┤ ราคา ◇ ค่า ◇ รัก ├
งวดพิเศษ - สัตว์กินเนื้อที่กินผักชีได้
“ชอบกินตั้งแต่เมื่อไรกัน เมื่อก่อนนายไม่กินผักชีนี่?”
ช้อนตักอาหารซึ่งกำลังถูกส่งเข้าปากชะงักลง พร้อมภูมิเอี้ยวคอมาทางซ้ายมือ มองเจ้าของคำถามที่แม้จะเอ่ยออกมาอย่างนั้น แต่กลับยังทำหน้านิ่งก้มลงมองแต่จานข้าวเหมือนไม่ได้ใส่ใจกระทั่งคำตอบของเรื่องที่ถามเองแท้ ๆ
“อื้อ” เขายอมรับ แล้วค่อยงับข้าวพูนช้อนโปะด้วยผักใบเขียวซึ่งเคยเกลียดนักหนาเข้าปากจนแก้มตุ่ย พลางเขยิบเข้าไปใกล้พี่ตังอีกนิด
ยิ่งฝ่ายนั้นดูเหมือนพยายามเบือนหน้าไปอีกทาง เขายิ่งโน้มตัวตามเข้าไปจ้อง กระทั่งเคี้ยวข้าวหมดคำ พี่ตังก็ยังไม่ยักหันกลับมาเสียทีจนน่าสงสัย
“ถามแล้วไม่เห็นมองหน้าผมเลย”
ฝ่ายนั้นพ่นลมออกจมูกแรงกว่าปกตินิดหน่อยเหมือนรำคาญใจ หันมามองเขาตรง ๆ อย่างขอไปทีแวบหนึ่ง จากนั้นกลับไปสนใจจานข้าวตัวเองเหมือนเดิม
“มองแป๊บเดียวเองอะ”
เพราะพูดอย่างนั้นทั้งยังอมยิ้มไปด้วย คงทำอีกฝ่ายฉุนอยู่บ้างนิดหน่อย คราวนี้จึงเพียงแต่ชายตากลับมาเท่านั้น ลูกตาดำขลับนั่นคล้ายจะบอกเป็นนัยว่า
‘น่ารำคาญชะมัด’ แต่เขาสะทกสะท้านเสียที่ไหน สายตาแบบนี้เห็นมาจากพี่ธัญญ์ตั้งไม่รู้เท่าไรแล้ว มีภูมิคุ้มกันดีเสียยิ่งกว่าดี ไม่ทำให้เสียความมั่นใจสักนิด มองไปมองมาเป็นปี ๆ ตั้งแต่ประถมจนมัธยมต้น บางทีก็คิดว่าคนคนนี้อย่างกับร่างย่อส่วนของพี่ธัญญ์ที่บ้านอย่างไรอย่างนั้น
“ยิ้มอะไรอยู่ได้เหมือนคนสติไม่ดี”
อืม...อาจจะดุกว่าพี่ธัญญ์นิดหน่อย
เขาลูบท้ายทอยเขิน ๆ ส่งข้าวอีกคำเข้าปาก งึมงำพร้อมกับเคี้ยวตุ้ยอย่างที่อีกเดี๋ยวคนข้างกายจะต้องบ่นเอาแน่นอน
“ตอนผมเริ่มกินผักคะน้า พี่ตังก็เคยถามแบบนี้หนนึงแล้วนี่นา”
“อย่าพูดระหว่างเคี้ยวข้าวสิ”
นั่นไง มาแล้ว
“เสียงแจ๊บ ๆ น่าขนลุก”
ได้ยินอะไรอย่างที่คาดไว้ยิ่งทำให้ชอบอกชอบใจอยู่ลึก ๆ ปกติเขาไม่อ้าปากหรือพูดระหว่างเคี้ยว ไม่ทำเสียงดังแบบนี้แน่นอน แต่อยู่กับพี่ตังทีไร ก็อดแกล้งให้ฝ่ายนั้นบ่นสักหน่อยไม่ได้ ยิ่งดุมากเข้าหน่อยจนเขาทำท่าหงอยหางลู่หูตกไปตามน้ำ แล้วสุดท้ายอีกฝ่ายก็จะยอมลงให้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งอยู่ดี ทำเอายิ่งได้ใจเข้าไปใหญ่
แต่ก่อนเคยกลัวเวลาถูกมองด้วยสายตารำคาญแกมคาดโทษ ทว่าตอนนี้ดูเหมือนเขาแค่แกล้งกลัวจนเมื่อคิดอย่างเป็นกลางแล้ว ก็พอเข้าใจได้อยู่หรอกที่อีกฝ่ายจะหลุดอาการกระฟัดกระเฟียดให้เห็นอยู่เนือง ๆ
“พี่ตังรำคาญผมไหม?” เขาถามกึ่งเย้า รอยยิ้มบางเบาผุดขึ้นบนมุมปาก ยิ้มแบบเดียวกับที่พี่ธัญญ์เคยส่ายหน้าแล้วหันไปบ่นกับพ่อทีเล่นทีจริงว่า
‘หน้าก็คล้ายแท้ ๆ แต่ทำไมโตมาไม่ยักยิ้มซื่อบื้อเหมือนคุณนะ’“รำคาญ”
อีกฝ่ายก็ยังตอบแบบไม่ไว้หน้าอย่างเคย
“ใจร้ายจัง”
“อือ”
พร้อมภูมิทำปากอูม ดึงให้ดวงตาดำสนิทคู่นั้นหันมามองดุ ๆ ได้อีกหน นับว่าเป็นวิธีเรียกร้องความสนใจที่ได้ผลเป็นนิจ
“ขี้รำคาญขนาดนี้...” เขาพึมพำเสียงน่าสงสาร แต่มือยกแก้วขึ้นดูดน้ำผ่านหลอดจนส่งเสียงครืด ๆ พลางยื่นหน้าเข้าไปใกล้เป้าหมายอย่างจงใจแกล้ง “นอกจากผมแล้วรำคาญใครอื่นอีกรึเปล่านะ”
พี่ตังขยับออกห่างนิดหน่อย แต่ไปจนมุมอยู่กับเสาต้นใหญ่ข้างเก้าอี้ จึงได้แต่ถอนใจเฮือกออกมาหนึ่งหน นัยน์ตาดำขลับคล้ายกับของพี่ธัญญ์ยอมจ้องกลับมาตรง ๆ จนได้ มองแล้วบางทีก็ใจเต้นตึกตัก
“ไม่มีใครน่ารำคาญอย่างนายอีกแล้ว”
เขาพยักหน้าพออกพอใจคำตอบ
ถ้ารำคาญแล้วมองมาตลอดอย่างนี้ก็ไม่เลว
“รำคาญแค่ผมคนเดียวก็พอนะ”
อีกฝ่ายขมวดคิ้ว ทำหน้าไม่เข้าใจ พึมพำเบา ๆ ว่า “ประสาท” ใบหูสองข้างเป็นสีแดงเรื่อ
พร้อมภูมิอมยิ้ม
ยิ้มแบบที่ถ้าพี่ธัญญ์มาเห็นเข้า คงต้องส่ายหน้าให้อีกแน่นอน
-----------------------------------
ตอนพิเศษสั้น ๆ ฉลองสอบเสร็จค่ะ เลยต้องเขียนอะไรเบา ๆ ชิล ๆ เยียวยาจิตใจ (รึเปล่านะ)
เป็นเหตุการณ์หลังจากรุ่นพ่อจบสักสามสี่ปีได้ค่ะ เด็ก ๆ ขึ้นชั้น ม.ต้น หมั่นไส้น้องภูมิเบา ๆ แต่ก็รักนะลูก
พี่ตังก็สู้นะ พี่เลี้ยงเขาสอนมาดี ฮา
ไว้พบกันใหม่ในโอกาสไหนสักโอกาสนะคะ แฮร่ คิดถึงจังเลยยยย