ตอนที่ 32ทั้งหมู่บ้านแห่งนี้มีบ้านพักอยู่เพียง 2 หลัง บ้านหลังเล็กที่อยู่ในสภาพที่ดีบ่งบอกชัดเจนว่ามีผู้อาศัยอยู่
บ้านหลังนี้มีโครงสร้างยกพื้น 3 ระดับจากลานดินหน้าบ้าน คือส่วนที่เป็นครัวกับห้องน้ำอยู่ในระดับที่ 1 ระดับที่ 2 คือส่วนที่เป็นห้องโถง ที่ใช้ทั้งกินข้าวและใช้งานอื่น และที่สูงที่สุดในระดับเพียงบันไดขั้นที่ 3 คือห้องนอนที่มีเพียงห้องเดียว
บ้านอีกหลังแม้จะมีขนาดใหญ่กว่า แต่ยังปลูกสร้างไม่เสร็จ หน้าต่าง หลังคา ยังไม่เรียบร้อย หากยังสามารถเข้าพักได้ บ้านหลังนี้มีพื้นครัวและห้องน้ำเสมอกับลานดินหน้าบ้าน แต่ส่วนที่เป็นห้องนอนอยู่สูงกว่าครัว 3 ขั้นบันได
ทั้ง 2 หลังไม่ใช่บ้านหลังเดิมที่ต้าซันและอาเม่ยเคยพัก แต่ต้าซันปรับปรุงขึ้นใหม่ โดยอาศัยแบบบ้านจากในเมืองหลวงมาดัดแปลง เนื่องจากที่นี่อยู่ในหุบเขา ยามเมื่อฝนตกอาจมีน้ำหลากจากภูเขาไหลลงมา
นอกจากความละเอียดรอบคอบจะทำให้ต้าซันใช้เวลาในการทำงานนานกว่าปกติ เจ้าตัวยังซ่อมบ้านหลังเล็ก 1 วัน หลังใหญ่ 1 วัน ไปซ่อมโรงเก็บม้าบ้าง ซ่อมบ่อน้ำบ้าง สุดท้ายจึงไม่มีอะไรที่นี่ที่เสร็จสมบูรณ์
มิใช่!...สิ่งปลูกสร้างที่เสร็จสมบูรณ์มีเพียงบ้านพักหลังเล็กที่อาเม่ยพักอยู่เท่านั้น
รุ่งเช้าอาเม่ยก้าวออกมาจากบ้านพักหลังเล็ก มองผ่านหน้าต่างที่ยังเป็นช่องผนังของบ้านหลังใหญ่ เห็นต้าซันกำลังเตรียมอาหาร จึงเดินเข้าไปหา
“ข้ากำลังจะเตรียมอาหารเช้า ดีที่เดินมาดูก่อน”
ผู้เป็นพี่ชายหันมายิ้มกว้าง “บ้านนี้กว้างขวางกว่า มากินที่นี่เถิด” เว้นไปนิดหนึ่งก็ทำสีหน้าอยากรู้ “คุยกันแล้วสินะ”
พออาเม่ยส่ายหน้า พี่ชายมีท่าทีผิดหวังแล้วปรับสีหน้าอย่างรวดเร็ว “ไม่ได้คุยกันงั้น....”
“ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นทั้งนั้นแหละ” อาเม่ยกล่าว
ต้าซันเป็นคนที่สามารถอ่านความคิดและความรู้สึกได้ง่ายดายที่สุด ต่อให้เป็นเด็กเล็กที่ไม่มีความสามารถใดๆ ก็ยังรู้ ว่าต้าซันกำลังคิดอันใดอยู่ ยิ่งยามนี้ที่มีสีหน้าท่าทางอยากรู้เรื่องราวมากมาย ชัดเจนกว่าการถามออกมาตามตรงเสียอีก
ที่สำคัญคือ ต้าซันไม่ได้ติดใจอันใด ว่าอาเม่ยจำราชองครักษ์ และพริมที่เดินทางมาก่อนหน้านี้ได้หรือไม่ได้
เรื่องที่ผ่านไปแล้ว ควรปล่อยให้มันผ่านไป สิ่งสำคัญคือ เมื่อแม่ทัพเชมัลเดินทางมาด้วยตนเอง ย่อมหมายถึงความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นตามมาอย่างแน่นอน
“ข้านอนบนเตียง และอยู่ในห้อง ส่วนเขานอนที่แคร่ตัวยาวหน้าห้อง”
“อ้าว....."
อาเม่ยส่ายหน้าให้กับน้ำเสียงผิดหวังของพี่ชาย ขณะที่ช่วยจัดการมื้อเช้า ทั้งที่จิตใจยังคงเต็มไปด้วยความสับสนลังเล ควรบอกสิ่งใด ไม่ควรบอกสิ่งใด หรือไม่ต้องบอกสิ่งใดเลย ปล่อยให้มันผ่านไปแบบที่ต้าซันทำอยู่ ยิ่งเมื่อคิดย้อนถึงคำกล่าวของต้าซันที่ให้พูดคุยกันก็เห็นว่าจริงตามนั้น เพราะเมื่อแยกจากกันแล้ว ก็มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย รวมถึงความสูญเสียที่เกิดขึ้น ที่ไม่ได้เกิดเพราะความผิดของแม่ทัพเพียงอย่างเดียว
“หากรู้สึกผิดที่กล่าวคำรุนแรงเกินไป ก็ต้องกล่าวขออภัย แล้วค่อยๆ คุยกัน ทำความเข้าใจกัน”
ต้าซันกล่าวขณะที่กำลังผัดผัก
“เขาเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ ผู้คนมากมายทั้งยกย่องและหวั่นเกรงเขา แต่เขากลับยอมทิ้งทุกอย่างมาหาเจ้า คุกเข่าขอให้เจ้ายกโทษให้แบบนั้น ต่อให้เขากำลังหลอกลวงเจ้าไม่ว่าจะเพื่อใคร ก็ยิ่งสมควรทำความเข้าใจกันและกันให้ดี” พี่ชายตักผัดผักใส่จานที่น้องชายถือไว้ “แต่หากพบว่าเขาจริงใจ และเจ้าเข้าใจผิดไปเอง เจ้ายิ่งสมควรกล่าวคำขอโทษอย่างจริงใจ”
อาเม่ยคิดตามพี่ชายแล้วพยักหน้า ต้าซันจึงบอกให้ไปเรียกอีกคนมากินอาหารเช้า แต่คนที่ถูกกล่าวถึงเดินเข้ามาพอดี
ต้าซันใช้ศอกกระทุ้งเอวน้องชาย เชิงบอกให้เรียกแม่ทัพกินข้าวด้วยกัน
อาเม่ยอึกอัก หันไปมองทางอื่น ขณะที่กล่าวเบาๆ “....กินข้าว”
ต้าซันยิ้มพลางถูมือ “กินข้าวกัน วันนี้มีคนมาเพิ่ม ข้าจะได้ซ่อมท่อส่งน้ำเสียที”
“พี่ใหญ่” อาเม่ยหันมาทำเสียงตกใจกับพี่ชาย พี่ชายก็รีบบอก
“ถ้าเจ้าอยากจะแกะไม้ ไม่อยากทำงานสกปรกเลอะเทอะก็ตามใจเจ้า ข้าไม่ได้กล่าวชวนเจ้าเสียหน่อย”
อาเม่ยทำเสียงในลำคอ แล้วกินข้าวต่อไปเงียบๆ มีเพียงต้าซันที่ชวนแม่ทัพเชมัลคุยเกี่ยวกับการซ่อมแซมสิ่งต่างๆ ในหมู่บ้านแห่งนี้
เมื่อกินอาหารเช้าเสร็จเชมัลก็ออกไปช่วยต้าซันทำงาน ส่วนอาเม่ยยกกล่องเครื่องมือออกมาวางที่หน้าบ้านแล้วเริ่มต้นการทำงาน
ได้ยินเสียงสนทนาเป็นระยะจนกระทั่งเสียงเงียบหายไป จึงเหลียวมองหาว่าทั้ง 2 คนไปอยู่ที่ใด เดินวนรอบบ้านพักทั้ง 2 หลังก็ยังไม่พบ ระหว่างที่กำลังยืนมองหาจากทางสวนผักหลังบ้าน เห็นต้าซันกำลังชู 2 มือสุดแขนเรียกหา
อาเม่ยยิ้มกว้างแล้วกลับมาทำงานต่อ
แต่เพียงครู่เดียว คนตัวใหญ่ก็เดินมานั่งลงข้างๆ
อาเม่ยหันมามองแล้วแกะไม้ต่อไป จนเมื่อรู้สึกเมื่อยหลัง เพียงยกมือขึ้นกดที่ไหล่ตนเอง มือใหญ่ก็รีบเข้ามาบีบนวดให้
“มิเป็นไร”
อีกคนขยับตัวเข้ามาใกล้แต่ยังบีบนวดให้ต่อไป
ต้าซันที่ลอบมองจากที่ห่างไกลได้แต่ส่ายหน้า
ไม่พูดคุยทำความเข้าใจ ก็เท่ากับสะสมความไม่เข้าใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้ววันหนึ่งก็จะจากกันไปด้วยความไม่เข้าใจนั้นเอง
หลังอาหารกลางวันต้าซันเลี่ยงไปนอนพักอยู่ในโรงม้า เมื่อแดดอ่อนลงก็ชวนแม่ทัพเชมัลไปทำงานต่อ
สายลมพัดเย็น ยอดไม้เอนลู่ บ่งบอกว่าอีกไม่นานฝนคงจะตก
แต่ฝนกลับตกหนักในช่วงค่ำ ต้าซันสั่งให้อาเม่ยอยู่ในบ้าน ส่วนตัวเองกับแม่ทัพออกไปช่วยกันเสริมไม้ค้ำสวนผัก เสร็จแล้วมีเพียงแม่ทัพที่กลับเข้ามาที่บ้านหลังเล็ก ส่วนต้าซันมีท่าทีว่าจะยึดบ้านหลังใหญ่เป็นการถาวร
อาเม่ยส่งผ้าขนนุ่มผืนใหญ่ให้แม่ทัพเชมัล แล้วดันหลังให้เข้าไปอาบน้ำ หันไปอุ่นข้าวต้มใส ให้คนอีกคน
ข้าวต้มเปล่าๆ ที่น่าจะเรียกว่าเป็นน้ำข้าวเสียมากกว่า กลับให้ความรู้สึกอุ่นขึ้น
“ขอบใจมาก” แม่ทัพบอกขณะที่ส่งคืนถ้วยเปล่าให้กับอีกคน “เจ้ากินหรือยัง”
อาเม่ยพยักหน้า นำถ้วยไปล้าง หันมาเห็นแม่ทัพกำลังหยิบม้าแกะสลักจากกล่องไม้ขึ้นมาดู
“ม้าของเฮยอั้น”
อาเม่ยเม้มริมฝีปากขณะที่พยักหน้าอีกครั้ง แล้วนั่งลงที่เก้าอี้อีกตัวในครัว
“เมื่อวาน ข้ากล่าวคำรุนแรงเกินไป”
“พี่ไม่ได้ถือสาเรื่องนั้น”
อาเม่ยกล่าวคำขอบคุณ “ข้าเองก็มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย แม้เมื่อวานจะกล่าวโทษท่าน แต่....ใจจริงข้าไม่อยากให้ท่านกล่าวโทษตนเอง" ดวงตาคู่สวยมองมือตนเอง "จะอย่างไรก็ตามทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนแสดงให้เห็นว่า ข้าไม่สมควรกลับไปเมืองหลวงกับท่าน”
“เสี่ยวเม่ย หากเจ้าไม่อยากกลับไป ก็ไม่ต้องกลับไป”
“แต่ท่านต้องกลับไป” อาเม่ยบอก “หน้าที่ของท่านต่อเมืองวัน ยิ่งใหญ่กว่าเรื่องของข้ามากนัก ท่าน....ไปทำหน้าที่ก่อน” น้ำเสียงแผ่วเบาเมื่อกล่าวคำต่อไป “ข้าจะรอท่านอยู่ที่นี่”
แม่ทัพเพียงเก็บม้าแกะสลักใส่กล่องไม้ไว้เช่นเดิม
“พี่เคยแกะไม้แบบนี้อยู่ครั้ง 2 ครั้งแต่เพราะใจไม่เย็นพอ ทำให้พอจะรู้ว่าเป็นตัวอะไร แต่ไม่มีรายละเอียดขนาดนี้ ดูท่าว่าอยู่ที่นี่จะได้พัฒนาฝีมือ”
“ท่านแม่ทัพ”
“เจ้าเอ่ยถึงใครกัน ที่นี่มีเจ้ากับพี่ แล้วก็ต้าซัน”
อาเม่ยถอนหายใจแล้วเดินไปปูที่นอนให้กับแม่ทัพที่แคร่ตัวยาวหน้าห้องนอน แต่แม่ทัพรั้งเอวให้คนตัวเล็กกว่านั่งลงข้างๆ บนที่นอนที่ยังปูไม่เสร็จ
“เสี่ยวเม่ย”
“ข้าไม่ใช่เสี่ยวเม่ยของท่าน”
“จะเมื่อใดเจ้าก็คือเสี่ยวเม่ยของพี่”
“ข้าไม่ได้....”
แม่ทัพใช้นิ้วชี้แตะที่ริมฝีปากบาง “เสี่ยวเม่ย หากอดีตมีแต่ทำร้ายเรา ก็ปล่อยให้มันผ่านไป แล้วอยู่กับวันนี้ไม่ได้หรือไง”
แต่อาเม่ยส่ายหน้า “ข้าทำไม่ได้ เพราะ.......” คนตัวเล็กก้มหน้ามองมือตัวเอง “ข้าก่ออาชญากรรมมากมาย ทั้งสังหารผู้นำหมู่บ้าน สังหารตงกับโป และ....เสนาบดีหลี่”
คนฟังเพียงพยักหน้า ทำให้อาเม่ยหันมามองด้วยความสงสัย “ท่านไม่ประหลาดใจ”
“ไม่”
“ท่านรู้อยู่แล้วหรือ”
แม่ทัพพยักหน้ายอมรับ อาเม่ยก็ถอนหายใจยาว “เช่นนี้ท่านยังโทษตนเอง แทนที่จะกล่าวโทษข้าอีกหรือ”
“เสี่ยวเมย ที่พวกมันทำให้เจ้ากลายเป็นเครื่องมือสังหาร ก็เพราะพี่”
อาเม่ยส่ายหน้า “นั่นเพราะข้าไม่เข้มแข็งพอ”
“เพราะในเวลานั้นเจ้ายังเด็ก” แม่ทัพดึงอีกคนเข้ามาโอบกอดไว้ “ข้าเพิ่งแน่ใจว่าไม่มีเรื่องใดเป็นเรื่องบังเอิญ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเกี่ยวข้องกันดั่งห่วงโซ่ ก็เมื่อไม่กี่วันมานี้เอง”
อาเม่ยยอมให้อีกคนกอดไว้ “ข้าเองก็คล้ายเพิ่งตื่นจากการนอนหลับอย่างยาวนาน และมีเรื่องราวหลายอย่างที่ข้ายังไม่อยากเชื่อว่าตนเองเป็นผู้ลงมือ” ไม่ยอมให้อีกคนเอ่ยขัด “เรื่องของเสนาบดีหลี่....”
“หลายปีก่อน เสนาบดีหลี่มาพบผู้เฒ่าทั้ง 4 ข้าเป็นศิษย์ไม่รู้เรื่องที่พวกเขาสนทนากัน รู้แต่เพียงว่า เสนาบดีหลี่กลับไป ผู้เฒ่าไฟ ที่เป็นผู้สอนเวทย์ไฟและเพลงดาบให้ข้าก็ไปเมืองเหนือ”
อาเม่ยลอบสังเกตสีหน้าของอีกฝ่าย แต่เห็นรับฟังด้วยความตั้งใจจึงกล่าวต่อ
“ผู้เฒ่าจากไปนานนับปี เมื่อกลับมาทั้ง 4 ก็ขัดแย้งกันรุนแรง ทั้งมีปากเสียงกัน บางครั้งถึงกับลงมือต่อกัน จนบ่ายวันหนึ่งผู้เฒ่าน้ำสั่งให้ข้าลงจากเขามาอยู่กับพ่อสักหลายวัน ห้ามขึ้นเขาไปหาพวกท่านไม่ว่าจะเกิดเรื่องอันใดขึ้น จนกว่าท่านจะส่งสัญญาณมาเรียก แต่คืนนั้นพวกเรากลับได้ยินเสียงระเบิดและเห็นเปลวเพลิง ข้ากับพ่อขัดคำสั่งผู้เฒ่า พากันกลับขึ้นไปบนเขา พบว่าผู้เฒ่าน้ำและลมเสียชีวิตแล้ว ส่วนผู้เฒ่าไฟ และดินแยกกันอยู่คนละด้านของภูเขา พวกเขาต่างปิดปากเงียบไม่ได้เล่าเรื่องใด”
อาเม่ยเล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "แน่นอนว่าพวกท่านผู้เฒ่ามีความขัดแข้งกัน และสังหารกันเอง ข้ากับพ่อต่างรู้สึกว่าพวกเราเลือดเย็นยิ่งนัก อาจารย์ผู้เฒ่าเกิดเรื่องร้ายแรง กลับได้แต่ฝังศพให้ และนำอาหารไปส่งให้เป็นครั้งคราว"
“การต่อสู้นั้นเกิดขึ้นกี่ปีแล้ว”
อาเม่ยคำนวณเวลาก่อนตอบ “ราว 5 ปีได้”
...เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นหลังจากที่เฮยอั้นกล่าวถึงอาเม่ยอยู่หลายปี แสดงให้เห็นว่า เสนาบดีหลี่ถูกใช้ให้มาพบเหล่าผู้เฒ่าที่เป็นอาจารย์ของอาเม่ย....
“จนเมื่อต้นปีนี้เองที่ข้าขึ้นเขาไปหาผู้เฒ่าดิน แต่พบหัวหน้าของกลุ่มบ้านช่างเหล็กคุยอยู่กับผู้เฒ่า ท่าทางเคร่งเครียด เมื่อหัวหน้ากลุ่มบ้านกลับไป ผู้เฒ่าดินก็ให้ข้าอยู่เรียนวิชากับท่านต่อ ข้าจึงกลับลงมาบอกพ่อ พ่อบอกว่าให้ระวังตนให้มาก หากผู้เฒ่าไม่อยากเล่าเรื่องความขัดแย้งก็อย่าได้ไปซักถามให้ท่านลำบากใจ จากนั้นข้าจึงขึ้นเขา แต่วิชาดิน ควบคุมธาตุ การอ่านจิต ข้าไม่เก่งนัก แม้ผู้เฒ่าจะย้ำความสำคัญแต่ข้าก็ไม่ค่อยมีความคืบหน้า นี่เป็นเวทย์ที่ข้าไม่ได้เรื่องที่สุดแล้ว"
"คืนหนึ่งผู้เฒ่าปลุกข้าขึ้นมากลางดึก บอกว่า บ้านช่างตีดาบของเราถูกไฟไหม้ ผู้เฒ่ากับข้าจึงลงจากเขามาพร้อมกัน แต่เมื่อมาถึง......”
ดวงตาคู่สวยแดงเรื่อ "ยังมีเสียงร้องขอความช่วยเหลือให้ได้ยิน แต่พวกเราเข้ามาไม่ได้ ข้าเห็น...พ่ออยู่กลางถนนทางท้ายหมู่บ้านที่จะตรงไปทางภูเขา....พ่อ...คงตั้งใจจะไปหาข้า แต่ก็กลับ...."
แม่ทัพเชมัลหันไปโอบกอดคนที่กำลังร่ำไห้
“ข้ารู้ว่าท่านผู้เฒ่ามองเห็นตั้งแต่แรก ว่าไฟที่ไหม้ที่นี่มิใช่ไฟธรรมดา แต่คือไฟเวทย์”
เพราะไฟนี้ลุกไหม้จำกัดอยู่ในขอบเขตหมู่บ้าน ไม่ได้ลุกลามไปที่อื่น
“ไฟนี้ล้อมรอบหมู่บ้าน แล้วลุกลามจากบ้านหลังหนึ่งไปอีกหลังหนึ่ง ดั่งมันมีชีวิตของมันเอง รู้ว่ามันจะต้องเผาใคร หรือที่ใดบ้าง ข้าและผู้เฒ่าดินพยายามที่จะฝ่าเปลวไฟที่ล้อมรอบหมู่บ้านเข้ามาเพื่อหวังว่าจะช่วยผู้คน แต่เราเข้ามาไม่ได้ เวทย์ของพวกเราทำอะไรมันไม่ได้เลย ข้าได้แต่มองไฟที่ลามมาหาพ่อที่นอนอยู่บนพื้นถนน แต่ในระหว่างที่ไฟยังลุกลามอยู่ พวกเราพบกับผู้เฒ่าไฟ ทำให้ท่านผู้เฒ่าดินและไฟต่อสู้กัน สิ่งที่ข้าจำได้ก็คือผู้เฒ่าดินเพลี่ยงพล้ำ แต่ที่ไม่เข้าใจก็คือ เหตุใดข้าจึงถือดาบไปลอบสังหารหัวหน้าของกลุ่มบ้านช่างเหล็ก จากนั้นข้าก็ไปที่เมืองหลวง เพื่อตามแฝงตัวเข้าไปอยู่ในค่ายทหาร และรอที่จะสังหารเสนาบดีหลี่”
หยดน้ำตายังคงไหลริน เมื่ออาเม่ยเล่าต่อ “ที่ข้าอยากบอกต่อท่านก็คือ ความทรงจำส่วนนี้ เพิ่งกลับมาในตอนที่ท่านหันไปกล่าวคำกับเก้าที่หน้าเรือนจำเวทย์”
“เสี่ยวเม่ย”
"เวลาและความทรงจำของข้ามันหายไป ครั้งแรกมันหายไปเมื่อข้าเห็นไฟไหม้หมู่บ้าน แล้วไปตื่นที่หน้าประตูเมืองหลวง ที่ท่านซักถามข้า ข้าจำได้แค่คืนที่ผู้เฒ่าปลุกข้ากลางดึกแล้วบอกว่าบ้านของเราถูกไฟไหม้ จากนั้น เวลาของข้าก็หายไปเมื่อพบเฮยอั้น แล้วตื่นขึ้นมาที่เกาะห่างไกล มีท่านอยู่ข้างๆ ตื่นมาครั้งนี้ข้าจำบางอย่างได้ บางอย่างจำไม่ได้ ทุกอย่างสับสน ไม่รู้ว่าอะไรเกิดก่อนเกิดหลัง แต่ในสมองของข้ากลับได้ยินเสียงผู้เฒ่าดินที่บอกให้จัดการกับเสนาบดีหลี่ จนทันทีที่เห็นท่านกล่าวคำกับเก้า ข้ากลับจำทุกเรื่องราวได้ ทั้งไฟที่ลุกลามเข้าหาพ่อ ทั้งการลงดาบต่อตงและโป ทั้งวันเวลาที่ท่านดีต่อข้าอย่างยิ่งที่เกาะห่างไกลนั่น จนถึงการที่ข้าลอบสังหารเสนาบดีหลี่"
“ท่านเข้าใจหรือไม่ ความทรงจำของข้าถูกแยกเก็บในกล่องหลายใบ วันนี้เปิดกล่องหนึ่ง อีกวันหนึ่งก็เปิดอีกกล่องหนึ่ง จนถึงวันนี้ข้าก็ยังไม่แน่ใจว่าทุกกล่องมันเปิดขึ้นมาหมดแล้วจริงหรือไม่ หรือแท้จริงมันคือกลลวง แล้วมันจะถูกปิดลงทั้งหมด หรือกล่องใดกล่องหนึ่งอีกเมื่อใด หรือยังมีกล่องที่ยังปิดอยู่และรอให้ถึงเวลาที่มีบางสิ่งบางอย่างเปิดขึ้นมา”
คนตัวเล็กสะอื้นไห้อยู่กับอกหนา “ข้ายังฆ่าคนโดยไม่รู้ตัว ข้าทำร้ายคนที่ไม่ได้มีความแค้นต่อกันเลยสักนิด”
แม้จะทบทวนคำที่กล่าวต่อแม่ทัพมาแล้วหลายครั้ง แต่เมื่อถึงเวลาที่จะต้องกล่าวออกมา อาเม่ยก็ยังไม่แน่ใจว่า แม่ทัพเชมัลจะเข้าใจความสับสน ความหวาดกลัว และไม่ต้องการเป็นผู้นำความเสื่อมเสียมายังอีกฝ่ายหรือไม่
"ข้าเป็นคนร้าย...."
“เสี่ยวเม่ย อย่าได้โทษตนเอง เรื่องนี้เจ้าเพียงถูกหลอกใช้”
“ท่านไม่เข้าใจ” อาเม่ยสะอื้นแรงขึ้น “ตงกับโปไม่เกี่ยว แต่ข้าสังหารพวกเขา โดยที่ไม่รู้ว่าทำอย่างนั้นทำไม ส่วนเก้าแม้จะพบคำตอบว่า เพราะข้าหึงหวง แต่ทำไมถึงหึงหวงขนาดลงมือทำร้ายคน ข้ามีจิตใจคับแคบขนาดนั้นเชียวหรือ หากตอนนั้นพวกท่านไม่ได้อยู่ด้วย เขาก็จะตายเหมือนตงกับโปใช่หรือไม่”
“ข้าเป็นมากกว่ามือสังหารของเมืองเหนือ เพราะข้ายังสังหารเพื่อน ทำร้ายคนอื่น เพราะข้าควบคุมตนเองไม่ได้.....”
มือใหญ่ลูบแผ่นหลังให้ใจเย็นลง รอจนกระทั่งเสียงสะอื้นผ่อนลง ก็ชวนให้ลุกไปล้างหน้า
“ร้องไห้มากขนาดนี้ จะทำให้เจ้าไม่สบาย”
อาเม่ยหันมาบอกทั้งที่น้ำตายังเปียกแก้ม “ที่นี่อยู่ห่างจากด่านชายแดนไม่มากนัก เสนาบดีหลี่เป็นพระสัสสุระ แม้เขาจะเสียชีวิตไปแล้ว แต่เรื่องนี้ย่อมเกี่ยวพันถึงพระชายา”
“เรื่องนั้นไม่แน่ว่า กองเมืองอาจมีเบาะแสอยู่ แต่หากเจ้าไม่วางใจ อีก 2 วันข้างหน้าเมื่อต้าซันเอาไม้แกะสลักไปขาย พี่จะฝากจดหมายไปกับต้าซันให้เอาไปให้ท่านพี่นาซิม”
“ท่าน....”
“พี่ไม่ปล่อยให้เจ้าอยู่ตามลำพังที่นี่แน่นอน”
อาเม่ยปาดน้ำตา คลี่ยิ้มเศร้า “ก่อนนี้ข้าก็อยู่คนเดียวเวลาที่พี่ใหญ่เอาของไปขาย”
“แต่ตอนนี้เจ้าไม่ได้อยู่คนเดียว เจ้ายังมีพี่อยู่ด้วย”
อาเม่ยยังมีอีกเรื่องที่ตั้งใจไว้ว่าจะกล่าวกับแม่ทัพเชมัลก่อนที่วันนี้จะผ่านพ้นไป “ที่เมืองเหนือยังไม่ข้ามเข้ามา อาจเพราะพวกมันเกรงกลัวท่าน แต่หากท่านหายไปนาน อาจทำให้พวกมันลงมือมาได้”
มือใหญ่ช่วยเก็บปอยผมที่ระแก้มเปียกน้ำตา
“เรื่องการศึกนี้ พี่คิดว่า หากพวกเราจะมองพระราชาในแง่มุมที่ร้ายกาจที่สุดแล้วนะ พี่คิดว่า ที่พระองค์ปลดพี่ออกจากกองทัพ ก็เพื่อให้พี่สะสางความรู้สึกตัวเองให้ชัดเจนแล้วกลับไปทำงานในหน้าที่ เพราะนั่นเป็นเป้าหมายสำคัญของพระองค์ ประการต่อมาก็คือการที่พี่อยู่ที่นี่ แม่ทัพนาซิมสามารถเรียกพี่ไปเสริมกำลังได้เร็วกว่าการที่พี่อยู่ในค่ายทหารที่เมืองหลวง พวกเขารู้ว่า พี่ไม่มีวันทิ้งเมืองวันได้ ประการสุดท้ายก็คือ ก่อนหน้านี้ พี่มักเคลื่อนไหวเป็นอิสระ ไม่แน่ว่า ในเวลานี้ที่เมืองหน้าด่านอาจมีข่าวลือว่าพี่ท่องเที่ยวอยู่ในเขตป่าก็เป็นได้”
“นั่นเป็นเรื่องที่ท่านคาดเดา หรือ พระราชามีดำริเช่นนั้นจริงๆ” อาเม่ยไม่เข้าใจความคิด และแผนการของพระราชาฟารัค
“นั่นย่อมเป็นเรื่องคาดเดา แต่พี่เชื่อว่าพระองค์มีแผนเช่นนั้น เพราะพี่ก็เหมือนเจ้า พวกเรารับรู้เฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับตัวเราเอง เท่านั้น”
“หากพรุ่งนี้ แม่ทัพนาซิมให้คนมาหาท่าน”
“นั่นก็เป็นเรื่องของแม่ทัพนาซิม พี่บอกเจ้าแล้ว ว่าพี่ไม่ไปไหนหากไม่มีเจ้าไปด้วย”
อาเม่ยอ้าปากคล้ายจะกล่าวคำแต่เปลี่ยนเป็นถอนหายใจยาว
รุ่งเช้าวันถัดมาเมื่อพบหน้ากัน ต้าซันก็ถามด้วยประโยคเดิม แต่อาเม่ยก็ตอบเช่นเดิม ทำให้พี่ชายรู้สึกผิดหวัง
“คิดว่าเจ้าคุยกันแล้วเสียอีก”
“คุยกันแล้ว แต่......”
....แต่ยังมีบางเรื่องที่ข้าไม่มีความกล้ามากพอที่จะบอกกับเขา....
*-*จบตอนที่ 32*-*

ภาพนี้มาจาก nature.desktopnexus.com