┤ ราคา ◇ ค่า ◇ รัก ├
งวดที่ 23
“ทำลายเธอ?” ธเนศทำท่าทางอ่อนใจ “ใส่ร้ายกันจริง ๆ ทั้งที่ฉันเป็นห่วงเธอมาตลอด”
“ผมดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องให้ใครห่วง”
คนฟังพยักหน้า เอนกายยืนพิงผนัง มือข้างหนึ่งล้วงกระเป๋า ถอนหายใจออกมายาวเหยียด “เรื่องที่เธอโตแล้วก็รู้อยู่หรอก แต่เป็นเสียอย่างนี้จะไม่ให้ฉันกังวลได้ยังไง”
ธัญญ์จ้องหน้าอีกฝ่ายเขม็ง ค่อย ๆ พูดออกมาช้า ๆ ทีละคำอย่างอดทน “ผมเป็นแบบไหน เกี่ยวอะไรกับคุณด้วย”
ผู้มาเยือนหัวเราะแผ่ว สีหน้าประหนึ่งกำลังคุยกับเด็กหัวดื้อสักคน
“ก็นิสัยที่พอโมโหขึ้นมาแล้วใจร้อนจนไม่ระวังนี่ไง รู้ไหมที่ใคร ๆ เขาว่าเธอสุขุม ไม่แสดงอารมณ์ นั่นไม่จริงเลย ถ้ามาเห็นว่าตอนอยู่กับฉันทำตัวดื้อแบบไหน เกรี้ยวกราดยังไง พวกเขาต้องถอนคำพูดแน่ แล้วไหนจะเรื่องที่ชอบเล่นกับความรู้สึกคนอื่นอีก”
เขาเม้มปาก ข้อแรกอาจมีส่วนจริงอยู่บ้าง อย่างที่เขากำลังหัวร้อนจนต้องพยายามสงบสติอารมณ์อยู่ตอนนี้ แต่ข้อสองนั้นไม่ใช่แน่นอน
“ผมไม่ได้เล่นกับความรู้สึกใคร”
“หืม?” สุ้มเสียงคล้ายสงสัยเต็มแก่ช่างน่าหงุดหงิด “แล้วเรื่องโยกย้ายนั่นล่ะ กล้าพูดหรือว่าใม่ใช่ฝีมือเธอ?”
“ต้องรอให้คุณลงมือก่อนหรือไง”
“เธอมองโลกในแง่ร้ายเกินไปแล้ว คนแก่ไร้ทางสู้อย่างฉันจะไปทำอะไรเขาได้ล่ะ”
คราวนี้กลับหัวเราะเหมือนเป็นเรื่องขบขัน ดูพูดเยอะกว่าทุกทีจนผิดสังเกต
“มีแค่เธอเองไม่ใช่หรือไงที่ทำให้เขาถูกส่งไปที่อื่น ตัดโอกาสก้าวหน้า ใจดำจริง ๆ ทั้งที่เขายังมีลูกชายต้องดูแลแท้ ๆ กลับไปเพิ่มภาระให้อีก”
“...ไม่ใช่ภาระ” ธัญญ์เสียงอ่อนลง ถูกจี้จุดเข้าแล้ว ด้วยรู้สึกอยู่ลึก ๆ เช่นกัน ว่าตัวเองอาจนำความเดือดร้อนมาสู่คนบ้านนี้ในสักวันหนึ่ง “..ไม่ใช่..” เขาย้ำกับตัวเอง
“ตลกแล้ว ถ้างั้นทำไมยังอยู่กินเงินเดือนเขา อาศัยอยู่บ้านเขา แล้วยังก่อเรื่องให้ต้องถูกย้ายงานอีกล่ะ?”
ธเนศเหยียดรอยยิ้ม ขยับเดินเข้ามาใกล้ พึมพำอย่างเห็นอกเห็นใจ
“ปิดบังไว้อย่างนี้จะดีหรือ เธอคิดว่าจะปิดเขาได้อีกนานเท่าไรกัน เท่าที่ฉันเห็น คุณภูเมศคนนั้นก็ไม่ได้ดูโง่อะไรนะ เขายังไม่รู้ตัวอีกหรือว่าถูกเธอหลอกอยู่ จะน่าสงสารเกินไปแล้ว นี่คงยังไม่รู้ด้วยใช่ไหม ว่าเจ้าภาคี เจ้านายใหม่ตัวเองก็เป็นพี่ชายของเธอ รวมหัวกันหลอกลวง”
“เรื่องนั้นไม่เกี่ยวกับคุณ!” ธัญญ์ตัดบท เชิดคางขึ้น มองฝ่ายนั้นด้วยสายตาชิงชัง “ผมรู้ดีว่ากำลังทำอะไรอยู่”
แต่คนฟังกลับไม่สะทกสะท้าน พูดต่อเป็นหนังคนละม้วน
“รู้สิ เธอทำเพราะสนุก เขากับลูกต้องเดือดร้อน แค่เพราะเธออยากเรียกร้องความสนใจจากฉัน สุดท้ายแล้วเราก็ตัดกันไม่ขาด..จริงไหม”
พวกเขาเงียบกันไปครู่ใหญ่ ฝ่ายนั้นกลับไปยืนอยู่ในท่วงท่าสบาย ๆ รอเขาระเบิดอารมณ์ คงคาดไว้ว่าขึ้นกับเวลาเท่านั้น
เขาใกล้หมดความอดทนเต็มที ทว่ายังไม่ทันได้อ้าปากเอ่ยอะไรต่อ กลับได้ยินเสียงคุ้นเคยร้องทักขึ้นจากด้านหลัง
“ธัญญ์?”
จบหนึ่งพยางค์นั้น หัวใจเขาหล่นวูบลงไปกองอยู่บนพื้น
เขาเบิกตากว้าง กลั้นใจเหลียวหลังไปมอง พบว่าเสียงนำมาก่อนตัว สิ้นคำแล้วค่อยเห็นหน้าคนพูดว่าเป็นชายในบทสนทนาระหว่างพวกเขาจริง ๆ
ชั่วขณะหนึ่งอันแสนสั้น ความตื่นตระหนกกลับพลุ่งพล่านจนเข่าแทบทรุด เหงื่อซึมชุ่มแผ่นหลัง ปลายมือเท้าเย็นเฉียบ ตัวเขายามโมโหแล้วขาดความระมัดระวังจริงดังธเนศว่า จึงได้ไม่ทันสังเกตสักนิดว่ามีคนโผล่มาอยู่ด้านหลังไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร โดยเฉพาะคนที่ไม่อยากให้เข้ามาได้ยินที่สุด
“คุณ...ภู...” เขาทัก พยายามคงน้ำเสียงราบเรียบเป็นปกติ ข่มใจไม่ให้แสดงอาการกระโตกกระตาก “กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ”
ก่อนอื่นที่อยากรู้ คือภูเมศเข้ามาได้ยินตั้งแต่ตอนไหน
“เมื่อกี้นี้เอง” อีกฝ่ายยิ้มกว้าง ยกหลังมือขึ้นเช็ดเหงื่อบนขมับ “ข้างนอกอากาศอบอ้าวน่าดู เย็นนี้ฝนอาจจะตก”
ธัญญ์พยักหน้า คำตอบกว้าง ๆ นั้นไม่ช่วยเท่าไรนัก สมองใคร่ครวญนึกหาวิธีถามอย่างไรไม่ให้น่าสงสัย ทว่าอีกฝ่ายชิงพูดขึ้นก่อน
“สวัสดีครับคุณธเนศ” ชายหนุ่มทักทายน้ำเสียงเป็นกันเอง “เด็ก ๆ รออยู่ห้องโน้นแน่ะครับ”
“สองพี่น้องเล่นกันสนุกเลยสินะครับ”
ภูเมศพยักหน้า มองไปยังทิศทางห้องรับแขก “นั่นละครับ วุ่นเป็นลูกลิงเลย” จากนั้นหันกลับมาหาทั้งสองคนอีกครั้ง “ว่าแต่มาคุยอะไรกันตรงนี้ มาถึงก็เห็นยืนเงียบกันแล้ว เข้าไปนั่งห้องโน้นดีกว่า จะได้ไม่เมื่อย”
ธัญญ์ใคร่ครวญประโยคนั้นในหัว ค่อยลอบถอนหายใจออกมาสุดปอด
ภูเมศไม่ได้ยินอะไร...เขารู้สึกราวกับใช้โชคดีทั้งชีวิตหมดไปในคราวเดียว
“พี่ธัญญญ์” เสียงเรียกยาวเหยียดลอยมาจากห้องรับแขก เจ้าของบ้านตัวน้อยเรียกหาพี่เลี้ยงเสียงแจ๋ว คงเพราะเห็นหายไปนานไม่ยอมออกมาสักที เว้นช่วงครู่หนึ่ง เห็นเขายังไม่ยอมตอบก็เรียกซ้ำอย่างคึกคัก “พี่ธัญญญ์ มาเร้ว จะกินขนมหมดแล้วนะ”
“ครับ ๆ” เขาขานรับอย่างเสียมิได้ เหลือบมองหน้าชายอีกสองคนที่เหลือ ใจหนึ่งก็ไม่อยากให้ทั้งสองอยู่กันตามลำพัง จึงได้ออกปากชวนเหมือนทำไปตามมารยาท
“เข้าไปด้านในพร้อมกันเลยไหมครับ เห็นว่าคุณแม่น้องเพลงซื้อของฝากมาให้ คงตั้งใจเอามาฝากคุณโดยเฉพาะ”
“เห็นแล้วละ” ภูเมศยิ้มรับ “แต่เสื้อฉันชื้นเหงื่อหมดแล้ว ขอเปลี่ยนเสื้อเสร็จแล้วจะตามไป”
“เดี๋ยวฉันขอเข้าห้องน้ำก่อน” ธเนศเอ่ยขึ้นบ้าง “แล้วจะตามไปอีกคนนะ”
“พี่ธัญญ์ค้าบบบ คิดถึงแล้วน้าาา”
พร้อมภูมิร้องเรียกอีกครั้ง ให้เขายื้ออยู่ต่อก็ดูมีพิรุธอย่างไรชอบกล สุดท้ายจึงตัดใจเดินกลับไปตามเสียงเรียก ไม่วายลอบสังเกตเท่าที่พอทำได้ ก่อนตัวเองจะเดินพ้นมุมจนลับสายตาไป
ครั้นธัญญ์คล้อยหลังไปได้อึดใจ คนหนึ่งที่บอกจะเปลี่ยนเสื้อกลับยืนนิ่งอยู่จุดเดิม ส่วนอีกคนที่บอกจะเข้าห้องน้ำ ก็ยังคงไม่ขยับไปไหนเช่นกัน
ภูเมศมองหน้าอีกฝ่ายอย่างลำบากใจอยู่ครู่หนึ่ง บอกตัวเองว่าที่รอจนธัญญ์ออกไปก่อนแล้วเช่นนี้ ไม่ใช่แค่เพื่อมายืนอ้ำอึ้ง
“..เขา...ขี้หงุดหงิดอย่างนี้เสมอหรือครับ” ชายหนุ่มพึมพำเสียงแผ่ว จนบอกลำบากว่าแค่เปรยกับตัวเอง หรือนั่นเป็นคำถามต่ออีกคนที่อยู่ข้างกัน
“เห็นมายืนฟังอยู่ตั้งนานแล้วนี่ครับ” ธเนศยักไหล่ “เนียนใช้ได้ เห็นทีผมอาจต้องมองคุณใหม่ เมื่อครู่น่าจะได้ยินด้วยว่าที่จริงแล้วเขาเป็นอย่างนี้เสมอ หรือคุณอาจฟังไม่ทัน”
เขาเม้มปาก รู้สึกสับสนจับต้นชนปลายไม่ถูก ผู้ชายชื่อธเนศคนนี้ ไม่ใช่ว่าเป็นคนที่กำลังคบหากับอดีตภรรยาเขาอยู่หรอกหรือ? ก่อนหน้านี้เคยมาที่บ้าน เจ้าตัวยังพูดจาประหนึ่งไม่เคยรู้จักธัญญ์มาก่อน ครั้งนี้เขาเพิ่งมาบังเอิญได้ยินทั้งสองคนคุยกันแค่ช่วงหลัง แต่คำพูดคำจาเหล่านั้น ใครมาได้ยินเข้า คงเดาได้ไม่ยาก ว่านี่ไม่ใช่บทสนทนาของคนที่เพิ่งรู้จักกันแน่นอน
“รู้จักกันมานานแล้วหรือครับ”
อีกฝ่ายทำเป็นนับนิ้ว แล้วก็ถอดใจ ตอบอย่างขอไปที “เกือบทั้งชีวิตเขานั่นละ ถึงเกรงคุณจะเข้าใจผิดว่าผมพูดเกินเลยไป แต่มันก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ”
“ตอนนั้นทำเหมือนไม่รู้จักกันนี่ครับ”
“อ้อ..ตอนมาบ้านคุณครั้งก่อนน่ะหรือครับ” ธเนศยิ้ม ค้อมศีรษะลงน้อย ๆ อย่างสำรวม “ต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ดูเหมือนธัญญ์เขา...”
อีกฝ่ายลดเสียงลง ทำท่ามีลับลมคมใน เหลือบมองไปด้านหลังเขาคล้ายต้องการดูให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครโผล่มาระหว่างพูดประโยคถัดจากนี้ “...เขาไม่อยากให้คุณรู้เรื่องระหว่างพวกเราเท่าไร”
“เรื่องระหว่างพวกคุณ?” ภูเมศทวนคำ ใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว แต่ความรู้สึกปวดหนึบในอกก็ดึงเขากลับมาอยู่กับสถานการณ์ตรงหน้า “เรื่องอะไรครับ?”
อีกฝ่ายยิ้มกว้าง พลางเสมองไปทางอื่น
“เรื่องความสัมพันธ์ แล้วก็อะไรอีกหลาย ๆ อย่าง”
เสียงนุ่มนวล ทว่าถ้อยคำแสนกำกวม มีแต่จะยิ่งสร้างความร้อนรนให้คนฟัง
ภูเมศลังเลอยู่สักครู่ แต่แล้วก็ทนเก็บความสงสัยไม่ไหวจนต้องกัดฟันถามทั้งที่นึกหวาดกลัว ใจคิดไปไกลแล้ว แต่ไม่อยากให้เป็นดังตัวเองคาดสักนิด
“...คุณเป็นอะไรกับธัญญ์ พอบอกได้ไหม”
“คนรักของเขาละมั้ง”
ไร้ความลังเลในน้ำเสียง วูบหนึ่งนั้น ภูเมศนึกโกรธขึ้นมาจนหูอื้อ
“ผมต่างหากที่เป็นคนรักของเขา”
“อืม” อีกฝ่ายหันมาจ้องตา “งั้นผมก็คงเป็นคนรักของเขาที่มาก่อนคุณ”
“คุณ..!”
“คิดว่าเขานอนกับคุณแค่คนเดียวงั้นสิ?”
ภูเมศเบิกตากว้าง ขณะที่ธเนศยังรักษาจังหวะของตัวเอง รอยยิ้มไม่เลือนลงสักนิด พูดต่อน้ำเสียงเรียบเรื่อยอย่างใจเย็น
“เรื่องนี้เขาก็ไม่ได้บอกสินะ พอเข้าใจได้อยู่หรอก แต่คุณแยกแมวกับเสือไม่ออกจริง ๆ หรือ?”
“หมายความว่ายังไง”
“จะว่าไป ทั้งสองก็มีส่วนคล้าย พวกมันล่าเหยื่อ เพียงแต่แมวอาจฝึกให้เชื่องได้ง่าย ส่วนเสือต้องอาศัยความเชี่ยวชาญในการฝึก หากพลั้งเผลอเมื่อไร มันจะทำร้ายคุณได้มากกว่า”
ชายหนุ่มขมวดคิ้ว
“คุณดูเขาให้ดีสิ” ธเนศว่า พยักพเยิดไปยังทิศทางที่ธัญญ์เพิ่งเดินจากไป “ธัญญ์ไม่ใช่แมวบ้านหรอก”
“ผมไม่ได้สนว่าเขาเป็นแมวหรือเสือ” ภูเมศข่มใจ “ผมสนแค่เขาเป็นคนที่ผมรัก”
สีหน้าอ่อนใจถูกส่งกลับมา “รู้ไหม แบบนี้คุณยิ่งน่าสงสาร
“ผมไม่เข้าใจที่คุณพูด”
“ตั้งแต่เล็กจนโต เขามีของเล่นมากมาย มีวิธีสนุกกับพวกมันในรูปแบบที่ไม่เหมือนใคร แย่ตรงเขาอยู่กับของเล่นแต่ละชิ้นได้แค่ไม่นานหรอก”
ธเนศยิ่งพูดก็ยิ่งนึกสนุก รู้สึกตัวเองคิดถูกแล้วที่ตามเพียงขวัญมาด้วยวันนี้
“คุณเข้าใจไหม เขาดูเหมือนคนยากจนหรือ หน้าตา ผิวพรรณ ความคิดความอ่าน บุคลิก ไม่เลยสักนิด ฐานะเขา ไม่ทำงานทั้งชาติก็อยู่ได้ ไม่ต้องใช้วิธีทำตัวเป็นคนไร้งานไร้บ้านก็เข้าหาคุณได้ แล้วทำไมต้องลำบากลำบนทำอย่างนั้นกันล่ะ ถ้าไม่ใช่เพราะมันสนุก แต่คุณก็เหมือนกับของเล่นชิ้นอื่น ๆ ต่อให้เล่นสนุกแค่ไหน สักวันเขาย่อมเบื่อ แล้วก็เขี่ยมันทิ้งอย่างที่เคยเป็นมาตลอด ซึ่งผมว่าเวลานั้นคงใกล้มาถึงแล้วเสียด้วย คุณน่าจะเตรียมใจไว้บ้าง”
“คุณไม่ควรพูดให้ร้ายเขาอย่างนั้น”
“นี่คือข้อเท็จจริง แต่ที่คุณเข้าใจว่าผมกำลังให้ร้าย เพราะคุณไม่รู้จักเขาเลยไง”
“ผมรู้จักเขาดี!”
“เท่าที่เขาอยากให้คุณรู้จัก” ธเนศช่วยต่อให้ น้ำเสียงคล้ายกำลังเวทนาเหลือแสน “ซึ่งมันน้อยนิดเหลือเกิน...ใช่ไหมล่ะ”
ถึงจุดนี้...ภูเมศกลับนึกไม่ออกว่าจะสรรหาคำใดมาแก้ต่าง
เขารู้จักอีกฝ่ายเพียงน้อยนิดดังว่าจริง ๆ
“เรื่องเดียวที่เขาพูดจริง คงเป็นที่ชอบบอกว่าตัวเองเป็นเด็กไม่ดีละมั้ง ไม่รู้เขาเคยพูดคำนี้กับคุณหรือเปล่า น่าจะเคยได้ยินใช่ไหม เขาพูดคำนี้กับทุกคน และคงเป็นสิ่งเดียวที่จริงแท้ เพราะเขาเป็นเด็กไม่ดีจริง ๆ นั่นละ ตอนขึ้นเตียงด้วยกันคุณไม่รู้สึกหรือ—”
พลั่ก!
“หุบปาก!”
ภูเมศยืนหอบหายใจ ชาที่ข้อนิ้ว ก่อนจะตามมาด้วยความปวดหนึบ หลังจากเลือดขึ้นหน้า กระแทกกำปั้นลุ่น ๆ ลงไปบนแก้มอีกฝ่ายเข้าเต็มหมัด ส่งให้ร่างนั้นเซลงไปนั่งกองกับพื้น
“...ไม่ว่า...พวกคุณ....จะเป็นอะไรกัน...” เขาโมโหจนแทบพูดไม่เป็นคำ ต้องอดทนอย่างถึงที่สุดไม่ให้พุ่งเข้าไปซ้ำอีกหมัด “แต่คุณ..จะพูดจาไม่ให้เกียรติเขาอย่างนี้ไม่ได้!”
ทว่าอีกฝ่ายกลับยังใจเย็นเหลือเชื่อ ยกมือเช็ดเลือดที่ไหลซึมจากมุมปาก ลุกขึ้นยืนอย่างไม่เร่งร้อน จากนั้นหยิบโทรศัพท์มือถือตัวเองออกมาจากกระเป๋ากางเกง ถอดบางส่วนออกเพื่อเอาเมมโมรี่การ์ดอันเล็ก ๆ ออกมาคีบไว้ด้วยสองนิ้ว
ทั้งที่ตัวเองเป็นคนถูกต่อย แต่กลับมองมายังเขาด้วยสายตาสังเวช...สายตาที่กดผู้อื่นให้ต่ำต้อยด้อยค่า
“เชื่อไหม ตอนแรกผมไม่ได้ตั้งใจมาที่นี่วันนี้ด้วยซ้ำ” ธเนศเกริ่นกลั้วหัวเราะก่อนจะเล่าต่อ “มันเป็นความบังเอิญตั้งแต่คุณขวัญไปบ้านผมโดยไม่ได้นัดไว้ แล้วบอกว่าจะมาเยี่ยมคุณเป็นบ้านหลังต่อไป ผมคิดว่าจะมาเยี่ยมเยียนเขาสักหน่อย แล้วก็บังเอิญอีกที่คุณไม่อยู่...”
“อย่าอ้อมค้อมนักเลย”
แต่ฝ่ายนั้นไม่สนใจถ้อยคำเขา ยังคงพูดต่อด้วยจังหวะของตัวเอง
“บังเอิญที่ผมได้คุยกับธัญญ์ตามลำพัง—ไม่สิ อันนี้อาจไม่เรียกบังเอิญ—ผมแค่ไหลไปตามน้ำ สุดท้ายนึกอย่างไรขึ้นมาไม่รู้ แอบบันทึกเสียงเอาไว้ตลอดการคุยกันตรงนี้ คุณบอกคุณมาไม่ทันได้ยินตอนแรกใช่หรือเปล่า”
เมมโมรี่การ์ดเล็ก ๆ ถูกโบกไปมาตรงหน้า
“ในความบังเอิญเหล่านี้ บางทีอาจป็นชะตาฟ้าลิขิตนะ ว่าไหม”
ภูเมศโคลงศีรษะอย่างเหลืออดเหลือทน พอเข้าใจท่าทางหงุดหงิดของธัญญ์ขึ้นมาบ้าง คุยกับคนคนนี้ จะข่มใจให้สงบเป็นเรื่องยากเย็นเต็มที
“ช่วยรับสิ่งนี้ไปหน่อยแล้วกัน ถือว่าเป็นน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ จากผม เพราะเกรงว่าคุณจะฟังไม่ทัน หรือไม่ก็อยากฟังซ้ำให้ชัด ๆ ใช้เวลาทบทวนเกี่ยวกับคนที่คุณเชื่อมั่นไปเองว่าเขารักคุณสุดหัวใจนั่น”
“ไม่ใช่เรื่องคิดไปเอง” เขาเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
“จริงหรือ?” ธเนศเลิกคิ้ว “ไว้คุณฟังจบ ค่อยตอบคำถามนั้นอีกทีดีกว่า”
เขายืนนิ่งงัน ราวกับขาทั้งสองข้างกลายเป็นหิน ตั้งแต่ปลายนิ้วเท้าขึ้นมาถึงต้นขา
“ตอบตัวเองก็พอนะ ไม่ต้องมาบอกผม เพราะผมรู้คำตอบนั่นนานแล้ว”
อีกไม่ช้านาน อาจลามขึ้นมาถึงหัวใจ
เมมโมรี่การ์ดถูกจับยัดใส่มือ ก่อนธเนศจะจงใจเดินเฉียดให้ไหล่ตนกระแทกไหล่เขาเบา ๆ แล้วก้าวขาไปทางห้องรับแขก ไม่วายเอ่ยทิ้งท้ายไว้อย่างเจ็บแสบ
“แต่ถ้าทำใจฟังไม่ได้จริง ๆ ก็ถือว่าผมฝากทิ้งแล้วกัน”
“คุณธเนศ! หน้าไปโดนอะไรมาคะ!?”
นั่นเป็นคำแรกที่เพียงขวัญร้องทัก พลางยกมือขึ้นทาบอกด้วยความตกใจ เมื่อเห็นรอยแดงเป็นจ้ำบนแก้มสารถีจำเป็นของเธอวันนี้ ทั้งยังรอยแตกบนริมฝีปากที่เริ่มมีสะเก็ดแข็งเกาะปากแผล
ระหว่างที่ภูเมศซึ่งเดินตามมากำลังนึกหาคำตอบ ไม่รู้จะอธิบายอย่างไร เจ้าของแผลก็ชิงพูดขึ้นก่อน
“ลื่นล้มในห้องน้ำน่ะครับ หน้าฟาดเข้ากับขอบอ่างล้างหน้าพอดี น่าขายหน้าจริง ๆ”
เพียงขวัญส่ายหน้า ทั้งกังวลทั้งอ่อนใจ รุดเข้าไปดูแผลใกล้ ๆ ถามน้ำเสียงวิตก “ไม่ได้สลบไปใช่ไหมคะ หัวแตกรึเปล่านี่”
เด็ก ๆ อีกสองคน รวมพี่เลี้ยงอีกหนึ่ง เดินตามเข้าไปชะเง้อ ห่างออกมานิดหน่อย
“โดนแค่ตรงนี้ครับ หัวไม่เป็นไร” ธเนศหัวเราะ “ต้องระวังหน่อย เกิดหัวฟาดสมองเสื่อมไป เป็นภาระลูกหลานแย่”
“พูดอะไรเสียน่าสงสารอย่างนั้น” เพียงขวัญเห็นเขายังหัวเราะได้ก็ค่อยเบาใจ พอหัวเราะออกบ้าง แซวเล่นไปเรื่อยเปื่อย “ลูกหลานคุณคงไม่รังเกียจรังงอนคุณพ่อตัวเองหรอกมั้งคะ”
“อืม” เขาทำท่าครุ่นคิด ลอบส่งรอยยิ้มมุมปากให้ธัญญ์ที่ยืนอยู่นอกวง “ผมก็สงสัย อยากลองถามเขาอยู่เหมือนกัน”
ธัญญ์มองด้วยสีหน้าเรียบเฉย ปิดปากเงียบสนิท นัยว่าตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดกับบทสนทนา เมื่อแน่ใจว่าไม่มีใครมองอยู่ ค่อยลอบมองภูเมศที่พูดคุยไปเรื่อยเสมือนหนึ่งไม่รู้เรื่องรู้ราวเช่นกัน
ไม่ใช่แผลจากการล้มกระแทกอ่างล้างหน้าแน่นอน เขามั่นใจ
แต่ถ้าอย่างนั้นแล้ว ร่องรอยบาดเจ็บบนใบหน้าธเนศมาจากไหน..
สายตาตวัดไปยังมือทั้งสองของภูเมศโดยพลัน พบว่าข้างซ้ายเป็นปกติ แต่มือข้างขวาซุกอยู่ในกระเป๋ากางเกง
เขาหยิบถาดใส่น้ำและขนมที่วางอยู่ตรงขอบโต๊ะฝั่งที่เด็ก ๆ กำลังเล่นกันอยู่ ทำทีเป็นว่ายกถาดหลบให้พวกเขาเล่นได้สะดวก หันไปไหว้วานภูเมศซึ่งนั่งอยู่อีกฝั่งให้ช่วยรับไปวางตรงจุดอื่น
ถาดกว้างจนต้องใช้สองมือช่วยรับ เมื่อถูกยื่นมาตรงหน้า จึงต้องเอามือขวาออกจากกระเป๋ากางเกงมาช่วยประคอง
ที่มือขวานั้น มีรอยแตกบนข้อนิ้วสองสามแห่ง บางตำแหน่งยังมีเลือดซิบ ๆ
ภูเมศเห็นทิศทางของสายตาเขาเข้า รีบชักทั้งมือและถาดออก หันไปวางมันไว้ทางอื่น จากนั้นเลี่ยงสายตาเขาโดยตลอด กระทั่งตอนบอกลาแขกทั้งสามที่ทยอยเดินออกจากบ้านไป
ฝนหลงฤดูเทลงมาจริงอย่างภูเมศคาดคะเนจากสภาพอากาศอบอ้าวเมื่อบ่าย
ธัญญ์เองที่ปกติไม่ใช่พวกพูดมากตลอดเวลาอยู่แล้ว เวลานี้ยิ่งคล้ายปากหนักขึ้นไปอีก
ภูเมศนึกขอบคุณความช่างจ้อของลูกชาย ทั้งยังมีเรื่องของฝากจากญี่ปุ่นที่คุณแม่และน้องสาวเพิ่งนำมาให้หยิบยกขึ้นเป็นประเด็น บรรยากาศจึงไม่อึมครึมจนเกินไปนัก ตลอดเวลาที่กินมื้อเย็นกัน เห็นจะมีก็แต่พร้อมภูมิที่เจื้อยแจ้วไปได้เรื่อย ๆ คราวนี้เขาจึงไม่ได้ปรามเท่าไรว่าอย่าพูดขณะกินอาหาร ดีกว่าปล่อยให้วังเวงจนน่าอึดอัด
เสร็จจากมื้อนั้น ธัญญ์ก้มหน้าเก็บถ้วยเก็บจาน แล้วค่อยจัดแจงเปลี่ยนน้ำดื่มเจ้าถุงทอง เทอาหารแมวใส่ถ้วยพลางร้องเรียกมันเข้ามาหลบฝนในบ้าน พร้อมภูมิเห็นแมวส้มกระโดดเหย็งเข้ามาเลียแต่งขนก็นึกสนุกมานั่งเล่นด้วยอีกคน หัวเราะเอิ๊กอ๊ากเหมือนเป็นคืนวันปกติอันแสนสงบอีกวันหนึ่ง
คืนวันที่เขาปรารถนาสุดหัวใจ ให้มันดำเนินต่อไปไร้ที่สิ้นสุด
คืนนั้น หลังพร้อมภูมิเข้านอนแล้ว ภูเมศหย่อนตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้าคอมพิวเตอร์ ครุ่นคิดถึงเรื่องที่ได้ยินมาวันนี้
ทว่ายิ่งนึกถึงกลับยิ่งวุ่นวายใจ แม้ดูเหมือนได้รู้เรื่องเกี่ยวกับธัญญ์มากขึ้น กลับยิ่งตอกย้ำว่าแท้จริงแล้วเขาไม่รู้อะไรเลย ยืนหูหนวกตาบอดอยู่ในความดำมืดพลางควานมือออกไปเปะปะ สัมผัสถูกอะไรเข้าก็ทำได้แค่คาดเดาไปต่าง ๆ นานา แต่ผิดถูกมากน้อยเพียงใดนั้นไม่เคยได้คำตอบ
กระทั่งดึกดื่น ยังไม่สามารถตัดใจเดินเข้าห้องนอนไปล้มตัวลงบนเตียง
เมมโมรี่การ์ดที่ได้มาจากธเนศ ถูกจับพลิกไปมาในมืออยู่เป็นนาน
วันนี้เขาเดินเข้าไปได้ยินตอนท้าย ช่วงที่มีชื่อภาคีหลุดออกมา แต่ก่อนหน้านั้น ไม่รู้พูดคุยเรื่องอะไรกันบ้าง ที่ชัดเจนคือยังจำถ้อยคำของธเนศที่พูดกับเขาได้ดี กระทั่งคำพูดทิ้งท้ายนั่น
หากทำใจฟังไม่ได้ ก็ถือว่าฝากทิ้ง..
ชายหนุ่มกัดฟันจนกรามขึ้นเป็นสัน บอกตัวเองว่าไม่ใช่เพราะเขาทำใจไม่ได้จึงไม่อยากฟัง แต่เพราะไม่ว่าเสียงที่บันทึกไว้จะเป็นอย่างไร เขาก็ยังรักธัญญ์อยู่ดีต่างหาก ดังนั้นจะฟังหรือไม่ฟังย่อมไม่มีความต่าง
เมื่อคิดอย่างนั้นแล้ว จึงโยนเมมโมรี่การ์ดที่ได้มาลงถังขยะข้างโต๊ะ
มีต่อรีพลายถัดไปค่ะ
v
v
v
v