all of me ตอนจบเมืองวัน เมืองเหนือ และเมืองบาสก์มีพระราชาปกครอง ซึ่งหากจะนับย้อนกลับไปนับร้อยปี พวกเขาคือพี่น้องกัน แต่เพราะเวลาที่ผ่านไปนับร้อยปีนั่นเอง ที่ทำให้ความสัมพันธ์นั้นจางลงไปจนเหลือเพียงความสัมพันธ์ในทางผลประโยชน์และการค้าเท่านั้น
มิใช่...ยังมีเรื่องความยำเกรงอำนาจ และพลังเวทย์ของเมืองวันอยู่ด้วยในระดับหนึ่ง
เมืองวันที่มั่งคั่ง แบ่งกลุ่มบ้าน และการปกครองชุมชนเล็กๆ ที่เป็นอิสระ กำแพงเมืองหลวงไม่มีขอบเขตที่ชัดเจน แต่รู้ได้เองเมื่อเดินข้ามสะพานข้ามลำธารสายเล็ก แล้วเข้าไปในย่านการค้า เขตเมืองที่มีผู้คนมากมาย
หลังแม่ทัพเชมัลปราบปรามผู้ใช้เวทย์ดำจากเมืองเหนือเสร็จสิ้น ก็คือการเจรจาอย่างยาวนาน เพื่อทำข้อตกลงกับผู้ปกครองเมืองเหนือ จากนั้นแม่ทัพเชมัล และแม่ทัพนาซิม จึงเดินทางกลับมาที่เมืองวัน เพื่อรับความดีความชอบ และรับโทษในส่วนที่กระทำความผิดในเรื่องที่ไม่รู้จักแยกแยะ จนทำให้ส่งผลกระทบถึงการทำหน้าที่สำคัญ
แต่การลงโทษนั้นกลับแปลกประหลาดในแบบของพระราชาฟารัค
นั่นเพราะแม่ทัพนาซิม ถูกส่งให้ไปประจำการอยู่ที่เมืองหน้าด่านเช่นเดิม แต่มีพื้นที่ตรวจตรารับผิดชอบครอบคลุมไปจนถึงเมืองหน้าด่านของเมืองเหนือ กับต้องเดินทางมาเมืองหลวงเพื่อให้แม่ทัพเชมัลรักษาเป็นระยะ
พิจารณาอย่างไร ก็เห็นว่านี่คือการบำเหน็จรางวัลให้แม่ทัพนาซิม เพราะหมายถึงการครองเมืองเหนือโดยนัยยะ ทั้งได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง
คนผู้นี้ยังคงหมั่นส่งของมาให้ต้นห้องเก้าเป็นระยะ แม้รู้ว่าไม่มีหวัง แต่ก็ไม่เหลือที่ว่างในใจให้กับผู้ใด
ด้วยความรักที่เต็มไปด้วยความดื้อรั้นโง่งมเช่นนี้เอง จึงถูกเวทย์ดำทำร้าย
เมื่อกล่าวถึงแม่ทัพนาซิมย่อมต้องกล่าวถึงอีกคนหนึ่ง คือต้นห้องเก้า คนผู้นี้เพราะมีจิตใจอ่อนแอจึงเกิดช่องว่างให้องครักษ์ฮูดาทำร้าย หลังจากที่อาเม่ยทำลายธนูที่ได้รับมาจากแม่ทัพเชมัลไปแล้ว เขาก็ได้รับธนูคันใหม่ที่ส่งมาจากหมู่บ้านทหารที่เป็นบ้านเกิดในอีก 1 เดือนถัดมา แต่การทำหน้าที่เป็นต้นห้องให้กับพระราชาฟารัค ไม่มีความจำเป็นต้องใช้ธนู
นอกจากนี้แล้ว ยังได้พลังอำนาจจากพระราชาช่วยส่งเสริมให้จิตใจมีความเข้มแข็งมากขึ้น จนสามารถกล่าวคำปฏิเสธแม่ทัพนาซิมอย่างเด็ดขาด สิ่งของที่ถูกส่งมาจึงถูกส่งกลับไป
สำหรับต้นห้องเก้าแล้ว เมื่อไม่ได้รัก ก็คือไม่รัก ทั้งไม่อาจคาดเดาได้ว่าแท้จริงแล้วคนผู้นี้รักใคร หรือบางทีอาจเพราะยังไม่พบกับใครที่สามารถรักได้ทั้งหมดของหัวใจอย่างที่เคยกล่าวไว้กับอาเม่ยเมื่อนานมาแล้ว
คงมีสักวันที่ต้นห้องเก้าจะพบเจอกับคนผู้นั้น
ส่วนเรื่องของแม่หญิงพริม หญิงสาวที่ถูกองครักษ์ฮูดาชักจูงเข้ามาเกี่ยวข้องกับต้นห้องเก้า ซึ่งจนสุดท้ายนางก็ยังไม่รู้ว่า เรื่องราวในคืนนั้นมีจุดเริ่มต้นมาจากองครักษ์ฮูดา เนื่องด้วยต้นห้องเก้ามิเคยกล่าวพาดพิงไปถึง เรื่องราวที่อยู่ในความรับรู้ของแม่หญิงแสนดีก็คือ การที่ต้นห้องเก้าแอบเข้าหาในคืนหนึ่ง มีการคบหากันอย่างเรียบง่าย จนถึงวันหนึ่งที่ต้นห้องเก้าถูกแม่ทัพนาซิมทำร้าย นางจึงพบว่า คนที่ดีอย่างยิ่งนั้นมิใช่คนที่รักอย่างยิ่ง แต่นางก็ยังคงเป็นเพื่อนที่ดีกับต้นห้องเก้า รวมถึงต้าซัน คนที่เป็นพี่ชายแสนดีอย่างยิ่งของอาเม่ย แต่เพราะต้าซันมีความตั้งใจที่แน่วแน่ว่าจะดูแลน้องชายเป็นเรื่องหลัก ดังนั้นแม่หญิงพริมกับต้าซันจึงมิเคยแม้แต่จะเริ่มต้นคบหากัน ว่าที่จริงพระราชาฟารัคเคยคิดที่จะวางแผนนัดดูตัวให้กับแม่หญิงพริม กับบุตรชายของเสนาบดีคนหนึ่ง แต่หัวหน้าราชองครักษ์บาดาทักท้วงไว้ แม้ต่อหน้าพระราชาจะรับปาก แต่ในใจกลับคิดหาคู่ให้แม่หญิงพริมไปเรื่อย จนสุดท้ายต้นห้องเก้าต้องทูลขอไว้ เนื่องด้วยนางเป็นหญิง การเที่ยวนัดแนะทำความรู้จักเช่นนั้น ทำให้ดูไม่งาม ต่อเมื่อนางพบคนถูกใจแล้วพระราชาจะช่วยส่งเสริมให้ย่อมดีกว่า
...คิดว่าพระราชาจะรับฟังข้อเสนอนี้หรือไม่...
มาที่องครักษ์ฮูดา ผู้ได้รับความชอบพระราชทานตำแหน่งราชองครักษ์ให้แบบที่พระราชาฟารัคไม่ได้ทรงเต็มพระทัยเลยสักนิด หากแต่เลี่ยงไม่ได้อีกแล้ว คนผู้นี้มีความซื่อตรงต่อจิตใจตนเองอย่างยิ่ง รักคือรัก และเกลียดก็คือเกลียด ที่เป็นปัญหาก็คือ การอยู่ใกล้พระราชาฟารัค ทำให้พลังอำนาจของราชองครักษ์ลำดับที่ 10 ผู้นี้แข็งแกร่งขึ้น จนกลายเป็นการรบกวนพลังของผู้อื่น โดยเฉพาะราชองครักษ์มีอาผู้ซื่อตรง สุดท้ายงานในหน้าที่หลักจึงกลายเป็นงานสืบสวนสอบสวน
อาจกล่าวได้ว่า นี่คือผู้ที่มีความสุขอย่างยิ่ง เพราะในปีต่อมาภริยาให้กำเนิดบุตรฝาแฝด เมื่อเติบโตขึ้นมาคนหนึ่งมีพลังไฟ อีกคนมีพลังทางน้ำ จำต้องส่งให้ไปรับการศึกษาเวทย์จากองครักษ์ซันและแซน นอกจากนี้ยังมีบุตรสาวอีก 2 คนที่รับการศึกษาจากในวังหลวง
ยังมีพระปัยกามูซัค หรือผู้เฒ่าดิน ซึ่งถูกลงโทษฐานที่ละเลยในการดูแลอาเม่ยผู้เป็นศิษย์ ก็จะต้องรับหน้าที่สั่งสอนอบรมเจ้าชายฮัมซา พระราชโอรสแห่งพระราชาฟารัคเป็นเวลา 5 ปี นั่นหมายความว่า เมื่อเจ้าชายมีพระชนม์ 20 พรรษาจะดำรงตำแหน่งองค์รัชทายาทของเมืองวันอย่างเป็นทางการ
แต่เดี๋ยวก่อน
พระราชาฟารัค ทรงแต่งตั้งแม่ทัพเชมัลผู้เป็นพระอนุชาโดยสายเลือดเป็นองค์รัชทายาทอันดับ 1 และ มีเจ้าชายฮัมซาผู้เป็นพระราชโอรส เป็นองค์รัชทายาทอันดับ 2 และมีเงื่อนไขว่า อีก 5 ปีข้างหน้า หากมีพลังเวทย์กล้าแข็งขึ้น จึงจะมีพระวินิจฉัยในเรื่องนี้อีกครั้ง
ว่ากันว่า ทั้งแม่ทัพเชมัล และเจ้าชายต่างก็ไม่เห็นด้วยกับวิธีคิดของพระราชา ด้วยแม่ทัพเชมัลไม่เคยต้องการเป็นรัชทายาทแม้แต่น้อย ส่วนเจ้าชายพอทราบว่าต้องติดตามผู้เฒ่าดินออกเดินทางไปทั่วดินแดนก็ต้องใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการร่ำลาหญิงสาวหลายคนในเมืองหลวง แต่เมื่อออกเดินทางไปได้เดือนเศษก็กลับมีความสุขดีกับชีวิตที่เป็นอิสระ จากนั้นก็มีจดหมายถึงพระราชาฟารัค แนะนำให้มีพระโอรสและธิดาอีกสักหลายๆ พระองค์ มิเช่นนั้น บัลลังก์อาจตกเป็นของเจ้าชายน้อยดาริมแห่งแม่ทัพนาซิม เพราะมีความเป็นไปได้ว่า สุดท้ายแล้ว เจ้าชายฮัมซาอาจเลือกทางเดินถือบวชและครองเวทย์ในแบบเดียวกับผู้เฒ่าดินไปอีกคนหนึ่ง
ผ่านไปครึ่งปี ก็มีจดหมายจากผู้เฒ่าดิน ที่ฝากมากับพ่อค้าเมืองบาสก์ แจ้งข่าวเรื่องการตัดสินพระทัยของเจ้าชายฮัมซา ถัดมาอีก 2 เดือนพระราชาฟารัคจึงรับพระชายาใหม่อีก 2 พระองค์ครานี้ ทรงมีพระโอรสองค์น้อยในเวลาไล่เลี่ยกันอีก 2 พระองค์
ที่ผ่านมาแม่ทัพนาซิมเองก็มีความต้องการฝากเจ้าชายน้อยดาริมให้ไปเรียนวิชากับผู้เฒ่าดินเช่นกัน แต่พอทราบเรื่องของเจ้าชายฮัมซา จึงเปลี่ยนใจ ฝากให้ศึกษากับเหล่าราชองครักษ์ของพระราชาฟารัคเช่นเดิม มิใช่ว่าต้องการแย่งชิงบัลลังก์ แต่เพราะแม่ทัพนาซิมมีโอรสเพียงองค์เดียว หากต้องการติดตามผู้เฒ่าดินไปอีกคน มิใช่ต้องรับภริยาใหม่อีกคนหรือ
ยังมีอีก แม่ทัพเชมัลรับผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธทยอยเข้ามาสมทบในกองทัพอีก 5 คน แต่ผ่านการคัดเลือกและแต่งตั้งเป็นองครักษ์เพียงคนเดียว ส่วนอาลีหัวหน้าหมู่บ้านคนเถื่อนที่อยู่นอกเขตชายแดนส่งคนเข้ามาแจ้งว่า พบเด็กน้อยคนหนึ่งอายุเพียง 4 ขวบแต่มีพลังในการควบคุมลมจึงให้คนพามาหาแม่ทัพนาซิม และพามาหาแม่ทัพเชมัลอีกทอดหนึ่ง สุดท้ายเด็กน้อยจึงได้เข้ารับการศึกษาเวทย์เพื่อควบคุมการใช้พลังทางลมกับราชองครักษ์คนหนึ่งที่มีความเชี่ยวชาญเรื่องนี้ ว่ากันว่าหัวหน้าหมู่บ้านอาลีผิดหวังอยู่ไม่น้อยที่แม่ทัพเชมัลไม่รับสอนวิชาให้
ก็อย่างที่ทราบกัน หัวหน้าหมู่บ้านผู้นี้ ไว้วางใจแม่ทัพเชมัลแต่เพียงผู้เดียว
ส่วนต้าซันคนซื่อ มีความผิดฐานที่พาอาเม่ยหลบหนี ทั้งเมื่อลอบกลับมาเมืองหลวงก็ไปพักอยู่กับราชองครักษ์ลาทีฟ สอนหนังสือให้กับท่านหญิงลาทิฟาบุตรสาวของราชองครักษ์ แต่เมื่อรวมกับการที่ก่อนหน้านี้เคยรับโทษจำคุกเพราะอาเม่ยผู้เป็นน้องชายหนีทหารมาแล้วระยะหนึ่ง พระราชาจึงให้ปลดออกจากกองงานดนตรีในพระราชวัง แต่ให้ไปสอนหนังสือแก่ท่านหญิงลาทิฟาต่อไป
หากราชองครักษ์ลาทีฟเป็นคนหนุ่ม ก็อาจคิดได้ว่าพระราชากำลังคิดจับคู่ แต่เพราะเป็นผู้ที่มีอายุมากแล้ว เรื่องนี้จึงตกไป แต่กล่าวกันว่า อาจเพราะพระราชามีดำริเตรียมท่านหญิงลาทิฟาให้เป็นพระชายาของเจ้าชายฮัมซา ต่อมาแม้ว่าสถานการณ์โดยรวมจะเปลี่ยนไป ก็ยังมีเมตตาต่อท่านหญิงลาทิฟาอยู่เช่นเดิม
ส่วนเรื่องหัวใจของต้าซัน ที่มีเพียงอาเม่ยที่ล่วงรู้ ดังนั้น มันจึงสมควรเป็นความลับระหว่างพี่น้องต่อไป
มาถึงอาเม่ยที่อยู่ในความก้ำกึ่งระหว่างเหยื่อกับมือสังหาร พระราชาจึงให้สวมกำไลโลหะเพื่อควบคุมการใช้พลังและเวทย์ ทั้งห้ามเข้ามาในเขตเมืองหลวง
แต่เรื่องนี้ ต้องนับว่าแต่ละคนมีเจตนาที่จะร่วมกันไม่กล่าวความจริงออกมา นั่นเพราะทั้งผู้เฒ่าไฟ รัชทายาทเจิ้นเทียน จนถึงเฮยอั้นต่างก็หาชีวิตไม่แล้ว อาเม่ยซึ่งได้รับการรักษามาเป็นระยะตั้งแต่แม่ทัพเชมัล พระราชาเมืองบาสก์ มาจนถึงพระราชาฟารัคเอง จึงย่อมกล่าวได้อย่างเต็มปากว่า อาเม่ยผู้นี้ปราศจากเวทย์ดำแล้ว
แต่ทุกคนที่รู้ความจริง กลับพร้อมใจกันเงียบเฉย
แม้แต่ราชองครักษ์ฮูดา ก็ยังทำไม่รู้ไม่เห็นในเรื่องนี้ไปด้วยอีกคน
สุดท้ายคือแม่ทัพเชมัล ที่กลับมามีตำแหน่งใหญ่โตกว่าเดิม ทั้งมีผู้มีเวทย์จากหลายเมืองมาพบไม่ขาดสาย หลายเรื่องต้องบ่ายเบี่ยงให้เป็นหน้าที่ของหัวหน้าราชองครักษ์บาดา และหัวหน้าองครักษ์รอมเป็นผู้ดูแล
แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงเป็นผู้ที่มีงานมากมาย เพราะพระราชาก็โอนงานต่อมาให้เช่นเดียวกัน
นี่อาจเป็นวิธีการลงโทษแบบพระราชาฟารัคก็เป็นได้
เล่ากันว่า หลังจากที่พระราชาฟารัค มีพระอาญาลงโทษพร้อมไปกับการบำเหน็จรางวัลแก่ทุกคนเสร็จสิ้นแล้ว พระราชาฟารัค แม่ทัพนาซิม และ แม่ทัพเชมัลก็ร่วมหารือกันเป็นการส่วนพระองค์ในแบบ "พี่น้อง" กันอย่างแท้จริง ที่ศาลาหลังเล็กในพระราชอุทยาน
หัวหน้าราชองครักษ์บาดา และหัวหน้าองครักษ์รอม ที่ว่าเป็นผู้เข้มงวดยังทำได้แค่ยืนรอคอยอยู่ห่างๆ แต่นั่นย่อมยังอยู่ในระยะที่ได้ยินเสียงสนทนา
ปัญหาคือเมื่อผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์คือ 2 คนนี้ เรื่องเล่าต่อมา ย่อมขาดความสนุกสนานไปมากอย่างน่าเสียดาย เหลือแต่เพียงคำกล่าวที่ว่าพระราชาโกรธกริ้วพระอนุชา 2 พระองค์ที่ช่างลังเล ไม่ได้ดั่งพระทัย เรื่องให้ไปสู้รบกับคนอื่น ช่างรวดเร็วและทำได้ดีเกินคาด แต่พอเป็นเรื่องหัวใจของตนเองกลับลังเล เชื่องช้า ไม่แน่ใจ
สุดท้ายคือ เมื่อพระราชาฟารัค ใช้ถ้อยคำรุนแรงตำหนิ ว่า "ช่างโง่งมจนเกินกว่าจะเข้าใจได้"
แม่ทัพเชมัล กลับย้อนด้วยคำเดียวกัน "พวกเรา 3 คนต่างก็กลายเป็นคนโง่ เมื่อมีความรัก หรือท่านมิใช่"
พระราชาฟารัคถึงได้สงบลง ตามมาด้วยแม่ทัพนาซิมที่ได้แต่ยอมรับเช่นเดียวกัน "ชายชาตรี ไม่เกรงฟ้า ไม่กลัวไฟ แต่กลัวเขาไม่รัก ช่างน่าสมเพชจริงๆ"
นี่หากเปลี่ยนให้ราชองค์รักษ์ฮูดาทำหน้าที่ถวายการรักษาความปลอดภัยในวันนั้น พวกเราคงได้ฟังเรื่องราวที่สนุกสนานกว่านี้
...
เมืองวันมีฝนตกมาหลายวันแล้ว ไร่นาเขียวชอุ่ม ผู้คนยิ้มแย้มแจ่มใส รถม้าขนพืชผักส่งขายไปถึงแดนไกล เรือลำใหญ่จากต่างเมืองนำสินค้าเข้ามาเทียบท่า การแลกเปลี่ยนสินค้าที่ยิ่งเสริมความมั่งคั่งและเข้มแข็ง
พ่อค้าต่างเมืองลำเลียงสินค้าจากท่าเรือ เดินทางผ่านเมืองหลวง ใช้เส้นทางถนนสายหลักมุ่งหน้าขึ้นเหนือ ตลอดเส้นทางในเมืองวัน ไม่มีความจำเป็นต้องมีผู้คุ้มกัน ไปจนถึงเมืองหน้าด่านค่อยหาว่าจ้างผู้คุ้มกันจากสำนักคุ้มกันที่นั่นแล้วเดินทางต่อไปเมืองบาสก์หรือเมืองเหนือ แล้วต่อไปยังเมืองอื่นที่ห่างไกลออกไป
ผ่านประตูเมืองหลวง ไปตามถนนสายหลักไม่ไกลนัก มีทางแยกอยู่สายหนึ่งปลูกต้นไม้ใหญ่ร่มครึ้มตลอดเส้นทาง ปลายทางคือแนวรั้วไม้สูงเพียงระดับเข่า
ป้อมยามที่ด้านหลังแนวรั้วยามนี้ว่างเปล่าไม่มีคน แต่ถัดเข้าไปคือโรงม้าเล็กๆ โรงม้านี้แปลก ที่มันยังมีคอกแพะแก่ตัวหนึ่งเล็มหญ้าอย่างสบายอารมณ์ มองดูทหารยามที่เข้ามานอนพัก เนื่องด้วยฝนที่ตกพรำ ทหารยามที่ปกติก็มิได้ทำอันใดมากไปกว่าการรดน้ำผักในแปลงปลูกเล็กๆ ข้างคอกม้า จึงแอบมานอนหลับสบาย
ใกล้กับคอกม้ายังมีเรือนคนรับใช้ และบ้านพักหลังขนาดพักอาศัยอยู่คนเดียวอีกหนึ่งหลัง โดดเด่นด้วยกระถางดอกไม้ที่วางตามขั้นบันไดและระเบียงหน้าบ้าน
ข้างประตูกลับมีเครื่องดนตรีชนิดเครื่องสายแขวนไว้
ในอีกด้านหนึ่งคือเรือนไม้หลังใหญ่ที่เพิ่งปลูกสร้างเสร็จ เจ้าของบ้านเพิ่งเข้าพักเมื่อเดือนก่อน ด้านหนึ่งของเรือนพักหันหน้าเข้าหาลำธารที่ไหลผ่าน
ท่ามกลางสายฝนพรำ คนผู้หนึ่งขี่ม้าตรงมาที่บ้าน แพะแก่ส่งเสียงเรียกทหารยามที่หลับอยู่จนสะดุ้งตื่นแล้ววิ่งมาเปิดประตู รับม้าเข้าไปในโรงม้า ส่วนผู้รับใช้รีบออกมาจากโรงครัว รับห่อผ้าขนาดใหญ่ไปจัดการ
ประตูบ้านหลังใหญ่เปิดออก ผู้ที่ก้าวออกมาถือผ้าทอรอรับ
เส้นผมสีเงิน ดวงตาสีเขียวใสเป็นประกาย กับรอยยิ้มกว้าง
มือข้างขวาที่สวมกำไลโลหะ ยื่นมารองน้ำฝนที่ไหลผ่านหลังคาบ้านพัก แม้จะทำให้มือขาวซีดเย็นเฉียบแต่ให้ความรู้สึกคุ้นเคย ส่วนเสื้อคลุมตัวยาวเนื้อผ้าอ่อนนุ่มที่สวมใส่อยู่กลับเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคย แต่นี่คือสัญลักษณ์ของการพ้นจากตำแหน่งหน้าที่ในค่ายทหารแล้ว
คนตัวใหญ่ที่เดินฝ่าสายฝนตรงกลับมาที่เรือนพักตามลำพัง เสื้อคลุมกันฝนสีหม่น ไม่อาจบดบังความสง่างามและอำนาจที่ฉายออกมาอย่างโดดเด่น
จมูกคมก้มลงหาแก้มใสกระซิบคำบอกรักและคำคิดถึง จากนั้นเดินเข้าไปในบ้านพักดื่มน้ำสมุนไพรอุ่นที่ไม่เคยชื่นชอบ แต่เพราะผู้ที่รออยู่ที่บ้านตั้งใจเตรียมไว้ให้ จึงดื่มจนหมดแล้วรับรางวัลเป็นรอยยิ้มสดใส
เวลาไหลเอื่อย ฝนขาดเม็ด กินอาหารมื้อค่ำเร็วกว่าเคย
อากาศหนาวเย็นกว่าเดิม หลังดื่มเหล้าอุ่นอีกเล็กน้อย จึงหยิบเสื้อคลุมกันหนาวตัวหลวมโคร่ง สวมให้คนที่ตัวเล็กกว่า
คนสวมให้ส่ายหน้าเมื่อเห็นเสื้อผ้าขนาดไม่พอดีตัว แสร้งเรียกคนรับใช้เข้ามาโวยวาย แต่พอคนรับใช้ส่งห่อผ้าผืนใหญ่ให้ ก็กลับหันมายิ้มกว้าง อย่างที่ไม่อาจเสแสร้งได้อีกต่อไป
มือผอมบาง ลูบเนื้อผ้านุ่มมือ กล่าวขอบคุณเสียงหวาน สวมเสื้อคลุมตัวใหม่แล้วจับมือเดินเคียงคู่กันออกมาจากบ้าน
ท้องฟ้ากลางคืนยามฝนผ่านไป ใสกระจ่างมองเห็นดวงดาวนับพัน สายลมเย็นกระทบแก้ม
กลิ่นดอกไม้หอมในลมหายใจ เสียงเพลงจากหมู่บ้านดั่งเสียงเรียกให้เร่งฝีเท้าให้เร็วกว่าเดิม ทันทีที่เข้าไปในหมู่บ้านเด็กหญิงเด็กชายวิ่งมาต้อนรับ โอบกอดคนตัวเล็กแน่นๆ แล้วหันมาแบมือขอขนมจากคนตัวโตที่แกล้งบ่ายเบี่ยงว่ามิได้นำมา ทำให้ถูกโวยวาย จนต้องส่งขนมให้ทั้งห่อ เด็กน้อยจึงจูงมือไปที่ลานกลางหมู่บ้าน ที่ตกแต่งด้วยกระดาษสี ดอกไม้ และโคมไฟ
ผู้เป็นพี่ชายกับคนรับใช้ที่ล่วงหน้ามาก่อนร่วมร้องเพลงอยู่ในงาน หันมาโบกมือทักทายน้องชายกับผู้ที่มาด้วย แล้วก็หันไปสนุกสนานกับงานเลี้ยงต่อไป
เจ้าสาวคนงามประดับผมด้วยดอกไม้หอม ในเครื่องแต่งกายสีขาว เคียงข้างกับเจ้าบ่าว
ผู้ที่เพิ่งมาถึงอวยพรให้ทั้งคู่อยู่เคียงคู่กันตราบลมหายใจสุดท้าย
เสียงเพลงพื้นบ้าน การเต้นรำ และการดื่มกิน ดำเนินไปจนถึงยามเที่ยงคืน จึงได้เวลาส่งตัวคู่บ่าวสาว งานเลี้ยงที่ด้านนอกจึงเปลี่ยนเป็นเสียงเพลงที่อ่อนหวานกว่าเดิม หัวหน้าหมู่บ้านจึงเดินมาส่งแขกสำคัญของงานที่ปากทางหมู่บ้าน ส่วนผู้เป็นพี่ชาย กับคนรับใช้ยังคงล่วงหน้ากลับบ้านไปก่อน เช่นเดียวกับขามา
เมื่อเดินกลับมาด้วยกันคนตัวเล็กยกสองมือป้องปาก แม้จะเกิดและเติบโตจากหมู่บ้านทางเหนือที่มีอากาศหนาวเย็น แต่ถึงยามนี้มือก็ยังเย็นเฉียบ คนที่เดินอยู่ข้างกันหันมามอง กุม 2 มือเล็กขึ้นมาแนบแก้มสาก สัมผัสไออุ่นจากแก้มและมือใหญ่ที่กอบกุมอยู่
ท่ามกลางแสงจันทร์ ข้ามองเห็นเพียงรอยยิ้มของพี่....
....ท่ามกลางประกายของดวงดาวพี่เห็นเพียงประกายความสุขในดวงตาเจ้า
ข้าไม่กังวลสิ่งใด....
....พี่ไม่ยอมแพ้ต่อสิ่งใด
ข้าข้ามผ่านอดีต....
....พี่มองเห็นวันพรุ่งนี้ที่มีแต่เรา
ใจนี้....
....กายนี้
ลมหายใจนี้....
....ชีวิตนี้
เป็นของพี่....
....ขึ้นอยู่กับเจ้าจะสั่งการ
ใต้ผืนฟ้า และดวงดาว ยามฟ้าสว่างหรือมืดมิด ขอมีเพียงท่านเท่านั้น....
....จะทะเลกว้าง หรือทะเลเพลิง พี่จะไม่ยอมคลายมือจากเจ้า
ไม่มีท่าน ไม่มีข้า...
....มีเพียงเราที่จะอยู่คู่กัน....นิรันดร....
...จบ...ยังมีตอนพิเศษอีกสามตอนนะครับ หากไม่เป็นการรบกวนเกินไป โปรดแวะมาอ่านกันต่ออีกสามครั้งนะครับ 
มีเรื่องที่อยากเล่าเยอะแยะ แต่หาสาระอันใดมิได้เลย ดังนั้นก็โม้ไปเรื่อยละกันนะ
A การเขียนแฟนตาซีแบบนี้มันยากมากจริงๆนะ แถมมาอ่านชาร์ตที่คนเขียนเขาทำไว้ก็งุนงงสับสน เขียนกันนานเป็นปี บอกไปใครเขาจะเชื่อ เพราะมันเวอร์มาก แต่มันคือความจริง เพราะหลายครั้งที่เวลาผ่านไปเป็นเดือนพี่ไจฟ์ยังไม่ได้พิมพ์อะไรลงไปสักตัว ผมจะโม้เองก็จะกลายเป็นนิยายฮาเฮ แทนที่จะเป็น "ทั้งหมดที่ข้ามี"
B ในการเขียนเรื่อง ผมต้องมีต้นแบบเพื่อบรรยาย แต่จนถึงตอนนี้ผมก็หารูปพระราชาฟารัคที่ถูกใจเจ้านายไม่เจอ ใครมีหนุ่มตาแขกในดวงใจอายุ 30+ รบกวนแนะนำผมด้วย ไม่ต้องแนบรูปก็ได้ เกรงใจจัง
C อย่าถามถึงเรื่องต่อไป เพราะมันยังเป็นบันทึกช่วยจำอยู่เลย
D ขอบคุณที่คุณรักเรื่องนี้ แต่เราไม่พิมพ์ขาย ไม่เคยพิมพ์สักเรื่อง ใช่ครับ เพราะเรายังไม่เก่ง
** อังคาร หรือ พุธ หน้าเป็นตอนพิเศษที่ 1 นะครับ **
ขอบคุณมากครับ
ไจฟ์กับที