┤ ราคา ◇ ค่า ◇ รัก ├
งวดที่ 21
ภูเมศนั่งทำตัวไม่ถูกอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ของตัวเองอยู่เกือบครึ่งชั่วโมงได้แล้ว
‘เริ่มต้นเดือนหน้านี้เลย..’อีกราวสองสัปดาห์เท่านั้น
นี่เรื่องจริงหรือ? หากตบหน้าตัวเองแรง ๆ สักทีจะสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพื่อพบว่ากำลังฝันอยู่หรือเปล่า
เขาไม่แน่ใจนักว่าควรต้องดีใจหรือเสียใจกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันในครั้งนี้ คำสั่งย้ายอันไม่มีเค้าลางนำมาก่อน ไม่มีการแจ้งเตือนให้เตรียมตัวเตรียมใจสักนิด แม้ตำแหน่งสูงขึ้นในนาม แต่ย้ายไปบริษัทในเครือซึ่งขนาดเล็กกว่าเก่า ยากจะเดาว่านี่คือรางวัลของการทำงานหนัก หรือบทลงโทษจากผลงานที่ผิดพลาดในช่วงหลัง
เพื่อนร่วมงานบางคนซึ่งคงเพิ่งเริ่มตั้งตัวติดเช่นกันทยอยเดินเข้ามาอวยพร ในเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น จึงกลายเป็นต้องยอมรับและถือว่าเป็นความก้าวหน้าอันแปลกประหลาดอย่างหนึ่ง แม้ในใจล้วนแต่คลางแคลงว่าใช่การก้าวไปข้างหน้าแน่หรือ ในเมื่อเทียบกับที่นี่แล้ว บริษัทใหญ่กว่าย่อมมีโอกาสแสดงฝีมือมากกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย
“ยินดีด้วยนะพี่”
“ยินดีด้วยนะคะ”
แต่ส่วนใหญ่ก็เลือกจะเอ่ยด้านดีออกมามากกว่าจะพูดอะไรให้เขาใจเสียไปมากกว่านี้ แม้จากหางตายังพอมองเห็นบางคนยืนซุบซิบกันอยู่ด้วยสีหน้าไม่เข้าใจ ซึ่งว่ากันตามจริงแล้ว เขายังอยากเดินไปร่วมวงเพื่อแสดงความเห็นว่าเขาเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน
คิดในแง่ดี อย่างน้อยที่ทำงานใหม่ในอนาคตอันใกล้นี้ ก็ไม่ได้ไกลถึงขั้นต้องออกต่างจังหวัด
การรวบรวมสมาธิทำงานในส่วนที่เหลือของวันนั้นกลายเป็นเรื่องยากเย็นเต็มที สุดท้ายชายหนุ่มจึงตัดใจปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์ลงก่อน เอนหลังพักสายตา ยกมือขึ้นนวดขมับช้า ๆ ทว่าได้ครู่เดียวก็พะวงจนต้องยืดตัวขึ้นพยายามทำงานต่อ แม้หลังจากนั้นยังขาดสมาธิจนต้องเอนหลังพักสายตาอีกหน แล้วเด้งผลุงกลับไปทำงาน เป็นอย่างนั้นซ้ำไปซ้ำมากระทั่งถึงเวลาเลิก สุดท้ายจึงแทบไม่ได้อะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
กลับบ้านเย็นวันนั้น ธัญญ์ไม่ได้ตัวติดแจกับพร้อมภูมิอย่างทุกที
คนที่เดินออกมารับเป็นลูกชาย เมื่อทักทายกันเรียบร้อยพลางพากันเดินเข้าไปในตัวบ้าน จึงเห็นว่ามีสมุดและเครื่องเขียนวางค้างอยู่บนโต๊ะในห้องโถง เดาว่าพร้อมภูมิคงกำลังง่วนกับมันอยู่ก่อนจะเดินออกไปรับเขา ส่วนพี่เลี้ยงคนโปรดไม่ได้นั่งอยู่ข้าง ๆ ตอนลูกชายทำการบ้านเหมือนที่มักเห็นจนชินตา
“พี่ธัญญ์ล่ะ” เขาถามเสียงเรียบ พลางปลดเนคไทและคลายกระดุมเสื้อเม็ดบนสุดออก
“อยู่หลังบ้านครับ”
ภูเมศมองตามคำบอกพลางครุ่นคิดไปด้วย คุณพี่เลี้ยงอาจกำลังเตรียมมื้อเย็น หรือไม่ก็จัดการเรื่องจุกจิกในบ้านอยู่
เมื่อสาวเท้าเข้าไปจนมองเห็นแผ่นหลังของเป้าหมายอยู่ไกล ๆ ในลานสายตา กำลังจะอ้าปากทัก แต่ทันสังเกตได้ก่อนว่าอีกฝ่ายถือโทรศัพท์มือถือแนบอยู่ข้างหู
ก็แค่คุยโทรศัพท์มือถือ เรื่องสุดแสนธรรมดาแท้ ๆ แต่ภูเมศกลับนึกขึ้นได้ตอนนั้นเอง ว่าเขาเพิ่งเคยเห็นธัญญ์คุยกับคนอื่นทางโทรศัพท์เป็นครั้งแรก
คงเพราะตั้งแต่อยู่ด้วยกัน ธัญญ์ไม่เคยเล่าเรื่องคนรู้จักหรือความสัมพันธ์ระหว่างตัวเองกับคนอื่นให้ฟังยาว ๆ สักที ไม่ว่าจะเพื่อนหรือเรื่องครอบครัวก็ไม่หลุดจากปาก จนเกือบลืมไปแล้วว่าต่อให้ชอบสันโดษหรือพยายามเลี่ยงปฏิสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนมนุษย์อย่างไร แต่โตมาจนป่านนี้ก็น่าจะมีคนให้ติดต่ออยู่บ้างเหมือนกัน
ชายหนุ่มยืนรีรออยู่พักใหญ่ ตั้งใจจะรอให้ธัญญ์วางสายก่อนค่อยเดินเข้าไปหา ทว่ารออยู่นานสองนาน ไม่ยักมีทีท่าว่าเจ้าตัวจะจบการสนทนาลงสักที จนอดสงสัยขึ้นมาไม่ได้ว่ามีอะไรให้ต้องพูดกันยาวนานขนาดนั้นเชียว
ว่าแต่คุยกับใครกันนะ..
ระหว่างที่คงกำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวดโดยไม่รู้ตัวนั้นเอง ธัญญ์ก็เหลือบมาเห็นเขาเข้าจนได้
แม้สีหน้าไม่เปลี่ยนเลยสักนิด แต่ธัญญ์คงเอ่ยตัดบทสนทนาแค่ตรงนั้น เพราะเห็นขยับปากอีกแค่ไม่กี่คำก็เก็บโทรศัพท์มือถือเข้ากระเป๋า เดินตรงเข้ามาหาเขาอย่างไม่เร่งร้อน
“กลับมานานหรือยังครับ”
เขาพยักหน้าน้อย ๆ เอ่ยรับแค่ “อืม” แต่ในใจตอบต่อ ว่ามายืนมองอีกฝ่ายคุยกับใครก็ไม่รู้ทางโทรศัพท์อยู่นานเชียวละ
“คุณดูเหนื่อย” นัยน์ตาดำขลับจ้องเป๋งมาครู่หนึ่ง จากนั้นค่อยหมุนตัวไปเปิดตู้เย็น รินน้ำใส่แก้วยื่นให้เขา “ดื่มน้ำหน่อยไหมครับ”
ภูเมศรับแก้วมาถือไว้ในมือ พยายามทำท่าทางเป็นธรรมชาติ ถามเรียบเรื่อยประหนึ่งไม่ได้ติดใจอยากรู้มากมายนัก
“คุยกับใครอยู่หรือ?”
ธัญญ์ทำเหมือนไม่ได้ยิน ยื่นมือมาดันก้นแก้วในมือเขาให้เลื่อนขึ้นไปชิดริมฝีปาก ดูพยายามเบี่ยงความสนใจจนอดพูดไม่ได้
“อะไรกัน ความลับหรือนี่”
แทนที่จะสะดุ้งสะเทือน ฝ่ายนั้นกลับอมยิ้มแบบเดาใจยาก ยื่นหน้าเข้ามาจนริมฝีปากตัวเองจรดที่ขอบแก้วอีกฝั่ง จ้องมองเขาไปด้วยไม่วางตา
“คุณงอน?”
“งอนที่ไหนเล่า”
“เป็นคนแก่ขี้ใจน้อยนะครับ”
“ใครแก่กัน” เขาเถียงทันควัน “แล้วก็ไม่ได้ใจน้อยด้วย”
“งั้นก็หึง?”
“ไม่ได้หึงสักหน่อย”
คราวนี้ธัญญ์เงียบไป จ้องเขาเขม็งพลางพองลมไว้ในปากจนแก้มป่องน้อย ๆ ไม่เคยเห็นทำหน้าอย่างนี้มาก่อน เจอเข้าจัง ๆ ได้แต่คิดว่าน่ารักจนจะบ้าตาย
“ถึงผมจะคุยกับผู้หญิงคนอื่นก็ไม่สนหรือ?”
“เธอเป็นเกย์ไม่ใช่รึไง” เขาอุบอิบ
“งั้นถ้าผมคุยกับผู้ชายคนอื่นล่ะ?”
“ห้ามเลยนะ”
“ก็คุณใจกว้าง ไม่หึงนี่นา”
“ตัวแสบ!” เขาร้องฮึ่มในคอ ทำท่าจะดึงแก้วซึ่งคั่นระหว่างใบหน้าพวกเขาลง แต่มือธัญญ์ก็ต้านเต็มที่เหมือนกัน เห็นสีหน้าไม่กระดิกอย่างนั้น แท้จริงแล้วออกแรงจนสั่นหงึก ๆ
“เดี๋ยวก็แก้วแตกคามือหรอก”
ธัญญ์ยักไหล่ “เรื่องเล็ก” จากนั้นเงียบไป แววตาอย่างกับรอคอยให้เขาเอ่ยอะไรบางอย่างออกมา กึ่งคาดหวังกึ่งน่าสงสารอย่างไรพิกล ริมฝีปากที่งับอยู่หมิ่นเหม่ตรงขอบแก้วเม้มลงจนบางเฉียบแทบเป็นเส้นตรง ก็ไหนบอกว่าแก้วนี้ให้เขาดื่มเองแท้ ๆ แต่ตัวเองเล่นงับไว้ฝั่งตรงข้ามไม่ปล่อยเสียได้
เห็นอย่างนั้นแล้ว แก้มพลันร้อนขึ้นมานิดหน่อย สุดท้ายจึงอ้อมแอ้มตอบอย่างยอมจำนน
“หึงจะแย่แล้วรู้ไหม”
อีกฝ่ายกะพริบตาปริบ ๆ
“อันนี้เรียกเรื่องใหญ่ได้รึยัง”
ภูเมศอาศัยจังหวะนั้น หมุนแก้วในมือ ตั้งใจจะเอาออกไปจากตำแหน่งเกะกะสักที แต่ธัญญ์กลับจับมันหมุนต่อจากเขาอีกหน่อย กระทั่งตำแหน่งที่ปากเขาวางอยู่บนขอบแก้วได้พักใหญ่เลื่อนไปจรดตรงริมฝีปากเจ้าตัวแทน
ธัญญ์มองเขานิ่ง ลูกตาสีดำสนิทเป็นประกายวาววับ ภูเมศสังเกตว่าปอยผมด้านหน้าของอีกฝ่ายยาวขึ้นแล้ว แถมวันนี้ยังยุ่งนิด ๆ ปรกเลยหน้าผากลงมาเคลียข้างขมับและผิวแก้มใส ถึงรู้สึกผิดนิดหน่อย แต่คงไม่กล้าปฏิเสธหรอกว่าน่ากระโจนใส่เป็นบ้า
ทว่าตอนนี้สิ่งที่ดึงดูดสายตาสุด คงเป็นปลายลิ้นสีชมพูเข้มที่แลบออกมาจากริมฝีปากอิ่มคู่นั้น แตะลงบนปากแก้ว แล้วลากช้า ๆ ทั้งที่ยังจ้องเขาตาใสนี่แหละ
เด็กบ้านี่จะเซ็กซี่เกินไปแล้วหรือเปล่า สีหน้าท่าทางแบบนี้มันชวนให้หัวใจวายตายยิ่งกว่าจูบตรง ๆ ที่ปากเสียอีกไม่ใช่หรือไง
เห็นว่าปั่นหัวเขาได้เป็นที่น่าพอใจแล้ว ธัญญ์ค่อยดึงแก้วออกมาวางตรงตำแหน่งที่ถูกที่ควรบนเคาน์เตอร์ด้านข้าง คลี่รอยยิ้มเกือบจะเรียกได้ว่ากรุ้มกริ่ม แถมลักยิ้มบนแก้มบุ๋มลงไปจนน่าเอานิ้วจิ้ม
“คุณทำหน้าตาลามกมากเลย”
“หา!?”
เขารีบยกมือวางสำรวจหน้าตัวเองอย่างร้อนตัว
ธัญญ์มองเขาอีกครู่หนึ่ง ยิ้มยังวาดอยู่บนดวงหน้าเช่นเดิม นัยน์ตาแฝงแววรักใคร่จนมองแล้วอุ่น ๆ อยู่ในอก ติดตรงดูไปดูมาก็คล้ายจะเจือความเศร้าที่เดี๋ยวมาเดี๋ยวหายอย่างไรพิกล ได้แต่หวังว่าคงแค่คิดไปเอง
“โกหกน่ะครับ” อีกฝ่ายกลับคำดื้อ ๆ “คุณหล่อมาก ดูเป็นผู้ชายอบอุ่นสุด ๆ”
ว่าแล้วก็เขย่งบนปลายเท้า ยื่นหน้าเข้ามาทำเสียง ‘จุ๊บ’ เบา ๆ บนปลายจมูกเขา กระซิบต่อเสียงแผ่ว
“ไม่ต้องเหนื่อยหึงหรอก ผมมีคุณคนเดียว เมื่อกี้แค่คุยกับลูกพี่ลูกน้อง”
ก่อนจะผละออกไป หันหลังเดินเข้าห้องโถงไปหาพร้อมภูมิ ทันมองเห็นแค่ใบหูแดงระเรื่อเท่านั้น
ตั้งใจจะแจ้งข่าวเรื่องหน้าที่การงานซึ่งยังไม่อาจระบุได้ว่าดีหรือร้ายกับอีกสองชีวิตที่บ้านแท้ ๆ แต่กลับมาถึงก็เจอธัญญ์ทำตัวน่ารักใส่อย่างนั้น ทั้งลูกชายก็มีเรื่องสนุกจากโรงเรียนมาเล่าให้ฟังเป็นคุ้งเป็นแควจนเขาหาจังหวะเล่าเรื่องตัวเองไม่ได้สักที เลยคิดว่าเดี๋ยวค่อยบอกก็ได้
ตกดึกส่งลูกชายเข้านอนแล้ว พอจะหาโอกาสอีกหนเอ่ยถึงเรื่องนี้ให้คุณพี่เลี้ยงลูกชายฟัง แต่คงด้วยความที่เกริ่นนำได้ไม่ชวนติดตามเท่าไร สุดท้ายกลับโดนเจ้าเด็กที่ช่างอ่อยเหลือเกินวันนี้พูดจาชักจูงไปทางอื่นเสียได้ นึกแปลกใจอยู่เหมือนกันว่าเกิดคึกอะไรขึ้นมา ช่วงเขาไม่อยู่มีหยิบยาผิดกินหรือเปล่า ถึงได้ทำตัวเหมือนจงใจยั่ว เย้ายวนประหนึ่งจะให้เขาตายคาอกให้ได้ เครื่องปรับอากาศในห้องนอนไม่ช่วยให้หน้าตาเนื้อตัวหายร้อนวูบวาบได้เลย
บทรักรอบแรกนั้นเป็นไปอย่างละเมียดละไม เนิบนาบจนทั้งหวานทั้งทรมาน ทว่าหลังจากนั้นกลับทวีความรุ่มร้อนขึ้นเรื่อย ๆ พวกเขาแลกริมฝีปากกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า เสียงหอบหายใจผสานรวมจนแยกไม่ออก สองมือปัดป่ายไปแทบทุกตารางนิ้วบนร่างกายอีกฝ่าย เลือดในกายร้อนผ่าวจนเหมือนจะถูกเผาให้มอดไหม้ไปทั้งอย่างนั้น
รอบสุดท้ายนั้นก็ตอนผ่านไปเสียครึ่งค่อนคืนแล้ว แผ่นหลังแน่นตึงของธัญญ์แอ่นเกร็งในอ้อมกอดเขา เสียงหอบเจือครางฟังไม่เป็นภาษาอยู่ในลำคออีกฝ่าย แต่ไม่มีถ้อยคำใดหลุดออกจากปากเพราะถูกบดจูบเสียแนบแน่นจนริมฝีปากช้ำเจ่อ ชายหนุ่มขยับสะโพกให้ตนเบียดแทรกเข้าไปอีกไม่กี่ครั้งหลังจากนั้น เบื้องหลังเปลือกตาก็ลุกโชนจนเห็นแสงสีวิบวับ ปลดปล่อยออกมาในความร้อนระอุของร่างกายอีกฝ่าย
เขาผ่อนลมหายใจเข้าออก กระชับอ้อมแขนขึ้นอีก ให้ร่างเปล่าเปลือยของพวกเขาสนิทแน่น แนบแผ่นอกเบียดชิดจนรู้สึกได้ถึงจังหวะเต้นถี่รัวของหัวใจที่เหมือนจะระเบิดอยู่ในอก ขบขย้ำบนลำคอร้อนผ่าว ย้ำจูบหนักหน่วงเรื่อยไปจนถึงขมับชื้นเหงื่อ เกลี่ยปอยผมสีดำขลับที่แนบลู่อยู่ข้างแก้มธัญญ์ มองดวงตาหรี่ปรือกึ่งหลับกึ่งตื่นคู่นั้นแล้วยิ่งนึกรักขึ้นมาจนล้นเอ่อในหัวใจ รู้ทั้งรู้อยู่หรอกว่าอีกฝ่ายเอาตัวรอดจากสารพัดเรื่องได้สบายอยู่แล้ว แต่ก็ยังอยากจะปกป้องให้ปลอดภัยในอ้อมแขนตัวเองอยู่ดี
ธัญญ์อ้าปากคล้ายจะพูดอะไรสักอย่าง แต่ไม่รู้เพราะเหนื่อยเกินไป ง่วงเกินไป หรือว่าอะไร สุดท้ายแล้วที่ออกจากปากล้วนฟังไม่รู้เรื่องไปเสียหมด
เขาส่ายหน้ายิ้ม ๆ มือหนึ่งช้อนท้ายทอยธัญญ์ให้เอนศีรษะเข้ามาแนบอก ส่งเสียง “ชู่ววว” แผ่วเบาข้างหู มืออีกข้างลูบอ่อนโยนบนแผ่นหลังอีกฝ่าย
พักหนึ่งจนเข้าใจว่าคงหลับไปแล้ว จึงอดไม่ได้จะพึมพำถึงเรื่องที่ตัวเองเตรียมใจมาบอกตั้งแต่ก่อนจะเดินเข้าบ้านเมื่อเย็น
“เดือนหน้าฉันจะเปลี่ยนที่ทำงานแล้วนะ” เอ่ยได้แค่นั้นก็หยุดเพื่อถอนหายใจก่อนหนึ่งเฮือก “..ตำแหน่งก็เหมือนจะสูงขึ้นอยู่หรอก..แต่ว่า...”
เล่าได้ไม่เท่าไร กลับรู้สึกกระอักกระอ่วนใจจนไปต่อไม่ถูก
ใคร่ครวญดูให้ดีแล้ว ถูกส่งไปประจำที่บริษัทขนาดเล็กกว่าเก่าในเครือ เทียบกับที่ทำงานปัจจุบันนี้ต่างกันอย่างไม่อาจเทียบ อย่างไรก็เหมือนถูกลดขั้นชัด ๆ
เขารีบดึงตัวเองกลับจากความคลางแคลง ลองมองในแง่ดี ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ก็คงต้องพยายามกันต่อไป หากความสามารถถึงจริงอย่างที่ตัวเองมั่นใจ อยู่ที่ไหนก็คงจะก้าวหน้าได้ ในฐานะหัวหน้าครอบครัว เป็นทั้งพ่อและคนรัก ให้มามัวท้อแท้ก็ใช่เรื่อง
“..เอาเถอะ ยังไงจะไม่ให้เธอกับเจ้าภูมิต้องลำบากแน่ ๆ”
“ผมไม่สนเรื่องนั้นหรอก”
เสียงตอบแผ่ว ๆ กลับทำเขาสะดุ้ง ถึงกับต้องก้มลงส่องใบหน้าคนในอ้อมแขนที่ซุกอยู่กับอกเขา
“นี่ตื่นอยู่หรอกเรอะ”
“ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกัน”
ดูพูดเข้า ภูเมศอดยิ้มอ่อนอกอ่อนใจออกมาไม่ได้ ยกมือยีผมอีกฝ่ายเบา ๆ แล้วซุกจมูกลงกลางกลุ่มผมยุ่ง ๆ
“ไม่อยากให้เธอรู้สึกว่าคิดผิดที่เลือกอยู่กับฉันน่ะ”
“ไม่หรอกครับ” ธัญญ์โคลงศีรษะน้อย ๆ ยกแขนขึ้นโอบแผ่นหลังเขาไว้บ้างอย่างกับจะปลอบ “ไม่ผิดแน่นอน”
“มั่นใจขนาดนั้นเชียว?” เขาถามกลับทีเล่นทีจริง
“ผมมั่นใจเรื่องเลือกคนเสมอแหละ”
ชายหนุ่มหลุดหัวเราะออกมาเฮือกหนึ่ง จะถ่อมตัวสักนิดนี่ไม่มีเลย แต่ได้ฟังอย่างนั้นก็อุ่นใจไปอีกโข
“..นี่...ธัญญ์..”
“ครับ?”
เขาโน้มตัวไปจูบหน้าผากอีกฝ่ายครั้งหนึ่ง ก่อนจะเอื้อมมือดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมร่างพวกเขาไว้ ขยับตัวให้อยู่ในท่าที่สบายกันทั้งคู่ กระซิบเสียงทุ้มต่ำข้างหูคนข้างกาย
“ขอบใจนะ”
ธัญญ์ไม่ถามว่าเขาขอบอกขอบใจเรื่องอะไร เพียงแต่กระเถิบตัวเข้ามาใกล้อีกนิด วางท่อนแขนพาดบนเอวเขาแล้วกอดไว้อย่างนั้น เสียงเสียดสีเบา ๆ ของผิวเนื้อกับผืนผ้าปูที่นอนและผ้าห่มลอยเข้าหูอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนทุกสรรพสำเนียงจะเงียบหายไปในความมืด
ที่รู้สึกว่าลำบากลำบนแทบแย่ในการจะเอ่ยปากบอกเรื่องหน้าที่การงานออกไปกับคนในครอบครัว เมื่อผ่านช่วงว้าวุ้นใจไปได้หนึ่งคืน กลับรู้สึกว่าพูดออกไปได้ง่ายกว่าคาด
หลังมื้ออาหารพร้อมหน้าพร้อมตาในเช้าวันเสาร์ ภูเมศก็เอ่ยออกมาเรียบ ๆ เรื่องความเป็นไปของตนในบริษัท เรื่องงานที่ช่วงนี้ผิดพลาดอย่างน่าแปลกใจ โคลงศีรษะกับตัวเองไปด้วยพลางบ่นว่าต้องมีสติให้มากกว่านี้หน่อยแล้ว
ระหว่างนั้นพร้อมภูมิกลับยิ้มร่า ร้องขึ้นว่าคุณพ่ออย่าเครียดมากจนเกินไปเป็นระยะ ส่งเสียงเชียร์ทีก็ลอบสบตากับพี่เลี้ยงข้างกายที
ส่วนธัญญ์นั้น ทำท่าทางไม่ทุกข์ร้อนอย่างเคย ไร้ร่องรอยความรู้สึกตำหนิทั้งในสีหน้าและแววตา แล้วยังอุตส่าห์พยักหน้าเห็นด้วยกับลูกชายเป็นระยะ ทั้งที่ตัวเองนั่นแหละมีแอบกระซิบบอกบทอยู่บางช่วง ทำเขาทั้งขำทั้งเอ็นดูกับความพยายามในการให้กำลังใจจากอีกสองชีวิตร่วมชายคา
“เพราะงั้น เดือนหน้าก็จะเริ่มทำงานที่ใหม่แล้วละ”
เขาสรุปในตอนท้าย ระบายลมหายใจยาวเหยียด จะว่าผ่อนคลายลงหลังจากได้เล่าไปจนหมดเปลือกก็คงพอได้อยู่หรอก
“ยินดีกับตำแหน่งที่สูงขึ้นด้วยนะครับ” ธัญญ์เอ่ยเรียบ ๆ แววตาจริงใจไม่ต่างจากน้ำเสียง
ภูเมศยังกระอักกระอ่วนอยู่นิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ผุดรอยยิ้มแบ่งรับแบ่งสู้ออกมา
“จะว่างั้นก็อาจได้ละมั้ง ถึงบริษัทจะเล็กลงก็เถอะ..”
“หลังจากนี้อาจใหญ่โตขึ้นก็ได้นี่นา”
“..ก็นะ”
“ทรัพยากรบุคคลก็มีผลนะครับ ต่อให้ตอนนี้ยังเป็นแค่บริษัทเล็ก แต่ถ้าคนในองค์กรมีคุณภาพ ยังไงต้องเติบโตได้อีกไกลแน่”
ชายหนุ่มมองหน้าอีกฝ่ายตาปริบ ๆ รู้สึกวันนี้พูดจาเป็นงานเป็นการอย่างไรพิกล
“มีคนเก่งอย่างคุณเพิ่มเข้าไปอีก อนาคตต้องก้าวหน้าแน่ครับ”
ภูเมศพ่นลมออกปากพรืด “มั่นใจอะไรขนาดนี้เนี่ย พูดอย่างกับเคยไปเห็นฉันตอนอยู่ที่ทำงานแน่ะ”
ธัญญ์ทำท่าไม่รู้ไม่ชี้พลางยักไหล่ แกว่งช้อนคนกาแฟในถ้วยตรงหน้าเบา ๆ
“อืม...เคยหรือไม่เคยดีนะ”
“หือ?”
คู่สนทนายกถ้วยกาแฟขึ้นจรดริมฝีปากอย่างใจเย็น
“นี่เคยไปเห็นจริงเรอะ?”
แทนคำตอบ กลับได้รับสายตามีเลศนัยกลับมาเสียนี่
“นี่อย่าบอกนะ...”
อยากถามให้รู้ชัดกว่านี้สักหน่อย แต่เมื่อใคร่ครวญดูแล้ว ถามไปคงไม่พ้นมีแต่แต่ถ้อยคำชวนให้ยิ่งสงสัยหนักกว่าเก่า ลองนึกดูให้ดี หากคนคนนี้เคยทำเป็นเก็บกระเป๋าสตางค์ของเขาได้ทั้งที่ดูเหมือนจะวางแผนล้วงมาก่อนแล้ว เรื่องอาจทำเนียนดูอยู่ระหว่างเขาออกไปทำงานนอกสถานที่ก็อาจไม่เกินความคาดหมายเท่าไร
แทนที่จะรู้สึกรำคาญใจ กลับเผลอยิ้มออกมาจนลูกชายร้องทัก
“เฮ คุณพ่อยิ้มแฉ่ง” พร้อมภูมิว่า จากนั้นหันไปทางพี่เลี้ยงคนโปรด “พี่ธัญญ์แพ้ผมแล้ว!”
จากที่ยิ้มแฉ่งดังลูกชายทัก กลับเปลี่ยนเป็นอ้าปากหวอ
“ก็นะ” ธัญญ์เอ่ยเสียเนือย ทำเมินหน้าเหวอ ๆ ของเขาไปเฉย ส่วนเขาเดาเรื่องได้ตอนนั้นเอง
“นี่เอาพ่อมาเป็นหัวข้อพนันกันอีกแล้วเรอะ!?”
“เดาขำ ๆ เองครับ” ลูกชายแก้ตัวหน้าซื่อ ก่อนหันไปยักคิ้วหลิ่วตากับธัญญ์ สองคนนี้เผลอเป็นไม่ได้ สรรหาสารพัดเรื่อง—โดยเฉพาะเรื่องเขา—มาเดาแข่งกันตลอด ต่อให้ดูแล้วฝั่งคนโตกว่าจะแอบยอมให้อย่างลับ ๆ อยู่เสมอก็เถอะ คราวนี้คงไม่วายทายกันว่าเขาจะฉีกยิ้มบื้อ ๆ ออกมาตอนใดตอนหนึ่งหรือเปล่า
“จริงเลย พวกตัวแสบ” เขาส่ายหน้า หัวเราะน้อย ๆ “เห็นเป็นเรื่องสนุกไปซะได้”
“แต่คุณพ่อเองก็สนุกนี่นา” พร้อมภูมิทำแก้มอูม ขยับเข้ามานั่งกระแซะ “เห็นพ่อยิ้มได้ผมก็สบายใจ”
“พูดจาแก่แดดจริง”
ปากบอกลูกชาย แต่สายตาตวัดไปยังคนที่คาดว่าต้องเป็นผู้สอนให้ช่างจำนรรจาแบบนี้แน่นอน
“ก็พี่ธัญญ์บอกให้รีบโตไว ๆ”
คนถูกพาดพิงยักไหล่ ทำหน้าเหมือนเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ “ผมไม่ชอบเด็กนี่นา”
ภูเมศผงกศีรษะทำนองว่าเอาที่สบายใจแล้วกัน แต่ธัญญ์ก็ยังอุตส่าห์พึมพำต่อ
“ต้องมีอายุหน่อย...สามสิบกว่ากำลังดีเลย”
จากนั้นเจ้าตัวก็ก้มหน้าก้มตา แทบซุกครึ่งปากครึ่งจมูกลงไปในถ้วยกาแฟ ไม่ยอมเงยขึ้นมาอีกนาน เหลือใบหูแดง ๆ ที่เห็นชัดไว้ให้คนมองนั่งเขินตามไปด้วยอย่างไรพิกล
ช่วงเวลาที่เหลือของเดือนนั้น ภูเมศพยายามทำงานในส่วนของตัวเองอย่างเต็มความสามารถ ต่อให้ในที่ทำงานใหม่จะไปได้ดีหรือล้มเหลว อย่างน้อยก็ขอเป็นที่จดจำของผู้ร่วมงานเก่าว่าเป็นคนมีมีฝีมือ น่าเสียดายที่ย้ายไปประจำบริษัทอื่นในเครือ มากกว่าจะถูกสาปส่งไล่หลังว่าเป็นขี้แพ้ที่ทำงานพลาดกระทั่งในไม่กี่สัปดาห์สุดท้าย
ความพยายามไม่เสียเปล่านัก ในงานเลี้ยงส่งเขา ท่ามกลางถ้อยคำอวยพรให้ไปได้ดีกับตำแหน่งใหม่ที่อื่น ยังมีเสียงบ่นเสียดายแทรกมาไม่ได้ขาด เท่านั้นไม่พอ ถึงกับมีเสียงลือกันไปต่าง ๆ นานาว่าเขาไปขัดแข้งขัดขาคนเบื้องบนเข้าแล้วหรือเปล่า บางคนหยอกทีเล่นทีจริง แต่บางส่วนที่ไปสืบมาจากไหนก็ไม่ทราบได้ จริงเท็จไม่รู้ แต่เล่าไปเรื่อยว่าคำสั่งย้ายนี้มีที่มาจากคนระดับสูงในองค์กร ถึงกับทำให้มีคนต้องลากแขนเขาออกไปกระซิบกระซาบถามนอกวงสนทนายกใหญ่
ภูเมศได้แต่หัวเราะ บอกหลายคนด้วยประโยคเดิม ๆ ว่า “ไม่รู้สิ แต่ก็คิดว่าไม่ได้ไปมีเรื่องกับใครนะ”
แรก ๆ ก็ตลกดี แต่เมื่อโดนถามหลายครั้งเข้า ชายหนุ่มถึงกับต้องมานั่งนึก ว่าพักหลังมานี้ ไปทำตัวขัดหูขัดตาใครบ้างหรือเปล่า
คนใหญ่คนโตในองค์กรอย่างนั้นหรือ นอกจากบรรดาคณะกรรมการบริหารของบริษัทที่เจอหน้าค่าตากันบางครั้งในเวลางาน ความสัมพันธ์ราบรื่นดี ก็ไม่เห็นได้พบกับผู้คนในระดับที่เหนือขึ้นไปกว่านั้น เขาใช้ชีวิตเป็นปกติตลอดมาทั้งในและนอกเวลาทำงาน ต่อให้ไปเที่ยวบ้างก็ไม่เคยมีเรื่องกับใครที่ไหน แล้วจะไปก่อความไม่พอใจให้ใครได้ เหตุผลที่พอคิดออก คงมีแต่ช่วงนี้เขาทำงานพลาดบ่อยเองเท่านั้น
ความสงสัยของเขา รวมทั้งของผู้ร่วมงานที่กำลังจะกลายเป็นอดีต ยังคงไม่ได้รับคำตอบ แต่สุดท้ายแล้ว ทุกคนก็คงจะค่อย ๆ ลืมเลือนกันไปเอง ยิ่งไม่ใช่เรื่องของตน ผู้คนเดี๋ยวนี้ยิ่งลืมง่ายจะตาย ภูเมศเข้าใจข้อนี้ดี ถึงจะไม่รู้ต้นสายหลายเหตุ และรู้ไปก็อาจไม่เกิดประโยชน์อะไร อย่างนั้นก็อย่าไปขุดคุ้ยแล้วทำวันนี้ให้ดีคงเข้าท่ากว่า
เดือนใหม่เริ่มขึ้น เวลาผ่านไปเร็วกว่าที่คาด
เขาเริ่มทำงานที่ใหม่มาได้เกือบสัปดาห์ และพบว่าตัวเองเมื่อสองสามสัปดาห์ก่อนอาจแค่ตีตนไปก่อนไข้
อันที่จริงแล้ว สภาพแวดล้อมของบริษัทนี้นับว่าไม่เลวนักหรอก แม้ระยะทางจากบ้านจะไกลกว่าเก่า แต่กลับพบว่าเวลาในการเดินทางแทบไม่ต่าง คงเพราะไม่ต้องเผชิญกับการจราจรคับคั่งในชั่วโมงเร่งด่วนเช่นเคยตอนอยู่ที่เดิม เมื่อตัดปัญหาเรื่องนั้นไปอย่าง ก็ปลอดโปร่งใจยามเริ่มงานทุกเช้าได้ระดับหนึ่ง
เพื่อนร่วมงานให้การต้อนรับเป็นอย่างดี ถึงกับจะมีงานเลี้ยงรับกึ่งกันเองกึ่งทางการในสัปดาห์หน้า จัดขึ้นที่ร้านอาหารไม่ไกลจากที่ตั้งของบริษัทนัก
อีกอย่างหนึ่งที่ทำให้นึกทึ่ง คือตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของบริษัทนี้ เป็นของคนหนุ่มอายุน้อยกว่าที่เขาคาดไว้เสียอีก
ภาคีเป็นชายหนุ่มผิวคล้ำ รูปร่างสูงใหญ่ผ่าเผย ตอนพบกันครั้งแรกในที่ประชุม ฝ่ายนั้นนั่งตรงตำแหน่งหัวโต๊ะ แสดงวิสัยทัศน์อันจบข้อสงสัยว่าเหตุใดจึงได้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารตั้งแต่ยังหนุ่ม แม้จะเป็นบริษัทที่ไม่ได้ใหญ่โตมากนัก แต่อาจจริงอย่างธัญญ์เคยว่า ของอย่างนี้ยังพัฒนาได้อีก ขึ้นอยู่กับคุณภาพของคนในองค์กรเป็นสำคัญ
เห็นอย่างนี้ก็ค่อยใจชื้นขึ้นมาบ้าง
ครั้นกลับถึงบ้าน หลังทำงานไปได้สักระยะ ธัญญ์ที่ปกติแสนจะนิ่ง ไม่หือไม่อือกับเรื่องงานของเขามาแต่ไหนแต่ไร ยังอุตส่าห์เลียบเคียงถามไถ่ความเป็นไป
เมื่อเขาบอกสบายดี ไม่มีปัญหา เจ้าตัวก็คลี่ยิ้มอย่างกับเด็กน้อยออกมา นับว่าหาดูได้ยาก แต่เห็นสักครั้งก็หัวใจพองโตไปอีกนาน
“เป็นห่วงหรือ?” เขาถามกระเซ้า
ธัญญ์มองเขาอย่างพิจารณาอึดใจหนึ่ง จากนั้นแสดงความเห็นนอกเรื่อง
“คุณทำสายตากรุ้มกริ่มเวลาพูดอะไรแบบนี้เป็นแล้ว”
“หา?”
“น่าประทับใจจัง”
เป็นการเบี่ยงประเด็นอย่างแนบเนียน แล้วยังมาทำคนอื่นเขาเขินได้อีก
“ไม่เห็นต้องอ้อมค้อมเลย” เขาบ่นอุบทีเล่นทีจริง เอื้อมมือไปดึงแก้มฝ่ายนั้นเบา ๆ พลางนึกถึงแป้งขนมโมจิสีขาวนุ่มนิ่ม “พูดตรง ๆ ว่าเป็นห่วงฉันก็จบแล้ว”
“ผมเป็นห่วงคุณ”
ภูเมศสำลักค่อกแค่ก บทจะพูดก็พูดออกมาง่าย ๆ อะไรอย่างนี้
“คิดมากไปแล้ว” เขาทำท่าทางป็นผู้ใหญ่ กลืนน้ำลายตัวเองที่เพิ่งบอกให้อีกฝ่ายสารภาพมาว่าห่วง “ไม่มีอะไรต้องกังวลสักขนาดนั้นสักหน่อย”
“ผมรู้”
ธัญญ์ตอบเสียงแผ่ว พร้อมกับที่เขาได้ยินเสียงสั่นเบา ๆ คล้ายมาจากโทรศัพท์มือถือ
“หืม? มือถือ” เขาล้วงกระเป๋า จึงเพิ่งคิดได้ว่าตอนนี้ไม่ได้พกติดตัว แต่วางไว้บนชั้น ดังนั้นเสียงสั่นที่ได้ยินย่อมไม่ใช่จากโทรศัพท์มือถือเขาแน่นอน น่าจะเป็นของธัญญ์มากกว่า แต่อีกฝ่ายที่ยืนใกล้ ๆ ก็ยังนิ่งเหมือนไม่รู้ตัว
“ของเธอหรือเปล่า?” เขาทัก
โดนถามอย่างนั้น ธัญญ์จึงล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง แล้วเสียงหวือเบา ๆ นั่นก็เงียบหายไป
“ไม่รับหรือ?”
“ทางนั้นวางไปก่อนแล้วครับ” อีกฝ่ายแจงเสียงเรียบ “ประกันกับบัตรเครดิตโทรมาโฆษณาบ่อย”
ภูเมศพยักหน้ารับรู้ นึกแปลกใจอยู่บ้างที่หมู่นี้ธัญญ์ดูจะใช้โทรศัพท์มือถือบ่อยกว่าปกติ แต่ก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรต่อ
มีต่อรีพลายถัดไปค่ะ
v
v
v
v
v