ตอนที่ 5
อีโก้วันนี้ผมมารับพายที่คณะนิเทศฯ ของเธอ พายนั่งอยู่กับเพื่อนกลุ่มเดิมที่นินทาและด่าว่าเธอสาดเสียเทเสียเมื่อตอนนั้น บิ๋ม เพื่อนสนิทพายที่ไม่ออกตัวปกป้องพายโบกมือให้พาย และพายก็โบกมือตอบก่อนจะปิดประตูรถ
“ อ้าว ดีกันแล้วเหรอ ” ผมถามขึ้นทันทีที่พายเข้ามาในรถ
“ ประมาณนั้น ” เธอยักไหล่ “ บิ๋มกับคนอื่นๆขอโทษเราแล้ว เราก็ไม่รู้จะโกรธไปทำไม ”
“ เธอใจดีไปรึเปล่า ถ้าเป็นเราคงไม่มองหน้าแล้วอ่ะ ” กับผมเรื่องไม่จบง่ายๆแค่นี้แน่ ผมรู้สึกโกรธแทนพายอย่างบอกไม่ถูก ยิ่งเธอดีแบบนี้ ยิ่งไม่สมควรเจออะไรแย่ๆแบบนั้น “ เพื่อนกันไม่ทำอย่างงี้หรอกนะพาย ”
“ เรารู้.. ” พายถอนหายใจ เธอหันมามองผมที่ชักสีหน้าหงุดหงิดออกมาเรื่อยๆแล้วก็ยิ้ม พายยื่นมือมาจับมือผม ใช้เสียงอ่อนทำให้อารมณ์ที่กำลังจะเดือดดาลของผมเย็นลง “ แต่ยังไงนั่นก็เพื่อนเรา และเราก็หายโกรธพวกมันแล้ว เราไม่พูดเรื่องนี้กันได้มั้ย? ”
พายยิ้มแล้วทำเสียงอ้อนจนผมต้องหัวเราะออกมา และไม่นานผมก็สามารถปล่อยผ่านเรื่องที่เกิดขึ้นไปได้ ยิ่งผมรู้จักพายผมยิ่งรู้ว่าเธอเป็นคนใจเย็นและก็มีเหตุผล ไม่งี่เง่า
คราวนี้ผมว่าผมคิดถูกจริงๆที่ขอเธอเป็นแฟน
ผมพาพายไปกินข้าวและตามด้วยดูหนัง ผมเช็คโทรศัพท์ระหว่างเดินออกมาจากร้านอาหารไก่ทอดกรอบแบบเกาหลีที่พายชอบ มันทำให้ผมนึกถึงคนเกาหลีตัวจริงที่บอกว่าอาหารประเทศตัวเองไม่อร่อย (หรือที่ไอ้คิงเคยพูด มันว่าจืดชืดและไร้รสชาติเหมือนๆกันหมด คิงมันชอบอาหารไทย และที่มันชอบที่สุดคืออาหารไทยฝีมือมัม) ไอ้คิงไลน์มาหาผม และมีสองสายที่ผมไม่ได้รับ
คิง: มึงอยู่ไหน
คิง: แลกรถกับกู เดี๋ยวเอากุญแจเข้าไปให้
คิง: มึงอยู่คณะป่ะเนี่ย
คิง: Kเชา และข้อความล่าสุดนั้นส่งมาเมื่อ 10 นาทีก่อนขณะที่ผมยังกินข้าวอยู่ ผมปล่อยมือพายที่จับกันอยู่ออก ใช้มือทั้งสองข้างพิมพ์คุยกับไอ้คิงให้รู้เรื่อง
ผม: อะไรของมึง
ผม: กูไม่อยู่ ออกมาดูหนัง
ผม: มึงจะเอารถไปทำไมข้อความของผมขึ้นว่าอ่านแล้วทันที ไอ้คิงไม่ตอบ มันโทรมาแทน
“ เธอเข้าโรงหนังก่อนเลย เดี๋ยวตามเข้าไป ” ผมบอกพาย
พายเลิกคิ้วแปลกใจแต่ก็ไม่ว่าอะไร เธอหยิบตั๋วหนังออกมาและฉีกหนึ่งใบส่งให้ผม ก่อนจะเดินเข้าโรงหนังคนเดียวอย่างไม่มีปัญหา พอเธอเดินไปแล้วผมถึงค่อยรับโทรศัพท์คิง
“ เออ ว่าไง ”
“ มึงอยู่นั่นแหละ เดี๋ยวกูเอากุญแจมอไซค์เข้าไปแลก ”
“ ตอนนี้เลยเหรอ?” ผมว่า “ ตอนนี้ไม่ได้ กูมากับพาย ได้มอไซค์มากูจะไปส่งเขายังไง ”
“ ทำไม เมียมึงเป็นง่อยนั่งมอเตอร์ไซค์ไม่ได้รึไง?”
“ ไอ้สัส อย่าลามปาม ” ผมโมโห ผมหงุดหงิดทุกครั้งที่ไอ้คิงมันขึ้นเสียงใส่ ยิ่งมันว่าพายแบบนี้ผมยิ่งไม่ชอบใจ ปกติไอ้คิงมันมีลิมิต ผมเองก็ไม่เข้าใจว่าอะไรทำให้มันไม่ชอบใจได้ถึงขนาดนี้
“ มึงเป็นเหี้ยอะไร ทำไมถึงจะเอารถขึ้นมา ”
มันก็ใช้มอเตอร์ไซค์ผมอยู่ ท่าทางมันชอบด้วย ไม่มีเหตุผลอะไรเลยที่มันต้องเอารถคืนไป
“ ... ” มันเงียบไปอึดใจหนึ่ง ผมคิดว่าประโยคถัดมาที่คิงพูดจะเป็นคำด่า แต่เปล่า “ กูจะไปหามัม จะได้พามัมออกไปกินข้าว ”
“ อ่อ ” จะว่าไปผมก็ไม่ได้กลับบ้านหลายอาทิตย์แล้วเหมือนกัน แต่ถ้าให้ผมกลับตอนนี้ผมคงยังไปด้วยไม่ได้ ไว้ผมค่อยไปวันอื่นก็แล้วกัน “ เออ ก็ได้ มึงมาเอาดิ ”
“ กูถึงหน้าโรงหนังแล้วกูไลน์หามึงอีกที... ” คิงพูดสั้นๆแล้วมันก็วางสายไป
ผมเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าและเดินเข้าไปหาพายในโรง พายกำลังนั่งกินป็อปคอร์นหัวเราะคิกคักกับตัวอย่างหนังรักโรแมนติกที่ฉายอยู่ก่อนหนังเริ่ม ผมยิ้มออกมา นั่งลงข้างๆแล้วเอนหัวซบไหล่เธอ พายเหลือบสายตามามองผมเล็กน้อย เธอแกล้งยื่นแก้วน้ำมาให้หลอดทิ่มปากผม
“ โอ๊ย! ” ผมแกล้งร้อง พายตกใจ หันมากระซิบขอโทษผมใหญ่ แต่พอเธอเห็นผมหลุดยิ้มขำเธอก็้ตีแขนผมแทน
“ เชา…” เธอดุเสียงขุ่น เวลาพายทำหน้าเง้างอนแล้วดูน่ารักจนผมอดยิ้มไม่ได้ พอเธอจะโวยวายออกมาอีกผมก็รีบเอามือจุ๊ปาก
“ อย่าเอ็ดไปสิเธอ คนอื่นดูหนังอยู่…” และพอผมพูดกระซิบไปแบบนั้นผมก็ได้สายตาเคืองแกมหมั่นไส้มาจากพาย เธอตีแขนผมอีกครั้งไม่แรงนักเหมือนจะบอกว่าฝากไว้ก่อน และเราทั้งคู่ก็ลุกยืนเมื่อเพลงสรรเสริญฯดังขึ้น
โทรศัพท์ผมสั่นอยู่ในกางเกงระหว่างที่หนังฉายไปได้สิบกว่านาที ผมล้วงหยิบมันออกมาและก็เห็นเบอร์ไอ้คิงที่โทรเข้ามา ไม่กี่วินาทีมันก็ตัดสาย คงแค่ยิงมาเฉยๆ “ เธอ เดี๋ยวเรามานะ.. ” ผมบอกพายและก็ค่อยๆเดินออกมา
พอผมเดินออกมาถึงหน้าโรงแล้วผมก็มองหาคิง แต่ไม่มีวี่แววของมันรออยู่ ผมเลยโทรฯหามันแทน เสียงสัญญาณดังสองครั้งและก็มีคนรับสาย
“ ฮัลโหล ”
ซึ่งไม่ใช่คิง
“ …”
“ คิงไปเข้าห้องน้ำ ฝากโทรศัพท์ไว้กับเรา นายออกมาหน้าโรงหนังแล้วใช่มั้ย เดี๋ยวเราเดินไปหา ”
ผมเงียบไปชั่วครู่ เอ่ยตอบภัทร “ อืม เรายืนอยู่ข้างหน้าเลย ” และผมก็วางสาย
ความรู้สึกหงุดหงิดเกิดขึ้นมาอีกครั้ง
ผมหมั่นไส้ไอ้ภัทรตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็นหน้า และค่อยๆ สะสมมากขึ้นกลายเป็นไม่ชอบหลังจากที่ตอนนั้นมันทำไอ้คิงเสียศูนย์ ยิ่งมันกลับมา...เหมือนกับตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด ไอ้คิงก็ไม่เข็ด ไม่โกรธ ไม่หือไม่อืออะไรใดๆทั้งสิ้น ยอมภัทรหมด มันทำให้ผมโมโหไอ้เหี้ยนี่มาก...โมโหจนถ้าเห็นหน้ามันผมอยากจะเข้าไปชกมัน...หลายๆ ครั้ง ให้สาสมกับที่มันเคยทำไว้
ผู้ชายตัวสูงโย่งมีลักยิ้มเดินเข้ามา มันผงกหัวและยิ้มให้ผมเล็กน้อย “ หวัดดีเชา ” เป็นรอยยิ้มที่ผมเห็นแล้วไม่เคยชอบใจสักครั้ง และผมยิ่งหงุดหงิดมากกว่าเดิมเมื่อเห็นว่าเสื้อการ์ดที่ผมสวมเวลาขี่มอเตอร์ไซค์และไอ้คิงยืมใช้พาดอยู่บนแขนมัน
ผมไม่เข้าใจว่าภัทรมันมีดีอะไร คิงมันถึงเฮิร์ทได้ขนาดนั้นตอนที่เลิกกัน และยังกล้าพาตัวเองกลับไปคบกับมัน กลับไปสู่จุดเดิมทั้งที่ไอ้เหี้ยนี่เคยทำให้มันเจ็บขนาดนั้น
สำหรับผม ภัทรแค่หน้าตาดีปานกลาง เทสต์เสื้อผ้าพอใช้ และดูติ๋มเกินกว่าที่จะเป็นแฟนคิง ผมเชื่อว่าเพื่อนผมสามารถหาแฟนได้ดีกว่านี้มาก…
“ นี่กุญแจ ” ผมพูดสั้นๆ หยิบกุญแจจากในกระเป๋ากางเกงส่งให้
“ ขอบใจ นี่ของนาย คิงฝากเราไว้แล้ว ” มันว่า ส่งเสื้อการ์ดกับกุญแจรถมอเตอร์ไซค์คืนมา “ หมวกกันน็อกเราฝากไว้ที่รับฝากของชั้นซูเปอร์นะ ส่วนป้ายฝากของอยู่ในกระเป๋าเสื้อ ”
ผมพยักหน้ารับ เปิดกระเป๋าเสื้อและล้วงหยิบป้ายฝากของออกมาเช็คว่ามันอยู่ในนั้นจริงอย่างที่ไอ้ภัทรว่า ผมไม่มองหน้ามัน จนกระทั่งมันพูดขึ้น
“ นายมีอะไรกับเรารึเปล่าเชา ” น้ำเสียงของมันไม่ได้หงุดหงิดหรือกวนตีน และพอผมเงยหน้ามองมันกลับไป แววตาของไอ้เหี้ยนี่...ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าความสงสัย
“ เปล่านี่..” ผมว่า และแปลกใจพอควรที่มันกล้าถาม ภัทรมันดูน่าจะเป็นคนประเภทที่ไม่ชอบมีปัญหากับใครมากกว่าถามอะไรตรงๆอย่างนี้
“ นายไม่ชอบเรา ” มันพูดและเว้นวรรค “ ถ้าเราทำอะไรให้นายไม่ชอบ เราขอโทษ ”
ผมขบฟันและกำมือแน่นขึ้น ความหมั่นไส้ในตัวมันเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าทวีคูณ มันพูดเหมือนตัวเองเป็นคนดี เหมือนกำลังเล่นบทพระเอกอยู่
“ มึงไม่ต้องเป็นคนดีก็ได้ ไอ้เหี้ยคิงไม่ได้อยู่ตรงนี้ ”
ทั้งที่ไม่มีเหตุผลอะไรที่มันต้องสนใจว่าผมคิดอย่างไรกับมัน ในเมื่อมันเองก็ไม่ได้มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกับผม… ได้ยินคำขอโทษแบบนี้แล้วผมอยากจะอ้วก
ภัทรชะงักไปเล็กน้อย มันมองผมด้วยสายตาที่ผมเห็นแล้วอยากเข้าไปชกมันสักหมัด เหมือนกับผมเป็นคนที่กำลังเข้าใจมันผิดและมันเห็นใจผม แต่ก่อนที่ผมจะเข้าไปกระชากคอเสื้อมันเข้าจริงๆไอ้คิงก็เดินมาทางนี้ ผมพ่นลมหายใจและเบนสายตาไปมองเพื่อนตัวเองที่ไม่เห็นหน้าและไม่ได้รับข้อความอะไรจากมันทั้งสิ้นเกือบอาทิตย์
ไอ้คิงหน้าบึ้ง มันคงยังโกรธผมอยู่ แต่อย่างน้อยมันก็ยังทัก แปลว่ามันไม่ได้โกรธผมขนาดนั้นแล้ว
“ ได้กุญแจยัง ” มันถาม
“ อื้อ ได้แล้ว ” ผมตอบมัน ชูกุญแจรถมอเตอร์ไซค์ให้ดู
“ จะไปหามัมเหรอ ” ผมถามต่อ มองมันและมองภัทร “ สองคน?”
ไอ้คิงเม้มริมฝีปาก แต่ก็พยักหย้ารับแทนคำตอบ ผมแปลกใจและจุกอย่างบอกไม่ถูก คิงมันจะเปิด มันจะพาภัทรไปเจอกับมัม…
ไม่ได้… นั่น ‘ครองครัว’ ผม ไอ้ภัทรไม่มีสิทธิ์ไปรู้จัก“ มึงจะบอกมัมเหรอ ”
คิงลังเล ผมรู้ได้ในทันทีว่ามันเองก็ไม่มั่นใจว่าควรจะทำอย่างไรกับเรื่องนี้ เพราะมันเองก็รู้ว่าปฏิกิริยามัมจะเป็นยังไง
“ มัมรับไม่ได้หรอก ”
“ …”
“ มึงก็รู้ว่ามัมไม่ยอมรับเรื่องนี้ ”
ผมรู้จักมัมมากพอๆกับคิง มัมเป็นเหมือนแม่ของเราทั้งคู่ และคิงเองก็รู้ว่าต่อให้มัมเป็นคนมีเหตุผลมากแค่ไหน… ‘เรื่องนี้’ ไม่ใช่เรื่องที่มัมยอมรับได้
มัมเป็นคนมีเหตุผล และเปิดกว้างพอสมควร แต่กรอบจารีตประเพณีบางอย่างที่มัมยึดถือยังมองว่าผู้หญิงก็ควรจะคู่กับผู้ชาย… มัมไม่ได้รังเกียจเพศที่ 3 แต่มัมก็คงไม่ยินดี ถ้าเกิดมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับคนในครอบครัว
สำหรับผม… เริ่มที่ความอยากลอง แต่ผมรู้ว่าสุดท้ายแล้วผมก็ชอบผู้หญิงอยู่ดี…
ขณะที่คิงกลับตรงกันข้าม มันไม่เคยชอบผู้หญิง
ค่ำวันเดียวกันนั้น นกยูงส่งข้อความมา สรรพนามที่นกยูงใช้เรียกผมเปลี่ยนไปหลังจากที่เธอคิดไปเองว่าผมคบกับเธอ
นกยูง: ยูไปดูหนังกัน เราอยากดูเรื่องนี้
นกยูง: (ส่งรูปแล้ว)
นกยูง: นะๆๆ เดี๋ยวเราซื้อตั๋วหนังที่นกยูงส่งมาคือหนังแนวผู้หญิง โรแมนติก-คอมเมดี้รอบดึก ผมเพิ่งเปิดอ่ายข้อความนกยูงหลังจากเดินไปส่งพายที่ห้องผมยังไม่ได้ตอบตกลง ไม่อยากไปเจอนกยูงเท่าไหร่
ผมลองใช้วิธีไม่พูด ไม่คุย ไม่ทัก นานๆตอบที ตอบครั้งละสั้นๆ และผมไม่เคยพูดกับนกยูงด้วยซ้ำว่าเราเป็นอะไรกัน… ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมเธอยังไม่เก็ทสักที
ผมไม่อยากพูดตรงๆ เพราะมันก็จะเหี้ย… ไม่ต่างจากตอนเคลียร์กับน้องฟิว
แต่ถ้านกยูงยังไม่รู้ตัว ผมก็คงเลี่ยงไม่ได้
ผม: เราไม่ว่างอ่ะ
ผม:โทษทีนะ
นกยูง: อ้าววว ทำไมล่ะ
ผม: ปวดหัว
ผม: อยากนอน
นกยูง: แล้วยูเป็นอะไรมากมั้ย เดี๋ยวเราเข้าไปหา
นกยูง: ยูอยากกินอะไร เราซื้อข้าวซื้อยาเข้าไปให้
ผม: ไม่ต้องหรอก รูมเมทอยู่ มันไม่ชอบให้ใครเข้ามาวุ่นวาย
นกยูง: อ้าวเหรอ… แย่จัง งี้เราก็ต้องดูหนังคนเดียวน่ะสิ
นกยูง: เราซื้อตั๋วแล้วด้วยเนี่ย ทำไงดีอย่าโง่ได้มั้ยวะ เธอก็ชวนโอเว่น... มันตามจีบนกยูงอยู่ ท่าทางมันทำให้นกยูงได้ทุกอย่าง ไปดูหนังแค่นี้ทำไมมันจะไปให้ไม่ได้… ผมอยากบอกกับเธอตรงๆ แต่ก็ไม่ทำ เพราะรู้ว่าเธอแค่พูดไปอย่างนั้นเพราะอยากให้ผมไปด้วย นกยูงเริ่มทำตัวน่ารำคาญ.. เหมือนน้องฟิวไม่มีผิด
ผม: โทษที ปวดหัวอยากนอนจริงๆ
ผม: เราไปนอนก่อนนะ เริ่มง่วง
ผม: สงสัยยาออกฤทธิ์ผมตัดสินใจโกหกเพื่อตัดบท นกยูงจะได้ไม่มาวุ่นวาย เธอพิมพ์อะไรต่อมาอีกผมก็ไม่มั่นใจ เพราะผมเปิดโหมดบล็อกเบอร์ ไปอาบน้ำแล้วนอนแม่ง
ตอนดึกๆผมได้ยินเสียงเปิดประตูห้อง ผมงัวเงียสะลึมสะลือ
“ คิง เดินดีๆหน่อย ห้องน้ำอยู่ทางนี้… ”
ไฟห้องน้ำถูกเปิด แสงไฟลอดออกมา ไม่มากพอให้สว่างโร่แต่ก็เห็นเป็นเงาคนรางๆ ภัทรจับแขนคิงพาดบ่า มันพูดบอกกับเพื่อนผมที่เมาเละอย่างใจเย็น
“ อย่าเพิ่ง.. อดทน... ” มันยังไม่ทันพูดจบประโยคผมก็ได้ยินเสียงอ้วกเต็มสองหู ไอ้คิงคงอ้วกใส่ตัวมันไปเต็มๆ
ที่จริงคิงมันเป็นคนเมาที่ว่าง่าย เสียแต่ว่าถ้ามันอยากจะอ้วก มันก็อ้วกโดยไม่ดูว่าข้างหน้าเป็นคน, พื้น, โถส้วม, หรือกระถางต้นไม้ ผมไม่เคยโดนมันอ้วกใส่และก็ไม่อยากโดนด้วยเช่นกัน แม่งสกปรกจะตาย..
“ เลอะเต็มๆไหวมั้ยเนี่ย ”
“ อือ... ” เสียงไอ้คิงตอบ มันบ้วนน้ำลาย “ กูจะอาบน้ำ มึงไปรอข้างนอกดิ๊ ”
“ โอเค แน่นะว่าไหว ”
“ เออ ”
ไอ้ภัทรเปิดประตูห้องน้ำออกมา มันไม่ได้ใส่เสื้อ คงโดนไอ้คิงอ้วกใส่เมื่อกี้มันเลยถอดออก และเมื่อมันเห็นผมนั่งมองอยู่มืดๆบนเตียงมันก็ชะงักไป “ โทษที ทำให้ตื่นเหรอ? ”
“ เปล่า ” ผมพูดช้าๆ เสียงแหบเพราะเพิ่งตื่น “ ตื่นอยู่แล้ว เปิดไฟดิ ”
มันพยักหน้า เอื้อมมือไปที่สวิทช์ไฟและกดเปิดก่อนจะเดินไปที่ตู้เสื้อผ้าซึ่งมีทั้งเสื้อของผมและคิงอยู่ในนั้น มันเปิดตู้ หยิบเสื้อยืดลายน่าเกลียดที่คิงเอาไว้ใส่นอนเท่านั้นออกมาสวม มันหยิบเสื้อกับกางเกงขาสั้นจากในตู้เช่นกัน ทั้งหมดนั่นมันรู้ได้ยังไงตัวไหนเป็นของคิง ตัวไหนเป็นของผม… เพราะเสื้อผ้าผมกับคิงใส่ตู้เดียวกัน และไซส์ใกล้เคียงกัน
ได้ของแล้วมันก็ปิดตู้ ไปยืนรอคิงหน้าห้องน้ำ ผมส่ายหน้า ไม่อยากสนใจพวกมันทั้งคู่ หยิบบุหรี่กับไฟแช็คไปจุดดูดที่ระเบียงคนเดียว ผมไม่อยากรู้สึกหงุดหงิดมากไปกว่านี้ เห็นแล้วมันขัดตาขัดใจไปหมด
“ มึงอิจฉาภัทรเหรอวะ ”คิงมันเคยพูดเมื่อนานมาแล้ว ตอนที่มันยังคบกับภัทรอยู่ครั้งก่อน ช่วงนั้นผมทะเลาะกับมันบ่อยไม่ต่างจากตอนนี้เลย และมันก็เริ่มดีขึ้นหลังจากผมคบน้องฟิว ผมรู้สึกสบายใจขึ้นหลังจากมีใคร ความสนใจผมไม่ได้ไปจดจ่ออยู่ที่คิง
“ ทำไมกูต้องอิจฉามันวะ? ” นั่นเป็นสิ่งที่ผมถามกลับไป หน้าชา ทั้งโกรธและก็ไม่เข้าใจ
“ มึงคิดว่ากูด้อยกว่าเหรอ ” ตอนนั้นผมเดินเข้าไปผลักไหล่มัน
“ เพราะมึงคิดว่ากูยังชอบมึงอยู่เหรอคิง ” ผมผลักไหล่มันอีก คราวนี้แรงกว่าเดิมจนคิงมันถอยหลังไปสองก้าว
“ เข้าข้างตัวเองไปรึเปล่า? ”ไอ้คิงอึ้ง มันเงียบไม่ตอบโต้ เพราะมันไม่คิดว่าผมจะพูดความจริงข้อนี้ออกมา ความจริงที่ว่าผมเคยชอบมัน และเราไม่พูดเรื่องนี้กันมาเป็นปีๆแล้ว
“ เพราะมึงปฏิเสธกู แต่มึงไม่ปฏิเสธมัน มึงเลยคิดว่ากูจะคิดว่ากูด้อยกว่ามันเหรอวะ? ”
“ ... ”
“ ตลกแล้วคิง มึงพูดเหมือนมึงไม่รู้จักกู ”ผมไม่เคยรู้สึกด้อยกว่าคนอื่น ไม่เคยรู้สึกไม่ภาคภูมิใจในตัวเอง ความมั่นใจของผมมันมากจนเรียกได้ว่าเป็นอีโก้ ซึ่งสำหรับผม ‘อีโก้’ ไม่ใช่สิ่งไม่ดี มันเป็นสิ่งที่เป็นแรงผลักดันให้ผมทำอะไรมากขึ้น ให้ผมชอบการแข่งขัน ชอบอยู่ตรงกลางและมีเพื่อนรายล้อมรอบตัว อีโก้หรือความภาคภูมิใจในตัวเองนี้ทำให้ผมตัวใหญ่ขึ้นโดยที่ไม่ต้องไปกดขี่หรือข่มเหงใครที่ไหน
ครอบครัวผมพร้อมในแบบของผม มัมรักและดูแลผมได้ดีที่สุดจนผมไม่รู้สึกว่าการที่ป้าเป็นคนเลี้ยงดูมาและไม่มีพ่อแม่จะทำให้ผมรู้สึกขาด ผมไม่ได้ขัดสนหรือเดือดร้อนเรื่องเงิน…ผมไม่เคยลำบาก ผมชอบเล่นกีฬา และการเรียนผมก็ไม่ได้ห่วยเลย มันค่อนไปทางดีด้วยซ้ำ
ผมดูดบุหรี่เข้าไปเต็มปอดและปล่อยมันออกมาช้าๆ
“ ถ้าขนาดกูยังไม่รู้จักมึงอีกงั้นก็คงไม่มีใครแล้วล่ะเชา ”คำพูดคิงเคยทำให้ผมจุกแค่ไหน ตอนนี้มันก็ยังเป็นอย่างนั้น… มันเคยเห็นทุกด้านในตัวผมแม้กระทั่งด้านที่แย่ที่สุดแม้แต่ผมเองก็ไม่อยากยอมรับ
“ มึงก็ยังเป็นมึง… มึงไม่เคยสนใจว่าใครจะคิดกับมึงยังไง ถ้ามึงพอใจจะทำ มึงก็จะทำ... ”ผ่านมาแล้วเป็นปี แต่ผมยังจำทุกคำพูดของคิงได้แม่น ผมไม่เคยลืมความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตอนนั้น
“ แต่ภัทรมันไม่ใช่ไง มันให้กู… ก่อนที่จะให้ตัวเอง... ”ผมจุกจนพูดไม่ออก ชาทั้งใบหน้าและปลายนิ้ว ความรู้สึกผมเหมือนถูกทรยศโดยคนที่เรารักและไว้ใจ คิงมันไม่เคยรู้...ว่าคำพูดที่ตรงเกินไปของมันทำร้ายความรู้สึกผมแค่ไหน ผมแค่ไม่แสดงออก และแสดงกิริยาอย่างอื่นกลบเกลื่อนออกไป
ซึ่งสิ่งที่ผมเลือกทำก็คือการทำร้ายจิตใจมันกลับ ผมแค่นยิ้ม ผมต้องการเยาะเย้ย ต้องการถากถาง ยั่วให้มันโกรธ ให้มันโมโห
“ มึงบอกมันทำอะไรให้มึง แล้วมึงอ่ะ เคยทำอะไรให้ใครก่อนบ้างหรือเปล่า? เคยสนใจความรู้สึกคนอื่นจริงๆมั้ย ” ผมรู้สึกเหมือนกำชัยชนะเอาไว้ในมือ สีหน้าไอ้คิงแย่ลง
“ มึงไม่เคยหรอกคิง… มึงก็เหมือนกูนี่แหละ ไม่ได้ต่างจากกูเลย ”แววตามันแสดงความรู้สึกออกมามากเกินกว่าที่ผมต้องการ ผมควรจะพอแค่นี้… แต่อะไรบางอย่างข้างในตัวผมไม่หยุด มันยังทำต่อไปเรื่อยๆ
“ กูจะคอยดูว่าภัทรมันจะทนทำให้มึงได้มากแค่ไหน ”ในตอนนั้นผมพูดออกไปด้วยแรงอารมณ์ ผมสะใจ พอใจที่ทำให้คิงรู้สึกแย่โดยที่ผมคิดไม่ถึงว่าหลังจากนั้นผมจะรู้สึกแย่ไม่ต่างกัน ผมได้เห็นคิงอกหักครั้งแรกในชีวิต และมันรุนแรงอย่างที่ผมคาดไม่ถึงมาก่อน…
คิดว่าอย่างมันจะเข็ด ไม่กลับไปคบกับไอ้ภัทรอีก
คิงมันไม่ใช่คนโง่ มันห่างไกลคำว่าโรแมนติกและบูชาความรักแบบคนทั่วไป...
แต่ในตอนนี้ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้ว… คิงมันเริ่ม ‘รู้สึก’ หรือเป็นผมที่ ‘หยาบกระด้าง’ เกินไป
ถ้าการที่ไอ้ภัทรเป็นคนดีคือคำตอบของคิง แล้วทำไมการที่น้องฟิว ซึ่งก็เป็นคนดีมากพอๆกันถึงไม่ใช่คำตอบสำหรับผม? น้องยอมผมทุกอย่าง ทุ่มเทให้กับผมเต็มที่ และยังรักถึงผมจะทำตัวเหี้ยกับเขามากแค่ไหนก็ตาม...
-----------------------------------------------------------
ครุ่นคิดหน่อยก็ดีนะนาย...
ตอนนี้ก็จะได้เห็นความคิดเชามากขึ้นนะคะ หวังว่าเราจะถ่ายทอดออกมาได้ ระบบความคิดมันซับซ้อนน่ะค่ะ จริงๆเป็นคนอ่อนแอแต่ต้องเข้มแข็ง ต้องหยาบแต่ลึกๆก็ต้องอ่อนไหวเหมือนกัน พอกำลังจะรู้เท่าทันความคิดตัวเอง อีโก้/อัตตาสูงปรี๊ดก็จะทำงานและปกป้องตัวเอง พอเริ่มจะคิดหาคำตอบ ความ 'ช่างแม่ง' ก็จะเกิดขึ้น(เพราะลึกๆกลัวคำตอบนั่นแหละค่ะ) เขียนให้รู้หมดก็ไม่ได้อีก เพราะเล่าจากสรรพนามบุรุษที่1
เช่นเดิมนะคะ ขอบคุณทุกการติดตาม และขอบคุณคนอ่านขาประจำที่ยังไม่ทิ้งกันไปไหนค่ะ