┤ ราคา ◇ ค่า ◇ รัก ├ งวดพิเศษ 03 - สัตว์กินเนื้อที่กินผักชีได้ หน้า 64 [6/6/60]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ┤ ราคา ◇ ค่า ◇ รัก ├ งวดพิเศษ 03 - สัตว์กินเนื้อที่กินผักชีได้ หน้า 64 [6/6/60]  (อ่าน 469459 ครั้ง)

ออฟไลน์ เจ้าหญิงขี้ลืม

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 629
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-4
โอยยยย เป็นตอนที่ปวดใจมาก
สงสารทั้ง 2 คนเลย :mew6:

ออฟไลน์ dekying kukkig

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1462
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-1
ฟางเส้นที่ยึดไว้มันบางใช่ไหมธัญญ์ ปล่อยมันไปก่อน
ส่วนลุง ตอนนี้คืออะไร ปล่อยโอกาสที่เคยคว้ามาไว้ ทั้งๆโอกาสนั้นมาอยู่ตรงหน้า ปล่อยให้มันหายไปอีกครั้งก่อน เหมือนกัน


เจตนาของรัก คือการปล่อยวางซินะในตอนนี้  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ beauty73

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 14
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
หน่วง

ออฟไลน์ RAINYDAY

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1247/-5
    • FB page
┤ ราคา ◇ ค่า ◇ รัก  ├


งวดที่ 25



กลับมาเย็นวันนั้น บ้านมืดสนิทและเงียบเชียบจนใจหาย

ภูเมศก้าวเข้าไปยืนอยู่กลางความมืด รอกระทั่งสายตาคุ้นชิน จึงค่อยเหลียวมองไปรอบตัว

ใจหนึ่งก็คิดว่าหากเรื่องเมื่อไม่กี่วันก่อนจนถึงเมื่อเช้านี้เป็นแค่ความฝัน ตอนนี้เจ้าเด็กหน้านิ่งคงถือโอกาสช่วงลูกชายเขาไปทัศนศึกษา เผลอนอนหลับอุตุอยู่กับเจ้าแมวส้มถุงทองที่แอบอุ้มเข้าบ้านระหว่างเขาไม่อยู่ หากเงี่ยหูฟังดี ๆ อาจได้ยินเสียงกรนครืดคราดของเจ้าแมว คลอไปกับเสียงลมหายใจสม่ำเสมอของคนหลับก็เป็นได้

ครั้นหรี่ตาเพ่งมองฝ่าความมืด พบว่าบนโซฟามีเงาตะคุ่ม คล้ายคนกำลังนอนตัวขดคุดคู้

เขาจ้องมองจุดนั้นเนิ่นนานราวถูกสะกด ภาพที่เห็นในความมืดเช่นนี้ไม่คมชัดเท่าใต้แสงไฟ แต่ใจรู้ดีว่านั่นเป็นแค่เงาของหมอนอิงที่วางกองรวมกันเท่านั้น

ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งกับพื้น ซบหน้าลงบนฝ่ามือ

นั่นมันแค่หมอนอิง รู้ทั้งรู้ว่าไม่ใช่คนในความคิด แต่เขาก็ยังไม่ขยับไปไหน

ยังไม่อยากเปิดไฟตอนนี้ 

หากอยู่ในความมืด ยังอาจพอหลอกตัวเองได้อีกสักพัก ว่าที่ตรงนั้นมีใครคนหนึ่งนอนขดตัวรออยู่ เมื่อเข้าไปใกล้จะเห็นว่าแผ่นอกเคลื่อนขึ้นลงช้า ๆ ตามลมหายใจ หากเข้าใกล้อีกหน่อยจะต้องถูกขนแมวที่ติดตัวคนคนนั้นทำพิษจนจามออกมา เสียงจามคงปลุกให้เจ้าตัวสะลึมสะลือขึ้นมาทำหน้างัวเงียใส่เขา หากนอนอิ่มแล้วจนอารมณ์ดีพอ อาจโชคดีได้เห็นลักยิ้มน้อย ๆ เป็นรอยบุ๋มบนแก้มซ้าย

จากนั้นเจ้าตัวอาจจะเอ่ยทักด้วยถ้อยคำแสนเรียบง่ายอย่าง ‘กลับมาแล้วหรือครับ เหนื่อยหรือเปล่า’ หรือไม่ก็ ‘ย่องเงียบอย่างนั้น จะขโมยจูบหรือครับ’ ให้ต้องรีบแก้ตัวเป็นพัลวัน แล้วค่อยร่ายให้ฟังว่าคืนนี้เตรียมเมนูอะไรไว้รอเขากลับมากินข้าวที่บ้านบ้าง ทั้งหมดล้วนเป็นของชอบของเขาทั้งสิ้น แต่ที่ชอบที่สุดทว่ายังไม่เคยได้บอกสักครั้ง คือความรู้สึกว่าเมื่อกลับบ้านครั้งใด จะมีคนที่รักคอยเฝ้ารออยู่เสมอต่างหาก

ทว่าทั้งบ้านเงียบสงัด

จะไม่ส่งเสียงทักออกมาจริง ๆ หรือ

เงียบจนทรมาน เงียบสนิทอยู่เช่นนั้น

กระทั่งเขาได้ยินเสียงตัวเองสะอื้นออกมาแผ่วเบา






แสงแรกของวันรุ่งขึ้นมาเยี่ยมเยือนโดยที่ภูเมศไม่สามารถข่มตานอนหลับสนิทได้เลยทั้งคืน

บ้านไม่เคยอ้างว้างเท่านี้มาก่อน ห้องนอนไม่เคยเงียบเหงาเช่นนี้มาก่อน เตียงนอนเหมือนกว้างใหญ่ขึ้นกว่าเดิม จนไม่สามารถหลับตาลงได้โดยไม่รู้สึกว่ามีบางสิ่งซึ่งสำคัญยิ่งจากเขาไปพร้อมกับคนที่เคยนอนอิงแอบข้างกาย

ตลอดค่ำคืนยาวนาน เขาเฝ้าถามตัวเอง ทำไมพวกเขาจึงไม่พบกันแบบธรรมดาสามัญ อย่างเช่นในวันที่อากาศดีสักวัน อาจจะได้เจอกันเพราะเขาทำกระเป๋าสตางค์หล่นแล้วอีกฝ่ายบังเอิญเก็บได้จริง ๆ ให้เขามีโอกาสได้เลี้ยงข้าวขอบคุณธัญญ์สักมื้อ ค่อย ๆ เรียนรู้กันจากตรงนั้น เมื่อสนิทสนมอีกหน่อยก็เริ่มไปมาหาสู่ระหว่างครอบครัวของทั้งสองฝ่าย ช่วยกันสานต่อความสัมพันธ์อย่างเรียบง่าย หากจะมีปัญหาบ้าง ก็ค่อย ๆ ช่วยกันแก้ไขไปทีละอย่าง

เขาเหมือนยังไม่ตื่นจากฝัน ละเมอทั้งที่ยังไม่ทันได้หลับตา

กระทั่งใกล้จะสายแล้วเต็มที จึงได้ฝืนลุกขึ้นยืน เดินไปสบตากับตัวเองในกระจก คนในนั้นมองกลับมาด้วยเบ้าตาลึกโหลและช้ำแดง ทั้งยังผมเผ้าเป็นกระเซิง ริ้วรอยเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นบนหางตาหลังอดหลับอดนอนโดยไม่ได้กินข้าวปลาอาหารตั้งแต่เมื่อวานจนตอนนี้

เขายกมือขึ้นลูบใบหน้าตน อดคิดไม่ได้ว่าคนอย่างตัวเองมีอะไรให้เป็นที่น่าสนใจสำหรับคนหนุ่มผู้มีทุกอย่างพร้อมหมดแล้วอย่างธัญญ์ จึงได้มาเสียเวลาคลุกคลีด้วยตั้งเกือบปี

ไม่หรอก มันไม่มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษแต่แรกอยู่แล้ว

บางทีสำหรับธัญญ์ อีกฝ่ายอาจไม่จำเป็นต้องเป็นเขาก็ได้



ชายหนุ่มหักใจ ตบหน้าตัวเองเบา ๆ เรียกสติ ท่องไว้ว่าชีวิตยังต้องเดินต่อ ทั้งยังควรเป็นก้าวเดินที่ต้องระมัดระวังยิ่งกว่าเก่า ไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองจมอยู่กับความสิ้นหวังยาวนานกว่านี้ได้อีก อย่างช้าที่สุดก็ควรทำตัวเป็นปกติได้ก่อนลูกชายกลับบ้านในวันมะรืน

เขารีบจัดการธุระส่วนตัว เลือกอาบน้ำเย็นหวังให้หัวโล่งขึ้นบ้าง หลังแต่งตัวเสร็จแล้วยังพอเหลือเวลาสำหรับอาหารเช้าง่าย ๆ สักมื้อ ครั้งสุดท้ายที่มีอาหารตกถึงท้องคล้ายว่าเนิ่นนานเป็นวันได้แล้ว

ก้าวแรกที่เดินเข้าไปในห้องครัว พบว่ารอบตัวสะอาดสะอ้าน ข้าวของเครื่องใช้ถูกจัดวางเป็นระเบียบเรียบร้อย ไม่เหมือนบ้านที่มีแต่ผู้ชายอาศัยสักนิด ตั้งแต่เช้าวานที่เขาออกปากไล่ธัญญ์ด้วยตัวเอง ก่อนจากไปดูเหมือนฝ่ายนั้นยังมีแก่ใจเก็บกวาดข้าวของทุกอย่างให้อยู่ในที่ทางของมันเป็นครั้งสุดท้าย

เมื่อเปิดตู้เย็น พบกล่องต่าง ๆ วางเรียงไว้เต็มพื้นที่ หยิบดูทีละกล่อง พบว่าเป็นอาหารซึ่งปรุงแล้วบรรจุไว้อย่างเรียบร้อย แค่นำไปอุ่นก็คงกินได้เลย กวาดตามองแต่ละอย่าง พบว่าล้วนเป็นของโปรดไม่ของเขาเองก็ของพร้อมภูมิทั้งสิ้น

ไม่ต้องเดาว่าเป็นฝีมือใคร ขนาดตัวเองโดนไล่อย่างสิ้นเยื่อใยขนาดนั้น ยังมีแก่ใจทำอาหารเก็บไว้ให้เขา

ได้รับการยืนยันว่าเป็นฝีมือธัญญ์แน่นอน ก็เมื่อเห็นกระดาษโพสต์อิทที่แปะไว้กับกล่องริมสุด มีลายมือเจ้าตัวบนกระดาษ

‘ถึงจะงานยุ่ง แต่อย่าลืมกินข้าวนะครับ คุณชอบข้ามมื้ออาหารเวลากลับบ้านค่ำกว่าปกติ ของในตู้เย็นน่าจะอยู่ได้สบาย ๆ อีกสองสามวันแบบไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม’

ถ้อยคำเรียบง่ายอย่างกับแค่ลาไปธุระสักวันสองวันแล้วก็กลับ

ภูเมศวางกล่องอาหารลงช้า ๆ ดึงกระดาษโพสต์อิทบนนั้นออกมาด้วยมือสั่นเทา อ่านข้อความสั้น ๆ ของธัญญ์ซ้ำไปซ้ำมา

ทั้งที่มีแต่ของชอบอย่างนั้น ทว่าเมื่อเห็นเข้า ความอยากอาหารกลับยิ่งลดลงจนแห้งเหือด ราวกับมีอะไรบางอย่างถูกสูบออกไปจากในอกจนเหลือเพียงที่ว่างกลวงโบ๋

ชายหนุ่มเม้มปาก กะพริบตาถี่ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นบรรจงพับกระดาษแผ่นนั้นเบามือ เก็บมันใส่กระเป๋าเสื้ออย่างทะนุถนอม

เสียงกุกกักดังขึ้นจากอีกฝั่งของประตูซึ่งเชื่อมกับชานหลังบ้าน เขาหยุดเงี่ยหูฟังอยู่อึดใจ ก็ได้ยินเสียงร้องเหมียวลอยเข้ามา

ถุงทอง?

ยังอยู่หรอกหรือ

เพราะคราวก่อนที่ธัญญ์จากไป เคยเอาเจ้าแมวจรซึ่งกลายมาเป็นสัตว์เลี้ยงตัวนี้จากไปด้วย ครั้งนี้เมื่อได้ยินเสียงแมวเข้า แวบหนึ่งจึงเผลอคิดไปถึงบรรยากาศตอนคนเลี้ยงยังอยู่ที่นี่ ถ้าอยู่ที่นี่ก็คงดี

ไม่เคยชอบแมวเลย แต่ก็รีบถลาไปกระชากประตูเปิดออก

เจ้าแมวส้มสะดุ้งโหยง กระโจนหนีไปยืนทิ้งห่างอีกฝั่งด้วยความตกใจ เมื่อเห็นว่าเป็นเขาที่เปิดประตูออกมา ค่อยคลายความระแวดระวัง แม้เป็นเจ้านายที่ไม่ได้เข้ามาสุงสิงด้วยนัก ก็ยังย่างเท้าเข้ามาใกล้ พลางร้องเหมียวเสียงดังขึ้นเรื่อย ๆ

“หิวงั้นหรือ”

ถุงทองร้องตอบ เดินเอาตัวถูไถพลางตวัดหางเกี่ยวขาเขาไปมา ออดอ้อนไม่หยุด

“หิวสินะ” เขาเออออกับแมวเสียงอ่อนใจ นึกสังเวชความคิดตัวเองเมื่อครู่

เจ้าของจริง ๆ ของเจ้าแมวตัวนี้จากไปแล้ว เป็นคนไล่ไปด้วยตัวเอง จะมาคาดหวังอะไรผิดที่ผิดทางว่าจะยังอยู่ให้ต้องถูกไล่ซ้ำอีกหน

เสียงแมวยังคอยก่อกวน จนต้องวกกลับเข้าบ้านไปหาอาหารเม็ดมาเทให้ เมื่อก้มลงมองชั้นวางของชั้นล่างสุด ก็พบว่ามีกระดาษโพสต์อิทสีเดิมแปะอยู่บนโถใส่อาหารแมว บนนั้นมีลายมือคุ้นตาแบบเดียวกัน

‘สักครึ่งถ้วยก็พอนะครับ ให้มากไปเดี๋ยวกินเหลือ จะมีมดขึ้น ครั้งนี้ผมคงเอามันไปด้วยไม่ได้ อีกอย่างถ้าพาไปทั้งอย่างนี้ พร้อมภูมิมารู้เข้าทีหลังต้องงอแงแน่ ถุงทองเลี้ยงไม่ยาก ฝากคุณช่วยดูแลมันห่าง ๆ ด้วย’

ภูเมศจ้องมองตัวอักษรเหล่านั้น นึกออกกระทั่งสุ้มเสียงคนพูด ว่าหากถ้อยคำบนกระดาษออกมาจากปากผู้เขียนมันขึ้นมา น้ำเสียงจะเป็นแบบไหน กล่าวด้วยสีหน้าและแววตาเช่นไร

เพราะจำได้ชัดเจนราวกับปรากฏอยู่ต่อหน้าถึงเพียงนี้ ความรวดร้าวจึงยิ่งแจ่มชัดตามไปด้วย

เขาย่อตัวลง แบ่งอาหารแมวประมาณครึ่งถ้วยตามคำบอก จากนั้นทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ ถุงทองที่ก้มหน้าก้มตากินอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่สุดท้ายก็เหลือไว้นิดหน่อยติดก้นชามอาหารแมวอย่างธัญญ์ว่า ก่อนจะย้ายมานั่งเลียขนแต่งตัวอยู่ใกล้ ๆ

ภูเมศยกมือขึ้นปิดครึ่งปากครึ่งจมูก นั่งมองเจ้าแมวแต่งตัวไม่รู้ร้อนรู้หนาว ขณะที่ตัวเขาเองกลับรู้สึกร้อนผ่าวตรงขอบตา ทั้งยังคัดจมูกจนหายใจไม่สะดวก อาการเหมือนตอนแพ้ขนแมว แต่แท้จริงรู้อยู่แก่ใจว่าเป็นเพราะเหตุผลอื่น

เขายกมืออีกข้างไปวางไว้บนหัวเจ้าแมว ลูบแผ่วเบาแล้วค่อยขยับนิ้วมาเกาคางให้

ถุงทองส่งเสียงกรนครืดคราดในลำคออย่างสุขใจ ทิ้งตัวลงนอนกลิ้งบนพื้น เอาหัวดันสู้มือเขาอย่างคุ้นมือ คงเพราะธัญญ์เองก็ชอบมานั่งเล่นด้วยตรงนี้บ่อย ๆ ตามที่เคยตกลงกันไว้ว่าเขาไม่ให้เอาแมวเข้าบ้าน—อย่างน้อยก็เวลาที่เขาอยู่

“ที่หายไปแล้วเจ้าภูมิจะงอแงน่ะ...มันเธอต่างหากไม่ใช่หรือไง” เขาพึมพำเพียงลำพัง เสียงแหบแห้งจนผิดหู

สับสนจนไม่รู้จะทำอย่างไรดี

เขาอยากให้ธัญญ์อยู่ด้วยกัน แต่หากอยู่โดยไม่รู้อะไรเลยก็จะต้องเจ็บปวดอีกครั้งแล้วครั้งเล่าไม่รู้จบ 

หลายครั้งหลายหนที่เคยเห็นรอยยิ้มเศร้าสร้อยบนใบหน้าอีกฝ่าย ยิ้มทั้งที่ทำสายตาเหมือนอยากร้องไห้ เขาเคยนึกอยากปัดเป่าแบ่งเบาเรื่องที่คงหนักหนาจนทำให้คนคนหนึ่งมีสีหน้าแบบนั้นทั้งที่อายุยังน้อย อยากให้ธัญญ์มีความสุข

แต่ตอนนี้เจ้าตัวจะมีความสุขอยู่หรือเปล่า?

ถุงทองส่งเสียงร้องเหมียวอีกครั้ง ดึงเขาจากภวังค์ เมื่อก้มลงมอง ก็พบว่าเจ้าแมวยืนขึ้นเหยียดตัวบิดขี้เกียจ ก่อนจะเดินนวยนาดไปยังโต๊ะสูงอีกฝั่ง ลับเล็บกับขาโต๊ะครู่หนึ่ง ก็กระโจนแผล็วขึ้นไปด้านบนโดยเหยียบตรงขอบถังขยะบนพื้นอีกต่อ

ถังขยะขนาดเล็กทั้งยังน้ำหนักเบา ใช้สำหรับใส่ขยะแห้ง เมื่อถูกแมวยันเข้าก็ล้มลงมากลิ้งอยู่กับพื้น ส่วนเจ้าแมวต้นเหตุขึ้นไปยืนบนโต๊ะสูง มองลงมาด้วยท่าทางไม่รู้ไม่ชี้

ขยะในนั้นส่วนหนึ่งหกออกมากองอยู่ข้างนอก มีทั้งเศษพลาสติก ห่อขนม และเศษกระดาษกองหนึ่ง

ภูเมศลุกขึ้นเดินไปจับถังขยะพลิกขึ้นตั้งอีกหน ตั้งใจจะเก็บกวาดขยะแห้งที่กระเด็นออกมากลับลงถัง ทว่าเมื่อหยิบชิ้นแรกเตรียมจะโยนคืนลงไป กลับพบว่าเศษกระดาษในมือของตัวเอง มีตัวหนังสือที่เป็นลายมือเดียวกับบนโพสต์อิทซึ่งเพิ่งถูกพับเก็บเรียบร้อยไว้ในกระเป๋าเสื้อเขาเอง

ชายหนุ่มรีบคลี่มันออกดู จึงได้รู้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของเศษกระดาษยับย่นซึ่งถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ

เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ก้มลงมองในถัง เห็นกระดาษชิ้นเล็กชิ้นน้อยแบบเดียวกันปะปนอยู่กับเศษขยะ ไม่สังเกตให้ดีคงไม่เห็น ได้เทลงถุงผูกปากทิ้งรวมกับขยะอื่นไปทั้งอย่างนั้น

ภูเมศยืนนิ่งงัน เพ่งมองตัวหนังสือบนกระดาษ ข้อความเพียงส่วนหนึ่งนั้นอ่านไม่ได้เนื้อหานัก รู้แค่เป็นลายมือธัญญ์อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ทำไมจึงฉีกทิ้งแทนที่จะวางไว้ตรงไหนสักแห่งเหมือนกระดาษโพสต์อิทในตู้เย็นหรือโถอาหารแมว

หากไม่อยากให้เขาเห็น ก็ควรทำลายด้วยวิธีอื่น อย่างเช่นเผาทิ้ง หรือไม่ก็นำติดตัวไปด้วยเสียเลย

การฉีกมันเป็นชิ้น ๆ ไม่ถึงกับเล็กจนเอามาต่อกันใหม่ไม่ได้ แล้วทิ้งรวมไว้กับขยะในบ้านอย่างนี้ เหมือนคนทำก็ยังลังเลว่าจะทิ้งหรือไม่ทิ้ง อยากให้เขาอ่านหรือไม่อยากให้อ่านมากกว่ากัน

เขาเองก็เถอะ บอกไม่ถูกว่าอยากอ่านหรือไม่อยากอ่าน บางทีอาจเป็นข้อความที่ไม่ได้สลักสำคัญนัก ถึงรู้ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร ต่อให้อ่านทั้งหมดแล้วคงปราศจากความหมายใด นอกจากทำให้ยิ่งคิดถึงมากกว่าเก่า

แต่อาจเพราะเป็นลายมือของคนที่รักสุดหัวใจ สุดท้ายแล้วก็ทนไม่ไหว ตัดสินใจเทขยะทั้งหมดออกมากองกับพื้น ค่อย ๆ แยกเศษกระดาษแบบเดียวกันออกมาจากขยะอื่น จากนั้นเริ่มต้นเรียงมันขึ้นมาใหม่ทีละชิ้น

ใช้เวลาไปนานโข กว่าจะมองเห็นว่ามันเป็นกระดาษเกือบเต็มแผ่นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีลายมือคุ้นตาเขียนข้อความยาวเหยียดจนเหมือนจดหมายที่ไม่ระบุผู้รับ

กระดาษยับยู่ยี่ทั้งแผ่น แต่กลับมีรอยเป็นเส้นตรงคล้ายถูกพับแล้วกรีดให้เรียบ ก่อนคนเขียนจะเปลี่ยนใจฉีกมันเป็นชิ้น ๆ แล้วขยำทิ้งในภายหลัง ทั้งยังมีจุดที่พองออกเป็นรอยด่างดวง หมึกบางส่วนบนรอยด่างนั้นแตกเป็นเส้นเล็ก ๆ ดูรู้ว่าเป็นรอยหมึกต้องหยดน้ำ

เมื่อสายตากวาดมองไปยังข้อความแรก ก็เผลอกลั้นหายใจอยู่นาน


คุณจำความหมายของไฮเดรนเยียที่ผมเคยบอกได้หรือเปล่า?

เย็นชา ไร้หัวใจ มีคนพูดเหมือนกันว่าเป็นดอกไม้ที่เหมาะกับผม



เขาโคลงศีรษะกับความว่างเปล่า หยุดอ่านเพียงแค่นั้นก่อนเพื่อหลับตาสักครู่หนึ่ง ไล่ความร้อนผ่าวของหยดน้ำที่เคลือบอยู่ในนั้น ใจนึกไปถึงช่อไฮเดรนเยียของตัวเองที่ธัญญ์เคยกระทืบมันด้วยความเกรี้ยวกราดทั้งที่ร้องไห้ไปด้วย แต่ไม่เคยบอกสาเหตุของน้ำตาในคราวนั้น ไม่รู้ว่าเพราะดอกไม้นั่นไปทำให้รู้สึกถึงความเชื่อมโยงอะไรกับเรื่องที่ไม่อยากเอ่ยถึงหรือเปล่า


ผมไม่เคยใส่ใจ ให้ค่ามันแค่เป็นคำเยาะเย้ยเสียดสีที่ไม่ส่งผลอะไรกับตัวเอง และคงจริงอย่างว่า เพราะผมไม่รู้สึกอะไรทั้งสิ้น ไม่เลยสักนิด แต่เมื่อคิดถึงว่าคุณเองก็อาจเห็นผมเป็นเช่นเดียวกับคนที่เคยพูดแบบนั้น กลับเจ็บปวดขึ้นมาจนเหมือนจะทนไม่ไหว

และเพราะอย่างนั้น ตอนนี้ถึงได้เชื่อว่าผมอาจยังพอมีหัวจิตหัวใจหลงเหลืออยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นคงไม่รู้สึกเจ็บอีกแล้ว


เขายกมือขึ้นเช็ดจมูก อึดอัดจนเหมือนจะหายใจไม่ออก พักใหญ่จนเจ้าแมวถุงทองขดตัวหลับไปแล้วบนโต๊ะ จึงทำใจแข็งอ่านต่อได้


ผมไม่ค่อยถนัดเรื่องพูด หากให้เลือกวิธีสื่อสารเรื่องยาก ๆ คิดว่าเขียนอาจจะดีกว่า

คิดอยู่เสมอ ว่าความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์เป็นสิ่งน่ากลัว ดังนั้นผมจึงพยายามมาตลอดจะไม่เอาตัวเองไปผูกพันกับใครอีก

ทั้งที่ไม่ควรลืมจุดยืนแรกของตัวเอง   

แต่เพราะคุณใจดีด้วย สุดท้ายจึงเผลอ หลงลืมความตั้งใจแรกว่าแค่อยากอยู่ใกล้ ๆ โดยไม่ทำให้เดือดร้อน กว่าจะรู้ตัวว่าเรียกร้องมากเกินไป ก็กลายเป็นทำร้ายคุณเข้าแล้ว


พบเจอ พลัดพราก คงเป็นเรื่องธรรมดา แต่ช่วงเวลาระหว่างนั้น ผมทำมันพังครั้งแล้วครั้งเล่าจนไม่อยากเริ่มต้นกับใครอีก ซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย ขณะที่สาปแช่งทุกสิ่งในโลก เกลียดทุกอย่างกระทั่งตัวเอง

ตอนเด็ก ๆ ผมเคยมีคนที่แอบชอบอยู่มาก ๆ เหมือนกัน (แต่ตอนนี้ไม่แล้ว หวังว่าคุณจะไม่โกรธเรื่องนี้ ถ้าหากว่ายังพอเหลือความรู้สึกดี ๆ ต่อผมบ้าง) แต่ไม่เคยมีโอกาสได้บอกคนคนนั้นสักครั้ง 

ครั้งนี้ต่างออกไปนิดหน่อย เริ่มต้นด้วยพบเจอ ลงท้ายด้วยการจากลาเหมือนกัน แต่ระหว่างทั้งสองจุดนั้น ผมมาคิดว่ามีอะไรอีกที่ยังไม่ได้ทำ มีอะไรที่อยากบอกคุณแล้วยังไม่ได้บอก

เมื่อใคร่ครวญดู แม้มีหลายอย่างที่ผมปิดบังอยู่ แต่เรื่องสำคัญที่อยากพูดจริง ๆ ต่อหน้า ก็ได้พูดไปแล้ว



ขอโทษด้วยที่ไม่ได้นึกถึงจิตใจคุณให้มากกว่านี้

ผมอยากพูดคุยกับคุณอีกเยอะ ๆ แต่ผมไม่ค่อยถนัดสนทนากับใครยาว ๆ

อยากอยู่กับคุณอีกนาน ๆ แต่ยิ่งอยู่นานก็จะยิ่งทำคุณเดือดร้อน


เมื่อมีความรัก คนเรามักจะทำเรื่องโง่ ๆ

ตัวผมซึ่งเข้าใจเรื่องนั้นดี ในเวลานี้กลับทำเรื่องโง่ที่สุดลงไป บางทีคงเป็นเพราะรักที่สุด

ไม่คาดหวังว่าคุณจะให้อภัย แต่ก็ยังอยากขอโทษสำหรับทุกเรื่องโง่ ๆ ที่ผมทำ



รักคุณ

ต่อให้คุณจะคิดว่าทั้งหมดล้วนหลอกลวง แต่มีแค่เรื่องนี้ที่ไม่ว่าอย่างไรก็อยากให้เชื่อ ยืนยันด้วยชีวิต ด้วยจิตใจ ด้วยทุกอย่างที่ผมมี ถึงไม่รู้ว่าทั้งหมดนั้นจะมีค่าพอให้คุณเชื่อถือได้อีกหรือเปล่า

ผมรักคุณ



เกือบหนึ่งปีที่ผ่าน ผมมีความสุขมาก

ขอบคุณครับ

ธัญญ์




ลายมือของธัญญ์จบที่ตรงนั้น

ปลายมือปลายเท้าเขาชาจนแทบไร้ความรู้สึก ครุ่นคิดว่าระหว่างพวกเขาก็จบลงแล้วด้วยใช่หรือเปล่า...
 
ราวกับเรี่ยวแรงถูกสูบหายไปจนหมด กว่าจะรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ก็ตอนที่ทั้งหน้าเจิ่งนองไปด้วยน้ำตา สะอื้นไห้ออกมากับความความว่างเปล่า เรียกชื่อคนที่ตนเป็นคนผลักไสด้วยเสียงระโหยซึ่งค่อย ๆ ดังขึ้น สุดท้ายก็กลายเป็นตะโกนออกมา ทั้งที่รู้ว่าคงไม่มีวันไปถึงใครคนนั้น

“..ขอโทษ...”

เขาคู้ตัวลง กอบเศษกระดาษทั้งหมดขึ้นมาไว้ในมือ กอดเอาไว้แนบอก ข้าง ๆ หัวใจที่ยังเต้น หัวใจที่ยังรู้จักความเจ็บปวด

“..ฉันขอโทษ...”

ทั้งที่บอกเองว่าอยากทำให้ยิ้มได้มากกว่านี้ ไม่อยากให้ต้องร้องไห้อีกแล้ว ทั้งที่คราวก่อนเคยปล่อยหลุดมือไปครั้งหนึ่ง ยังตั้งใจแน่วแน่กับตัวเองว่าจะไม่ให้จากไปไหนอีก

สำหรับธัญญ์ ไม่ใช่ว่าอีกฝ่ายอาจไม่จำเป็นต้องเป็นเขาก็ได้

แต่ต้องเป็นเขาเท่านั้นไม่ใช่หรือ









มีต่อรีพลายถัดไปค่ะ
v
v
v
v
v
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-04-2017 18:44:27 โดย RAINYDAY »

ออฟไลน์ RAINYDAY

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1247/-5
    • FB page
งวดที่ 25 (ต่อ)


“รอสักครู่นะคะ”

เลขาหญิงวัยกลางคนเอ่ยน้ำเสียงสุภาพ สังเกตเห็นว่าเธอลอบมองดวงตาช้ำแดงของเขา แต่ไม่ได้ละลาบละล้วงถามถึงสาเหตุ ผายมือให้นั่งรอที่โซฟาตัวยาวอีกฝั่ง

ก่อนหน้านี้เพิ่งบอกเองว่าเจ้านายยังไม่ว่างจะให้เข้าพบ ทว่าหลังจากถูกเรียกตัวเข้าไปในห้อง ครู่หนึ่งเธอก็กลับออกมาบอกเขาที่ยืนรีรออยู่ด้านหน้าไม่ยอมไปไหนให้อยู่ตรงนี้ก่อน

ไม่นานก็ได้รับการเชื้อเชิญให้เข้าไปข้างใน

ภาคีเจ้านายใหม่เป็นคนหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่ผ่าเผย การแต่งเนื้อแต่งตัวเรียบง่าย แม้โดยพื้นฐานแล้วมีรูปหน้าอ่อนโยน แต่ผิวสีเข้มขับให้บุคลิกน่าเกรงขาม โดยรวมแล้วจึงดูไม่ดุดันหรือเหลาะแหละเกินไป คนวัยหนุ่มขนาดนี้นั่งตำแหน่งผู้บริหารได้อย่างมั่นคง แม้เป็นบริษัทที่ไม่ได้ใหญ่โตนักหากเทียบกับที่ทำงานเก่าของเขา เรียกว่าน่านับถือไม่น้อย
 
เขาเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าคนผู้นั้น

สองมืออีกฝ่ายประสานกันวางอยู่บนโต๊ะทำงานสะอาดสะอ้าน ไม่มีเอกสารเกะกะอย่างคาดคะเนจากที่เลขาเพิ่งบอกในคราวแรกว่านายกำลังยุ่ง คล้ายเตรียมพร้อมสำหรับการพูดคุยโดยไม่ได้นัดหมายครั้งนี้ไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว

เข้ามาถึงก็ได้รับการเชื้อเชิญให้นั่งอย่างสุภาพเช่นกัน

อึดใจหนึ่ง เลขาคนเดิมยกกาแฟเข้ามาเสิร์ฟ ภาคีพยักพเยิดให้เธอออกไปก่อน กระทั่งประตูห้องปิดตามหลัง จึงเริ่มทักเขาเป็นคำแรก

“คุณภูเมศ”

เจ้านายที่แทบไม่เคยพูดคุยกันมาก่อนนอกจากในห้องประชุมไม่กี่หน เมื่อพบกันเป็นส่วนตัวครั้งแรกกลับเป็นฝ่ายเรียกชื่อเขาโดยไม่แสดงความแปลกใจสักนิด ขนาดเขามาทำงานสายโด่งด้วยสภาพเหมือนคนเพิ่งโดนไล่ออกมากว่าจะเป็นพนักงานผลงานเยี่ยม สีหน้าอมทุกข์ ยืนยันจะขอเข้าพบโดยไม่แจ้งเหตุผลทั้งที่ไม่ได้นัดไว้ล่วงหน้า หัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็จะต้องเจอตอนนี้เลยให้ได้ สีหน้าผู้เป็นนายยังราวกับว่าเรื่องทั้งหมดนี้ก็อยู่ในความคาดหมายของตนเหมือนกัน

“ครับ” เขาตอบรับ เสียงแหบพร่าหลังผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก หน้าตาที่ธรรมดาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว บัดนี้คงยิ่งดูไม่จืด มีแค่แววตาที่ให้ความรู้สึกหนักแน่นแม้จะบวมช้ำ เหมือนอย่างคนที่ตัดสินใจลงมือทำอะไรสักอย่างเพื่อเป้าหมายที่ตั้งไว้

“มีเรื่องสำคัญอะไรหรือเปล่าครับ”

ภูเมศค้อมศีรษะน้อย ๆ เป็นเชิงขออภัยที่เสียมารยาทครั้งหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา

“ผมอยากถามเรื่องธัญญ์”

“เรื่องคุณธัญญ์?”

ฝ่ายนั้นพึมพำคล้ายพูดกับตัวเอง เขายังทันได้ยินว่าเรียกชื่อธัญญ์ด้วยคำนำหน้า ‘คุณ’ ให้นึกสงสัยว่าพี่น้องประเภทไหนจะเรียกกันอย่างสุภาพอย่างนี้ แต่ในเมื่อไม่ได้มีทีท่าขับไล่ไสส่งแต่อย่างใด จึงเชื่อว่าเรื่องของธัญญ์ก็ถูกนับเป็นเรื่องสำคัญสำหรับภาคีเช่นกัน

“เขาเป็นน้องชายของคุณหรือครับ?”

อีกฝ่ายนิ่งไปครู่ใหญ่ ปล่อยเขารอจนทนรอต่อแทบไม่ไหว เกือบถามออกมาอีกครั้ง จึงอ้าปากพูดกับเขาอีกหน

“เขาบอกคุณเรื่องนั้นแล้วสินะ”

นั่นเท่ากับคำตอบรับว่าใช่

ภูเมศพยักหน้า นิ่งคิดอยู่อึดใจ

‘เขาบอกเรื่องนั้นกับคุณแล้วสินะ’ การที่ภาคีถามกลับมาเช่นนี้ อาจหมายความว่ามีเรื่องอื่นอีกที่ธัญญ์อาจบอกหรือไม่ได้บอกเขา และภาคีเองก็อาจไม่รู้ว่าธัญญ์เล่าให้เขาฟังมากน้อยแค่ไหน หากจะลองหลอกถามจากตรงนี้...

เขากลั้นใจ เดิมพันกับตัวเอง ฝืนเอ่ยสิ่งที่จนตอนนี้ก็ยังไม่อยากแม้แต่จะนึกถึง

“รวมทั้งเรื่องที่เขามีอะไรกับคุณธเนศด้วย” เขาเอ่ยเสียงเรียบ

ทว่าประโยคเดียวเท่านั้น กลับทำภาคีเบิกตากว้าง ปากอ้าค้างอยู่น้อย ๆ หน้าซีดเผือดราวกับเพิ่งเห็นคนตายไปต่อหน้าต่อตา

ทั้งที่อุณหภูมิในห้องกำลังเย็นสบาย แต่เมื่อเห็นท่าทางอีกฝ่าย บัดนี้กลับให้ความรู้สึกหนาวเยือกจนขนลุก สั่นสะท้านไปทั้งตัว

ชายหนุ่มกัดฟัน สำทับด้วยท่าทางซึ่งพยายามคงความนิ่งสงบอย่างถึงที่สุด ราวกับว่าตนเองต่างหากเป็นฝ่ายเฉลยให้คู่สนทนาทราบ ไม่ใช่กำลังหลอกถามสิ่งที่ยังไม่รู้ “...ผมรู้ทั้งหมดแล้ว..”

ไม่ถึงอึดใจ ผู้เป็นนายก็ยกมือขึ้นปิดปาก ทำท่าทางเหมือนอยากขย้อนอะไรบางอย่างออกมา เบือนหน้าไปทางอื่น แต่ไม่พ้นสายตาเขาที่ทันสังเกตเห็นทุกอากัปกิริยา ทั้งริมฝีปากเม้มแน่น คิ้วขมวดมุ่น ขอบตารื้นน้ำขึ้นมาน้อย ๆ

“คุณจะพาดพิงถึงคุณธัญญ์พล่อย ๆ อย่างนี้ไม่ได้” น้ำเสียงสุขุมทุ้มต่ำในคราวแรก บัดนี้กลับสั่นระริกพอกับแววตาผู้พูด ทั้งยังโคลงศีรษะไปมาเป็นเชิงปฏิเสธต่อให้ยังไม่หันมามองหน้าเขา “พวกเขาเป็นพ่อลูกกันต่างหาก ไม่มีทางเป็นอย่างอื่น..เป็นไปไม่ได้...เรื่องนั้นคุณเข้าใจผิดแล้ว....”

ประโยคหลัง ราวกับกำลังย้ำกับตัวเอง

“ถ้าอย่างนั้นแล้ว—”

เสียงตบโต๊ะดังสนั่นขัดจังหวะคำพูดเขากลางคัน

ปฏิกิริยาของภาคีรุนแรงกว่าคาด สิ้นเสียงกระแทกนั้น คงเหลือเพียงความเงียบสงัดบีบอัดทั้งสองคนในห้องอยู่อีกครู่ใหญ่ พวกเขาสบตากันนิ่งงัน ต่างฝ่ายต่างขอบตาแดงเรื่อ

ผู้เป็นนายลุกขึ้นจากเก้าอี้ เดินไปล็อคประตูห้องด้วยตัวเอง ยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งเหมือนกำลังสงบสติอารมณ์ จากนั้นหันกลับมาเผชิญหน้าภูเมศอีกหน สูดลมหายใจเข้าลึก

“คุณไปเอาเรื่องนั้นมาจากไหน”

“...เขาเป็นคนบอก”

ชายหนุ่มไม่เจาะจง ว่า ‘เขา’ ที่ว่านั้น หมายถึงธเนศ ไม่ใช่ธัญญ์ ยังยืนยันเหมือนว่าตัวเองรู้ทุกอย่าง

ภาคียกมือนวดขมับ ทว่าแม้แต่มือที่ยกขึ้นข้างนั้นก็ยังสั่นน้อย ๆ

“คุณรู้ไหม บางเรื่องเราไม่ควรไปขุดคุ้ย บางอย่างต่อให้เห็นก็ควรทำเป็นไม่เห็น ต่อให้รู้ก็ทำเป็นไม่รู้ แบบนั้นจะไม่ดีกว่าหรือ ไม่อย่างนั้นจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ยังไง”

หัวใจเขาบีบตัวหนักหน่วง อึดอัดจนเหมือนมีก้อนหินขนาดใหญ่ถ่วงอยู่ในอก

ขณะที่ภาคีพูดต่อทั้งสีหน้าเหมือนจะร้องไห้ออกมารอมร่อ

“เขาเป็นพ่อลูกกัน คุณธเนศเป็นพ่อของผม เป็นพ่อของคุณธัญญ์ คุณรู้แค่นี้ก็พอแล้วไม่ใช่หรือ จะสอดรู้สอดเห็นให้ได้อะไรขึ้นมา คุณรู้แล้วช่วยเขาได้รึไง!? ไม่เคยมีใครทำได้สักคน! ถ้าอย่างนั้นไม่รู้จะดีกว่าไม่ใช่—”

พูดได้เท่านั้น ภาคีกลับต้องหยุดลงเพื่อเก็บกลั้นเสียงบางอย่างไว้ในคอ ไหล่ผ่าเผยสองข้างสั่นไหวจนเห็นได้ชัด

ภูเมศได้แต่นิ่งอึ้ง...อ้าปากค้างกับสิ่งที่ได้ยิน กำแพงบางอย่างถล่มลงตรงหน้า เบื้องหลังเป็นสิ่งที่ถูกซุกซ่อนไว้เนิ่นนาน

ความอึดอัดจากความเงียบก่อนหน้า เทียบไม่ได้เลยกับในวินาทีนี้ รู้สึกได้ถึงเหงื่อเย็นเฉียบบนแผ่นหลัง ทั้งเนื้อตัวชาดิกเหมือนมันกำลังจะกลายเป็นหิน แต่ละครั้งที่เข็มวินาทีกระดิก ราวกับผ่านไปนานชั่วกัลป์

กระทั่งภาคียกมือขึ้นลูบหน้า โคลงศีรษะแรง ๆ อีกหน

“...ไม่สิ...ถ้าคุณรู้เรื่องนั้น” เอ่ยได้ครึ่งทาง ก็สูดลมหายใจเข้าลึกแล้วผ่อนออกอยู่สองสามครั้ง จนคล้ายถึงจุดหนึ่งที่ยอมจำนนต่อความเป็นจริง “ก็หมายความว่ารู้เรื่องที่ทั้งสองคนไม่ใช่พ่อลูกแท้ ๆ กันด้วยใช่ไหม”

ใจเขากระตุกวูบ พยายามสุดชีวิตกับการบังคับตัวเองให้พยักหน้าช้า ๆ เป็นเชิงบอกว่ารู้อยู่แล้ว แม้ความจริงคือไม่เลย ไม่เคยได้ยินเรื่องนั้นจากปากธัญญ์เลยแม้แต่น้อย

เมื่อผ่านกำแพงชั้นหนึ่ง ก็คล้ายว่าจะยังเจอกำแพงอีกชั้นและอีกชั้น ค่อย ๆ ถล่มลึกเข้าไป จนสุดท้ายก็มองไม่เห็นต้นทางที่เริ่มย่างก้าวเข้ามาแต่แรก และจุดลึกสุดซึ่งกำลังพยายามตะเกียกตะกายไปให้ถึง ตอนนี้ก็ไม่รู้แล้วว่ายังอีกไกลเท่าไร

“...เพราะน่าสงสารเกินไป...ถ้ามาเห็นอยู่ทุกวันตั้งแต่เล็กจนโตอย่างผม จะไม่ระแคะระคายบ้างเลยคงเป็นไปไม่ได้หรอก แต่รู้แล้วทำอะไรได้ล่ะ แบบนั้นสู้ปิดหูปิดตาตัวเองไว้ให้แน่นไม่ดีกว่าหรือ..” ภาคีพึมพำเสียงหวาดวิตก เดี๋ยวดังจนก้องในห้อง เดี๋ยวแผ่วจนแทบไม่ได้ยิน

แม้อีกฝ่ายไม่เอ่ยชื่อว่ากล่าวถึงใคร แต่เขาเชื่อว่าเป็นธัญญ์

“ถ้ารู้เข้า ก็มีแต่จะยิ่งเวทนาโดยที่ทำอะไรไม่ได้ไม่ใช่เหรือไง!”

และคงจริงอย่างคนตรงหน้าว่าเช่นกัน ปิดหูปิดตาไว้ให้แน่นอาจง่ายกว่ามาก กระทั่งตอนนี้ เขาเองก็ยังอยากต่อยหน้าตัวเองแรง ๆ สักที แล้วหวังว่าจะทำให้ตื่นขึ้นมาเพื่อพบว่าทั้งหมดนี้เป็นแค่ฝันร้าย

เพียงแต่ครั้งนี้ เขาไม่ได้มาเพื่อหลอกตัวเองอีกแล้ว

เขาปล่อยธัญญ์หลุดมือไปเป็นหนที่สอง คนที่บอกว่ายืนยันด้วยทุกสิ่งที่ตัวเองมี ขอแค่ให้เชื่อเท่านั้นว่าเจ้าตัวรักเขาสุดหัวใจ หากไม่กระเสือกกระสนไขว่คว้ากลับมาด้วยกำลังของตนอีกครั้ง คงจะไม่สามารถให้อภัยตัวเองได้ชั่วชีวิต

“...เขากับคุณธเนศ..” ชายหนุ่มหาเสียงตัวเองเจออีกหน “..ระหว่างพวกเขา”

“คุณธัญญ์ไม่ได้เต็มใจ!” ภาคีโพล่งขึ้นอย่างอัดอั้นจนสุดทน หันมาจ้องเขาถมึงทึงด้วยนัยน์ตาแดงก่ำ พูดชัด ๆ ทีละคำด้วยน้ำเสียงเจ็บแค้นทั้งสีหน้ารวดร้าว “ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างทั้งสองคนนั้น แต่ที่ผมแน่ใจคือไม่ใช่ความผิดคุณธัญญ์ คุณ อย่า แม้ แต่ จะ คิด ถึง เขา ใน แง่ ร้าย! คุณไม่รู้หรอกว่าเขาทำอะไรเพื่อคุณบ้าง!”

“ผมไม่ได้คิดถึงเขาใน...แง่..ร้าย...”

ภูเมศเถียงในคราวแรก แต่แล้วกลับเสียงเบาลงในตอนท้าย

เขาคิดไม่ใช่หรือ คิดในแง่เลวร้ายที่สุดไปแล้วว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกหลอกลวง ถูกกระทำอยู่ข้างเดียว ให้มาปฏิเสธตอนนี้ก็สมควรนึกละอาย

“ทั้งอย่างนั้นคุณก็ยังทำร้ายเขา” ภาคีย้ำ เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน “ทั้งที่รู้ทั้งหมด ก็ยังทำให้เขาเสียใจอีกไม่ใช่หรือไง!?”

ชายหนุ่มพยักหน้ายอมจำนน

“ผมขอโทษ” ก่อนหน้านี้ไม่รู้ แต่ตอนนี้รู้แล้ว “อยากบอกคำนี้กับเขาด้วยตัวเอง”

ภาคีสูดลมหายใจเข้าออกแรง ๆ อยู่อีกพักใหญ่ กว่าจะสงบสติอารมณ์ลงได้ ทว่าบรรยากาศดุดันยังหมุนวนอยู่ในอณูอากาศ แทรกซึมในทุกถ้อยคำของบทสนทนา

เขาก้มหน้ามองความว่างเปล่าในมือทั้งสองของตัวเอง พักหนึ่งจึงเงยขึ้นสบตาภาคี สื่อความหนักแน่นไม่สั่นคลอนผ่านน้ำเสียงจริงจัง

“ผมอยากขอโทษ ส่วนเขาจะให้อภัยหรือไม่ เรื่องนั้นสุดแล้วแต่เขา”

“ช้าไปแล้ว”

ภูเมศขมวดคิ้วไม่เข้าใจ แต่ยังไม่ยอมละทิ้งเจตนาของตน “ให้ผมบอกเขา และฟังคำตอบจากเขาด้วยตัวเอง เขาตอบมาแบบไหน ผมจะถือเอาตามนั้นโดยไม่ต่อรองอะไรอีก คุณช่วยบอกได้หรือเปล่าว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน”

“คุณธัญญ์จะไม่กลับไปกับคุณอีกแล้ว”

“ถ้างั้นก็ขอผมเจอเขา คุณแค่ช่วยบอกที่อยู่”

“เขาจะไม่มาเจอคุณอีกแล้ว!” ภาคีเอ่ยเสียงจริงจัง “พวกคุณไม่ควรพบกันอีกแล้ว”

“คุณเป็นคนพูดเองว่าเขาน่าสงสาร!” ภูเมศเผลอขึ้นเสียง ลืมเรื่องที่ตัวเองอยู่ในฐานะลูกน้องไปจนสิ้น “คุณรู้ตลอด แต่คุณก็ยังปิดหูปิดตาตัวเอง! คุณจะทำเหมือนไม่รู้ไม่เห็นต่อไปก็ได้ แต่คุณห้ามผมไม่ได้! ถึงไม่รู้จากคุณ ผมก็จะต้องได้รู้จากทางอื่น!”

“อย่างคุณจะไปทำอะไรคุณธเนศได้!” อีกฝ่ายตะคอกกลับ คราวนี้ถึงกับกระชากคอเสื้อเขาไว้ในมือ

“ทำไมผมจะทำไม่ได้!?"

“เพราะไม่เคยรู้อะไรถึงทำพูดจาดูดีอยู่ได้ไง!”

“งั้นคุณก็บอกมาสิว่ามีอะไรที่ผมยังไม่รู้อีก! ให้ทำแบบคุณที่แกล้งไม่รู้เรื่องไปวัน ๆ รึไง!”

“คุณไม่ใช่ผมก็พูดได้!” ภาคีกัดฟันกรอด “ถ้าเป็นคุณจะอยากขุดคุ้ยเพราะสงสัยว่าพ่อตัวเองข่มขืนลูกเลี้ยงอีกคนรึเปล่าล่ะ!?”

พวกเขาต่างคนต่างยืดอกขึ้นเต็มความสูง หอบหายใจทางปากหลังจากระเบิดโทสะใส่กันเหมือนพายุลูกใหญ่ เมื่อสงบลงก็เหลือแต่ซากปรักหักพัง

มือที่กำคอเสื้อเขาไว้ค่อย ๆ คลายออก

“ผมไม่รู้หรอก..” ภูเมศว่า พยายามสะกดอารมณ์ไม่ให้ทั้งร่างสั่นเทิ้มด้วยความรู้สึกที่สับสนปนเป เกรี้ยวกราด หวาดกลัว โศกเศร้า ปั่นป่วนบ้าคลั่งอยู่ข้างใน “...แต่ตัวผมคนเมื่อวานคงไม่ต่างจากคุณในตอนนี้เท่าไร ผมก็ไม่ได้อยากขุดคุ้ยเรื่องที่สงสัยว่าคนรักของตัวเองเคยขึ้นเตียงกับคนอื่นมาก่อน หรือกระทั่งเป็นการข่มขืน...”

พูดถึงตรงนี้ หยดน้ำอุ่น ๆ ก็ไหลอาบแก้ม

“แต่จะให้ผมทำยังไง ถ้าผมอยากดึงเขากลับขึ้นมาจากก้นเหว แต่ไม่กล้ามองลึกลงไปในนั้น ผมจะพาเขากลับมาได้ยังไงล่ะ...ผมทำพลาดเพราะนึกถึงแต่ความรู้สึกตัวเองมาหลายครั้งแล้ว...คุณเข้าใจบ้างหรือเปล่า..”

เขายกมือขึ้นปาดน้ำตา กลั้นเสียงสะอื้น สูดลมหายใจเข้าลึกสุดปอด

“ผมไม่อยากพลาดอีกแล้ว..ผมไม่อยากเสียเขาไปอีกแล้ว...”











ชามะลิโชยกลิ่นหอมอ่อน อาหารที่เขาชอบวางเรียงรายเต็มโต๊ะ 

กลับบ้านที่ตัวเองเติบโตมาได้เพียงหนึ่งวัน ธเนศยังสรรหาข้าวของ เครื่องใช้ ของตกแต่ง หรืออาหารที่จำได้ว่าเขาเคยชื่นชอบเมื่อครั้งยังเด็กมาได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง พวกเครื่องเรือนของใช้ทั้งหลาย เดาว่าคงเตรียมรอรับกลับมาไว้นานแล้ว

ช่อไฮเดรนเยียสีน้ำเงินเสียบอยู่ในแจกันประดับกลางโต๊ะ

เขามองมันด้วยแววตาเฉยชา จนบัดนี้ยังบอกไม่ถูกว่าชอบหรือเกลียด

“อิ่มแล้วหรือ?” อีกฝ่ายเอ่ยถามเสียงนุ่มนวล เมื่อเห็นเขาวางมือจากอาหารก็ไม่คิดบังคับ เพียงแต่กล่าวลอย ๆ ถึงความพยายามของตัวเอง “อุตส่าห์ให้คนเตรียมไว้แต่ของที่เธอชอบ”

“อิ่มแล้วครับ” ธัญญ์ตอบในส่วนที่เป็นข้อเท็จจริง ดวงหน้านิ่งสงบ ปราศจากท่าทีต่อต้าน

“ดีใจที่เธอกลับมานะ”

เขาพยักหน้าช้า ๆ เงยขึ้นพิจารณาใบหน้าผู้ร่วมโต๊ะอาหาร

วันคืนพ้นผ่าน หลักฐานของระยะเวลายาวนานฝากริ้วรอยบาง ๆ ไว้บนใบหน้า แต่ยังมองเห็นเค้าโครงเดิมที่บอกให้รู้ว่าสมัยยังหนุ่ม คนคนนี้จะต้องหน้าตาหล่อเหลาอย่างหาตัวจับยาก

สมัยก่อน ผู้คนคงพากันหลงรักหน้าตาแบบนี้ ไหนจะทรัพย์สินเงินทองที่มี แต่เกือบร้อยทั้งร้อยย่อมรู้ว่าเหมือนเล่นกับไฟ สุดท้ายก็ไม่พ้นเป็นแมลงเม่าซึ่งบินพุ่งเข้าไปหาแสงสว่างกระทั่งถูกไฟเผาจนมอดไหม้ ไม่รู้ว่าแม่เขาก็เป็นหนึ่งในแมลงเม่าเหล่านั้นหรือเปล่า

“คุณเคยรักคุณแม่ของผมไหม”

ธเนศเลิกคิ้ว มองหน้าเขาอย่างชั่งใจ จากนั้นเอ่ยออกมาเสียงเนิบ

“พิมเป็นผู้หญิงที่ดี”

“คุณเลี่ยงคำตอบ”

อีกฝ่ายยิ้มน้อย ๆ

“ก็ได้” ว่าพลางโคลงศีรษะอ่อนใจ “ฉันไม่ได้รักพิมในเชิงชู้สาว พิมสำคัญในแง่อื่น”

“งั้นที่รับเข้ามาอยู่ด้วยกัน...เพราะผมหรือ?”

“ที่จริงมีหลายเหตุผล แต่นั่นก็เป็นเหตุผลหนึ่งเหมือนกัน”

“แล้วเหตุผลอื่นที่เหลือล่ะ”

“อะไร กลับมาคราวนี้เป็นเจ้าหนูจำไมเรอะ?”

คำตอบถูกเลี่ยงอีกหน ปิดท้ายด้วยเสียงหัวเราะแผ่วเบาเป็นธรรมชาติ

คราวนี้ธัญญ์ไม่รบเร้าต่อ เหม่อมองฟ้าอยู่พักใหญ่ ค่อยหันกลับมาหาธเนศ

“วันนี้อากาศดี ออกไปข้างนอกกันไหมครับ”









ได้ยินถ้อยคำนั้นเข้า ธเนศได้แต่คิดว่าคล้ายเหลือเกิน คล้ายจนปวดหนึบอยู่ในอก

เขาเงยขึ้นมองฟ้าตามสายตาธัญญ์ที่จ้องมันอยู่พักใหญ่ก่อนจะหันมาเอ่ยคำถามเมื่อครู่ เห็นปุยเมฆขาวลอยเหนือขึ้นไป ดูพองฟูเหมือนเป็นฟูกนอนนุ่ม ๆ จ้องนานเข้าก็ราวกับมีเสียงเรียกชื่อเขาจากข้างบนนั้น

กระทั่งเสียงนุ่มนวลของธัญญ์ดังแทรกขึ้นมาอีกหน

“คุณจะช่วยขับรถให้หน่อยได้หรือเปล่า”

“ได้สิ” เขาพยักหน้า ว่าง่ายอย่างกับเป็นเด็กเชื่อฟังผู้ใหญ่ “อยากไปที่ไหนล่ะ”

“ไปที่ไกล ๆ”

สัมผัสได้ถึงความเยือกเย็นเจือหมองหม่นในเนื้อเสียง บรรยากาศเดียวกับที่ครั้งหนึ่งเขาเคยได้สัมผัสเมื่อนานแสนนานมาแล้ว

“ไกลแค่ไหน”

“ไกลมาก ๆ” ธัญญ์พึมพำเสียงแผ่ว ขอบตาช้ำน้อย ๆ เหมือนคนเพิ่งผ่านการร้องไห้มาไม่นาน คราวนี้สายตาทอดมองไปเบื้องหน้า แต่คล้ายว่าแววตาทั้งคู่ไม่สะท้อนสิ่งใดเป็นพิเศษ

วินาทีนั้น ธเนศนึกรู้ถึงบางสิ่งอันอยู่นอกเหนือคำอธิบายด้วยเหตุผล

เหมือนอย่างในความฝันบางครั้งคราวซึ่งไม่อาจระบุว่าดีหรือร้าย

แต่เขารู้ว่ามันจะจบลงอย่างไร








ราวยี่สิบนาทีหลังจากนั้น ตัวเขาที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองซึ่งดูดีกว่าที่มักสวมใส่เป็นปกติ หวีผมจัดทรงเรียบร้อย ก็ขึ้นมานั่งอยู่หลังพวงมาลัย สตาร์ทรถ มองธัญญ์ซึ่งแต่งตัวดูดีพอกันเข้ามานั่งเคียงบนเบาะโดยสารข้างคนขับ

การแต่งกายของพวกเขาสองคนยามนี้ ราวมีนัดกับคนสำคัญที่ไม่อาจพลาดโอกาสสร้างความประทับใจตั้งแต่กวาดตามองในวินาทีแรก

รถเคลื่อนตัวออกช้า ๆ ได้ครู่หนึ่ง กลางความเงียบงัน ธัญญ์เอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำรื่นหู

“รักผมมากเลยหรือ”

เขาบังคับพวงมาลัย ตาจับจ้องถนนที่ค่อนข้างโล่งของกลางวันในวันธรรมดา

“รักจนจะตายได้เลยหรือเปล่า” ธัญญ์ยังพูดต่อ ส่วนเขานิ่งฟังอย่างสงบ “เราอยู่เพื่อทรมานกันและกันมาเป็นสิบปี คุณเหนื่อยหรือยัง”

ที่ผ่านมา มักเป็นเขาพูดไปเรื่อย ๆ ขณะที่ธัญญ์ตอบรับด้วยความเงียบงันเสียส่วนใหญ่ ทว่าครั้งนี้ดูเหมือนสลับตำแหน่งคนพูดกับคนฟัง เพราะเสียงนุ่มนวลของอีกฝ่ายยังดังมาให้ได้ยินต่อเนื่อง

เนิบช้า ทว่าหนักแน่น แต่ละถ้อยคำหน่วงเหนี่ยวให้ค่อย ๆ ดำดิ่งลงทีละน้อย ไม่ได้เจ็บปวดจนต้องกรีดร้อง แต่ถ่วงรั้งให้จมลงช้า ๆ ในความหม่นหมองซึ่งอัดแน่นเป็นกลุ่มก้อนโอฬาร บีบเค้นก้อนเนื้อในอกจนกว่าจะแหลกเหลว

“ผมรู้ คุณไม่มีวันปล่อยผมตายหนีปัญหาไปแค่คนเดียว และคุณก็จะไม่ยอมตายจากไปคนเดียวเหมือนกัน”

แม้ไม่เคยเอ่ยปากกันเรื่องนั้นมาก่อน แต่จริงอย่างธัญญ์ว่า พวกเขาต่างรู้แก่ใจถึงข้อตกลงอันไม่ได้เอ่ยนามนั้น เป็นกฎที่ตั้งขึ้นและรับรู้โดยไม่ต้องแจกแจงรายละเอียด

“ถ้าอย่างนั้นแล้ว..เราไปด้วยกันไหม”

ธัญญ์ว่า หยิบเชือกไนล่อนสีแดงความยาวราวหนึ่งเมตรเส้นหนึ่งขึ้นมาจากกระเป๋า

คงเตรียมไว้แล้ว ผ่านการใคร่ครวญมาเป็นอย่างดีแล้ว

“คุณกับผม...”

เชือกสีแดงสดถูกนำมาพันรอบข้อมือข้างซ้ายของเขาซึ่งวางอยู่กับเกียร์รถยนต์ ธัญญ์บรรจงผูกมันเป็นปมแน่นหนา ไม่ถึงกับรัดจนขาดเลือดหรือบาดข้อมือ แต่ก็ไม่หลวมพอจะสะบัดหรือรูดออกได้

“ติดไฟแดงข้างหน้า คุณค่อยผูกให้ผม..ดีไหม”

“ธัญญ์”

เขาเหลือบมองใบหน้าอีกฝ่าย ไม่มีร่องรอยของการล้อเล่น

“ถัดไปจากไฟแดงอีกไม่เท่าไร มีคลองที่คงจะลึกมาก ๆ อยู่”

“..อา..”

“ผมอยากให้คุณหายไป”

ชายหนุ่มพยักหน้าช้า ๆ

“แต่ไม่ต้องห่วง ผมก็จะไปกับคุณด้วย”

เขาจอดรถที่สี่แยกไฟแดง อยู่เป็นคันแรกสุด

ระหว่างตัวเลขบนสัญญาณไฟจราจรกำลังนับถอยหลัง ธัญญ์หยิบปลายเชือกเส้นเดียวกับที่มัดข้อมือซ้ายของเขาไปพันรอบข้อมือขวาของตัวเอง เงยขึ้นมองหน้าเขา คลี่รอยยิ้มงดงาม เหมือนอย่างวัยเยาว์ที่เคยยิ้มให้เขาอย่างใสซื่อ จากนั้นยื่นมือให้เขาช่วยผูกให้


เรียบง่าย เหมือนแค่ผูกข้อมือรับขวัญ


ปมสีแดงสดบนข้อมือธัญญ์เสร็จเรียบร้อย ตอนที่เหลือเวลานับถอยหลังบนสัญญาณไฟอีกสามวินาที


..สาม


“แบบนี้หรือเปล่าที่คุณต้องการ” ธัญญ์เอ่ยเสียงนุ่ม สูงต่ำราวกับกำลังร้องเพลง “เราจะทรมานกันและกันไปจนกว่าจะมอดไหม้”


..สอง


“เปื่อยยุ่ย เน่าสลาย”


..หนึ่ง


“จนกว่าจะดับสูญ”


เขาเหยียบคันเร่ง รถพุ่งตัวทะยานออกไปข้างหน้าด้วยความเร็วสูง


“แต่เราจะไม่แยกจากกันอีกเลย”







To be continued…



เหน็ดเหนื่อยกับงวดนี้พอสมควรเลยค่ะ TwT
รู้สึกยังเค้นออกมาได้ไม่สุดเท่าที่อยากได้ แต่ก็เท่าที่ทำได้แล้วค่ะ //จะสิ้นลม ทรมานจัง

ถ้ายังไหว ไปด้วยกันอีกนิดนะคะ ฮึบส์!

พบกันงวดหน้า จะพยายามไม่ดองค่ะ (งวดนี้ก็ไม่ดองนะ...รึเปล่า) อาทิตย์เดียวเองง

/รักและขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-04-2017 19:00:13 โดย RAINYDAY »

ออฟไลน์ วายซ่า

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +205/-6
ขอบอกว่าตอนนี้หน่วงจิตมากๆ ไม่รู้ว่าจะสงสารใครดี ทุกคนต่างมีปมชีวิตอันหนักหน่วง   :katai1:

อยากให้จบแบบสวยๆ   :mew2:

ออฟไลน์ jannie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 782
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +62/-0
เหมือนคลี่คลายไปหน่อยนึง แต่จบตอนแบบใจหาย คงไม่ใช่ sad ending น้า ><

ออฟไลน์ MeWeaw

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เริ่มจากเศร้าปิดท้ายด้วยอารมณ์หน่วงๆ
 :ling3: :ling3:

ออฟไลน์ jimun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
เศร้า.....

เป็นจม.รักที่เศร้ามากๆ

กี่ครั้งแล้ว ที่ลุงปล่อยมือน้องไป ปล่อยไปโดยไม่คิด
ครั้งก่อนง้องอนจนกลับมาได้ แล้วครั้งนี้ล่ะ???

ลุงนะลุง

คิดไม่ออกเลยว่าอะไรจะหยุดยั้งความคิด หยุดยั้งคันเร่งไว้ได้

น้องเรนนี่สัญญาแล้วนะว่าจะจบแบบ Happy Ending TT.TT

อ่านจบตอนตีห้า นอนน้ำตาไหล

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
ผลจากที่ภูไม่เชื่อในธัญ

คนเขียนว่ายังเค้นไม่สุดอีกเหรอคะ
แค่นี้ก็ทำคนอ่านตาบวมแล้วค่ะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Ryoooo

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3146
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +288/-2
ถึงจะงานยุ่ง แต่อย่าลืมกินข้าวนะครับ คุณชอบข้ามมื้ออาหารเวลากลับบ้านค่ำกว่าปกติ ของในตู้เย็นน่าจะอยู่ได้สบาย ๆ อีกสองสามวันแบบไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม’
ถ้อยคำเรียบง่าย แต่ร้องไห้พรากๆจริงๆอ่ะ เศร้าเกินไปแล้ว
อ่านถึงแค่ตรงนึ้ ก็ร้องจนต้องหยุดแปบนึงเลย
มีแต่โพสอิทเรียกน้ำตาทั้งนั้นเลย แถมเจอจดหมายเข้า โอ๊ย ตาบวมตามไปด้วยเลย

มันบีบคั้น มันทุกอย่าง
อ่านแล้วอิน อ่านแล้วเศร้า

ธัญญ์ลูก ทำอย่างงี้เลยเรอะ
ลุงภูกำลังจะมาตามกลับนะลูก
ปล่อยอิธเนศจากไปคนเดียวได้มั้ย
ไม่เอาแบบนี้สิ
ช่วยด้วย ช่วยหน่อย เจ็บในอกจังเลย
มันสายไปแล้วจริงเรอะห่ะคุณ
ขอให้ลุงแก้ตัวก่อนได้มั้ย
ลุงก็คงจะใช่ทุกอย่างเหมือนกันในการยืนยันว่ารัก


แต่งได้ดีงามมากจริงๆค่ะ
เค้นอารมณ์เราได้หน่อง เศร้า เหงา เสียใจ
สุดๆไปเลย

ออฟไลน์ jejiiee

  • cannot open this page
  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 202
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +14/-0
เราไม่ขออะไรมาก ขอแค่ธัญญ์เจ้าเล่ห์ แก้ปมตัวเอง ทิ้งตัวเองลงน้ำแต่ว่ายขึ้นมาได้ ภูมาเจอ ขอโทษแล้วกลับไปอยู่ที่บ้าน เราขอ แค่นี้ เราสงสารภูเมศและธัญญ์ เราอยากให้ธัญญ์มีความสุขจริงๆ สักที

ออฟไลน์ เก้าแต้ม

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1290
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +88/-3
ขอให้ตอนจบคนที่เสียใจไม่ใช่ธัญณ์และกรณ์

ออฟไลน์ kinjikung

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2940
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
ห๊ะ  อะไรที่ทำให้ธเนศยึดติดกับธัญญ์ได้ขนาดนี้ รักมาก หลงมาก ไม่อยากแยกจากกัน ทำให้เราคิดว่าที่จริงธเนศก็เป็นผู้ชายที่น่าสงสารเหมือนกันเพราะความรักที่บิดเบี้ยว   ความรักของทั้งสามคนบีบคั้นจิตใจอย่างแรง ธเนศจะเห็นธัญญ์ตายต่อหน้าได้จริง ๆ เหรอแต่ให้ปล่อยมือก็ยากอีก

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
ยังไม่กล้าอ่าน ดูท่าแล้วถ้าอ่านน้ำตาน่าจะท่วมแน่ รอตอนจบเลยทีเดียวแล้วกันนะคะ

ออฟไลน์ minkey

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 233
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
อ่านตอนนี้ตอนอยู่นอกบ้าน
น้ำตาไหลเลยค่า
กลั้นไม่อยู่

ขอให้ผ่านพ้นไปได้นะ
อย่าเป็นbad ending. เลยนะ

คนเขียน เขียนได้ดีม่กเลยอ่ะ
อินไปทั้งหมด
 :hao5:

ออฟไลน์ เอมมี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 572
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
อ่านแล้วน้ำตาไหลเลย สงสารธัญญ์มาก
ภูเมศทำร้ายธัญญ์อีกเป็นครั้งที่สอง
ดูแล้วธัญญ์ไม่สามารถพึ่งพิงภูเมศได้เลย นี่หรือรักจริง
ดีแล้วที่ธัญญ์จากมา ไม่ต้องกลับไปอีกนะธัญญ์  ปล่อยอิภูเมศมันไปเลย

ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1576
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
นี่ยังเค้นไม่สุด ไม่ได้ดั่งใจคุณ RAINDAY อีกเหรอคร้าาาา???  นี่คนอ่านก็ปวดหนึบ ใจจะขาดตามอยู่แล้ว  ต้องรวบรวมลมปราณใช้พลังงานสะสมมาฮึบอ่านต่อในแต่ละพารากราฟนี่ ยากเย็นมาก ... เจอ 3 paragraph สุดท้ายนี่ อ๊าคคคคคค  :ling3: 

ธัญญ์ .. คล้ายสิ่งมีชีวิต ที่ไม่มีชีวิต อยู่ได้เพียงมีลมหายใจแต่ไร้จิตวิญญาณ สงสารจัง  :ling2:

ออฟไลน์ puiiz

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3378
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-4

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
เบื่อนายจริงๆเลย นายภูเมศ
คิดได้แต่ความรู้สึกของตัวเอง
ทุกคนมีอดีต นายแทนที่จะถามดีๆ เอาแต่ตีโพยตีพาย
เป็นผู้ใหญ่กว่าเสียเปล่า ตอนนี้มาร้องไห้  :m16: :m16: :m16:
ง้อเขามาอยู่ด้วยแท้ๆ แล้วไล่เขาเอง เซ็งนายจริงๆ
คิดว่าภูเมศจะยอมตายไปกับธัญมั้ย ไม่ค่อยเชื่อใจนะ
คราวนี้อาจจบเกมแบบปล่อยมือจากกัน
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ lizzii

  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 6283
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +271/-2
สงสารธัญขึ้นมาทันที ไม่น่าไปรักคนอย่างภูเมศเลย
ไม่เคยปกป้องธ๕สักครั้ง แถมยังทำให้เสียใจตลอดอีก
เห่อออออออออออ
แต่ก็ยังอยากให้ภูเมศมาช่วยทันนะ ทิ้งอิคุณธเนศเน่าไปในคลองคนเดียวเถอะ

ออฟไลน์ เล็กต้มยำ

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 103
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-0


กี่ตอนกี่ตอนก็ยังสงสารน้องธัญญ์
มันทั้งหน่วงทั้งอึดอัดตลอดเวลาที่อ่านเลยจริงๆ
ขนาดคนเขียนบอกว่ายังเค้นไม่สุดเรายังน้ำตารื่นตลอดเวลาที่อ่านเลยค่ะ
ถ้าสุดกว่านี้คงได้นอนร้องไห้เป็นวันๆแน่
 :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ Pamaipraewa

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 100
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อ่านแล้วเครียดมาก ชอบภาษาการบรรยายของคนเขียนมากค่ะ

ยังไงตอนจบก็ขอให้ธัญญ์มีความสุข 'จริงๆ' สักทีนะคะ

ภาวนาให้ธเนศไม่กล้าตายจริง

ออฟไลน์ Freja

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +145/-4
เหมือนมาก  จนหน่วง
หมายถึงใคร?
จะบอกว่าธเนศหลงรักธัญญ์หรือว่าพ่อธัญญ์?
น่าจะไม่ใช่แม่นะ เพราะเพิ่งบอก
หรือว่าธัญญ์เหมือนใครเข้า

เรารู้สึกโกรธนะมากๆเลย  ตัวละครอย่างภาคีด้วยไรด้วย
กลัวว่าจะเจอความจริงที่รับไม่ได้เลยยอมปล่อยเด็กคนหนึ่งให้ตกอยู่ในนรกมาตลอด
รู้แต่ก็ทำเป็นไม่รู้ เพื่อตัวเองที่รับไม่ได้จนเรากังขาว่ามีแค่ความรู้สึกที่รับไม่ได้เท่านั้นเอง
หรือว่าเพราะผลประโยชน์ที่ตัวเองได้รับจากพ่อด้วย?
คนเป็นพ่อที่ไม่ได้ดูดำดูดีตัวเองเลย
มีแต่เรื่องเงินล้วนๆ
ภูเมศยังดีที่รู้สึกตัวเร็วหน่อยเราหวังว่าจะมาทัน
สำหรับเราคิดว่าความรักของธัญญ์ที่มีต่อภูเมศเป็นสิ่งค้ำจุนสุดท้ายสำหรับธัญญ์
ที่ธัญญ์มาถึงจุดนี้ก็เพราะทุกคนหันหลังให้ธัญญ์
เราไม่คิดว่าคนอย่างธเนศจะยอมไปกับธัญญ์หรอก
นี่จะมาแต่งกับเมียเก่าภูเมศที่มีลูกติด
เราไม่แน่ใจว่าธเนศเป็น paedophile หรือเปล่านะ
รักธัญญ์ตั้งแต่เป็นเด็ก จะเป็นเพราะธัญญ์ไหมที่ทำให้แต่งกับแม่น้อง?

ออฟไลน์ xหยกน้อยx

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 113
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
เศร้าจนร้องไห้ตามเลยคะ สงสารทุกคนในเรื่องเลยรวมธเนศด้วย รีบมาต่อไวๆนะคะ คนอ่านใจจะขาดแล้ว  :katai1:

ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
สงสารธัญมากเลยอ่ะ คุณภูไม่ได้ใจเลย
อะไรจะเกิดขึ้นต่อจากนี้

ออฟไลน์ penneeamoon

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 259
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เปิดผ่านไปหลายครั้ง เพราะรู้ว่าต้องหน่วงมากๆ แล้วก็เป็นดังคาด  สงสารธัญน์จริงๆ 

ออฟไลน์ Prattana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
แง้ ฮืออ นี่เค้นสุดมากๆเลยต่างหากค่ะ บีบหัวใจเหลือเกิน
เราเข้าใจธัญญ์นะที่ตัดสินใจทำแบบนี้ กี่ครั้งแล้วที่ธเนศไม่ยอมปล่อยน้องไปสักที
ตั้งแต่รุ่นพี่ตอนเรียนจนมาถึงอิตาลุง(ตอนนี้เคืองลุงมาก) และคือกำลังใจจะสู้มันหมดแล้วไง
คนที่น้องรักมากๆ ที่พึ่งหนึ่งเดียวกลับผลักไสไล่ให้ไปไกลๆ ไม่แปลกหรอกที่ตัดสินใจแบบนี้
ธเนศนี่แบบยกตำแหน่งตัวร้ายอันดับ1ในใจเราเลย โค่นทอมจากเรื่อง
หรือจะให้เป็นแค่ความทรงจำ ที่เราเกลียดมากอย่างราบคาบ เกลียดธเนศมากกก
เม้นท์กี่ทีก็ต้องบอกทุกทีว่าคนแต่ง แต่งดีมากๆเลยค่ะ
ส่วนอิตาลุงไปช่วยธัญญ์ให้ได้นะแกร้ งั้นจะโกรธไปอีกนานเลย

ออฟไลน์ therappizdrum

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
หน่วงในใจมาก ฮือออออออ

พูดไม่ออกเลยได้แต่หน่วง ไม่อยากให้น้องเลือกทางนี้ น้ำตาซึมเลยยยย

ออฟไลน์ aiyuki

  • รักแท้ไม่แบ่งแม้เพศพันธุ์
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2636
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +133/-6
ธเนศเห็นแก่ตัวเกินไป ธัญญ์น่าสงสารมาก อย่าตายนะ ไม่เอาๆๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด