ตอนที่ 35
อาเม่ยตื่นนอนขึ้นมาในห้องพักเล็กๆ ในบ้านของผู้เฒ่าดิน ส่วนคนที่มักจะตื่นนอนก่อนอยู่เสมอกลับยังหลับอยู่ คาดว่าเมื่อคืนคงพูดคุยกับพระปัยกาผู้เฒ่าดินจนดึก
และเชื่อว่า คนตัวใหญ่คนนี้คงเป็นคนอุ้มเข้ามานอนในห้อง
ริมฝีปากบางจูบคางสาก กระซิบบอกให้นอนต่อ
"เหมือนพี่เพิ่งจะเข้านอนเมื่อครู่นี้เอง" เสียงบอกงัวเงีย แต่ก็ยังจะพยายามลุกขึ้นนั่ง อาเม่ยจึงดันไหล่ให้นอนต่อ
"เตรียมอาหารเช้าเสร็จจะมาเรียก"
สำหรับอาเม่ยแล้วการทำงานบ้านไม่ใช่งานหนัก เป็นเพียงการบังคับลมให้นำพาฝุ่นและเศษดินต่างๆ ออกไปจากบ้าน ซึ่งมีเพียงที่นี่เท่านั้นสามารถใช้พลังเวทย์ของตนเองได้อย่างเต็มที่
หากเป็นที่อื่น โดยเฉพาะที่หมู่บ้าน กลับไม่กล้าที่จะแสดงออก เพราะทุกคราที่ใช้พลังจะได้รับสายตาตกใจ และความห่างเหินเป็นรางวัลตอบแทน
ลำพังรูปร่างหน้าตา สีตา สีผม ก็ต่างจากผู้อื่นอยู่แล้ว ยังมีพลังที่แตกต่างจากผู้อื่นเสียอีก...
ตั้งแต่แรกมา มีคนเพียงคนเดียวที่ชื่นชมพลังเหล่านี้และให้กำลังใจมาตลอด นั่นคือต้าซัน
ตอนที่พบเจอกับต้าซันอีกครั้งที่หน้าค่ายทหารหลังไม่ได้พบกันนานหลายปี แม้จะอธิบายได้ว่าเป็นความคุ้นเคยในฐานะผู้มีสายเลือดเดียวกัน แต่ความรู้สึกถึงกำลังใจที่ดีที่แสนเคยคุ้นนั่นคือสิ่งแรกที่ทำให้วางใจ
ตอนที่แม่พาต้าซันหนีไป อาเม่ยยังเด็กมาก ทั้งความทรงจำก็ยังสับสน หลายสิ่งหลายอย่างถูกสลับสับเปลี่ยน และหลายอย่างถูกซ่อนไว้ หลายสิ่งหลายอย่างถูกบิดเบือน
แต่กำลังใจและความผูกพันกับต้าซันคือสิ่งที่อยู่ในความทรงจำมาตลอด
ต้าซันคือพี่ใหญ่....
ส่วนแม่ทัพเชมัล....
แม้แม่ทัพเชมัลจะแสดงออกทั้งคำพูดและการกระทำว่ารักมาก แต่เมื่อนานไปแล้วหากตระหนักได้ว่าอาเม่ยคนนี้ที่แท้จริงแล้ว แตกต่างจากอาเม่ยที่แม่ทัพพบเจอที่ค่ายทหาร จะยังรักอยู่ไหม...
ขณะที่ความคิดเริ่มวุ่นวาย อาเม่ยก็สะดุ้งเมื่อแขนใหญ่โอบกอดเอวบางจากทางด้านหลัง
"ทำอะไรอยู่"
"ข้าวต้มธัญพืช"
"ใส่หัวเผือกด้วย" ริมฝีปากคนถามจูบที่แก้มใส
"ท่านผู้เฒ่าชอบข้าวต้มแบบนี้ ทำไมท่านไม่นอนต่ออีกนิด"
แขนใหญ่กอดกระชับแน่นกว่าเดิม ขณะที่จมูกคมคลอเคลียอยู่ที่แก้ม "นอนคนเดียวมันแปลกๆ"
อาเม่ยอมยิ้ม "แปลกอย่างไร"
"แขนมันว่างๆ ไม่มีคนนอนหนุน แล้วก็ทำให้หนาวด้วย"
"กำลังคิดว่าจะต้องเตรียมยาบำรุงสุขภาพให้เจ้าตัวเล็กจะได้ฟื้นฟูกำลังได้ไวขึ้น แต่ดูแล้ว ข้าคงต้องเพิ่มตัวยาอีกสักอย่างสองอย่างเสียแล้ว"
ผู้เฒ่าดินแสร้งพูดเสียงดังเมื่อเดินออกมาจากห้องนอน เดินผ่านครัวแล้วก็ออกจากบ้านไป
"ท่านผู้เฒ่า กลับมากินข้าวก่อน" อาเม่ยร้องเรียก
"เดี๋ยวมา ไม่ได้ไปไหนไกลหรอก" เสียงตะโกนตอบกลับมา ทั้งที่ตัวของผู้เฒ่าห่างออกไปหลายก้าวแล้ว
"อย่าไปนานนะ" ศิษย์รู้ใจรีบร้องเตือน แล้วก็ยืนส่ายหน้าอยู่ตรงประตูบ้าน เมื่อผู้เฒ่าสะพายตะกร้ายาเดินออกไปเฉยๆ
ส่วนคนอีกเดินตามมายืนอยู่ด้านหลัง
"เป็นแบบนี้เสมอหรือ"
อาเม่ยพยักหน้า
..นี่แหละท่านผู้เฒ่าดิน คนที่คิดแล้วต้องลงมือทำในทันที...
ท่านไม่ใช่คนใจร้อน แต่เห็นว่า เมื่อพบเจอสิ่งที่ควรลงมือทำ ก็ควรทำในทันที อย่าได้ขอเวลาผัดผ่อนไปเรื่อย..
พอผู้เฒ่าลับต้นไม้ใหญ่ออกไป อาเม่ยก็หันมาถาม "ท่านหิวหรือยัง"
"ยัง" มือใหญ่ช่วยเกลี่ยปลายผมที่ระแก้มของอีกคน "เจ้าหิวหรือยัง"
อาเม่ยส่ายหน้า
"เช่นนั้น ไปเดินเล่นกันไหม"
คนตัวเล็กตามใจ หันไปพักหม้อข้าวต้ม เกลี่ยไฟในเตา แล้วพาเดินไปที่วิหารซึ่งสลักลงไปในภูเขา
เมื่อเปิดประตูบานใหญ่ โคมไฟภายในห้องโถงจุดสว่าง มีความเยือกเย็น และสายลมอ่อนๆ พัดผ่าน บ่งบอกถึงความสมดุลระหว่างธาตุทั้ง 4
แม้จะเรียกว่าวิหาร แต่ที่นี่ไม่มีแท่นบูชา มีเพียงตู้หนังสือ หนังสือม้วนที่เรียงซ้อนกันสูง และอาวุธ
อาเม่ยมองไปรอบๆ
"ไม่น่าจะใช้คำเรียกที่นี่ว่าวิหารเลยใช่ไหม"
แม่ทัพเชมัลเห็นพ้อง "น่าจะเรียกหอสมุดมากกว่า"
อาเม่ยยิ้มกว้าง
"ทีแรกพี่คิดว่า ที่นี่จะมีแท่นบูชา หรือน่าจะมีสัญลักษณ์หรือตราที่บ่งบอกที่มา หรือเกียรติยศของท่านผู้เฒ่าทั้ง 4 "
คนตัวเล็กพยักหน้า "มี" จากนั้นก็ชี้ไปที่ด้านใน
ซึ่งจากสภาพที่เป็นอยู่ สมควรเรียกว่า อาเม่ยเดินนำลึกเข้าไปในถ้ำ กระทั่งพบห้องกว้าง นอกจากที่นอนแล้ว ยังมีโต๊ะ เก้าอี้ อาวุธและสิ่งของเครื่องใช้มากมาย
แม่ทัพมองไปรอบๆ ห้อง
"ห้องนี้มีอุณหภูมิสูงกว่าภายนอก นี่ต้องเป็นที่พักของผู้เฒ่าไฟ" ดวงตาสีเข้มหยุดมองแผ่นป้ายผ้าผืนใหญ่ประทับตราราชวงศ์เมืองเหนือ "ท่านผู้เฒ่ามาจากเมืองเหนือ"
รู้สึกถึงแรงดึงเสื้อจึงหันไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ
"ท่าน....แม่ทัพ....."
อาเม่ยก้มหน้ามองมือตัวเอง ขณะที่กล่าวถ้อยคำแผ่วเบา
...เรื่องราวที่ลังเลมาตลอดว่าควรบอกไปหรือไม่..
"ข้า....."
แม่ทัพหันมากอดไว้หลวมๆ เพื่อให้กำลังใจ
"พ่อของข้า เป็น...ผู้ที่มาจากเมืองเหนือ...."
มือใหญ่ที่ยังลูบหลังอยู่ทำให้อาเม่ยเงยหน้าขึ้นมอง "ท่านไม่มีความเห็นใดหรือ"
"ไม่นี่"
"ก็....มันยิ่งย้ำชัดเจนว่า....."
"พี่รู้ที่มาของเจ้าตั้งแต่ได้ยินชื่อของเจ้า แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เราจะระแวงสงสัยใคร พวกเราเป็นพี่น้องกัน"
"แต่สถานการณ์ตอนนี้มันต่างออกไป"
"เมืองวันมีกฎหมายแปลกๆ หลายข้อก็จริง แต่เราไม่กล่าวหาหรือลงโทษผู้ใดเพียงเพราะสืบต้นตระกูลไปแล้ว เขาเดินทางมาจากเมืองอื่น พระปัยกาเองก็เล่าให้ฟังแล้วว่า แต่เดิมพวกเราเป็นเมืองเดียวกัน"
"ข้ากังวลว่า เพราะที่มาของข้า เพราะสิ่งที่ข้าทำลงไป จะทำให้ท่านต้องเสื่อมเสีย"
"พี่ไม่เคยกังวล แล้วเหตุใดเจ้าต้องกลัว"
คำกล่าวหนักแน่นที่ทำให้อาเม่ยกอดตอบเช่นกัน
"ข้ารู้ว่าท่านดีต่อข้ายิ่งนัก แต่ยิ่งท่านดีต่อข้ามากเท่าใด ข้ากลับยิ่งเป็นกังวลว่าจะทำให้ท่านต้องเสื่อมเสียมากขึ้นเท่านั้น"
"เสี่ยวเม่ย" ดวงตาสีเข้มมองสบตา เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก และความเชื่อมั่น "อย่ากังวลความคิดเห็นของผู้อื่น เพราะสิ่งสำคัญระหว่างเรา 2 คนก็คือ พวกเรารักกัน และสิ่งเดียวที่พี่ขอจากเจ้าก็คือ อย่าหนีหายไปจากพี่อีกเท่านั้น"
อาเม่ยพยักหน้า น้ำตารื้น
"ข้าช่างเป็นคนที่โชคดีนัก"
เมื่อกลับออกมา และหยุดยืนอยู่ที่หน้าบ้านพักของผู้เฒ่าดิน แม่ทัพเชมัลก็หันมาถาม
"วันวานพี่เรียกต้าซันว่าพี่ใหญ่ เจ้าจะเห็นด้วยไหมหาก....พี่จะขอให้เจ้ากราบพระปัยกา...เอ่อ..."
เมื่อคนหนึ่งดูเก้อเขิน อีกคนก็พลอยเก้อเขินตามไปด้วย
"แล้วแต่ท่านเถิด ว่าแต่จะเรียกผู้เฒ่าว่าอย่างไร"
แม่ทัพเชมัลเกาท้ายทอยเก้อเขินหนักกว่าเดิม
"ให้ท่านผู้เฒ่าเลือกเองก็แล้วกัน"
"คุยอันใดกัน" เสียงดังก้องมาจากนอกบ้าน จากนั้นผู้เฒ่าดินก็เดินพ้นออกมาจากร่มไม้ใหญ่
อาเม่ยตรงเข้าไปรับตะกร้าทันที ขณะที่ผู้เป็นเหลนรีบเข้าไปเช็ดเก้าอี้ในบ้านรอให้ผู้เฒ่านั่งลง
ผู้เฒ่าดินมองซ้ายทีขวาทีแล้วส่ายหน้า
"พวกเจ้าสลับหน้าที่กันแล้ว"
ทั้ง 2 คนหันมามองหน้ากัน จากนั้นแม่ทัพเชมัลก็จูงมืออาเม่ยเข้ามาคุกเข่าข้างหน้า
"พวกเราไม่มีญาติผู้ใหญ่ที่ไหน เหลนขอรบกวนท่านปู่ทวดเล็ก อวยพรให้กับพวกเราด้วย"
ผู้เฒ่าดินยิ้มขำ อดไม่ได้ที่จะแกล้งอีกสักเล็กน้อย
"แต่งงานทั้งที แค่คุกเข่าแบบนี้มันง่ายไปไหม"
แม่ทัพเชมัลหันไปมองหน้าอาเม่ย ตัดสินใจไม่ถูก
"ในฐานะที่ข้าเป็นปู่ทวดเล็กของเจ้า ข้าเห็นว่า ทำแบบนี้มันไม่ให้เกียรติอาเม่ย แล้วในฐานะที่ข้าเป็นอาจารย์อาเม่ย ข้าก็เห็นว่า ทำง่าย ๆ แบบนี้มันดูหมิ่นกัน"
ฟังอย่างไรก็แสดงให้เห็นว่าอยู่ฝ่ายเดียวกับอาเม่ย ทำให้แม่ทัพเชมัลรู้สึกผิดที่ตัดสินใจรวบรัดง่ายดายเกินไป
สีหน้าที่ยากต่อการบรรยายทำให้ผู้เฒ่ากลั้นยิ้ม
"แล้วจะให้อวยพรแบบใดกัน แบบบ้านของอาเม่ย หรือ แบบในรั้วในวังของเจ้า"
"แบบที่จะทำให้พวกเราอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข" อาเม่ยเป็นฝ่ายตอบ ดวงตาสีแปลกเปี่ยมไปด้วยประกายของความสุข "ไม่จำเป็นต้องมีพิธีการ พวกเราขอเพียงคำอวยพรจากท่าน"
"ดี" ผู้เฒ่าดินหัวเราะเสียงก้อง "ข้าขัดหูมาตั้งแต่ได้ยินพวกเจ้าสนทนากันแล้ว"
ท่าทางของผู้เฒ่าดิน ชัดเจนว่าจะไม่มอบคำอวยพรโดยง่าย
"พวกเจ้าเรียกกันและกันช่างขัดหู"
จากที่แม่ทัพโดนตำหนิว่าขอสมรสเรียบง่าย ก็มาที่อาเม่ยในเรื่องคำพูด
แต่อาเม่ยรู้ดีว่า ผู้เฒ่าจะตำหนิว่าอะไร
"ก็ข้า..."
"เมื่อเจ้าเป็นคนของเชมัล ต้องเรียกเชมัลว่าอะไร"
".....ท่านพี่...." อาเม่ยตอบเสียงเบา แต่คนที่คุกเข่าอยู่ข้างกันกำลังยิ้มกว้าง
"แล้วเจ้าควรเรียกตนเองว่าอะไร"
อาเม่ยมองหน้าผู้เฒ่า ในดวงตามีแต่คำถามว่าควรเรียกตนเองว่าอย่างไร
ที่เคยได้ยินมาก็เรียกแทนตัวเองว่า ข้า และเรียกอีกฝ่ายว่าท่านพี่ หรือไม่ก็น้องหญิง หากเป็นแถวบ้านในชนบท สามีบางคนเรียกคนที่เป็นภรรยาว่า นี่ หรือ เจ้า กันทั้งนั้น
"เรียกตัวเองว่าน้องดีไหม" ผู้เฒ่ากล่าวยิ้มๆ ดวงตาสนุกสนานที่บ่งบอกถึงความสุขเช่นนี้กลับชวนให้คิดไปถึงพระราชาฟารัคยิ่งนัก
อาเม่ยที่พยายามทำสีหน้าเรียบเฉย กลับมีแก้มแดงเรื่อ ทั้งลามไปจนถึงใบหูและลำคอ
คนที่อยู่ข้างๆ เห็นเช่นนี้จึงหัวเราะเสียงดัง จนอาเม่ยได้แต่ปิดแก้มตนเอง
"แปลว่าเห็นด้วยใช่หรือไม่"
"..ขอรับ..." อาเม่ยยิ้มหน้าแดงกว่าเดิม
"แล้วพวกเจ้าจะเรียกข้าว่าอะไร"
ยามนี้อาเม่ยแตะปลายนิ้วที่หน้าผากตนเองขณะที่ส่ายหน้า คิดอันใดก็ไม่ออกแล้ว ส่วนแม่ทัพเชมัลตอบเสียงดังฟังชัด
"เรียกท่านปู่ทวดเล็กเหมือนข้าสิ เพราะอาเม่ยเป็นคนของข้าแล้ว"
"ตกลงเช่นนั้น" ผู้เฒ่าหัวเราะอารมณ์ดี "มาๆ รับคำอวยพรจากข้า"
มือใหญ่วางบนศีรษะของทั้ง 2 คน
"การสมรสคือการอยู่ด้วยกัน เคียงข้างกันทั้งในยามสุขและทุกข์ ดูแลกันและกัน เป็นทั้งผู้ให้และผู้รับ ไม่วางตนเป็นศูนย์กลาง ดังนี้แล้ว ชีวิตจึงจะมีความสุข ยิ่งทำให้คนรักของเรามีความสุขมากเท่าใด เราจะได้รับความรักกลับมามากขึ้นเท่านั้น"
"มีคำกล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดที่จะยั่งยืนตลอดไป แต่ตราบใดที่ยังมีความหวังดีต่อกัน ต้องการอยู่เคียงข้างกัน รักของพวกเจ้าก็จะยั่งยืนตลอดกาล"
อาเม่ยรู้ว่ากำลังร้องไห้ ก็ตอนที่นิ้วมือใหญ่ช่วยเช็ดน้ำตาให้
ในใจอิ่มเอมไปด้วยความสุข
การเป็นที่รัก ทำให้เป็นสุขเช่นนี้เอง
หลังจากคำอวยพร ทั้งหมดรับประทานอาหารพร้อมกัน จากนั้นผู้เฒ่าดินก็สนทนากับแม่ทัพเชมัลต่อไป ขณะที่อาเม่ยเตรียมอาหารกลางวันไว้ให้ผู้เฒ่า จากนั้นทั้ง 2 คนจึงกลับลงมาที่หมู่บ้านในช่วงบ่าย
นี่เป็นเส้นทางที่อาเม่ยเดินมาตั้งแต่เด็ก ต้นไม้ทุกต้น ดินทุกก้อนล้วนจดจำได้และไม่เห็นว่าจะมีอันใดที่น่าสนใจ เว้นแต่มีสิ่งผิดแผกแตกต่างเกิดขึ้นมา นั่นจึงน่าสนใจ
แต่ครานี้ แม้แต่แสงแดดที่ลอดผ่านใบไม้ก็ยังแลดูสวยงาม
ผ่านพ้นช่วงหน้าผามาถึงเขตป่าเชิงเขาที่มีต้นไม้ใหญ่ จู่ๆ แม่ทัพเชมัลก็หันมากอดเอวดึงอีกคนเข้ามาจูบ
อาเม่ยกะพริบตางุนงง แม้ไม่ได้ขัดขืน แต่ร่างกายที่แข็งทื่อ ทำให้คนฉวยจูบต้องงุนงงตามไปด้วย
"นี่เป็นปฏิกิริยาที่แปลกประหลาดมาก"
"อย่างไร"
"พี่คิดว่าน้องจะเขิน หรือไม่ก็ตอบรับ"
"ก็....ที่จริงก็เขินนะ แต่...ตกใจมากกว่า"
"งั้นมีวิธีที่ทำให้หายตกใจ" แม่ทัพบอกแล้ววางตะกร้าที่ถืออยู่
มือใหญ่โอบกอดเอวไว้หลวมๆ ริมฝีปากบดจูบย้ำ แล้วแทรกลิ้นเข้าหาทั้งไล้เลียและดูดกลืน จนอาเม่ยไร้เรี่ยวแรงจะยืนอยู่ต้องกอดไหล่อีกคนไว้แน่น
เมื่อริมฝีปากหนาละจูบ ไปที่แก้ม และลำคอ อาเม่ยก็ตีที่แขนเบาๆ
"พอเถิด"
ริมฝีปากหนาจูบย้ำที่แก้มอีกที "ต้องอย่างนี้สิ ค่อยมั่นใจหน่อย"
ดวงตาสีเข้มมองใบหน้าแดงจัด กับท่าทีเขินอายแล้วยิ่งพึงพอใจ
"น้องไม่ใช่..."
แม่ทัพเชมัลรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจะพูดอะไร "พี่ไม่ได้อยากให้น้องเป็นในสิ่งที่ไม่ได้เป็น แต่เวลาที่น้องพยายามทำสีหน้านิ่งเฉย หรือ ดูงุนงงนี่มันช่างน่าแกล้ง พี่รู้สึกอยากทำให้เจ้ารู้สึกเขินอาย หรือไม่ก็.."
"พอแล้วๆ" อาเม่ยรีบขัด "นั่นเป็นเพราะ หากน้องไม่พยายามควบคุมตนเอง ก็จะกลายเป็นสายลม แล้วจะทำให้ผู้คนรอบข้างวุ่นวาย" ดวงตาสีแปลกมองค้อนคนที่กำลังอารมณ์ดี "ท่านพี่ก็รู้ดีอยู่แล้ว"
"แต่อยากได้ยิน"
2 มือยังโอบกอดรอบเอวบาง ใบหน้าที่มีรอยยิ้มแห่งความสุขอยู่ตรงหน้า คนที่กำลังจะกล่าวคำก็หมดความสามารถในการเก็บซ่อนรอยยิ้ม
"ถ้าไม่ควบคุมตนเอง จะคิดนั่นนี่วุ่นวาย เรื่องที่ไม่ควรคิดก็กลับมาคิด ทั้งยังมีพลังและเวทย์ไฟ แล้วก็น้ำอีก ยิ่งปั่นป่วนหนักมากขึ้น สิ่งเดียวที่จะยึดน้องไว้ได้ก็คือดิน"
"ตอนนี้กำลังคิดวุ่นวายหรือไม่"
อาเม่ยมองค้อน
"พี่รู้สึกว่าใจน้องเต้นแรงมาก"
"แล้วท่านพี่เล่า เอ่อ....." อาเม่ยหยุดกล่าวคำ เพราะอีกฝ่ายไม่เห็นจะใจเต้นแรง ใบหน้าก็ไม่ได้เจือสีแดงอย่างที่ตนเองกำลังเป็นอยู่เลยสักนิด "ท่านพี่ไม่รู้สึกอันใดเลยหรือ"
"รู้สึกสิ"
"รู้สึกอันใด"
"รู้สึกว่า การมีน้องอยู่ข้างๆ ทำให้พี่สงบ และมั่นคง"
"แล้ว.....เวลาอยู่กับ...." อาเม่ยพยายามหยุดคิดเปรียบเทียบวุ่นวาย "น้องกำลังจะเริ่มคิดวุ่นวาย"
"เราย่อมมีคำถามถึงช่วงเวลาที่เราไม่ได้มีส่วนร่วมอยู่ด้วยเช่นกัน"
อาเม่ยลังเล แม่ทัพก็บอกให้กล่าวต่อ "น้องจะถามอะไร"
"เวลาที่อยู่ในที่อื่น กับ...ผู้อื่น....เป็น...เช่น....นี้..หรือ..ไม่"
"ไม่"
ดวงตาสีแปลกมองสบตาบอกว่า รับรู้ถึงความจริงจังในคำตอบนี้
"น้อง...อ่านจิตไม่ได้ แต่ก็รู้ว่า....." อาเม่ยอึกอักไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี
แม่ทัพเชมัลรอคอยให้อีกคนกล่าวคำออกมา แต่มือสวยกลับโอบรอบคอ ริมฝีปากสวยขยับเข้ามาหา จูบของอาเม่ยนั้นอ่อนหวานช่างตรงข้ามกับจูบเร่าร้อนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความต้องการของแม่ทัพเชมัล
"น้องรักพี่ หากทำอันใดให้ผิดหวัง หรือไม่พอใจก็บอกกัน อย่า...เหนื่อยล้าจนทิ้งกันไป"
แขนใหญ่กอดรัดไว้แน่น แนบคางสากกับศีรษะและเส้นผมสีสวย
"ขอสาบานด้วยทุกสิ่งทุกอย่าง เลือดเนื้อ และชีวิต ตราบจนลมหายใจสุดท้าย เชมัลจะอยู่กับเสี่ยวเม่ย"
"เสี่ยวเม่ยก็จะอยู่กับเชมัลตราบจนลมหายใจสุดท้ายเช่นกัน"
กว่าจะกลับมาถึงบ้านก็บ่ายคล้อย ฝนเริ่มตั้งเค้ามาอีกครา เห็นต้าซันคนอารมณ์ดีกำลังทำคอกสัตว์ไว้ในโรงเก็บม้า โดยมีแพะตัวหนึ่งผูกอยู่ใกล้ๆ
"แพะหรือ" อาเม่ยถามขึ้น "ไหนบอกว่าจะไปเอาลูกเจี๊ยบ"
มาถึงบ้าน แม่ทัพเชมัลก็มาช่วยต้าซันทำงานทันที ส่วนต้าซันก็ทำงานไปตอบคำถามของน้องชายไป
"แต่แรกก็จะขอซื้อลูกเจี๊ยบ แต่พอข้าเอาไม้แกะสลักให้พ่อค้าดู เขากลับให้แพะตัวนี้มา แล้วก็ยังมีผ้าพับอีก 2 พับด้วยเลยเอาไปให้แม่หญิงที่หมู่บ้านช่วยตัดชุดให้"
"ไม้แกะสลักอันใด" อาเม่ยนึกถึงพวกสายสร้อย และเครื่องประดับเหล่านั้น
"ม้าแปลกๆ ที่อยู่ในกล่องไง" ต้าซันตั้งท่าเล่าเรื่องใหม่ "เมื่อเช้าก็ว่าจะไปขอซื้อลูกเจี๊ยบ ก็เลยรวบรวมของ เอาไปทั้งพวกเครื่องประดับของใช้แล้วก็พวกเสือ กับกวางไม้ที่เจ้าแกะ แต่มีม้าตัวนี้ด้วยเลยเอาไป ดูมันน่ากลัวนะ แต่เจ้าแกะเสียละเอียด คิดว่าน่าจะถูกใจพวกผู้ชาย"
ต้าซันหยุดเล่าเมื่อเห็นว่า อาเม่ยกำลังมองหน้าแม่ทัพเชมัล
"มีอันใด เป็นของสำคัญของพวกเจ้าหรือ"
"ไม่ๆ" อาเม่ยโบกมือ "อาจเพราะข้าฝังใจ จึงแกะม้าตัวนั้น ขายไปก็ดีเหมือนกัน"น้องเล็กของบ้านพยักหน้าให้กับตนเอง แล้วกล่าวกับพี่ชาย "ข้าไปเตรียมอาหารละนะ"
เมื่ออาเม่ยคล้อยหลังไป ต้าซันก็หันมาถาม "ท่านผู้เฒ่าดีต่อท่านหรือไม่"
แม่ทัพเชมัลพยักหน้า "ท่านคือพระปัยกาองค์เล็กของข้าเอง"
"ห๊า" ต้าซันทำเสียงสูง "นี่เป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่ออย่างยิ่ง"
*-*จบตอนที่ 35*-*
ภาพนี้มาจาก worldfortravel.com