┤ ราคา ◇ ค่า ◇ รัก ├ งวดพิเศษ 03 - สัตว์กินเนื้อที่กินผักชีได้ หน้า 64 [6/6/60]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ┤ ราคา ◇ ค่า ◇ รัก ├ งวดพิเศษ 03 - สัตว์กินเนื้อที่กินผักชีได้ หน้า 64 [6/6/60]  (อ่าน 470944 ครั้ง)

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
สัมผัสได้ว่าธัญญ์มีความสุขจากใจจริงๆ
เชื่อว่าอีกไม่นาน เด็กที่เคยสดใสร่าเริงในอดีต
คงจะกลับมาในเร็ววัน เพราะลุงภูเมศช่างเอาอกเอาใจ
และช่างเข้าอกเข้าใจดีเหลือเกิน ไหนจะพร้อมภูมิอีก
สนใจผู้หญิงอย่างแม่พร้อมภูมิจังเลยนะ
หวังว่าลุงจะไม่หมดรักธัญญ์อย่างที่เคยหมดรักเธอนะ

ขอบคุณคนเขียนนะคะ

ออฟไลน์ mareya.no7

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 556
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ขอบคุณคับ

ออฟไลน์ BeauBeeiiz

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 420
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
โภ่ คุณพ่อภูค่ะ หวานไม่เกรงใจคุณลูกชายเลยนะ อิป้านี่เขินหนักมากกก

ขอให้มีความสุขในทุกๆวัน และอยู่ด้วยกันไปจนผมขาวเลยนะ

ขอบคุณค่ะ

ออฟไลน์ clairon

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เริ่มต้นชีวิตใหม่แล้ว
หมดเวรหมดกรรมซักที
บครอบครัวอบอุ่นจนร้อนเลยละ
 :z1:

ออฟไลน์ snowboxs

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5445
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +124/-7
สัมผัสได้ว่าธัญญ์มีความสุขจากใจจริงๆ
เชื่อว่าอีกไม่นาน เด็กที่เคยสดใสร่าเริงในอดีต
คงจะกลับมาในเร็ววัน เพราะลุงภูเมศช่างเอาอกเอาใจ
และช่างเข้าอกเข้าใจดีเหลือเกิน ไหนจะพร้อมภูมิอีก
สนใจผู้หญิงอย่างแม่พร้อมภูมิจังเลยนะ
หวังว่าลุงจะไม่หมดรักธัญญ์อย่างที่เคยหมดรักเธอนะ

ขอบคุณคนเขียนนะคะ

ออฟไลน์ missyaoi

  • INDY^^
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 185
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +73/-1
จบแล้ว บอกเลยว่าทรหดเหลือเกิน มันหวาน มันซึ้ง มันหน่วง ครบรสจริงๆ ขอบคุณคนเขียนมากค่ะ ที่แต่งนิยายดีๆ มาให้อ่านกัน

ออฟไลน์ evz

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 275
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +25/-0
อ่านจบแล้วปลื้มปริ่มมากเลยค่ะ
รักคุณเรนเช่นกันค่ะ
รักเรื่องนี้และตัวละครในเรื่องนี้มากๆด้วยค่ะ
ต่อให้ตัวละครอย่างคุณธเนศจะน่ารังเกียจขนาดไหน
แต่เพราะอย่างนั้นเลยทำให้เกิดธัญญ์ที่เป็นแบบนี้ขึ้นมา
และทำให้ธัญญ์ได้เจอกับคุณภู เรื่องถึงได้ดำเนินมาได้
ทุกตัวละครสำคัญในบทบาทของตัวเอง เรื่องถึงได้เดินต่อมาจนจบได้

ถึงจะยังไม่อยากให้จบ แต่ก็เป็นตอนจบที่มากเลยค่ะ
ดีกับใจคนอ่าน และคงดีกับใจลุงและนุ้งธัญญ์มากๆด้วยแน่ๆ
สวมแหวนแสดงความเป็นเจ้าของกันอย่างเป็นทางการแล้วนะ
ดีใจกับทั้งคู่ด้วย กว่าจะมาถึงตอนนี้ไม่ง่ายเลยจริงๆ
คนอ่านก็เสียน้ำตาให้ทั้งคู่มาหลายปี๊บแล้วเช่นกัน 55555
เป็นเรื่องที่ถึงจะมาแค่เดือนละตอนก็พร้อมจะรอมากๆค่ะ
อ่านจบตอนนึงแล้วอยากให้เวลาเดินไวขึ้นมากๆ อยากวาร์บไปอ่านตอนใหม่
คุณเรนมักเขียนให้ท้ายตอนน่าติดตามเสมอ เป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่ได้รออ่านแต่ละตอน
ส่วนช่วงไหนดราม่าก็ปาดน้ำตารอกันเลยล่ะค่ะ 5555

ถึงเรื่องนี้จะจบแล้ว แต่ก็ยังอยากอ่านตอนพิเศษอีกเรื่อยๆนะคะ
ถ้ามีโอกาสก็รบกวนคุณเรนนี่เข็นออกมาเยอะๆเลยนะคะ
ชอบนุ้งธัญญ์อ้อนลุงมากๆค่ะ อยากอ่านนุ้งธัญญ์เรียกลุงว่าพี่ภู
แค่คิดก็เขินแทนทั้งคู่ละค่ะ 5555

แล้วก็รอน้องภูมิโตไวๆอยู่นะคะ ลุ้นความสัมพันธ์ของเด็กน้อยน้องภูมิและเด็กน้อยพี่ตังอยู่นะคะ
อยากเห็นพ่อกับพี่เลี้ยงตกใจด้วย หรืออาจจะไม่ตกใจคะเพราะคาดไว้แล้ว 5555

ขอบคุณคุณเรนอีกทีนะคะ ที่ต่อให้ยุ่งขนาดไหนก็ยังมาต่อเสมอ
ถึงมีเดือนที่ขาดก็ยังมาชดให้ ไม่ปล่อยคนอ่านไว้กลางทาง
รักมากนะคะแต่ไม่แสดงออก(เหรอ555) :กอด1:

สุดท้ายก็ขออวยพรให้ประสบความสำเร็จในการเรียนสอบผ่านฉลุยนะคะ จะได้มีเวลามาเขียนนิยายเยอะๆ

ออฟไลน์ reverofjs

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 380
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
จบได้ดีมากจริงๆค่ะ อุ่นไปหมด ในที่สุดธัญญ์ก็ได้มีความสุขจริงๆซักที   :mew1:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
เห็นรอยยิ้มก้อดีแล้วว

ออฟไลน์ GintoniC

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 829
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-0
สนุกมากกกก ครบรสเลยค่ะ อ่านรวดเดียวจบเลย รอตอนพิเศษนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ liza sarin

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +91/-14
 :pig4: เต็มอิ่มมาก

ออฟไลน์ Prattana

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 50
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
จบแล้ว ต้องคิดถึงเรื่องนี้แน่เลย เพราะจดจ่อมาตลอดว่าเมื่อไหร่จะอัพน๊า
พอคนเขียนมาอัพก็พุ่งมาอ่านทันที อ่านทุกตอนไม่เคยผิดหวังสักตอน
คนเขียนแต่งได้ดีมาก อ่านแล้วอิน ไม่มีสะดุดเลย มาเต็มทุกความรู้สึก
อยากขอบคุณมากๆเลย ที่สละเวลามาแต่งนิยายสนุกๆ ให้ได้อ่าน
รักเรื่องนี้สุดๆค่ะ ธัญญ์ของพี่(ลุงตบบบ) น่ารักมากๆ ยิ่งตอนพยายามอ่อย
แต่ใจจริงเขินจนไม่รู้จะเขินยังไงแล้ว แต่ก็อยากชูรักชูรสให้ชีวิตคู่ ให้ลุงฟินมีความสุข
นี่แบบยิ่งน่าหยิกแก้มมากๆ จากนี้ขอให้มีแต่ความสุขนะครับ มีครอบครัวจริงๆแล้ว

จะรอติดตามเรื่องต่อๆไปนะคะ ส่วนเรื่องนี้ถ้ามีรวมเล่มเราจะไม่พลาดแน่ๆค่ะ   :L1:

ออฟไลน์ kedtawan

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 78
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0

ออฟไลน์ puchi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 762
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +82/-5
ธัญน่าสงสารมาก อ่านแล้วซึมตามเลย
และก็เดาไม่ผิดเลยเรื่องของพ่อ(เลี้ยง) เฮ้ออออ ไม่น่าเลย รักคนที่ไม่ควรรัก ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ

สุดท้ายก็มีความสุขสักที ลุ้นมานาน

สนุกมากค่ะ


ออฟไลน์ พันวา

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 126
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +191/-5
เป็นนิยายที่ตามอ่านตั้งแต่ตอนแรกๆ แต่ต้องมาหยุดเอาไว้ที่ตอน20 เพราะทำใจลำบากมาก อย่างแรกกล้วจบแบบ Bad End

อย่างที่สอง เป็นคนอ่านที่กลัวดราม่ามาก แต่ก็ชอบอ่าน บางเรื่องที่คิดว่าดราม่าหนักๆ จะไม่อ่านต่อเลยทำใจไม่ได้ มันอ่อนไหวมากๆ 55555
เรื่องนี้ที่ทำใจกลับมาอ่านจนจบ เพราะสนใจธัญญ์  บุคลิกแบบน้องน่าสนใจมาก  มันดึงดูดมันมีเสน่ห์จนห้ามใจไม่ไหว  ชักจะคิดเหมือนพี่ภูแฮะ 555

เป็นเรื่องแรกที่เกลียดตัวร้ายตั้งแต่แรก แต่พอตอนจบกลับนึกเข้าใจแต่ก็ยังเกลียด เหมือนเป็นธัญญ์เองเลย :hao5:

 เชื่อว่าธัญญ์เองก็มีความรู้สึกแบบนี้แน่ๆ จะเกลียดก็เกลียดมากแต่ไม่สุดเพราะยังสงสารและเห็นใจ

คิดว่าที่ธเนศเป็นแบบนี้น่าจะมาจากพ่อของ ธัญญ์ คงรักพ่อธัญญ์มาก เลยรับเอาแม่ลูกมาเพื่อหวังดูแล

ทดแทนหรืออะไรประมาณนั้น แต่ผิดพลาดยังไงถึงได้ไปทำกับธัญญ์แบบนั้น อันนี้น่าสนใจอีกนั่นแหละ แต่ก็กลัวดราม่าอีก  :hao5:
ใจนึงก็อยากอ่านในมุมของธเนศนะ  เสียดายที่ธเนศจากไปแบบนั้น น่าจะอยู่ชดใช้ความผิดที่ทำแม้จะมีเหตุผลอะไรก็ตามที่ทำ

ก็ควรจะอยู่เพื่อมองดูอนาคตที่ดีของธัญญ์  เพราะจากไปแบบนี้ คนเสียใจที่สุดคือธัญญ์ 

เขียนมาซะเยอะเลยแหะๆ เป็นนิยายเรื่องแรกเลยที่เม้นท์ยาวขนาดนี้  เอาเป็นว่า ชอบน้องธัญ์กัดฟันอ่านดราม่าน้ำตานองหน่วงเหงาเศร้าซึมจนจบ 

ขอบคุณที่คนเขียนยังคงพล็อตเดิมไว้ แม้มันจะโหดร้ายไปสักหน่อยเรื่องล่วงละเมิดทางเพศเด็กจากคนไกล้ตัว แต่มันก็สะท้อนความจริงในสังคมได้เยอะเลยทีเดียว  :mew1: :mew1:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 27-01-2017 10:40:40 โดย Phanwa86 »

ออฟไลน์ MoonSunSky

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 :L2: :กอด1: o13 สมัคร login เพื่อเข้ามาชื่นชมผู้แต่งว่าเก่งมากค่ะ   ทั้งเรื่องนี้และเรื่องอื่นๆของผู้แต่ง  ไม่มีเรื่องไหนที่ไม่ชอบเลย  เขียนได้ดีทุกเรื่อง (ไม่ได้อวยนะ)  ใครอยากพิสูจน์ให้ลองไปอ่านนะคะ   ของเค้าดีจริงๆ  o13 :L2: :กอด1:

เมื่อไหร่เปิดเรื่องไหมก็แจ้งในเฟสด้วยนะคะ  จะขอตามอ่านทุกเรื่องเลย

ออฟไลน์ samsung009

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-1

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2664
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
ทั้งทุกข์และสุขในเวลาเดียวกัน แต่ยาดี แผลใจเลยดีขึ้นบ้าง

ธัญญ์น่ารัก มีความซน ทะเล้นตามวัย แต่เหมือนถูกกดไว้ ตัวตนเกือบหายไป เพราะเรื่องราวในอดีตคอยหลอน
แต่สุดท้าย คุณภูก็มาเปิดกล่องใจ ทำให้ธัญญ์อยากมีชีวิตแบบรักเป็น สุขเป็น มากกว่าทุกข์อย่างเดียว

คุณภู ถ้าไม่เสียไป ก็ไม่รู้ตัว แต่ดีที่รู้ไว ไม่งั้นคงเศร้ากันไปอีกนาน
พอรู้ตัว รู้ใจ เรื่องเขิน เรื่องอิน ไม่ต้องบอก ยิ่งถูกกระตุ้น ยิ่งเรียกร้อง ยิ่งอยากทำ ธัญญ์ทำได้ 5555

น้องภูมิเซี้ยวมาก แอบเกรียนด้วย

ภาคีซึ้งใจไปอีก เป็นพี่ชายที่มีน้องธัญญ์จอมเก๊ก

จริงๆ ไม่อยากพูดว่าพอไม่มีธเนศ ทุกอย่างก็เข้าที่ แต่ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะมันเป็นความจริง

บนความเจ็บปวด แต่ยังมีความรัก ความเข้าใจ แผลธัญญ์จะหายไปในเร็ววัน

ขอบคุณคนแต่งมากนะคะ เรื่องราวน่าลุ้นและน่าติดตาม สะท้อนความเป็นไปหลายอย่าง รอตอน.5จ้า




ออฟไลน์ Tiamo_jamsai

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 961
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +126/-9
ในี่สุดก็มีความสุขสักที นะ ฮืออออ อ่านแล้วน้ำซึมไปด้วยเลยค่าาาา
ขอบคุณนักเขียนที่เขียนผลงานดีๆแบบนี้มาให้ได้อ่านนะคะ
ชอบทุกเรื่องเลยค่าาาาตามเป็นติ่งตลอดๆ5555
เป็นกำลังใจให้นะคะ
ปล.อยากอ่านเรื่องของภูมิค่ะแอบจิ้น55555คิดอกุศลกะบเด็กตลอดเลย :L1: 
รักและติดตามเสมอค่ามาา

ออฟไลน์ hanakok

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 3
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตามอ่านจนจบแล้วค่ะ หลังจากดองไว้ตั้งแต่ตอนที่ 23
ขอบคุณที่แต่งเรื่องนี้นะคะ มีครบทุกอารมณ์เราชอบมาก
ความหน่วงนี้ การบรรยายด้วยค่ะ
ยิ่งตอนหลังๆนี่แบบเราลุ้นมากกก TT_TT

กอดคนเขียน รอติดตามเรื่องต่อๆไปน้าา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ kun

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +122/-10
มันอิ่มเอมใจอ่ะ ชอบมากๆๆเลยน่ะ มีความสุขกันแล้ว

รอตอนพิเศษต่อน่ะ

ออฟไลน์ RAINYDAY

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1247/-5
    • FB page
คำเตือน

งวดที่ 30.5 ที่อยู่ข้างล่างนี้ เป็นส่วนเติมเต็มของเนื้อเรื่องหลักค่ะ
หากว่าท่านผู้อ่านพอใจกับตอนจบของเนื้อเรื่องหลักในงวดที่ 30 แล้ว และไม่ได้อยากรู้อะไรเพิ่มเติมอีก หมดเรื่องคาใจ ไม่อยากขุดคุ้ย(?)จะปิดงวดนี้ไปเลยก็ได้ค่ะ

แต่หากยังมีบางอย่างที่คาใจ อยากรู้เหตุผล อยากรู้ความเป็นไปเบื้องลึกเบื้องหลังบางส่วน (ที่คนเขียนเองก็อยากสื่อให้ทราบเช่นกัน) รู้สึกว่ามันยังไม่สุด (ซึ่งมันก็ยังไม่สุดจริง ๆ เพราะเรื่องที่วางไว้ยังไม่หมดดีค่ะ) คิดว่างวด 30.5 นี้ คงจะช่วยคลายความรู้สึกนั้นลงได้บ้าง

ถามว่าดราม่าไหม คิดว่าไม่เท่าที่ผ่านมานะคะ ยังห่างไกลนัก ถ้าผ่านพวกนั้นมาได้ งวดนี้ก็เชื่อว่าไม่สามารถทำอะไรคนอ่านได้แล้ว //เอ๊ะ?

ทำเตือนไว้ให้เว่อวังไปงั้น จริง ๆ อาจไม่มีอะไร แต่ก็กลัวจะโดนเฉ่งทีหลัง (ฮา)
พร้อมแล้วเชิญค่ะ ^w^

(หลายรีพลายหน่อยนะคะ ความยาวเทียบเท่าประมาณ 3- 4 งวดปกติได้ ไม่อยากลงแยกให้ค้างคาค่ะ)






┤ ราคา ◇ ค่า ◇ รัก  ├


งวดที่ 30.5 INNOCENCE OF SIN





พบกันครั้งแรก ในสถานการณ์ที่ต่างไปจากชีวิตประจำวันปกติ

“ของคุณหรือเปล่าครับ?”

เจนจบหันกลับไปตามเสียงทัก ชายหนุ่มคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ทันได้มองหน้าให้ชัด มัวแต่จ้องมืออีกฝ่ายซึ่งมีกระเป๋าสตางค์หนังสีดำคุ้นตาถืออยู่

“เหมือนคุณจะทำหล่น” คนคนนั้นว่าต่อพร้อมรอยยิ้ม

“ใช่” ชายหนุ่มพยักหน้ารับ แม้เงินในนั้นหรือแม้แต่ตัวกระเป๋าสตางค์ราคาแพงนั่นจะหายก็ไม่กระทบกระเทือนอะไรเขาสักนิด แต่หากสารพัดบัตรหายไป คงเป็นเรื่องน่ารำคาญใจไม่น้อยอยู่เหมือนกัน “นั่นของฉัน ขอบใจมาก”

จังหวะที่จะเอื้อมไปหยิบคืน จึงได้โอกาสพิจารณาพลเมืองดีตรงหน้าให้ชัด ๆ

อย่างแรกที่สะดุดตา คงเป็นสีดำขลับในแววตาทั้งคู่ซึ่งจ้องมองมาทางเขา

ตาสวย...เขานึกชมในใจอย่างตรงไปตรงมา เลื่อนสายตามองเครื่องหน้าโดยรวมก็พบว่าเป็นหนุ่มหน้าตาดีจัดคนหนึ่งเลยทีเดียว คิ้ว ตา จมูก ริมฝีปากที่คล้ายมีรอยยิ้มน้อย ๆ ประดับอยู่ ดูเป็นธรรมชาติเหมือนเจ้าตัวไม่ได้ตั้งใจยิ้ม แต่ใบหน้าเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว

เครื่องแต่งกายอีกฝ่ายเป็นชุดนักศึกษาสะอาดสะอ้าน ตราบนเนคไทบอกให้รู้ว่าพวกเขาอยู่ร่วมสถาบันเดียวกัน เพียงแต่ตอนนี้เขาอยู่ในชุดไปรเวท มิน่าเล่า ตอนถูกทักเมื่อครู่นี้จึงได้ใช้คำพูดคำจาสุภาพมาเชียว ไม่รู้เขาดูหน้าแก่เกินวัยไปหรืออย่างไร

“บอกชื่อก่อนครับ”

“หือ?”

“บอกชื่อคุณก่อน ว่าตรงกับบัตรในนี้หรือเปล่า ผมจะได้รู้ว่าคุณเป็นเจ้าของจริง ๆ ไม่ใช่สวมรอย” ฝ่ายนั้นเอ่ยเรียบ ๆ แม้รูปประโยคราวกับหาเรื่องจนชวนหงุดหงิดอย่างไรพิกล แต่น้ำเสียงกลับน่าฟังจนเผลอมองข้ามเรื่องนั้นไปเสียหมด สามารถยืนรอเจ้าตัวกล่าวต่อจนจบประโยค “ไม่งั้นคงต้องเอาของไปส่งตำรวจ”

ชายหนุ่มได้ยินแล้วหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ

“เจนจบ ปุณณเตโช” เขาเอ่ยชัดถ้อยชัดคำ “ตรงกับบัตรในนั้นไหม วันเกิดด้วยก็ได้นะ หน้าฉันไม่เหมือนรูปในบัตรหรือ”

“ไม่ต้องแล้ว เหมือนครับ” อีกฝ่ายพยักหน้ารับ ดวงตาหยีลงน้อย ๆ พลางส่งของคืนให้เขา “คุณเช็คของดูได้”

เจนจบยักไหล่ หยิบกระเป๋าสตางค์มาเปิดดูแค่ต้องการมองหาบัตรที่สำคัญ ไม่ได้ใส่ใจจำนวนเงินในนั้น เห็นว่าอยู่ครบถ้วนดีก็ไม่ติดใจสงสัยเรื่องข้าวของ แต่กลับสนใจคนมากกว่า “ถามกลับบ้างได้ไหม”

“ครับ?”

“ชื่อล่ะ?”

ฝ่ายนั้นยกนิ้วชี้ตัวเอง หน้าเหวอไปนิดหน่อย “ผมหรือ?”

เขาพยักหน้า มองคู่สนทนาทำท่าทางลังเลนิดหน่อย สุดท้ายก็ตอบกลับมาสั้น ๆ

“ธัญ”

“ธัญหรือ?”

“หรือไม่ทันครับ”

เจนจบกะพริบตาปริบ ๆ กว่าจะรู้ตัวว่าถูกปล่อยมุกแป้กใส่ทั้งหน้าตายก็หมดไปหลายวินาที

“อืม ก็ทันละมั้ง”

ทั้งที่แป้กออกอย่างนั้น พอรู้ว่าช่างกล้าเล่น จึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้เสียนี่ รู้สึกถูกชะตาอย่างไรพิกล “อยู่คณะอะไรน่ะนาย”

คราวนี้คนฟังลังเลไปอีกนิดหน่อย เขาจึงได้ขยายความในส่วนของตัวเองขึ้นอีกนิด “เรียนมอเดียวกันเลย ฉันอยู่บริหารฯ”

“อ้อ”

“ปีสามแล้ว”

คนตรงหน้าได้ยินเช่นนั้น ค่อยดูผ่อนคลายลงบ้าง ส่งยิ้มบางเบากลับมา แนะนำตัวทีเล่นทีจริง

“ธัญญธร เกรียงกฤตยศ เศรษฐศาตร์ปีสองครับ”

“มาซะเต็มยศเลย”

“แฟร์ ๆ ไง” ว่าจบก็หัวเราะร่วน “คุณก็แนะนำตัวเต็มยศเหมือนกัน”

เขายักไหล่อีกหน หัวเราะหึ ๆ ในคอไปด้วย “เรียกพี่ก็ได้ เรียกคุณ ๆ แล้วจักจี้”

“พี่เจน?”

“ก็ตามใจ”

“น่ารักเชียว ชื่ออย่างกับผู้หญิงเลย”

เขามองใบหน้าไม่รู้ไม่ชี้ของอีกฝ่ายปราดหนึ่ง คำทักเช่นนี้ใช่ว่าไม่เคยได้ยิน หากเป็นคนอื่นพูดคงฟังขัดหูไม่น้อย น่าแปลกที่พอออกจากปากเจ้าเด็กปีสองต่างคณะซึ่งไม่เคยรู้จักกันมาก่อน กลับชวนให้รู้สึกว่าค่อนไปทางน่าหมั่นไส้จนอยากบิดให้จมูกโด่ง ๆ นั่นหลุดคามือออกมาเสียเลยมากกว่า

“ชื่อนายก็อย่างกับผู้หญิงเหมือนกันไม่ใช่หรือไง” เขายักคิ้ว เรียกอีกฝ่ายด้วยชื่อที่เพิ่งได้ฟังมา “ธัญญธร”

“นั่นสิครับ ทุกคนก็ว่างั้น”

ไม่ปฏิเสธอีกนั่น

“แต่ถ้าเรียกแค่ธัญเฉย ๆ มันก็เท่ดีเหมือนกันนา...”

เขาหัวเราะ “ใครบอกนายอย่างนั้นกัน”

“ผมไง” ยังมีหน้ามาชี้มือชี้ไม้เข้าหาตัวอีก “ผมบอกเอง ไม่เห็นต้องรอใครบอกเลย”

ชายหนุ่มได้แต่โคลงศีรษะอ่อนใจ แต่เห็นหน้าตาไม่รู้ร้อนรู้หนาวของอีกฝ่ายแล้วให้นึกเอ็นดูบอกไม่ถูก

“กินอะไรมาหรือยัง”

ธัญญธรก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ เห็นเวลาก้ำกึ่งกระหว่างมื้อเช้าและเที่ยง ทำปากอูมอยู่นิดหน่อยค่อยเงยหน้าขึ้นบอกเขา “มื้อเช้าเรียบร้อยแล้วครับ”

“เที่ยงล่ะ?”

“ยังไม่ถึงเวลา”

“ใกล้แล้ว”

“ฮื่อ” นิ่งไปอึดใจ ค่อยอ้อมแอ้มถาม “อยากเลี้ยงขอบคุณผมหรือ”

เขาหลุดหัวเราะ แม้กำลังคิดเช่นนั้นอยู่จริงก็เถอะ “ว่างไหมล่ะ กินก่อนเวลานิดหน่อยได้รึเปล่า”

อีกฝ่ายทำหน้าครุ่นคิด จากนั้นผงกศีรษะพลางยื่นข้อเสนอ “แต่ผมว่า..หารกันก็ได้นะครับ”

“เอางั้น?”

“ผมจะได้กินอย่างสบายใจไง”

คำพูดติดตลกถูกส่งมาพร้อมนัยน์ตาเป็นประกายสดใส มองแล้วอารมณ์ดีจนเกือบผิวปากหวือออกมา เดินไปคุยไปกันได้ครู่หนึ่ง ถึงกับถือวิสาสะยกมือขึ้นคล้องคอไอ้หนุ่มรุ่นน้อง รู้สึกถูกชะตาจนมีเรื่องให้คุยได้เรื่อยไม่ขัด

จากตอนแรกที่ตั้งใจจะหาร้านอาหารในละแวกเลี้ยงพอเป็นพิธี สุดท้ายกลับพานั่งรถออกไปเสียไกล ลากเข้าร้านหรูที่ปกติมักพาสาวมาเดทมากกว่า

มาถึงที่หมาย คนบอกว่าจะหารค่าอาหารกันกลับทำท่าอิดออดตั้งแต่ทางเข้า ถามแล้วถามอีกว่าเอาจริงหรือ ร้านอื่นก็ได้มั้ง หรูขนาดนี้ผมไม่มีเงินจะหารด้วยหรอกนะ ยกมือปาดเหงื่อที่มองไม่เห็นบนขมับป้อย ๆ

เจนจบหัวเราะ แขนที่คล้องคออีกฝ่ายกระชับขึ้นนิดหน่อยกันเจ้าตัววิ่งหนี พลางตบไหล่ฝ่ายนั้นแปะ ๆ “เอาน่า”

“มันไม่ไหวจริง ๆ นา” ยังไม่วายบ่นงุบงิบ เหลือบมองพนักงานต้อนรับในเครื่องแต่งกายสุภาพตั้งแต่หัวจรดเท้าไปด้วยอย่างหวาด ๆ “ผมยังไม่ได้ถอนตังค์ด้วย ทั้งเนื้อตัวมีอยู่ไม่เท่าไหร่เอง”

“เอาน่า” เขาย้ำอีกรอบ คราวนี้ออกแรงดันหลังอีกฝ่ายให้เดินเข้าไปแบบไม่ถามความสมัครใจ

พวกเขาได้ที่นั่งเรียบร้อยในมุมค่อนข้างเป็นส่วนตัว ตอนสั่งอาหาร ธัญญธรก็ยังมัวยิ้มเจื่อน หลับหูหลับตาจิ้มเลือกเมนูที่ราคาไม่แรงนักพอเป็นพิธีหนึ่งอย่าง ที่เหลือเขาเป็นคนสั่งเองทั้งหมด

เห็นคนฝั่งตรงข้ามลอบถอนหายใจเฮือกแล้วยิ่งนึกสนุก ปกติเวลามากับบรรดาหญิงสาว พวกเธอมักเตรียมเนื้อเตรียมตัวเป็นอย่างดี บรรจงแต่งหน้าแต่งกายสวยงาม ต่อให้ส่วนน้อยมีประหม่าบ้างก็แทบไม่หลุดท่าทางออกมาให้เห็น ไอ้เรื่องจะมานั่งถอนใจซ้ำแล้วซ้ำอีกให้ดูนี่คงไม่ต้องพูดถึง

ครู่หนึ่งเมื่ออาหารถูกยกมาเสิร์ฟ ทั้งที่หน้าตาน่าอร่อยทั้งนั้น เวลาก็ใกล้เที่ยงเต็มที ฝ่ายนั้นยังเก้ ๆ กัง ๆ คอยเหลือบมองเขาเป็นระยะ ดวงหน้าเยาว์วัยอยู่แล้วยิ่งดูเด็กลงไปอีกเมื่อดวงตาดำขลับกะพริบปริบ ๆ อยู่เป็นบางช่วงยามเผลอ

“เป็นอะไรทำหน้าเหมือนกินนมบูด” เขาทักยิ้ม ๆ

“จงใจสินะครับ”

“หืม?”

“เลือกร้านซะหรูเลย”

เจนจบยักไหล่ “ธรรมดานี่”

“ธรรมดาที่ไหน” อีกฝ่ายบ่นประปอดกระแปด “ผมบอกจะแชร์ค่าอาหารด้วย แต่นี่มันใช่ระดับนักศึกษาจะมากินบ่อย ๆ หรือครับ”

เขาหัวเราะร่วน “งั้นก็ไม่ต้องหาร เดี๋ยวฉันเลี้ยง”

“ก็กินไม่สบายใจน่ะสิ” ยังไม่วายบ่น

เจนจบวางมีดและส้อม เอียงคอพลางยกมือลูบคาง นั่งมองอีกฝ่ายอย่างใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง ค่อยถามอย่างตรงไปตรงมา “ต้องทำยังไงถึงจะกินได้สบายใจล่ะ?”

อีกฝ่ายจ้องกลับ แต่เงียบไปอีกพักใหญ่เหมือนไม่รู้จะตอบอะไรเหมือนกัน นัยน์ตาอย่างกับลูกกวางมองเขานิ่งจนถึงกับรู้สึกเขินขึ้นมาแวบหนึ่ง—เดี๋ยวสิ—เขินอย่างนั้นหรือ ดูไม่ใช่เขาเอาเสียเลย น่าจะเรียกว่าเป็นอะไรที่คล้าย ๆ ความหวั่นไหวไปวูบหนึ่งเสียมากกว่า

“หรืออยากกินอย่างอื่น” เขาลองเสนอ “เอาแบบที่หารกันได้สบายใจ”

“แต่สั่งมาแล้วนี่”

“ไม่เห็นเป็นไร”

“เสียดาย”

“เสียดายก็กินเข้าไปสิ”

ลังเลอีกอึดใจ สุดท้ายเจ้าตัวก็ยิ้มเผล่ “งั้นผมไม่เกรงใจนะ?”

ชายหนุ่มจุดยิ้มมุมปาก ยักไหล่เบา ๆ “ควรคิดได้นานแล้ว”

“ครั้งหน้าผมเลี้ยงพี่เจนบ้างดีไหม?”

เจ้าหนุ่มนั่นว่า ส่วนเขาพยักหน้าส่ง ๆ ไม่ได้เก็บมาคิดเป็นจริงเป็นจัง

หลังจบมื้อนั้น แม้จะรู้สึกถูกชะตา แต่ก็ไม่ได้หลงเหลือช่องทางติดต่อกันไว้แต่อย่างใด







ตอนเจอกันครั้งที่สอง เวลาก็ผ่านไปอีกเป็นเดือนจนเกือบลืมหน้าไปแล้วด้วยซ้ำ

เย็นย่ำวันนั้น ตะวันสีส้มทอแสงฉาบกลีบเมฆ เขาเห็นคนก้ม ๆ เงย ๆ อยู่ในลานจอดรถ วุ่นวายอยู่กับจักรยานสภาพโกโรโกโส

ไม่ได้สนใจหรอกว่าเป็นใคร หรือว่ากำลังทำอะไรอยู่ เพียงแต่คิดว่าเกะกะขวางทาง เอารถตัวเองออกไม่ได้ สาวสวยคนข้าง ๆ ที่เพิ่งตกลงว่าจะไปด้วยกันยืนกอดอกมองอย่างไม่พอใจนัก

“หลบไปหน่อย” เขาว่า ก้มมองคนขวางทางที่ก้มหน้าอยู่อีกทอด

“โทษทีครับ” คนคนนั้นเงยขึ้นมา เหงื่อเม็ดเล็ก ๆ ผุดซึมตรงปลายจมูก หน้าตามอมแมมด้วยคราบน้ำมันบนแก้มแต่ท่าทางจะยังไม่รู้ตัว นัยน์ตาดำขลับคู่นั้นทำให้สะดุดใจอยู่เงียบ ๆ

“เอ๊ะ..” อีกฝ่ายส่งเสียงประหลาดใจเมื่อเห็นเขาชัด ๆ ทำท่าเหมือนจะอ้าปากทักด้วยรอยยิ้มซื่อ แต่เมื่อเหลือบไปเจอสาวสวยข้างกายเขาก็สงบปากสงบคำ ทำหน้าคล้ายเข้าใจกับตัวเอง จูงจักรยานซอมซ่อออกจากพื้นที่ เพิ่งสังเกตตอนนั้นว่าโซ่หลุดห้อยร่องแร่ง รอยกระด่างกระดำบนใบหน้าก็คงมาจากคราบน้ำมันตรงนั้นเอง

“จะไปไหนน่ะ” ปากร้องทักไปตั้งแต่ยังไม่ทันไตร่ตรอง เมื่ออีกฝ่ายทำท่าจะลากจักรยานไปไกล ไม่ใช่แค่เข็นหลบให้พ้นทาง

ไม่รู้ว่าไม่ได้ยินหรือตั้งใจไม่หัน

“ธัญ!”

เรียกใหม่เสียงดังขนาดนี้ ไม่ได้ยินก็หูหนวกแน่แล้ว

เจ้าของชื่อหันกลับมา เลิกคิ้วให้พลางส่งรอยยิ้มละล้าละลัง

“ถามว่าจะไปไหนน่ะ?”

ฝ่ายนั้นมองเขาตาปริบ ๆ ในใจอาจเริ่มอยากสบถว่ายุ่งอะไรเรื่องคนอื่น แต่สุดท้ายก็ยอมตอบ

“กลับหอ” ธัญญธรว่า “กับเอาจักรยานไปซ่อม..อืม...กำลังคิดว่าจะทำอะไรก่อนดี”

อย่างหลังนั่นไม่ต้องบอกก็ได้มั้ง พอคิดอย่างนั้น ก็อดหัวเราะหึในคอไม่ได้

“เจน?” สาวข้างกายเรียกเสียงหวาน กระตุกแขนเสื้อเขาเบา ๆ เป็นเชิงบอกว่าควรไปกันได้แล้ว

“แย่แล้วสิ เพิ่งนึกได้ว่ามีธุระ” เขาพึมพำ “จอยกลับไปก่อนได้ไหม”

“เอ๋?”

ทันทีที่หายอึ้ง สีหน้าสาวเจ้าก็เปลี่ยนทันที

“ทำไมล่ะคะ!? ไหนบอกวันนี้ว่าง”

“ถึงบอกว่าเพิ่งนึกได้ไง” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงรำคาญใจ “ไว้วันหลังนะ โทษที”

ไม่พูดเปล่า ก้มลงฉกจูบเบา ๆ ข้างแก้มเธอหนหนึ่ง จากนั้นรีบเดินขึ้นรถ กวักมือเรียกธัญญธรที่ยังยืนอึ้งกับฉากเมื่อครู่ ครั้นเรียก “ธัญ ธัญ!” ซ้ำถึงสองครั้งยังเอาแต่ยืนงง เดือดร้อนต้องเดินลงจากที่นั่งหลังพวงมาลัยไปลากตัวมาขึ้นรถ ทิ้งจักรยานวางพิงเสาไว้มุมหนึ่ง

คนที่งง ไม่ใช่มีแค่เจ้าหนุ่มรุ่นน้องนั่นคนเดียว แต่ยังรวมถึงสาวงามที่เพิ่งถูกลอยแพดื้อ ๆ ด้วย

“นั่นคือธุระหรือคะ!?”

เขาพยักหน้า ไม่ตอบคำ ออกรถเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“พี่เจน” ผู้โดยสารจำเป็นว่าเสียงตื่น ชะเง้อมองไปทางด้านหลัง “แฟนพี่ดูโมโหมาก ต้องงอนแน่ ๆ”

“นั่งลงดี ๆ” เขาเตือน แต่เหมือนจะเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา

“ดูเขาโกรธจริง ๆ นะนั่น เจอกันอีกหนอาจโดนแหวกอกเลยก็ได้”

“นั่งลงให้เรียบร้อย” เขาย้ำ “และต้องบอกไว้สักหน่อย ข้อแรก ฉันไม่สนว่าเขาจะโกรธหรืองอนหรืออะไรทั้งสิ้น สอง ไม่มีใครมาแหวกอกฉันได้ และข้อสาม ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่แฟนฉัน”

“อ้าว?”

ดูทำกะพริบตาปริบ ๆ เผลอคิดว่าน่ารักดี

“แต่หอมแก้มเลยนะ”

พูดเองก็หน้าแดงเอง จ้องหน้าเขาแบบบอกไม่ถูกว่าอึ้งหรือทึ่ง

“แล้วไงล่ะ”

เงียบกันไปครู่ใหญ่ ในที่สุดธัญญธรก็ได้ข้อสรุป

“อ้อ” อีกฝ่ายตบกลางฝ่ามือตัวเองทีหนึ่ง “เสือผู้หญิงนี่เอง”

คำนั้นฟังดูไม่ดีเลยให้ตาย แต่ถ้าว่ากันตามตรง...ก็อาจจะใกล้เคียงนั่นละ

“ใคร ๆ ก็ทำกัน”

อีกฝ่ายยักไหล่ “ผมไม่นะ”

เขาปรายตามอง เห็นคนพูดยิ้มเผล่ทำหน้าทะเล้นก็เบาใจ “ไปบวชเถอะ”

“ถ้าบวชเณรละก็ เคยอยู่”

เถียงคำไม่ตกฟาก แต่ฟังแล้วอดขำไม่ได้

“ว่าแต่พี่เจนลากผมมาทำไมเนี่ย แล้วนี่จะไปไหน” พอได้สติก็ถามฉอด ๆ “จักรยานทิ้งไว้ไม่ได้ล็อค เดี๋ยวหายกันพอดี”

“หายจริงเดี๋ยวซื้อให้ใหม่” เขาตัดรำคาญอย่างขอไปที “นั่งเงียบ ๆ หนวกหู”

“ลากมาเองแท้ ๆ” ธัญญธรบ่นอุบอิบ ทำหน้าล้อเลียน “จะทวงเรื่องให้ผมเลี้ยงข้าวบ้างสินะ”

“งั้นมั้ง”

“ได้แค่ร้านข้างทางนะ” คนพูดมากคิดเป็นจริงเป็นจัง ต่อรองอย่างน่าสงสาร “เดี๋ยวอยู่ไม่ถึงสิ้นเดือน”

เพราะขี้เกียจต่อล้อต่อเถียง ทั้งตัวเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกันว่าบังคับเจ้าคนที่ยังนั่งจ้อไม่หยุดข้าง ๆ นี้มาด้วยทำไม แถมยังต้องมาฟังฝ่ายนั้นเล่าถึงยายตัวเองที่ส่งเงินมาให้เป็นค่าเล่าเรียนว่าต้องลำบากลำบนขนาดไหน ความซวยที่วันนี้จักรยานอีแก่เจ้ากรรมดันมาโซ่หลุดเป็นครั้งที่สาม ร้านอาหารซึ่งไปรับจ็อบนอกเวลามีลูกค้าขี้หลีที่ชอบแซวตลอดแต่ให้ทิปหนักเลยทนฟังไป และอะไรต่อมิอะไรก็ไม่รู้พ่นออกมาไม่ได้หยุดสุดแล้วแต่จะนึกออก นับเป็นคนพูดมากเหลือเชื่อผิดกับท่าทางสุขุม ทั้งที่หากนั่งเฉย ๆ ไม่อ้าปากก็ดูเป็นหนุ่มขรึมรูปงามแท้ ๆ
 
“กินไกลก็ไม่ได้นะ” ยังไม่จบ พอนึกได้ก็ประกาศเงื่อนไขอีก “ขอเลย เดี๋ยวหาทางกลับหอลำบาก”

“เรื่องมากชะมัด” เขาบ่น โคลงศีรษะไปมา ทำหน้าหน่ายใจ แม้ความจริงไม่เลยสักนิด ติดจะเพลินอยู่ด้วยซ้ำ “เดี๋ยวพากลับไปส่ง”

อีกฝ่ายนิ่งคิดครู่หนึ่ง จากนั้นยิ้มกว้างออกมา ยอมนั่งนิ่งในที่สุด “เอางั้นก็ได้”



เริ่มมืดค่ำแล้วเหมือนกัน ตอนที่เขาถูกธัญญธรขอร้องกึ่งบังคับให้พารถจอดข้างทาง แวะร้านข้าวต้มที่เจ้าตัวบอกดูราคาเป็นมิตร ถ้อยคำสดุดีคุณยายว่าต้องลำบากลำบนถึงเพียงไหนในการส่งตนเองเรียนมหาวิทยาลัยย้อนกลับมาอีกหน ร่ายยาวจนเขายอมเออออไปด้วยในที่สุด

“พูดมากขนาดนี้ ยายไม่รำคาญหรือไง”

คนนั่งตรงข้ามพุ้ยข้าวต้มเข้าปาก เหลือบมองเขาจากมุมเงยเหมือนกำลังช้อนสายตา ดูซื่อ ๆ น่าเอ็นดูอยู่เหมือนกัน

“ยายหูไม่ดีน่ะ”

เขาหัวเราะ จะยกแก้วน้ำขึ้นกระดก แต่เห็นสภาพแก้วที่ดูแล้วอย่างกับไม่เคยผ่านการล้างมาสักสองทศวรรษก็ดื่มไม่ลง

“พี่เจนไม่หิวหรือ?”

เขาเลิกคิ้ว “หืม?”

“ไม่กินเลย”

ครั้นก้มลงมองจานชามฝั่งตัวเอง ก็เป็นจริงดังอีกฝ่ายว่านั่นละ ว่ากันตามตรงคือเห็นสภาพแล้วทำใจกินไม่ไหวจริง ๆ ปกติไม่เคยคิดจะเหยียบเท้าเข้ามาในร้านสภาพอย่างนี้ด้วยซ้ำ วันนี้ทำอะไรลงไปก็ยังงงตัวเอง

“ประมาณนั้น” ชายหนุ่มเลือกตอบเลี่ยง ๆ

“ไม่ชอบ?” ดูท่าจะยังคาใจ

ที่น่าแปลก คือเขาลังเลจะพูดตามตรง ยิ่งเห็นแววตาคาดหวังคู่นั้นแล้วก็เผลอระมัดระวังคำพูดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

“ไม่ชอบจริงด้วยสินะ” ว่าพลางวางช้อนวางตะเกียบ ถอนหายใจเฮือก ทำหน้าสลดทีเล่นทีจริง “ปะ ๆ กลับกัน จะพาไปต้มมาม่ากินที่หอ”

“เอาสิ” เขาเออออ คิดว่าอย่างน้อยสภาพคงไม่ซกมกเท่าถ้วยชามที่นี่

ทว่าคนเสนอกลับอ้าปากหวอ เอียงคอมองเขาเหมือนไม่อยากเชื่อ

“มองอะไร”

“คนประหลาด”

เขาเถียงในใจว่าฝ่ายนั้นต่างหากที่ประหลาด

“จะกินแค่มาม่าจริงอะ”

“หรือมีอะไรอย่างอื่นก็เอามา”

ธัญญธรมองหน้าเขานิ่งอยู่สักครู่ จากนั้นกลับพ่นเสียงหัวเราะอย่างกับอดไม่อยู่ออกมาหนึ่งหน เรียกคนขายเก็บเงิน สัญญากับเขาเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าเดี๋ยวจะใส่ไข่ในมาม่าให้สองฟอง




ทิ้งสาวสวยหุ่นดีไว้ในลานจอดรถ เพื่อมานั่งกับพื้นในหอเก่าซอมซ่อของไอ้หนุ่มหน้าแฉล้มที่พูดมากอย่างกับผีเจาะปาก กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปใส่ไข่ลวกสองฟอง บางทีเจนจบก็ไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเหมือนกัน

“ชอบกินของถูกก็ไม่บอก” เจ้าของห้องว่ากลั้วหัวเราะ นั่งเท้าศอกกับโต๊ะญี่ปุ่น สีหน้าเพลิดเพลิน มองเขาสูดบะหมี่อย่างกับดูสารคดีหมีแพนด้าแทะใบไผ่

ชอบที่ไหน เขาลอบกลอกตา แต่ไม่ได้พูดออกไป

“ว่าแต่จักรยานนั่น” เงียบไม่ได้เลย พอเงียบก็จะเริ่มพูดมากอีก “ถ้าพรุ่งนี้ไปดูแล้วไม่อยู่จะทำไงดี”

“เก่าขนาดนั้น ทิ้งไปเถอะ”

“ทิ้งได้ไง” อีกฝ่ายทำหน้าจริงจัง ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ในจังหวะที่เขาตักไข่ลวกขึ้นมาพอดี “ให้เดินไปมอจากที่นี่มันก็ไกลอยู่เหมือนกันนะ”

ไข่ลวกร่วงจากช้อน หล่นแหมะใส่ก้นชาม ไข่แดงทะลักไหลเยิ้มอยู่ในนั้น เขามองตามอาหารราคาถูกนั่น แวบหนึ่งเสียดายขึ้นมาจนต้องเอาช้อนลงไปควานก่อนจะไหลทะลักไปกว่านี้

“หายจริงขึ้นมา ยายรู้เข้าโดนบ่นแหง”

“เดี๋ยวซื้อคันใหม่ให้”

คนฟังทำตาโต รีบปฏิเสธลิ้นแทบพันกัน “ไม่ได้หรอก ๆ”

“ทำไมไม่ได้”

“ของฟรีไม่มีในโลก” ว่าพลางเก๊กหน้าขรึม มองจากระยะใกล้อย่างนี้แล้ว จึงสังเกตได้ว่าหน้าตาดีจัดจริง ๆ นั่นละ ทั้งผิวยังเนียนละเอียดจนน่าลองยื่นมือไปสัมผัส...

“ไม่รู้จะชดใช้ให้ยังไง”

เสียงนั้นเรียกสติเขากลับมา

“ไม่ได้ขอให้ชดใช้สักหน่อย”

ธัญญธรมองเขาด้วยสีหน้าครุ่นคิด “พี่นี่เข้าใจอะไรยากจริง ๆ เลย”

“ให้ก็รับไป ใคร ๆ ก็ทำกัน” เขาเอ่ยตามตรงจากประสบการณ์ตัวเอง แจกจ่ายเงินทองสุรุ่ยสุร่ายให้คู่ควงตั้งมากมาย ไม่เห็นมีใครเรื่องมากอย่างนี้ “นายต่างหากที่เข้าใจอะไรยาก”

ช้อนไข่แดงไว้ได้หมดพอดี เมื่อตักเข้าปากจนเกลี้ยง อีกฝ่ายก็ทำหน้าดีใจ

“ชอบจริง ๆ หรือ ไว้ผมทำมาม่าผัดไข่ให้เอาไหม”

“ทำไมมีแต่มาม่า”

“ก็เห็นทำท่าเหมือนชอบ”

“ขาดสารอาหารตายพอดี” เขาบ่น มองหุ่นติดจะผอมไปหน่อยของคนตรงข้ามพลางส่ายหน้าน้อย ๆ

“งั้นเพิ่มหมูกับผักให้”

ยอมใจเลยจริง ๆ

“จะใส่อะไรก็ใส่ ๆ มา”

พูดอย่างกับจะมาที่นี่อีก ตอนนั้นก็ไม่รู้ตัวเหมือนกัน ว่าจะได้มาอีกบ่อยทีเดียว





เพราะฝ่ายนั้นยืนยันว่ายังไงก็ไม่ต้องเอาจักรยานมาให้เด็ดขาด พอเบี่ยงประเด็นบอกว่ามีให้ยืม เป็นของที่ไม่ได้ใช้แล้วกำลังจะโละทิ้ง ก็โดนทำสายตารู้ทัน สุดท้ายจึงได้มัดมือชก บังคับถามเวลาเรียนและเวลาเลิกของวันถัดไปแทน

“ตอนเช้าให้รอที่หอ เดี๋ยวจะมารับ ตอนเย็นก็ให้รอที่คณะ เดี๋ยวจะพากลับมาส่ง” เขารวบรัดตัดตอน ก่อนแยกกลับจากหอของธัญญธรในค่ำนั้นโดยไม่ฟังคำคัดค้าน

จักรยานเก่าคร่ำครึที่ถูกทิ้งไว้ในลานจอดรถ วันถัดมาไปดูก็ยังไม่หาย

เขาบ่นใส่คนที่ทำท่าโล่งใจว่าแน่ละ ของแบบนั้นใครจะเอา ได้รับสายตาอย่างกับกำลังสงสารว่าช่างไม่เข้าใจอะไรเอาเสียเลยกลับมา ตามด้วยถ้อยคำสดุดีคุณยายด้วยความยาวเทียบเท่าเรียงความสักสองหน้ากระดาษเห็นจะได้

“น่ารำคาญน่า” แม้ปากว่าอย่างนั้น แต่ความจริงไม่รำคาญสักนิด

เสียงทุ้มต่ำของฝ่ายนั้น ยิ่งฟังยิ่งรื่นหู บางครั้งก็ทั้งตลกปนน่าเอ็นดูกับรูปแบบความคิดที่ต่างกันอย่างกับเป็นคนละขั้วจนเผลอหัวเราะออกมา เดินเป็นเพื่อนอีกฝ่ายจูงจักรยานไปร้านซ่อมใกล้ ๆ มหาวิทยาลัยในเย็นวันนั้น

“ไม่ได้นัดสาวไว้หรอกหรือ” คนข้างกายถาม

เขาพยายามเงี่ยหูฟังน้ำเสียงประชดประชัน แต่ก็ไม่มีเจือปนมาสักนิด เหมือนแค่เอ่ยออกมาเฉย ๆ อย่างเรื่องปกติทั่วไป จึงตอบเรียบเรื่อยบ้าง

“ขี้เกียจ”

“ทีมาเดินอย่างนี้ไม่ขี้เกียจ”

ทักได้ตรงประเด็นดี

“อืม” เขาตอบรับสั้น ๆ ฟังธัญญธรยกเรื่องสัพเพเหระมาพูดไปเรื่อยตลอดทาง





จักรยานซ่อมเรียบร้อยแล้ว แต่เจนจบยังเทียวรับเทียวส่งอีกฝ่ายอยู่บ่อยครั้ง

วันแรก ๆ ยังมีอิดออด บ่นบ้างโวยวายบ้าง แต่ต่อมาก็คล้ายจะกลายเป็นกิจวัตรที่ธัญญธรจะรอเขาไปรับตอนเช้า พากลับมาส่งที่หอตอนเย็น บวกลบแวะหาอะไรกินตามแต่เขาหรือฝ่ายนั้นจะพอใจเกือบทุกวัน

อยู่กับเจ้าเด็กรุ่นน้องต่างคณะนี่ มีอะไรน่าสนุกกันนะ เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

แต่พอฟังสุนทรพจน์เรื่องคุณยายเป็นรอบที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้ คิดว่าเพลินดี อยากฟังอีก อันที่จริงจะเล่าอะไรก็เล่าไปเถอะ รู้สึกว่าเสียงนุ่มน่าฟัง และไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ที่คิดว่าสบายหูกว่าเสียงหวาน ๆ ผ่านการปั้นแต่งของหญิงสาวหลายคนที่เคยผ่านมือ

“นี่ นายมีแฟนหรือยัง” เขาถามเสียงเรียบ มองคราบบนแก้วพลาสติกของร้านอาหารตามสั่งริมทางที่ถูกฝ่ายนั้นชวนกินอีกแล้ว

ธัญญธรส่ายหน้า “ถึงมี ป่านนี้ก็โดนบอกเลิกไปแล้ว” พูดไปหัวเราะไป “พี่เจนเล่นลากผมไปโน่นไปนี่จนโดนหาว่าเป็นคู่ขาพี่แล้วเนี่ย”

เขาเลิกคิ้ว รู้สึกประเด็นนี้น่าสนใจ

“แล้วนายตอบไปว่าไง”

ฝ่ายนั้นยิ้มเจ้าเล่ห์ “ผมก็เลยทำท่ามีลับลมคมในใส่คนถาม ทำมองล่อกแล่กซ้ายขวา..”

“หืม?”

ท่าทางแบบนั้นนับว่าผิดคาด   

“แล้วก็กระซิบกระซาบว่าไม่รู้สิ แต่เขาเคยเข้าห้องกูแล้วนะ มึงว่าไงล่ะ”

ผิดคาดเอาจริง ๆ นั่นละ

“แล้วไม่ปฏิเสธหน่อยเรอะ?”

ธัญญธรยักไหล่ “ปฏิเสธไปก็เท่านั้น ถ้าอยากจะล้อมันก็ล้ออยู่ดีแหละ เอาแบบนี้ดีกว่า พวกทำหน้าช็อคไปเลย หลังจากนั้นก็ดันแก้ตัวให้ผมเองอีก ว่ามึงอย่ามาอำกูให้ยาก ไม่เชื่อหรอกโว้ย”

ว่าจบก็หัวเราะเอิ๊กอ๊าก ตาหยีลงนิดหน่อยดูเป็นประกาย สองแก้มขึ้นสีแดงระเรื่อ “แต่ไม่ได้บอกหรอกนะ ว่าแค่เข้ามากินมาม่า”

“ไว้คราวหน้าไปกินอย่างอื่นได้ไหมล่ะ”

เขาเปรยสองแง่สามง่าม แต่ฝ่ายนั้นดูเหมือนจะเข้าไม่ถึง หรือไม่ก็ทำเป็นไม่รู้เรื่องได้แนบเนียนสุด ๆ ก้มลงมองแก้วน้ำเลอะ ๆ นั่นอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นเรียกแม่ค้าเก็บเงิน

“วันนี้พี่ก็กินน้อยอีกแล้ว”

“อืม”

“กลับไปต้มมาม่าให้เอาไหม”

เขาหยุดคิดครู่หนึ่ง ยกมือเท้าคาง มองหน้าอีกฝ่ายนิ่งอย่างเปิดเผย

“เอาเป็นอย่างอื่นได้หรือเปล่า”

พูดเชิงหมาหยอกไก่ แต่ลึก ๆ ก็อดคิดไม่ได้อยู่เหมือนกัน 

ถ้าเป็นผู้หญิง ป่านนี้คงเสร็จเขาไปแล้ว แต่ถึงจะเป็นผู้ชาย พอมองอีกฝ่าย กลับคิดว่าก็น่าจะได้อยู่หรอก ไม่รังเกียจสักนิด ลองดูไม่เห็นเป็นไร

ครั้นกลับไปส่งถึงห้อง เข้าไปนั่งเล่นอย่างทุกที จังหวะที่ถูกบรรยากาศชักนำไปจนเกือบจะกลายเป็นจูบอยู่แล้ว เจ้าของห้องก็ผลักเขาแทบกระเด็นติดข้างฝา พูดตะกุกตะกักว่าหิวใช่ไหม เบื่อมาม่าแล้วสินะ รอแป๊บนะพี่เจน จากนั้นวิ่งปรู๊ดออกจากห้อง

กลับเข้ามาอีกที มีถุงน้ำเต้าหู้ทรงเครื่องติดมือมาด้วย เทใส่ถ้วยให้ทั้งมือไม้สั่น หลบตาลอกแลก แต่ยังเห็นว่าลอบมองมาเป็นระยะ บังเอิญสบตากันแต่ละครั้ง แก้มก็ขึ้นสีแดงไปจนถึงใบหู

ไม่เล่นด้วย แต่ก็ไม่ยักไล่หรือแสดงอาการไม่พอใจ

ไม่สิ...ดูเขินมากกว่าไม่เล่นด้วยไม่ใช่หรือ

เขาลอบยิ้ม ทั้งขำทั้งเอ็นดู

สุดท้าย ‘กินอย่างอื่น’ ที่ว่า ก็กลายเป็นกินน้ำเต้าหู้ทรงเครื่องที่ห้องธัญญธร ในบรรยากาศชวนจักจี้อย่างไรพิกล




มีต่อรีพลายถัดไปค่ะ

v
v
v
v
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-04-2017 21:34:29 โดย RAINYDAY »

ออฟไลน์ kinjikung

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2940
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +163/-8
ชื่อธัญญ์เหมือนกันเลย

ออฟไลน์ RAINYDAY

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1247/-5
    • FB page
งวดที่ 30.5 (ต่อ)







แม้ดูมีบรรยากาศดี ๆ จากเหตุการณ์คืนนั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตามมา คือโดนหลบหน้าอย่างชัดเจน

ตอนเช้าไปรับที่หออย่างทุกที กลับพบว่าปิดห้องหนีไปเรียนแล้ว ตอนเย็นมารออยู่แถวหน้าคณะก็ไม่เห็นโผล่มาสักที

วันถัดไปก็เช่นกัน

วันถัด ๆ จากนั้นก็อีก

รุกหนักไปหรือไงนะ จู่ ๆ หายไปอย่างนี้ เขาพานจะเบื่อปนหงุดหงิดจนขี้เกียจกินข้าวเย็นไปด้วย

สาว ๆ หน้าเดิมที่เคยคุยเล่นกันอยู่ ขึ้นเตียงกันช่วงหลังมานี้ คนหนึ่งในจำนวนนั้นมาชวนออกไปข้างนอก ทว่าไปด้วยกันได้แค่ไม่นาน ได้ยินเธอเจื้อยแจ้วไม่หยุดยังอารมณ์เสียจนเผลอขึ้นเสียงใส่ไปหนหนึ่ง

“หุบปากบ้างเถอะ! น่ารำคาญ!”

พูดตรงขนาดนั้น ทั้งที่ฟังสุนทรพจน์สรรเสริญคุณงามความดีของคุณยายเป็นวรรคเป็นเวรได้แท้ ๆ

ตอนนี้รู้สึกอยากฟังขึ้นมา แต่คนพูดกลับหายหัวไปดื้อ ๆ

น่าโมโหชะมัด

ผ่านไปเกือบเดือน จนถึงจุดที่กระวนกระวายจนทนไม่ไหว เย็นหนึ่งจึงจอดรถไว้ไกลหูไกลตา แล้วตัดสินใจซุ่มรอหน้าคณะเจ้าตัวจนค่ำนั่นละ จึงได้เห็นว่าตัวแสบนั่นค่อย ๆ ย่องออกมาจากอาคาร มองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวัง สุดท้ายสะดุ้งโหยงเมื่อถูกเขาทักจากด้านหลัง

“ตกใจอะไร”

ดูทำหน้าทำตาเข้า กำลังจะอ้าปากบอกว่าทำท่าอย่างกับเจอผี ก็ทันเห็นว่าไม่ใช่เสียทีเดียว

แก้มแดงเป็นลูกมะเขือเทศ นัยน์ตาดำขลับที่เบิกกว้างในคราวแรก ครู่หนึ่งก็กะพริบปริบ ๆ หลุบลงมองเท้า ริมฝีปากเม้มจนกลายเป็นเส้นบาง ๆ

เหมือนคนกำลังเขินอย่างที่สุดจนทำหน้าไม่ถูกต่างหาก

“หิวแล้ว” เขาเอ่ยเสียงแข็ง จ้องฝ่ายนั้นเขม็ง

คนฟังทำหน้าเลิ่กลั่ก ช้อนสายตามองเขาได้หน่อยเดียวก็หลุบตาลงอีกหน ท่าทางเหมือนอยากวิ่งหนี

“ไหนมาม่าต้ม” เขาว่าเสียงโหดยิ่งกว่าเก่า ค้านกับเนื้อหาในประโยคสุด ๆ มือพุ่งไปคว้าแขนคนที่ขยับขาเตรียมตัววิ่ง จับไว้แน่นแบบไม่ให้ดิ้นหนี “ไข่ลวกสองฟอง!”

“...เอ้อ...”

“แล้วไหนที่บอกจะเพิ่มหมูกับผักให้” ยังทวงไม่หยุด “สัญญาไม่เป็นสัญญา ให้ฉันหิวอยู่ได้ทุกเย็น รับผิดชอบมาเดี๋ยวนี้!”

“..เอ่อ...คือ...ช่วงนี้ไม่ได้...”

ได้ยินอย่างนั้น ทำเอาโมโหอยู่นิด ๆ

“ทำไมไม่ได้!?” ทุกทีอะไรอยากได้ก็ต้องได้สิ “ขอแค่นี้มีปัญหารึไง!?”

รุ่นน้องหนุ่มห่อไหล่ลงเล็กน้อย ไม่รู้เจ็บหรือกลัว แต่เห็นอย่างนั้นก็คลายแรงบีบที่มือลงโดยอัตโนมัติ

ถึงจะโมโหก็ไม่อยากทำให้เจ็บ ถึงเป็นผู้ชายก็ไม่อยากให้แขนสองข้างนั่นเป็นรอย แปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน

“...คือ..” เสียงธัญญธรอ้อมแอ้มผิดกับทุกที ทั้งที่เหมือนยังเขิน แต่ดูอมทุกข์กว่าปกติอย่างไรแปลก ๆ “ไข่หมดแล้ว..หมูกับผักก็ไม่มีหรอก”

“ไร้สาระ” เขาขัดเสียงห้วน “เดี๋ยวไปซื้อ หรือไม่ก็กินข้างนอก”

“ไปเที่ยวเล่นข้างนอกบ่อย ๆ ไม่ได้แล้วด้วย” ยังปฏิเสธทุกกรณีเหมือนเดิม “คือช่วงนี้...”

เขาพ่นลมหายใจแรง ๆ อย่างสุดทน “จะอมพะนำอีกนานไหม มีปัญหาอะไรก็ว่ามา ถ้าไม่อยากเจอก็บอก! หลบอยู่ได้ มันน่าหงุดหงิด เบื่อจะเล่ามหากาพย์เรื่องคุณยายผู้ยิ่งใหญ่แล้วหรือไง!?”

หลังจบถ้อยคำนั้น ธัญญธรเงยขึ้นมองเขา นัยน์ตาวาววับด้วยหยดน้ำใส ๆ ที่เคลือบอยู่

ตกใจจนทำตัวไม่ถูกไปครู่หนึ่ง รีบปล่อยมือที่ยึดแขนอีกฝ่ายไว้

“..อะ..อะไร...เจ็บเรอะ!?”

ธัญญธรไม่ตอบ เม้มปากอย่างพยายามฝืนทำหน้านิ่งเต็มที่

ทว่าวินาทีถัดมา น้ำตาก็ร่วงผล็อยลงมาหยดหนึ่ง

คนลนลานกลับกลายเป็นตัวเองไปเสียได้

“เป็นอะไร...อย่าร้องไห้สิ!” พอแตกตื่นเข้าแล้วก็เริ่มดุอย่างนิสัยเสีย “นี่! บอกว่าอย่าร้องไง ญาติเสียเรอะ!?”

ที่ผิดคาดคือดันพยักหน้าไปอีก จากนั้นน้ำตาก็ร่วงแหมะลงมาอีกหยด...และอีกหยด

“คุณยาย...เสียแล้ว” บอกอย่างนั้นด้วยเสียงสั่นเครือ หน้าตาเลอะเทอะอย่างน่าสงสาร นับเป็นคนหล่อเสียของอีกคนหนึ่งของโลก “อุตส่าห์ทำใจได้นานแล้ว จะย้ำทำไมเล่า!”

ดุเขากลับอีกต่างหาก ดุไปร้องไห้ไปนั่นละ

“ไอ้พี่เจนงี่เง่าเอ๊ย!”

ดุไม่พอ ยังต่อยแขนเขาตุ้บตั้บอีกต่างหาก ดูไม่จริงจังกับการทำร้ายร่างกายนัก แต่เรียกว่าหมัดหนักใช้ได้ ขนาดตอนเข้าไปรวบแขนแล้วกอดไว้กับตัว ยังโดนต่อยในกอดอีกสองสามตุ้บ

คุณยายในสุนทรพจน์นั่น ไม่เคยเจอตัว ไม่ได้สนิทชิดเชื้อ ความเสียใจย่อมไม่มีให้ เป็นเรื่องธรรมดา

แต่ความรู้สึกหน่วง ๆ ในอกเวลาเห็นเจ้าคนพูดมากนี่ร้องไห้จนน้ำตาเลอะอกเสื้อเขา อันนี้ก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกันว่าเพราะอะไร

“ชู่วว..”

เจนจบกระซิบ ลูบผมอีกฝ่ายแผ่วเบาจนเจ้าตัวสงบลงในอ้อมแขน









สรุปว่าที่หายไปเกือบเดือน เพราะคุณยายล้มป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมองแตกจากความดันโลหิตสูง ตอนมีคนไปเจอเข้าก็หมดสติไม่รู้สึกตัวแล้ว คนข้างบ้านช่วยเรียกรถพยาบาลให้ แม้จะถูกส่งตัวไปถึงมือหมอในที่สุด แต่ยื้อได้ไม่กี่วันหลังจากนั้นก็เสียชีวิต

แม่ที่จากไปนาน กลับมาปรากฏตัวแค่หนเดียว จากนั้นหายไปอย่างทุกที สุดท้ายธัญญธรจึงลาหยุดเพื่อไปจัดงานศพ ข้อจำกัดทั้งเรื่องเวลาและเศรษฐานะทำให้ต้องรีบจัดการอย่างรวบรัด

กลับมาเรียนอีกหน รู้ตัวว่าต้องประหยัดเงินให้มากกว่าเก่า จะให้ไปเที่ยวเล่นคงไม่ไหว ทั้งยังไม่มีแก่ใจอีกต่างหาก ทำใจได้แล้วก็จริง ยังเลือกจะหลบหน้าหลบตาเขาอีกสักระยะ เลื่อนการพบเจอกันไปก่อนแบบไม่มีกำหนด

“ไข่ไม่มีแล้วนะ ผักกับหมูก็ไม่มีหรอก” ธัญญธรสารภาพด้วยสีหน้าสลด

พอซักไซ้มากไปกว่านั้น จับได้ว่าส่วนหนึ่งเหมือนจะหลบหน้าเพราะเหตุผลอื่นประกอบด้วย

“..เห็นพี่เจนแล้วใจไม่ค่อยดี” ธัญญธรว่าอย่างนั้น ยกมือขึ้นกุมอก สีหน้าครุ่นคิด “สงสัยโดนเพื่อนแซวเยอะไปหน่อย”

“แซวว่า?”

ดีใจผิดที่ผิดเวลา เรื่องนั้นเขารู้หรอก แต่ช่วยไม่ได้

เจ้าของห้องเหลือบมองเขาหวั่น ๆ จากนั้นก้มหน้างุด “พี่เจนไม่อยากรู้หรอก”

“อยาก”

“ไม่อยาก”

“บอกว่าอยาก!”

“ไม่อยาก!”

“เด็กนี่พูดไม่รู้เรื่อง!”

เถียงคำไม่ตกฟาก ถึงกับเอาหัวโขกหน้าผากไปทีหนึ่งด้วยความหมั่นไส้

“โอ๊ย!”

เจ้ารุ่นน้องยกมือลูบหน้าผากตัวเองป้อย ๆ เผลอจ้องเขาเขม็ง พอรู้ตัวก็รีบก้มหน้าหนีอีกรอบ

“..ระ...เรื่องเดิมแหละ” งึมงำออกมาเท่านั้น แก้มก็ขึ้นสีแดงระเรื่อไปหมด

เห็นอย่างนั้นเข้า ดันเผลอใจเต้นตึกตักเสียได้

เขาก้มตามลงไป อีกฝ่ายหันหนีไปทางไหนก็ตามไปก้มมองทางนั้นจนเจ้าตัวทำหน้ายู่ยี่

“หันหนีทำไม แล้วเพื่อนบอกว่าไง ไหนพูด”

“...ที่มันบอกว่า..เหมือนผมเป็นคู่ขากับพี่ไง! แล้วจะตามมาจ้องทำไมล่ะ!”

“อยากมองไม่ได้หรือไง” เขายักไหล่ กลั้นยิ้มจนปวดแก้ม สายตายังคงตามติด “แล้วนายตอบไปว่า?”

“ก็บอกว่าเปล่า พี่เจนมีผู้หญิงเยอะแยะ”

ทำไมฟังแล้วฉุนจังนะ เสียงเริ่มจะแข็งขึ้นมาหน่อย ๆ “ไม่ใช้มุกเดิมแล้วหรือไง ที่รับ ๆ ไปแล้วให้เพื่อนแก้ตัวแทนน่ะ แล้วเรื่องผู้หญิงนี่ไปเอามาจากไหน? รู้ได้ไงว่าเยอะ?”

ถึงจะเยอะจริงก็เถอะ! แอบต่อในใจ แต่ช่วงหลังมานี้มีที่ไหนกัน

“มุกนั้นมันใช้ซ้ำบ่อย ๆ ได้ที่ไหนล่ะ! พอครั้งที่สองที่สาม คนก็เริ่มจะเชื่อว่าจริงแล้ว” อีกฝ่ายโพล่งขึ้น แล้วยังพูดต่อเสียงเกือบจะตัดพ้อ “แล้วเรื่องผู้หญิงน่ะ ใคร ๆ ก็เห็นนี่ พอบอกว่าพี่เจนปีสามบริหารฯ คนก็บอก อ้อ! ที่เจ้าชู้ ๆ เปลี่ยนสาวเป็นว่าเล่นน่ะนะ รวยก็ทำได้น่ะสิ หมอนั่นมันน่าอิจฉาชะมัด”

ยิ่งฉุนหนักเลยให้ตาย!

“แล้วนายอิจฉารึไง?”

“ไม่เห็นอิจฉาเลย!”

“เขาว่าไงอีกเรื่องฉันกับนาย”

“ก็คิดว่าอิ๊อ๊ะกันอยู่น่ะสิ!”

พอถึงตรงนี้ กลับรู้สึกขำขึ้นมาอย่างไรแปลก ๆ เจ้าเด็กนี่ช่างมีความสามารถพิเศษ ทำอารมณ์เขาเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงได้เร็วแบบไม่น่าเชื่อ

“อิ๊อ๊ะคืออะไร?” พยายามเต็มที่จะไม่ให้เสียงออกมากลั้วหัวเราะ

“อิ๊อ๊ะน่ะ!” ธัญญธรยังยืนยันอย่างเดิม ทำหน้าลำบากใจเหลือจะกล่าว ค่อยงุบงิบออกมาเบาหวิวประหนึ่งเป็นคำต้องห้าม “..คิดว่าคบกันซะงั้น”

“แล้วไม่ถูกหรือไง!?”

“หา!?”

ปากช่างเถียงนั่น ตอนนี้อ้าค้างจนต้องช่วยเอามือไปดันคางให้หุบลงดี ๆ 

มีไม่กี่คนหรอกที่เขายอมรับอย่างจริงใจว่าหน้าตาหล่อเหลาชวนมองแม้ในฐานะผู้ชายด้วยกัน กับเจ้าเด็กนี่ตั้งแต่รู้จักกันมา อยากจะจัดไว้ในกลุ่มนั้น ทว่าเป็นอีกครั้งที่ต้องยืนยันว่าหมอนี่หล่อเสียของเป็นบ้า..

แต่ก็น่ารักดี...รู้สึกเหมือนมีข้อได้เปรียบส่วนนั้นมาทดแทน

“ไม่ถูกสิ...” คราวนี้อีกฝ่ายเถียงกลับมาไม่ค่อยเต็มเสียง “..มันมีอะไรที่ไม่ถูก..”

“อืม” เขาเห็นด้วย “คิดอยู่เหมือนกัน”

“ใช่ไหมล่ะ!?”

“คงต้องลองพิสูจน์”

“หา!?” อีกรอบ

เจนจบกลั้นยิ้ม พยักหน้าหงึกหงักว่านั่นแหละ ฟังถูกแล้ว

“ต้องลองคบกันดู”

“ตลก!”

“ตลก?” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “ไม่ใช่ว่ากำลังเขินอยู่หรอกเรอะ?”

“...ไม่ได้เขิน”

“งั้นก็อย่าหน้าแดงสิ” ได้ทีขี่แพะไล่ “อย่าหลบตาด้วย”

“เปล่าหลบ”

เขาก้มลง กระซิบเสียงต่ำข้างหูคนปากแข็ง

“นี่...ถามอีกที คบกันไหม?”

ว่าพลาง เป่าลมหายใจร้อนผ่าวใส่ใบหูข้างนั้นอย่างจงใจ

“กล้าจ้องตาแล้วปฏิเสธชัด ๆ หรือเปล่าล่ะ”

ธัญญธรสูดลมหายใจเข้าลึก ยืดอกขึ้นอย่างใจกล้า รับคำท้าด้วยการจ้องหน้าเขากลับ

ลูกตาดำขลับ วาววับอย่างกับลูกแก้ว พอเห็นความพยายามเต็มที่จะเบิกตากว้างแล้วจ้องเขม็งกลับมา ก็รู้สึกว่าน่ารักบอกไม่ถูก

“ทำไมจะ...ไม่....กล้า—”

เสียงสั่นจะแย่ แถมพูดไม่ทันจบ ก็เหมือนหน้าจะแดงจนใกล้ระเบิดบรึ้ม ทรุดตัวลงนั่งหมดท่า ซบหน้าผากลงกับเข่าตัวเอง ได้ยินแต่เสียงอู้อี้ฟังแทบไม่ได้ศัพท์ รู้เรื่องแค่ตอนท้าย ๆ ประมาณว่าขี้โกงนี่นา จีบหญิงจนเชี่ยวแล้วสินะ

“ก็ใช่ แต่หลังเจอนายก็ไม่อยากไปกับใครอีก”

“นั่นไง ประโยคคลาสสิค! เชี่ยวจริง ๆ ด้วย”
 
เขาลอบยิ้ม ย่อตัวลงนั่งตาม สางผมสีดำขลับนุ่มมือของอีกฝ่ายแผ่วเบา เผลอกดจมูกลงกลางกระหม่อมเงียบ ๆ

“คิดมากน่า แล้วไหนมาม่าฉันล่ะ?”

“รอแป๊บ” ปากว่าอย่างนั้น แต่ไม่มีทีท่าจะขยับหรือกระทั่งเงยหน้าสักนิด

“ไข่ลวกสองฟองด้วยนะ”

“วันนี้ไม่มี อยากใส่อะไร คราวหน้าพี่เจนก็ซื้อมาเองสิ”

เจนจบหัวเราะ เดาว่านั่นคงเป็นวิธีตอบตกลง









ความสัมพันธ์ที่คิดว่าแค่คบกันขำ ๆ เหมือนตอนรัก ๆ เลิก ๆ กับคนอื่นเป็นว่าเล่นก่อนหน้านี้ กลับยาวนานเหลือเชื่อขนาดที่ตัวเองยังตกใจ

ตีกันบ้าง ทะเลาะกันบ้าง แต่ไม่รู้ทำไม เห็นหน้าตาท่าทางฝ่ายนั้นแล้ว สุดท้ายกลับยอมลงให้ตลอด

จากตอนแรกที่หาเรื่องไปสิงอยู่ในหอพักซอมซ่อของธัญญธรอยู่เรื่อย เพราะฝ่ายนั้นไม่ค่อยยอมตามเขาออกไปไหนไกล ผ่านไปเกือบปี จึงยอมมาบ้านเขาอยู่บ้างเหมือนกัน

พ่อแม่นาน ๆ จะกลับบ้านสักครั้ง บางทีหายไปครั้งละหลายเดือน ทุกคนบอกว่าทำงาน แต่เหตุผลอื่นนอกเหนือจากนั้น เขาขี้เกียจสนใจขุดคุ้ย คฤหาสน์หลังงามเหลือตัวเองอยู่กับพ่อบ้านแม่บ้านจำนวนหนึ่ง ชีวิตสุขสบายดี เงินทองไม่ขาดมือ อยากได้อะไรก็ได้ ไม่เคยรู้สึกว่าไม่มีความสุขหรือขาดเหลือสิ่งใด

แต่เมื่อเจอธัญญธร ก็อดคิดไม่ได้ ว่าที่ผ่านมา ตัวเองอยู่กับชีวิตแห้งแล้งขนาดนั้นเข้าไปได้อย่างไร


คนคนนั้นยิ้มเก่ง ร่าเริง พูดมาก แต่ไม่น่ารำคาญสักนิด

เขาชอบมองตากลม ๆ สีดำขลับคู่นั้น ชอบมองจมูกโด่งที่รั้นขึ้นน้อย ๆ มองริมฝีปากช่างจ้อที่ขยับพูดไปเรื่อย แต่เสียงทุ้มต่ำน่าฟัง เมื่อยิ้มกว้างทีหนึ่ง จะเห็นลักยิ้มเป็นรอยบุ๋มลงไปบนแก้มซ้าย บางครั้งอดไม่ได้ เอานิ้วไปจิ้ม ๆ ให้เจ้าตัวทำหน้ายุ่งใส่

ครั้งแรกที่มาเยือนบ้านเขา ธัญญธรเอาแต่ร้องว้าวไม่หยุด เห็นน้ำพุหน้าบ้านก็โอ้โห เห็นสวนหย่อมก็ชอบใจ ขนาดทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ เขียวบ้างเหี่ยวบ้างเป็นหย่อม ๆ ยังยืนจ้องด้วยความชื่นชมอยู่ได้เป็นนานสองนาน

ที่ปลาบปลื้มสุด เห็นจะเป็นไฮเดรนเยียกอหนึ่งซึ่งออกดอกสีม่วงแกมชมพูให้เห็นตอนเจ้าตัวมาเยือนพอดี

“ชอบขนาดนั้นเลย?” เขาถาม มองคนที่ก้ม ๆ เงย ๆ ตรงกอดอกไม้นั่นอย่างสนอกสนใจ

ธัญญธรเงยหน้าขึ้นมาเขิน ๆ อ้อมแอ้มว่าไม่ถึงขนาดนั้น แต่เห็นว่ามันเปลี่ยนสีได้ตามความเป็นกรดด่างของดินแล้วรู้สึกว่าน่ารักดี

“ธรรมดาไม่ใช่หรือไง” เขายักไหล่ ทำหน้าไม่สนใจ

แต่หลังจากส่งอีกฝ่ายกลับบ้านวันนั้น ก็ไปบอกคนสวนให้หาไฮเดรนเยียมาปลูกเพิ่มเยอะ ๆ หน่อย หมั่นรดน้ำใส่ปุ๋ย ดูแลดี ๆ ให้ผลิดอกมาก ๆ ด้วยล่ะ

ครั้งถัดมาที่อีกฝ่ายมาเยือน จึงมีไฮเดรนเยียช่อใหญ่อวดโฉมอยู่ในแจกัน

เมื่อถูกถามเข้า เขาตอบเสียงเรียบอย่างไม่ใส่ใจนัก ว่าแม่บ้านเอามาปักแจกันให้ละมั้ง ปล่อยไว้ก็เหี่ยวคาต้นเปล่า ๆ ไม่ยอมบอกว่าแท้จริงเป็นตัวเองต่างหาก ตื่นมานั่งมองหาช่อที่ออกดอกสวยสุดมาใส่แจกันตั้งแต่เช้า

โดนจับได้ก็ตอนฝ่ายนั้นช่างพาซื่อ เดินไปขอบคุณพร้อมเอ่ยชมแม่บ้านของเขา แต่เพราะไม่ได้นัดแนะกันไว้ก่อน เธอจึงทำหน้าเหลอหลาใส่แขก บอกว่าคนเลือกดอกไม้พวกนั้นมาใส่แจกันคือเขาต่างหาก เห็นมาด้อม ๆ มอง ๆ ตั้งแต่เช้า ใครเสนอตัวช่วยก็ไม่เอา บอกว่าจะทำเอง

“...อ้อออ..” คนฟังลากเสียงยาว ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เหลียวมองเขาที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แต่แก้มร้อนอยู่เงียบ ๆ “ใจดีจังเลยน้า”

แม่บ้านเดินเลี่ยงไปทางอื่นแล้ว เหมือนรู้ตัวจึงไม่อยากเกะกะ หรือบางทีอาจไม่แน่ใจว่าเขาจะโวยวายขึ้นมาหรือเปล่า ส่วนเขาเอง อยากค้านรักษาหน้าอยู่เหมือนกัน ทว่าเห็นท่าทางดีอกดีใจของธัญญธร สุดท้ายก็อ่อนอกอ่อนใจจนยิ้มออกมาอีกคน ยอมรับแบบไม่มีข้อแก้ตัว

“ชอบก็ดี”

“ฮื่อ” เจ้าตัวพยักหน้า “ชอบ”

บอกอย่างนั้น แต่ท่าทางเหมือนไม่ได้พูดถึงดอกไม้ สบตาเขาตรง ๆ แค่หนึ่งอึดใจก็เขินแทบม้วน

อันตรายชะมัด แบบนั้นมันน่ารักน้อยเสียเมื่อไรกัน

เขากระแอมให้คอโล่ง ทำทีเป็นสนใจอย่างอื่น แต่คนข้าง ๆ ยังไม่วายพูดอะไรให้ฟังแล้วยิ่งข้องใจหนัก

“ชอบสุด ๆ”

“ชอบอะไร” เจนจบหันไป เอามือค้ำกำแพง กักตัวธัญญธรไว้ในวงแขน จ้องในระยะประชิดจนอีกฝ่ายยืนหน้าแดงอยู่ระหว่างตัวเขาเองและผนัง “คนหรือดอกไม้?”

“...ดะ...ดอกไม้..” อีกฝ่ายงึมงำตอบขณะก้มหน้าก้มตา

เขานิ่งไปครู่หนึ่ง เห็นคนในวงแขนไม่เอ่ยอะไรต่อก็ถอนใจให้ความคิดไกลจนฟุ้งซ่านของตัวเอง ตั้งท่าจะถอยออกมาพลางส่ายหน้าน้อย ๆ

“...ดอกไม้ก็ชอบ”

ธัญญธรว่าอย่างนั้น

“..แต่ชอบพี่เจนมากกว่า”

อย่างกับเห็นดอกไม้ทั้งสวนกำลังบานพร้อมกันอยู่ตรงหน้า

“ไหนพูดอีกทีซิ”

อีกฝ่ายก้มหน้าลงอีกจนแทบจะฝังคางลงไปบนอกตัวเองแล้ว งึมงำเสียงเบาหวิวกว่าเก่าจนต้องก้มลงไปฟังใกล้ ๆ

ถ้อยคำที่ได้ยินกันแค่สองคน

ถ้อยคำแค่สั้น ๆ ที่เปลี่ยนวันธรรมดาแสนน่าเบื่อ ให้กลายเป็นวันพิเศษได้อย่างไม่น่าเชื่อ





เพราะได้ยินว่าชอบจึงเผลอจูบ หรือเพราะอยากทำอย่างนั้นแต่แรกแล้วจนถึงจุดที่ห้ามใจไม่ไหว เจนจบไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกัน

จูบกับผู้ชายเป็นครั้งแรก ทั้งที่คบ—หรืออย่างน้อยก็ทำเหมือนคบกับมาจะเป็นปีแล้ว ทว่าไม่เคยมีความสัมพันธ์ทางกายเกินเลย ต่อให้อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่ม ยังนับได้ว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ที่ยิ่งไปกว่านั้น กับหญิงคนอื่น เขาก็ไม่ชวนขึ้นเตียงหรือพาไปไหนมาไหนด้วยกันอีกแล้ว

เหตุผลนั้นแปลกประหลาด เมื่อพบว่าทั้งหมดที่ทำ แค่เพราะไม่อยากเห็นหน้าหงอย ๆ ของธัญญธร ตอนรู้ว่าเขาไปกับใครอื่น

ต่อให้ไม่เคยออกปากค้าน ไม่รั้ง ไม่ใช้เล่ห์เหลี่ยมดึงตัวเขาไว้ ทั้งยังบอกอยู่ตลอดในสถานการณ์เช่นนั้นว่าเที่ยวให้สนุกนะ ทว่าสายตาไม่เคยโกหกได้สักที แม้ปากบอกลา แววตากลับเอ่ยคำเหนี่ยวรั้งออกมาชัดเจน เพียงแต่เจ้าตัวคงไม่ทันรู้สึก

เหตุผลเท่านั้น จะว่าเล็กน้อยก็ใช่ จะว่าใหญ่ก็ไม่ผิด

คบกันมายาวนานจนพวกงี่เง่าที่ล้อเลียนบ้าง พูดจาถากถางลับหลังบ้าง เงียบปากไปเองในที่สุด แต่จะอย่างไร เขาก็ไม่ใส่ใจคนอื่นอยู่แล้ว
 
หลังจากวันนั้น ยังหาโอกาสขโมยริมฝีปากธัญญธรบ่อยขึ้นอีก

เจ้าตัวไม่ได้ปฏิเสธจริงจังนัก ทำบ่นนิดหน่อยบางครั้ง แต่เมื่อริมฝีปากถูกขบเบา ๆ อย่างสุดแสนเอ็นดู แขนก็เหวี่ยงขึ้นคล้องรอบต้นคอเขา เสียงครางต่ำยิ่งนุ่มนวลกว่ายามพูดจาปกติ

ชอบฟังเสียงนั่น ดังนั้นจึงจูบอีกครั้ง...และอีกครั้ง

 





 

ระหว่างเล่าเรียนอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย เขารู้ว่าอีกฝ่ายมีปัญหาเรื่องเงิน จึงลอบใช้เส้นสายหางานเอกสารสบาย ๆ ให้ทำนอกเวลาเรียน เงินดีกว่าปกติที่ควรได้รับจากงานแค่นั้น ไม่อยากให้ลำบาก แต่ให้เปล่าไม่ได้ รู้ว่าคงไม่ยอมรับอยู่ดี จึงต้องว่าจ้างคนอื่นให้ทำทีเป็นไปว่าจ้างธัญญธรอีกทอด

คิดว่าแผนนี้ดีที่สุดแล้ว แต่ตอนโดนจับได้นั้น กลับถูกโมโหใส่เสียแทบแย่ โวยวายไม่หยุด ไม่ยอมพูดกับเขาไปอีกหลายวัน ท่าทางปั้นปึ่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

เขาเองก็โมโหอยู่เหมือนกัน ได้แต่คิดว่าคนอุตส่าห์จะช่วย ปกติแค่เอาเงินไปโยนใส่เหมือนอย่างคนอื่นก็พอแล้วแท้ ๆ นี่ถึงกับลงมือหางานให้ด้วยซ้ำ ทำเรื่องยุ่งยากกว่าทุกที ยังจะมางี่เง่าใส่อีก พาลโกรธไปด้วยจนตั้งใจไว้ว่าช่างหัวเด็กนั่น ไม่คุยก็ไม่ต้องคุย น่ารำคาญ เขาเองจะได้กลับไปใช้ชีวิตเสเพลเหมือนเดิมให้สบายใจ

ทว่าโมโหอย่างนั้นได้แค่ไม่กี่วัน กลับต้องมานั่งซึมสลับกับอารมณ์เสียจนพ่อบ้านแม่บ้านยังทัก แต่ทักแล้วก็โดนเขาโวยวายกลับจนล่าถอยไปอีก วนไปวนมาเป็นวงจรอุบาทว์

มีแค่ตาลุงคนสวนที่ปกติเป็นคนคอยดูแลไฮเดรนเยียที่เขาหามาปลูกให้ธัญญธรนั่นละ ใจกล้ากว่าใคร เข้ามาพูดอย่างกับรู้ดี บอกว่าเดี๋ยวนี้คุณธัญไม่มาที่บ้านเลยนะครับ ทะเลาะกันหรือเปล่า คุณเจนไม่คิดถึงหรือ?

“ต้นข้างหลังบ้านออกดอกสีน้ำเงินแล้วนะครับ”

ึคนหงุดหงิดงุ่นง่านจะแย่ ยังมาพูดอะไรอ้อมไปอ้อมมาอยู่ได้

“แล้วมันยังไงล่ะ!?”

“คุณธัญเขาไม่ได้บอกหรือครับว่าอยากเห็นสีน้ำเงิน”

เขาชะงัก รู้สึกเหมือนถูกหลอกด่า เหลือบมองฝ่ายนั้นอย่างฉุน ๆ แต่ก็คุ้นขึ้นมาเหมือนกัน เรื่องที่ธัญญธรเคยเปรยว่าไฮเดรนเยียบ้านนี้สีม่วงอมชมพูทั้งนั้นเลย ไม่เห็นเป็นสีน้ำเงินสักที

“สงสัยจะเหี่ยวก่อนเขาได้มาดู” ตาลุงนั่นว่าพลาง ส่ายหน้าน้อย ๆ เหมือนเอ็นดูเจือระอานักหนา

เขาพ่นลมออกจมูก คิดว่าตัวเองเป็นใคร รู้ดีกว่าเขาสักแค่ไหนเชียว

แต่ก็นำถ้อยคำนั้นกลับมาครุ่นคิดเงียบ ๆ




คืนนั้นเขานั่งอยู่หลังบ้าน มองดอกไฮเดรนเยียสีน้ำเงินนั่นเพียงลำพังอยู่เป็นชั่วโมง

คิดถึง

แวบหนึ่งที่ตระหนักได้ว่ากำลังเหงา ก็โมโหขึ้นมาอีก แต่เหมือนเป็นความโมโหเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกอื่นที่จ้องจะหาโอกาสแสดงตัวมากกว่า

เจ้าคนพูดมากนั่นมีหน้ามาทำเขาเหงาแบบนี้ได้อย่างไร!? ต้องลากตัวกลับมาคุยกันให้รู้เรื่อง เขาจะให้เงินหรือไปหาคนอื่นมาจ้างฝ่ายนั้นทำงานให้มีเงินเล่าเรียนแล้วมันผิดตรงไหนไม่ทราบ เรื่องมากเองไม่ใช่หรือ

ไม่สิ เหตุผลของฝ่ายนั้น ตัวเองพอรู้อยู่หรอก

แต่ช่วยไม่ได้ หงุดหงิดก็คือหงุดหงิด

ทว่าหงุดหงิดกับคิดถึงก็แยกกันไม่ค่อยออก ดังนั้นจึงพยายามอย่างลับ ๆ จะทำความเข้าใจเจ้าคนเรื่องเยอะนั่นในแบบของตัวเอง



วันรุ่งขึ้น เขาตื่นแต่เช้า คว้ากรรไกรตัดกิ่งมาค่อย ๆ งับเจ้าช่อดอกสีน้ำเงินนั่นออกจากต้น

ตาลุงคนสวนโผล่หน้ามายืนอมยิ้ม ถามว่าให้ช่วยไหม แต่โดนเขาไล่ตะเพิดออกไปก่อน

ครั้นกลับเข้ามาในบ้าน เห็นริบบิ้นสีขาววางอยู่บนโต๊ะอย่างจงใจ จึงได้กระทืบเท้าปึงปังเข้าไปดูใกล้ ๆ เดาว่าเป็นฝีมือตาลุงช่างแส่นั่นแน่นอน อยากจะเรียกตัวมาเม้งใส่สักหน่อยก็ทำไม่ลงอย่างไรพิกล

เขาวางช่อไฮเดรนเยียสีน้ำเงินสดลงเบามือ บรรจงเลือกช่อที่สวยที่สุดขึ้นมาจัดเรียงเป็นพุ่ม จากนั้นผูกด้วยริบบิ้นสีขาวซึ่งถูกเตรียมไว้

แม้แต่ตัวเองที่ไม่ได้ชื่นชอบดอกไม้แต่อย่างใด ยังอดคิดไม่ได้ว่าน่ารัก

สีน้ำเงิน..เหมาะกับเจ้านั่นดีเหมือนกัน

หมายมั่นปั้นมือไว้ ตั้งใจจะไปง้อด้วยสิ่งนี้

ระหว่างนั้น จู่ ๆ ก็นึกถึงเรื่องเพ้อเจ้ออย่างความหมายของดอกไม้ จำได้ว่ามีหนังสือเก่า ๆ ในชั้นวางเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน อาจเป็นของมารดาที่ไม่ได้กลับบ้านมาหลายเดือนแล้ว ไม่เคยสนใจขึ้นมากระทั่งตอนนี้

เขาเดินดุ่มเข้าไปในห้องหนังสือ ไล่ดูบนชั้น ไม่นานก็เจอหนังสือเล่มนั้นวางอยู่ รีบหยิบมาเปิดไปยังหน้าที่ระบุว่าไฮเดรนเยีย

ดอกไม้แห่งหัวใจด้านชา

เขาเลิกคิ้วให้กับความหมายของมัน

เย็นชา ไร้หัวใจ โอ้โห เจ้าเด็กนั่นรู้ความหมายของมันหรือเปล่านะ

เขาเลื่อนสายตาไปเรื่อยกระทั่งถึงบรรทัดล่างสุด พบว่ายังมีอีกหนึ่งความหมาย

มองมันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นคลี่ยิ้มละมุนออกมา








ทั้งที่ตั้งใจว่าจะเป็นฝ่ายไปง้อก่อน แต่ธัญญธรกลับทำเขาประหลาดใจด้วยการโผล่มาหน้าบ้านเขาเสียเอง ท่าทางเหมือนว่ารีรออยู่ตรงนั้นนานแล้วแต่ไม่กล้าเรียก

เจนจบชะงักไปเมื่อเห็นร่างของคนคนนั้น จอดรถลงมายืนจ้องเอา ๆ โดยไม่พูดอะไร ทำเอาอีกฝ่ายที่คล้ายพยายามปั้นหน้าขึงขังเริ่มจะคงความนิ่งสงบไว้ไม่ไหว

“มาทำอะไร” เขาถาม

ธัญญธรอ้าปากพะงาบ ส่วนเขาเตรียมตัวฟังคำบ่นล้านแปดของอีกฝ่าย

แต่สุดท้ายก็ไม่มีเสียงอะไรออกมาจนต้องถามซ้ำ

“มาทำอะไร!?”

“..มะ...มา...” ลุ้นแทบตาย กว่าคำพูดจะหลุดออกมาได้ด้วยเสียงตะกุกตะกัก “..มาหาพี่”

เขาเลิกคิ้ว คิดในใจว่าสลับกันหรือเปล่า แต่เก็บอาการได้ดีกว่าอีกฝ่ายมาก

ทางธัญญธร เมื่อเห็นเขาเลิกคิ้วโดยไม่พูดไม่จาก็ยิ่งลนลาน รีบพ่นออกมาเหมือนกลัวโดนแย่งพูด

“พี่เจนอุตส่าห์หาทางช่วยมาตลอด แต่นอกจากผมจะไม่ขอบคุณแล้วยังโวยวายใส่ไปเยอะแยะ ที่จริงก็คิดว่าจะมาตั้งนานก็ยังมัวลังเล..”

อย่าเพิ่งยิ้มออกมาเชียว เขาบังคับตัวเองสุดความสามารถ

“แล้ว?”

“...กะ...ก็เลยมาขอโทษ”

“แค่นี้?”

อีกฝ่ายหน้าหงอยไปถนัดตา

“..ก็คิดอยู่หรอกว่าพี่เจนคงโกรธ ไม่สิ ต้องโกรธแน่อยู่แล้ว”

“แหงสิ” เขาทำเสียงแข็ง “ต้องไปขอให้คนอื่นช่วยจ้างนาย ทั้งที่จริง ๆ แค่โยนเงินให้ก็จบแล้วแท้ ๆ”

“ขอโทษ!” ได้ยินเช่นนั้น ธัญญธรถึงกับโพล่งขึ้นทั้งหน้ามู่ทู่ “แต่ช่วยไม่ได้นี่ พี่รวยเกินไป ไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้หรอก!”

“งั้นนายก็จนเกินไป ฉันไม่เข้าใจเหมือนกัน!”

“ใช่สิ!”

“ก็ใช่น่ะสิ!”

ไป ๆ มา ๆ จะกลายเป็นทะเลาะกันอีกเสียได้

“..ทะ..ที่มาวันนี้ก็แค่จะขอโทษเท่านั้นแหละ” สุดท้ายฝ่ายนั้นก็เปลี่ยนเป็นพูดงึมงำ ทำท่าจะหันหลังกลับ “ขอบคุณเรื่องที่ผ่านมาด้วย”

“เดี๋ยวสิ!”

เร็วกว่าปาก คงเป็นมือตัวเองที่คว้าข้อมือธัญญธรไว้นี่ละ

“จะไปไหน”

“กลับ”

“มาแค่นี้เนี่ยนะ”

“แค่นี้แหละ”

“ไม่ต้องไปไหนเลย!” เขาโวยขึ้นในที่สุด เริ่มจะไม่ค่อยสนุกแล้ว “มานี่ตัวแสบ!”

ไม่ว่าเปล่า ยังกระตุกข้อมืออีกฝ่ายเข้ามาใกล้ เมื่อเซเข้ามาก้าวหนึ่งก็รวบแขนสองข้างกอดหมับเอาไว้ทั้งตัว

“พี่เจน..” เพราะหน้าถูกกดแนบอยู่บนไหล่เขา เสียงพูดจึงได้ฟังดูอู้อี้

“กล้าทิ้งฉันเรอะ!?”

“...ทิ้ง?”

“กำลังจะหนีไม่ใช่รึไง มาทำให้วุ่นวายใจแล้วก็หนี เป็นเด็กนิสัยเสียอะไรอย่างนี้”

ธัญญธรชะงัก ผละออกเล็กน้อยเพื่อมองหน้าเขาพลางกะพริบตาปริบ ๆ

ครู่หนึ่ง ต่างคนก็แข่งกันหน้าขึ้นสีแดงเข้มอย่างเอาเป็นเอาตาย

“มีสีน้ำเงินแล้วนะ”

“เอ๋?”

เพราะเอาแต่พูดจาไม่ปะติดปะต่อ อีกฝ่ายจะงงเสียยิ่งกว่างงคงไม่แปลก

“ไฮเดรนเยียสีน้ำเงิน” เขางึมงำ กระชับอ้อมแขนไว้แน่นจนอีกคนทำหน้านิ่วคิ้วขมวด “อยู่ในรถ”

สายตาของธัญญธรย้ายไปตามคำบอกโดยอัตโนมัติ เมื่อเห็นช่อดอกไม้สีน้ำเงินผูกริบบิ้นขาวที่วางสงบนิ่งอยู่ในนั้นก็อ้าปากหวอออกมา ทำหน้าน่าเอ็นดูจนอยากจะกอดแน่น ๆ ให้กระดูกหักคามือไปเลย

“ตัดเองจากต้นเลยหรือเปล่า”

ยังมีหน้ามาถาม

“ตัดออกมาคมกริ๊บได้ขนาดนั้น ต้องเป็นฝีมือฉันอยู่แล้วสิ!”

คนในอ้อมแขนคล้ายจะอึ้งไปครู่ใหญ่ จากนั้นค่อยซบหน้าลงบนไหล่เขาอีกหน มองเห็นแต่ใบหูและต้นคอแดง ๆ โผล่ออกมา





มีต่อรีพลายถัดไปค่ะ
v
v
v
v
v
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-04-2017 22:02:53 โดย RAINYDAY »

ออฟไลน์ RAINYDAY

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1247/-5
    • FB page
งวดที่ 30.5 (ต่อ)





“...พี่เจน..”

สองมือกอดตอบเขาไว้แน่น กำเสื้อบนแผ่นหลังจนป่านนี้คงยับยู่ยี่หมดแล้ว

“อย่าทำเสียงอ้อนนักได้ไหมล่ะ!?”

“พี่เจน..”

พูดไม่ฟัง มีเรียกซ้ำอีกต่างหาก

“ถ้าจะซาบซึ้งอะไรขนาดนี้ ก็เริ่มจูบก่อนให้หน่อยเป็นไง”

ธัญญธรชะงักไป ขยับตัวหยุกหยิกครู่หนึ่งค่อยเงยขึ้นมองเขา ผิวหน้าแดงซ่านดังคาดจนน่ากลัวว่าจะระเบิด เหลียวมองซ้ายขวาอย่างระแวดระวัง กระทั่งแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ในลานสายตา ค่อยกระชากคอเสื้อเขาแบบหาความอ่อนโยนไม่มี กระแทกหน้าเข้ามาจนฟันแทบจะเฉาะปากกันอยู่แล้ว ได้กลิ่นคาวเลือดจาง ๆ เลยด้วยซ้ำ ปากแตกแบบไม่ต้องสงสัย

แต่ไม่โกรธสักนิด

อันที่จริง รู้สึกดีมากต่างหาก ลืมความเจ็บที่ปากไปสิ้น ปลอดโปร่งสุด ๆ จนหัวโล่งไปวูบใหญ่

เขาประคองท้ายทอยอีกฝ่ายไว้ในมือข้างหนึ่ง มืออีกข้างควานหาประตูรถซึ่งยังติดเครื่องไว้ เปิดประตูได้แล้วผลักคนที่เพิ่งทำเขาปากแตกให้ถอยลงไปนั่งแอ้งแม้งบนเบาะโดยสารฝั่งข้างคนขับ ก่อนจะรีบก้มตามลงไปประกบริมฝีปากกันอีกครั้ง เคล้าเคลียอยู่เป็นนาทีแทบไม่ปล่อยให้หายใจหายคอ

กว่าจะถอนใบหน้าออกมา ปากแดง ๆ นั่นก็เป็นรอยช้ำเจ่อ ยังมีคราบเลือดหลงเหลือติดอยู่นิดหน่อย

“จูบได้เร่าร้อนสุด ๆ” เขาแกล้งวิจารณ์ด้วยเสียงแข็งทื่อ

“อย่ามาประชดนะ!”

“เล่นซะเลือดตกยางออก” คราวนี้ว่าต่อพร้อมรอยยิ้ม ย้ายไปฉกจูบตรงปลายจมูกโด่ง ๆ นั่นทีหนึ่งอย่างมันเขี้ยว “ถ้าไม่ติดว่าอยู่หน้าบ้าน จะจับกินทั้งตัว”

“หา!?”

“ก็นั่นละ” ไม่พูดเปล่า คราวนี้ยังดึงคอเสื้อเชิ้ตธัญญธรให้แบะออกเล็กน้อย ก้มลงฝังหน้าลงบนซอกคอร้อนผ่าว งับเบา ๆ พอให้เป็นรอยฟัน “ฉันจะพยายามเข้าใจเหตุผลเพี้ยน ๆ ของนาย แต่ต้องให้เวลากันหน่อย”

“ไม่ได้เพี้ยน—โอ๊ะ!”

เพราะโดนงับเข้าอีกที คำพูดจึงชะงักลง

“ระหว่างนั้นห้ามหนีไปไหน เข้าใจรึเปล่า”

ว่าพลางเงยขึ้นสบตาอีกฝ่ายนิ่ง

ตาสวยจังนะ ทั้งดำขลับและวาววับ สวยมากรู้ไหม เห็นทีไรก็ยังอยากพูดอย่างนี้เสมอ ให้นั่งมองทั้งวันยังได้

“...จะหนีไปไหนได้ล่ะ” ธัญญธรอ้อมแอ้ม พยายามเสมองไปทางอื่น “ยังใช้หนี้ไม่หมดเลย”

“หนี้?”

“...ค่าตอบแทนเกินจริงทั้งหลายนั่นไง” พูดไปก็ยกมือขึ้นลูบต้นคอตัวเองตรงที่เพิ่งโดนกัดป้อย ๆ “หลังจากนี้ถือว่าให้ผมยืมเงินเป็นทุนการศึกษาแล้วกันนะ เรียนใกล้จบแล้ว ไว้ทำงานจะชดใช้ให้แน่นอน”

เจนจบได้ยินแล้วถึงกับพ่นลมหายใจเหนื่อยหน่าย อดบ่นไม่ได้

“ไม่เข้าใจนายเลยจริง ๆ”

“ไม่เป็นไร” ฝ่ายนั้นว่าพลางระบายยิ้มเคอะเขิน ลักยิ้มบุ๋มลงบนแก้มซ้าย “ผมให้เวลาพี่เจนทำความเข้าใจอีกนาน ๆ”

โดนย้อนเข้าแล้ว

“ระหว่างนั้นจะอยู่ข้างพี่ ไม่หนีไปไหน”

เป็นวิธีย้อนที่น่ารักจนจะบ้าตายเอาจริง ๆ







ความสัมพันธ์เช่นนั้นดำเนินเรื่อยมา นับวันยิ่งแน่นแฟ้น ลึกซึ้งเกินกว่าที่ตัวเองคาดไว้แต่แรกไปไกลโข

เขาถึงกับคิดอย่างจริงจัง ว่าอยากใช้ชีวิตกับคนคนนี้ตลอดไป แม้แต่นิสัยเสเพลเอาแต่เที่ยวเล่นถลุงเงินไปวัน ๆ เช่นแต่ก่อน ยังค่อย ๆ เปลี่ยนไปจนคนรอบตัวสังเกตได้

เรียนจบแล้วมุ่งหน้าเอาดีทางธุรกิจ ควบคู่กับมองหาลู่ทางศึกษาต่อไปด้วย อย่างไรเสียก็มีต้นทุนสูงอยู่แล้ว หากดึงตัวเองให้ขึ้นไปอยู่ในจุดสูงกว่านี้ได้อีก ย่อมหมดปัญหาเรื่องส่วนตัว เงินแก้ได้เกือบทั้งสิ้น เขาจะรักใคร่ชอบพอกับใคร ต่อให้เป็นพ่อแม่ก็ห้ามไม่ได้อีก

เมื่อมีความตั้งใจแน่วแน่ถึงขนาดนั้น ภาพอนาคตที่วาดไว้จึงเริ่มชัดเจน

อนาคตที่มีคนคนนี้อยู่เคียงข้างเขา


“นายเองก็ใกล้จบแล้ว” เขาพึมพำ โน้มตัวลงกดจูบบนขมับชื้นเหงื่อของอีกฝ่าย มือข้างหนึ่งประคองข้างแก้มเอาไว้อย่างทะนุถนอม “มาอยู่ด้วยกันไหม ทำงานกับฉัน อยู่ข้าง ๆ ฉันตลอดไป”

ธัญญธรไม่ตอบ เพียงแต่เอียงใบหน้าให้แนบฝ่ามือเขา เปลือกตาปิดพริ้ม ทำท่าเหมือนจะหลับไปจริง ๆ

เห็นอย่างนั้นเข้า อดแกล้งไม่ได้ วางริมฝีปากลงบนเปลือกตาเจ้าตัว ทำเสียงจุ๊บเบา ๆ อย่างจงใจ

“อย่าดูดตรงนั้นสิ!”

“หืม?” เขาทำเสียงต่ำในลำคอ “แบบนี้น่ะหรือ?”

ว่าแล้วก็ดูดเม้มอีกทีบนแก้ม ได้ยินเสียง ‘จุ๊บ’ ดังกว่าเก่า ทั้งตลกทั้งน่าอาย

ถูกฝ่ามือฟาดผลัวะลงทีหนึ่งบนต้นแขน คนฟาดบ่นงึมงำไม่ได้ศัพท์ จากนั้นตะแคงเข้าหา ซุกหน้าลงกับอกเขา

“ห้ามเสร็จก็ยั่วต่อเนี่ยนะ”

“อืม” ปฏิเสธสักคำยังไม่มี “ยั่วขึ้นหรือเปล่านะ”

“จริง ๆ เลย” เขาบ่นกลั้วหัวเราะ กระชับอ้อมแขนแน่น คู้ตัวลงเล็กน้อยให้ผิวเนื้อเปล่าเปลือยแนบกันสนิท ร้อนผ่าวไปทั้งร่าง แม้แต่ส่วนอ่อนไหวที่เพิ่งสงบลงได้ไม่นาน ก็คล้ายจะถูกความร้อนนั่นก่อกวนจนปั่นป่วนขึ้นมาอีกหน

“ทะลึ่ง..” ธัญญธรทำเสียงอุบอิบ คงรู้ตัวแล้วเช่นกันว่ามีบางอย่างกำลังขยายตัวขึ้นอย่างเรียกร้อง ดุนดันแถวหน้าท้องตัวเองอยู่

“อืม” เขารับแบบเดียวกัน ในระดับความหน้าด้านที่มากกว่านิดหน่อย “รู้หรือยังว่ายั่วขึ้นหรือเปล่า”

โดยไม่รอให้ได้รับคำตอบรับหรือปฏิเสธ ก็พลิกตัวขึ้นคร่อม ประคองใบหน้าอีกฝ่ายที่ทำท่าจะก้มงุดให้เงยขึ้นสบตา

“อย่าหลบสิ” เขาว่าเสียงนุ่ม คลี่รอยยิ้มละมุน ผิวหน้าคนฟังยิ่งแดงขึ้นเรื่อย ๆ น่ามองจนยากละสายตา “ขอดูชัด ๆ หน่อย”

จะหนีก็หนีไม่ไหว ได้แต่นอนทำหน้าไม่ถูกให้เขาจ้อง เสียงพูดกระท่อนกระแท่นเหมือนแค่ต่อว่าแก้เก้อ

“..หน้าอย่างนี้ก็เห็นมาเป็นปีแล้วไม่ใช่หรือไง”

“นั่นสินะ” เขายอมรับ “เห็นมาตั้งนานแล้วแท้ ๆ แต่มองไม่เบื่อเลย”

ฟังแล้วยิ่งทำหน้าตาน่ารักเข้าไปอีก

“ตาสวยมากเลยนะ” จ้องนานเข้า ราวกับถูกดึงให้ตกอยู่ในภวังค์ “..มีคนเคยบอกหรือเปล่า”

แพขนตาคู่นั้นหลุบลงต่ำ อ้อมแอ้มว่าเท่าที่จำได้ ก็มีแต่ตัวเขาที่เอาแต่ชมนั่นละ

“ดีแล้ว” ชายหนุ่มว่า จูบเบา ๆ ที่เปลือกตาซึ่งหลุบลงอีกหน “ไม่อยากให้คนอื่นเห็น”

“อีกหน่อยผมจะโดนพี่ควักลูกตาเก็บใส่โหลไว้ดูเล่นไหมนี่”

“อืม” เขาเลื่อนริมฝีปากมาที่ปลายจมูก “ความคิดดี”

อีกฝ่ายถึงกับทำหน้าเหวอ

“เอาจริงเรอะ”

“จมูกก็สวย ตัดออกมาด้วยเลยดีไหม”

“ปากด้วยไหมล่ะ?” โดนประชดเข้าให้

“ปากนี่ถ้าจะตัดก็เพราะพูดมากเนี่ยแหละ” เจนจบหัวเราะ พรมจูบไปทั่วใบหน้า “แย่แล้ว ชอบทั้งตัวเลยทำไงดีล่ะ”

แขนสองข้างของธัญญธรยกขึ้นคล้องรอบคอเขา ดึงลงไปหาพลางเอียงหน้าแนบจุมพิตที่ขมับเขาบ้าง ดูเหมือนยังไม่กล้าสบตาจนต้องเลี่ยงการมองตรง ๆ แต่ยังกระซิบเสียงทุ้มต่ำชวนใจสั่นในจูบ

“ให้ทั้งตัวเลย”

หัวใจอย่างกับจะระเบิดออกมานอกอก

“แต่แลกกันนะ” ฝ่ายนั้นว่า “เอาตัวพี่เจนมาแลก”

เขาหัวเราะกับเงื่อนไขนั่น เบียดแทรกตัวเองเข้าไปช้า ๆ ในช่องทางที่ยังชุ่มฉ่ำจากการสอดใส่ครั้งก่อน

“เอาสิ ได้ฉันแล้วดูแลดี ๆ ด้วยล่ะ”

ธัญญธรกลั้นหายใจเฮือกหนึ่ง กล้ามเนื้อตรงนั้นหดรัดส่วนที่ชำแรกเข้าไปเหมือนกับจะตอบรับ ยังความพลุ่งพล่านอาบท้นทั้งร่าง

“..ธัญ..”

กระซิบเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียแหบพร่า สืบเอวกระทั้นเข้าหา เหมือนกับจะฝังตัวเองให้ลึกที่สุดในซอกหลืบเร้นลับที่คับแน่นนั้น

เสียงหอบหายใจหนักหน่วงดังอยู่ริมหู พ่นลมร้อนออกมาถี่กระชั้นเป็นจังหวะ สอดคล้องกับเบื้องล่างที่สอดประสาน

“รัก..”

“อืม...รัก...”

ไม่รู้ใครเอ่ยมันออกมาก่อน ต่างก็พร่ำซ้ำไปซ้ำมาเช่นนั้น ราวกับจะสลักลงในหัวใจพวกเขาทั้งคู่ สองร่างเกี่ยวกระหวัดแนบแน่นไปจนสุดทาง










เคยเอ่ยคำรักหวานหูต่อกันขนาดนั้นแท้ ๆ ทั้งสายตารักใคร่ยามมองมาก็ไม่อาจเห็นเป็นอื่น ตั้งใจไว้ว่าหากเป็นคนนี้ จะสามารถหยุดตัวเองไม่มองใครอีก ต่อให้ต้องทิ้งอะไรก็จะไม่ปล่อยมือ

ธัญญธรคนนั้น คนที่เคยบอกเองว่าจะไม่หนีไปไหน

แต่วันหนึ่ง เจ้านั่นกลับหายตัวไป

หลังเจ้าตัวเรียนจบได้เพียงไม่นาน กลับขาดการติดต่อไปเสียดื้อ ๆ หอพักซอมซ่อที่เขาเคยไปนั่งกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปใส่ไข่ลวกสองฟอง ตอนนี้เปลี่ยนผู้อยู่อาศัยไปแล้ว

เพื่อนฝูงฝ่ายนั้นบอกแค่ไม่รู้ ไม่มีใครรู้ทั้งสิ้นว่าธัญญธรหายไปไหน เขาคร้านจะถามจากคนที่ดูไม่รู้เรื่องรู้ราว ตัดสินใจหาหนทางด้วยวิธีอื่น

ตอนนั้นทั้งหาเอง และให้คนของตนช่วยตาม แม้อำนาจยังไม่ได้อยู่ในมืออย่างเต็มที่ แต่หากเงินมากพอ ก็ยังสั่งการคนอื่นได้เหมือนกัน

ผ่านไปอีกเป็นเดือน ๆ ที่เขากินไม่ได้นอนไม่หลับ ใจหนึ่งก็โกรธที่ฝ่ายนั้นหายตัวไปดื้อ ๆ แต่อีกใจทั้งเป็นห่วงทั้งกังวล หายไปไร้ร่องรอยเช่นนี้ ไม่ใช่ว่าเกิดอันตรายอะไรขึ้นกับเจ้าตัวหรือเปล่า บางทีอาจประสบอุบัติเหตุ หรือหากถูกใครทำร้ายเข้า..แวบหนึ่งที่คิดว่าจะแจ้งตำรวจว่าคนหายได้ไหม

แต่หากไม่ใช่คนหาย แต่เป็นหนีไปด้วยเหตุผลบางอย่าง...

เขาตัดสินใจพักความคิดนั้นไว้ชั่วคราว ยังไม่อยากให้เป็นเรื่องเป็นราวถึงตำรวจ

งมหาอยู่เป็นนาน ยังไม่เห็นวี่แวว สุดท้ายตัดสินใจพึ่งพาสำนักงานนักสืบแห่งหนึ่งที่ได้รับการแนะนำมาจากลูกน้องซึ่งมีประสบการณ์ตามหาคนมาก่อน

มีเส้นสายพอ และเงินถึง ที่เหลือย่อมไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป นึกเสียดายที่ไม่ได้ไปว่าจ้างให้เร็วกว่านี้ ไม่ถึงสัปดาห์หลังจากนั้นก็ได้ข่าวคราว

ข้อเท็จจริงที่ทำเขางุนงงเป็นไก่ตาแตก คือไม่ได้เกิดเหตุร้ายใดขึ้นกับธัญญธร อีกฝ่ายยังอยู่ดีมีสุขทุกประการ

อยู่ดีมีสุข...ถึงขั้นกำลังจะแต่งงานกับหญิงสาวลูกเศรษฐีคนหนึ่งในอีกไม่ช้า







แจกันใบงามถูกเหวี่ยงกระแทกพื้นจนแตกละเอียดเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ส่งเสียงดังสนั่นบาดหู ไฮเดรนเยียที่ตาลุงคนสวนนั่นนำมาปักไว้ไม่ได้ขาดระหว่างเขามัวแต่ยุ่งอยู่กับการตามหาคน บัดนี้ร่วงกระจัดกระจายอยู่แทบเท้าอย่างไร้ค่า

ในหัวเขาเต็มไปด้วยคำถาม

ทำไมจู่ ๆ ก็หนีไปโดยไม่บอกกล่าว ไม่เคยติดต่อมาแม้สักครั้ง ปล่อยเขาวุ่นวายใจเหมือนคนบ้าอยู่อย่างนี้ ทำไมจะไปแต่งงานกับคนอื่นทั้งที่เคยบอกเองว่ารักเขากว่าใคร

ทำไม ทำไม ทำไม

ระหว่างที่คิดหาคำตอบจนหัวแทบระเบิด เครื่องเรือนและของตกแต่งในห้องก็ถูกทุ่มทำลายจนพังพินาศ ทีละชิ้น ทีละชิ้น กระทั่งไม่เหลืออะไรจะให้ทำลายแล้ว

เขายืนอ้าปากหอบอยู่ครู่ใหญ่ ค่อยทรุดตัวลงนั่งหมดเรี่ยวแรง เสยผมชื้นเหงื่อที่ปรกตาออกอย่างอ่อนล้า หัวเราะออกมาด้วยเสียงที่เหมือนกับคนกำลังจะร้องไห้ เหม่อมองบัตรเชิญร่วมงานแต่งงานที่นักสืบเชลยศักดิ์ผู้ได้รับการว่าจ้างนำมาให้อีกครั้งอย่างพิจารณา ไม่รู้ว่าไปได้มาจากไหน

ตัวอักษรชดช้อยบนนั้น ครั้นเห็นเข้าแล้ว ในอกพลันปวดหนึบจนร้าวไปหมด

ทั้งวัน เวลา และสถานที่จัดงานระบุไว้ชัดเจน ชื่อและนามสกุลฝ่ายเจ้าบ่าวคือ ธัญญธร เกรียงกฤตยศ ไม่ผิดแม้แต่ตัวอักษรเดียว

ส่วนชื่อของฝ่ายหญิง ระบุไว้ว่าพิมพิชชา

พิมพิชชา?

ไม่ว่าจะเค้นสมองครุ่นคิดอย่างไร ทั้งชีวิตเขาก็ไม่เคยมีคนรู้จักชื่อนี้มาก่อน

ไฮเดรนเยียสีน้ำเงินยังชูช่ออยู่หลังบ้าน ทว่าคนที่เคยบอกชอบมันนักหนา แต่ชอบเขามากกว่าดอกไม้ ตอนนี้กำลังจะแต่งงานกับผู้หญิงที่แม้แต่ชื่อยังไม่เคยได้ยินด้วยซ้ำ

เขาอยากร้องไห้ก็ร้องไม่ออก ได้แต่ตั้งคำถามกับความว่างเปล่า

“..ทำไมล่ะธัญ...ไม่ใช่ว่านายรักฉันหรอกหรือ...”







บ้าบออยู่หลายวัน แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไปดูให้เห็นกับตาตัวเอง

เจนจบอยู่ในสูทพอดีตัว ก้าวขาเข้าไปในงานตามสถานที่และวันเวลาซึ่งถูกระบุไว้ในบัตรเชิญ

ทั้งใบหน้าคมคาย ทรงผม การแต่งกาย หรือท่วงท่าล้วนหล่อเหลาจับตา ตกเป็นที่สนใจได้ไม่ยาก แต่เขากลับเลือกนั่งในมุมหนึ่งซึ่งไม่สะดุดตานัก ลอบสังเกตโดยรอบบริเวณ มองหาพระเอกของงานอยู่เงียบ ๆ ไม่พูดจาทักทายกับใครทั้งสิ้น

เวลาผ่านไปเนิ่นนาน กว่าคนคนนั้นจะปรากฏตัว

ชายหนุ่มในชุดขาวผู้นั้นมีแผ่นหลังเหยียดตรงสง่าผ่าเผย รูปร่างสูงโปร่ง แม้ดูผอมลงบ้างจากตอนพบกันครั้งสุดท้าย แต่ยังดูผึ่งผายงดงามในเครื่องแต่งกายเจ้าบ่าว

ใบหน้าอ่อนเยาว์นุ่มนวล ผมหน้าซึ่งปกติปรกลงมาถึงคิ้ว บัดนี้หวีเสยขึ้นเปิดหน้าผาก ผิวหน้าหมดจด เผยคิ้วเข้มและดวงตาดำขลับหวานซึ้ง จมูกโด่ง ริมฝีปากอิ่ม เครื่องหน้าล้วนมีเสน่ห์ชวนมอง

ทั้งหมดนั้นเคยเป็นของเขา

ข้างกายคนคนนั้น มีหญิงสาวหน้าตาสะสวยผู้หนึ่งยืนเคียง ผมเธอรวบเป็นมวยไว้ด้านหลังหลวม ๆ ประดับผมด้วยดอกไม้เล็ก ๆ สีขาว ดูอ่อนช้อยงดงามอยู่ในชุดกระโปรงยาวฟูฟ่อง เครื่องแต่งกายล้วนขาวบริสุทธิ์

ชายหนุ่มหญิงสาวสองคนยืนเคียงกัน งดงามราวกับภาพวาดในตอนจบของเทพนิยาย ที่เจ้าหญิงเจ้าชายจะครองรักกันตราบจนชั่วฟ้าดินสลาย

ความปวดร้าวเจือหึงหวงสุมอยู่ในอก อยากสวมบทบาทเป็นตัวร้ายโดยสมบูรณ์ ทำลายงานแต่งบ้า ๆ นี่ลงให้เละเทะเสียตอนนี้

เขาอดทนนั่งสงบนิ่งอยู่ในงาน จนพิธีกรเชิญบ่าวสาวขึ้นเวที ไถ่ถามถึงการพบกันของพวกเขา มีแต่เรื่องงี่เง่าที่เขาอยากจะหัวเราะให้ลั่น พบกันอย่างไร พบกันที่ไหน รักกันตั้งแต่เมื่อไร ประทับใจอะไรในตัวอีกฝ่าย

เขาเองก็อยากถามคำถามทั้งหมดนั่นกับธัญญธรเหมือนกัน

ไปรักกันได้อย่างไร ในเมื่อสองสามปีมานี้ ไม่ใช่ว่ามีแต่เขาคนเดียวหรอกหรือ ไม่ใช่พร่ำบอกรักซ้ำไปซ้ำมาอยู่เกือบทุกค่ำคืนหรืออย่างไร?

ได้ยินคนบนเวทีสรุปความว่าบ่าวสาวรู้จักกันตั้งแต่เด็ก เพราะมารดาของทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทกัน คงเป็นความประทับใจตั้งแต่ตอนนั้น

เมื่อเติบโตขึ้นก็ต่างคนต่างไปมีชีวิตของตัวเอง จนเรียนจบมหาวิทยาลัย กระทั่งได้กลับมาพบกันอีกหน

คนพวกนั้นบอกว่าคงเป็นพรหมลิขิต

มันมีที่ไหน พรหมลิขิตบ้าบอนั่น

เขาแค่นหัวเราะ ปัดแก้วร่วงลงบนพื้น เพราะเป็นพรมจึงไม่ส่งเสียงดัง บริกรเดินเข้ามาเก็บมันไปอย่างเงียบเชียบ ทิ้งเพียงรอยด่างดวงอยู่บนพรมใต้พื้นรองเท้า






บ่าวสาวลงจากเวที เดินเคียงคู่กันทักทายแขกเหรื่อไปทีละโต๊ะ

เจนจบพยายามใจเย็นอย่างถึงที่สุด กระทั่งทั้งสองเดินมาถึงโต๊ะที่เขานั่ง

ยิ่งมองใกล้ ๆ ก็ยิ่งรู้สึกว่าผู้ชายคนนั้นหน้าตาหล่อเหลางดงามกว่าทุกที ทั้งที่ควรมีแต่เขาเป็นเจ้าของ ทั้งใบหน้า ร่างกาย และหัวใจนั้น แต่ทำไมจึงกลายเป็นหญิงสาวที่ผู้คนพากันซาบซึ้งว่าเป็นพรหมลิขิตบ้าบอคอแตกนั่นไปเสียได้

เขาเหยียดริมฝีปากเป็นรอยยิ้ม สวยงามสมบูรณ์แบบ ทว่าแห้งแล้งอย่างถึงที่สุด

เมื่อสายตาสบกันเข้า ธัญญธรก็ชะงักค้างไปครู่ใหญ่ นัยน์ตาที่เขาเคยชมว่าสวยนักหนา ไม่อยากให้ใครอื่นเห็น ยามนี้เบิกกว้างคล้ายกำลังตกตะลึงสุดขีด ทว่าไม่มีเสียงใดหลุดลอดจากปาก

เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูง เดินไปเผชิญหน้ากับธัญญธร เดิมส่วนสูงฝ่ายนั้นน้อยกว่าเขานิดหน่อยอยู่แล้ว ใกล้อย่างนี้ยิ่งสังเกตได้อีกอย่างว่าผอมลงมากทีเดียว

เจนจบเลิกคิ้ว ถามอย่างสุภาพ

“ให้เกียรติถ่ายรูปด้วยกันหน่อยได้หรือเปล่าครับ?”

ว่าพลาง เข้าไปยืนเบียดอีกฝ่ายจนชิด แทรกกลางระหว่างคู่บ่าวสาวชนิดเสียมารยาทอย่างถึงที่สุด ทั้งมือข้างหนึ่งยังโอบเอวธัญญธรไว้กับตัว ไหล่ซ้อนกันจนเกือบกลายเป็นกอด

รู้สึกได้ว่าฝ่ายนั้นหายใจติดขัด พวงแก้มขึ้นสีแดงระเรื่อ สีหน้ากระอักกระอ่วน

ตากล้องยังไม่ทันกดชัตเตอร์ ธัญญธรก็ร้องขึ้นก่อน สุ้มเสียงอ่อนระโหย

“ผม ขอไปห้องน้ำสักครู่ได้ไหม”

เจ้าสาวมองหน้าคนพูด เหลือบมองทางเขาแวบหนึ่งแล้วมองธัญญธรอีกหน ต้องรู้สึกได้ถึงบรรยากาศแปลกประหลาดระหว่างพวกเขาแน่นอน แต่กลับไม่ถามไถ่สักคำ พยักหน้าน้อย ๆ ให้เจ้าบ่าวของตัวเองพร้อมรอยยิ้ม

ธัญญธรรีบรุดออกจากบริเวณงาน ตรงออกไปทางห้องน้ำดังปากว่า แต่เมื่อเห็นผู้คนจับกลุ่มกันอยู่ไม่น้อย ก็เปลี่ยนทิศไปทางอื่น ขณะที่เขายังก้าวขาตามไปติด ๆ กระทั่งถึงจุดลับตาคนนอกงาน

“ไม่เข้าห้องน้ำแล้วหรือไง” เขาร้องถาม เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังทำท่าจะเดินต่อไปไม่หยุด

คนฟังชะงัก แต่ยังหันหลังให้เขา ไหล่ทั้งสองสั่นไหวอยู่น้อย ๆ

“...ทำไมพี่ถึงมาอยู่ที่นี่ได้”

เขาขมวดคิ้วแน่น เขาต่างหากที่อยากถาม อยากกระชากคอเสื้ออีกฝ่ายขึ้นมาแล้วตะโกนใส่ว่าทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ได้ ในงานแต่งเพ้อเจ้อเรื่องพรหมลิขิตโดยมีตัวเองอยู่ในฐานะเจ้าบ่าว

“ตกใจมากรึไง!?” เขาสาวเท้าเข้าไปหา คว้าไหล่ธัญญธร บังคับให้หันกลับมาเผชิญหน้า “กลัวฉันจะทำลายงานแต่งนายย่อยยับสินะ”

“พี่เจน..”

“ไม่เจอกันหลายเดือน นึกว่านายลืมชื่อฉันไปแล้วเสียอีก!”

“ไม่ใช่อย่างที่พี่คิด..”

“รู้หรือว่าฉันคิดอะไร!? ช่วงที่นายไม่อยู่จะคิดว่าเกิดอันตรายอะไรขึ้นหรือเปล่า หายไปไหนหรือมีปัญหาอะไรทำไมไม่บอกกล่าวกันสักคำ ถ้าเกิดอุบัติเหตุขึ้นมา ถ้ามีเรื่องไม่ดี แต่แล้วกลับมาเจอว่ากำลังยิ้มหน้าบานข้างกับเจ้าสาวคนสวย! นายว่าฉันควรคิดอะไรดีล่ะ!?”

ทั้งที่อยากดึงมากอดมากกว่า แต่ปากก็ยังประชดประชันไม่หยุด

“นายหายไปไม่บอกกล่าว ถ้าไม่ตามเจอเองก็ไม่มีวันรู้ว่ากำลังจะแต่งงาน ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครนายยังไม่เคยพูดกับฉันสักคำเลยด้วยซ้ำ! จะให้ยิ้มร่าแล้วยกแก้วอวยพรว่าขอให้บ่าวสาวรักกันจนแก่เฒ่าหรือไง! คิดว่าคนอย่างฉันใจกว้างเป็นแม่น้ำขนาดนั้นเลยหรือ!?”

อีกฝ่ายโคลงศีรษะไปมา จ้องมองเขาด้วยสายตาวิงวอน

“ผมไม่ได้อยากแต่งงาน”

“ก็กำลังแต่งอยู่นี่ไม่ใช่รึไง!?”

“เพราะว่าแม่จะไม่ไหวแล้วต่างหาก..”

ธัญญธรเอ่ยออกมาเสียงเบาหวิว จ้องมองเขาด้วยดวงตาแดงก่ำ

“..ป่วยจนจะไม่ไหวแล้ว ทั้งป่วยทั้งลำบาก เจอกันอีกหน สภาพก็ย่ำแย่สุด ๆ บอกแต่อยากให้แต่งงาน อีกฝ่ายเป็นลูกสาวของเพื่อนรักตัวเอง เพื่อนแม่คนนั้นก็เห็นดีเห็นงามด้วยกันมาตลอด”

“บ้ารึเปล่า!? แล้วนายต้องทำตาม!?” เขาค้านเสียงดังอย่างไม่เข้าใจ “เขาเคยมาสนใจนายรึก็เปล่า แล้วนายต้องสนใจแม่ที่ไม่เคยมาดูดำดูดีด้วยหรือไง!?”

“ต้องสนสิ!” ธัญญธรว่า ทำหน้าอย่างกับจะร้องไห้ “อะไรที่ทำให้ได้ก็จะทำ เขาอาจอยู่ได้อีกไม่นานแล้วนะ”

“ก็ช่างปะไร”

“พี่เจน..”

เขากัดฟันกรอด เรื่องแบบนั้น จะอย่างไรก็ไม่เคยเข้าใจ ในเมื่อคนกำลังจะตาย ต่อให้ธัญญธรแต่งงานตามความตั้งใจของมารดาก็ใช่ว่าจะทำให้เธอหาย แล้วทำไมจะต้องมาเจ้ากี้เจ้าการชีวิตคนอื่นกระทั่งในวาระสุดท้ายของตัวเองด้วย ในเมื่อตลอดเวลายังแทบไม่เห็นเคยมาสนใจลูกตัวเองเลยด้วยซ้ำ ไม่ใช่หวังจะขายลูกชายให้เศรษฐีที่มีลูกสาวหรืออย่างไร จะเกาะลูกสะใภ้กินเสียมากกว่า

“ถ้าต้องการแค่เงิน นายมาอยู่กับฉัน ยังได้เยอะกว่าผู้หญิงนั่นเป็นไหน ๆ”

“พี่เจน...” อีกฝ่ายกระซิบเสียงอ่อนระโหยยิ่งกว่าเก่า

“บอกมาสิว่าอยากได้เท่าไหร่ ค่ารักษาแม่ ค่าบ้าน ค่ารถ หรือมีหนี้มีสินที่ไหนอีก แค่นายอ้าปากบอกตัวเลขมา”

ธัญญธรชะงักไปกับถ้อยคำของเขา พูดไม่ออกไปอีกครู่ใหญ่

ที่เจ็บยิ่งกว่ามาเห็นอีกฝ่ายยืนเคียงหญิงอื่น คงเป็นสายตาผิดหวังคู่นั้นที่กำลังมองมา ทว่ายังฝืนพูดต่อทั้งริมฝีปากสั่นระริก

“ลูกชายไปอยู่กับผู้ชาย แม่จะว่ายังไง คนอื่นจะว่ายังไง โลกนี้ไม่ได้มีแค่เราสองคนนะ...จะคิดถึงแต่ตัวเองไม่ได้”

“แต่นายก็จะเอาแต่คิดถึงคนอื่นไม่ได้เหมือนกัน!” เขาตะโกนอย่างเหลืออด “แล้วฉันล่ะ!? ไม่นึกถึงฉันบ้างรึไง หรือเห็นเป็นหัวหลักหัวตอ ไม่ใช่นายบอกเองหรือว่ารักฉันกว่าใคร ๆ แล้วนี่ทำอะไรอยู่!? หนีมาเงียบ ๆ เพื่อแต่งงาน รักกับเจ้าสาวมานานตั้งแต่สมัยเด็ก จะบอกว่าที่ผ่านมาระหว่างฉันกับนายเป็นเรื่องโกหกงั้นสิ ตลกไปหน่อยรึเปล่า!?”

“ไม่ตลกเลยต่างหาก!” ธัญญธรร้องแทรกขึ้นมา “ระหว่างพวกเราก็ไม่ได้โกหกด้วย!”

เขามองอีกฝ่ายนิ่งงัน เห็นแต่สีหน้าท่าทางจริงใจจนไม่มีอะไรให้เคลือบแคลงอีก ตัดสินใจคว้ามือธัญญธรไว้ในมือตัวเอง

“งั้นกลับไปกับฉัน” เขาเอ่ยเสียงหนักแน่น “ล้มเลิกงานบ้า ๆ นี่ซะ”

“ไม่ได้...”

“กลับ!”

ทว่าธัญญธรยืนนิ่ง ขาราวกับเป็นแท่งหินที่ปักอยู่บนพื้น เม้มปากแน่นทั้งตาแดง ๆ แกะมือเขาออกด้วยแรงไม่น้อยไปกว่ากัน

“..ถึงที่ผ่านมาก็ไม่เคยหลอกลวง แต่เรื่องนี้ผมตัดสินใจแล้ว”

เขาขมวดคิ้ว “หมายความว่าไง”

อีกฝ่ายเงยขึ้นสบตา พูดออกมาช้า ๆ ทีละคำ ราวกับจะประกาศให้เขาได้ยินจนสิ้นข้อสงสัย

“ผมจะแต่งงานกับพิม.."

เขายืนเบิกตากว้าง

"ไม่สิ...ผมแต่งงานกับพิมแล้ว”

ทั้งที่ชัดเจนขนาดนั้น ก็ยังไม่อยากเชื่อหู

“ว่าไงนะ..”

“ผมแต่งงานกับพิมแล้ว” ธัญญธรย้ำหนักแน่นขึ้นอีก “จะสร้างครอบครัวด้วยกันอย่างคนปกติ วันหนึ่งจะมีลูกสืบทอดวงศ์ตระกูล”

“..ฉันไม่เข้าใจ”

และไม่อยากยอมรับด้วย

“พี่เจนเอง วันหนึ่งก็จะแต่งงานมีลูกเหมือนกัน ถึงตอนนั้นผมจะไปร่วมแสดงความยินดี”

พูดออกมาได้ง่าย ๆ อาศัยตอนเขายังยืนทำหน้าโง่เง่าเหมือนนักมวยเมาหมัดเดินจากไป กลับเข้าสู่งานวิวาห์ของตัวเองอีกครั้งในฐานะเจ้าบ่าว

เขาคล้ายเพิ่งรู้ตัว ว่าแท้จริงแล้วอาจไม่เคยเข้าใจธัญญธรเลย







มีต่อรีพลายถัดไปค่ะ

v
v
v
v
v
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-04-2017 22:23:43 โดย RAINYDAY »

ออฟไลน์ RAINYDAY

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1247/-5
    • FB page
งวดที่ 30.5 (ต่อ)



หลายครั้งหลายหน ที่เคยคิดว่าคนงี่เง่าอย่างเจ้านั่น ปล่อยมือไปได้ก็ดีเหมือนกัน

เกือบสามปีที่ผ่าน อาจจะนานไปสักหน่อยสำหรับความหลง แต่ยังบอกตัวเองว่าคงเป็นแค่ความหลงเท่านั้น เพราะตนเองไม่เคยคบหาเชิงชู้สาวกับผู้ชายมาก่อน เจอกับธัญญธรเข้า คิดว่าน่าสนใจ อาจหลงผิดว่าเป็นความรัก จึงได้ปักใจนักหนา

ต้องเป็นอย่างนั้น...เจนจบบอกตัวเองว่าต้องเป็นอย่างนั้นแน่นอน

ทว่าผ่านไปนับวัน กลับยิ่งทรมาน อยากจะตัดใจก็ทำไม่ได้ จะไปต่อก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน มีชีวิตอยู่กับความรู้สึกที่ตัดไม่ขาด แต่ทำอะไรกับมันไม่ได้สักอย่าง ยิ่งนึกถึงก็ยิ่งเพิ่มพูน

เป็นปีให้หลัง เมื่อกลับไปใช้ชีวิตเสเพลกับทั้งหญิงและชายมากหน้าหลายตา แต่ไม่มีความสุขสักนิด จึงกล้ายอมรับกับตัวเองในที่สุด ว่าเขาหลงรักอีกฝ่ายอย่างถอนตัวไม่ขึ้นจริง ๆ นั่นละ

นับจากวันนั้น ยังคอยลอบสืบข่าวคราวของธัญญธรและภรรยาอยู่เงียบ ๆ เห็นว่าราบรื่นดี แต่ไม่หวือหวา อันที่จริงเรียกว่าเข้าขั้นจืดชืดด้วยซ้ำ ทั้งคู่ไม่เคยมีท่าทีแสดงความรักต่อกันให้คนอื่นเห็นแม้แต่น้อย

แม่ของธัญญธรป่วยหนักจริงดังเจ้าตัวว่า ไม่นานก็เสียชีวิตลง แต่อย่างน้อยลูกชายก็มีครอบครัวให้เห็นแล้วก่อนตาย แต่งงานกับหญิงสาวลูกเศรษฐีหน้าตาสะสวย ทางบ้านทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ไม่ได้ร่ำรวยมากอย่างเขา แต่ไม่นับว่ายากจนแน่นอน

คนนอกมองว่าชีวิตธัญญธรเหมือนกำลังไปได้สวย เป็นหนูตกถังข้าวสาร ได้ภรรยาทั้งสวยและฐานะดี แต่ข้อมูลที่เขาสืบได้มา เห็นว่าธุรกิจกำลังทำท่าจะแย่ ช่วงสองสามปีมานี้ขาดทุนต่อเนื่อง อีกไม่นานคงไม่สามารถประคับประคองต่อไปได้อีก

เขาเก็บข้อมูลเรื่องนั้นไว้ในหัวเงียบ ๆ เฝ้ามองธัญญธรโดยฝ่ายนั้นไม่เคยรู้ตัว



ราวหนึ่งปีต่อมา พวกเขาพบกันอีกครั้ง ในงานเลี้ยงแต่งงานของเพื่อนเขาคนหนึ่ง

เพราะช่วงที่เจ้าตัวเรียนอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย คลุกคลีอยู่กับเขาตลอด วันนี้แม้ร้างลากันไปแล้ว แต่ยังติดต่อกับเพื่อนเขาอยู่บ้าง จึงได้รับเชิญมางานด้วย

ฝ่ายนั้นมาร่วมงานเพียงคนเดียว ไม่ได้พาภรรยามาด้วย นั่งหลบมุมอยู่ตรงโต๊ะไกลออกไปจากเวทีด้านหน้า เหมือนกับเขาเองวันนั้น ที่นั่งหลบอยู่มุมหนึ่งในงานแต่งของเจ้าตัว

เขาเฝ้ามองเงียบ ๆ เช่นนั้นกระทั่งงานใกล้เลิก ผู้คนเริ่มบางตาลงแล้ว จึงเดินเข้าไปปรากฏตัวตรงหน้าอีกฝ่าย

แค่เห็นใบหน้าคุ้นเคยที่ได้แต่มองอยู่เพียงห่าง ๆ นั้นเงยขึ้นมองกลับ ทอดสายตามาทางเขาอย่างเคยเป็นในอดีต หัวใจที่นิ่งสงบมาได้เนิ่นนาน ก็คล้ายว่าถูกโยนบททดสอบหนักหนามาให้อีกครั้ง

“ไง” เขาทักคำแรก สุ้มเสียงแหบพร่า ถือวิสาสะนั่งลงบนเก้าอี้ข้างอีกฝ่าย ทั้งโต๊ะเหลือเพียงพวกเขาสองคน “ไม่เจอกันนาน”

“ครับ” ธัญญธรยิ้มบาง พยักหน้าน้อย ๆ ดวงตาที่เขาหลงใหลตลอดมาคู่นั้นฉายแววเศร้าหมอง “พี่เจนสบายดีไหม”

เขายักไหล่ เอนหลังพิงพนักเก้าอี้ หยิบแก้วบรรจุน้ำสีอำพันกระดกเข้าปาก แก้วที่เท่าไรแล้วก็เกินจะนับ ตอบตามตรงทั้งรอยยิ้มขื่น “ไม่เท่าไหร่ นายล่ะ?”

เขาวางแก้วที่เหลือแต่น้ำแข็งลง อีกฝ่ายมองมันเงียบ ๆ ไม่พูดไม่จา แก้มสองข้างแต้มสีแดงจาง ไม่รู้เพราะเริ่มเมาเหมือนกัน หรือเพราะเหตุผลอื่น

“..ผมก็...เรื่อย ๆ”

เขาพ่นลมหายใจเป็นเสียงแค่นหัวเราะ เอาศอกถองอีกฝ่ายเบา ๆ เป็นทำนองบอกให้รู้ว่าไม่เห็นต้องทำท่ากระอักกระอ่วนขนาดนั้น

“ต้องรีบกลับบ้านรึเปล่าน่ะเรา”

“หา?”

“ว่างไหม ไปดื่มเป็นเพื่อนหน่อย”

“แต่ผม...”

“เราไม่เจอกันมานานเท่าไหร่แล้วนะ ถือว่าไปกับเพื่อนเก่า ไม่ก็รุ่นพี่ที่เคยสนิทไม่ได้หรือไง” เขาประชด “เว้นทำการบ้านสักวัน เมียคงไม่โกรธหรอกมั้ง”

“..ผะ..ผมไม่ได้—”

“ไปเถอะ” ว่าพลางลุกขึ้นยืน ดึงแขนอีกฝ่ายออกจากงานอย่างเอาแต่ใจ ส่วนหนึ่งอาจเพราะเริ่มเมา แต่อีกส่วน รู้ดีว่าคงเพราะคิดถึงจนทนไม่ไหว

ธัญญธรทำท่าตกใจอยู่แค่ครู่เดียว จากนั้นเดินตามแรงดึงของเขาอย่างว่าง่าย ไม่ขัดขืนสักนิด ทั้งที่หากจะทำก็คงทำได้ไม่ยาก

“ที่บ้านพี่ได้หรือเปล่า”

“หืม?” คราวนี้กลับเป็นเขาเองที่ทำหน้างง หันไปมองอีกคนซึ่งก้มหน้าก้มตามองแต่เท้าตัวเองขณะพูด

“ไม่อยากไปดื่มที่อื่น”

น้ำเสียงที่คิดถึง ใบหน้าที่คิดถึง กลิ่นกายที่คิดถึง..

เขาใช้เวลาครุ่นคิดเพียงไม่นาน

“เอาสิ”






กอไฮเดรนเยียยังอยู่เหมือนเดิม ทั้งนับวันยังเพิ่มจำนวนมากขึ้น ได้รับการดูแลเอาใจใส่อย่างดีจนชูช่อสวยงาม ทั้งสีน้ำเงิน ฟ้า ม่วง หรือชมพู

แต่ตอนนี้มืดเกินกว่าจะมานั่งชมดอกไม้

พวกเขาดื่มกันต่ออีกเป็นชั่วโมง บ้านหลังเดิม โต๊ะตัวเดิม เครื่องเรือนทุกอย่างไม่เคยเคลื่อนย้ายตำแหน่งเก่าของมันนับจากสมัยเรียนจนบัดนี้ ต่อให้หลับตา เชื่อว่าธัญญธรก็จะยังสามารถเดินไปมาในบ้านเขาได้อย่างคล่องแคล่ว

จากในห้องโถง ย้ายเข้ามาในห้องนอน

กลิ่นเหล้าคละคลุ้ง เนื้อตัวร้อนผ่าวเหมือนมีไฟลน

พวกเขานั่งเคียงกันตรงขอบเตียง ถูกโอบกอดด้วยความเงียบงันอันหนักหน่วง เต็มไปด้วยความโหยหาแฝงอยู่ลึก ๆ ในทุกการเคลื่อนไหว ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีละลายหายไปเรื่อย ๆ ทุกครั้งที่ของเหลวสีอำพันถูกกรอกเข้าไปในปาก

“ไม่เคยลืมนายได้เลย”

เป็นเสียงเขาเอง กระซิบแผ่วเบาริมหูคนข้างกาย

“...คิดถึง”

คิดถึงเหมือนจะขาดใจ

ธัญญธรไม่เพียงไม่ขยับหนี ยังหันกลับมา จ้องมองเขาด้วยดวงตาเชื่อมแสง

สองมือคว้าคอเสื้อเขาไว้ไม่พูดไม่จา โผตัวเข้าหา ฉกจูบรุนแรง ไม่ระวังจนฟันกระแทกกับปาก

รสเลือดเค็มปร่าแผ่ซ่านอยู่บนลิ้น

จูบไม่ได้เรื่องเหมือนเคย

เขาเพียงแต่คิด ไม่ได้พูดออกไป ริมฝีปากวุ่นวายอยู่กับเรียวลิ้นอีกฝ่าย ผลัดกันกวาดต้อนให้ลึกล้ำที่สุด ตะกรุมตะกรามช่วงชิงลมหายใจกันและกัน ผลีผลามจนไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นจูบที่อ่อนโยน แต่ก็หวานล้ำเกินกว่าจะเป็นเพียงตัณหาชั่วครั้งชั่วคราว

“..คิดถึง...ฉันคิดถึงนายจนเหมือนจะเป็นบ้า”

พูดจางี่เง่าอย่างนั้นไปตั้งไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง ทว่าทุกครั้ง อีกฝ่ายก็จะตอบมาเหมือนกัน ผมคิดถึงพี่....ผมคิดถึงพี่จนเหมือนกำลังจะเป็นบ้า....คิดถึงจะขาดใจ....คิดถึงจนเหมือนจะทนไม่ไหว...

มือไม้คล้ายรู้ที่ทางของมัน ทุกตารางนิ้วบนผิวกายไม่มีตรงไหนที่เขาไม่เคยสัมผัส ร่างกายเคลื่อนไหวกอดเกี่ยวกันแนบสนิท ราบรื่นราวกับกระแสน้ำไหล เชี่ยวกรากทว่าไม่สะดุดสักนิด เชื่อมโยงกันลึกซึ้งทั้งบนริมฝีปาก แขน ขา แผ่นอกที่มีหัวใจเต้นหนัก ๆ อยู่ข้างใน

ปลายนิ้วล่วงล้ำเข้าไปในช่องทางร้อนผ่าว เสียงหายใจเฮือกดังอยู่ข้างหู เขาจูบขมับฝ่ายนั้นซ้ำ ๆ จนสงบ

อาจเพราะเมื่อบอกคิดถึง ธัญญธรก็ตอบกลับว่าคิดถึงเช่นกัน จึงได้เผลอใจกระซิบคำรักอย่างมักง่าย แค่อยากได้ยินเสียงคนคนนี้เอ่ยมันออกมาอีกสักครั้ง

“ฉันรักนาย...รัก.....” รำพันออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า “...รัก....”

เบียดแทรกส่วนกลางกายของตัวเองเข้าไปแทนนิ้ว กดสะโพกลงไปจนลึก แช่อยู่อย่างนั้นไม่ยอมขยับ

“...ระ....” ได้ยินเสียงธัญญธรกระซิบแผ่ว เบาจนแทบกลืนหายไปกับอากาศ “...รัก....”

อยากจะร้องไห้ออกมาทั้งอย่างนั้น

เขากดริมฝีปากลงกลางกระหม่อมอีกฝ่าย ซ่อนดวงตาร้อนผ่าวไว้ในกลุ่มผมดำขลับของเจ้าตัว

“..พูดอีกครั้งได้ไหม”

คนในอ้อมแขนพยักหน้า คล้ายว่าได้ยินเสียงสะอื้นเบา ๆ

“...รักพี่...”

เขากอดธัญญธรไว้แน่น แน่นจนแวบหนึ่งคิดว่าหากกอดให้แรงขึ้นอีกสักหน่อย แล้วหลอมรวมกันไปได้เลยก็ดี ไม่อยากปล่อยมือ ไม่อยากให้จากไปไหน ไม่อยากยกให้ใครทั้งนั้น คิดจริง ๆ ว่าหากได้ธัญญธรกลับมาอยู่ในอ้อมแขนตัวเองอีกครั้ง ถึงจะตายไปทั้งอย่างนี้เลยก็ไม่เป็นไร










หลังจากครั้งนั้น ก็ยังลอบเจอกัน มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งอีกหลายครั้งหลายหน

ทั้งสุขสมและขมขื่น รู้ทั้งรู้ว่าอีกฝ่ายแต่งงานแล้ว แต่อย่างไรก็ไม่สามารถปล่อยมือได้ ราวกับเผลอย่างเท้าลงไปในบ่อโคลน เมื่อถลำลึกลงสักครั้ง แม้อยู่นิ่ง ๆ ก็ยังจมดิ่งลง แต่หากยิ่งดิ้นจะยิ่งถูกดูดเข้าไปลึกเรื่อย ๆ เร็วกว่าเก่า อย่างไรก็ปีนกลับขึ้นมาไม่ได้อีก

“หย่าได้หรือเปล่า” เขาถามขึ้นในคืนหนึ่ง ปลายจมูกคลอเคลียอยู่ข้างผิวแก้มอีกฝ่าย “แม่นายไม่อยู่แล้วนี่”

ธัญญธรทำสีหน้าลำบากใจ แต่ไหนแต่ไรก็ลังเลมาตลอด กลัวจะทำร้ายคนนั้นคนนี้ แต่ที่สุดแล้วเพราะความใจอ่อน กลับทำร้ายทั้งตัวเองและคนรอบข้างมากที่สุด

“..แต่ญาติฝั่งพิม..”

เจนจบพยักหน้า เรื่องนั้นก็พอเข้าใจขึ้นมาบ้าง ลูกสาวคนเดียวแต่งงานกับชายหนุ่มรูปงามได้ไม่ถึงปี หนุ่มคนนั้นกลับขอหย่าเพราะรักอยู่กับผู้ชายคนอื่น เท่าที่ตามสืบมาระยะใหญ่ ครอบครัวฝ่ายหญิงไม่ใช่พวกที่จะยอมรับเรื่องแบบนี้ได้ง่าย ๆ ตอนนี้ยังหวังไปถึงจะรีบให้มีหลานด้วยซ้ำ ไหนจะเห็นว่าลูกเขยคนนี้มีความสามารถกว่าคาด มาช่วยงานได้ไม่เท่าไร กลับประคองธุรกิจที่ร่อแร่เต็มทีให้พ้นวิกฤติไปได้ตลอดรอดฝั่ง ปล่อยมือไปคงเสียทั้งคนเสียทั้งหน้าตา กลายเป็นสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

“แต่นายกำลังหลอกเขา”

คนในอ้อมกอดทำสีหน้าครุ่นคิด ครู่ใหญ่ผ่านไปก็พยักหน้า พึมพำว่าจะลองหาทางดู









‘จะลองหาทางดู’ ของธัญญธรนั้น เหมือนจะถูกพังทลายลงราบคาบตั้งแต่ยังไม่ทันได้เริ่มต้น

พ่อแม่ของพิมพิชชา รู้ก่อนลูกสาวตัวเองเสียอีกว่าลูกเขยรูปหล่อแสนดีคนนั้นกำลังนอกใจ ที่สำคัญ อีกฝ่ายยังเป็นผู้ชายเหมือนกันอีกต่างหาก

หลักฐานคือรูปถ่ายที่เขาบังคับธัญญธรซึ่งทำสีหน้าแปลกประหลาดตั้งแต่พบกันช่วงหลังมานี้ให้เอาออกมาให้ดู

ไม่ใช่แค่เขาที่จ้างคนสืบข้อมูลฝ่ายตรงข้าม ไม่ว่าใครก็ตาม หากเงินถึงล้วนทำได้ทั้งนั้น เขาลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร

รูปถ่ายเหล่านั้น เหมือนได้รับการคัดเลือกมาอย่างดีก่อนจะส่งถึงมือธัญญธร เห็นหน้าตาและอากัปกิริยาคนในรูปได้อย่างชัดเจน ทั้งตอนโอบกอด ตอนจูบ มีกระทั่งรูปที่เหมือนแอบถ่ายผ่านหน้าต่างเข้าไปในห้อง เป็นโรงแรมแห่งหนึ่งที่เขาเคยเข้าไปพักกับอีกฝ่ายบ่อยรองจากที่บ้าน ทั้งร่างของสองคนในรูปถ่ายนั้นเปล่าเปลือย กอดก่ายกันด้วยท่วงท่าหยาบโลน มองเห็นใบหน้าชัดเจนเกินกว่าจะปฏิเสธได้ว่าไม่ใช่พวกเขาทั้งสอง

ลองว่ามีรูปถ่ายชัดเจนขนาดนี้ บางทีอาจมีกระทั่งภาพเคลื่อนไหวจากกล้องวิดีโอที่แอบติดตั้งไว้ในห้องพักไม่ทางใดก็ทางหนึ่งด้วยซ้ำ

เขาเหลือบมองธัญญธร สีหน้าอีกฝ่ายซีดเซียว เบ้าตาลึกโหลเหมือนคนป่วย คงเห็นรูปพวกนี้ก่อนเขามาเป็นเวลาพอสมควรแล้ว ที่ผ่านมาจึงได้มีทีท่าแปลกไปจนสังเกตได้ หากไม่เผลอหลุดปากให้เค้นเอาความจริงที่เหลือออกมาหมดสิ้น ไม่รู้จะทนเก็บไว้คนเดียวอีกนานแค่ไหน

“ไม่เป็นไรหรอก” เขายักไหล่ ตั้งใจไว้ว่าหากทางนั้นเล่นสกปรก เขาก็จะทำเหมือนกัน แตกหักกันได้เลยก็ดีจะได้จบเรื่องจบราว ไม่ใช่แค่พวกนั้นที่มีเงินเสียหน่อย

ทว่าคนข้างกายกลับยิ่งทำสีหน้าอมทุกข์กว่าเก่า เอาแต่พูดโทษตัวเองซ้ำไปซ้ำมา บางครั้งก็บอกว่าอยู่แบบนี้ต่อไปไม่ไหวแล้ว ได้แต่กอดปลอบไว้เงียบ ๆ

ตอนนั้นหากรู้สักนิด ว่าเรื่องที่เขาดูไม่เห็นมีอะไรต้องเดือดร้อน จะสร้างความทุกข์สาหัสให้กับอีกฝ่ายถึงเพียงนี้

หรือไม่ก็อธิบายกับธัญญธรให้ชัดเจนสักหน่อยว่าเขามีอำนาจพอจะจัดการได้แน่นอน พวกหิวเงินอย่างครอบครัวฝั่งพิมพิชชานั้น แค่โยนเงินที่มากกว่าให้ก็จบ ไม่มีอะไรยากเย็น หรือหากยังเรื่องมาก ต่อให้ต้องทำอะไรนอกกฎหมายก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อย ถึงตัวธัญญธรเองอาจจะไม่ได้เห็นด้วยกับวิธีเช่นนั้นเท่าไรนัก
 
ถ้ารู้ละก็...


ค่ำคืนนั้นเร่าร้อนกว่าทุกทีจนน่าแปลกใจ ฝ่ายนั้นพร่ำบอกกับเขาว่ารักมากซ้ำไปซ้ำมาด้วยเสียงทุ้มต่ำริมหูอยู่ไม่รู้หน่าย

รักที่สุด จากนี้ก็จะรักพี่คนเดียวจนกว่าความตายจะพรากจาก

แล้วยังเฝ้าจูบแล้วจูบเล่า แต่ละครั้งแนบริมฝีปากลงมาเนิ่นนาน ดูดดุนด้วยปลายลิ้นราวกับโหยหาเหลือเกิน เรียกร้องสัมผัสลึกล้ำ เหมือนว่าทั้งชีวิตจะไม่ได้มีค่ำคืนเช่นนี้อีกแล้ว

หากเขาเอะใจแม้สักนิด...


วันรุ่งขึ้น ธัญญธรตื่นขึ้นมาเหม่อมองกอไฮเดรนเยียสีน้ำเงินในสวนอยู่เป็นนาน กระทั่งเขาเดินเข้ามาสวมกอดไว้จากข้างหลังก็ยังนั่งนิ่ง

“อย่าคิดมากน่า”

ตัวเขาที่ไม่ได้เฉลียวใจแม้แต่น้อยบอกแค่นั้น แม้ในหัวมีแผนการล้านแปดที่จะทำให้เรื่องราวคลี่คลายลงด้วยดีสำหรับทุกฝ่าย ต่อให้ต้องใช้อำนาจมืดนิดหน่อยก็ไม่เป็นไร

“ไฮเดรนเยียสวยเชียว”

“อืม” เขารับคำ “สีน้ำเงินช่อนั้น เดี๋ยวจะตัดมาปักแจกันให้”

“ความหมายดอกไม้ที่พี่เจนเคยบอกผม มันแย่ชะมัด”

เจนจบพยักหน้า เห็นด้วยอย่างถึงที่สุด จำได้ถึงวันที่เคยไปเปิดหนังสือหาความหมายของดอกไฮเดรนเยียอย่างกับตัวเองเป็นสาวน้อย

“แต่มันมีอีกความหมายที่ดีอยู่ด้วยนี่นา”

“นั่นสิ”

สองมือสวมกอดอยู่เงียบ ๆ ไม่รู้ธัญญธรกำลังคิดอะไรอยู่ จ้องดอกไม้อยู่พักใหญ่ ก็ยังแหงนหน้ามองฟ้าอีกเนิ่นนาน

ผืนฟ้าวันนั้นเป็นสีฟ้าสด มีปุยเมฆขาวลอยล่องเหมือนฟูกนอนนุ่ม ๆ สงบสุขอย่างถึงที่สุด

“วันนี้อากาศดี เราออกไปข้างนอกกันไหม” คนในอ้อมกอดเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลหวานหู “พี่เจนขับรถให้หน่อย”

เขาพยักหน้า ก้มลงกดจมูกบนต้นคออีกฝ่ายครั้งหนึ่งแทนคำตอบรับ

“อยากไปไหนล่ะ”

ธัญญธรเงียบไป เอี้ยวตัวกลับมาจูบอ่อนโยนบนริมฝีปากเขา

ครู่หนึ่งฝ่ายนั้นก็กระซิบเสียงแผ่ว

“ไกล ๆ ดีไหม?”

แนบกลีบปากลงอีกหน อ่อนหวานจนไม่มีทางลืมเลือนไปชั่วชีวิต








ออกมาไกลถึงต่างจังหวัด จองบ้านพักริมแม่น้ำ อยู่ด้วยกันเช้าจรดเย็น

ตกค่ำ พวกเขานั่งเคียงกันตรงชานบ้านซึ่งยื่นออกไปกลางน้ำ ดื่มจนเมามาย แก้วแล้วแก้วเล่า ในความเงียบสงบ ธัญญธรก้มมองผิวน้ำดำมืดด้วยดวงตาฉ่ำเยิ้ม

ครู่หนึ่ง ก็ขยับตัวหย่อนปลายเท้าลงไปในน้ำเย็นเยียบ

“ธัญ?”

เหมือนเห็นฝ่ายนั้นทำหน้าอย่างกับจะร้องไห้ แต่เมื่อเพ่งอีกที คิดว่าเขาคงเมาจนมองผิดไปมากกว่า

“ถ้าวันหนึ่งผมไม่อยู่ พี่เจนจะทำยังไง”

จู่ ๆ ก็ถามเสียงเรียบ ให้นึกไปถึงคืนวันที่เจ้าตัวเคยเป็นเด็กพูดมาก เจื้อยแจ้วไม่ได้หยุด

“ก็ไปตามกลับ” คำตอบง่าย ๆ

“ถ้ามันไกลมากเลยล่ะ”

เขามองอีกฝ่ายอย่างไม่เข้าใจ “ไกลก็ตามกลับมาได้”

“เหรอ?” ธัญญธรยิ้มน้อย ๆ หลุบตาลงมองผิวน้ำ แรงกระเพื่อมจากการขยับเท้าทำให้รู้ว่าใต้พื้นผิวนิ่งสงบนั้น น้ำคงไหลเชี่ยวอยู่ไม่น้อย “ไม่อยากทำให้พี่เจนเสียชื่อไปด้วย รูปพวกนั้น เกิดถูกคนอื่นเห็นเข้าต้องแย่แน่ ๆ ถ้าทำให้เดือดร้อนเพราะผมละก็...”

“เดือดร้อนอะไรกัน” เขาอ้าปากหาว เอนตัวลงนอนบนพื้นนอกชานนั้น ตาปรือจนเหมือนจะปิดแหล่ไม่ปิดแหล่

ได้ยินเสียง ‘จ๋อม’ ดังขึ้นเบา ๆ

เมื่อลืมตา ก็พบว่าอีกฝ่ายหย่อนตัวลงไปแช่ในน้ำอยู่ครึ่งท่อนล่าง สองมือค้ำไว้กับชานบ้านที่ยื่นออกไป

เจนจบขมวดคิ้ว “ทำอะไรน่ะ” ว่าพลางทำท่าจะหิ้วปีกเจ้าตัวขึ้นมาดี ๆ แต่กลับโดนส่ายหน้าปฏิเสธ เกาะอยู่นิ่ง ๆ เหมือนเป็นท่าที่สบายแล้ว

ระหว่างนั้น ธัญญธรยังงึมงำว่าไม่ไหวหรอก ไม่อยากทำให้เดือดร้อน แต่จะเลิกก็ไม่ได้ กลับไปคงถูกบังคับให้เลิกคบหากับเขา ครอบครัวฝ่ายภรรยาจะต้องเก็บไว้เป็นเครื่องต่อรองไปตลอดจนอาจจะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว รูปถ่ายพวกนั้นเห็นหน้าออกจะชัดเจน หากถูกเปิดเผยออกไป คนที่เสียหายไม่ใช่แค่ตัวเอง แต่ยังรวมถึงเขาด้วยอีกคน

“ช่างสิ” เขาตอบเหมือนไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญ เข้าใจความกังวลของอีกฝ่าย และมีวิธีจัดการอยู่แล้วในหัว เพียงแต่ไม่เคยเอ่ยให้ชัดเจน

อีกครั้งที่เห็นธัญญธรทำหน้าราวกับจะร้องไห้ ขอบตาช้ำแดงและลึกโหล

ไม่สิ เมื่อมาคิดดูในภายหลัง ตอนนั้นคงกำลังร้องไห้ออกมาจริง ๆ เพียงแต่เขาอาจมึนเมาเกินไปจนไม่ทันสังเกต ก่อนจะมาพบกันวันก่อน ก็คงผ่านการร้องไห้มานับครั้งไม่ถ้วนโดยเขาไม่รู้เรื่องรู้ราว จมดิ่งอย่างสิ้นไร้หนทางนับแต่ได้เห็นรูปถ่ายพวกนั้น หากไม่บังคับจนถึงที่สุด คงไม่คิดปริปากบอกเขาสักคำ

“หยิบผ้าขนหนูให้หน่อยได้หรือเปล่า” อีกฝ่ายถามขึ้นหลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ เหมือนเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน ไม่ต่างจาก ‘หยิบสมุดเล่มนั้นให้หน่อย’ ‘ส่งแก้วน้ำให้ที’ หรืออะไรเทือกนั้น

เขาพยักหน้า เห็นด้วยอยู่เหมือนกันว่าควรขึ้นจากน้ำมาเช็ดตัวให้แห้งได้แล้ว อากาศต้นเดือนมิถุนายนไม่หนาว แต่ก็ไม่เรียกว่าเหมาะแก่การแช่น้ำตอนดึกดื่นนัก

ก่อนทำตามคำไหว้วาน ยังลูบผมธัญญธรเบา ๆ ยื่นหน้าไปจูบที่หน้าผากหนหนึ่ง จึงลุกเดินเข้าไปในตัวบ้าน ยืนเลือกผ้าขนหนูผืนใหญ่สุดซึ่งทางที่พักจัดเตรียมไว้ให้ คิดในใจว่าอีกฝ่ายทำท่าคร่ำเครียดจะเป็นจะตายขนาดนั้น สงสัยคงต้องสารภาพแผนการร้ายในหัวตัวเองออกมาให้หมด ยืนยันให้ชัดเจนว่าทุกอย่างต้องผ่านพ้นไปได้ด้วยดีแน่นอน

ทว่าเมื่อเขาเดินกลับมาที่ชาน กลับพบเพียงความว่างเปล่า


ศพถูกพบในอีกสองวันให้หลัง












มีต่อรีพลายถัดไปค่ะ
v
v
v
v
v
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-04-2017 22:38:43 โดย RAINYDAY »

ออฟไลน์ RAINYDAY

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1247/-5
    • FB page
งวดที่ 30.5 (ต่อ)






น้ำเงิน ฟ้า ม่วง ชมพู

ไฮเดรนเยียยังคงผลิดอกงดงามอยู่ในสวน

หลังเหตุการณ์ครั้งนั้น เขาร้องไห้ฟูมฟายจะเป็นจะตาย ผ่านไปเป็นปียังไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันเป็นปกติ จนถูกพ่อที่แทบไม่ได้เจอหน้ากันบังคับให้ไปพบจิตแพทย์และนักจิตบำบัด

สองสามปีผ่านไปจึงสามารถหยุดการรักษา แต่เหมือนในหัวใจยังมีรูโหว่ที่ไม่มีอะไรมาถมได้


น้ำเงิน ฟ้า ม่วง ชมพู

ดอกไม้เหล่านั้นยังถูกเปลี่ยนใส่แจกันสม่ำเสมอ มุมหนึ่งของลิ้นชักมีช่อไฮเดรนเยียแห้งที่พยายามเก็บรักษาไว้อย่างไรก็ยังร่วงโรย เหลือเพียงกิ่งเล็ก ๆ เปราะบางผูกไว้ด้วยริบบิ้นขมุกขมัวซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นสีขาว ข้างกันมีการ์ดเล็ก ๆ อยู่สองใบ เขียนข้อความเดียวกันไว้ แต่ต่างลายมือ

หนึ่งในนั้นเป็นลายมือเจนจบ ส่วนอีกใบเป็นลายมือของธัญญธร

เขาเคยเขียนการ์ดใบนี้ให้ธัญญธรพร้อมช่อไฮเดรนเยียสีน้ำเงินผูกริบบิ้นขาว อีกฝ่ายส่งการ์ดแบบเดียวกันกลับมา เขียนให้สด ๆ ร้อน ๆ ด้วยลายมือตัวเอง หลังจากสัญญาว่าจะใช้เวลาค่อย ๆ ทำความเข้าใจความต่างของกันและกัน


‘ขอบคุณที่เข้าใจ’


อีกหนึ่งความหมายของไฮเดรนเยีย







ราวห้าปี นับแต่คนรักจากไป ในวันธรรมดาที่ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ก็บังเอิญได้พบเข้ากับผู้หญิงคนนั้น

พิมพิชชา

ดวงหน้าของเธอยังคงงดงามเช่นวันวาน บุคลิกเนิบนาบแต่ไม่เชื่องช้า ทุกการเคลื่อนไหวชวนให้ผู้คนรอบข้างต้องเหลียวมองซ้ำ

แต่ที่ดึงดูดสายตาเขา กลับเป็นใบหน้าเล็ก ๆ ของเด็กชายซึ่งยืนอยู่ข้างกายเธอต่างหาก

นัยน์ตาดำขลับคู่นั้นเป็นประกาย ดวงหน้าละม้ายกับหญิงสาวที่จูงมืออยู่ แต่เขารู้ว่ามีอีกคนซึ่งให้บรรยากาศเหมือนกันยิ่งกว่า ทั้งจมูกเล็ก ๆ ที่โด่งรั้น หรือริมฝีปากนั่น แค่แวบเดียวก็เดาออกไม่ยากว่าจะโตขึ้นมาเป็นแบบไหน

เหมือนกับขาทั้งสองข้างหมดแรงก้าวไปดื้อ ๆ ได้แต่ลอบมองทั้งสองคนจากมุมลับสายตา หัวใจบีบตัวหนักหน่วงจนแน่นอยู่ในอก

“ธัญญ์” ได้ยินเธอส่งเสียงเรียก

เด็กชายเงยหน้าขึ้นมอง คลี่ยิ้มซื่อบริสุทธิ์ออกมา เห็นลักยิ้มเล็ก ๆ เป็นรอยบุ๋มบนแก้มซ้าย

“ครับ?”

“วันเกิดลูกปีนี้ อยากกินเค้กแบบไหนดีน้า”

ในหัววุ่นวายด้วยความคิดนับร้อยพัน

อายุโดยประมาณของเด็กชายที่ถูกเรียกว่า ‘ธัญญ์’ คงสักห้าหกขวบเห็นจะได้ ทั้งสองคนพูดถึงวันเกิด ถ้าอย่างนั้นก็คงใกล้ถึงแล้ว

เดือนนี้ธันวาคม หากย้อนกลับไปสักเก้าเดือน ก็ราวเดือนเมษายน

ธัญญธรจากไปเมื่อเดือนมิถุนายน เมื่อห้าปีก่อน หากว่าตอนนั้นพิมพิชชาก็ตั้งท้องอยู่โดยที่พวกเขาไม่รู้...

เขาเบิกตากว้าง ตั้งใจจะเรียกสองแม่ลูกคู่นั้นไว้

ทว่าหันกลับไปอีกครั้ง ทั้งสองคนก็ไม่ได้ยืนอยู่ที่เดิมแล้ว







ใช้เวลาสืบเสาะอีกเกือบปี กว่าจะกระจ่างว่ามีเรื่องน่าตกใจหลายอย่างซึ่งเขาไม่เคยรู้

ทั้งเรื่องพิมพิชชาตั้งท้องลูกของธัญญธรตั้งแต่ก่อนฝ่ายนั้นจะจากไปจริง ๆ แล้วยังตั้งชื่อคล้ายกับผู้เป็นพ่อที่ล่วงลับไปแล้ว

หรือเรื่องที่เด็กคนนั้นเติบโตมาลำพังกับมารดาซึ่งตัดขาดกับญาติพี่น้องทั้งหมด

พิมพิชชาเข้มแข็งกว่าเขาคาด ขณะที่ยอมถูกจับคลุมถุงชนโดยผู้ใหญ่หัวโบราณเช่นเดียวกับธัญญธร เธอเองก็รู้อยู่แล้วเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างสามีตัวเองกับคนรักซึ่งเป็นผู้ชาย เพียงแต่ไม่เคยปริปาก

หลังจากรู้เข้าว่าญาติฝั่งตัวเองใช้วิธีสกปรก กระทั่งถึงจุดแตกหักเมื่อรู้ว่าธัญญธรจากไปแล้ว ก็ทะเลาะกันเสียใหญ่โต นึกไม่ออกเลยว่าผู้หญิงที่ดูเรียบร้อยเป็นกุลสตรีขนาดนี้ จะถึงขั้นยอมตัดขาดกับญาติตัวเองชนิดไม่เผาผี ทั้งยังเริ่มต้นก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาจนสามารถเป็นเจ้าของวิสาหกิจด้านสิ่งทอ สามารถดูแลลูกชายเพียงลำพังจนเติบโตได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง

ทว่าช่วงหนึ่งที่เศรษฐกิจขาลง กิจการของเธอทำท่าจะมีปัญหา

เขาเฝ้าติดตามอยู่เงียบ ๆ รอจนสถานการณ์ฝ่ายนั้นย่ำแย่ถึงขีดสุด ค่อยยื่นมือเข้าช่วยในจังหวะเหมาะเจาะ

เมื่อได้ทำความรู้จักให้มากขึ้น ไม่นึกว่าจากที่เหมือนจะเป็นศัตรูหัวใจกันในคราวแรก ทว่าต่างคนต่างสูญเสีย กระทั่งในท้ายที่สุด ดูเหมือนพวกเขากลับกลายเป็นมิตรกันได้อย่างน่าแปลกใจ

การแต่งงานทางธุรกิจ ถูกเทคโอเวอร์กิจการ หรือใช้มารยาแม่ม่ายลูกติดหลอกเกาะเศรษฐีร่ำรวยหวังสบายไปทั้งชาติ ทำไมพิมพิชชาจะไม่รู้ว่าผู้คนพูดถึงตัวเองอย่างไรบ้าง แต่เรื่องแค่นั้นเทียบไม่ได้สักนิดกับสิ่งที่เธอเคยข้ามผ่านมาแล้ว

เจนจบนับถือความหนักแน่นนั้นจากใจจริง และยังนับเธอเป็นสหายคนหนึ่ง






“ทำไมถึงเปลี่ยนชื่อล่ะครับ”

ต่อให้เขาจะเปลี่ยนชื่อแล้ว แต่ตาลุงคนสวนคนเดิมยังคงน่ารำคาญไม่เปลี่ยน

“ชื่อมงคล”

เขายังมีแก่ใจตอบ ไม่อาละวาดเหมือนแต่ก่อน ทว่าคนฟังคงเข้าใจดีจากสีหน้า ว่านั่นเป็นแค่คำตอบอย่างขอไปทีเท่านั้น

“เดาใจคุณเจนไม่ออกเอาเลยจริง ๆ” คนสวนเก่าแก่ลอบงึมงำ ไม่พ้นหูเขาแต่อย่างใด

“ไม่ได้ชื่อเจนแล้ว”

“ครับ”

ทะเบียนสมรสมีชื่อเขาเองและพิมพิชชา จ้องมองมันอยู่ครู่หนึ่งก็เก็บเข้าลิ้นชัก หยิบเอกสารอีกแผ่นขึ้นมา พิศมองอยู่เนิ่นนานยิ่งกว่า ความรู้สึกมากมายสับสนปนเปกันอยู่ในอก

สำเนาหลักฐานใบสำคัญการจดทะเบียนรับเป็นบุตรบุญธรรมที่ขอคัดลอกมาเก็บไว้ มีลายมือเขาลงชื่ออยู่ชัดเจน ตัวอักษรเป็นระเบียบดังเดิม ทว่าชื่อใหม่ดูแปลกตาไปบ้าง

‘ธเนศ ปุณณเตโช’

สักวันคงจะค่อย ๆ คุ้นชินไปเอง





ธัญญ์ในวัยหกปี ทั้งว่าง่าย น่ารัก และช่างพูด ดวงตาสุกใสคู่นั้นดำขลับเป็นประกาย ยิ่งโตยิ่งเหมือนพ่อที่เจ้าตัวไม่มีโอกาสพบหน้าสักครั้งไม่มีผิด

ริมฝีปากแดง ๆ นั่นเฝ้าเรียกเขาว่า “คุณพ่อครับ ๆ” ตื่นเต้นกับไฮเดรนเยียที่เปลี่ยนสีไปตามดินซึ่งตาลุงคนสวนขยันเปลี่ยนให้ตรงนั้นตรงนี้เป็นกรดบ้าง เป็นด่างบ้าง บางครั้งก็หันมาเจื้อยแจ้วว่าพวกเราชื่อขึ้นต้นด้วย ธ ธง เหมือนกันเลย ดีจังนะครับ

เขาพยักหน้า รับคำว่านั่นสิ

ทั้งบ้านเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ในสวนมีดอกไม้ผลิบาน

ชีวิตหลังจากนั้นมีความสุขขึ้นกว่าเก่า จนเหมือนจะนับเป็นตอนจบในนิทานได้อยู่เหมือนกัน

บางครั้งบนเก้าอี้ในสวน เขาจะกางแขนออกรับเด็กน้อยที่โผเข้ามาหา อุ้มขึ้นมานั่งตักตัวเอง แนบริมฝีแผ่วเบาลงตรงขมับ  เหลือบมองดวงตาสีดำขลับที่เหมือนกับลูกกวางน้อย ยิ่งพิศยิ่งคล้ายพ่อของเจ้าตัวแทบไม่ผิดเพี้ยน

“ธัญญ์”

“ครับ?”

สุ้มเสียงใสแจ๋วที่เดาเนื้อเสียงตอนโตได้ไม่ยาก แม้แต่รอยยิ้มบนใบหน้าก็ชวนให้คิดถึงใครคนหนึ่งจนสุดหัวใจ

เขากลั้นความร้อนที่รื้นอยู่ตรงขอบตา คลี่รอยยิ้มอ่อนโยน เคลื่อนคืบปลายนิ้วบนผิวแก้มเด็กน้อยอย่างแสนรัก

รักมากขึ้น...มากขึ้นทุกวัน ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ไม่รู้เพราะความสดใสร่าเริง เพราะอีกฝ่ายยิ่งโตยิ่งเหมือนพ่อ หรือเพราะเขาเองที่ไม่เคยกลับมาเป็นปกติได้โดยแท้จริงนับแต่ธัญญธรจากไป

ความสงสัยนั้นถูกกลบซ่อนไว้ในมุมลึกสุดของหัวใจ หลับใหลอยู่เงียบงันในซอกหลืบ เหมือนช่อไฮเดรนเยียแห้งเหี่ยวที่ผูกริบบิ้นซึ่งเคยเป็นสีขาวในลิ้นชัก



ตอนจบในนิทานที่ดำเนินมาหลายปี กลับไม่ใช่ตอนจบแท้จริง

พิมพิชชาจากไปอีกคนด้วยโรคร้าย มิตรสหายคนสำคัญที่ช่วยประคับประคองจิตใจกันมาด่วนจากไปอีกหนึ่ง

ตัวเขาคล้ายมีปลวกร้ายคอยกัดกินจากข้างใน ภายนอกดูเหมือนยังเป็นเจ้าบ้านผู้เก่งกาจคนเดิม แต่ภายในนั้นค่อย ๆ ผุพังลง เหลือเพียงความว่างเปล่าและดำมืด

ขณะที่ธัญญ์ยิ่งเติบโตขึ้นทุกวัน เห็นเด็กคนนั้นก็ทั้งมีความสุขและทุกข์โศกจนทรมาน

ยิ่งหน้าเหมือนพ่อเท่าไร ฝันร้ายของเขาถึงคืนที่สูญเสียคนคนนั้นไปยิ่งชัดเจน บางครั้งใบหน้าของคนที่แช่ตัวอยู่ครึ่งหนึ่งในน้ำก็เป็นของธัญญธร ทว่าบางคราวกลับเป็นใบหน้าอ่อนเยาว์ของธัญญ์

บ่อยครั้งที่สะดุ้งตื่นขึ้นจากความฝัน น้ำตาไหลอาบสองข้างแก้ม ไม่อาจข่มตาหลับลงได้อีกหากไม่ดื่มเหล้าเข้าไปปริมาณหนึ่งให้เคลิ้มหลับอีกหน

มีบางอย่างผิดเพี้ยนในตัวเขา นับวันยิ่งรู้สึกได้ถึงความบิดเบี้ยวนั้น

เมื่อได้ลูบผมนุ่มมือของธัญญ์แผ่วเบา ความคลุ้มคลั่งนั้นก็ค่อย ๆ สงบลง

ทว่ายิ่งเวลาผ่านไป แค่นั้นกลับไม่พอจะทำให้คลายความทุรนทุรายลงได้อย่างเคย

จากลูบผม จึงกลายเป็นจูบ

จุมพิตบนริมฝีปากของเด็กชายที่มีใบหน้าละม้ายกับคนรักคนนั้นไม่ผิดเพี้ยน ละเลียดชิมความนุ่มนวลราวกับดอกไม้แรกแย้ม เหมือนกลีบไฮเดรนเยียเล็ก ๆ ที่แสนบอบบาง

ค่ำคืนที่เปลี่ยนตอนจบของนิทานให้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมนั้น คือกลางฤดูฝนในเดือนมิถุนายน

ครบรอบวันที่ธัญญธรจากเขาไปใต้ผิวน้ำดำมืด

เขาไม่สามารถข่มตาหลับลงได้ หรือบางทีอาจไม่กล้าหลับตา กลัวว่าหากหลับลงเมื่อไร จะเห็นธัญญธรหรือไม่ก็ธัญญ์จมดิ่งลงไปใต้ผิวน้ำมืดผิดและเย็นเยียบอีกครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งสองคนผลัดกันตายจากเขาไปซ้ำ ๆ ในความฝันนับครั้งไม่ถ้วน

ได้แต่นั่งดื่มอยู่เพียงลำพัง ฟังเสียงฝนฟ้ากระหน่ำอยู่ข้างนอก เปิดลิ้นชักมองหาไฮเดรนเยียแห้งเหี่ยวช่อนั้น เพื่อพบว่ามันแหลกละเอียดไปกับกาลเวลาหมดแล้ว เหลือเพียงริบบิ้นเก่า ๆ และการ์ดสองแผ่นวางไว้เคียงกัน

ขอบตาร้อนผ่าว เจ็บจนเกินทนไหว

เขายกแก้วขึ้นกระดก ข่มความรู้สึกทรมานที่กัดกร่อนหัวใจมาหลายปีลงไปพร้อมกับหยดน้ำที่เอ่อท้นขึ้นในตา

พักใหญ่จนสงบใจลงได้บ้างแล้ว ค่อยเดินออกมานอกห้อง เห็นว่าไฟจากห้องนอนของธัญญ์ยังสว่าง เส้นแสงบาง ๆ ลอดผ่านช่องใต้ประตูออกมาเล็กน้อย

เขาอุ่นนมร้อนสองแก้ว วางไว้ในถาด เด็ดไฮเดรนเยียช่อเล็ก ๆ ส่วนหนึ่งแยกออกมาจากแจกัน วางไว้ข้างแก้วนม เดินกลับไปหยุดอยู่หน้าห้องนอนของธัญญ์

ในท่ามกลางเสียงฝนฟ้าด้านนอก เขาเคาะประตูห้องสามครั้ง ร้องเรียกชื่อเจ้าของห้องอีกสองครั้ง

เสียงลูกบิดลั่นแผ่วเบา ประตูห้องนอนแง้มออก เงาของเขาเองทาบทับลงบนดวงหน้าซื่อบริสุทธิ์ของเด็กชาย

“ยังไม่นอนจริง ๆ ด้วย”

ได้ยินเสียงฟ้าคำรามคลั่งจากนอกหน้าต่าง 

นิทานเด็กสิ้นสุดลง พร้อมกับที่โศกนาฏกรรมเริ่มต้นขึ้นในวินาทีนั้น
















หลายปีหลังจากนั้น ธเนศบังคับพวงมาลัยรถด้วยมือทั้งสอง พุ่งชนราวกั้นสะพาน รถทะยานไปกลางอากาศ ก่อนจะร่วงตกลงในน้ำ

เชือกสีแดงกระตุกรั้งข้อมือพวกเขา บาดลึกจนเป็นรอย

ขณะที่รถค่อย ๆ จมลง น้ำไหลทะลักเข้ามาทางกระจกที่เขาเลื่อนเปิดลงมาเล็กน้อย ธัญญ์ตะโกนใส่เขาทั้งน้ำตา กรีดร้องออกมาสุดปอดว่าเกลียด เกลียด ได้ยินไหม

เขาพยักหน้า ได้ยินทั้งหมดนั้นชัดเจน ได้ยินมาตั้งนานแล้วแม้อีกฝ่ายไม่เคยตะโกนเสียงดังเช่นนี้มาก่อน

“ดีแล้ว...” เขาเอ่ยเสียงเครือ “เธอตะโกนได้ ร้องไห้ได้ แสดงอารมณ์ได้อย่างมนุษย์คนหนึ่งพึงเป็น โกรธก็ตะโกน เสียใจก็ร้องไห้ ดีกว่าตอนเธอเอาแต่ยิ้มหมดจดไร้ที่ติแต่เหมือนเป็นตุ๊กตาไม่มีหัวใจ”

ขอโทษ ทั้งที่อยากบอกมาตั้งนาน ทว่าที่ผ่านมากลับมีแต่คำพูดเลวร้าย ถลำลึกเกินกว่าจะกลับตัว

ระดับน้ำสูงขึ้นเรื่อย ๆ กระทั่งมิดศีรษะ 

จนถึงตอนนี้ ก็ยังไม่สามารถกลับตัวได้สักที

ภาพฝันร้ายที่เขาหวาดกลัวเหลือเกินซ้อนทับกับความจริง ธัญญธรและธัญที่จมน้ำไปต่อหน้าต่อตาเขาครั้งแล้วครั้งเล่าในความฝัน...คราวนี้คงเป็นหนสุดท้ายที่จะต้องเห็น

ชั่วขณะที่เตรียมใจว่าคงจากโลกไปทั้งอย่างนี้ ประตูอีกฝั่งก็มีการเคลื่อนไหว

ผู้ชายลูกติดคนนั้นดำน้ำลงมา พยายามดึงประตูเปิดจากฝั่งของธัญญ์

เขาทำผิดพลาดมามากพอแล้ว เสี้ยววินาทีนั้นยังพอหลงเหลือสติสัมปชัญญะ มีบางอย่างคิดว่าไม่อยากเสียใจที่ไม่ได้ทำกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต จึงได้พยายามควานมือเปะปะออกไป หามีดพกซึ่งเคยมีเก็บไว้ในรถ

โชคดีที่ยังอยู่

เขาใช้เรี่ยวแรงที่เหลือ ค่อย ๆ เฉือนเส้นเชือกซึ่งพันธนาการระหว่างข้อมือเขาและธัญญ์ อย่างน้อยหากตัดออกได้ อีกฝ่ายที่ดูเหมือนมีคนลงมาช่วยอย่างไม่คิดชีวิตก็ยังมีโอกาสรอด

ทว่ากลับทำได้เพียงครึ่งทางเท่านั้น อึดอัดทรมานจนลมหายใจสุดท้ายหมดลง ไม่รู้ตัวกระทั่งว่าปล่อยมีดหลุดมือ ทิ้งมันร่วงลงช้า ๆ ใต้น้ำ


ในหัวว่างเปล่าขาวโพลน


เสี้ยววินาทีอันแสนสั้น คล้ายได้ยินเสียงคุ้นเคยของใครคนหนึ่ง เรียกเขาด้วยชื่อที่ไม่ได้ยินมาแสนนาน


'...พี่เจน..'


เสียงทุ้มต่ำอ้อยอิ่งอยู่ริมหู

สายน้ำโอบกอดทั้งร่างเขาไว้แนบแน่น


น้ำเงิน ฟ้า ม่วง ชมพู


โทนสีเหล่านั้นเต้นระยิบระยับ พร่างพรายจนตาพร่า

เบื้องหลังกลีบดอกไม้เล็ก ๆ แสนบอบบาง คนที่รักสุดหัวใจกำลังยืนกางแขนรอรับด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน มีลักยิ้มน้อย ๆ บุ๋มลงบนแก้มซ้าย

ความอบอุ่นอาบไล้ทั่วร่าง อยู่ในอ้อมกอดของคนที่เคยบอกว่าจะให้เวลาเขาอีกนาน ๆ จนกว่าจะเข้าใจ


นานเหลือเกิน


เข้าใจหรือยังนะ...?


กลีบไฮเดรนเยียสีน้ำเงินหลุดร่วงจากอกเสื้อ ระหว่างหน่วยกู้ภัยดึงร่างไร้วิญญาณของเขาขึ้นจากน้ำ


‘ขอบคุณที่เข้าใจ’


กลีบดอกไม้เล็ก ๆ คล้ายจะกระซิบอ่อนโยนว่าอย่างนั้น










- INNOCENCE OF SIN -







เรื่องหลักจบจริง ๆ แล้วค่ะ
ถ้าจะมีอีก คงจะมีแต่ตอนพิเศษแล้วค่ะ ฮู่ววว...

ไม่รู้จะทำให้สงสารหรือยิ่งเกลียดคุณธเนศมากกว่าเดิม (รวมทั้งคุณพ่อของธัญญ์ที่ค่อนข้างอ่อนไหวพอสมควรด้วย) แต่เรื่องในรุ่นพ่อก็เป็นอย่างนี้เอง


ขอบคุณที่ติดตามมาจนถึงตอนนี้นะคะ
จุดที่ยังเขียนได้ไม่ถึงบางส่วนที่กรุณาช่วยชี้แนะมา จะเก็บไว้ปรับปรุงในงานเขียนถัด ๆ ไปค่ะ

อนึ่ง ถ้าถามถึงรวมเล่มเรื่องนี้ คิดว่าคงจะมี แต่น่าจะอีกนานค่ะ ไม่ว่างเลยจริง ๆ เรื่องเก่า (เล่ห์รักฤดูร้อน + แมว หมา ดอกไม้ และพี่ชายข้างบ้าน) ก็ยังไม่ได้เคลียร์เรื่องรวมเล่มเลย Orz  ขอเวลาค่อย ๆ ทยอยไปนะคะ ตอนนี้ยังไม่สะดวกจริง ๆ หากตอนนั้นคุณผู้อ่านยังไม่ลืมเรื่องนี้เสียก่อน ก็จะขอฝากไว้พิจารณาอีกเรื่องค่ะ


ทักทายกันได้ทั้งที่นี่ หรือ twitter และ FB นะคะ

ขอบคุณมากจริง ๆ ค่ะ

- RainyDay -
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-04-2017 22:56:12 โดย RAINYDAY »

ออฟไลน์ alternative

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +285/-3
เป็นโศกนาฏกรรมที่ดำเนินมานาน ยืดเยื้อจนกัดกร่อนทำลายทุก ๆ คน

พอเข้าใจธัญญธรนะ บางคนก็ไม่ได้แข็งแกร่งพอที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้ได้

สำหรับเจน/ธเนศ ภูมิหลังก็เป็นคนที่ขาดความรักอยู่แล้ว เขามีธัญเป็นความรัก เป็นครอบครัว เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวใจ การที่ธัญตายไปต่อหน้าต่อตา โดยที่ตัวเองช่วยอะไรไม่ได้มันโหดร้ายจนเป็นบาดแผลที่ไม่มีวันหาย

สงสารทุกคน

ขอบคุณคุณ Rainyday นิยายคุณทำฉันเสียน้ำตาทุกเรื่อง ช่างถ่ายทอดได้ดีเหลือเกิน

ออฟไลน์ farfarneenee

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 365
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1
สงสารธเนศ เพราะรักมากสินะ ฮือออออ หน่วงจังเลยยนนน :hao5: :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ jimun

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 37
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
30.5 มันคลี่คลายปมทั้งหมดได้จริงๆ

เข้าใจแล้วว่าทำไมธเนศถึงทำแบบนี้ มันเศร้ามากกกก
ที่ผ่านๆมาธเนศอาจไม่ได้รักน้องธัญญ์ทั้งหมดก็ได้ แต่นั่นคือตัวแทนของคนที่รักมาก

คุณพ่อน้องธัญญ์สดใสน่ารักมากๆเลย แต่ก็อ่อนไหวมากด้วยเหมือนกัน ในขณะที่ลูกดูจะเข้มแข็งกว่า

อ่านมาถึงตอนนี้ จะให้อภัยในสิ่งธเนศทำ 100% เลยมั้ย คงไม่ แต่คงจะมองอย่างเข้าใจมากขึ้น

แต่ถ้าในตอนนั้นคุณพ่อน้องธัญญ์ไม่คิดสั้น เรื่องราวมันจะเป็นแบบไหน ลุงอาจไม่ได้เจอน้องก็ได้ หลายๆสิ่งมันถูกกำหนดไว้แล้ว (โดยคนเขียน ฮาาา)

มีคำผิดด้วยน้าาา แต่จำไม่ได้แล้วตรงไหน 555555

ขอบคุณน้องเรนนี่จริงๆน้า เรื่องนี้สนุกมาก คนละโหมดจากเรื่องก่อนๆเลย เรื่องนี้ดราม่าหนักหน่วงจริงๆ ฮือออออ
เป็นกำลังใจให้นะคะ รอติดตามเรื่องต่อๆไปด้วยค่ะ สู้ๆ

แล้วเจอกันในทวิตนะ อิอิ


 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด