NOBI NOBI | SUNEO
“ไปทะเลกัน”
เพราะคำพูดคำเดียวของไอ้เฮียแท้ ๆ ในวันนี้พวกเราถึงได้มาหยุดอยู่หน้ารีสอร์ทแห่งหนึ่งใจกลางเกาะเสม็ด...
ย้อนกลับไปเมื่อหลายวันก่อน หลังจากที่พรีเซนต์งานนั้นเสร็จพวกเราก็ต้องเจอกับมรสุมสอบย่อยจากบรรดาคณาจารย์ท่านอื่น ๆ มันวันเว้นวันชนิดที่ว่าทำให้สมองของผมที่ไม่เคยมีอะไรนอกจากเรื่องเกมส์สามารถเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้ได้
แม่รู้แม่คงเต้นบัลเล่ต์ท่าองค์หญิงสวอนมาหาโนบิตะมันแน่... ก็คนที่คุณก็รู้ว่าใครนั่นล่ะที่เข็นผมจนหายโง่ในห้องสอบอย่างนี้ !
“พูดถึงก็ตลกดี...กูนี่งงเลย พิกแม่งไม่หันมาขอลอกข้อสอบกูตอนทำวิชาอาจารย์แต๊กซักครั้ง”
นั่นเสียงของไอ้ชานครับ มันพูดแซวผมทันทีที่เงยหน้าขึ้นจากเมนู ตอนนี้พวกเราย้ายร่างมาสถิตอยู่ในร้านอาหารหน้าซอยเข้ารีสอร์ทเพื่อหาอะไรเติมเต็มให้กระเพาะที่ว่างมาตั้งแต่เช้า โดยที่ผมนั่งข้างชาน ส่วนไอ้เฮียนั่งข้างโนบิตะ
“โนบิตะมันคงติวมาดีล่ะสิ...ว่าไง วันหลังติวให้พวกกูบ้างนะแจ๊ะ โนบิตะคลุง”
น้ำเสียงกับท่าทางน่าหมั่นไส้จากเฮียเรียกให้ผมต้องละสายตาจากเมนูเครื่องดื่มในมือแล้วหันไปมอง จะว่าไปตั้งแต่วันนั้นที่มันรู้เรื่อง...เอ่อ...นั่นแหละ เกี่ยวกับผมกับไอ้โนบิตะ มันก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะขยะแขยงอะไร แถมยังดูออกจะสนิทใจกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นอย่างง่ายดายจนน่าสงสัย
แต่ก็นั่นแหละ ที่แคนาดาเขาคงจะเห็นเรื่องพวกนี้เป็นอะไรที่เบสิคมาก มันถึงไม่ได้ทวงถามอะไรจากผมอีก...แถมพวกเราทั้งสี่คนดูเหมือนจะสนิทกันแน่นแฟ้นกว่าแต่ก่อนมาก จะว่าพวกเราเปิดใจให้กันมากขึ้นก็ได้ อย่างไอ้โนบิตะก็พูดคุยกับคนอื่นมากขึ้น(หมายถึงไอ้ชานน่ะนะ)เมื่อมีไอ้ตัวเชื่อมสัมพันธ์อย่างไอ้เฮียเข้ามา
ผมเลยไม่ได้ติดใจคิดอะไร...ก็ทุกเรื่องนั่นแหละ
ถ้าไม่รวมเรื่องที่...
โนบิตะแม่งทำหน้าบึ้งเหี้ย ๆ มาตั้งแต่เช้าแล้ว...หงุดหงิดอะไรขึ้นมาอีกล่ะเนี่ย
“ครับ”
มันตอบรับคำเดียวแล้วเสหน้าออกไปมองชายหาดด้านนอก แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้บรรยากาศดี ๆ ถูกทำลาย เพราะคนข้างตัวของผมกับไอ้คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามดูเหมือนจะไม่เอะใจอะไรเลยสักนิด
“สรุปเลยนะ...อย่างที่คุยกันบนเรือ ตกลงว่าชานกับพิกด้วยกัน...ส่วนกูนั้นนอนกับโนบิตะเองจ้ะ ดีลนะ”
“โอเค ดีล”
ไอ้เฮียกับชานดีลกันอยู่สองคน หัวเราะชอบอกชอบใจที่สามารถแบ่งสัดส่วนได้อย่างลงตัว พวกมันไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่ากำลังนั่งอยู่ท่ามกลางพายุที่ก่อตัวขึ้นเงียบ ๆ เหลือบไปมองไอ้เก้าที่ก้มหน้ากดโทรศัพท์ยุกยิกแล้วเสียวสันหลังยังไงชอบกล ยิ่งเห็นสายตาของมันที่มองลอดแว่นกลับมาก็ยิ่งรู้สึกขนลุก
ไลน์
ไลน์
ไลน์เอาอีกแล้ว... ผมก้มลงมองโทรศัพท์ในมือตนเองสว่างวาบเป็นจังหวะเพราะมีข้อความเข้า เงยหน้าขึ้นไปก็เห็นไอ้โนบิตะถลึงตามองมา...เอ๊ะ ไอ้นี่ชักจะเอาใหญ่ เดี๋ยวนี้หัดเอาแต่ใจผ่านมือถือก็ได้ด้วย
“แปบนึงนะ ไปขี้ก่อน เดี๋ยวกูมา”
ชั่งใจอยู่พักหนึ่งก็เอ่ยขอตัวจากบรรดามนุษย์อีกสองหน่อที่ยังคงนั่งคุยกันอย่างออกรสออกชาติ ไอ้เฮียกับเชี่ยวชาญไม่ได้สนอกสนใจผมเท่าไหร่ พวกมันยกมือขึ้นปัด ๆ ทำเหมือนไล่แล้วหันกลับไปคุยกันต่อ
เดินมาถึงหน้าห้องน้ำก็มองหาที่นั่งดี ๆ กะจะเปิดอ่านไลน์ที่ไอ้โนบิตะส่งมาสักหน่อย แต่ยังไม่ทันจะได้กดรหัสผ่านเข้าไปดูก็มีมือของใครบางคนมาดึงโทรศัพท์ผมออกซะก่อน
“ไม่ต้องอ่านแล้วครับ...หันมาคุยกับผมนี่”
เจ้าของข้อความทางไลน์ยึดโทรศัพท์ของผมซ่อนไว้ด้านหลังตัวเองก่อนทรุดตัวลงนั่งบนที่ว่างข้าง ๆ วันนี้โนบิตะอยู่ในชุดเสื้อยืดสีฟ้า โทนสีดูผ่อนคลายผิดกับหน้ามันที่ดันตึงเครียดเหมือนกับเพิ่งเจอเรื่องแย่ ๆ มาทั้ง ๆ ที่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติสักอย่าง
“อะไรวะ”
ผมขมวดคิ้วมองมันแล้วเอื้อมมือไปทำท่าจะแย่งโทรศัพท์คืน แต่ไอ้แว่นจืดกลับยกมือที่ถือโทรศัพท์ขึ้นสูง แล้วจ้องจิกผมเหมือนไปฆ่าแม่พรากลูกมันมายังไงอย่างงั้น
“เดี๋ยวคืนให้ครับ...แต่สัญญากับผมมาก่อน”
“สัญญาอะไร” ผมขมวดคิ้วมุ่นกว่าเดิม
“สัญญาว่าจะทำตามที่ผมบอก”
“ห๊ะ”
“นั่นล่ะครับ”
เราเงียบกันพักใหญ่ ผมกับมันจ้องตากันอย่างไม่มีใครคิดจะละสายตาออก และในที่สุดก็เป็นผมเองที่ไม่สามารถทนอยู่เฉย ๆ ได้
“โว้ย...ก็พูดมาสิ...ทำพิรี้พิไรอยู่ได้”
ผมทำเป็นหงุดหงิดใส่ทั้ง ๆ ที่กลัวสายตาของมันที่จ้องมองมาแทบตาย โนบิตะถอนหายใจหน้าเครียด มันดันลิ้นดุนกระพุ้งแก้มก่อนจะจ้องลึกเข้ามาในแววตาผมยิ่งกว่าเดิม
“รับปากกับผม ว่าจะไปไปบอกเฮียว่าขอเปลี่ยนห้อง...”
“...”
“แต่ห้ามนอนกับคุณเชี่ยวชาญ”
ราวกับมันกำลังพูดคำประกาศิต สิ้นสุดคำสั่งของมันผมก็กะพริบตาปริบอย่างงง ๆ เดี๋ยวนะ ...อย่าบอกว่านี่คือสิ่งที่ทำให้มันดูหงุดหงิดมาตั้งแต่อยู่บนเรือ ? จะบ้าตาย ถึงว่าแน่ะ พอไอ้เชี่ยชานบอกจะนอนกับผมมันก็...
เอ...หรือว่ามันจะคิดอะไรกับผม
จริงอะ...
เฮ้ยยยยย จริงดิ!“อ๋อ...เออ...เปลี่ยนห้องหรอ...อื้อได้สิ...ได้...เดี๋ยวจะไปบอกนะ”
ก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงตอบตกลงไปอย่างง่ายดาย แถมสมองมันยังมึน ๆ งง ๆไปหมด แต่พอเห็นรอยยิ้มบาง ๆ ที่จุดไว้ตรงมุมปากของไอ้โนบิตะแล้วก็ใจสั่นแปลก ๆ เดี๋ยวนะ แล้วนี่ผมเป็นอะร๊ายยยย? จะดีใจไปทำไมวะที่มันอารมณ์ดีขึ้นมาเพราะแค่ผมตอบตกลงจะตามใจมัน
บ้าบอไปกันใหญ่แล้ว! ไม่ได้จะตามใจใครเลย แค่ไม่อยากมีปัญหา!
“อืม...ดีครับ น่ารักมาก”
แม่ง นอกจากจะยิ้มไม่เลิกแล้วยังมาพูดจาแปลก ๆ ใส่อีก กับอีแค่คำว่าน่ารักของมันทำเอาผมถึงกับต้องกลอกตามองท้องฟ้า... เหลือบไปมองก็เห็นมันจุดยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม แบบนี้ภาษาทางการเขาเรียกว่าอ่อยป่าววะ
เฮ้ย...ไม่ดิ ผมคงจะคิดไปเองมากกว่ามั้ง... แต่ขอโทษนะ ถึงมึงจะมีใจให้กูจริง กูก็คงจะคบกับมึงไม่ได้หรอก...
เพราะกูไม่ได้ชอบมึง...
มั้ง...ทำไมต้องมั้งด้วยวะไอ้เหี้ย !! หงุดหงิดตัวเองโว้ย!!! “แล้วนั่นจะไปไหนครับ”
เสียงโนบิตะดังขึ้นเมื่อเห็นผมลุกจากเก้าอี้หน้าห้องน้ำ กะว่าจะรีบเดินจ้ำอ้าวไปทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับมันให้เสร็จ ๆ ไป แต่พอหมุนตัวกลับไป...ใจก็เสือกสั่นเพราะหน้ายิ้ม ๆ ของมันอีก T_T
“ร้านอาหารอยู่อีกทางนะครับพิก”
พูดจบมันก็ผุดลุกขึ้นแล้วเดินนำออกไป แวบหนึ่งเห็นมันยิ้มหน้าตาดูชอบใจ ผิดกับผมที่ยืนคว้างอยู่กับที่ ทั้งตัวทั้งขาแข็งเหมือนคนเป็นอัมพาตเมื่อรู้สึกได้ถึงจังหวะของอะไรบางอย่างที่เต้นผิดไปในอก
แม่งเอ้ยหัวใจกู...
ทำไมต้องเต้นแรงขนาดนี้ด้วยวะ ? ______________________________________
“ขอภูมิใจนำเสนออออ รีสอร์ทเพื่อนแม่กู!!”ผมปรบมือให้ไอ้เฮียที่ยืนผายมือออกทำท่าโอ้อวดถึงความหรูหราระดับบ้าน ๆ ของรีสอร์ทเพื่อนแม่มันอย่างภูมิใจ หลังจากที่ยัดทะนานใส่กระเพาะจนเต็มเหนี่ยวแล้วพวกเราก็ตกลงว่าจะกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วออกไปเล่นน้ำ ชมวิว หาเหล้ากินที่ชายหาด แน่นอนว่าผมยังไม่ได้พูดเรื่องที่จะขอเปลี่ยนห้องเพราะยังไม่มีโอกาส แต่สีหน้าของเก้าก็ไม่ได้ดูถมึงทึงเหมือนในคราวแรกแล้ว…
พูดง่าย ๆ เลยแล้วกันว่ามันเปลี่ยนมากดดันผมด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ แทน“พวกมึงจะเอาไงตกลง เล่นน้ำก่อนไหม แล้วค่อยไปถ่ายรูป ชมบรรยากาศแทน”
ไอ้เฮียเสนอความคิดเห็นเป็นคนแรกอย่างเคย อาจเพราะมันมาที่นี่บ่อยที่สุด ถึงสามารถแนะนำได้ว่าเราควรทำอะไรก่อน ทำอะไรทีหลัง ดังนั้นผมกับเชี่ยวชาญจึงไม่ได้คิดจะแย้งอะไร ได้แต่พยักหน้าหงึก ๆ ตามน้ำมันไป... เว้นแต่ไอ้โนบิตะที่ดันแว่นเข้าหน้าตัวเอง แล้วกระแอมไอออกมาเสียงดัง
“ตอนไปเข้าห้องน้ำเมื่อกี้...เห็นพิกบอกผมว่ามีเรื่องจะคุยกับชานไม่ใช่หรอครับ...”
ไอ้ชิบหาย! เล่นกันไม่ให้ทันตั้งตัวเลยเหรอ! หันไปก็เจอไอ้ชานทำหน้าเหรอหรา มันเลิกคิ้วมองมาอย่างคนสงสัย “อ้าว...มีอะไรอยากบอกกูหรอพิก”
บอกตรง ๆ ว่าไม่รู้จะพูดยังไงเมื่อเห็นหน้าตาซื่อบื้อของมัน ก็อย่างที่รู้ ๆ กัน เชี่ยชานยังไม่ได้สนิทอะไรกับไอ้เฮียขนาดนั้น แล้วอยู่ ๆ จะไล่ให้มันไปนอนด้วยกันแล้วย้ายตัวเองมานอนกับไอ้โนบิตะเนี่ยนะ?
ไม่อยากจะคิดเลย แต่ก็คิดขึ้นมาอีกแล้ว... หรือมันกำลังอ่อยผมวะ ตกลงไอ้เก้ามันกำลังอ่อยผมใช่ปะถึงได้อยากนอนห้องเดียวกับผมขนาดนี้?
เอาไงดีวะ...เอาไงดี โดนอ่อยมาขนาดนี้ขืนไปนอนกับมันผมต้องตัวเป่งเพราะโดนกรอกน้ำทั้งคืนแน่
เอาไงดี...
โอ้ย แล้วใจมึงจะเต้นทำไม มึงจะอมยิ้มเหี้ยอะไรวะพิกกก
หยุด หยุด หยุด ห้ามอมยิ้ม ดีใจเหี้ยอะไร มันเห็นมึงเป็นแค่คนใช้เท่านั้นแหละ ไม่ได้สลักสำคัญอะไรเลยสักนิด!!!“คือ...กูอยากขอเปลี่ยนห้องว่ะ”
สุดท้ายก็กลั้นใจพูดออกไปท่ามกลางความเงียบ ผมแอบเห็นเก้าแย้มยิ้มมุมปากอย่างพอใจ แต่แค่แวบเดียวเท่านั้นแหละ เพราะต้องหันมาให้ความสนใจกับเชี่ยวชาญต่อว่ามันจะคิดยังไงกับเรื่องนี้ แต่พอหันไปมองไอ้ชานมันกลับทำแค่เบิกตามองผมนิดเดียว แล้วนาทีต่อมาก็เป็นเสียงไอ้เฮียที่โวยวายละความสนใจจากผมไปแทน
“กู...ขอนอนกับมึงได้ไหมวะเฮีย...”
“มึงแม่ง...ทำไมทำงี้วะ...ได้ไงอะ กูอยากนอนกับเก้าแท้ ๆ”
คนที่โวยไม่ใช่เชี่ยวชาญอย่างที่คาดไว้หรอก แต่ดันเป็นไอ้เตี้ยเฮียที่พูดสวนขึ้นมาเสียงแหว มันเบะปากหายใจฟึดฟัดทำหน้าทำตาเหมือนคนกำลังอกหัก เยื้องไปหน่อยก็เป็นไอ้ชานที่เอาแต่หัวเราะในลำคอ มันทำแค่ยักไหล่แล้วตอบออกมาอย่างเสียไม่ได้
“เอางั้นก็ได้ ตามใจมึงเลยกูไม่มีปัญหา”
ผิดคาด...ยอมรับว่าผิดคาดไปมาก ๆ สำหรับปฏิกิริยาของเพื่อนรักที่ปกติจะติดผมเป็นตังเม ความรู้สึกแรกเลยคือ
มึงไม่สนิทกับกูเหมือนเดิมแล้วหรอวะ นั่นทำให้ความรู้สึกต่อ ๆ มากลายเป็นความน้อยใจที่ผสมปนเปกับอารมณ์ใหม่ ๆ ผมได้แต่ขมวดคิ้วมองไอ้ชานเดินไปเก็บเสื้อในตู้ที่เพิ่งแขวนไป แทนที่จะเป็นตัวผมเองที่ต้องเก็บกระเป๋า
“งั้นเดี๋ยวรอกูแป๊บนึงได้ปะ เดี๋ยวกูเอาของไปเก็บที่ห้องก่อน...นี่อะ กุญแจเก็บไว้ที่มึงแล้วกันพิก”
เชี่ยวชาญล้วงกุญแจห้องที่ตัวเองเป็นคนเก็บไว้มายัดใส่ในมือผมหน้าตาเฉย
“ให้กูไปส่งไหม” ผมถามออกไปเสียงอ่อน กลัวมันจะงอนมากเลยตอนนี้
“ไม่ต้องอะ...เฮ้ย เฮีย มึงอะไปกับกูเลย กุญแจห้องอยู่กับมึงไม่ใช่หรอวะ มาแลกกัน”
พูดจบก็เดินมาเกี่ยวคอไอ้เฮียที่ทำหน้ามู่ทู่ออกไป ไม่รู้ว่าพวกมันไปสนิทกันขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหน รู้อย่างเดียวคือตอนนี้ในใจมันโหวงวูบแปลก ๆ
ทั้งสองคนเดินออกจากห้องไปแล้ว เพราะงั้นในห้องนี้ก็เหลือแค่ผมกับไอ้เก้าสองคน แน่นอนว่าไม่มีใครพูดอะไรออกมา ผมจึงเดินไปกดเปิดทีวีให้มีเสียงแทรกกลางระหว่างความเงียบบ้าง... อยู่กับแม่งสองต่อสองแล้วอึดอัดเป็นบ้า
“ทำไมไม่บอกว่าจะนอนกับผม ไหนสัญญาไว้แล้วไง”
แสงในทีวีสว่างวาบไม่ถึงสิบวินาทีก็ดับวูบลงเพราะมีคนเดินไปปิด จะใครล่ะ ก็ไอ้โนบิตะที่ยืนจังก้าท้าลมแอร์อยู่นั่นไง
“กูสัญญาแค่ว่าจะเปลี่ยนห้อง แต่ไม่ได้บอกว่าจะนอนกับมึง”
ผมตอบออกไปตามความสัตย์ เอ้า! ก็จริงนี่หว่า ในตอนนั้นมีประโยคไหนบ้างที่ไอ้โนบิตะบอกว่าจะนอนกับผม... มันแค่บอกว่าห้ามผมนอนกับไอ้ชานย่างเดียวก็เท่านั้น
“อยากจะนอนกับเชี่ยวชาญ? ว่างั้น?”
“มึงอย่ากวนตีนนะเก้า”
เห็นหน้าตากวนประสาทของมันที่ยื่นเข้ามาหาแล้วก็หงุดหงิด ไม่หนำใจมันยังโน้มตัวลงมาคร่อมผมไว้ด้วยแขนทั้งสองข้าง ดวงตาเรียวรีของมันจ้องลึกเข้ามาในดวงตาผม เราทั้งคู่ไม่มีใครยอมใครแม้กระบอกตาผมจะแห้งจนน้ำตาแทบไหลก็ตาม
“ใครกันแน่ครับที่กวน?”
จบคำก็รั้งท้ายทอยผมเข้าไปจูบอย่างรุนแรง มันทั้งกัดทั้งทึ้งกลีบปากด้านล่างผมจนเจ็บไปหมด ยังไม่พอ ไอ้โนบิตะยังโถมแรงเข้าใส่ชนิดที่ว่าไม่ให้ผมได้มีโอกาสเขยื้อนตัวหนีมันเลยแม้แต่น้อย พวกเราเล่นสงครามประสาทผ่านการขยี้จูบอย่างนั้นพักใหญ่ จนมันถอนปากออกมาให้ผมได้หายใจนั่นแหละ...ผมก็ยกตีนถีบมันจนเซไปด้านหลังทันที
“พิก!”
แม่ง...ยังมีหน้ามาถลึงตาตะคอกใส่กูอีก เห็นมันขมวดคิ้วตวาดอย่างโกรธ ๆ ก็หงุดหงิดขึ้นมาเฉยเลย นี่จะเอาแต่ใจเกินไปหน่อยแล้วมั้ง? เห็นกูเป็นอะไรเนี่ย สั่งเอาสั่งเอาอยู่นั่น! ชักไม่มีขอบเขตละ!
“มึงตะโกนใส่หน้ากูครั้งที่เท่าไหร่แล้วเก้า”
“...”
“หรือเห็นกูเป็นคนใช้มึง เลยคิดจะพูดยังไงกับกูก็ได้ งี้หรอ?”
น้ำเสียงผมตอนนี้คือไม่ได้ตวาดกลับเลยแม้แต่น้อย เพราะผมกำลังพูดด้วยโทนเสียงเรียบ ๆ ไม่แสงอารมณ์อะไรทั้งนั้น คือไม่ได้คิดอยากจะหาสาเหตุอะไรหรอกนะ แต่ผมไม่แน่ใจว่าตกลงแล้วสิ่งที่อยู่ในใจมึงคืออะไรกันแน่ ไอ้ที่แสดงอาการหงุดหงิดไม่ยอมโน่นยอมนี่ง่าย ๆ มันเป็นสิ่งที่โนบิตะเคยทำหรอวะ ตำแหน่งมันสลับกันขนาดนี้ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่? หรือว่าเป็นตัวผมเองที่ยอมมันมากไป
“...”
“...”
เสียงแอร์ที่ดังหึ่ง ๆ ย้ำเตือนว่าเราทั้งคู่ยังอยู่ในห้อง แต่ไม่มีใครคิดจะพูดอะไรออกมาแม้สักคำ ผมมองหน้าเก้าที่นิ่งและเรียบเฉยกว่าปกติ มองกันไปมองกันมาอยู่พักใหญ่ ๆ สุดท้ายไอ้คนที่ตัวสูงกว่าหน่อยก็ยอมถอนหายใจและอ้าปากพูดออกมา
“ผมขอโทษ...”
“อืม”
ผมครางเบา ๆ ในลำคอแล้วเสหน้าออกไปอีกทาง ทุกอย่างดูประจวบเหมาะไปหมดเมื่อหันไปเห็นซูเนโอะที่ยืนมองเข้ามาจากนอกหน้าต่าง ไม่รู้ว่ามันมาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่รู้ว่ามันจะเห็นสิ่งที่ผมทำกับโนบิตะเมื่อกี้นี้ไหม รู้อย่างเดียวคือตอนนี้มันกำลังชี้นิ้วทำท่าทำทางราวกับว่าจะบอกใบ้ให้ผมออกไปข้างนอกด้วยกัน
“แล้วเจอกันข้างนอก”
ผมพูดแค่นั้นแล้วลุกขึ้นจากเตียงในทันใด ซึ่งโนบิตะมันก็ไม่ได้ว่าอะไรแค่นั่งเฉย ๆ ในท่าเดิม ตอนนี้ผมไม่รู้ว่ามันกำลังคิดอะไรอยู่ รู้อย่างเดียวก็คือสถานการณ์เมื่อครู่แม่งโคตรน่าอึดอัด... ผมไม่ใช้น้ำเสียงจริงจังพูดกับมันอย่างนั้น อันที่จริง...ถึงผมจะข่มมันแต่ผมก็ไม่เคยทำตัวเหมือนคนขี้น้อยใจอย่างเมื่อกี้...
เหี้ยแม่งโคตรปรี๊ดอะ... ทำไมผมต้องยอมให้มันตวาดใส่ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำไมต้องกลายเป็ไอ้ขี้แพ้ที่ไม่รู้ห่าอะไรเลยแม้แต่ความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง? ไอ้พิกที่เคยเป็นไจแอนท์จอมหาเรื่อง โขกสับโนบิตะไม่เว้นวันคนนั้นอยู่ไหน
ขอซื้อคืนมาได้ไหมวะ... ชักจะไม่ไหวแล้ว
_______________________________________________________________
จริงๆก็ไม่ได้คิดว่าจะลงวันนี้หรอก กะจะลงวันศุกร์ทีเดียวเลยเพราะกลัวคิดถึงคนอ่านเก้ออยู่คนเดียว
แต่มาเจอเม้นที่คิดถึงกัน ก็เลยสคริปให้เป็นวันศุกร์เลย
อิอิ ขอบคุณนะคะ T_T ที่ยังรอกันอยู่ ขอบคุณที่ชอบ...
จริง ๆ มีสต๊อกไว้จนจบเรื่องแล้ว แต่เดี๋ยวทยอยเอามาลงให้อ่านแล้วกันเนอะ แง่ว ๆ
แล้วเจอกันอีกทีวันศุกร์ (คราวนี้ไม่สคริปให้แล้วนะ!) 