┤ ราคา ◇ ค่า ◇ รัก ├
งวดที่ 3
ถึงจะบอกว่าบรรลุนิติภาวะแล้วก็เถอะ แต่เอาเข้าจริง ภูเมศยังไม่รู้อยู่ดีว่าอีกฝ่ายอายุเท่าไรกันแน่
“.....ธั—”
ชายหนุ่มกระซิบ แต่พูดไม่จบคำ
ที่ผ่านมา นึกถึงอีกฝ่ายในฐานะ ‘เจ้าเด็กนั่น’ ‘เจ้าหนูนั่น’ ‘เจ้าเด็กเซเว่น’ และอะไรเทือกนั้นมาตลอด เฝ้าถามชื่อมาตั้งหลายครั้ง ในที่สุดได้รู้สักที ทว่าพอเสร็จกิจ คราวนี้กลับเรียกไม่ออกขึ้นมาดื้อ ๆ
ตีสี่ครึ่งแล้ว แสงไฟสีส้มอุ่นยังสลัวอยู่ในห้อง เสียงลมหายใจแผ่ว ๆ ของคนสองคนลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ
ภูเมศพลิกตัวนอนตะแคง หันหน้าเข้าหาเด็กหนุ่มที่หลับตาพริ้ม แม้มีการเคลื่อนไหวอยู่ข้างกาย แต่ธัญญ์ไม่ขยับหรือมีทีท่าว่าจะรู้ตัวสักนิด
ธัญญ์...ชื่อธัญญ์....ทั้งที่ฟังรื่นหูออกอย่างนี้ กว่าจะหลุดปากออกมาได้ ช่างเล่นตัวเหลือเกิน ครั้นยกมือขึ้นเกลี่ยปอยผมที่ปรกใบหน้าอีกฝ่ายไปทัดหูเบา ๆ ก็คิดขึ้นมาว่าเขาต้องบวกอีกสามร้อยบาทสำหรับคำตอบนั้นหรือเปล่านะ
ปลายนิ้วเฉี่ยวโดนผิวแก้ม แต่เห็นไม่กระดุกกระดิก จึงวางค้างไว้เช่นนั้น
..นิ่ม..
ภูเมศขยับตัวเข้าไปใกล้อีกหน่อย พิศมองใบหน้าเด็กหนุ่มนิ่งงัน จ้องขนาดที่หากเจ้าตัวตื่นอยู่ คงเรียกเก็บค่ามองจากเขาเพิ่มอีกสักห้าหกร้อยบาทได้
แม้แสงสว่างจะไม่มากนัก แต่ระยะใกล้ขนาดนี้ และความสัมพันธ์ทางกายที่ผ่านมาพอบอกอะไรได้เลา ๆ
ข้อแรก ธัญญ์ไม่เหมือนเด็กที่ทำเรื่องอย่างว่าเป็นอาชีพเลยสักนิด กล่าวกันตามจริงแล้ว ไม่เหมือนกระทั่งคนที่ใช้ชีวิตลำบากจนร้อนเงินแบบนี้ด้วยซ้ำ ผิวเนียน ใบหน้าเกลี้ยงเกลา ทั้งกิริยาท่วงท่า จังหวะคำพูดคำจา ดูได้รับการอบรมมาดีทีเดียว เหมือนพวกมีอันจะกิน ติดเอาแต่ใจนิดหน่อยเสียมากกว่า หากอยู่ในเครื่องแต่งกายสุภาพมาตรฐานอย่างเช่นชุดนักศึกษา ใครเห็นเข้าคงคิดว่าเป็นพวกคุณหนูคุณชายจากบ้านเศรษฐีสักแห่ง
ข้อสอง เรื่องบนเตียง เมื่อครุ่นคิดให้ดีแล้ว..
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว นัยน์ตาจับจ้องดวงหน้าสงบนิ่งของอีกฝ่ายราวกับจะหาคำตอบ
ครั้งก่อนนั้น ถือว่ายกประโยชน์ให้ว่าเป็นเพราะเขาเมาในระดับหนึ่ง จึงอาจจดจำรายละเอียดได้ไม่ดีนัก ทว่าครั้งนี้ต่างกัน..
เขาเองก็อายุสามสิบหกปีแล้ว แม้ไม่ได้เที่ยวซื้อบริการไปทั่ว ทั้งยังห่างเหินเรื่องอย่างว่ามาเป็นปี แต่ใช่จะกลับไปเป็นหนุ่มไม่ประสาโลก ด้วยสติครบถ้วนสมบูรณ์ครั้งนี้ กล้าบอกว่าธัญญ์ไม่ได้เชี่ยวชาญอย่างที่เจ้าตัวดูจงใจแสดงออกทางคำพูดหรือการกระทำก่อนเริ่มบทรักเลย คล้ายว่าหลังตกลงปลงใจจะทำแล้ว ถึงไม่ขัดขืน แต่ก็แทบไม่เริ่มทำอะไรเอง
คืนนี้มีอะไรกันสองครั้ง ถึงไม่อาจเรียกได้ว่าเขาทะนุถนอมอีกฝ่ายมากมายนัก เพราะต่อให้หน้าสวยอย่างไรก็เป็นผู้ชาย แต่กระนั้นยังมั่นใจว่าไม่ได้รุนแรงนักหนา ทว่าช่วงแรก ๆ ที่สอดใส่เข้าไปทั้งหมด เด็กหนุ่มทำหน้าอย่างกับจะร้องไห้ ทั้งร่างเกร็งจนเครียดเขม็งไปหมด ใช้เวลาอีกพักใหญ่ กว่าจะผ่านช่วงนั้นไปได้อย่างทุลักทุเล พอเห็นอย่างนั้นเข้า ก็เผลออ่อนโยนลงอีกจนตกใจตัวเอง
ครั้งที่สองนั้น ทำราวกับเป็นคนรัก แน่นอนว่าให้ความรู้สึกดีผิดคาด แต่แล้วกลับตระหนักในท้ายที่สุด หลังจากอีกฝ่ายผล็อยหลับไปแล้ว เหลือเพียงชายหนุ่มที่ยังตื่นลืมตาจนบัดนี้ ว่าพวกเขาไม่ได้เป็นอะไรกันมากไปกว่าผู้ซื้อและขายบริการ นอกจากร่างกายที่คล้ายจะเข้ากันได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ เขาแทบไม่รู้เรื่องอื่นเกี่ยวกับไอ้หนูนี่เลย แม้แต่จูบบนริมฝีปากยังไม่เคยสักครั้ง
ภูเมศไล่สายตาไปตามจุดต่าง ๆ บนใบหน้าเด็กหนุ่ม จ้องอยู่เช่นนั้นราวกับติดอยู่ในความฝัน
ขอบตาแดง แก้มแดง ปากจมูกก็แดง...ให้ตายเถอะ..ทำไมถึงใจเต้นแรงได้กับแค่มองหน้าคนหลับกัน?
ยิ่งคิดยิ่งหนักใจ ถึงกับต้องยกมือขึ้นนวดขมับ
“..โกหกใช่ไหม...ฉันอายุขนาดนี้แล้วนะ..”
“..อือ...”
ภูเมศสะดุ้งเฮือกกับเสียงครางเบา ๆ นั้น ด้วยตกใจว่าหากอีกฝ่ายตื่นขึ้นมาตอนนี้แล้วเขาจะทำหน้าไม่ถูก ทว่าเมื่อเหลือบมอง ก็พบเจ้าตัวยังหลับตาสนิท ท่าทางจะยังไม่ตื่นเป็นเรื่องเป็นราว เพียงแต่เบียดร่างเข้ามาซุกใกล้ ๆ เขาที่นอนตัวแข็งทื่อไปแล้ว เห็นมีแค่ผ้าห่มพาดอยู่เหนือเอวขึ้นมานิดหน่อยจึงพอเข้าใจได้บ้าง
“หนาวหรือ?”
“...ฮื่อ..”
ไม่รู้ว่านั่นตอบเขาหรือเปล่า แต่ภูเมศก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างเปล่าเปลือยของเด็กหนุ่มจนถึงต้นคอ หันไปเพิ่มอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศขึ้นหนึ่งองศา จากนั้นทิ้งตัวนอนโดยขยับเข้าใกล้อีกนิด รู้สึกถึงไอร้อนจาง ๆ จากร่างอีกฝ่าย พยายามหาท่าที่สบาย หยุกหยิกอยู่ครู่หนึ่งโดยระวังไม่ให้คนข้างกายตื่น สุดท้ายกลับพบว่าที่เข้าท่าสุด ดูเหมือนจะเป็นกอดคนที่ซุกเข้ามาจนหน้าแนบอกเขาเอาไว้หลวม ๆ
ตัวเหนียวเชียว อยากปลุกไปอาบน้ำ ไม่ใช่ว่ารังเกียจ แต่เพราะกลัวนอนไม่สบายตัว ทว่าเห็นหลับปุ๋ย คุดคู้เป็นลูกแมวขนาดนี้ก็ปลุกไม่ลง ตัดสินใจว่าใกล้เช้าค่อยเรียกแล้วกัน เขาเองก็ด้วย หลับต่ออีกหน่อย คงไม่เพลินจนตื่นสายกว่าลูกชายที่นอนอยู่อีกห้องไปได้หรอก พรุ่งนี้ให้เด็กหนุ่มแต่งตัวให้เรียบร้อย บอกพร้อมภูมิว่าเพื่อนพ่อมาค้างที่บ้าน กำชับเจ้าเด็กคนนี้ไว้ดี ๆ ไม่น่ามีปัญหาทั้งสองฝ่าย
คิดอยู่อย่างนั้นไม่นาน เปลือกตาก็หนักอึ้ง ตาปรือลงจนปิดสนิท จมดิ่งกับความอบอุ่นจากเนื้อตัวของร่างในอ้อมกอด
ตีห้าครึ่ง ภูเมศยังหลับสนิท ไฟสีส้มอ่อนทอดแสงสว่างรำไรจากโคมไฟหัวเตียง
ธัญญ์กะพริบตาปริบ ๆ ปวดเมื่อยไปทั้งตัว ต่ำกว่าสะโพกลงไปยังเจ็บอยู่ แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่เขานอนนิ่งไม่กระดุกกระดิกในตอนนี้
เหตุผลแท้จริง คือท่อนแขนที่โอบร่างตัวเองอยู่ต่างหาก
เมื่อเหลือบขึ้นมอง เห็นว่าอีกฝ่ายไม่มีทีท่าจะตื่น ชั่งใจครู่หนึ่ง จึงลองเบียดตัวเข้าหามากขึ้นอีกหน่อย วางแก้มแนบลงกับแผ่นอก ไอร้อนซึบซาบผ่านผิวที่สัมผัสกัน รู้สึกได้ว่าหัวใจเต้นแรงอยู่ครู่ใหญ่ กว่าจะกลับมาเป็นจังหวะปกติ
เปลือกตาหรี่จนปิดลงช้า ๆ แต่ธัญญ์ไม่ได้หลับต่อ เพียงอยากอยู่อย่างนี้อีกสักครู่ จากนั้นตั้งใจจะกลับไปก่อนภูเมศตื่น ลูกชายของอีกฝ่ายจะไม่รู้ จะไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นนอกจากพวกเขาสองคน
..แค่นี้ก็พอแล้ว..พอแล้วจริง ๆ..
แล้วทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้?
“อ้าว?”
เด็กชายพร้อมภูมิที่เดินงัวเงียออกจากห้องร้องทักขึ้นด้วยสีหน้างงงวย
ปกติเวลานี้ของวันหยุด เขาจะตื่นขึ้นมาล้างหน้าแปรงฟัน จากนั้นมานั่งกินข้าวเช้าที่พ่อเตรียมไว้ด้วยกัน ดูข่าวสลับกับดูการ์ตูน แล้วแต่ว่าวันไหนใครคว้ารีโมตก่อน (แม้ส่วนใหญ่พ่อจะตามใจเขา)
แต่วันนี้เดินออกจากห้องมา กลับพบแขกเป็นหนุ่มหน้าตาหมดจด นั่งนิ่งอยู่ข้างผู้เป็นพ่อในห้องโถง
“สวัสดีครับ”
โดยไม่ทันถามไถ่ที่มาที่ไป พร้อมภูมิยกมือขึ้นประนมแล้วทักทายตามที่ได้รับการสอน เด็กหนุ่มหน้านิ่งคนนั้น..ต่อให้ยังไม่รู้จัก แต่ถ้าอยู่ด้วยกันในบ้าน ย่อมต้องเป็นแขกของพ่อแน่นอน
แขกคนที่ว่ายกมือรับไหว้ แต่ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
“นี่..เพื่อนพ่อ” ภูเมศชิงแนะนำ ก่อนลูกชายจะงงไปมากกว่านี้ “ชื่อ...อืม..พี่ธัญญ์”
ชายหนุ่มพยักหน้ากับตัวเอง ประมาณอายุอานามคร่าว ๆ แล้ว ให้เรียกพี่แล้วกัน
พร้อมภูมิทวนคำ “พี่ธัญญ์?”
“พี่ธัญญ์เป็น..” ...คราวนี้ลำบากอีก ภูเมศลอบมองหน้าเด็กหนุ่ม เมื่อเห็นว่าเจ้าตัวไม่มีทีท่าจะขัดอะไรเขา ก็เริ่มแนะนำได้คล่องปากขึ้น “เป็นคนรู้จักกับพ่อ พอดีมาเที่ยวบ้าน”
คราวนี้ธัญญ์ผงกศีรษะเบา ๆ พลางครุ่นคิดไปด้วย...เขาเป็นคนรู้จักที่มาเที่ยวบ้านหรือ?...สถานะนี้อาจนับว่าไม่เลว
ชายหนุ่มโบกมือน้อย ๆ “ไปล้างหน้าแปรงฟันไป แล้วมากินข้าว เย็นหมดแล้ว”
ลูกชายรับคำอย่างว่าง่าย ทว่ายังจ้องแขกแปลกหน้าไม่ละสายตา กระทั่งเดินพ้นหัวมุมห้องโถง ก็ยังคงมองตามจนเหลียวหลัง
เมื่อพร้อมภูมิพ้นระยะได้ยินเสียงไปแล้ว คนที่นั่งเงียบมาแต่แรกจึงได้เอ่ยปากถาม
“ลูกชายสินะครับ?”
“อือ”
“ดูเขาแปลกใจ”
ภูเมศไม่ปฏิเสธ แต่แก้ใหม่ให้ถูกต้องยิ่งขึ้น “เขาสนใจน่ะ”
“หือ?”
ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอ ด้วยรู้นิสัยลูกชายดี “จะทำหน้าอย่างนั้นแหละ อย่างเวลาเห็นของเล่นในห้าง ปากบอกไม่เอา แต่มองจนเหลียวหลัง—”
ภูเมศกล่าวแค่นั้นก็ชะงักไป รู้สึกเหมือนพูดมากไปหน่อยแล้ว ดูเป็นบทสนทนาที่แปลกประหลาด จึงเบี่ยงประเด็นแก้เก้อ
“อ้อ แต่ไม่ได้หมายความว่าเห็นเธอเป็นสิ่งของหรืออะไรอย่างนั้นนะ”
ธัญญ์ผงกศีรษะน้อย ๆ ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใด ราวกับอยากทำตัวเป็นสิ่งของไปเสียจริง ๆ เงียบอีกอึดใจก็ถามขึ้นมาเสียงแผ่ว
“ทำไมไม่ปล่อยผมกลับเลยล่ะ”
ภูเมศรับฟัง พร้อมทั้งคิดตาม
ธัญญ์กำลังถามถึงเรื่องเมื่อเช้ามืด อีกฝ่ายลุกจากเตียงขณะเขายังหลับอยู่ แต่เขาตื่นขึ้นมาทันเห็นเจ้าตัวติดกระดุมเสื้อถึงต้นคอพลางย่องจะออกจากห้องเงียบ ๆ จึงตามไปคว้าแขนไว้ก่อนจะได้ก้าวขาออกนอกธรณีประตู พอถามก็ตอบมาแค่สั้น ๆ ว่าจะกลับแล้ว แต่น่าแปลกที่คราวนี้ไม่พูดถึงเรื่องเงินเลยสักคำ
“ไม่เอาเงินหรือ?”
กลางแสงไฟริบหรี่ตอนนั้น แววประหลาดใจปรากฏขึ้นแวบหนึ่งในดวงตาสีดำขลับ ทำประหนึ่งลืมไปแล้วว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่แต่แรกเพราะอะไร
“อ้อ”
“เท่าไหร่?”
อย่างกับซื้อของในตลาด ทันทีที่เอ่ยคำนั้นออกไป ความรู้สึกกระอักกระอ่วนก็ก่อตัวขึ้นหนักหน่วงในอก
ชั่วขณะที่รอคำตอบจากอีกฝ่าย เขาคิดฟุ้งซ่านไปต่าง ๆ นานา ใจหนึ่งหวังคำตอบทำนองว่า ‘ไม่เอาแล้ว ไม่ได้คิดถึงเรื่องเงินเสียหน่อย’ ไม่ใช่แค่เพราะเสียดายเงิน แต่มากกว่านั้นคือเงื่อนไขประหนึ่งค้าขายกันทื่อ ๆ ไร้เหตุผลทางใจมาข้องเกี่ยว หากตัดเรื่องนี้ออกไปเสีย เขาอาจยังพอคิดเข้าข้างตัวเองได้ ว่าทั้งหมดที่เกิดขึ้น ทั้งความอ่อนโยนที่เผลอไผลไปในภายหลัง มีความรู้สึกดี ๆ ต่อกันเจืออยู่บ้างแม้สักนิด
“หนึ่งหมื่น”
แต่ธัญญ์ตอบกลับมาเช่นนั้น
“ที่จริงผมบอกชื่อกับคุณ ควรเป็นหนึ่งหมื่นกับอีกสามร้อยบาท แต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ เห็นแก่ที่คุณอุตส่าห์ย้อนกลับมาอีกทั้งที่กลับบ้านไปแล้ว จะถือว่าคุณเหมาจ่ายทั้งคืนก็ได้”
ไอ้ที่แปลบ ๆ เหมือนเป็นเหน็บในอกตอนนี้คือความรู้สึกผิดหวัง?
...น่าจะใช่...
หากเป็นสมัยวัยรุ่น เขาอาจโวยวาย แต่เมื่ออายุเพิ่มขึ้น คนเราคงรับความผิดหวังได้มากขึ้นเช่นกัน ตอนนี้จึงทำใจได้อย่างรวดเร็ว อย่างน้อยก็ดีกว่าถลำลึกไปไกลกว่านี้
“คุณก็จ่ายแล้ว” เสียงของธัญญ์ ณ ปัจจุบันดึงเขาออกจากภวังค์ ธัญญ์คนเดียวกับที่ก่อความคิดวุ่นวายในหัว ตอนนี้ตัวจริงกำลังมองเขานิ่ง ๆ พลางเอ่ยเสียงเรียบ “ผมคิดว่าผมน่าจะกลับ”
“กินข้าวด้วยกันก่อนสิ” ต่อรองไปโดยไม่รู้ตัว
แต่เขาอาจลืมไป กับเด็กคนนี้ พอมีข้อเรียกร้องไปเสนอ เรื่องเงินก็มักตามมาสนอง
“กินข้าวเป็นเพื่อน ผมคิดเงินเพิ่มนะ”
พร้อมภูมิเดินกลับมาพอดี ภูเมศนึกขอบคุณลูกชายที่โผล่มาได้จังหวะ บทสนทนาสุ่มเสี่ยงนั้นจึงถูกตัดจบโดยปริยาย ดูท่าแล้วเด็กหนุ่มช่างต่อปากต่อคำคนนี้รู้จักกาลเทศะดีทีเดียว อย่างน้อยก็ไม่ปริปากเรื่องของผู้ใหญ่ให้ระคายหูเด็กสักนิด
“อ๊ะ! มาพอดี” เด็กชายยิ้มร่า วางรีโมตลงบนโต๊ะ หลังเปลี่ยนเป็นช่องการ์ตูนหุ่นยนต์ที่ฉายเฉพาะวันหยุด หุ่นรบโลดแล่นอยู่บนจอภาพ ดึงสายตาและความสนใจเด็กน้อยไปเกือบหมด
“มากินข้าวด้วย”
“ครับ ๆ” พร้อมภูมิรับคำพ่อ แล้วจึงถอยมาหย่อนก้นลงตรงตำแหน่งเก้าอี้ สายตาไม่ได้ละจากจอโทรทัศน์สักนิด แต่เมื่อย่อขาลงจนถึงจุดที่ควรมีอะไรสักอย่างรองรับ กลับพบว่ามีแต่อากาศ
“อ๊ะ!”
“มองด้วย”
คราวนี้ไม่ใช่เสียงภูเมศผู้เป็นพ่อ หากแต่เป็นเสียงธัญญ์ที่กำลังหิ้วปีกเด็กชายไม่ให้หงายหลังก้นจ้ำเบ้า
พร้อมภูมิกำลังจะเอ่ยขอบคุณออกมาแล้ว ถ้าไม่ติดว่าสายตาเหลือบไปเห็นเท้าคนที่เพิ่งช่วยเขาไม่ให้ล้มนั่นละ ที่เกี่ยวอยู่กับขาเก้าอี้ซึ่งเคลื่อนออกจากจุดเดิม คาหนังคาเขาว่าอีกฝ่ายเป็นคนเลื่อนมันออกเงียบ ๆ ตอนเขากำลังจะนั่ง
ขณะที่ภูเมศซึ่งเห็นเหตุการณ์แต่แรกได้แต่อ้าปากหวออย่างไม่คาดคิด พร้อมภูมิกำลังงงยิ่งกว่า ด้วยไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรกับสถานการณ์เช่นนี้
พี่ธัญญ์เพิ่งช่วยเขาไม่ให้ล้ม แต่ก็เป็นพี่ธัญญ์นี่เองที่เอาเท้าเกี่ยวขาเก้าอี้เขาออกไปเหมือนแกล้ง พอจะโวยวายใส่ กลับนึกขึ้นได้ว่าเป็นแขกของพ่ออีก
ยังไม่ทันได้ออกปากอะไร คนคนนั้นก็เขี่ยเก้าอี้กลับเข้าที่เดิม กึ่งอุ้มกึ่งลากเขากลับไปวางแหมะบนเก้าอี้ จากนั้นเอ่ยออกมาสั้น ๆ
“ระวังตัว อย่ามองแต่จอ”
“เห?” พร้อมภูมิเลิกคิ้ว คราวนี้นึกอยากโวยวายให้สมเด็ก ก็ได้รับคำแนะนำใหม่กลับมาเสียก่อน
“ทีนี้รีบมองจอได้แล้ว”
“หา!?”
เมื่อไม่ทันใจ พี่ธัญญ์คนนั้นก็ยื่นสองมือมาจับหน้าเขา บังคับหันไปทางจอโทรทัศน์ทันที
“ไม่งั้นนายจะพลาดฉากเด็ด”
ตูม!หุ่มรบตัวเด่น แถมยังเป็นตัวโปรดของเขา ถูกศัตรูยิงระเบิดบึ้มไปต่อหน้าต่อตา ตัวละครในเรื่องเบิกตาค้าง ดนตรีประกอบเล่นจังหวะสะเทือนอารมณ์เต็มที่
“เฮ้ย!?”
“เกือบไม่ทันแล้วไหมล่ะ”
เด็กชายนั่งเหวอจนจบฉากนั้น เมื่อหันกลับมาที่โต๊ะอาหาร ก็พบว่าพี่ชายประหลาดก้มหน้าก้มตากินข้าวไม่รู้ไม่ชี้ไปเสียแล้ว ส่วนภูเมศผู้เป็นพ่อ ยกมือขึ้นขยี้ผมเขาเบา ๆ จากนั้นชี้ที่จานข้าวเหมือนจะบอกให้เขาตั้งสติแล้วกินให้เรียบร้อย
แต่ตอนนี้ออกจะยากสักหน่อย ความสนใจพุ่งไปยังแขกแบบที่ไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน
“พี่ธัญญ์รู้ได้ไงว่าจะโดนบึ้ม”
“ดูแล้ว”
“แล้วทีนี้เป็นไงต่อ จะซ่อมได้ไหม ตายหรือเปล่า”
ธัญญ์เหลือบมองเด็กชายพร้อมภูมิที่ถามมาเป็นชุด จากนั้นนิ่งไปอึดใจ เป็นหนึ่งอึดใจที่ภูเมศกังวลอย่างยิ่ง ว่าจะมีคำพูดทำนองว่า ‘สามร้อยบาท’ หลุดปากออกมาหรือเปล่า
แต่สุดท้าย ธ้ญญ์ก็เพียงแต่โคลงศีรษะเบา ๆ
“ความลับ”
ภูเมศถึงกับถอนใจโล่งอก แต่ลูกชายตัวเองดูไม่โล่งไปด้วย
“ความลับอะไรเล่า” พร้อมภูมิบ่นหงุงหงิง เขี่ยผักคะน้าที่ตัวเองไม่ชอบไปไว้ตรงขอบจาน ลืมเรื่องที่โดนแกล้งก่อนหน้านี้ไปเสียแล้ว “ยังไงเดี๋ยวก็ต้องรู้อยู่ดี”
ลักยิ้มผุดขึ้นเป็นรอยบุ๋มบนแก้มซ้ายคนฟัง “ถ้ารู้อย่างนั้นแล้ว ก็อย่าถามสิ” ว่าพลางลอบหย่อนคะน้าก้านแก่ ๆ ที่น่าจะรสขมเอาการใส่จานผู้เยาว์
“พี่ธัญญ์ง่ะ!” ปากบ่น และเมื่อก้มลงมองจานตัวเองก็ต้องร้องลั่นออกมาอีก “คะน้า!”
“กินซะ”
ไม่รู้ตลกตรงไหน แต่ภูเมศก็ขำออกมา สองคนตรงหน้าคล้ายจะทะเลาะกัน ทว่ากลับดูเข้ากันได้ดีจนคนเป็นพ่ออย่างเขาได้แต่เงียบ หาช่องเข้าแทรกไม่ได้ไปครู่ใหญ่ หรือเป็นเพราะวัยใกล้กันมากกว่าจึงคุยกันรู้เรื่อง ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกตัวเองแก่จนตามเด็กไม่ทันอย่างไรชอบกล
“พ่อ..”
ลูกชายเงยขึ้นจากจานข้าวที่เต็มไปด้วยผักคะน้า มองหน้าธัญญ์ที มองหน้าเขาทีเหมือนจะขอความช่วยเหลืออย่าง
พอเห็นเข้า ชายหนุ่มก็จนใจ ได้แต่พยักพเยิดกับเด็กชาย
“ตักมาให้พ่อนี่”
พร้อมภูมิยิ้มร่า ยักคิ้วหลิ่วตาใส่คู่กรณี ก่อนจะยกผักใบเขียวในจานตัวเองให้พ่อทั้งหมด
“ตอนหน้า คาลอสตาย”
เด็กชายหูผึ่ง หันขวับไปมองพี่ธัญญ์เจ้าของเสียงที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เอ่ยขึ้นลอย ๆ เหมือนพูดกับดินฟ้าอากาศ
“หา!?”
คราวนี้เป็นอีกฝ่ายที่ยักคิ้วกลับมา “ท่านลอร์ดเป็นคนฆ่า หลังจากนี้มีคนตายอีกระนาว จะไล่ให้ฟังทีละคน—”
“เดี๊ยวววว!” พร้อมภูมิพุ่งเข้าไปเอามือปิดปากอีกฝ่ายแทบไม่ทัน “อย่าเพิ่งเฉลย”
“อยากรู้ไม่ใช่หรือ?”
“ก็ใช่ แต่เล่าขนาดนี้ก็ไม่สนุกน่ะสิ!”
ธัญญ์ยักไหล่ แกะมือเด็กชายออก จากนั้นหิ้วปีกเขากลับไปนั่งเก้าอี้ตัวเองให้เรียบร้อย เริ่มเลือกคะน้าก้านแก่ ๆ ใส่จานให้อีกรอบ
“ถ้าไม่กินให้หมด จะสปอยล์คนตายในเรื่องไปทีละคน ต่อจากคาลอสก็เป็น—”
“เดี๋ยวก่อน!”
“กินเร็ว”
“ไม่เอา”
“คนถัดไปเป็นเรนะ จากนั้นก็—”
“กินแล้ว ๆ” เด็กชายพร้อมภูมิร้องคราง เกิดมาไม่เคยเจอใครอย่างนี้มาก่อน ขนาดพ่อบังเกิดเกล้านั่งอยู่ด้วยยังช่วยอะไรไม่ได้ “หยุดพูดที”
“อ้าม”
แม้จะผะอืดผะอมอย่างไร สุดท้ายไอ้กองเขียว ๆ ในจานก็ค่อยพร่องลงเรื่อยจนหมด ตอนหลังเหมือนจะได้รับความเห็นใจอยู่บ้าง พี่ธัญญ์จึงได้เลือกเฉพาะใบอ่อนที่ไม่ขมมาให้ หรืออาจเป็นเพราะต่อมรับรสถูกทำร้ายหนักหน่วงไปแล้ว เลยเคี้ยว ๆ ลงคอได้ง่ายขึ้น เงยขึ้นมองพ่อก็เห็นกำลังชูนิ้วโป้งขึ้นอย่างให้กำลังใจระคนปลาบปลื้ม คงเพราะเคยคะยั้นคะยอให้กินมานานไม่เคยทำสำเร็จจนล้มเลิกความพยายามไปแล้ว คราวนี้เห็นลูกชายจัดการจนเรียบก็ถึงกับตาเป็นประกาย
“เก่งมาก” พ่อเขาชมเปาะ แต่คนบังคับกินนี่สิ ไม่มีชมสักคำ ทำเพียงลูบหลังเขาเบา ๆ ดันแก้วน้ำมาให้ จากนั้นเอ่ยเสียงเรียบแต่เจ็บแสบพิกล
“ที่เล่าเมื่อกี้ทั้งหมด โกหกน่ะ”
“แค่ก ๆ ๆ!”
“เรื่องเป็นไงรอดูเองแล้วกัน เดี๋ยวไม่สนุก”
“พี่ธัญญ์!”
“ครับ?”
พร้อมภูมินั่งทำหน้าห่อเหี่ยว
คะน้าหมดจานแล้ว...เรียกอะไรกลับคืนมาไม่ได้อีกแล้ว..
“ก็อร่อยออกใช่ไหมล่ะ”
เด็กชายมองตามส้อมของพี่ธัญญ์ที่จิ้มลงบนผักที่เหลือ จากนั้นเจ้าตัวก็ส่งเข้าปากเคี้ยวตุ้ย
“ฝีมือพ่อนายน่ะ”
คนถูกชมนั่งทำหน้าไม่ถูก
“ฉันยังอยากมีคนทำให้กินทุกวันเลย”
พร้อมภูมิเพียงแต่ฟังมันผ่านหู แต่ผู้ใหญ่สุดในบ้านนี่สิ ตอนนี้กลับคิดไปไกลแล้วกับถ้อยคำแค่นั้น ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างยิ่งกับการสงบจิตสงบใจ ไม่ให้คิดมากว่ามีความหมายลึกซึ้งอะไรหรือเปล่า?
ครั้นจะเดาเอาจากสีหน้านั้นไม่ช่วยสักนิด ขณะพูดไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางอารมณ์ใด ๆ ปรากฏให้เห็น อีกทั้งธัญญ์ยังมองไปทางอื่นอีกต่างหาก สุดท้ายก็ทำได้เพียงสรุปตามหลักฐานที่มี...คือคนพูดคงไม่ได้คิดอะไร ถึงกับเผลอนั่งทำหน้าห่อเหี่ยวตามลูกชายไปอีกคน
ต่างกันนิดหน่อย ที่เด็กชายพยายามเอาคืนนี่แหละ
“แล้วพี่ธัญญ์ไม่ชอบกินอะไร”
“หือ?”
“ของที่ไม่ชอบน่ะ” พร้อมภูมิย้ำ ตาเป็นประกายระยิบระยับอย่างเด็ก ๆ “มันต้องมีสิ”
“เอ..เต้าหู้ละมั้ง”
“ดีเลย พ่อครับ” เด็กชายเรียกหาพลางทำหน้าเหมือนคิดแผนเด็ดได้แล้ว “พรุ่งนี้เช้าก่อนออกไปหาน้องเพลง ทำผัดเต้าหู้กัน”
“ผัดเต้าหู้?”
“แล้วก็พะโล้ใส่เต้าหู้เยอะ ๆ”
ถึงจะยังงงอยู่บ้าง แต่ก็รับปากไว้ก่อน “เอาสิ”
“แล้วพี่ธัญญ์กินให้หมดนะ” ประโยคนั้นหันไปเอ่ยกับเจ้าของชื่ออย่างมาดมั่น
ภูเมศพอเดาความคิดลูกชายออกนิดหน่อย เผลอนึกขอบอกขอบใจเด็กน้อยอยู่ในใจ แต่เดี๋ยวก่อนนะ..
“เดี๋ยวพี่ธัญญ์ก็กลับแล้ว จะมากินหมดได้ไง”
พร้อมภูมิทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ถึงความจริงข้อนั้น แต่แล้วก็เสนอทางแก้ตรงไปตรงมา
“งั้นพรุ่งนี้มากินใหม่”
“ไม่ดีมั้ง” ชายหนุ่มพูดหยั่งเชิง เหลือบมองเป้าหมายในบทสนทนาระหว่างพ่อลูกไปด้วย “ไปกวนพี่เขา...”
ธัญญ์นั่งเท้าคาง พลางชูหนึ่งนิ้ว เสนอโดยไร้เสียงพูด แต่อ่านปากได้ว่า ‘หนึ่งพัน’
เด็กคนนี้ยอมไม่ได้เลยจริง ๆ
ทางพร้อมภูมินั้นพอขอพ่อไม่ได้ ก็มาขออีกคนแทน “พี่ธัญญ์มาไหม?”
“..ก็ต้องดูพ่อนาย”
เมื่อโยนกลับไป กลายเป็นความกดดันมาตกอยู่ที่ภูเมศเสียอย่างนั้น ได้แต่ยกมือขึ้นนวดขมับ พลางคิดว่าพรุ่งนี้ก่อนไปรับเพลงพิณผู้เป็นลูกสาวมาจากอดีตภรรยา เขาจะเสียเงินอีกเท่าไรกัน
“ตกลง”
“เฮ!” ลูกชายยิ้มร่า รีบหันไปหาเด็กหนุ่ม ถึงกับลุกขึ้นจากเก้าอี้มาทำหน้าทะเล้นใกล้ ๆ ดูไปดูมาเหมือนอยากอ้อนมากกว่าอยากเอาคืนเสียแล้ว “พรุ่งนี้นะ ถ้ากินเต้าหู้ไม่หมดละก็..”
“ก็?”
“จะ...สปอยล์...”
“เรื่อง?”
“...เอ้อ...”
เด็กน้อยเหงื่อตก นั่นสิ เรื่องอะไรดี
“แก้แค้นสินะ” ธัญญ์พยักหน้า ทำท่าเข้าอกเข้าใจ "หนามยอกเอาหนามบ่ง"
“วันนี้ขอคิดก่อน พรุ่งนี้พี่ธัญญ์ไม่รอดแน่!”
“จะรอแล้วกัน”
ไอ้ตัวเล็กยิ้มกริ่ม พลางถอยกลับไปนั่งเก้าอี้ตัวเอง แต่แล้วกลับ...
“เหวอ!”
โดนหิ้วปีกไว้ได้ทันก่อนก้นกระแทกพื้นอีกแล้ว สาเหตุเดิมเป๊ะ ขายาว ๆ ของอีกฝ่ายเกี่ยวอยู่กับขาเก้าอี้เขาแล้วลากออกจากตำแหน่งเดิมไม่รู้ตอนไหน
“เตือนแล้วไงว่าต้องระวัง”
“พี่ธัญญ์!”
ภูเมศถึงกับหลุดหัวเราะออกมาเต็มปาก ขณะที่แขกผู้มาเยือนทำหน้าตาเบื่อโลก พาเด็กชายกลับไปนั่งแหมะบนเก้าอี้ จับตามแขนเด็กน้อยเบา ๆ เป็นเชิงสำรวจให้แน่ใจว่าไม่มีส่วนไหนสึกหรอ พลางเอ่ยเสียงเนือยเหมือนบ่นกับตัวเอง
“หนวกหูจริง เพราะงี้ไง ถึงไม่ชอบเด็ก”
To be continued
มาอัพแล้วค่ะ ขอโทษที่ให้รอนะคะ ,,>3<,,
ขอบคุณมาก ๆ ค่ะที่เข้ามาอ่าน ดีใจมาก ๆ ทุกครั้งเลย งวดนี้และงวดต่อ ๆ ไป ก็ขอฝากหนุ่ม ๆ ด้วยนะคะ

ปล. ตอนเริ่มเยอะ เดี๋ยวไว้ตามไปทำสารบัญไว้ให้ที่หน้าแรกนะคะ
ปล. 2 ของแถมวันนี้รูปไม่เยอะ แปะต่ออันนี้เลยแล้วกัน จากตอนที่แล้วค่ะ
"ชื่อธัญญ์..."

ถ้าตามเนื้อเรื่อง หลังจากนั้นก็ต้องหน้าแดงเนอะ ฟฟฟฟฟ

Edit เพิ่มตอบคอมเม้นต์
ปล.พระเอกเรื่องนี้มีชื่อเล่นมั้ยคะ?
ปล2 ที่คุณเรนนี่บอกว่าคิดพล็อตเรื่องนี้ได้จากการที่จะเขียนเรื่องของตัวละครจากเรื่องเก่า จะเรื่องเป็นเื่องขอใครไม่รุ้(แต่ขอให้เป็นเรื่องของคิมหันต์-ปิ่นหยก นะคะ อิอิ ^^) แต่ยังรออ่านอยุ่นะคะ 
ชื่อเล่นพระเอกนี่...สารภาพว่าไม่ได้คิดไว้เลยค่ะ เอาว่าเป็นคุณภู หรือคุณเมศ แล้วแต่ถนัดเรียกแบบไหนแล้วกันเนอะคะ << มักง่ายมาก ฮา
ปล. คิดพล็อตออกจากตอนจะเขียนตอนพิเศษเล่ห์รักฤดูร้อนค่ะ เรื่องนั้นเลยยังไม่ได้ต่อตอนพิเศษเลย พรากกกกส์ เรื่องของคิมหันต์-ปิ่นหยกก็อยากเขียนมาก ๆ เลยค่ะ โฮรรกกก รอเค้าก่อนนะคะ ,,>3<,,
อนึ่ง ขำที่บอกว่าน้องธัญญ์เหมือนเครื่องสแกนบาร์โค้ดมากเลยค่ะ ส่งเสียงรายงานราคาตลอด 555
อสอง ท่านที่กำลังติดสอบ สู้ ๆ นะคะ เป็นกำลังใจให้ค่ะ ฮึบ ๆ! สู้ ๆ ไปด้วยกันนนน
อสาม เล่ห์รักฤดูร้อน ขอรีไรท์ก่อนนะคะ อรุ๋งงง
//ด้วยรักและกินเด็ก...
พบกันงวดหน้าค่ะ >3<