่ขาดตกบกพร่อง แม้แต่เมื่อพระราชารับสั่งให้ไปเจรจากับอาเม่ย หญิงสาวก็หาได้บ่ายเบี่ยง
“ข้าพระองค์มิอาจถวายคำเตือน ด้วยทราบดีว่าพระองค์มีแนวทางอยู่ในพระทัย แต่หนุ่มสาวคู่นี้ต่างเรียนรู้และผ่านเรื่องราวมามากมาย...” หัวหน้าราชองครักษ์บาดา กราบทูลเมื่อเดินตามพระราชาออกมาจากห้องทรงงาน
พระราชาแสร้งถอนพระทัย ด้วยรู้ดีว่า ราชองครักษ์ผู้นี้เป็นหนึ่งในเรื่องการเจรจา “ข้ารู้หรอกน่า ว่าเมื่อเรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้วก็ต้องให้พวกเขาตัดสินใจ”
..ไม่เห็นหรือไง ว่าข้าดีใจขนาดไหน ที่ทั้ง 2 คนมาขอพบข้า..
แต่เมื่อก้าวเข้าสู่เขตอุทยาน มองเห็นหลังคาของเรือนหลังเล็กผ่านพ้นยอดไม้ พระราชากลับประทับยืนอยู่ที่หน้าสระบัว แล้วหันมาหาหัวหน้าราชองครักษ์
“มีเรื่องหนึ่งที่ข้าอยากบอกกับเจ้าไว้”
“กระหม่อม”
ราชองครักษ์ค้อมตัวเตรียมรับคำสั่งจนพระราชาต้องโบกพระหัตถ์ “ข้าไม่ได้ให้งานเจ้า แต่อยากทำความตกลงกับเจ้าไว้ก่อน ว่าที่ข้าคิด ข้าทำลงไปทั้งหมดนี้ ข้าเพียงอยากให้เชมัลมีความสุข อยากให้เขาได้อยู่กับคนที่เขารัก”
เรื่องนี้หัวหน้าราชองครักษ์ที่รับใช้ใกล้ชิดทราบเป็นอย่างดี
“ในวันแรกที่เขาพาอาเม่ยมาหา ข้ามองเห็นความทุกข์ของเชมัลที่เกิดขึ้นในวันนี้ แต่ข้าคิดว่าข้าสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ ถึงกับส่งอาเก้าไปหานาซิม เพราะหวังว่าอาเก้าจะมีความสุขอยู่กับนาซิม ส่วนฮูดาแม้ข้าจะไม่เคยชอบคนผู้นี้ แต่ก็ไม่มีความสำคัญต่อจิตใจของเชมัลมากไปกว่าคำว่าเพื่อน จึงให้อยู่สนับสนุนงานในสนามรบของเชมัลต่อไป”
หัวหน้าราชองครักษ์ไม่ได้ประหลาดใจที่พระราชา รับสั่งอย่างตรงไปตรงมาเรื่องที่ล่วงรู้อนาคตของแม่ทัพเชมัล และทรงจัดการเรื่องราวมากมายเพื่อไม่ให้พระอนุชาต้องเสียพระทัย แต่วันนี้ก็ยังมาถึงอยู่เช่นเดิม
“แผนของข้าก็คือ นาซิมต้องดูแลอาเก้า และพวกเขาจะต้องสนับสนุนเชมัลรบชนะเมืองเหนือ” พระราชาหันมาตรัสย้ำ “แต่ในเวลาเดียวกัน ในความยิ่งใหญ่ของเชมัล เขากลับถูกขัดขวางจากความผิดหวังในเรื่องความรัก ดังนั้นข้าถึงบอกให้เชมัลและทุกคนสนับสนุนเรื่องของนาซิมกับเก้า ความสำเร็จของพวกเขาจะช่วยให้ข้าสามารถนำมาต่อรองเพื่อบรรเทาโทษของอาเม่ย เพื่อให้สามารถอยู่กับเชมัลได้....แต่จนถึงวันนี้ เชมัลยังคงเสียใจ และเส้นทางของนาซิมกับเก้า ไม่ได้ใกล้เคียงกับสิ่งที่คาดหวังเลยสักนิด”
พระราชาฟารัคเคยต้องส่งพระราชสาส์นไปหารือกับพระราชาเมืองบาสก์ และร่วมการเดินทางไปหาแม่ทัพเชมัล และอาเม่ยที่เกาะมรกตที่อยู่ห่างไกลด้วยกันมาแล้ว
“มันมี...ความผิดพลาดในเรื่องการลำดับเวลา”
“ฝ่าบาท" ราชองครักษ์บาดากล่าวขึ้น แต่พระราชาโบกพระหัตถ์
“ข้าตั้งใจไว้นะ ในวันนี้ ไม่ว่าอาเก้ากับพริมจะตัดสินใจอย่างไร ข้าก็จะยอมรับ เช่นเดียวกับเชมัล ถ้าเขาอยากไปหาอาเม่ย ข้าก็จะยอมให้ไป”
“ทัพเมืองเหนือเล่าฝ่าบาท”
“ทัพเมืองเหนือรอเชมัล เชื่อข้าสิ” พระราชารับสั่งด้วยความมั่นพระทัยอย่างเต็มเปี่ยม “พวกมันกลัวเชมัลยิ่งกว่าข้าเสียอีก มันถึงได้ส่งอาเม่ยมาเล่นงานเชมัลโดยตรง”
ราชองค์รักษ์บาดาส่งเสียงในลำคอ
“พวกเจ้าคิดว่าข้าอ่านอาเม่ยไม่ได้ละสิ” พระราชายกดัชนีตวัดไปมา “ข้าบอกแล้ว ว่าทั้งหมดนี้ข้าทำเพื่อเชมัล ถ้าเชมัลรักคนนี้ ก็คือคนนี้”
“พระองค์ไม่ได้กังวลว่าเวทย์ดำจากอาเม่ยอาจจะทำร้ายผู้อื่นหรือไร”
“ไม่ เพราะเชมัลก็มองเห็น และรู้ว่าจะปกป้องอย่างไร” พระราชาหันมาถามหัวหน้าราชองครักษ์ “เจ้ามองไม่เห็นหรือ”
หัวหน้าราชองครักษ์ยอมรับอย่างตรงไปตรงมา “ไม่เลยฝ่าบาท เมื่อวานนี้เหล่าราชองครักษ์หารือกันเรื่องที่ลาทิฟกลับมาจากหมู่บ้าน ก็ถามกันเรื่องนี้ ทุกคนต่างยอมรับว่าไม่มีผู้ใดมองเห็น”
“คนที่วางเวทย์ดำไว้ที่เม่ยเป็นใครข้าไม่รู้ แต่คนผู้นี้ต้องอยู่ในเมืองวัน ส่วนเฮยอั้นไปกระตุ้นให้เวทย์ดำตื่นขึ้นและทำให้เม่ยหันมาสังหารเพื่อน”
รับสั่งของพระราชาแสดงให้เห็นว่า ทรงล่วงรู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น
หัวหน้าราชองครักษ์บาดานึกขึ้นได้ “ลาทีฟได้พบกับผู้เฒ่าที่เป็นอาจารย์ของอาเม่ยแล้ว”
“อา.........” พระราชาฟารัคลูบคาง “เสร็จจากเรื่องของเก้ากับพริมในวันนี้ คงต้องถามไถ่กันสักหน่อยว่ามีใครอยากไปเที่ยวหมู่บ้านในหุบเขาบ้างไหม”
แต่การเข้าเฝ้าขององครักษ์เก้า และพริม ทำให้พระราชาต้องเปลี่ยนแปลงแผนการอีกครั้ง
ราชองครักษ์เก้าผู้สุภาพเรียบร้อย กับแม่หญิงพริม นั่งอยู่เคียงกันแล้วลุกขึ้นยืนถวายความเคารพเมื่อพระราชาเสด็จมาถึง
และเห็นได้ชัดเจนว่า องครักษ์เก้าไม่ได้เป็นคนเริ่มต้นการเข้าเฝ้าในครั้งนี้ เมื่อพริมกล่าวขึ้นก่อน
“หม่อมฉันขอให้พระองค์ถอนการหมั้นหมายระหว่างหม่อมฉันกับองครักษ์เก้าเพคะ”
ทุกคนในที่นี้ล้วนประหลาดใจ แม้เหตุผลของพริมจะเรียบง่าย
“พวกเราไม่ได้ชอบพอกันมาตั้งแต่แรก หากเรื่องราวทั้งหมดกล่าวออกไปแล้วจะมีแต่ความเสื่อมเสีย” พริมไม่รู้ว่า ทุกคนในที่นี้ล้วนรู้เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นแล้ว จึงเล่าเรื่องตั้งแต่แรก “แต่หม่อมฉันยอมรับว่ายินดีอย่างยิ่งที่เป็นท่านพี่ ได้ดูแลกันและกัน แม้ในยามที่ท่านพี่บาดเจ็บกลับมา หากแต่ในความจริงแล้ว พ่อและแม่เป็นผู้ที่บอกให้หม่อมฉันมาดูแลท่านพี่อยู่ทุกวัน มิใช่ว่าหม่อมฉันไม่อยากมา” พริมหันไปกล่าวกับองครักษ์เก้าที่มีใบหน้าซีดเผือด “แต่เวลาที่มา ก็กลับเป็นห่วงงานที่ร้าน ห่วงเด็กๆ มีแต่ความคิดว่า ไม่จำเป็นต้องมาทุกวัน แต่ก็ต้องมา หากเพียงเท่านี้ยังไม่ชัดเจนที่จะตัดสินใจว่า ความรู้สึกที่แท้จริงเป็นเช่นใด เพราะท่านพี่ยังดีกับหม่อมฉันไม่เปลี่ยนแปลง"
"แม้ในวันที่พระองค์รับสั่งให้ออกไปนอกเขตเมืองหลวงเพื่อช่วยงาน และรับสั่งว่า เมื่อกลับมาจะประทานสมรสให้ หม่อมฉันตกใจ หากแต่ก็ไม่ได้คิดวิเคราะห์อันใดอย่างจริงจัง คิดไปว่า อาจเพราะไม่ค่อยได้เดินทางไกล ทำให้จิตใจว้าวุ่นสับสน ต่อเมื่อกลับมา แล้วคิดถึงไปเรื่องที่พวกเราจะต้องสมรสกัน ต้องอยู่ด้วยกันตลอดไปขึ้นมา หม่อมฉันก็รู้สึกว่า หม่อมฉันไม่พร้อม.......”
“หากเจ้ายังไม่พร้อมแต่งงานก็ไม่เป็นไร รอไปก่อนก็ได้” พระราชาตรัสขึ้น
แต่พริมยังคงกล่าวคำเดิม ทั้งกล่าวกับองครักษ์เก้าที่ยังมีสีหน้าซีดเผือดคล้ายจะหมดสติลงไปได้ทุกเมื่อ
“ท่านพี่เป็นคนดีอย่างหาที่สุดมิได้ ทั้งคิดว่าในชีวิตจะไม่มีผู้ใดที่ดีกับข้าได้เช่นนี้อีกแล้ว แต่ข้าต้องยอมรับว่า ความรู้สึกว่าท่านดีอย่างยิ่งนั้นมิใช่ความรัก ข้าเป็นหญิงข้าจึงต้องการสมรสกับชายที่ข้ารัก มิใช่คนที่ข้าควรจะรัก”
“พริม...” องครักษ์เก้ากล่าวได้เพียงแค่นั้น
“จะบอกว่าการตัดสินใจนี้ไม่มีเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นเข้ามาเกี่ยวข้องก็คงไม่ได้ เพียงแต่ทำให้ข้ารู้ความรู้สึกของตนเองชัดขึ้นกว่าเดิม และไม่อยากฝืนความรู้สึกนี้”
ท่าทีตกใจขององครักษ์เก้า ทำให้พริมต้องหยุดกล่าวคำ แล้วจับมือขององครักษ์เก้าไว้แน่น
มือที่มักจะจับธนูคู่นั้นเย็นเฉียบ “ท่านพี่ ข้าขอโทษ”
อีกคนพยักหน้า ทั้งที่สมองกำลังว่างเปล่า สุดท้ายพระราชาจึงตัดสินพระทัย
“เรียกนางวังหลวงออกไปส่งพริมให้ถึงที่ร้านขนมปัง และเรียกลาทีฟมาดูเก้า”
พริมคลายมือจากองครักษ์เก้า แล้วถวายความเคารพพระราชา จากนั้นจึงหันไปกล่าวคำขออภัยองครักษ์เก้าอีกครั้งแล้วจากมา สวนกับราชองครักษ์ลาทีฟ
“ฝ่าบาท”
“ดูเก้า”
ถึงจะไม่มีรับสั่ง แต่ราชองครักษ์อาวุโส ก็เห็นความผิดปกติของคนผู้นี้มาตั้งแต่แรก
ใบหน้าซีดเซียว ท่าทางตกใจเสียขวัญเช่นนี้
ขณะที่ราชองครักษ์ลาทีฟกำลังตรวจดูองครักษ์เก้า ฝ่ายราชองครักษ์บาดา ก็กราบทูลพระราชา
“ผิดแผนหรือฝ่าบาท”
พระราชาพยักพระพักตร์ยอมรับแล้วรีบโบกมือ “ก็...ไม่เชิง เรื่องนี้ก็อยู่ในความเป็นไปได้ ก็บอกแล้วนี่ว่าตัดสินใจอย่างไรก็ยอมรับ ข้าแค่...ไม่คิดว่าสตรีอ่อนแอ และเป็นผู้ตามอยู่เสมอเช่นนั้น วันหนึ่งกลับชักชวนคู่หมั้นมาบอกเลิกกับเขาต่อหน้าข้าเช่นนี้”
ในความจริง พระราชาฟารัคทรงคาดว่า ทั้งคู่จะมาเร่งรัดถามเรื่องกำหนดวันสมรส หรือในทางตรงข้าม ก็คือทั้งคู่เห็นพ้องกันที่จะยุติความสัมพันธ์ เพราะพริมพอใจชายอื่นแล้ว
แต่นี่กลับกลายเป็นว่า พริมมิได้พอใจผู้ใด แต่กลับรู้ใจตนเอง ว่ามิได้ชอบพอองครักษ์ และไม่ต้องการคบหากันต่อไปอีก
หัวหน้าราชองครักษ์ลอบยิ้มมุมปาก
“เช่นนั้นข้าพระองค์สมควรใช้คำว่าประหลาดพระทัยเป็นอย่างมาก”
“อืม เช่นนั้นแหละ” พระราชาหันมามองราชองครักษ์คู่พระทัย “เจ้าดูจะพอใจนะ”
“ข้าพระองค์เพียงอยากให้ทรงยอมรับว่าเราควบคุมจิตใจผู้คนไม่ได้”
“ฮึ่ย..” พระราชาโบกพระหัตถ์อีกครั้ง “ทำไมทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเก้ามันถึงได้ผิดพลาดไปเสียทุกครั้งนะ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ” เมื่อราชองครักษ์กระแอมเตือน พระราชาก็ถอนพระทัยแรงๆ “ไม่เข้าใจ และไม่อยากเชื่อเลยจริงๆ”
ยิ่งมีรับสั่ง ความไม่พอพระทัยก็ยิ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ
“แล้วฝ่าบาทเปลี่ยนพระทัยเรื่องแม่ทัพนาซิม กับองครักษ์เก้าแล้วหรือ”
“เปลี่ยนใจตั้งแต่เขาทำร้ายเก้าแล้ว” พระราชายอมรับ “เมื่อเราทำร้ายคนจะด้วยเหตุผลอันใดก็ตาม เราต้องพยายามไถ่โทษ แล้วตั้งแต่เกิดเรื่องนาซิมทำอะไร ส่งคนมาอยู่กับข้าแล้วก็ทำตัวกล้าหาญอยู่ที่แนวหน้า พวกเจ้าเดี๋ยวไปหน้าด่านเดี๋ยวกลับเมืองหลวง เขาเคยฝากของมาเยี่ยมสักชิ้นไหม ข้าให้โอกาสครั้งสุดท้ายจนถึงวันที่ส่งเจ้าไปเมืองหน้าด่าน เขากลับอ่านความคิดของข้าไม่ออก ดังนั้น ข้าจึงไม่สนใจเรื่องนี้แล้ว เอาเป็นว่า องครักษ์เก้าตัดสินใจอย่างไรก็อย่างนั้น”
“อ้าว...” ราชองครักษ์ทั้ง 2 คนร้องขึ้นพร้อมกัน
แม่ทัพเชมัล และหัวหน้าราชองครักษ์บาดา ที่รับใช้อยู่ใกล้ยังไม่รู้พระทัย แล้วแม่ทัพนาซิมที่อยู่ห่างไกลจะรู้พระทัยได้อย่างไร
พระราชาคงผิดหวังเรื่องพริมเป็นอย่างมาก ถึงได้มีท่าทีดั่งวัยรุ่นไม่ได้ดั่งใจ พาลผู้คนรอบตัวเช่นนี้
“ตอนที่แม่ทัพนาซิมทำผิดต่อเก้า ฝ่าบาทรับสั่งให้แม่ทัพจัดการฝ่ายเมืองเหนือแล้ว” หัวหน้าราชองครักษ์บาดาช่วยแก้ไข
“แล้วจัดการหรือยัง พอถูกเวทย์ดำก็สูญเสียความมั่นใจ ตั้งหน้าตั้งตารอให้เชมัลไปสนับสนุน เชมัลนี่ก็อีกคน พอหยุดเวทย์ดำในตัวอาเม่ยไม่ได้ ก็พาลเสียศูนย์ น้องชายข้าแต่ละคนนี่มันไม่ได้อย่างใจเลยจริงๆ”
พระราชามีทีท่าว่าจะบ่นยาว แต่เมื่อเห็นว่าองครักษ์เก้ามองอยู่จึงหันมาถาม “เจ้าจะตัดสินใจอย่างไร”
องครักษ์เก้าส่ายหน้า พระราชาก็พาลหาเรื่องต่อไป
“เอาเป็นว่า คุยกันอย่างตรงไปตรงมาเลยแล้วกัน พริมทิ้งเจ้าแล้ว และเจ้ากลับไปอยู่กับเชมัลไม่ได้ เพราะเขารอแต่เสี่ยวเม่ยของเขา ส่วนนาซิมนั่นข้าคัดค้านเต็มที่เพราะนาซิมสังหารเจ้าแน่ หรืออยากไปไหนยังไงก็บอกมา”
องครักษ์เก้าที่มีสีหน้าดีขึ้นแล้ว กลับไปมีสีหน้าซีดเผือดอีกครั้ง จนราชองครักษ์ทั้ง 2 คนรู้สึกสงสาร
“ฝ่าบาท จะเร่งให้เก้าตัดสินใจตอนนี้ได้อย่างไร”
“เพราะข้ามีเรื่องต้องทำน่ะสิ” พระราชาตรัสแล้วประทับยืน
“ฝ่าบาทจะเสด็จไปที่ใด”
“ไปหาเชมัล”
พระราชาตรัสแล้วก้าวพระบาทนำไปอย่างรวดเร็ว ทำให้อีก 3 คนต้องเร่งเท้าตามมา
ตอนที่เสด็จไปถึงแม่ทัพเชมัลยังนอนอยู่ในห้องพัก แม้ทหารยามจะเข้ามาเรียกว่าพระราชาเสด็จมาถึงแล้ว แต่อีกฝ่ายก็แค่ลืมตาขึ้นมามองแล้วหลับต่อ ทำให้พระราชาต้องเสด็จเข้ามาถึงห้องพัก
ด้วยอารมณ์ขุ่นมัวที่ไม่ว่าสิ่งใดก็ล้วนไม่เป็นไปตามที่คิด พระราชามีพระดำรัสด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดและดังจนยามที่อยู่หน้าที่พักยังได้ยินอย่างชัดเจน
“เชมัล! ข้าไล่เจ้าออกจากตำแหน่งแม่ทัพ ข้าเรียกองครักษ์ของเจ้า ทหารของเจ้า ค่ายนี้ของเจ้ากลับมาเป็นของข้า ส่วนเจ้าจะไปไหนก็ไป!”
คนที่ถูกไล่ออก กลับมีรอยยิ้มที่มุมปากขณะที่ลุกขึ้นนั่งแล้วพยักหน้า
แต่คนที่คล้ายจะร้อนใจที่สุดคือองครักษ์เก้า
“ฝ่าบาท ทำเช่นนี้ไม่ได้” องครักษ์ผู้สุภาพเรียบร้อย คว้าข้อมือของพระราชาไว้
“ทำไมจะทำไม่ได้ เรื่องของตัวเจ้าเองยังยุ่งเหยิงจนแก้ไขไม่ได้ แล้วจะยังกล้าเสนอความเห็นกับข้าอีกหรือ”
สีหน้าขององครักษ์เก้าเวลานี้ ทำให้ทุกคนในห้องต้องใจอ่อนลง แม้แต่พระราชาที่กำลังไม่พอใจทุกสิ่งก็หันกลับไปหาเรื่องกับพระอนุชา
“ให้อยู่ในค่ายทหารก็เป็นตัวอย่างที่ไม่ดีต่อผู้อื่น”
“ฝ่าบาท” องครักษ์เก้า คุกเข่าลงแต่ยังไม่คลายมือ “ขอพระกรุณา อย่าลงโทษท่านแม่ทัพเช่นนั้นเลย”
“แล้วจะให้เขาเอาแต่เมาไปวันๆ ทั้งที่เมืองเหนือทั้งอสูร ทั้งปีศาจเพิ่มจำนวนขึ้นทุกวันเช่นนั้นหรือ”
ขณะที่องครักษ์เก้ากำลังร้อนใจ ราชองครักษ์ในที่นั่นอีก 2 คนกลับมองเห็นท่าทียินดีของคนที่กำลังถูกลงโทษให้พ้นจากตำแหน่ง
“ขอบพระทัยฝ่าบาท” แม่ทัพเชมัลกล่าวขึ้น
“นาย...ท่านแม่ทัพอย่ากล่าวเช่นนั้น”
แต่แม่ทัพเชมัลส่ายหน้าช้าๆ ลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจ แล้วเข้ามากอดพระราชาไว้แน่น “ขอบพระทัย”
จากนั้นคนรูปร่างสูงใหญ่ก็ก้าวออกไปจากค่ายทหารเพียงลำพัง
เมื่อทอดพระเนตรตามหลังพระอนุชาไปจนลับสายตา จึงมีรับสั่งกับกับบรรดานายกอง
“นับจากวันนี้ให้ราชองครักษ์มีอามาดูแลพวกเจ้า ถ้าใครยังทำอะไรตามใจ เหลวไหลไม่รับผิดชอบหน้าที่ตนเองอีก ข้าจะไล่ให้ไปอยู่นอกด่านชายแดนให้หมด!”
แต่ก่อนที่จะเสด็จกลับ ทรงหันมาหาราชองครักษ์บาดาแล้วส่ายพระพักตร์
จากนั้นก็ก้าวพระบาทไปอีก 2 ก้าวแล้วประทับยืน
"ตอนนี้ไม่ได้ ต้องรอสัก 2 เดือนสินะ"
หัวหน้าราชองครักษ์บาดา หันมามองหน้ากับราชองครักษ์ลาทีฟแล้วส่ายหน้าให้กันและกัน
เป็นไปไม่ได้เลยที่พระองค์จะไม่ยื่นพระหัตถ์เข้าไปจัดการเรื่องของแม่ทัพเชมัล
ราชองครักษ์ลาทีฟหันไปถามหัวหน้าราชองครักษ์บาดาถึงเรื่องที่ค้างคาอยู่ในใจ
"ที่พระราชาส่งข้ากับพริมไปตามเม่ย พระองค์รู้ได้อย่างไรว่าเม่ยอยู่ที่หมู่บ้านนั้น มีใครมากราบทูลพระองค์หรือ"
ราชองครักษ์บาดาส่ายหน้า "ไม่ใช่ข้า"
"แล้วข้าก็สงสัยว่า แม่ทัพเชมัลตามไปพบเม่ยที่นั่นก่อนหน้าที่ข้าจะไปถึงแล้วก็กลับมาเมาอยู่ที่ค่ายทหาร"
สุดท้ายราชองครักษ์ 2 คนหันมามองหน้ากันแล้วถอนหายใจหนักๆ
"พี่น้อง 3 คนนี้ เหลือเชื่อเลยจริงๆ"
*-*จบตอนที่30*-*
ภาพนี้มาจาก goodwp.com/