┤ ราคา ◇ ค่า ◇ รัก ├
งวดที่ 25
กลับมาเย็นวันนั้น บ้านมืดสนิทและเงียบเชียบจนใจหาย
ภูเมศก้าวเข้าไปยืนอยู่กลางความมืด รอกระทั่งสายตาคุ้นชิน จึงค่อยเหลียวมองไปรอบตัว
ใจหนึ่งก็คิดว่าหากเรื่องเมื่อไม่กี่วันก่อนจนถึงเมื่อเช้านี้เป็นแค่ความฝัน ตอนนี้เจ้าเด็กหน้านิ่งคงถือโอกาสช่วงลูกชายเขาไปทัศนศึกษา เผลอนอนหลับอุตุอยู่กับเจ้าแมวส้มถุงทองที่แอบอุ้มเข้าบ้านระหว่างเขาไม่อยู่ หากเงี่ยหูฟังดี ๆ อาจได้ยินเสียงกรนครืดคราดของเจ้าแมว คลอไปกับเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของคนหลับก็เป็นได้
ครั้นหรี่ตาเพ่งมองฝ่าความมืด พบว่าบนโซฟามีเงาตะคุ่ม คล้ายคนกำลังนอนตัวขดคุดคู้
เขาจ้องมองจุดนั้นเนิ่นนานราวถูกสะกด ภาพที่เห็นในความมืดเช่นนี้ไม่คมชัดเท่าใต้แสงไฟ แต่ใจรู้ดีว่านั่นเป็นแค่เงาของหมอนอิงที่วางกองรวมกันเท่านั้น
ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ซบหน้าลงบนฝ่ามือ
นั่นมันแค่หมอนอิง รู้ทั้งรู้ว่าไม่ใช่คนในความคิด แต่เขาก็ยังไม่ขยับไปไหน
ยังไม่อยากเปิดไฟตอนนี้
หากอยู่ในความมืด ยังอาจพอหลอกตัวเองได้อีกสักพัก ว่าที่ตรงนั้นมีใครคนหนึ่งนอนขดตัวรออยู่ เมื่อเข้าไปใกล้จะเห็นว่าแผ่นอกเคลื่อนขึ้นลงช้า ๆ ตามลมหายใจ หากเข้าใกล้อีกหน่อยจะต้องถูกขนแมวที่ติดตัวคนคนนั้นทำพิษจนจามออกมา เสียงจามคงปลุกให้เจ้าตัวสะลึมสะลือขึ้นมาทำหน้างัวเงียใส่เขา หากนอนอิ่มแล้วจนอารมณ์ดีพอ อาจโชคดีได้เห็นลักยิ้มน้อย ๆ เป็นรอยบุ๋มบนแก้มซ้าย
จากนั้นเจ้าตัวอาจจะเอ่ยทักด้วยถ้อยคำแสนเรียบง่ายอย่าง ‘กลับมาแล้วหรือครับ เหนื่อยหรือเปล่า’ หรือไม่ก็ ‘ย่องเงียบอย่างนั้น จะขโมยจูบหรือครับ’ ให้ต้องรีบแก้ตัวเป็นพัลวัน แล้วค่อยร่ายให้ฟังว่าคืนนี้เตรียมเมนูอะไรไว้รอเขากลับมากินข้าวที่บ้านบ้าง ทั้งหมดล้วนเป็นของชอบของเขาทั้งสิ้น แต่ที่ชอบที่สุดทว่ายังไม่เคยได้บอกสักครั้ง คือความรู้สึกว่าเมื่อกลับบ้านครั้งใด จะมีคนที่รักคอยเฝ้ารออยู่เสมอต่างหาก
ทว่าทั้งบ้านเงียบสงัด
จะไม่ส่งเสียงทักออกมาจริง ๆ หรือ
เงียบจนทรมาน เงียบสนิทอยู่เช่นนั้น
กระทั่งเขาได้ยินเสียงตัวเองสะอื้นออกมาแผ่วเบา
แสงแรกของวันรุ่งขึ้นมาเยี่ยมเยือนโดยที่ภูเมศไม่สามารถข่มตานอนหลับสนิทได้เลยทั้งคืน
บ้านไม่เคยอ้างว้างเท่านี้มาก่อน ห้องนอนไม่เคยเงียบเหงาเช่นนี้มาก่อน เตียงนอนเหมือนกว้างใหญ่ขึ้นกว่าเดิม จนไม่สามารถหลับตาลงได้โดยไม่รู้สึกว่ามีบางสิ่งซึ่งสำคัญยิ่งจากเขาไปพร้อมกับคนที่เคยนอนอิงแอบข้างกาย
ตลอดค่ำคืนยาวนาน เขาเฝ้าถามตัวเอง ทำไมพวกเขาจึงไม่พบกันแบบธรรมดาสามัญ อย่างเช่นในวันที่อากาศดีสักวัน อาจจะได้เจอกันเพราะเขาทำกระเป๋าสตางค์หล่นแล้วอีกฝ่ายบังเอิญเก็บได้จริง ๆ ให้เขามีโอกาสได้เลี้ยงข้าวขอบคุณธัญญ์สักมื้อ ค่อย ๆ เรียนรู้กันจากตรงนั้น เมื่อสนิทสนมอีกหน่อยก็เริ่มไปมาหาสู่ระหว่างครอบครัวของทั้งสองฝ่าย ช่วยกันสานต่อความสัมพันธ์อย่างเรียบง่าย หากจะมีปัญหาบ้าง ก็ค่อย ๆ ช่วยกันแก้ไขไปทีละอย่าง
เขาเหมือนยังไม่ตื่นจากฝัน ละเมอทั้งที่ยังไม่ทันได้หลับตา
กระทั่งใกล้จะสายแล้วเต็มที จึงได้ฝืนลุกขึ้นยืน เดินไปสบตากับตัวเองในกระจก คนในนั้นมองกลับมาด้วยเบ้าตาลึกโหลและช้ำแดง ทั้งยังผมเผ้าเป็นกระเซิง ริ้วรอยเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นบนหางตาหลังอดหลับอดนอนโดยไม่ได้กินข้าวปลาอาหารตั้งแต่เมื่อวานจนตอนนี้
เขายกมือขึ้นลูบใบหน้าตน อดคิดไม่ได้ว่าคนอย่างตัวเองมีอะไรให้เป็นที่น่าสนใจสำหรับคนหนุ่มผู้มีทุกอย่างพร้อมหมดแล้วอย่างธัญญ์ จึงได้มาเสียเวลาคลุกคลีด้วยตั้งเกือบปี
ไม่หรอก มันไม่มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษแต่แรกอยู่แล้ว
บางทีสำหรับธัญญ์ อีกฝ่ายอาจไม่จำเป็นต้องเป็นเขาก็ได้
ชายหนุ่มหักใจ ตบหน้าตัวเองเบา ๆ เรียกสติ ท่องไว้ว่าชีวิตยังต้องเดินต่อ ทั้งยังควรเป็นก้าวเดินที่ต้องระมัดระวังยิ่งกว่าเก่า ไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความสิ้นหวังยาวนานกว่านี้ได้อีก อย่างช้าที่สุดก็ควรทำตัวเป็นปกติได้ก่อนลูกชายกลับบ้านในวันมะรืน
เขารีบจัดการธุระส่วนตัว เลือกอาบน้ำเย็นหวังให้หัวโล่งขึ้นบ้าง หลังแต่งตัวเสร็จแล้วยังพอเหลือเวลาสำหรับอาหารเช้าง่าย ๆ สักมื้อ ครั้งสุดท้ายที่มีอาหารตกถึงท้องคล้ายว่าเนิ่นนานเป็นวันได้แล้ว
ก้าวแรกที่เดินเข้าไปในห้องครัว พบว่ารอบตัวสะอาดสะอ้าน ข้าวของเครื่องใช้ถูกจัดวางเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่เหมือนบ้านที่มีแต่ผู้ชายอาศัยสักนิด ตั้งแต่เช้าวานที่เขาออกปากไล่ธัญญ์ด้วยตัวเอง ก่อนจากไปดูเหมือนฝ่ายนั้นยังมีแก่ใจเก็บกวาดข้าวของทุกอย่างให้อยู่ในที่ทางของมันเป็นครั้งสุดท้าย
เมื่อเปิดตู้เย็น พบกล่องต่าง ๆ วางเรียงไว้เต็มพื้นที่ หยิบดูทีละกล่อง พบว่าเป็นอาหารซึ่งปรุงแล้วบรรจุไว้อย่างเรียบร้อย แค่นำไปอุ่นก็คงกินได้เลย กวาดตามองแต่ละอย่าง พบว่าล้วนเป็นของโปรดไม่ของเขาเองก็ของพร้อมภูมิทั้งสิ้น
ไม่ต้องเดาว่าเป็นฝีมือใคร ขนาดตัวเองโดนไล่อย่างสิ้นเยื่อใยขนาดนั้น ยังมีแก่ใจทำอาหารเก็บไว้ให้เขา
ได้รับการยืนยันว่าเป็นฝีมือธัญญ์แน่นอน ก็เมื่อเห็นกระดาษโพสต์อิทที่แปะไว้กับกล่องริมสุด มีลายมือเจ้าตัวบนกระดาษ
‘ถึงจะงานยุ่ง แต่อย่าลืมกินข้าวนะครับ คุณชอบข้ามมื้ออาหารเวลากลับบ้านค่ำกว่าปกติ ของในตู้เย็นน่าจะอยู่ได้สบาย ๆ อีกสองสามวันแบบไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม’ถ้อยคำเรียบง่ายอย่างกับแค่ลาไปธุระสักวันสองวันแล้วก็กลับ
ภูเมศวางกล่องอาหารลงช้า ๆ ดึงกระดาษโพสต์อิทบนนั้นออกมาด้วยมือสั่นเทา อ่านข้อความสั้น ๆ ของธัญญ์ซ้ำไปซ้ำมา
ทั้งที่มีแต่ของชอบอย่างนั้น ทว่าเมื่อเห็นเข้า ความอยากอาหารกลับยิ่งลดลงจนแห้งเหือด ราวกับมีอะไรบางอย่างถูกสูบออกไปจากในอกจนเหลือเพียงที่ว่างกลวงโบ๋
ชายหนุ่มเม้มปาก กะพริบตาถี่ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นบรรจงพับกระดาษแผ่นนั้นเบามือ เก็บมันใส่กระเป๋าเสื้ออย่างทะนุถนอม
เสียงกุกกักดังขึ้นจากอีกฝั่งของประตูซึ่งเชื่อมกับชานหลังบ้าน เขาหยุดเงี่ยหูฟังอยู่อึดใจ ก็ได้ยินเสียงร้องเหมียวลอยเข้ามา
ถุงทอง?
ยังอยู่หรอกหรือ
เพราะคราวก่อนที่ธัญญ์จากไป เคยเอาเจ้าแมวจรซึ่งกลายมาเป็นสัตว์เลี้ยงตัวนี้จากไปด้วย ครั้งนี้เมื่อได้ยินเสียงแมวเข้า แวบหนึ่งจึงเผลอคิดไปถึงบรรยากาศตอนคนเลี้ยงยังอยู่ที่นี่ ถ้าอยู่ที่นี่ก็คงดี
ไม่เคยชอบแมวเลย แต่ก็รีบถลาไปกระชากประตูเปิดออก
เจ้าแมวส้มสะดุ้งโหยง กระโจนหนีไปยืนทิ้งห่างอีกฝั่งด้วยความตกใจ เมื่อเห็นว่าเป็นเขาที่เปิดประตูออกมา ค่อยคลายความระแวดระวัง แม้เป็นเจ้านายที่ไม่ได้เข้ามาสุงสิงด้วยนัก ก็ยังย่างเท้าเข้ามาใกล้ พลางร้องเหมียวเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ
“หิวงั้นหรือ”
ถุงทองร้องตอบ เดินเอาตัวถูไถพลางตวัดหางเกี่ยวขาเขาไปมา ออดอ้อนไม่หยุด
“หิวสินะ” เขาเออออกับแมวเสียงอ่อนใจ นึกสังเวชความคิดตัวเองเมื่อครู่
เจ้าของจริง ๆ ของเจ้าแมวตัวนี้จากไปแล้ว เป็นคนไล่ไปด้วยตัวเอง จะมาคาดหวังอะไรผิดที่ผิดทางว่าจะยังอยู่ให้ต้องถูกไล่ซ้ำอีกหน
เสียงแมวยังคอยก่อกวน จนต้องวกกลับเข้าบ้านไปหาอาหารเม็ดมาเทให้ เมื่อก้มลงมองชั้นวางของชั้นล่างสุด ก็พบว่ามีกระดาษโพสต์อิทสีเดิมแปะอยู่บนโถใส่อาหารแมว บนนั้นมีลายมือคุ้นตาแบบเดียวกัน
‘สักครึ่งถ้วยก็พอนะครับ ให้มากไปเดี๋ยวกินเหลือ จะมีมดขึ้น ครั้งนี้ผมคงเอามันไปด้วยไม่ได้ อีกอย่างถ้าพาไปทั้งอย่างนี้ พร้อมภูมิมารู้เข้าทีหลังต้องงอแงแน่ ถุงทองเลี้ยงไม่ยาก ฝากคุณช่วยดูแลมันห่าง ๆ ด้วย’ภูเมศจ้องมองตัวอักษรเหล่านั้น นึกออกกระทั่งสุ้มเสียงคนพูด ว่าหากถ้อยคำบนกระดาษออกมาจากปากผู้เขียนมันขึ้นมา น้ำเสียงจะเป็นแบบไหน กล่าวด้วยสีหน้าและแววตาเช่นไร
เพราะจำได้ชัดเจนราวกับปรากฏอยู่ต่อหน้าถึงเพียงนี้ ความรวดร้าวจึงยิ่งแจ่มชัดตามไปด้วย
เขาย่อตัวลง แบ่งอาหารแมวประมาณครึ่งถ้วยตามคำบอก จากนั้นทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ ถุงทองที่ก้มหน้าก้มตากินอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่สุดท้ายก็เหลือไว้นิดหน่อยติดก้นชามอาหารแมวอย่างธัญญ์ว่า ก่อนจะย้ายมานั่งเลียขนแต่งตัวอยู่ใกล้ ๆ
ภูเมศยกมือขึ้นปิดครึ่งปากครึ่งจมูก นั่งมองเจ้าแมวแต่งตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาว ขณะที่ตัวเขาเองกลับรู้สึกร้อนผ่าวตรงขอบตา ทั้งยังคัดจมูกจนหายใจไม่สะดวก อาการเหมือนตอนแพ้ขนแมว แต่แท้จริงรู้อยู่แก่ใจว่าเป็นเพราะเหตุผลอื่น
เขายกมืออีกข้างไปวางไว้บนหัวเจ้าแมว ลูบแผ่วเบาแล้วค่อยขยับนิ้วมาเกาคางให้
ถุงทองส่งเสียงกรนครืดคราดในลำคออย่างสุขใจ ทิ้งตัวลงนอนกลิ้งบนพื้น เอาหัวดันสู้มือเขาอย่างคุ้นมือ คงเพราะธัญญ์เองก็ชอบมานั่งเล่นด้วยตรงนี้บ่อย ๆ ตามที่เคยตกลงกันไว้ว่าเขาไม่ให้เอาแมวเข้าบ้าน—อย่างน้อยก็เวลาที่เขาอยู่
“ที่หายไปแล้วเจ้าภูมิจะงอแงน่ะ...มันเธอต่างหากไม่ใช่หรือไง” เขาพึมพำเพียงลำพัง เสียงแหบแห้งจนผิดหู
สับสนจนไม่รู้จะทำอย่างไรดี
เขาอยากให้ธัญญ์อยู่ด้วยกัน แต่หากอยู่โดยไม่รู้อะไรเลยก็จะต้องเจ็บปวดอีกครั้งแล้วครั้งเล่าไม่รู้จบ
หลายครั้งหลายหนที่เคยเห็นรอยยิ้มเศร้าสร้อยบนใบหน้าอีกฝ่าย ยิ้มทั้งที่ทำสายตาเหมือนอยากร้องไห้ เขาเคยนึกอยากปัดเป่าแบ่งเบาเรื่องที่คงหนักหนาจนทำให้คนคนหนึ่งมีสีหน้าแบบนั้นทั้งที่อายุยังน้อย อยากให้ธัญญ์มีความสุข
แต่ตอนนี้เจ้าตัวจะมีความสุขอยู่หรือเปล่า?
ถุงทองส่งเสียงร้องเหมียวอีกครั้ง ดึงเขาจากภวังค์ เมื่อก้มลงมอง ก็พบว่าเจ้าแมวยืนขึ้นเหยียดตัวบิดขี้เกียจ ก่อนจะเดินนวยนาดไปยังโต๊ะสูงอีกฝั่ง ลับเล็บกับขาโต๊ะครู่หนึ่ง ก็กระโจนแผล็วขึ้นไปด้านบนโดยเหยียบตรงขอบถังขยะบนพื้นอีกต่อ
ถังขยะขนาดเล็กทั้งยังน้ำหนักเบา ใช้สำหรับใส่ขยะแห้ง เมื่อถูกแมวยันเข้าก็ล้มลงมากลิ้งอยู่กับพื้น ส่วนเจ้าแมวต้นเหตุขึ้นไปยืนบนโต๊ะสูง มองลงมาด้วยท่าทางไม่รู้ไม่ชี้
ขยะในนั้นส่วนหนึ่งหกออกมากองอยู่ข้างนอก มีทั้งเศษพลาสติก ห่อขนม และเศษกระดาษกองหนึ่ง
ภูเมศลุกขึ้นเดินไปจับถังขยะพลิกขึ้นตั้งอีกหน ตั้งใจจะเก็บกวาดขยะแห้งที่กระเด็นออกมากลับลงถัง ทว่าเมื่อหยิบชิ้นแรกเตรียมจะโยนคืนลงไป กลับพบว่าเศษกระดาษในมือของตัวเอง มีตัวหนังสือที่เป็นลายมือเดียวกับบนโพสต์อิทซึ่งเพิ่งถูกพับเก็บเรียบร้อยไว้ในกระเป๋าเสื้อเขาเอง
ชายหนุ่มรีบคลี่มันออกดู จึงได้รู้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของเศษกระดาษยับย่นซึ่งถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ก้มลงมองในถัง เห็นกระดาษชิ้นเล็กชิ้นน้อยแบบเดียวกันปะปนอยู่กับเศษขยะ ไม่สังเกตให้ดีคงไม่เห็น ได้เทลงถุงผูกปากทิ้งรวมกับขยะอื่นไปทั้งอย่างนั้น
ภูเมศยืนนิ่งงัน เพ่งมองตัวหนังสือบนกระดาษ ข้อความเพียงส่วนหนึ่งนั้นอ่านไม่ได้เนื้อหานัก รู้แค่เป็นลายมือธัญญ์อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ทำไมจึงฉีกทิ้งแทนที่จะวางไว้ตรงไหนสักแห่งเหมือนกระดาษโพสต์อิทในตู้เย็นหรือโถอาหารแมว
หากไม่อยากให้เขาเห็น ก็ควรทำลายด้วยวิธีอื่น อย่างเช่นเผาทิ้ง หรือไม่ก็นำติดตัวไปด้วยเสียเลย
การฉีกมันเป็นชิ้น ๆ ไม่ถึงกับเล็กจนเอามาต่อกันใหม่ไม่ได้ แล้วทิ้งรวมไว้กับขยะในบ้านอย่างนี้ เหมือนคนทำก็ยังลังเลว่าจะทิ้งหรือไม่ทิ้ง อยากให้เขาอ่านหรือไม่อยากให้อ่านมากกว่ากัน
เขาเองก็เถอะ บอกไม่ถูกว่าอยากอ่านหรือไม่อยากอ่าน บางทีอาจเป็นข้อความที่ไม่ได้สลักสำคัญนัก ถึงรู้ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร ต่อให้อ่านทั้งหมดแล้วคงปราศจากความหมายใด นอกจากทำให้ยิ่งคิดถึงมากกว่าเก่า
แต่อาจเพราะเป็นลายมือของคนที่รักสุดหัวใจ สุดท้ายแล้วก็ทนไม่ไหว ตัดสินใจเทขยะทั้งหมดออกมากองกับพื้น ค่อย ๆ แยกเศษกระดาษแบบเดียวกันออกมาจากขยะอื่น จากนั้นเริ่มต้นเรียงมันขึ้นมาใหม่ทีละชิ้น
ใช้เวลาไปนานโข กว่าจะมองเห็นว่ามันเป็นกระดาษเกือบเต็มแผ่นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีลายมือคุ้นตาเขียนข้อความยาวเหยียดจนเหมือนจดหมายที่ไม่ระบุผู้รับ
กระดาษยับยู่ยี่ทั้งแผ่น แต่กลับมีรอยเป็นเส้นตรงคล้ายถูกพับแล้วกรีดให้เรียบ ก่อนคนเขียนจะเปลี่ยนใจฉีกมันเป็นชิ้น ๆ แล้วขยำทิ้งในภายหลัง ทั้งยังมีจุดที่พองออกเป็นรอยด่างดวง หมึกบางส่วนบนรอยด่างนั้นแตกเป็นเส้นเล็ก ๆ ดูรู้ว่าเป็นรอยหมึกต้องหยดน้ำ
เมื่อสายตากวาดมองไปยังข้อความแรก ก็เผลอกลั้นหายใจอยู่นาน
คุณจำความหมายของไฮเดรนเยียที่ผมเคยบอกได้หรือเปล่า?
เย็นชา ไร้หัวใจ มีคนพูดเหมือนกันว่าเป็นดอกไม้ที่เหมาะกับผม เขาโคลงศีรษะกับความว่างเปล่า หยุดอ่านเพียงแค่นั้นก่อนเพื่อหลับตาสักครู่หนึ่ง ไล่ความร้อนผ่าวของหยดน้ำที่เคลือบอยู่ในนั้น ใจนึกไปถึงช่อไฮเดรนเยียของตัวเองที่ธัญญ์เคยกระทืบมันด้วยความเกรี้ยวกราดทั้งที่ร้องไห้ไปด้วย แต่ไม่เคยบอกสาเหตุของน้ำตาในคราวนั้น ไม่รู้ว่าเพราะดอกไม้นั่นไปทำให้รู้สึกถึงความเชื่อมโยงอะไรกับเรื่องที่ไม่อยากเอ่ยถึงหรือเปล่า
ผมไม่เคยใส่ใจ ให้ค่ามันแค่เป็นคำเยาะเย้ยเสียดสีที่ไม่ส่งผลอะไรกับตัวเอง และคงจริงอย่างว่า เพราะผมไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น ไม่เลยสักนิด แต่เมื่อคิดถึงว่าคุณเองก็อาจเห็นผมเป็นเช่นเดียวกับคนที่เคยพูดแบบนั้น กลับเจ็บปวดขึ้นมาจนเหมือนจะทนไม่ไหว
และเพราะอย่างนั้น ตอนนี้ถึงได้เชื่อว่าผมอาจยังพอมีหัวจิตหัวใจหลงเหลืออยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นคงไม่รู้สึกเจ็บอีกแล้ว
เขายกมือขึ้นเช็ดจมูก อึดอัดจนเหมือนจะหายใจไม่ออก พักใหญ่จนเจ้าแมวถุงทองขดตัวหลับไปแล้วบนโต๊ะ จึงทำใจแข็งอ่านต่อได้
ผมไม่ค่อยถนัดเรื่องพูด หากให้เลือกวิธีสื่อสารเรื่องยาก ๆ คิดว่าเขียนอาจจะดีกว่า
คิดอยู่เสมอ ว่าความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์เป็นสิ่งน่ากลัว ดังนั้นผมจึงพยายามมาตลอดจะไม่เอาตัวเองไปผูกพันกับใครอีก
ทั้งที่ไม่ควรลืมจุดยืนแรกของตัวเอง
แต่เพราะคุณใจดีด้วย สุดท้ายจึงเผลอ หลงลืมความตั้งใจแรกว่าแค่อยากอยู่ใกล้ ๆ โดยไม่ทำให้เดือดร้อน กว่าจะรู้ตัวว่าเรียกร้องมากเกินไป ก็กลายเป็นทำร้ายคุณเข้าแล้ว
พบเจอ พลัดพราก คงเป็นเรื่องธรรมดา แต่ช่วงเวลาระหว่างนั้น ผมทำมันพังครั้งแล้วครั้งเล่าจนไม่อยากเริ่มต้นกับใครอีก ซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย ขณะที่สาปแช่งทุกสิ่งในโลก เกลียดทุกอย่างกระทั่งตัวเอง
ตอนเด็ก ๆ ผมเคยมีคนที่แอบชอบอยู่มาก ๆ เหมือนกัน (แต่ตอนนี้ไม่แล้ว หวังว่าคุณจะไม่โกรธเรื่องนี้ ถ้าหากว่ายังพอเหลือความรู้สึกดี ๆ ต่อผมบ้าง) แต่ไม่เคยมีโอกาสได้บอกคนคนนั้นสักครั้ง
ครั้งนี้ต่างออกไปนิดหน่อย เริ่มต้นด้วยพบเจอ ลงท้ายด้วยการจากลาเหมือนกัน แต่ระหว่างทั้งสองจุดนั้น ผมมาคิดว่ามีอะไรอีกที่ยังไม่ได้ทำ มีอะไรที่อยากบอกคุณแล้วยังไม่ได้บอก
เมื่อใคร่ครวญดู แม้มีหลายอย่างที่ผมปิดบังอยู่ แต่เรื่องสำคัญที่อยากพูดจริง ๆ ต่อหน้า ก็ได้พูดไปแล้ว
ขอโทษด้วยที่ไม่ได้นึกถึงจิตใจคุณให้มากกว่านี้
ผมอยากพูดคุยกับคุณอีกเยอะ ๆ แต่ผมไม่ค่อยถนัดสนทนากับใครยาว ๆ
อยากอยู่กับคุณอีกนาน ๆ แต่ยิ่งอยู่นานก็จะยิ่งทำคุณเดือดร้อน
เมื่อมีความรัก คนเรามักจะทำเรื่องโง่ ๆ
ตัวผมซึ่งเข้าใจเรื่องนั้นดี ในเวลานี้กลับทำเรื่องโง่ที่สุดลงไป บางทีคงเป็นเพราะรักที่สุด
ไม่คาดหวังว่าคุณจะให้อภัย แต่ก็ยังอยากขอโทษสำหรับทุกเรื่องโง่ ๆ ที่ผมทำ
รักคุณ
ต่อให้คุณจะคิดว่าทั้งหมดล้วนหลอกลวง แต่มีแค่เรื่องนี้ที่ไม่ว่าอย่างไรก็อยากให้เชื่อ ยืนยันด้วยชีวิต ด้วยจิตใจ ด้วยทุกอย่างที่ผมมี ถึงไม่รู้ว่าทั้งหมดนั้นจะมีค่าพอให้คุณเชื่อถือได้อีกหรือเปล่า
ผมรักคุณ
เกือบหนึ่งปีที่ผ่าน ผมมีความสุขมาก
ขอบคุณครับ
ธัญญ์
ลายมือของธัญญ์จบที่ตรงนั้น
ปลายมือปลายเท้าเขาชาจนแทบไร้ความรู้สึก ครุ่นคิดว่าระหว่างพวกเขาก็จบลงแล้วด้วยใช่หรือเปล่า...
ราวกับเรี่ยวแรงถูกสูบหายไปจนหมด กว่าจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ก็ตอนที่ทั้งหน้าเจิ่งนองไปด้วยน้ำตา สะอื้นไห้ออกมากับความความว่างเปล่า เรียกชื่อคนที่ตนเป็นคนผลักไสด้วยเสียงระโหยซึ่งค่อย ๆ ดังขึ้น สุดท้ายก็กลายเป็นตะโกนออกมา ทั้งที่รู้ว่าคงไม่มีวันไปถึงใครคนนั้น
“..ขอโทษ...”
เขาคู้ตัวลง กอบเศษกระดาษทั้งหมดขึ้นมาไว้ในมือ กอดเอาไว้แนบอก ข้าง ๆ หัวใจที่ยังเต้น หัวใจที่ยังรู้จักความเจ็บปวด
“..ฉันขอโทษ...”
ทั้งที่บอกเองว่าอยากทำให้ยิ้มได้มากกว่านี้ ไม่อยากให้ต้องร้องไห้อีกแล้ว ทั้งที่คราวก่อนเคยปล่อยหลุดมือไปครั้งหนึ่ง ยังตั้งใจแน่วแน่กับตัวเองว่าจะไม่ให้จากไปไหนอีก
สำหรับธัญญ์ ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายอาจไม่จำเป็นต้องเป็นเขาก็ได้
แต่ต้องเป็นเขาเท่านั้นไม่ใช่หรือ
มีต่อรีพลายถัดไปค่ะ
v
v
v
v
v