┤ ราคา ◇ ค่า ◇ รัก ├
งวดที่ 15
ภูเมศก้มลงมองปฏิกิริยาลูกชาย ยังไม่ทันได้เอ่ยปากอะไร เด็กน้อยกลับส่งสายตาขอความช่วยเหลือ..ไม่ว่าจะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม
...เว้าวอนและเต็มไปด้วยความคาดหวัง เหมือนครั้งหนึ่งที่เคยมองมาตอนกำลังจะถูกคุณแม่ซึ่งกำลังโมโหเตรียมลงโทษด้วยการยึดหนังสืออ่านเล่น เพราะเจ้าตัวเล็กละเลยการบ้านจากโรงเรียน ครั้งหนึ่งที่มองเขาสลับกับหุ่นของเล่นตัวใหญ่ในห้างสรรพสินค้าแทนคำร้องขอ และครั้งหนึ่งซึ่งเคยอ้อนจะขอเลี้ยงแมวแต่เขาไม่อนุญาตเพราะเขาแพ้ขนแมว
เกือบนาทีหลังจากนั้นที่เฝ้าครุ่นคิดถึงเหตุผลทั้งหลายอย่างไร้ประโยชน์ สุดท้ายจึงทำตามความปรารถนาที่ถูกซุกซ่อนไว้เรื่อยมา ตัดสินใจเอ่ยถ้อยคำเดียวกับที่เขาเห็นภาพตัวเองถามประโยคนี้กับธัญญ์ในห้วงคำนึงซ้ำ ๆ นับตั้งแต่วันที่อีกฝ่ายจากไป
“กลับมา...ได้ไหม?”
แค่ไม่กี่พยางค์เท่านั้นเอง ทว่ากว่าจะเค้นเสียงออกมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด เอาเข้าจริงจึงดังอยู่งึมงำแค่ในลำคอ ฟังแทบไม่เป็นภาษา คงชวนขายหน้าพอจะทำให้คนฟังขำออกมาได้
แต่ธัญญ์ไม่ได้หัวเราะ และหากจะมีอะไรบนใบหน้าบอกให้รู้ว่าสะดุดกับถ้อยคำนั้นสักนิด ก็คงเป็นแค่การกะพริบตาสองสามครั้ง ก่อนรอยยิ้มแบบเดิมจะกลับมาอีกหน
สุภาพ...และเป็นทางการ
“ได้สิครับ” ธัญญ์รับคำเสียงเรียบ
เขาแทบไม่เชื่อหู เกือบจะยิ้มออกมาแล้ว หากแต่รอยยิ้มนั้นมีอันต้องชะงักลง เมื่ออีกฝ่ายพลิกข้อมือเบา ๆ ให้หลุดจากที่ถูกมือเขาเกาะกุมไว้ได้ง่ายดาย จากนั้นหันไปค่อย ๆ แกะมือพร้อมภูมิออกจากชายเสื้อตัวเองเช่นกัน
นุ่มนวล ทว่าไม่เปิดช่องให้อิดออด
แต่อย่างน้อยก็บอกว่า
‘ได้’ ใช่ไหม? ไม่ได้ฟังผิดใช่หรือเปล่า?
หัวใจเขาเต้นรัวเร็วจนปวดหนึบอยู่ในอก ภาวนาให้อีกฝ่ายพูดอะไรต่อจากนั้นบ้าง
“อีกสักครู่จะกลับมา...รับออร์เดอร์นะครับ”
นั่นไม่ใช่ที่เขาอยากได้ยิน
‘ได้’ ของธัญญ์ เป็นคนละความหมาย เขาลืมไปได้อย่างไรว่าเด็กคนนี้ถนัดเรื่องเล่นลิ้นให้ต้องปวดหัวอยู่เรื่อย เสียงเกือบจะเรียกได้ว่าเย็นชาทำลายความหวังของเขาโดยสิ้นเชิง ความตื่นเต้นยินดีที่เพิ่งปะทุขึ้นเมื่อวินาทีก่อนเลือนหายไปรวดเร็ว เหมือนไม้ขีดไฟที่ส่องแสงขึ้นวูบหนึ่งแล้วดับลง เหลือเพียงควันเป็นเส้นสายสีเทาจืดจางเมื่อไฟมอด
ธัญญ์ยังคงเป็นธัญญ์คนเดิม แต่คล้ายเป็นคนเดิมที่ไม่ใช่ของเขาอีกแล้ว
ฝ่ายนั้นค้อมศีรษะน้อย ๆ ก่อนหันหลังจากไป สรรพเสียงจ้อกแจ้กของผู้คนรอบกายราวกับเพิ่งเริ่มดังขึ้นอีกหน
สองพ่อลูกมองตามแผ่นหลังเหยียดตรงนั้นจนลับสายตา ครู่ใหญ่กว่าจะหันมามองหน้ากันตาปริบ ๆ ผู้เป็นพ่อนั้นลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเมนูที่นึกไว้เสียดิบดีตั้งแต่ก่อนเดินเข้าร้านมีอะไรบ้าง
เขาฝืนยิ้มให้ลูกชาย คล้ายคราวนั้นที่เคยยิ้มอ่อนใจให้ เมื่อพร้อมภูมิถูกคุณแม่ยึดหนังสืออ่านเล่นไปจนได้เพื่อเป็นการทำโทษ และหนนั้นที่เด็กน้อยไม่ได้รับอนุญาตให้เลี้ยงแมว ไม่ว่าจะร้องขอหรือส่งสายตาอ้อนวอนสักเพียงใดก็ตาม
คิดถึงตรงนี้แล้วทั้งขำและใจหายไปพร้อม ๆ กัน จะว่าเป็นตลกร้ายก็อาจใช่ พี่เลี้ยงลึกลับที่อยู่ดี ๆ ก็โผล่มา แล้วจู่ ๆ ก็เดินออกไป เปลี่ยนรูปแบบของเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นกับทั้งเขาและลูกชายไปอย่างสิ้นเชิง ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นช้า ๆ จนแทบไม่รู้สึกตัว แต่ค่อยมองเห็นชัดเจนเมื่อได้สูญเสียสิ่งนั้นไปแล้ว
ธัญญ์ทำอย่างไรกันนะ พร้อมภูมิจึงไม่เคยถูกยึดหนังสืออ่านเล่น ทั้งนับวันมีแต่มันจะเพิ่มจำนวนขึ้น ทว่าก็ไม่เคยละเลยจนทำการบ้านไม่เสร็จอีก ทำอย่างไรจึงตกลงกับลูกชายเขาได้ดิบดีว่าเวลาไหนที่จะเป็นผู้รับ และเวลาไหนควรหยุดร้องขอ เท่านั้นไม่พอ ยังพากันเอาแมวเข้ามาเลี้ยงในบ้านจนได้ โดยไม่สร้างความเดือดร้อนให้เขาที่ก็ยังแพ้ขนแมวอยู่เช่นเดิม
แล้วตอนนี้ยังทำสองคนพ่อลูกวุ่นวายใจไปอีกยกใหญ่
คนที่ทำแบบนี้ได้ เห็นจะมีแค่คนเดียว
แต่ก็เป็นคนเดียวที่ทำหลุดมือไปแล้ว
เย็นวันนั้น พวกเขาหิ้วความผิดหวัง กลับบ้านกันแค่สองชีวิต
แม้แสนเสียดาย ทว่าคนทั้งคน จะให้พาไปพากลับง่าย ๆ เหมือนสิ่งของคงไม่ได้ ติดตรงความรู้สึกที่เหวี่ยงไปมาตั้งแต่ตอนคิดจะตัดใจ จนได้เจอกันอีกหน มีความหวังขึ้นอีกครั้ง ก่อนทั้งหมดนั้นจะพังครืนลงอีกคราวในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงนี่เอง ทำเขาเสียศูนย์ไปพักใหญ่
ขนาดตัวเองโต ๆ อย่างนี้แล้วแล้วยังตั้งตัวแทบไม่ติด ประสาอะไรกับลูกชายอายุแค่เก้าขวบ พร้อมภูมินั่งเหม่อสลับกระสับกระส่ายเป็นครั้งคราว ประเดี๋ยวก็ทำตาแดง ๆ ประเดี๋ยวก็ถอนหายใจ หน้าตาเหมือนมีอะไรคาใจอยากถามแต่ก็ไม่กล้า อ้ำอึ้งเพียงลำพังก่อนจะเงียบไป รอบล่าสุดเดินวนไปวนมาครู่หนึ่ง จึงค่อยมานั่งนิ่งบนโซฟา โยกตัวไปมาเหมือนคนคิดไม่ตก
ภูเมศเม้มปาก เดินเข้าไปย่อตัวลงนั่งด้านข้าง เอื้อมมือโอบไหล่เด็กน้อยไว้หลวม ๆ
“เป็นไง?”
เขาถามกว้าง ๆ ไม่หวังคำตอบ แต่คราวนี้ไอ้ตัวเล็กคล้ายทนอัดอั้นแค่กับตัวเองไม่ไหว ครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นแผ่วเบา
“...พ่อครับ..”
เขาเหลียวมองใบหน้าลูกชายตามเสียงเรียก
“ว่าไงครับ”
“...พี่ธัญญ์...เขา..” พร้อมภูมิก้มลงจ้องมองมือที่กำแน่นอยู่บนตักตัวเอง “..เขาโกรธพวกเรา...ใช่รึเปล่า..”
ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก ยกนิ้วมือขึ้นถูปลายจมูกตัวเองเบา ๆ
“...พ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน”
ไม่รู้เลยจริง ๆ
หลังจากได้พูดคุยกันเพียงสั้น ๆ คนที่กลับมารับออร์เดอร์อาหารในภายหลังกลับเป็นพนักงานคนแรกที่ขอตัวไปรับโทรศัพท์ก่อนหน้านี้ ไม่มีวี่แววของธัญญ์อยู่ตรงส่วนใดของร้านที่สายตาสามารถมองเห็น
ใช่ว่าเขาจะหยุดอยู่เพียงเท่านั้น หลังจากทำเป็นเดินวนดูโน่นดูนี่ทั่วร้านจนผู้คนเริ่มมองมาด้วยสายตาสงสัย เขายังขอเข้าไปดูถึงในครัวด้วยซ้ำ อ้างอย่างไร้สาระว่าอยากคุยกับพ่อครัว กระทั่งสุดท้ายถูกซักไซ้กึ่งบังคับถามจนต้องสารภาพว่ากำลังมองหาชายหนุ่มชื่อธัญญ์ที่เห็นทำงานอยู่ที่นี่ แนะนำตัวอย่างคลุมเครือว่าเป็นคนรู้จักซึ่งไม่เจอกันมาสักระยะ จึงได้รับคำตอบพร้อมสายตาคลางแคลงว่าอีกฝ่ายบอกติดธุระวันนี้ ขอกลับไปก่อนได้พักใหญ่แล้ว
สำหรับเขาเอง ถือว่าเป็นเรื่องสมเหตุสมผลหากธัญญ์จะโกรธ ในเมื่อครั้งหนึ่งเจ้าตัวเคยต้องจากบ้านหลังนี้ไป โดยที่เขาเพียงแต่มองโดยไม่คัดค้าน ส่วนหนึ่งยังเป็นตนเองด้วยซ้ำที่เสนอว่าอาจต้องลองห่างกันดู เพียงเพื่อจะพบว่าได้ทำเรื่องผิดพลาดลงไปเสียแล้ว
แต่การที่ได้พบกันอีกครั้งเช่นนี้ ก็ถือว่ายังมีโอกาสแก้ตัวไม่ใช่หรือ อย่างน้อยเขาก็รู้แล้วว่าธัญญ์ทำงานอยู่ไหน เพียงหวังว่าจะไม่ออกจากที่นั่นไปเสียก่อน ถ้าสืบต่อสักหน่อย ไม่น่าลำบากกับการหาที่พักปัจจุบัน
ชายหนุ่มจ้องมองลูกชายพลางครุ่นคิดไปด้วย สีหน้าผิดหวังยังค้างอยู่บนใบหน้าเด็กน้อยไม่จางหาย
“ภูมิ”
พร้อมภูมิเหลือบตาขึ้นมอง “ครับ?”
“เรื่องพี่ธัญญ์น่ะ...” เขาค่อย ๆ พูดออกมาช้า ๆ ให้เวลาคนฟังได้ไตร่ตรอง
อาจต้องอาศัยระยะเวลามากหน่อยสำหรับเด็ก แต่อย่างน้อยเขาจะได้แน่ใจว่าที่ทำอยู่นี้ดีกับลูกชายจริงหรือเปล่า
“ลูก..อยากให้พี่เขากลับมาไหม?”
เด็กชายอ้าปาก แต่ไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา ไม่พูดไม่จาอีกหลายนาที
ภูเมศพยายามทำตัวผ่อนคลาย ไม่เร่งรัด ไม่กดดัน เพียงแต่โอบไหล่เด็กชายไว้เงียบ ๆ
กระทั่งในที่สุด คำถามหนึ่งก็ถูกเอ่ยออกมาแผ่วเบา
“พ่อรักผมไหม”
เขาเลิกคิ้ว ไม่เห็นต้องเสียเวลาคิดเรื่องนั้นสักนิด อะไรทำให้พร้อมภูมิคิดว่าเขาจะไม่รักกัน
“รักสิครับ”
เด็กชายพยักหน้าเชื่องช้า เหมือนคาดเรื่องนั้นไว้อยู่แล้ว แต่ดูผ่อนคลายขึ้นมาบ้างนิดหน่อย
“พ่อรักแม่ไหม..”
เขาชะงักไป ใช้เวลาอึดใจหนึ่งจึงตอบพร้อมรอยยิ้ม
“รักครับ ครั้งหนึ่งพ่อเคยรักแม่ ถึงตอนนี้จะไม่ใช่ความรักแบบเดิม แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน” ต่อด้วยคำพูดที่เด็กหลายคนอาจจะไม่ชอบฟัง ทว่ามันก็เป็นเช่นนั้นจริง ๆ “..ไว้สักวันลูกจะเข้าใจ”
เด็กชายผงกศีรษะรับ ก่อนคำถามที่สามจะตามมา เว้นช่วงนานกว่าสองคำถามแรก
“...แล้วพ่อว่า...พี่ธัญญ์...”
เขานั่งมองอยู่นาน กว่าพร้อมภูมิที่นั่งก้มหน้าก้มตาจะต่อจนจบประโยค
“...พี่ธัญญ์รักผมไหม?”
ถึงตรงนี้คงต้องยอมรับว่าเป็นคำถามที่เขาไม่ได้คาดไว้
ภูเมศคลี่ยิ้มอ่อนใจ ไพล่นึกไปถึงของเล่นกองพะเนินที่ธัญญ์เคยซื้อให้พร้อมภูมิ หนังสือสารพัดอย่างที่ไม่รู้ไปสรรหามาจากไหน สอนการบ้าน สอนกระทั่งวิธีต่อสู้แปลก ๆ ให้ ปากว่าไม่ชอบแต่ก็คอยตามโอ๋ ทุกคืนต้องส่งเข้านอน ทุกเช้าต้องหาข้าวหาปลาให้ คิดไปจะดูแลลูกชายเขาดีกว่าที่ทำให้เขาเสียด้วยซ้ำ ให้ปากแข็งบอกว่าเกลียดเด็กอย่างไร แต่ย่อมดูออกได้ง่ายดายว่าเอ็นดูเด็กชายอยู่ไม่น้อย
ชายหนุ่มเอนหลังพิงพนักของโซฟา แหงนหน้ามองเพดานว่างเปล่า
“ถึงเขาจะไม่เคยพูดก็เถอะ แต่ลูกดูออกไหม”
“ดูเองเหรอ?”
“อื้ม”
“..ก็...” พร้อมภูมิพึมพำ ครุ่นคิดถึงคนที่หายไปนานพลางยกมือขึ้นเอานิ้วถูปลายจมูกเบา ๆ ด้วยท่าทางแทบถอดแบบจากผู้เป็นพ่อ “..ก็คิดว่ารัก”
ภูเมศยิ้ม เอื้อมมือไปลูบผมเด็กน้อย “งั้นเราก็คิดเหมือนกันนะ”
พอได้ยินอย่างนั้น สีหน้าค่อยดีขึ้นตามลำดับ
“แล้วพ่อรักพี่ธัญญ์ไหม”
“หือ?”
คุณลูกชายถามวนไปวนมาประหนึ่งกำลังพยายามวางแผนผังความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาขึ้นในหัว เห็นผู้เป็นพ่อเงียบไปพักใหญ่ ดวงตาใสแจ๋วคู่นั้นกลับยิ่งจ้องมองมาอย่างรอคำตอบ
ภูเมศเม้มปาก ยกมือขึ้นแตะปลายจมูกตัวเองเบา ๆ ด้วยความประหม่า สุดท้ายก็ถอนหายใจยาวอย่างยอมแพ้ แล้วค่อยคลี่ยิ้มอ่อนโยนให้ลูกชาย
“รัก”
ทั้งที่เป็นเสียงเขาเอง ทว่ากลับแปลกหูเหลือเกิน
รัก อุตส่าห์ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาได้สักที แต่บุคคลผู้ถูกกล่าวถึงด้วยคำสำคัญนั้นกลับไม่ได้อยู่ฟังตรงหน้า
“แต่เรื่องนั้นไม่สำคัญเท่ากับที่พ่อรักลูกหรอก” เขายิ้มกว้างขึ้นอีก “ลูกอยากให้เป็นแบบไหนล่ะ”
“..ผม..ไม่รู้” พร้อมภูมิพึมพำ ก้มลองมองนิ้วมือตัวเอง “อยากให้เป็นแบบไหนคืออะไร ไม่เห็นเข้าใจเลย”
“นั่นสินะ” ชายหนุ่มพยักหน้าน้อย ๆ เอามือยีผมลูกชายไปมา “เอางี้ดีกว่า พ่อถามบ้างได้ไหม”
“เอาสิครับ”
“ลูกรักพี่ธัญญ์รึเปล่า”
แก้มใส ๆ ของเด็กชายขึ้นสีแดงระเรื่อ ทั้งจมูกก็พลอยแดงไปด้วย ทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ ค่อยส่งเสียงตอบรับในลำคอ
“อื้อ...”
“แล้ว..อยากให้เขากลับมาอยู่กับพวกเราไหม”
“..ผม...อยาก...แต่ก็...ไม่อยาก” เด็กชายพูดออกมาเองแล้วทำหน้างงเอง เฉไฉไปเรื่องอื่นที่ยังค้างคาใจอยู่ดื้อ ๆ “แต่เขาโกรธอยู่แน่ ๆ”
“ทำไมล่ะ”
“เขาไม่พูดกับผมเลย เขาไม่คุยกับพ่อแบบเดิมแล้วด้วย”
“นั่นสิ” คราวนี้ภูเมศพยักหน้าเออออ “โดนโกรธทั้งคู่แหงเลย”
“แล้วเขาจะหายโกรธไหม”
“พ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน” ชายหนุ่มพึมพำไปตามน้ำ ยินดีอยู่ลึก ๆ ที่พร้อมภูมิดูจะพูดคุยออกมามากขึ้น “ทำยังไงดีนะ”
“ถ้าง้อเขาจะหายโกรธไหม”
เมื่อโดนถามซ้ำ เขาเลิกคิ้วน้อย ๆ เอียงคอมองลูกชาย “ไม่แน่ใจ อยากรู้ก็ต้องลองดูละมั้ง”
“หรือไม่ก็จ้างเขาอีกที”
“จ้างหรือ?”
ท่ามกลางบรรยากาศหม่นหมองที่ติดค้างอยู่มานาน นี่อาจเป็นครั้งแรกที่ภูเมศเกือบหลุดหัวเราะออกมาจริง ๆ เมื่อได้ยินลูกชายพูดเหมือนครั้งหนึ่งที่เจ้าตัวเคยบอกอะไรทำนองนี้อยู่เหมือนกัน
“..ก็...ถ้าพ่อไม่จ้างแล้ว เดี๋ยวผมจ้างเองก็ได้”
คราวนี้ชายหนุ่มจำได้ชัดเจนขึ้นมาทันที ไอ้ลูกชายของเขาพูดแบบเดิมจริง ๆ ด้วย
“จะเอาเงินที่ไหนจ้างล่ะ”
พร้อมภูมิหันมาทำหน้าเหย “..ยืมพ่อได้ไหม”
เขาแสร้งพยักหน้าอย่างชั่งใจ “แล้วถ้าพ่อไม่มีล่ะ”
“..ก็ยืมพี่ธัญญ์ก่อน..” พอชื่อนั้นหลุดจากปาก สีหน้าเจ้าตัวกลับวิตกขึ้นมาอย่างคนเพิ่งนึกได้ “แต่เขาต้องไม่ให้ยืมแน่เลย เขาโกรธผมอยู่...ทำไงดีล่ะ”
“อืม..ยากเลยนะ” เขามองหน้าลูกชาย ทำทีว่าขอความเห็น “เวลาโกรธกับเพื่อนทำยังไงล่ะ”
พร้อมภูมิกะพริบตาปริบ ๆ “..ผมไม่ค่อยโกรธกับเพื่อน” จากนั้นอ้าปากขึ้นมาอีกหนเมื่อนึกอะไรออก “แต่บางทีก็โดนพี่ตังโกรธจนต้องไปง้อ”
“แล้วง้อยังไงหรือ?”
“ก็...ไปขอโทษ” เด็กชายพยักหน้าทบทวนความจำ “..เอาขนมไปให้ แล้วก็ทำเรื่องตลก ๆ ให้ขำ”
ภูเมศยิ้มน้อย ๆ “แล้วพี่เขายอมคืนดีด้วยไหม”
“พี่ตังดุ แต่บ้าจี้ เส้นตื้นด้วย...” พร้อมภูมิพึมพำ “ทำให้หัวเราะมาก ๆ เดี๋ยวก็หาย”
“อ้อ”
“แต่พี่ธัญญ์ไม่เหมือนกันนี่นา”
“ยังไม่ได้ลองเลย”
“งั้นไปลองดูกันไหมครับพ่อ”
ภูเมศหยุดคิดอยู่ครู่หนึ่ง แววตาและน้ำเสียงเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นกว่าเก่า
“สรุปว่าอยากให้ตามพี่เขากลับมา?”
พร้อมภูมิเมื่อถูกทักเข้า จึงค่อยนึกขึ้นได้ว่าตัวเองเพิ่งพูดเรื่องหาทางง้ออีกฝ่ายออกมาเป็นคุ้งเป็นแคว
ภูเมศโคลงศีรษะน้อย ๆ ทั้งเอ็นดูทั้งสงสารลูกชาย ในเมื่อเรื่องออกมาเป็นเช่นนี้ หากไม่เหลือที่ให้ถอย ก็มีแต่จะต้องพยายามหาทางออก เขาอยากให้ทุกสิ่งค่อยเป็นค่อยไป ไม่อยากก้าวพลาดให้มีใครต้องเสียใจอีก
“ค่อย ๆ คิดก็ได้” เขาคลี่ยิ้ม ลูบผมเด็กน้อยแผ่วเบา “พ่อรักลูกที่สุดรู้ไหม อยากให้เราได้ตัดสินใจด้วยกัน ถ้าอยากให้พี่ธัญญ์กลับมาเป็นครอบครัวเดียวกับเรา พ่อก็จะไปตามเขากลับ แต่ถ้าไม่อยาก พ่อก็จะปล่อยเขาไป”
“...ปล่อยไปคือยังไงครับ” พร้อมภูมิเงยหน้าสบตาเขา “ถ้าปล่อยไปจะได้เจอกันอีกไหม”
เขาเม้มปาก ย่อตัวลงให้ใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกับลูกชาย แววตาไหวระริกเพียงชั่วครู่ แต่เมื่อปิดเปลือกตาแน่น ๆ ครั้งหนึ่งแล้วลืมขึ้นใหม่พร้อมความตั้งใจแน่วแน่ ความหนักแน่นมั่นคงกลับสะท้อนชัดในดวงตาคู่เดิม
“พ่อรักเขาเหมือนที่ครั้งหนึ่งเคยรักคุณแม่ของลูก” ภูเมศค่อย ๆ พูดออกมาเนิบช้า ชัดถ้อยชัดคำ “คิดว่าลูกน่าจะพอรู้บ้างแล้ว แต่ถ้าภูมิไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น พ่อจะเลิกยุ่งกับพี่เขา จะไม่เจอกันอีกแล้ว”
“ไม่เจออีก?”
“อืม” ชายหนุ่มพยักหน้า “ไม่อีกเลย เราอยู่กันสองคนพ่อลูกเหมือนเดิม เพราะถ้าเจอกันอีกแต่เราทั้งสองคนไม่รักเขา พี่ธัญญ์จะน่าสงสารมากจริงไหม ทำเรื่องเห็นแก่ตัวแบบนั้นไม่ได้นะ”
เด็กชายฟังไม่ค่อยเข้าใจนัก พยายามคิดตามแต่ก็ต้องมุ่นคิ้ว
“ถ้ารักพี่เขาไม่ได้ ก็ต้องปล่อยเขาไป”
ความลังเลฉาบฉายบนใบหน้าอ่อนเยาว์
“แต่ผมก็รักพี่ธัญญ์นะ”
ภูเมศระบายยิ้มบาง
“ถ้าอย่างนั้นลูกต้องถามตัวเอง ใคร่ครวญให้ดี ว่ารักพอจะให้เขาเป็นคนในครอบครัวเราไหม”
สองวันล่วงเลยไปนับจากเหตุการณ์ในร้านอาหารเย็นนั้น
หลังจากคุยกันเสียยาวตอนกลับถึงบ้านแล้ว ด้วยเรื่องที่พร้อมภูมิฟังไม่ค่อยเข้าใจนัก พ่อไม่เอ่ยถึงชื่อพี่ธัญญ์อีกแม้แต่ครั้งเดียว
จนกว่าเขาจะตัดสินใจได้...พ่อบอกอย่างนั้น ส่วนเขาเองก็ยังรู้สึกตะขิดตะขวงใจเกินกว่าจะกล่าวถึงอีก
ตอนนี้รู้แค่อยากให้กลับมา
แม้ยังลังเลอยู่ว่าหากธัญญ์กลับมาอยู่ด้วยอีกครั้ง แล้วเกิดเขาไปเห็นฝ่ายนั้นกับพ่อเขาใกล้ชิดในระดับราวกับเป็นคนรักเช่นเหตุการณ์คราวก่อน จะตกใจจนก้าวขาไม่ออกอีกหรือเปล่า
‘พ่อรักเขาเหมือนที่ครั้งหนึ่งเคยรักคุณแม่ของลูก’พ่อว่าไว้อย่างนั้น
แต่พี่ธัญญ์ไม่ได้ทำตัวเป็นแม่อย่างที่พี่ตังบอก ไม่เหมือนกับแม่ของเขาเลยสักนิด แน่นอนเพราะว่าเป็นคนละคนกัน และฝ่ายนั้นก็เป็นผู้ชาย ต่อให้พ่อจะบอกว่ารักเหมือนกัน แต่จะเหมือนได้อย่างไร
คิดวนไปเวียนมามากเข้ายิ่งไม่สบายใจ วุ่นวายอยู่ในหัวกระทั่งพักเที่ยง เพื่อน ๆ แยกย้ายไปกินข้าวหมดแล้ว แต่พร้อมภูมิตัดสินใจเดินแยกออกมา ตรงไปยืนรอพี่ตังแถวหน้าห้องเรียน
ไม่นานนักคุณครู ก็ประกาศจบคาบเรียนแล้วเดินออกจากห้อง ครู่หนึ่งบรรดารุ่นพี่จึงค่อย ๆ ทยอยเดินออกตามมาพร้อมเสียงจ้อกแจ้กจอแจ แต่คนที่เขารออยู่ย่างก้าวอย่างใจเย็นเป็นคนเกือบสุดท้าย
“พี่ตัง”
หากไม่รีบเรียกไว้ก่อน ท่าทางจะถูกเดินผ่านเลยไปดื้อ ๆ
เจ้าของชื่อชะงัก หันมาตามเสียงเรียก สีหน้าแทบไม่เปลี่ยนสักนิด
พร้อมภูมิไม่รอให้อีกฝ่ายถาม ชิงพูดขึ้นก่อนอย่างกระตือรือร้น
“ไปกินข้าวกัน”
สตางค์พยักหน้า ไม่ถามไถ่ที่มาที่ไปสักคำ เหมือนชินแล้วกับสถานการณ์เช่นนี้ เดินนำไปตามทางที่เชื่อมสู่โรงอาหาร
ทว่ายังไปได้ไม่ทันเท่าไร เมื่อเริ่มพ้นสายตานักเรียนคนอื่นแล้ว พร้อมภูมิกลับกระตุกแขนเสื้อฝ่ายนั้น พูดเสียงเบาจนเกือบเป็นกระซิบ
“..ไปกินข้างนอกกันไหม”
รุ่นพี่เลิกคิ้ว มองเขาตาปริบ ๆ อย่างไม่เข้าใจ “ข้างนอก?”
“อื้อ”
“ที่ไหน”
“ร้านอาหาร”
“ทำไมล่ะ”
“ก็...” พร้อมภูมิหลบตา “ก็อยากออกไป”
“จะโดดเรียนหรือ”
“เปล่าซะหน่อย”
“ออกจากโรงเรียนในเวลาแบบนี้ก็คือโดดเรียน”
เด็กชายเถียงไม่ออก พออีกฝ่ายพูดให้นึกได้อย่างนั้นแล้วเกิดรู้สึกผิดขึ้นมา พ่อรู้เข้าต้องโกรธแน่นอน ได้แต่พึมพำอย่างไม่แน่ใจ เสียงค่อยลงจนแทบหายไปตอนท้ายประโยค “เราก็แค่กลับมาให้ทันก่อนหมดพักเที่ยง”
เขาไม่รู้จะพูดอะไรต่อ แต่มือก็ยังดึงแขนเสื้ออีกฝ่ายไว้อย่างดื้อดึงจนเจ้าตัวถอนใจเฮือก ถามกลับอย่างเสียมิได้
“จะไปที่ไหน”
“ใกล้ ๆ นี้เอง” เขาอ้อมแอ้ม “กุหลาบขาว”
พอเอ่ยชื่อร้านออกไป สตางค์ยิ่งมองเขาด้วยสีหน้างุนงงกว่าเก่า จากนั้นส่งคำถามกลับมาเป็นชุด
“ทำไมถึงอยากไปที่นั่นล่ะ ไปเองมีเงินหรือ? ไม่กี่วันก่อนพ่อนายก็เพิ่งพาไปกินไม่ใช่หรือไง”
“หรือถ้าไม่กิน” เขาต่อรอง “แค่ไปดูเฉย ๆ ก็ได้”
อีกฝ่ายหรี่ตา “ดูอะไร”
พร้อมภูมิเงียบ
“งั้นก็ไปเอง” พอไม่ได้คำตอบก็ปฏิเสธแบบไร้เยื่อใยเลยเชียว “พี่ไม่ได้อยากดูด้วยเสียหน่อย”
ไม่พูดเปล่า ยังพยายามแกะมือเขาออกจากเสื้อตัวเองอีก แต่เพราะเป็นเด็กเหมือนกัน เรี่ยวแรงสูสีกันเลยทำได้ลำบาก ไม่เหมือนที่พี่ธัญญ์แกะมือเขาออกจากชายเสื้อวันนั้น
“ไปเป็นเพื่อนหน่อยสิ” เขายังดื้อใส่ ตามตื๊อไม่เลิกต่อให้อีกฝ่ายจะพยายามเดินหนีทั้งอย่างนั้น “นะ...ไปด้วยกันหน่อย”
“ไปทำไม”
“ไปดู..”
“ดูอะไร?” กลับมาอีหรอบเดิม แต่คราวนี้โดนตาดุ ๆ ลุกวาวของรุ่นพี่กดดันจนต้องเอ่ยปากเสียอ่อย
“..ดู..พี่ธัญญ์”
“พี่ธัญญ์?” อีกฝ่ายทวนคำเหมือนไม่อยากเชื่อ “คนนั้นอีกแล้ว ไม่ใช่บอกเองว่าเขาทิ้งนายไปแล้วหรือ”
“ไม่ได้ทิ้งนะ!” พร้อมภูมิรีบร้อนปฏิเสธ ถึงแม้จะไม่เต็มปากเต็มคำเท่าไรนัก
“แล้วเขาไปทำอะไรที่ร้านอาหาร”
“...ทำงาน”
“แล้วนายจะไปทำอะไรที่ร้านอาหาร”
“...ก็ว่าจะ..ดู ๆ ...ว่าจะตามกลับบ้านดีหรือเปล่า”
สตางค์กลอกตา จังหวะนั้นดูโตกว่าวัยจนพร้อมภูมิทั้งหวั่นจนใจเต้นตึกตัก ทั้งอดนึกชมในใจไม่ได้
“นายเองยังไม่รู้เลยว่าจะไปทำอะไร”
ช่วยไม่ได้นี่ เขาเถียงอยู่ในใจ แต่ยิ่งกำเสื้ออีกฝ่ายแน่น ตั้งใจว่าอย่างไรก็ต้องลากไปด้วยกันให้ได้
“เดี๋ยวไปถึงแล้วก็รู้เองแหละมั้ง”
มีต่อรีพลายถัดไปค่ะ
v
v
v
v
v