┤ ราคา ◇ ค่า ◇ รัก ├
งวดที่ 27
ชายหนุ่มผู้นั้น หลังจากถูกช่วยขึ้นจากน้ำได้สำเร็จ ครู่เดียวก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นในที่เกิดเหตุ สัญญาณชีพปกติดี ตรวจดูไม่พบบาดแผลหรืออาการบาดเจ็บรุนแรงที่ใดนอกจากรอยฟกช้ำบนใบหน้า ซึ่งผู้เห็นเหตุการณ์บางส่วนช่วยยืนยันว่ามันมีอยู่ตั้งแต่ก่อนเจ้าตัวจะกระโดดลงไปช่วยคนแล้ว
จมน้ำลงไปเพียงไม่นาน คาดว่าอาจหมดแรง หรือไม่ก็เป็นตะคริว แต่เจ้าหน้าที่สามารถพาตัวขึ้นมาได้ทันท่วงที เล่นเอาผู้คนโดยรอบใจหายใจคว่ำ ทั้งยังอดนึกทึ่งไม่ได้ เมื่อได้เห็นความพยายามจะช่วยเหลือชายหนุ่มอีกคนที่ติดอยู่ในรถอย่างไม่คิดชีวิต
“พัลส์(Pulse) เป็นไง”
“ฟูลค่ะ” เจ้าหน้าที่หน่วยกู้ชีพหญิงคนหนึ่งตอบ “BP 100/70, heart rate 64”
เธอรีบสวมหน้ากากออกซิเจนเข้ากับใบหน้าเขา เรียกให้ฝ่ายนั้นถามตอบอยู่สองสามคำถาม และพูดคำสั่งง่าย ๆ ให้ทำตามเป็นการทดสอบเช่นยกแขนซ้าย
เขาทำตามช้า ๆ ดูสิ้นเรี่ยวแรง แต่เห็นว่าแขนซ้ายยังขยับตามคำบอก ระหว่างนั้น เจ้าหน้าที่อีกคนเปิดเส้นเลือดดำที่แขนเขาสำเร็จ จัดการต่อเข้ากับสายน้ำเกลือ เตรียมตัวเคลื่อนย้ายผู้ป่วย
ถัดออกไปจากตรงนั้นในเวลาเดียวกัน ผู้ประสบเหตุอีกคนซึ่งไม่ได้สติ ได้รับการใส่ท่อช่วยหายใจเพื่อเปิดทางเดินหายใจเป็นที่เรียบร้อย กำลังถูกกดนวดหัวใจเป็นจังหวะซ้ำ ๆ สม่ำเสมอ แรงไม่ขาดไม่เกินส่งผ่านไหล่ แขน และมือของเจ้าหน้าที่ผู้ผ่านการอบรมการช่วยชีวิต ไปยังกระดูกหน้าอกของชายผู้นั้น
การช่วยกู้ชีพดำเนินมาเป็นเวลาพอควร แต่ยังไม่มีวี่แววว่าสัญญาณชีพจะกลับมา เครื่องกระตุกหัวใจอัตโนมัติซึ่งถูกต่อไว้เรียบร้อยไม่แสดงคลื่นไฟฟ้าหัวใจที่สามารถให้การกระตุกด้วยไฟฟ้าได้ จึงได้แต่กดนวดหัวใจต่อไป
เธอเหลือบมองจากหางตา เห็นใบหน้าสงบนิ่งและซีดเผือดของคนผู้นั้น แผ่นอกขยับขึ้นลงตามแรงกด เชือกสีแดงผูกอยู่กับข้อมือเขา แวบหนึ่งที่ทั้งหมดถูกส่งผ่านจอประสาทตาเข้าไปยังสมอง ความรู้สึกสงสารจับใจแล่นริ้วขึ้นจนรู้สึกหายใจไม่ค่อยสะดวก สัมผัสได้ถึงความโศกเศร้าอันไม่รู้ที่มาที่ไป
แวบหนึ่งเท่านั้น ก่อนเธอจะหันมาทำหน้าที่ในส่วนของตัวเองต่อ นำผู้ป่วยซึ่งยังรู้สติรายนี้ส่งต่อให้ถึงโรงพยาบาล ส่วนคนตรงนั้น ทีมกู้ชีพยังทำหน้าที่ของตัวเองอย่างแข็งขัน
แต่จากประสบการณ์หลายปีที่ผ่าน เธอคิดว่าเขาอาจจะไม่ไหว
หลังขนย้ายร่างคนป่วยขึ้นรถพยาบาล ผู้ชายคนนั้นทำหน้าเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่าง ทว่าไม่มีเสียงหลุดออกมา
แขนวางแนบข้างลำตัว ใบหน้าอ่อนแรง แต่สัญญาณชีพคงที่ เธอบันทึกตัวเลขชุดหนึ่งลงกระดาษพร้อมกำกับด้วยเวลาชัดเจน
หัวกระดาษแผ่นนั้น มีชื่อ นามสกุลของเขาเขียนอยู่ มันถูกระบุตามข้อมูลจากบัตรประจำตัวประชาชนเจ้าตัวซึ่งพบหลังช่วยขึ้นจากน้ำ
‘ภูเมศ นพคุณา เพศชาย อายุ 37 ปี’ เธอเคลื่อนสายตาไปยังเจ้าของชื่อ เอ่ยเบา ๆ เป็นเชิงปลอบ “ไม่เป็นไรแล้ว”
แต่แม้กระทั่งตอนที่บอกอย่างนั้น ก็ยังอดไม่ได้จะมองผ่านกระจกท้ายรถไปยังอีกทีมที่พยายามสุดกำลังในการยื้อชีวิตเหยื่ออีกคนกับมัจจุราช
เมื่อเปลี่ยนมือคนกดนวดหัวใจอีกครั้งหนึ่ง คนที่เพิ่งเปลี่ยนออกมองร่างแน่นิ่งนั้นแล้วโคลงศีรษะไปมา แต่ไม่เห็นสีหน้าว่าเป็นเช่นไร
รถพยาบาลเคลื่อนห่างออกไปด้วยความเร็วสูง พร้อมกับส่งสัญญาณเสียงแหลมและแสงไฟวิบวับเหนือคันรถเพื่อขอทาง
เธอเผลอพึมพำเสียงแผ่ว เข้าใจไม่ยากว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชายผู้นั้น
“..แต่คนนั้นไม่รอด น่าสงสาร”
เมื่อรู้ตัวว่าเอ่ยอะไรออกไป ได้แต่คิดว่าไม่น่าเลย การกู้ชีพยังไม่สิ้นสุด ต่อให้ความหวังแสนริบหรี่ อย่างไรเสียคิดว่ายังไม่ควรพูดให้ชายหนุ่มที่นอนนิ่งอยู่ในรถตอนนี้ได้ยิน เชื่อว่าการที่คนคนหนึ่งยอมกระโจนลงน้ำไปช่วยใครสักคนโดยไม่ลังเล เอาชีวิตตัวเองไปอยู่บนความเสี่ยง ห่วงแต่จะพาคนที่ติดอยู่ในรถออกมาก่อน คนในนั้นคงจะต้องมีความสำคัญเกินกว่าเธอจะมาพูดจาตัดสินกันได้ง่าย ๆ ว่าเขาจะรอดหรือไม่รอด
ครู่หนึ่งที่คิดว่าอีกฝ่ายอาจไม่ได้ยินคำพูดเธอ ผู้ชายคนนั้นก็เบิกตากว้าง เด้งตัวขึ้นมานั่งคล้ายเพิ่งรวบรวมความคิดได้ว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ที่ไหน
“ธัญญ์ล่ะ!?”
เขาตะโกนออกมาเสียงดัง กระวนกระวายหันซ้ายขวา เหวี่ยงแขนจนเลือดย้อนขึ้นมาทางสายน้ำเกลือ ให้เจ้าหน้าที่อีกคนต้องรวบแขนไว้แล้วออกแรงกดพอประมาณตรงข้อศอกและเข่าให้คนป่วยอยู่นิ่ง
“ใจเย็นก่อนคุณ”
“เขาอยู่ที่ไหนแล้ว!?” ฝ่ายนั้นยังร้องลั่น ยื้อยุดจะลุกขึ้นมามองออกไปผ่านกระจกรถด้านหลัง เมื่อเห็นว่ารถคันนี้ออกมาไกลจากที่เกิดเหตุแล้ว สีหน้าแตกตื่นเมื่อครู่กลับเปลี่ยนเป็นลืมตาเบิกโพลง ปากอ้าค้างและสั่นระริก จากนั้นปลายจมูกค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนคนกำลังจะร้องไห้ เสียงเครือเหมือนจะขาดใจ
“...พวกคุณช่วยเขาแล้วใช่ไหม...เขาไม่เป็นไรใช่ไหม ให้ผมลงไปหาเขาก่อน”
“คุณสงบสติอารมณ์แล้วนอนลงก่อน” เธอส่งเสียงขึงขัง
“บอกสิว่าเขาไม่เป็นไรใช่ไหม!?”
เจ้าหน้าที่หญิงสูดลมหายใจเข้าลึกเมื่อได้ยินเสียงตะคอก พยายามไม่เสียงดังไปด้วยอีกคน “ไม่รู้คุณหมายถึงใคร แต่ทีมกู้ภัยพาทุกคนขึ้นมาได้แล้ว ตอนนี้กำลังช่วยเหลือเต็มที่”
เสี้ยววินาทีนั้น เธอนึกไปถึงภาพใบหน้าซีดเซียวไร้สีเลือดของชายผู้ได้รับการกดนวดหัวใจด้วยความหวังริบหรี่คนนั้น พูดต่อแบ่งรับแบ่งสู้โดยไม่เอ่ยถึงผลลัพธ์ “เจ้าหน้าที่กำลังช่วยชีวิตทุกคนอย่างสุดความสามารถ คุณเองก็ด้วย พวกเรากำลังช่วยคุณอยู่”
“พาผมกลับไปหาเขา! ผมไม่ได้เป็นอะไร!”
“คุณเป็น!” ดื้อด้านจนอดไม่ได้จะเสียงดัง “จมน้ำไปเพราะมัวแต่ห่วงช่วยคนอื่น ดีเท่าไรแล้วที่จมไปแค่แป๊บเดียวก็เอาตัวขึ้นมาได้ ก่อนจะช่วยใครต้องเอาตัวเองให้รอดก่อน ตื่นแล้วก็มีสติหน่อย!”
คราวนี้เหมือนจะได้ผล คนฟังนั่งหายใจหอบ ดวงหน้าฉายแววหวาดวิตก ท่าทางราวกับกลัวอย่างที่สุดว่าอาจสูญเสียสิ่งสำคัญ—หรือไม่ก็คนสำคัญที่สุดในชีวิตไป
“ทุกคนกำลังช่วยเหลืออย่างเต็มที่” เธอย้ำอีกครั้ง ต่อด้วยเอ่ยชมหวังให้กำลังใจ “คุณทำดีที่สุดแล้ว กล้าหาญมาก จากนี้ให้เจ้าหน้าที่ช่วยดูแลต่อ”
ครู่ใหญ่ กว่าผู้ชายคนนั้นจะเอ่ยออกมาอีกหน น้ำเสียงและสีหน้าอิดโรย เหมือนคนสิ้นอาลัยตายอยาก ทอดสายตาเหม่อลอยไปทางด้านหลังรถ
“...เขาจะไม่เป็นอะไรใช่รึเปล่า”
คำถามซ้ำซาก แต่ไม่มีใครตอบได้
เธอไม่กล้ารับปาก ไม่ควรยืนยันโดยยังไม่รู้ผล เอามือดันให้เขากลับลงไปนอนที่เดิม แม้หายใจเร็วอยู่บ้าง แต่เป็นไปด้วยจังหวะสม่ำเสมอ ไม่ส่งเสียงอะไรอีก
นอกจากเนื้อตัวและผมเผ้าเปียกปอนแล้ว ครู่หนึ่ง ก็เห็นว่ามีหยดน้ำไหลออกมาเงียบ ๆ จากดวงตาทั้งสองข้าง
เป็นเช่นนั้นไปตลอดทางจนถึงโรงพยาบาล
หากไม่นับแพทย์และพยาบาลแล้ว ผู้ที่มาเยี่ยมเขาเป็นคนแรก คือชายหนุ่มผิวเข้มผู้มีสีหน้าเศร้าหมองจนไม่เหลือเค้าเจ้านายหนุ่มไฟแรงคนเดิมที่บริษัท
เสื้อผ้าและเนื้อตัวฝ่ายนั้นแห้งสะอาดแล้ว แต่นัยน์ตาแดงก่ำ รอยฟกช้ำบนใบหน้าบวมยิ่งกว่าเก่าเมื่อผ่านมาระยะหนึ่งหลังการแลกหมัดกับเขาก่อนหน้านี้ มีก๊อซแผ่นใหญ่แปะอยู่ตรงคาง ทั้งหมดยืนยันชัดเจนว่าพวกเขาเพิ่งผ่านเหตุการณ์ทั้งหมดมาด้วยกัน
ภาคีมาคนเดียว
มองข้างหลังด้วยความคาดหวังอย่างไร ก็เห็นแต่เจ้านายที่มายืนข้างเตียงเพียงคนเดียวเท่านั้น
หัวใจเขาดิ่งวูบ
“หมอบอกคุณไม่เป็นอะไรมาก” ฝ่ายนั้นเอ่ยขึ้นก่อน เสียงแหบพร่า
“..ธัญญ์...ล่ะ” เขากลั้นใจถาม ฟังแทบไม่เป็นคำ แต่อีกฝ่ายซึ่งน่าจะอ่านปากได้กลับมองเขาเงียบ ๆ อยู่ข้างเตียง จนต้องเค้นเสียงถามซ้ำ “ธัญญ์? อยู่ไหน?”
ภาคีทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ว่างข้างเตียงผู้ป่วย สีหน้าเหนื่อยล้า มองผ่านเลยเขาออกไปนอกหน้าต่างกระจก นัยน์ตาหม่นหมองสะท้อนแสงไฟจากตึกสูงใหญ่ที่ส่องสว่างกลางฟ้ามืด
“...ถ้าเลือกได้” ฝ่ายนั้นพึมพำแผ่วเบา ท่าทางราวไม่ได้พูดกับคู่สนทนาบนเตียงคนป่วย “คุณจะเลือกตายแทนเขาได้หรือเปล่า”
“...เขา...?” ภูเมศขมวดคิ้ว “เขาไหน? คุณหมายถึงใคร”
สายตาคู่นั้นเบนกลับมา
“คุณธัญญ์”
ชายหนุ่มแทบกระโจนลงจากเตียงไปกระชากคอเสื้ออีกฝ่าย “เขาเป็นอะไร!?”
“คุณตอบมาก่อน”
“มันใช่เวลามาถามเรื่องแบบนั้นรึไง!”
“หรือว่าทำไม่ได้?”
ภูเมศชะงัก ในหัวมีแต่คำถาม เกิดอะไรขึ้นกับธัญญ์ ตอนนี้ฝ่ายนั้นอยู่ที่ไหนแล้ว ทำไมภาคีจึงเอาแต่พูดอ้อมค้อมยากคาดเดาเจตนา
“คุณเองก็มีลูกชายตัวเล็ก ๆ ต้องดูแล” คนข้างเตียงยังว่าต่อ “ถึงจะอยากแลกชีวิตตัวเองกับใครก็ตามถ้าทำได้จริง ก็ไม่ใช่สักแต่พูดแล้วจะทำได้ง่าย ๆ ต่อให้คุณจะยอมตายเพื่อเขาได้ แต่คุณยอมทิ้งลูกชายได้หรือ?”
ชายหนุ่มโคลงศีรษะ “ผมไม่เข้าใจสิ่งที่คุณจะสื่อ”
ภาคีสูดลมหายใจเข้าลึก ขอบตาแดงเรื่อ ทำราวกับไม่ได้ยินคำถามเขา
“คุณธเนศ—คุณพ่อ...เขาตายแล้ว...” พูดถึงตรงนี้ก็ต้องหยุดพักไปอีกครู่หนึ่ง เว้นช่วงให้ตัวเองสงบสติอารมณ์ ขณะที่คนฟังเบิกตากว้าง หายใจติดขัด “หัวใจหยุดเต้นในที่เกิดเหตุ ปั๊มหัวใจอยู่นานมาก แต่เขาจากไปแล้ว ไม่ทันแล้ว..”
แม้ไม่รู้จักมักคุ้นเป็นการส่วนตัว และหากว่ากันตามจริงแล้ว ก็อาจถือเป็นศัตรูมากกว่า ทว่ามาได้ยินเข้ากับหูก็ยังอดหดหู่ไม่ได้
“...ผมเสียใจด้วย”
ภาคีพยักหน้าน้อย ๆ คล้ายผ่านระยะทำใจมาแล้วส่วนหนึ่ง แต่ยังคงความเศร้าหมองเจืออยู่ในทุกการแสดงออก
เขาเองคิดว่าภาคีที่กระโดดตามลงมาในภายหลัง ก็คงทันเห็นภาพใต้น้ำนั่นเหมือนกัน
ตอนเขาดำลงไปพยายามช่วยธัญญ์ออกมาจากรถ กลับพบว่าข้อมือของสองคนที่จมอยู่ผูกกันไว้ด้วยเชือกสีแดงเส้นใหญ่จนไม่อาจดึงแยกออกมาเพียงคนใดคนหนึ่งได้
เขาออกแรงเปิดประตูรถซึ่งจมลงและมีน้ำท่วมเต็มคันได้ในที่สุด ธัญญ์ตอนนั้นดูเหมือนจวนเจียนจะหมดสติ แต่ธเนศกลับควานเปะปะไปยังช่องเก็บของ คว้าได้มีดพกไว้ในมือ
ฝ่ายนั้นเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง—หากทัศนวิสัยใต้น้ำไม่ได้เล่นตลก แล้วยังคล้ายจะพยักหน้าน้อย ๆ ให้เขา จากนั้นพยายามตัดเส้นเชือกที่ผูกไว้ระหว่างข้อมือของทั้งสองคน แต่คล้ายว่าลมหายใจที่กลั้นไว้จะถึงขีดจำกัด ทำได้แค่เฉือนจนมันขาดออกราวครึ่งหนึ่งของเส้นผ่าศูนย์กลาง ร่างก็กระตุกไหว มีดพกหลุดร่วงจากมือ
ภูเมศรีบเข้าไปคว้าไว้ได้ตอนนั้น ใช้มันตัดส่วนที่เหลือของเชือกจนขาดออกจากกัน เสร็จแล้วรีบดึงธัญญ์ขึ้นพ้นจากน้ำ
“ตอนลงไป ผมเห็นเชือกนั่น...ผูกเชื่อมข้อมือพวกเขา” ภาคีเอ่ย สุ้มเสียงไม่มั่นคงนัก ดึงเขาจากภวังค์ แต่ยืนยันความคิดเขาว่าภาคีเองก็เห็นเช่นกัน “ไม่รู้ใครผูก แต่คุณธเนศเป็นคนเริ่มตัดมัน เรื่องรถที่พุ่งชนราวกั้นตกน้ำก็คงไม่ใช่อุบัติเหตุ บางทีอาจเป็นความคิดคุณธัญญ์ที่—”
กล่าวได้ถึงตรงนี้ ก็ต้องหยุดพักอีกครั้ง นานกว่าเก่า
“...คนเก่าคนแก่ในบ้านพยายามปิด แต่คนสวนคนหนึ่งเพิ่งเคยหลุดปากกับผมเมื่อไม่นานมานี้ ว่าสมัยเด็ก คุณธัญญ์เคยพยายามฆ่าตัวตาย..”
ภูเมศกลั้นหายใจ กะพริบตาสองสามครั้งไล่ความร้อนผ่าวในนั้น
“ถ้าเคยทำแล้วครั้งหนึ่ง ก็มีแนวโน้มจะมีครั้งถัด ๆ ไป หากวันหนึ่งเขาต้องการความช่วยเหลือขึ้นมา ถ้าวันหนึ่งเกิดอะไรขึ้นกับเขา หรือเขาทำอะไรแบบนี้อีก คุณจะช่วยเขารึเปล่า จะยอมทิ้งทุกอย่างของตัวเองเพื่อเขาได้หรือเปล่า..ผมแค่อยากรู้ เพราะที่ผ่านมาผมทำไม่ได้..ทั้งที่เขาเองก็เป็นเหมือนน้องชายคนหนึ่ง แล้วยังมีบุญคุณมาตลอด แต่คนอย่างผม—”
ภาคียกมือขึ้นปิดหน้า เม้มปากไว้แน่นก่อนจะมีสุ้มเสียงน่าขายหน้าหลุดรอดออกมา
ภูเมศมองเจ้านายตัวเองเงียบ ๆ
ส่วนหนึ่งยังค้างคา แต่ฟังจากคำบอกแล้ว อย่างน้อยก็คิดว่าธัญญ์ยังมีชีวิตอยู่
“เขาเป็นอย่างไรบ้าง”
ไม่จำเป็นต้องถามกลับว่าหมายถึงใคร
“....ฟื้นแล้ว..” อีกฝ่ายเอ่ยเสียงเครือ แต่เมื่อมีคำพูดออกมา ก็เป็นการยากจะกลั้นเสียงสะอื้นไว้ “..ยังต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ...แต่หมอบอกว่าระดับความรู้สึกตัวดีมาก หายใจเองไหว พรุ่งนี้เช้าก็คงถอดเครื่องออกได้”
ภูเมศพยักหน้าช้า ๆ หยดน้ำร่วงผล็อยลงจากตาอย่างไม่อาจห้าม
เหมือนยกภูเขาหนักอึ้งออกจากอก ไม่เคยสัมผัสได้ถึงถ้อยคำนั้นอย่างจริงจังเลยกระทั่งวินาทีนี้
“...ทั้งที่มีชีวิตอยู่ ทั้งที่รอดมาได้ แต่พอรู้สึกตัวขึ้นจริง ๆ เขาก็เอาแต่ร้องไห้อยู่เงียบ ๆ บนเตียง มีสายอะไรต่อมิอะไรระโยงระยาง ในปากมีท่อช่วยหายใจ ในจมูกมีสายให้อาหาร ผมได้แต่คิดว่าทำไมคนที่ดูเหมือนจะเกิดมาโชคดีกว่าใครอย่างคุณธัญญ์ถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้ ทำไมเขาไม่ได้โตเป็นผู้ใหญ่ที่เพียบพร้อม ทำไมเขาต้องเจอกับเรื่องบ้า ๆ จนต้องหาทางจบชีวิตตัวเองซ้ำ ๆ ..ทำไมผมไม่กล้าช่วยเขา ทำไมผมทำอะไรไม่ได้ ทำไมไม่มีใครทำอะไรเรื่องนี้ได้—”
“ผมทำได้” เขาขัดจังหวะ แม้สุ้มเสียงแปร่งแปลกหูไปบ้าง แต่เป็นเสียงเขาเองแน่นอน ออกจากปากตัวเอง ชัดถ้อยชัดคำ
“จากนี้ผมจะดูแลเขาเอง”
หลังเหตุการณ์มากมายที่ผ่าน ความคลางแคลงคล้ายละลายหายไปช้า ๆ
ภูเมศสูดลมหายใจเข้าลึก
“ลูกชายผมไม่ใช่ตัวเลือกว่าถ้าจะช่วยธัญญ์แล้วต้องทอดทิ้งลูก ทั้งสองคนเป็นคนที่ผมรักและจะไม่มีวันปล่อยมือเด็ดขาด...ไม่อีกแล้ว ที่ผ่านมาผมพลาดเกินพอแล้ว และที่สำคัญ เจ้าภูมิก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ถ้ารู้ว่าพี่เลี้ยงสุดรักเขาเป็นอะไร จะต้องหาทางช่วยสุดความสามารถเหมือนกัน"
ภาคีเบิกตากว้างในตอนแรก เมื่อเขาเอาแต่พูดไม่หยุด แต่สุดท้ายก็นิ่งฟังเงียบ ๆ ไม่ขัดจังหวะ
“ดังนั้นผมไม่จำเป็นต้องเลือกว่าจะทิ้งหรือไม่ทิ้งใคร แต่เราจะไม่ทอดทิ้งกัน...ก็เท่านั้น”
เขายกปลายนิ้วขึ้นถูจมูก “คุณไม่รู้หรอก ไอ้ตัวแสบของผมปลื้มพี่ธัญญ์สุดที่รักขนาดไหน อย่างแย่ที่สุด เกิดวันหนึ่งผมเป็นอะไรไปจริง ๆ ลูกชายผมก็ดูแลเขาได้แน่”
“..เห็นอยู่หรอก” ภาคีพึมพำ พ่นลมออกจมูกคล้ายจะสบประมาท “จำได้ตอนเขาออกจากบ้านคุณก่อนหน้านี้ ทำงานที่ร้านอาหาร ไอ้หนูนั่นโดดเรียนไปหาคุณธัญญ์ก่อนคุณจะไปตามเขากลับอีก”
“หา!?” เขาเลิกคิ้ว เรื่องนั้นไม่เคยได้ยินมาก่อน
ผู้เป็นนายถอนหายใจเฮือกอีกหน ไม่ขยายความต่อ ทิ้งให้คนฟังสงสัย ได้แต่ทดไว้ในใจว่าเรื่องนั้นไว้ค่อยไปถามเจ้าลูกชาย แต่ตอนนี้มีเรื่องสำคัญกว่าที่อยากรู้ กระวนกระวายอยู่นานแล้วยังไม่ได้คำตอบสักที
“ธัญญ์อยู่ที่ไหน ผมอยากไปหาเขา”
“เขาก็อยู่โรงพยาบาลนี้เหมือนกัน”
“ละเอียดกว่านี้ได้ไหม ผมทนความอ้อมค้อมไม่ไหวแล้ว ขอร้อง”
ชายหนุ่มมองเขาด้วยสายตาเหมือนมีส่วนผสมระหว่างความรำคาญกับไม่วางใจให้เจอ แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจครั้งที่สาม อ้าปากบอกจนได้
“ไอซียู”
ภูเมศลุกพรวดขึ้นจากเตียง “ผมจะไปเจอเขา”
“ไปเดินเตร่ทั้งที่ตัวเองก็อยู่ในชุดคนไข้โรงพยาบาล!? ได้โดนโยนออกมาตั้งแต่ยังไม่ทันได้เยี่ยมน่ะสิ!”
“งั้นผมออกจากโรงพยาบาลตอนนี้เลย” เขาสรุปรวบรัด “คุณเป็นเจ้านาย ช่วยจัดการเรื่องนั้นให้หน่อยได้รึเปล่า”
“พูดเองว่าผมเป็นเจ้านาย แล้วยังจะกล้าใช้งานเรอะ!?”
“รอไม่ได้อีกแล้ว” ภูเมศว่า ถลาไปที่ประตู “คุณบอกเขาเอาแต่ร้องไห้นี่ ตอนนี้ก็อาจกำลังร้องไห้อยู่ ต้องไปหาเดี๋ยวนี้ บ้านพวกคุณรวยไม่ใช่หรือ? ใช้อำนาจเงินนิดหน่อย จัดการให้น้อยเขยเข้าเยี่ยมไม่ได้หรือไง”
ภาคีถึงกับอึ้งไป พูดไม่ออกกับถ้อยคำนั้น ถูกลูกน้องที่อายุมากกว่าเรียกตัวเองว่า ‘น้องเขย’ อย่างหน้าด้าน ๆ
“พรุ่งนี้ไอ้ลูกชายจะกลับจากเข้าค่ายแล้ว ขืนไม่เจอพี่ธัญญ์สุดที่รักคงได้โวยวายบ้านแตกแน่ เขารักของเขาขนาดนั้นนั่นละ”
ก่อนพุ่งตัวออกไปจากห้อง รองเท้าก็ไม่ใส่ แล้วยังไม่วายทิ้งท้าย
“และผมก็รักของผมมาก ๆ เหมือนกัน”
มีต่อรีพลายถัดไปค่ะ
v
v
v
v
v