งวดที่ 30.5 (ต่อ)แม้ดูมีบรรยากาศดี ๆ จากเหตุการณ์คืนนั้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตามมา คือโดนหลบหน้าอย่างชัดเจน
ตอนเช้าไปรับที่หออย่างทุกที กลับพบว่าปิดห้องหนีไปเรียนแล้ว ตอนเย็นมารออยู่แถวหน้าคณะก็ไม่เห็นโผล่มาสักที
วันถัดไปก็เช่นกัน
วันถัด ๆ จากนั้นก็อีก
รุกหนักไปหรือไงนะ จู่ ๆ หายไปอย่างนี้ เขาพานจะเบื่อปนหงุดหงิดจนขี้เกียจกินข้าวเย็นไปด้วย
สาว ๆ หน้าเดิมที่เคยคุยเล่นกันอยู่ ขึ้นเตียงกันช่วงหลังมานี้ คนหนึ่งในจำนวนนั้นมาชวนออกไปข้างนอก ทว่าไปด้วยกันได้แค่ไม่นาน ได้ยินเธอเจื้อยแจ้วไม่หยุดยังอารมณ์เสียจนเผลอขึ้นเสียงใส่ไปหนหนึ่ง
“หุบปากบ้างเถอะ! น่ารำคาญ!”
พูดตรงขนาดนั้น ทั้งที่ฟังสุนทรพจน์สรรเสริญคุณงามความดีของคุณยายเป็นวรรคเป็นเวรได้แท้ ๆ
ตอนนี้รู้สึกอยากฟังขึ้นมา แต่คนพูดกลับหายหัวไปดื้อ ๆ
น่าโมโหชะมัด
ผ่านไปเกือบเดือน จนถึงจุดที่กระวนกระวายจนทนไม่ไหว เย็นหนึ่งจึงจอดรถไว้ไกลหูไกลตา แล้วตัดสินใจซุ่มรอหน้าคณะเจ้าตัวจนค่ำนั่นละ จึงได้เห็นว่าตัวแสบนั่นค่อย ๆ ย่องออกมาจากอาคาร มองซ้ายมองขวาอย่างระแวดระวัง สุดท้ายสะดุ้งโหยงเมื่อถูกเขาทักจากด้านหลัง
“ตกใจอะไร”
ดูทำหน้าทำตาเข้า กำลังจะอ้าปากบอกว่าทำท่าอย่างกับเจอผี ก็ทันเห็นว่าไม่ใช่เสียทีเดียว
แก้มแดงเป็นลูกมะเขือเทศ นัยน์ตาดำขลับที่เบิกกว้างในคราวแรก ครู่หนึ่งก็กะพริบปริบ ๆ หลุบลงมองเท้า ริมฝีปากเม้มจนกลายเป็นเส้นบาง ๆ
เหมือนคนกำลังเขินอย่างที่สุดจนทำหน้าไม่ถูกต่างหาก
“หิวแล้ว” เขาเอ่ยเสียงแข็ง จ้องฝ่ายนั้นเขม็ง
คนฟังทำหน้าเลิ่กลั่ก ช้อนสายตามองเขาได้หน่อยเดียวก็หลุบตาลงอีกหน ท่าทางเหมือนอยากวิ่งหนี
“ไหนมาม่าต้ม” เขาว่าเสียงโหดยิ่งกว่าเก่า ค้านกับเนื้อหาในประโยคสุด ๆ มือพุ่งไปคว้าแขนคนที่ขยับขาเตรียมตัววิ่ง จับไว้แน่นแบบไม่ให้ดิ้นหนี “ไข่ลวกสองฟอง!”
“...เอ้อ...”
“แล้วไหนที่บอกจะเพิ่มหมูกับผักให้” ยังทวงไม่หยุด “สัญญาไม่เป็นสัญญา ให้ฉันหิวอยู่ได้ทุกเย็น รับผิดชอบมาเดี๋ยวนี้!”
“..เอ่อ...คือ...ช่วงนี้ไม่ได้...”
ได้ยินอย่างนั้น ทำเอาโมโหอยู่นิด ๆ
“ทำไมไม่ได้!?” ทุกทีอะไรอยากได้ก็ต้องได้สิ “ขอแค่นี้มีปัญหารึไง!?”
รุ่นน้องหนุ่มห่อไหล่ลงเล็กน้อย ไม่รู้เจ็บหรือกลัว แต่เห็นอย่างนั้นก็คลายแรงบีบที่มือลงโดยอัตโนมัติ
ถึงจะโมโหก็ไม่อยากทำให้เจ็บ ถึงเป็นผู้ชายก็ไม่อยากให้แขนสองข้างนั่นเป็นรอย แปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน
“...คือ..” เสียงธัญญธรอ้อมแอ้มผิดกับทุกที ทั้งที่เหมือนยังเขิน แต่ดูอมทุกข์กว่าปกติอย่างไรแปลก ๆ “ไข่หมดแล้ว..หมูกับผักก็ไม่มีหรอก”
“ไร้สาระ” เขาขัดเสียงห้วน “เดี๋ยวไปซื้อ หรือไม่ก็กินข้างนอก”
“ไปเที่ยวเล่นข้างนอกบ่อย ๆ ไม่ได้แล้วด้วย” ยังปฏิเสธทุกกรณีเหมือนเดิม “คือช่วงนี้...”
เขาพ่นลมหายใจแรง ๆ อย่างสุดทน “จะอมพะนำอีกนานไหม มีปัญหาอะไรก็ว่ามา ถ้าไม่อยากเจอก็บอก! หลบอยู่ได้ มันน่าหงุดหงิด เบื่อจะเล่ามหากาพย์เรื่องคุณยายผู้ยิ่งใหญ่แล้วหรือไง!?”
หลังจบถ้อยคำนั้น ธัญญธรเงยขึ้นมองเขา นัยน์ตาวาววับด้วยหยดน้ำใส ๆ ที่เคลือบอยู่
ตกใจจนทำตัวไม่ถูกไปครู่หนึ่ง รีบปล่อยมือที่ยึดแขนอีกฝ่ายไว้
“..อะ..อะไร...เจ็บเรอะ!?”
ธัญญธรไม่ตอบ เม้มปากอย่างพยายามฝืนทำหน้านิ่งเต็มที่
ทว่าวินาทีถัดมา น้ำตาก็ร่วงผล็อยลงมาหยดหนึ่ง
คนลนลานกลับกลายเป็นตัวเองไปเสียได้
“เป็นอะไร...อย่าร้องไห้สิ!” พอแตกตื่นเข้าแล้วก็เริ่มดุอย่างนิสัยเสีย “นี่! บอกว่าอย่าร้องไง ญาติเสียเรอะ!?”
ที่ผิดคาดคือดันพยักหน้าไปอีก จากนั้นน้ำตาก็ร่วงแหมะลงมาอีกหยด...และอีกหยด
“คุณยาย...เสียแล้ว” บอกอย่างนั้นด้วยเสียงสั่นเครือ หน้าตาเลอะเทอะอย่างน่าสงสาร นับเป็นคนหล่อเสียของอีกคนหนึ่งของโลก “อุตส่าห์ทำใจได้นานแล้ว จะย้ำทำไมเล่า!”
ดุเขากลับอีกต่างหาก ดุไปร้องไห้ไปนั่นละ
“ไอ้พี่เจนงี่เง่าเอ๊ย!”
ดุไม่พอ ยังต่อยแขนเขาตุ้บตั้บอีกต่างหาก ดูไม่จริงจังกับการทำร้ายร่างกายนัก แต่เรียกว่าหมัดหนักใช้ได้ ขนาดตอนเข้าไปรวบแขนแล้วกอดไว้กับตัว ยังโดนต่อยในกอดอีกสองสามตุ้บ
คุณยายในสุนทรพจน์นั่น ไม่เคยเจอตัว ไม่ได้สนิทชิดเชื้อ ความเสียใจย่อมไม่มีให้ เป็นเรื่องธรรมดา
แต่ความรู้สึกหน่วง ๆ ในอกเวลาเห็นเจ้าคนพูดมากนี่ร้องไห้จนน้ำตาเลอะอกเสื้อเขา อันนี้ก็ไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกันว่าเพราะอะไร
“ชู่วว..”
เจนจบกระซิบ ลูบผมอีกฝ่ายแผ่วเบาจนเจ้าตัวสงบลงในอ้อมแขน
สรุปว่าที่หายไปเกือบเดือน เพราะคุณยายล้มป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมองแตกจากความดันโลหิตสูง ตอนมีคนไปเจอเข้าก็หมดสติไม่รู้สึกตัวแล้ว คนข้างบ้านช่วยเรียกรถพยาบาลให้ แม้จะถูกส่งตัวไปถึงมือหมอในที่สุด แต่ยื้อได้ไม่กี่วันหลังจากนั้นก็เสียชีวิต
แม่ที่จากไปนาน กลับมาปรากฏตัวแค่หนเดียว จากนั้นหายไปอย่างทุกที สุดท้ายธัญญธรจึงลาหยุดเพื่อไปจัดงานศพ ข้อจำกัดทั้งเรื่องเวลาและเศรษฐานะทำให้ต้องรีบจัดการอย่างรวบรัด
กลับมาเรียนอีกหน รู้ตัวว่าต้องประหยัดเงินให้มากกว่าเก่า จะให้ไปเที่ยวเล่นคงไม่ไหว ทั้งยังไม่มีแก่ใจอีกต่างหาก ทำใจได้แล้วก็จริง ยังเลือกจะหลบหน้าหลบตาเขาอีกสักระยะ เลื่อนการพบเจอกันไปก่อนแบบไม่มีกำหนด
“ไข่ไม่มีแล้วนะ ผักกับหมูก็ไม่มีหรอก” ธัญญธรสารภาพด้วยสีหน้าสลด
พอซักไซ้มากไปกว่านั้น จับได้ว่าส่วนหนึ่งเหมือนจะหลบหน้าเพราะเหตุผลอื่นประกอบด้วย
“..เห็นพี่เจนแล้วใจไม่ค่อยดี” ธัญญธรว่าอย่างนั้น ยกมือขึ้นกุมอก สีหน้าครุ่นคิด “สงสัยโดนเพื่อนแซวเยอะไปหน่อย”
“แซวว่า?”
ดีใจผิดที่ผิดเวลา เรื่องนั้นเขารู้หรอก แต่ช่วยไม่ได้
เจ้าของห้องเหลือบมองเขาหวั่น ๆ จากนั้นก้มหน้างุด “พี่เจนไม่อยากรู้หรอก”
“อยาก”
“ไม่อยาก”
“บอกว่าอยาก!”
“ไม่อยาก!”
“เด็กนี่พูดไม่รู้เรื่อง!”
เถียงคำไม่ตกฟาก ถึงกับเอาหัวโขกหน้าผากไปทีหนึ่งด้วยความหมั่นไส้
“โอ๊ย!”
เจ้ารุ่นน้องยกมือลูบหน้าผากตัวเองป้อย ๆ เผลอจ้องเขาเขม็ง พอรู้ตัวก็รีบก้มหน้าหนีอีกรอบ
“..ระ...เรื่องเดิมแหละ” งึมงำออกมาเท่านั้น แก้มก็ขึ้นสีแดงระเรื่อไปหมด
เห็นอย่างนั้นเข้า ดันเผลอใจเต้นตึกตักเสียได้
เขาก้มตามลงไป อีกฝ่ายหันหนีไปทางไหนก็ตามไปก้มมองทางนั้นจนเจ้าตัวทำหน้ายู่ยี่
“หันหนีทำไม แล้วเพื่อนบอกว่าไง ไหนพูด”
“...ที่มันบอกว่า..เหมือนผมเป็นคู่ขากับพี่ไง! แล้วจะตามมาจ้องทำไมล่ะ!”
“อยากมองไม่ได้หรือไง” เขายักไหล่ กลั้นยิ้มจนปวดแก้ม สายตายังคงตามติด “แล้วนายตอบไปว่า?”
“ก็บอกว่าเปล่า พี่เจนมีผู้หญิงเยอะแยะ”
ทำไมฟังแล้วฉุนจังนะ เสียงเริ่มจะแข็งขึ้นมาหน่อย ๆ “ไม่ใช้มุกเดิมแล้วหรือไง ที่รับ ๆ ไปแล้วให้เพื่อนแก้ตัวแทนน่ะ แล้วเรื่องผู้หญิงนี่ไปเอามาจากไหน? รู้ได้ไงว่าเยอะ?”
ถึงจะเยอะจริงก็เถอะ! แอบต่อในใจ แต่ช่วงหลังมานี้มีที่ไหนกัน
“มุกนั้นมันใช้ซ้ำบ่อย ๆ ได้ที่ไหนล่ะ! พอครั้งที่สองที่สาม คนก็เริ่มจะเชื่อว่าจริงแล้ว” อีกฝ่ายโพล่งขึ้น แล้วยังพูดต่อเสียงเกือบจะตัดพ้อ “แล้วเรื่องผู้หญิงน่ะ ใคร ๆ ก็เห็นนี่ พอบอกว่าพี่เจนปีสามบริหารฯ คนก็บอก อ้อ! ที่เจ้าชู้ ๆ เปลี่ยนสาวเป็นว่าเล่นน่ะนะ รวยก็ทำได้น่ะสิ หมอนั่นมันน่าอิจฉาชะมัด”
ยิ่งฉุนหนักเลยให้ตาย!
“แล้วนายอิจฉารึไง?”
“ไม่เห็นอิจฉาเลย!”
“เขาว่าไงอีกเรื่องฉันกับนาย”
“ก็คิดว่าอิ๊อ๊ะกันอยู่น่ะสิ!”
พอถึงตรงนี้ กลับรู้สึกขำขึ้นมาอย่างไรแปลก ๆ เจ้าเด็กนี่ช่างมีความสามารถพิเศษ ทำอารมณ์เขาเหวี่ยงขึ้นเหวี่ยงลงได้เร็วแบบไม่น่าเชื่อ
“อิ๊อ๊ะคืออะไร?” พยายามเต็มที่จะไม่ให้เสียงออกมากลั้วหัวเราะ
“อิ๊อ๊ะน่ะ!” ธัญญธรยังยืนยันอย่างเดิม ทำหน้าลำบากใจเหลือจะกล่าว ค่อยงุบงิบออกมาเบาหวิวประหนึ่งเป็นคำต้องห้าม “..คิดว่าคบกันซะงั้น”
“แล้วไม่ถูกหรือไง!?”
“หา!?”
ปากช่างเถียงนั่น ตอนนี้อ้าค้างจนต้องช่วยเอามือไปดันคางให้หุบลงดี ๆ
มีไม่กี่คนหรอกที่เขายอมรับอย่างจริงใจว่าหน้าตาหล่อเหลาชวนมองแม้ในฐานะผู้ชายด้วยกัน กับเจ้าเด็กนี่ตั้งแต่รู้จักกันมา อยากจะจัดไว้ในกลุ่มนั้น ทว่าเป็นอีกครั้งที่ต้องยืนยันว่าหมอนี่หล่อเสียของเป็นบ้า..
แต่ก็น่ารักดี...รู้สึกเหมือนมีข้อได้เปรียบส่วนนั้นมาทดแทน
“ไม่ถูกสิ...” คราวนี้อีกฝ่ายเถียงกลับมาไม่ค่อยเต็มเสียง “..มันมีอะไรที่ไม่ถูก..”
“อืม” เขาเห็นด้วย “คิดอยู่เหมือนกัน”
“ใช่ไหมล่ะ!?”
“คงต้องลองพิสูจน์”
“หา!?” อีกรอบ
เจนจบกลั้นยิ้ม พยักหน้าหงึกหงักว่านั่นแหละ ฟังถูกแล้ว
“ต้องลองคบกันดู”
“ตลก!”
“ตลก?” ชายหนุ่มเลิกคิ้ว “ไม่ใช่ว่ากำลังเขินอยู่หรอกเรอะ?”
“...ไม่ได้เขิน”
“งั้นก็อย่าหน้าแดงสิ” ได้ทีขี่แพะไล่ “อย่าหลบตาด้วย”
“เปล่าหลบ”
เขาก้มลง กระซิบเสียงต่ำข้างหูคนปากแข็ง
“นี่...ถามอีกที คบกันไหม?”
ว่าพลาง เป่าลมหายใจร้อนผ่าวใส่ใบหูข้างนั้นอย่างจงใจ
“กล้าจ้องตาแล้วปฏิเสธชัด ๆ หรือเปล่าล่ะ”
ธัญญธรสูดลมหายใจเข้าลึก ยืดอกขึ้นอย่างใจกล้า รับคำท้าด้วยการจ้องหน้าเขากลับ
ลูกตาดำขลับ วาววับอย่างกับลูกแก้ว พอเห็นความพยายามเต็มที่จะเบิกตากว้างแล้วจ้องเขม็งกลับมา ก็รู้สึกว่าน่ารักบอกไม่ถูก
“ทำไมจะ...ไม่....กล้า—”
เสียงสั่นจะแย่ แถมพูดไม่ทันจบ ก็เหมือนหน้าจะแดงจนใกล้ระเบิดบรึ้ม ทรุดตัวลงนั่งหมดท่า ซบหน้าผากลงกับเข่าตัวเอง ได้ยินแต่เสียงอู้อี้ฟังแทบไม่ได้ศัพท์ รู้เรื่องแค่ตอนท้าย ๆ ประมาณว่าขี้โกงนี่นา จีบหญิงจนเชี่ยวแล้วสินะ
“ก็ใช่ แต่หลังเจอนายก็ไม่อยากไปกับใครอีก”
“นั่นไง ประโยคคลาสสิค! เชี่ยวจริง ๆ ด้วย”
เขาลอบยิ้ม ย่อตัวลงนั่งตาม สางผมสีดำขลับนุ่มมือของอีกฝ่ายแผ่วเบา เผลอกดจมูกลงกลางกระหม่อมเงียบ ๆ
“คิดมากน่า แล้วไหนมาม่าฉันล่ะ?”
“รอแป๊บ” ปากว่าอย่างนั้น แต่ไม่มีทีท่าจะขยับหรือกระทั่งเงยหน้าสักนิด
“ไข่ลวกสองฟองด้วยนะ”
“วันนี้ไม่มี อยากใส่อะไร คราวหน้าพี่เจนก็ซื้อมาเองสิ”
เจนจบหัวเราะ เดาว่านั่นคงเป็นวิธีตอบตกลง
ความสัมพันธ์ที่คิดว่าแค่คบกันขำ ๆ เหมือนตอนรัก ๆ เลิก ๆ กับคนอื่นเป็นว่าเล่นก่อนหน้านี้ กลับยาวนานเหลือเชื่อขนาดที่ตัวเองยังตกใจ
ตีกันบ้าง ทะเลาะกันบ้าง แต่ไม่รู้ทำไม เห็นหน้าตาท่าทางฝ่ายนั้นแล้ว สุดท้ายกลับยอมลงให้ตลอด
จากตอนแรกที่หาเรื่องไปสิงอยู่ในหอพักซอมซ่อของธัญญธรอยู่เรื่อย เพราะฝ่ายนั้นไม่ค่อยยอมตามเขาออกไปไหนไกล ผ่านไปเกือบปี จึงยอมมาบ้านเขาอยู่บ้างเหมือนกัน
พ่อแม่นาน ๆ จะกลับบ้านสักครั้ง บางทีหายไปครั้งละหลายเดือน ทุกคนบอกว่าทำงาน แต่เหตุผลอื่นนอกเหนือจากนั้น เขาขี้เกียจสนใจขุดคุ้ย คฤหาสน์หลังงามเหลือตัวเองอยู่กับพ่อบ้านแม่บ้านจำนวนหนึ่ง ชีวิตสุขสบายดี เงินทองไม่ขาดมือ อยากได้อะไรก็ได้ ไม่เคยรู้สึกว่าไม่มีความสุขหรือขาดเหลือสิ่งใด
แต่เมื่อเจอธัญญธร ก็อดคิดไม่ได้ ว่าที่ผ่านมา ตัวเองอยู่กับชีวิตแห้งแล้งขนาดนั้นเข้าไปได้อย่างไร
คนคนนั้นยิ้มเก่ง ร่าเริง พูดมาก แต่ไม่น่ารำคาญสักนิด
เขาชอบมองตากลม ๆ สีดำขลับคู่นั้น ชอบมองจมูกโด่งที่รั้นขึ้นน้อย ๆ มองริมฝีปากช่างจ้อที่ขยับพูดไปเรื่อย แต่เสียงทุ้มต่ำน่าฟัง เมื่อยิ้มกว้างทีหนึ่ง จะเห็นลักยิ้มเป็นรอยบุ๋มลงไปบนแก้มซ้าย บางครั้งอดไม่ได้ เอานิ้วไปจิ้ม ๆ ให้เจ้าตัวทำหน้ายุ่งใส่
ครั้งแรกที่มาเยือนบ้านเขา ธัญญธรเอาแต่ร้องว้าวไม่หยุด เห็นน้ำพุหน้าบ้านก็โอ้โห เห็นสวนหย่อมก็ชอบใจ ขนาดทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ เขียวบ้างเหี่ยวบ้างเป็นหย่อม ๆ ยังยืนจ้องด้วยความชื่นชมอยู่ได้เป็นนานสองนาน
ที่ปลาบปลื้มสุด เห็นจะเป็นไฮเดรนเยียกอหนึ่งซึ่งออกดอกสีม่วงแกมชมพูให้เห็นตอนเจ้าตัวมาเยือนพอดี
“ชอบขนาดนั้นเลย?” เขาถาม มองคนที่ก้ม ๆ เงย ๆ ตรงกอดอกไม้นั่นอย่างสนอกสนใจ
ธัญญธรเงยหน้าขึ้นมาเขิน ๆ อ้อมแอ้มว่าไม่ถึงขนาดนั้น แต่เห็นว่ามันเปลี่ยนสีได้ตามความเป็นกรดด่างของดินแล้วรู้สึกว่าน่ารักดี
“ธรรมดาไม่ใช่หรือไง” เขายักไหล่ ทำหน้าไม่สนใจ
แต่หลังจากส่งอีกฝ่ายกลับบ้านวันนั้น ก็ไปบอกคนสวนให้หาไฮเดรนเยียมาปลูกเพิ่มเยอะ ๆ หน่อย หมั่นรดน้ำใส่ปุ๋ย ดูแลดี ๆ ให้ผลิดอกมาก ๆ ด้วยล่ะ
ครั้งถัดมาที่อีกฝ่ายมาเยือน จึงมีไฮเดรนเยียช่อใหญ่อวดโฉมอยู่ในแจกัน
เมื่อถูกถามเข้า เขาตอบเสียงเรียบอย่างไม่ใส่ใจนัก ว่าแม่บ้านเอามาปักแจกันให้ละมั้ง ปล่อยไว้ก็เหี่ยวคาต้นเปล่า ๆ ไม่ยอมบอกว่าแท้จริงเป็นตัวเองต่างหาก ตื่นมานั่งมองหาช่อที่ออกดอกสวยสุดมาใส่แจกันตั้งแต่เช้า
โดนจับได้ก็ตอนฝ่ายนั้นช่างพาซื่อ เดินไปขอบคุณพร้อมเอ่ยชมแม่บ้านของเขา แต่เพราะไม่ได้นัดแนะกันไว้ก่อน เธอจึงทำหน้าเหลอหลาใส่แขก บอกว่าคนเลือกดอกไม้พวกนั้นมาใส่แจกันคือเขาต่างหาก เห็นมาด้อม ๆ มอง ๆ ตั้งแต่เช้า ใครเสนอตัวช่วยก็ไม่เอา บอกว่าจะทำเอง
“...อ้อออ..” คนฟังลากเสียงยาว ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เหลียวมองเขาที่ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ แต่แก้มร้อนอยู่เงียบ ๆ “ใจดีจังเลยน้า”
แม่บ้านเดินเลี่ยงไปทางอื่นแล้ว เหมือนรู้ตัวจึงไม่อยากเกะกะ หรือบางทีอาจไม่แน่ใจว่าเขาจะโวยวายขึ้นมาหรือเปล่า ส่วนเขาเอง อยากค้านรักษาหน้าอยู่เหมือนกัน ทว่าเห็นท่าทางดีอกดีใจของธัญญธร สุดท้ายก็อ่อนอกอ่อนใจจนยิ้มออกมาอีกคน ยอมรับแบบไม่มีข้อแก้ตัว
“ชอบก็ดี”
“ฮื่อ” เจ้าตัวพยักหน้า “ชอบ”
บอกอย่างนั้น แต่ท่าทางเหมือนไม่ได้พูดถึงดอกไม้ สบตาเขาตรง ๆ แค่หนึ่งอึดใจก็เขินแทบม้วน
อันตรายชะมัด แบบนั้นมันน่ารักน้อยเสียเมื่อไรกัน
เขากระแอมให้คอโล่ง ทำทีเป็นสนใจอย่างอื่น แต่คนข้าง ๆ ยังไม่วายพูดอะไรให้ฟังแล้วยิ่งข้องใจหนัก
“ชอบสุด ๆ”
“ชอบอะไร” เจนจบหันไป เอามือค้ำกำแพง กักตัวธัญญธรไว้ในวงแขน จ้องในระยะประชิดจนอีกฝ่ายยืนหน้าแดงอยู่ระหว่างตัวเขาเองและผนัง “คนหรือดอกไม้?”
“...ดะ...ดอกไม้..” อีกฝ่ายงึมงำตอบขณะก้มหน้าก้มตา
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง เห็นคนในวงแขนไม่เอ่ยอะไรต่อก็ถอนใจให้ความคิดไกลจนฟุ้งซ่านของตัวเอง ตั้งท่าจะถอยออกมาพลางส่ายหน้าน้อย ๆ
“...ดอกไม้ก็ชอบ”
ธัญญธรว่าอย่างนั้น
“..แต่ชอบพี่เจนมากกว่า”
อย่างกับเห็นดอกไม้ทั้งสวนกำลังบานพร้อมกันอยู่ตรงหน้า
“ไหนพูดอีกทีซิ”
อีกฝ่ายก้มหน้าลงอีกจนแทบจะฝังคางลงไปบนอกตัวเองแล้ว งึมงำเสียงเบาหวิวกว่าเก่าจนต้องก้มลงไปฟังใกล้ ๆ
ถ้อยคำที่ได้ยินกันแค่สองคน
ถ้อยคำแค่สั้น ๆ ที่เปลี่ยนวันธรรมดาแสนน่าเบื่อ ให้กลายเป็นวันพิเศษได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เพราะได้ยินว่าชอบจึงเผลอจูบ หรือเพราะอยากทำอย่างนั้นแต่แรกแล้วจนถึงจุดที่ห้ามใจไม่ไหว เจนจบไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกัน
จูบกับผู้ชายเป็นครั้งแรก ทั้งที่คบ—หรืออย่างน้อยก็ทำเหมือนคบกับมาจะเป็นปีแล้ว ทว่าไม่เคยมีความสัมพันธ์ทางกายเกินเลย ต่อให้อีกฝ่ายเป็นชายหนุ่ม ยังนับได้ว่าเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ที่ยิ่งไปกว่านั้น กับหญิงคนอื่น เขาก็ไม่ชวนขึ้นเตียงหรือพาไปไหนมาไหนด้วยกันอีกแล้ว
เหตุผลนั้นแปลกประหลาด เมื่อพบว่าทั้งหมดที่ทำ แค่เพราะไม่อยากเห็นหน้าหงอย ๆ ของธัญญธร ตอนรู้ว่าเขาไปกับใครอื่น
ต่อให้ไม่เคยออกปากค้าน ไม่รั้ง ไม่ใช้เล่ห์เหลี่ยมดึงตัวเขาไว้ ทั้งยังบอกอยู่ตลอดในสถานการณ์เช่นนั้นว่าเที่ยวให้สนุกนะ ทว่าสายตาไม่เคยโกหกได้สักที แม้ปากบอกลา แววตากลับเอ่ยคำเหนี่ยวรั้งออกมาชัดเจน เพียงแต่เจ้าตัวคงไม่ทันรู้สึก
เหตุผลเท่านั้น จะว่าเล็กน้อยก็ใช่ จะว่าใหญ่ก็ไม่ผิด
คบกันมายาวนานจนพวกงี่เง่าที่ล้อเลียนบ้าง พูดจาถากถางลับหลังบ้าง เงียบปากไปเองในที่สุด แต่จะอย่างไร เขาก็ไม่ใส่ใจคนอื่นอยู่แล้ว
หลังจากวันนั้น ยังหาโอกาสขโมยริมฝีปากธัญญธรบ่อยขึ้นอีก
เจ้าตัวไม่ได้ปฏิเสธจริงจังนัก ทำบ่นนิดหน่อยบางครั้ง แต่เมื่อริมฝีปากถูกขบเบา ๆ อย่างสุดแสนเอ็นดู แขนก็เหวี่ยงขึ้นคล้องรอบต้นคอเขา เสียงครางต่ำยิ่งนุ่มนวลกว่ายามพูดจาปกติ
ชอบฟังเสียงนั่น ดังนั้นจึงจูบอีกครั้ง...และอีกครั้ง
ระหว่างเล่าเรียนอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย เขารู้ว่าอีกฝ่ายมีปัญหาเรื่องเงิน จึงลอบใช้เส้นสายหางานเอกสารสบาย ๆ ให้ทำนอกเวลาเรียน เงินดีกว่าปกติที่ควรได้รับจากงานแค่นั้น ไม่อยากให้ลำบาก แต่ให้เปล่าไม่ได้ รู้ว่าคงไม่ยอมรับอยู่ดี จึงต้องว่าจ้างคนอื่นให้ทำทีเป็นไปว่าจ้างธัญญธรอีกทอด
คิดว่าแผนนี้ดีที่สุดแล้ว แต่ตอนโดนจับได้นั้น กลับถูกโมโหใส่เสียแทบแย่ โวยวายไม่หยุด ไม่ยอมพูดกับเขาไปอีกหลายวัน ท่าทางปั้นปึ่งอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
เขาเองก็โมโหอยู่เหมือนกัน ได้แต่คิดว่าคนอุตส่าห์จะช่วย ปกติแค่เอาเงินไปโยนใส่เหมือนอย่างคนอื่นก็พอแล้วแท้ ๆ นี่ถึงกับลงมือหางานให้ด้วยซ้ำ ทำเรื่องยุ่งยากกว่าทุกที ยังจะมางี่เง่าใส่อีก พาลโกรธไปด้วยจนตั้งใจไว้ว่าช่างหัวเด็กนั่น ไม่คุยก็ไม่ต้องคุย น่ารำคาญ เขาเองจะได้กลับไปใช้ชีวิตเสเพลเหมือนเดิมให้สบายใจ
ทว่าโมโหอย่างนั้นได้แค่ไม่กี่วัน กลับต้องมานั่งซึมสลับกับอารมณ์เสียจนพ่อบ้านแม่บ้านยังทัก แต่ทักแล้วก็โดนเขาโวยวายกลับจนล่าถอยไปอีก วนไปวนมาเป็นวงจรอุบาทว์
มีแค่ตาลุงคนสวนที่ปกติเป็นคนคอยดูแลไฮเดรนเยียที่เขาหามาปลูกให้ธัญญธรนั่นละ ใจกล้ากว่าใคร เข้ามาพูดอย่างกับรู้ดี บอกว่าเดี๋ยวนี้คุณธัญไม่มาที่บ้านเลยนะครับ ทะเลาะกันหรือเปล่า คุณเจนไม่คิดถึงหรือ?
“ต้นข้างหลังบ้านออกดอกสีน้ำเงินแล้วนะครับ”
ึคนหงุดหงิดงุ่นง่านจะแย่ ยังมาพูดอะไรอ้อมไปอ้อมมาอยู่ได้
“แล้วมันยังไงล่ะ!?”
“คุณธัญเขาไม่ได้บอกหรือครับว่าอยากเห็นสีน้ำเงิน”
เขาชะงัก รู้สึกเหมือนถูกหลอกด่า เหลือบมองฝ่ายนั้นอย่างฉุน ๆ แต่ก็คุ้นขึ้นมาเหมือนกัน เรื่องที่ธัญญธรเคยเปรยว่าไฮเดรนเยียบ้านนี้สีม่วงอมชมพูทั้งนั้นเลย ไม่เห็นเป็นสีน้ำเงินสักที
“สงสัยจะเหี่ยวก่อนเขาได้มาดู” ตาลุงนั่นว่าพลาง ส่ายหน้าน้อย ๆ เหมือนเอ็นดูเจือระอานักหนา
เขาพ่นลมออกจมูก คิดว่าตัวเองเป็นใคร รู้ดีกว่าเขาสักแค่ไหนเชียว
แต่ก็นำถ้อยคำนั้นกลับมาครุ่นคิดเงียบ ๆ
คืนนั้นเขานั่งอยู่หลังบ้าน มองดอกไฮเดรนเยียสีน้ำเงินนั่นเพียงลำพังอยู่เป็นชั่วโมง
คิดถึงแวบหนึ่งที่ตระหนักได้ว่ากำลังเหงา ก็โมโหขึ้นมาอีก แต่เหมือนเป็นความโมโหเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกอื่นที่จ้องจะหาโอกาสแสดงตัวมากกว่า
เจ้าคนพูดมากนั่นมีหน้ามาทำเขาเหงาแบบนี้ได้อย่างไร!? ต้องลากตัวกลับมาคุยกันให้รู้เรื่อง เขาจะให้เงินหรือไปหาคนอื่นมาจ้างฝ่ายนั้นทำงานให้มีเงินเล่าเรียนแล้วมันผิดตรงไหนไม่ทราบ เรื่องมากเองไม่ใช่หรือ
ไม่สิ เหตุผลของฝ่ายนั้น ตัวเองพอรู้อยู่หรอก
แต่ช่วยไม่ได้ หงุดหงิดก็คือหงุดหงิด
ทว่าหงุดหงิดกับคิดถึงก็แยกกันไม่ค่อยออก ดังนั้นจึงพยายามอย่างลับ ๆ จะทำความเข้าใจเจ้าคนเรื่องเยอะนั่นในแบบของตัวเอง
วันรุ่งขึ้น เขาตื่นแต่เช้า คว้ากรรไกรตัดกิ่งมาค่อย ๆ งับเจ้าช่อดอกสีน้ำเงินนั่นออกจากต้น
ตาลุงคนสวนโผล่หน้ามายืนอมยิ้ม ถามว่าให้ช่วยไหม แต่โดนเขาไล่ตะเพิดออกไปก่อน
ครั้นกลับเข้ามาในบ้าน เห็นริบบิ้นสีขาววางอยู่บนโต๊ะอย่างจงใจ จึงได้กระทืบเท้าปึงปังเข้าไปดูใกล้ ๆ เดาว่าเป็นฝีมือตาลุงช่างแส่นั่นแน่นอน อยากจะเรียกตัวมาเม้งใส่สักหน่อยก็ทำไม่ลงอย่างไรพิกล
เขาวางช่อไฮเดรนเยียสีน้ำเงินสดลงเบามือ บรรจงเลือกช่อที่สวยที่สุดขึ้นมาจัดเรียงเป็นพุ่ม จากนั้นผูกด้วยริบบิ้นสีขาวซึ่งถูกเตรียมไว้
แม้แต่ตัวเองที่ไม่ได้ชื่นชอบดอกไม้แต่อย่างใด ยังอดคิดไม่ได้ว่าน่ารัก
สีน้ำเงิน..เหมาะกับเจ้านั่นดีเหมือนกัน
หมายมั่นปั้นมือไว้ ตั้งใจจะไปง้อด้วยสิ่งนี้
ระหว่างนั้น จู่ ๆ ก็นึกถึงเรื่องเพ้อเจ้ออย่างความหมายของดอกไม้ จำได้ว่ามีหนังสือเก่า ๆ ในชั้นวางเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน อาจเป็นของมารดาที่ไม่ได้กลับบ้านมาหลายเดือนแล้ว ไม่เคยสนใจขึ้นมากระทั่งตอนนี้
เขาเดินดุ่มเข้าไปในห้องหนังสือ ไล่ดูบนชั้น ไม่นานก็เจอหนังสือเล่มนั้นวางอยู่ รีบหยิบมาเปิดไปยังหน้าที่ระบุว่าไฮเดรนเยีย
ดอกไม้แห่งหัวใจด้านชาเขาเลิกคิ้วให้กับความหมายของมัน
เย็นชา ไร้หัวใจ โอ้โห เจ้าเด็กนั่นรู้ความหมายของมันหรือเปล่านะ
เขาเลื่อนสายตาไปเรื่อยกระทั่งถึงบรรทัดล่างสุด พบว่ายังมีอีกหนึ่งความหมาย
มองมันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นคลี่ยิ้มละมุนออกมา
ทั้งที่ตั้งใจว่าจะเป็นฝ่ายไปง้อก่อน แต่ธัญญธรกลับทำเขาประหลาดใจด้วยการโผล่มาหน้าบ้านเขาเสียเอง ท่าทางเหมือนว่ารีรออยู่ตรงนั้นนานแล้วแต่ไม่กล้าเรียก
เจนจบชะงักไปเมื่อเห็นร่างของคนคนนั้น จอดรถลงมายืนจ้องเอา ๆ โดยไม่พูดอะไร ทำเอาอีกฝ่ายที่คล้ายพยายามปั้นหน้าขึงขังเริ่มจะคงความนิ่งสงบไว้ไม่ไหว
“มาทำอะไร” เขาถาม
ธัญญธรอ้าปากพะงาบ ส่วนเขาเตรียมตัวฟังคำบ่นล้านแปดของอีกฝ่าย
แต่สุดท้ายก็ไม่มีเสียงอะไรออกมาจนต้องถามซ้ำ
“มาทำอะไร!?”
“..มะ...มา...” ลุ้นแทบตาย กว่าคำพูดจะหลุดออกมาได้ด้วยเสียงตะกุกตะกัก “..มาหาพี่”
เขาเลิกคิ้ว คิดในใจว่าสลับกันหรือเปล่า แต่เก็บอาการได้ดีกว่าอีกฝ่ายมาก
ทางธัญญธร เมื่อเห็นเขาเลิกคิ้วโดยไม่พูดไม่จาก็ยิ่งลนลาน รีบพ่นออกมาเหมือนกลัวโดนแย่งพูด
“พี่เจนอุตส่าห์หาทางช่วยมาตลอด แต่นอกจากผมจะไม่ขอบคุณแล้วยังโวยวายใส่ไปเยอะแยะ ที่จริงก็คิดว่าจะมาตั้งนานก็ยังมัวลังเล..”
อย่าเพิ่งยิ้มออกมาเชียว เขาบังคับตัวเองสุดความสามารถ
“แล้ว?”
“...กะ...ก็เลยมาขอโทษ”
“แค่นี้?”
อีกฝ่ายหน้าหงอยไปถนัดตา
“..ก็คิดอยู่หรอกว่าพี่เจนคงโกรธ ไม่สิ ต้องโกรธแน่อยู่แล้ว”
“แหงสิ” เขาทำเสียงแข็ง “ต้องไปขอให้คนอื่นช่วยจ้างนาย ทั้งที่จริง ๆ แค่โยนเงินให้ก็จบแล้วแท้ ๆ”
“ขอโทษ!” ได้ยินเช่นนั้น ธัญญธรถึงกับโพล่งขึ้นทั้งหน้ามู่ทู่ “แต่ช่วยไม่ได้นี่ พี่รวยเกินไป ไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้หรอก!”
“งั้นนายก็จนเกินไป ฉันไม่เข้าใจเหมือนกัน!”
“ใช่สิ!”
“ก็ใช่น่ะสิ!”
ไป ๆ มา ๆ จะกลายเป็นทะเลาะกันอีกเสียได้
“..ทะ..ที่มาวันนี้ก็แค่จะขอโทษเท่านั้นแหละ” สุดท้ายฝ่ายนั้นก็เปลี่ยนเป็นพูดงึมงำ ทำท่าจะหันหลังกลับ “ขอบคุณเรื่องที่ผ่านมาด้วย”
“เดี๋ยวสิ!”
เร็วกว่าปาก คงเป็นมือตัวเองที่คว้าข้อมือธัญญธรไว้นี่ละ
“จะไปไหน”
“กลับ”
“มาแค่นี้เนี่ยนะ”
“แค่นี้แหละ”
“ไม่ต้องไปไหนเลย!” เขาโวยขึ้นในที่สุด เริ่มจะไม่ค่อยสนุกแล้ว “มานี่ตัวแสบ!”
ไม่ว่าเปล่า ยังกระตุกข้อมืออีกฝ่ายเข้ามาใกล้ เมื่อเซเข้ามาก้าวหนึ่งก็รวบแขนสองข้างกอดหมับเอาไว้ทั้งตัว
“พี่เจน..” เพราะหน้าถูกกดแนบอยู่บนไหล่เขา เสียงพูดจึงได้ฟังดูอู้อี้
“กล้าทิ้งฉันเรอะ!?”
“...ทิ้ง?”
“กำลังจะหนีไม่ใช่รึไง มาทำให้วุ่นวายใจแล้วก็หนี เป็นเด็กนิสัยเสียอะไรอย่างนี้”
ธัญญธรชะงัก ผละออกเล็กน้อยเพื่อมองหน้าเขาพลางกะพริบตาปริบ ๆ
ครู่หนึ่ง ต่างคนก็แข่งกันหน้าขึ้นสีแดงเข้มอย่างเอาเป็นเอาตาย
“มีสีน้ำเงินแล้วนะ”
“เอ๋?”
เพราะเอาแต่พูดจาไม่ปะติดปะต่อ อีกฝ่ายจะงงเสียยิ่งกว่างงคงไม่แปลก
“ไฮเดรนเยียสีน้ำเงิน” เขางึมงำ กระชับอ้อมแขนไว้แน่นจนอีกคนทำหน้านิ่วคิ้วขมวด “อยู่ในรถ”
สายตาของธัญญธรย้ายไปตามคำบอกโดยอัตโนมัติ เมื่อเห็นช่อดอกไม้สีน้ำเงินผูกริบบิ้นขาวที่วางสงบนิ่งอยู่ในนั้นก็อ้าปากหวอออกมา ทำหน้าน่าเอ็นดูจนอยากจะกอดแน่น ๆ ให้กระดูกหักคามือไปเลย
“ตัดเองจากต้นเลยหรือเปล่า”
ยังมีหน้ามาถาม
“ตัดออกมาคมกริ๊บได้ขนาดนั้น ต้องเป็นฝีมือฉันอยู่แล้วสิ!”
คนในอ้อมแขนคล้ายจะอึ้งไปครู่ใหญ่ จากนั้นค่อยซบหน้าลงบนไหล่เขาอีกหน มองเห็นแต่ใบหูและต้นคอแดง ๆ โผล่ออกมา
มีต่อรีพลายถัดไปค่ะ
v
v
v
v
v