ผมไม่ใช่พ่อเด็ก ตอนที่ ๔๔ เสี่ยงเหลือเกิน ๒๘/๑๒/๕๘ (จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ผมไม่ใช่พ่อเด็ก ตอนที่ ๔๔ เสี่ยงเหลือเกิน ๒๘/๑๒/๕๘ (จบแล้วย้ายได้เลยค่ะ)  (อ่าน 62014 ครั้ง)

ออฟไลน์ muiko

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +98/-3

ออฟไลน์ black sakura

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1657
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-8
ยัยบีนี่จิตเกินไปแล้วต่อจากนี้
พี่พายคงต้องทำงานหนักละทีนี้
เพราะธูปเป็นคนคิดมากนางต้อง
คิดเรื่องนี้มากแน่ๆ

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12
แหวะ นางบี นางเป็นถึงขนาดนี้
ถ้านางเป็นปู้ชายนะ อยากให้พี่พายกระทืบให้ช้ำในตายไปรุย ชิ

ออฟไลน์ ❁INDY_FAMILY❁

  • -ทำไมต้องเดินตามรอยเท้าใคร เราสามารถสร้างรอยเท้าของเราเองได้-
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 608
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-12
ผมไม่ใช่พ่อเด็ก
ตอนที่ ๓๗ กรรมตามสนอง


-พาย-



หลังจากส่งธูปขึ้นรถกลับไปก่อนแล้วผมและพี่ชายของธูปก็กลับเข้ามาจัดการไอ้ตัวปัญหาทั้งสี่คนที่คนสนิทของผมจับตัวมันแยกห้องเอาไว้ด้วยกัน ผมเดินกลับเข้ามาหาไอ้ผู้ชายสามตัวที่นอนจมกองเลือดของพวกมันด้วยฝีมือของลูกน้องคนสนิทของผม พวกมันไม่มีแม้เรี่ยวแรงจะตอบโต้แต่กระนั่นมันก็ยังพยองพองขนขู่ผมด้วยคิดว่าผมจะกลัวกับคำพูดของมัน


"มึงรู้ไหมว่ากูลูกใคร" หนึ่งในสามคนนั้นพูดออกมาด้วยเสียงอันสั่นเทา


"รู้ครับ" ไม่ใช่เสียงผมที่พูดตอบแต่เป็นคนที่ยืนข้างตัวกลับเป็นคนตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้มราวกับเจอเรื่องสนุกสนาน


"........" มันทั้งสามคนผงะก่อนจะถดตัวถอยหนีเมื่อสายตาคุกคามจ้องมองที่พวกมัน


"คุณ" พี่ชายธูปชี้นิ้วไปทางผู้ชายที่ใบหน้าปูดบวมคนนึง  "ชื่อเมฆเป็นลูกรัฐมนตรี องอาจ"


ฝ่ายนั้นกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบากก่อนจะก้มหน้าลงเมื่อพี่ชายธูปย่อตัวลงไปนั่งยองๆตรงหน้า


"ส่วนคุณ" นิ้วชี้เรียวยาวชีไปทางผู้ชายตัวเล็กที่สุดในกลุ่มก่อนจะเอ่ยเสียงเย็มๆชวนขนลุก "ชื่อชัยเป็นลูกชายนักธุรกิจชื่อดังพ่อคุณชื่อพิชัยเป็นผู้มีอิทธิพลอย่างมากในทวีปเอเชีย แม่คุณคุณหญิงเพ็ญศรีเป็นผู้ดีเก่าและเป็นผู้หนุนหลังในมูลนิธิต่างๆ"


สายตาคมมองไปยังคนสุดท้าย "คุณ" มือหนาเชยคางคนตรงหน้าขึ้นมาจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีดำที่สั่นไหวด้วยความกลัว "ชื่อกิจเป็นลูกของนายตำรวจยศใหญ่โตพอจะกลับผิดเป็นถูกได้ด้วยปลายนิ้ว"


ร่างสูงยืนขึ้นก่อนจะใช้เท้ากดลงไปที่หัวของลูกนายตำรวจใหญ่จมกองเลือดและฝ่ายนั้นกำลังดิ้นอย่างทรมานแต่ไม่สามารถทำอะไรได้เพราะร่างกายถูกพันธนาการด้วยเชือกที่รัดเอาไว้อย่างแน่นหนา


"แต่ใครสนล่ะครับ" ร่างสูงยังคงยกยิ้มมุมปากอย่างอารมณ์ดี  "เพราะผมจะทำให้พวกคุณรู้เองว่าบาปกรรมมีจริงและผมนี่แหละที่จะเป็นคนมอบบาปนั้นให้พวกคุณ"


เท้านั้นผละออกจากหัวของคนที่เหยียบก่อนจะกลับมายืนข้างผมดังเดิม พี่ชายธูปเห็นมามองผมครู่นึงก่อนจะพินหน้ากลับไปมองผู้เคราะห์ร้ายทั้งสามคนที่มองหน้ากันเลิกลั่ก


"พวกคุณทำให้น้องชายผมเสียขวัญนั่นยังไม่เท่ากับพวกคุณใช้ยากับน้องผม คุณคิดว่าผมจะปล่อยพวกคุณไปโดยไม่ทำอะไรเลยเหรอครับ"


คำพูดสุภาพตรงข้ามกับท่าทางคุกคามทั้งสามคนเริ่มรู้ชะตากรรมของตัวเองจึงเอ่ยปากอ้อนวอน เสียงอ่อนระโหยโรยแรงดังแทรกกันจนฟังไม่ได้ศัพท์แต่ก็พอรู้ว่าพวกมันทำเพราะคำสั่งของผู้หญิงที่ถูกจับแยกออกมาอีกห้อง


พี่ชายธูปเดินไปหาลูกน้องผมก่อนจะกระซิบอะไรกันสักอย่าง ลูกน้องผมสบสายตาเข้ากับผมเพื่อขอความเห็นเมื่อเห็นว่าผมพยักหน้าให้ทำตามคำสั่งของอีกฝ่ายจึงโค้งคำนับรับคำสั่งและออกไปทำตามคำสั่งนั้นโดยทันทีโดยที่ผมเองก็ไม่สามารถทราบได้ว่าอีกฝ่ายสั่งอะไรไป


"ผมขอจัดการเรื่องทั้งหมดเอง" พี่ชายธูปเดินกลับมายืนตรงหน้าผม


ผู้ชายที่ดูดีทุกระบียบนิ้วดูภายนอกอบอุ่น ใจดี แต่ทำไมสัญชาตญาณบอกผมว่าคนๆนี้คือคนที่ผมไม่ควรต่อกรด้วย คือคนที่ผมไม่ควรขัดใจ


"ธูปเป็นเมียกูกูควรจัดการเอง" ผมอยากแก้แค้นให้เมียผมคงไม่ผิดใช่ไหม


อีกฝ่ายยิ้มรับก่อนจะพูดออกมา  "แต่ธูปเป็นน้องชายที่ผมรักมาก หลัวว่าคุณคงไม่ขัดใจผมนะครับ"


รอยยิ้มยังปรากฏอยู่บนใบหน้าแต่แววตาคุกคามเริ่มฉายชัดจนสังเกตุเห็น


"อีกอย่าง" อีกฝ่ายหันไปมองผู้เคราะห์ร้ายทั้งสามคน  "ผมรับรองว่าวิธีของผมจะทำให้มันเข็ดจนไม่กล้ามายุ่งกับธูป"


อีกฝ่ายหันกลับมามองหน้าผมแลัวยิ้มให้  "หรือแม้แต่ธุรกิจของคุณ"


ทำไมผมรู้สึกว่าผู้ชายคนนี้ไม่ธรรมดา


"ทำยังไงก็ได้ให้มันสาสมกับที่มันทำกับเมียผมแล้วกัน"


"เรียกเต็มปากเต็มคำเลยนะครับ เกรงใจพี่ชายอย่างผมบ้างอะไรบ้าง"


ถ้ากระทืบมึงแล้วเมียไม่โกรธกูมึงโดนไปนานแล้วไอ้ฝรั่ง


ผมไม่พูดอะไรเดินไปนั่งที่เก้าอี้ตามคำเชื้อเชิญของพี่ชายธูป มันเดินไปรับขวดยาจากลูกน้องผมก่อนจะจับกรอกปากไอ้สามตัวนั้นโดยไม่สนแรงดิ้นและสายตาหวาดกลัว พวกมันคงรู้ว่าหลังจากนี้อะไรจะเกิดกับพวกมัน


ท่าทางสนุกสนานเหมือนเจอของเล่นชิ้นโปรดของพี่ชายธูปทำเอาพวกเราต้องกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก จะว่ามันดูจิตๆก็ไม่เชิงจะว่ามันดูโหดร้ายก็พูดได้ไม่เต็มปากเพราะสิ่งที่มันทำผมก็คิดจะทำเช่นเดียวกัน


เว้นแต่ว่า.......


"โอ๊ะโอ" ท่าทางดีใจเกินเหตุนั้นดึงสายตาของผมและทุกคนในห้องให้มองตาม พี่ชายธูปมันเดินไปคว้าเข็มฉีดยาที่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพวกมันเอาไว้ทำอะไร


"ไม่มีใครเคยบอกเหรอครับว่ายาเสพติดมันอันตราย" คำพูดเหมือนเตือนแต่สิ่งที่ทำตรงข้าม มันใช้เข็มเจาะเข้าไปที่ขวดยาที่วางอยู่บนโต๊ะดึงสลิงนำยาเข้าสุ่ปลายเข็ม ก่อนจะหันมามองไอ้สามตัวที่ถดตัวหนีอย่างหวาดกลัว


"ผมสัญญาว่าถ้าพวกคุณตาย" มันยิ้ม "ศพพวกคุณจะถูกส่งถึงบ้านอย่างสมบูรณ์" เป็นรอยยิ้มของมัจุราช


พี่ชายธูปฝังเข็มเข้าร่างผู้เคราะห์ร้ายรายแรก มันส่งเสียงร้องโหยหวนชวนสังเวชใจ ก่อนจะที่เหยื่อรายที่สองและสามจะเผชิญชะตากรรมเดียวกันอย่างช่วยไม่ได้


"รับรองว่าหนังของพวกคุณจะถูกอัพลงตามเว็บเกย์ทั้งในและต่างประเทศ ตั้งใจเล่นให้สมกับที่ผมจะนำเสนอให้คนทั้งโลกดูนะครับ"


พี่ชายธูปลุกขึ้นก่อนะบอกให้ลุกน้องผมจับตัวไอ้สามคนนั้นมัดขามันไว้กับเตียงทำยังไงก็ได้ไม่ให้มันเข้าใกล้กล้องวีดีโอสามตัวที่กำลังจะถ่ายพวกมันอยู่ ลูกน้องผมรับคำสั่งก่อนที่พี่ชายธูปจะพยักหน้าให้ผมตามมันออกไปอีกห้องนึง


ในห้องนี้มีเพียงหญิงสาวที่นอนเปลือยกายอยู่ใต้ผ้าห่มผืนใหญ่คลุมร่างเธอเท่านั้น ร่างกายเธอถูกมัดด้วยเชือกอย่างแน่นหนา พี่ชายธูปเดินไปตบหน้าเธอเบาๆเพื่อให้ได้สติ แต่ก็ได้เลือดเช่นกัน ผมเดินมานั่งที่เก้าอี้เพื่อรอดูว่ามันจะสำเร็จโทษคนที่บังอาจมาแตะต้องร่างกายเมียผมอย่างไร ถ้าไม่สาสมผมนี่แหละจะจัดการชำแหละยังซิลิโคลนนี่เองกับมือ


ต่อให้เป็นผู้หญิงผมก็ไม่ปราณีใครก็ตามที่กล้าแตะต้องคนของผมโดยที่ผมไม่อนุญาต จุดจบมันก็มีให้เลือกไม่มากหรอกครับ


"แก" เมื่อได้สติยัยซิลิโคลนก็แหกปากร้องออกมาทันที ผมจ้องหน้าเธอนิ่งอยากเข้าไปกระชากร่างนั้นและจับฉีกเป็นชิ้นๆภาพที่มันคร่อมอยู่บนตัวธูปทำเอาสติผมแทบหลุดเกือบจะชักปืนขึ้นมาหน่วงไกฆ่ามันไปแล้วถ้าไม่ได้ลูกน้องผมจับมือรั้งเอาไว้ผมคงได้ไปนอนในซังเตแน่นอน


"ไงครับคนสวย" พี่ชายธูปไล้มือลูบหน้ายัยนั่นก่อนที่มือใหญ่จะบีบเข้าที่คอเล็กๆนั่นอย่างแรงจนอีกฝ่ายดิ้นเหมือนปลาที่ถูกจับขึ้นมาบนพื้น


"อั่ก" เสียงลมหายใจขาดช่วง แรงดิ้นที่เพิ่มมากขึ้น รอยยิ้มโรคจิตของผู้ชายที่กำลังออกแรงบีบคอหญิงสาว ผมเริ่มนั่งไม่ติดเมื่อคิดได้ว่าไม่กี่นาทีต่อจากนี้ร่างที่ตาเหลือกลิ้นจุกปากกำลังจะขาดอากาศหายใจ


ผมไม่อยากมีส่วนรู้เห็นในคดีฆาตกรรมจึงลุกจากเก้าอี้เพื่อจะไปรั้งชีวิตหญิงสาวผู้สมควรจะตายแต่ไม่ใช่ตอนนี้เอาไว้


พี่ชายธูปปล่อยมือจากคอระหงห่อนจะหันหน้ามายิ้มให้ผม และคำพูดเหมือนคำสั่งกลายๆก็ดังขึ้น "เชิญนั่งลงไปเถอะครับเรื่องนี้ผมจัดการเอง"


ความจริงถ้าผมจะขัดมันผมก็ทำได้ แต่ที่ไม่ทำเพราะผมอยากรู้ว่าภายใตใบหน้าเปื้อนยิ้มที่ดูใจดีเวลาอยู่กับครอบครัว คนๆนี้มีด้านมืดอะไรให้ค้นหาอีกบ้าง ที่ผมไม่ขัดมันเพราะผมอยากรู้ว่าคนแบบไหนกันที่อยู่ข้างๆเมียผม และคนแบบไหนกันที่เลี้ยงดูเมียผม เป็นเพื่อนเล่นเป็นที่ปรึกษา เป็นพี่ชายที่เมียผมไว้ใจ


คนแบบไหนกัน.......


พี่ชายธูปยืนกอดอกมองยัยซิลิโคลนประหนึ่งกำลังชื่นชมภาพวาดของจิตรกรประดับโลก แววตาสนุกสนานที่ไม่คิดจะซ่อนมันฉายแววระริกกับเรื่องที่อยู่ในหัว ผมจ้องมองชายร่างสูงใหญ่ด้วยใจจดจ่อ เกิดมันบ้าฆ่ายัยซิลิโคลนขึ้นมาพาลจะซวยกันยกใหญ่ เพราะถ้าผมจะโดนหางเลขไปด้วยนั้น ผมขอฆ่ายัยนั่นเองจะดีกว่า


"ไอ้เลว ฉันจะฆ่าแก" เสียงอาฆาตดังขึ้นเมื่อร่างกายรับเอาอากาศเข้าไปจนเต็มที่


"คิดหาทางเอาตัวรอดดีกว่านะครับ" อีกฝ่ายยิ้มเยาะ


"แกรู้ไหมฉันลูกใคร"


"ทำไมใครๆก็ชอบถามคำถามนี้กับผมกันจังเลย" มันยังคงยิ้มเหมือนเดิม  "จะลูกใครหน้าไหนผมไม่สนใจหรอกครับ แต่ถ้ามายุ่งกับน้องชายผม........" พี่ชายธูปย่อตัวลงลากปลายนิ้วบนใบหน้ายัยนั่นช้าๆ 



".......ผมก็ไม่เอามันไว้เหมือนกัน"


หลังจากพูดจบลูกน้องคนสนิทของผมก็เขามาในห้องพร้อมของที่พี่ชายธูปสั่งให้หามา ผมมองของสิ่งนั่นด้วยความสงสัยแต่ก็ไม่นานเพราะรู้แก่ใจว่ามันจะเอาไปใช้อะไร เพียงแต่คิดไม่ถึงว่ามันจะใช้สิ่งนี้แก้แค้นให้ธูปก็เท่านั้น


"ผมรู้ว่าคุณคงอยากผสมพันธุ์ อย่างว่าละครับสัตว์ยังไงก็ต้องสมสู่ตามฤดูกาล" พี่ชายธูปรับของในมือลูกน้องผมก่อนจะเดินไปยังร่างบางที่นอนดิ้นรนเพื่อหาทางรอด


มันจัดการป้ายยาบางอย่างลงบนร่างกายและของสงวนของหญิงสาวก่อนจะเดินไปที่ประตูลากจูงสนัขตัวนึงที่ลูกน้องผมจับมาได้


"สุนัขตัวนี้เป็นสุนัขจรจัด มันคงไม่มีคู่คุณคงจะใจดีช่วยให้มันหายกำหนัดได้นะครับ" หญิงสาวดิ้นรนหนักขึ้นเมื่อเริ่มรับรู้ชะตากรรมของตนเอง


"และมันก็คงช่วยให้คุณหายคันได้บ้าง" รอยยิ้มใจดีปรากฏอยู่บนใบหน้าหล่อเหลาอย่างแสแสร้ง


"ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ ไอ้บ้า ไอ้โรคจิต" ยัยนั่นเริ่มร้องไห้คลุ้มคลั่งเมื่อสุนัขเดินเข้ามาใกล้เตียง


"ผมจะตั้งกล้องไว้ตรงนี้นะครับ รับรองชัดทุกท่า"


"ไม่นะปล่อยฉัน ฉันกลัวแล้ว ไม่เอาแล้ว ไม่ทำแล้ว ฮือๆปล่อยฉันไปเถอะนะ"


เธอกรีดร้องพยายามกระตุกเชือดที่รัดข้อมือเธออยู่ สองขาที่ถูกมัดตรึงบนเตียงปัดป่ายไปมาอย่างบ้าคลั่ง เธอเริ่มคุ้มสติไม่อยู่เพ้อหาธูปไขว้คว้าหาคนที่ไม่สามารถเอื้อมถึง ผมเบือนหน้าหนีภาพตรงหน้ามันหดหูเกินกว่าจะทนดูได้ เธอร้องไห้สาปแช่งทุกคนที่พรากธูปไปจากเธอ ความรักที่ฝังใจมันเป็นการยึดติดจนเราไม่สามารถสลัดมันหลุดไปได้ แล้วกับเธอคนที่ต้องการความรักโหยหามันทุกขณะจิต ต่อให้มีวิธีลืมเธอก็ไม่คิดจะทำ


เพราะเธอรักฝังใจไปแล้ว


เมื่อสุนัขตัวนั้นขึ้นมาบนเตียงดอมดมร่างเธออย่างใคร่รู้ เธอดิ้นออกแรงเฮือกสุดท้ายก่อนจะหมดสติไป ผมจึงลุกจากเก้าอี้เดินไปคว้าตัวสุนัขตัวนั้นและให้ลูกน้องนำมันไปปล่อย


พี่ชายธูปหันมามองผมก่อนที่ใบหน้าเปื้อนยิ้มนั้นจะยิ้มให้ผมอย่างคุกคาม


"คุณคิดว่าผมจะทำจริงๆหน่ะเหรอ"


"ไม่รู้สิ"


"ผมไม่เลวขนาดนั้นหรอกกครับ"


"ใครจะรู้"


แต่อย่างน้อยผมก็รู้ว่ามันทำแน่ แววตาของมันบอกผมว่ามันทำแน่ๆ ผู้ชายคนนี้อันตรายเกินกว่าจะต่อกรด้วย ถ้าเอามาเป็นพวกคงไม่ง่ายแต่ถ้าเป็นศัตรูคงยากที่จะจัดการ


ผมหันหลังเดินออกจากห้องนั้นโดยสั่งงานให้ลูกน้องผมจัดฉากเหมือนเธอมีเซ็กส์กับสุนัขและเขียนคำขู่บอกเธอไว้ว่าเรามีคลิปลับของเธอ ให้เธอเลิกยุ่งกับธูป หายไปเลยยิ่งดี


ผมเดินมาอีกห้องนึงที่ไอ้สามตัวนั้นอยู่ เปิดประตูเข้ามากลิ่นคาวคละคลุ้งชวนอาเจียนลอยฟุ้งเข้าจมูก สายตาผมมองไปยังคนสองคนที่รุมทึ้งร่างเล็กที่สุดในนั้น สอดใส่อย่างไรความปราณี เสียงครวญครางดังสลับกับเสียงร่ำไห้ มันเป็นภาพที่น่าเวทนา ชวนอ้วก สุดท้ายผมก็ให้ลูกน้องจับมันที่สามคนแยกจากกัน ปิดวีดีโอเก็บมันไว้ในมิดชิด ก่อนจะเดินออกมาจากบ้าน เมื่อสั่งงานและเก็บงานทั้งหมดให้เรียบร้อย


ผมเข้ามาในรถนั่งลงที่เบาะหลังก่อนที่ใครอีกคนจะเปิดประตูและเข้ามานั่งข้างๆกัน


"เรื่องวันนี้คุณคงไม่เล่าให้ธูปฟังนะครับว่าผมทำอะไรลงไปบ้าง" มันหันมาพูดกับผมด้วยสีหน้าจริงจัง


"ทำไมผมต้องทำอย่างนั้น"


"เพราะผมเป็นพี่ชายที่แสนดี" มันยิ้ม "ผมไม่อยากทำลายภาพนั้นของธูปด้วยคำพูดของคุณ"


"ถ้าผมไม่ทำตามล่ะ" ผมอยากรู้ว่ามันจะบังคับผมยังไง


"คุณก็คงไม่ได้ผมเป็นพวก"


มันยิ้มให้ผมอีกครั้ง ผมรู้สึกเกลียดรอยยิ้มมันเข้าไส้ถ้าไม่ติดเป็นพี่เมียผมคงจับมันโยนลงทะเลไปแล้ว


"และถ้าผมปิดเรื่องนี้ให้คุณแล้วคุณจะช่วยผมยังไง"


มันหันมามองผมหรี่ตามองเหมือนจะมองให้ทะลุเข้าไปในหัวใจ มันยิ้มเป็นรอยยิ้มที่ดูยังไงก็รู้ว่าไม่จริงใจ


"ผมจะทำให้คุณและธูปอยู่ด้วยกัน"



ผมหวังว่าความลับที่ผมช่วยปิดบังมันจะคุ้มค่ากับสิ่งที่จะได้มานะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-09-2015 12:49:40 โดย ❁INDY_FAMILY❁ »

ออฟไลน์ noksamsee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 144
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
 :hao6:พี่ชายธูปสุดยอด เอาเรื่องนี้ต่อเลยเราเชียร์

ออฟไลน์ noksamsee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 144
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ลืมไป บีจะท้องไหม ลูกของธูป คิดว่าอย่างไงดี เครียดดๆๆๆท้องก่อดีไป เพราะพี่พายกับธูปจะได้เปงครอบครัวพ่อแม่ลูก

ออฟไลน์ boonpa

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-9
พี่ชายธูปนี่แสบเข้าไส้เหมือนกัน

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12
บอกเลยว่า....สาแก่ใจที่สุด555

คราวนี้คงเข็ดกันนะ

ออฟไลน์ black sakura

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1657
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-8
พี่ไฟแกรรรรน่ากลัวเกินไปนะ

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1912
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10
มีขู่ซะด้วยนะพี่ไฟ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ ❁INDY_FAMILY❁

  • -ทำไมต้องเดินตามรอยเท้าใคร เราสามารถสร้างรอยเท้าของเราเองได้-
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 608
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-12
ผมไม่ใช่พ่อเด็ก
ตอนที่ ๓๘ ความพยายาม


-มาวิน-


ผมไม่รู้ว่า คำว่าเปิดใจที่ใครๆต่างพร่ำบอกผมนั้นแท้จริงมันทำได้ง่ายเหมือนผลิกฝ่ามือไหม ผมไม่รู้ว่าจะวางทิฐิที่สะสมมานานหลายสิบปีในใจลงได้อย่างไร เคยมีคนบอกไว้ว่ามันไม่ง่ายแต่ก็คงไม่ยากถ้าเราพยายาม


แล้วผมพยายามมากพอแล้วหรือยัง


หลังจากเหตุการณ์ในวันนั้นผมก็พยายามปรับตัวเพื่อเริ่มนับหนึ่งใหม่อีกครั้งกับคนที่ผมมีเลือดของเขาอยู่ในกายครึ่งหนึ่ง


'พ่อ'


ผมใช้เวลาเรียนรู้และศึกษาเขาใหม่ทั้งหมด พยายามลบภาพเลวร้ายและเรื่องราวในอดีตออกไปถึงมันจะไม่ง่ายดั่งใจคิดแต่ก็ไม่ยากเกินความพยายาม ผมคิดว่าอย่างนั้นนะ


เขาเอาใจใส่ดูแลผมอย่างดี ถึงผมยังไม่พร้อมเรียกเขาว่าพ่อ เขาก็ยิ้มรับและบอกเพียงว่าเข้าใจ แค่ผมยอมพูดยอมพบหน้า เขาบอกว่ามันคือเรื่องที่ดีที่สุดสำหรับเขาแล้ว


เราใช้เวลาด้วยกันในตอนแรกมันค่อนข้างกระอักกระอ่วมไม่ว่าจะนั่ง พูดคุย หรือแม้แต่ทานอาหารร่วมกัน มันดูเงอะงะไปหมดสำหรับเราทั้งคู่ แต่พอนานๆไปมันก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับ เราสามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติกันได้มากขึ้น มีเรื่องเล่าให้กันและกันฟังมากขึ้น


เขาขอร้องให้ผมกลับไปอยู่ด้วยกันที่บ้าน บ้านที่มีแต่ความทรงจำแย่ๆ บ้านที่ไร้ซึ่งความสุข บ้านที่ไม่มีคำว่าครอบครัว บ้านที่แม่ผมนอนร้องไห้ทุกคืน ผมทำใจไม่ได้ เขาเองเมื่อฟังเหตุผลของผมก็เข้าใจและไม่เคยพูดเรื่องนี้กับผมอีกเลย


ผมยังอยู่ที่หอเดิม เพียงแต่ไม่ได้ไปเล่นดนตรีในผับแล้ว เพราะเขาขอร้องอยากให้ผมมีเวลาพักผ่อนและทุ่มเทกับการเรียน ผมขอเลี่ยงไม่รับเงินจากเขาฟรีๆแต่แลกจากการทำงานซึ่งน้าพีเสนอให้ผมเข้ามาเรียนรู้งานที่บริษัทซึ่งในอนาคตผมก็คงต้องมานั่งบริหารงานตรงนี้ ผมไม่ค้านเพราะไม่อยากทำให้การเริ่มต้นของผมกับเขาพังลงด้วยความคิดที่ว่าผมไม่อยากรับช่วงต่อในการบริหารงานของครอบครัวแต่สุดท้ายผมก็ยอมตกลง


เหตุผมเพราะผมอยากให้เขาและน้าพีสบายใจไม่ต้องคอยห่วงเวลาผมไปเล่นดนตรีดึกๆ และที่สำคัญงานในช่วงปีสามมันหนักจนผมเองก็แบ่งเวลาไม่ค่อยลงตัว และที่สำคัญผมอยากศึกษางานในบริษัททั้งๆที่ไม่อยากรับช่วงต่อ แต่ผมอยากแบ่งเบาภาระของเขา อยากให้เขาได้พักผ่อนบ้าง


ห้องผมก็ยังมีผู้อาศัยที่ไล่ยังไงก็ไม่ไปอยู่ด้วยอีกหนึ่งคน มันมักมีข้ออ้างมากมายที่ไม่ย้ายออกไป ผมเองก็จนปัญญาที่จะไล่ มีมันอยู่ผมก็สบาย ประหยัดไปได้หลายต่อหลายอย่าง จะลำบากก็ตรงที่มันแยกเตียงนอนผมเท่านั้นเอง


"ไปกินข้าวกับพ่อมึงมาเป็นไงบ้าง" มันถามทันทีที่ผมเปิดประตูเข้ามาในห้อง


"ก็ดี" ผมตอบก่อนจะถอดรองเท้าวางในตู้


"ตอบเหมือนเดิม"


"แล้วจะให้ตอบยังไง" ผมถาม


"ก็....." มันทำท่านึก  "พูดคุยอย่างพ่อลูก" มันพูดพร้อมกับยักคิ้วให้ผม


"แล้วที่กูพูดกับเขาไม่ใช่อย่างพ่อกับลูกหรือไง" ผมพูดก่อนจะเดินเลี่ยงเข้าไปในห้อง อยากอาบน้ำเต็มที่เหนียวตัวจะแย่


"มึงเรียกอาภาคว่าพ่อรึเปล่าล่ะ ถ้าไม่ นั่นก็ไม่ใช่การคุยกันอย่างพ่อกับลูก"

ผมหยุดเท้าตนเองเอาไว้เมื่อได้ยินประโยคนั้น พ่อ คำๆเดียวสั้นๆแต่ทำไมผมไม่สามารถพูดมันออกมาได้สักที
.
.
.
.
.
.
.
.
"พ่อจะขายบ้านหลังนั้น วินคิดว่ายังไง" เขาถามผมระหว่างที่ผมกำลังนั่งตรวจรายงานการประชุม ที่จะใช้ในการประชุมวันพรุ่งนี้


ผมเงยหน้ามองคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อ ก่อนจะตอบเขากลับไป  "ไม่ว่ายังไงครับ"


บ้านที่ไม่มีความทรงจำดีๆเหลืออยู่ จะมีอยู่หรือหายไปก็ไม่ต่างกัน


"พ่ออยากเริ่มต้นใหม่กับวิน" เขาลุกขึ้นเดินมาหาผมที่นั่งอยู่ที่โต๊ะฝั่งตรงข้าม  "ขอโอกาสให้พ่อคนนี้ได้ทำหน้าที่พ่อสักครั้งได้ไหม"


ผมก้มหน้าอ่านรายงานตรงหน้าต่อไปถึงแม้ตัวหนังสือพวกนั้นจะไม่เข้าหัวผมเลยสักนิด แต่ผมก็สนใจมันมากกว่าผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้า


เสียงถอนหายใจดังขึ้นก่อนที่เจ้าของเสียงนั้นจะผละออกกลับไปนั่งที่โต๊ะประจำตำแหน่งของตนเองดังเดิม ต่างคนต่างจมจ่ออยู่กับความคิดของตน โดยไม่รู้เลยว่าการเปิดใจพูดคุยกันนั้นมันทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ดีขึ้นจริงหรือเปล่า
.
.
.
.
.
.
.
"วิน" ผมเงยหน้าจากจานข้าวเพื่อมองคนที่เรียก


"ครับ" เลิกคิ้วด้วยความสงสัยเมื่ออีกฝ่ายยื่นหนังสือบ้านมาให้


"แบบบ้าน วินชอบแบบไหนก็บอกพ่อนะ หรือวินจะออกแบบเองก็ได้"


"ทำไมครับ"


"บ้านของเรา" เขาตอบกลับมาพร้อมรอยยิ้มเหมือนทุกๆครั้ง  "เริ่มต้นกันใหม่นะลูก"
.
.
.
.
.
.
.
"วินลูกชอบที่ตรงไหน ระหว่างสุขุมวิท สีลม ทองหล่อ"


"ทำไมครับ"


"พ่อจะสร้างบ้านของเราไงลูก พ่อเลยถามลูกก่อนว่าชอบที่ตรงไหน พ่อจะได้จัดการให้เขาเริ่มสร้างบ้านของเรา"


ถ้าผมตอบว่าผมไม่ชอบสักที่ ที่เขาเสนอมาจะผิดไหม มันคือย่านธุรกิจที่คนพลุกพล่าน แต่ผมไม่ชอบที่ที่พลุกพล่าน ผมชอบที่เงียบสงบ แต่ผมกับเขาก็ต่างกันเกินไป เขาชอบที่ที่ทำกำไร เกร็งกำไรในธุรกิจทุกอย่างในหัวเขามีแต่เรื่องธุรกิจ เนื้อที่ตารางวานึงแพงหูฉีกสร้างบ้านหลังใหญ่หรูหราบ่งบอกฐานะตนเอง ประกาศว่าร่ำรวยมีเงินเหลือเฟื้อ


แต่ผมอยากได้บ้านที่เป็นบ้านสำหรับครอบครัว บ้านที่เป็นบ้านจริงๆ


"ผมอยากได้ที่แถวชานเมือง" ผมตอบออกไปอย่างใจคิด ในเมื่อเราทั้งคู่ตกลงว่าจะปรับเข้าหากันมันก็ควรจะเริ่มตั้งแต่ตอนนี้ ถกปัญหากันตั้งแต่ยังไม่เริ่มดีกว่ามานั่งแก้เมื่อสร้างมันเสร็จแล้ว


"ชานเมือง" เขาทวนคำผมอย่างสงสัย


"ครับ" ผมตอบ "ผมจะออกแบบบ้านเอง แต่ถ้าคุณไม่เห็นด้วยผมก็ไม่ว่าอะไร เอาตามที่คุณเห็นสมควรก็ได้ครับ"


เขาระบายยิ้มอบอุ่นกลับมาให้ก่อนจะจับไหล่ผมบีบเบาๆ "ทำไมจะไม่ได้ วินเลือกที่มาเลยนะลูก และแบบบ้านวินจะออกแบบเองไหม"


ผมพยักหน้าตอบรับคำเขา "ครับ"


บ้านที่ผมคิดเอาไว้ไม่ต้องหลังใหญ่มากจนเดินหากันไม่เจอ ไม่ต้องประดับด้วยสิ่งของหายากราคาแพง ไม่ต้องใช้วัสดุที่บ่งบอกฐานะ ผมต้องการแค่บ้านที่ไว้สำหรับพักพิง เป็นบ้านที่ไม่ว่าเราเหนื่่อยจากเรื่องอะไรก็ตามเมื่อก้าวเท้ากลับเข้ามาในบ้านความสงบความสุขก็ปะทะเข้าหาตัวเรา ส่วนนึงคงต้องประกอบไปด้วยคนที่อยู่ในบ้าน ที่เราเรียกว่า 'ครอบครัว'
.
.
.
.
.
.
.
"นี่ครับแบบบ้าน" ผมยื่นแบบบ้านที่วาดจนเสร็จให้อีกคนดู เขารับไปดูก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผม


"บ้านไม้สองชั้น" เขาทำหน้าสงสัย


"ครับ" ผมชี้แจ้งต่อ "ด้านข้างผมจะขุดบ่อทำน้ำพุ ฝั่งนี้ปลุกไม้หอม ส่วนตรงทางเดินวางหินสวยๆตามแนว ทำศาลายื่นออกไปตรงแม่น้ำ คุณว่ายังไงครับ"


เขายิ้มก่อนจะพยักหน้าเห็นด้วย


"แล้วกี่ห้องล่ะเนี่ย" เขาถาม


"สามครับ"


"หืม สามห้อง"


ผมพยักหน้าอีกครั้ง  "ห้องผม ห้องคุณ และห้องรับแขก"


"แล้ว........" ผมรู้ว่าเขาจะพูดว่าอะไร


น้าพีคนรักของเขาผมจะเอาไว้ไหน ถึงแม้ตลอดเวลาที่ผมจะเข้ามาในบริษัทคนทั้งคู่ไม่เคยแสดงกิริยาแสดงตัวเป็นคู่รักต่อหน้าผมเลยสักครั้ง อีกยังสวมหน้ากากเจ้านายลูกน้องเอาไว้ได้เป็นอย่างดี คงจะมีแต่สายตาของคนทั้งคู่ที่แอบมองกันและกัน มันสื่อออกมาว่ารักกันมากมาย แต่ต้องปิดซ่อนเอาไว้ เพราะกลัวว่าผมจะกระอักกระอ่วมใจเลยฝืนใจทำอะไรตรงข้ามความรู้สึกเพื่อรักษาความรู้สึกของผม


ซึ่งผมไม่ต้องการ


"น้าพีก็อยู่ห้องเดียวกับคุณไงครับ" นี่แหละคือสิ่งที่ผมต้องการ ผมไม่อยากทำผิดไม่อยากพรากความรักของใคร ไม่อยากเป็นเหมือนปู่ย่า ตายาย ที่เอาหัวใจของคนอื่นมาย่ำยีเพียงเพื่อสิ่งที่ตนต้องการ


"วิน" เขาลุกขึ้นก้าวเดินมาหาผม  "ขอบคุณนะลูก ขอบคุณ"


ใจผมมันเต้นแรงเมื่อคนที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อโอบกอดผมเอาไว้ ความอบอุ่นจากอ้อมกอดของพ่อมันเป็นแบบนี้เองเหรอ มันปลอดภัย อบอุ่น ผมยกสองมือที่สั่นเทาขึ้นแตะหลังของอีกฝ่ายเบาๆไม่กล้าออกแรงกอดรัดอีกฝ่ายเหมือนที่เขาทำกับผม เพราะผมกลัวเขารู้สึกตัวและผละออกจากผม แล้วความอบอุ่นนั้นจะจางหายไป


ผมต้องการความอบอุ่นจากคนๆนี้มาตลอดชีวิต


"โอ๊ะ ขอโทษครับ" น้าพีถือเอกสารปึกใหญ่เข้ามาในห้อง ก่อนตะลึงเมื่อเห็นเขาและผมกอดกันกลม


ความอบอุ่นผละออกจากผมไป เขาขยับเนคไทวางท่าเป็นเจ้านายเหมือนดั่งเดิมก่อนจะอนุญาตให้น้าพีเข้ามาวางรายงานบนโต๊ะ น้าพีก้มหน้าเดิมเข้ามาผ่านผมที่ยืนมองทั้งคู่เงียบๆเมื่อวางเอกสารบนโต๊ะเรียบร้อย บอกความจำนงในเนื้อความเอกสารอีกนิดหน่อยน้าพีก็สาวเท้าเพื่อจะออกจากห้องไป


แต่ผมกลับหยุดรั้งร่างบางนั้นเอาไว้เสียก่อน


"น้าพีครับ"


น้าพีหันหลับมาหาผมเลิกคิ้วสงสัยว่าผมมีเรื่องอะไรไม่พอใจหรือเปล่า น้าพีดูเกรงใจผมมากตั้งแต่ผมเข้ามาเรียนรู้งานที่นี่และพยายามหลบหน้าผมทุกครั้ง เมื่อผมรู้ความจริงว่าน้ามีความสัมพันธ์ยังไงกับเขา


"ว...ว่าไงเหรอวิน" น้ำเสียงประหม่าถูกส่งมาให้ผม


"ไปอยู่บ้านเราด้วยกันนะครับ" น้าพีหน้าซีด อ้าปากค้าง ไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน คงไม่เชื่อว่าผมทำใจรับเรื่องของน้ากับเขาได้แล้ว


จริงๆผมก็ไม่อะไรหรอกเรื่องความรักเราห้ามกันไม่ได้ แต่ที่ผมไม่พูดหรือแสดงอะไรออกไปเพราะผมเองก็ไม่รู้จะเริ่มมันตรงไหน ยังไง มันตื้อๆสับสนไปหมด ผมเกิดจากวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ ไม่ใช่ความรัก แม่รักลุงของผม พ่อรักน้าของผม มันสับสนงุนงงเมื่อรู้ความจริง ผมจึงไม่รู้จะเริ่มพูดคุยกับพวกเขายังไง เลยทำเฉยๆเพราะคิดว่ามันคือทางออกที่ดีที่สุด


แต่มันกลับแย่ลง


สุดท้ายผมจึงต้องเป็นคนเริ่มทำอะไรๆให้มันเข้าที่เข้าทางมากกว่าเดิม ถ้าพวกท่านรักกันก็ควรอยู่ด้วยกัน ผมไม่ทำลายความรักของใครเด็ดขาด


"วิน คือ" น้าพีช็อคไปเรียบร้อย


"แล้วเวลาอยู่ต่อหน้าผมก็ช่วยทำตัวปกติเถอะครับอย่าฝืนเลย"


คนทั้งคู่หันหน้ามองกันก่อนจะหันมามองผมด้วยสายตาที่เปี่ยมสุข ไม่เศร้าหมองเหมือนเก่าก่อน ผมคิดว่าครั้งนี้ผมพยายามแล้ว ผมทำดีที่สุดแล้ว ไม่ใช่เพื่อใครแต่เพื่อตัวเอง ผมกลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้แต่ผมจะทำปัจจุบันให้ดีไม่ให้ผิดพลาดเหมือนที่ผู้ใหญ่ทำกัน เพื่ออนาคตจะได้ไม่มีใครเสียใจเหมือนที่ผ่านๆมา


"ขอบใจนะลูก" เขาตอบรับคำผมพร้อมขอบคุณผมที่ยอมรับความสัมพันธ์ของเขาและน้าพี


ผมไม่ตอบอะไรก้มเก็บของบนโต๊ะก่อนจะบอกลาทั้งสองคนที่เอ่ยปากชวนผมทานข้าวด้วยกันแต่ผมปฏิเสธ ทั้งคู่ไม่รั้งตัวผมไว้ผมเองเมื่อเก็บของเสร็จก็ตรงกลับหอทันที ผมพยายามแก้ปมเชือกที่พันธนาการจิตใจของทุกคนเอาไว้มานานหลายปีด้วยตนเอง ผมคิดว่าวันนี้ถึงเชือกมันจะไม่ได้หลุดจากตัวพวกเราไปจนหมดอาจจะยังมีมัดร่างกายอยู่บ้างแต่ก็คลายออกไปมากพอสมควรแล้ว มันไม่แน่นเหมือนเมื่อหลายๆปีที่ผ่าน ผมยิ้มให้กับตัวเองอีกครั้งที่วันนี้ผมเลือกเดินทางนี้


เลือกที่จะพยายามอีกครั้ง
.
.
.
.
.
ผมกลับมาถึงห้องก็เจอกับผู้อาศัยที่นับวันจะทำตัวไม่ต่างจากเจ้าของห้องเข้าไปทุกที มันนั่งดื่มอยู่คนเดียวเงียบๆในห้องมืดๆหลังจากที่เมาหัวราน้ำในวันนั้น ไอ้แมนก็ประกาศกร้าวว่ามันจะตัดใจจากธูปมันไม่อยากเสียเพื่อนรักไปเพียงเพราะรักที่มันใช้ผิดสถานะ


มันเคลียร์กับธูปจนเข้าใจ ยอมตัดใจถอยกลับมาเป็นเพียงเพื่อนสนิทที่ไม่คิดอะไรเกินกว่านั้น มีบ้างบางครั้งที่หลุดแววตาอาทรมองดูอีกฝ่าย แต่เมื่อได้สติก็เก็บซ่อนความรู้สึกเอาไว้อย่างรวดเร็ว


ธูปเองก็กลับมาพูดคุยสนิทสนมเหมือนเก่า มันก็ดีแล้วที่เป็นแบบนี้พอผมรู้ข่าวว่าเทียนมันกลับมา ความรู้สึกแรกคือดีใจแต่เมื่อได้เจอหน้าพูดคุย ความรู้สึกที่เคยถูกปฏิเสธมันกลับล้นเอ่อขึ้นมาอีกครั้ง พยายามจะทำให้ได้เหมือนไอ้แมน แต่ผมคงอ่อนแอเกินไป สุดท้ายไอ้เทียนก็รู้ตัว มันฉลาดมองออก เพียงแต่ไม่พูดและทำปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น


ผมเองคงต้องตัดใจจริงๆมองหาความรักที่เป็นของผมจริงๆถ้าหาไม่เจอผมก็ไม่ดิ้นรนไขว่ขว้า เพราะผมรู้ว่ามันเจ็บถ้าเราคาดหวัง ผมเจ็บถ้าสุดท้ายแล้วเรารู้ว่าไม่มีใครสักคนต้องการเรา ไม่มีใครรักเรา


ผมไม่อยากเจ็บอีกแล้ว


ผมถอดรองท้าเก็บเข้าตู้ วางของที่หอบมาจากบริษัทลงบนโต๊ะหน้าทีวี เข้าห้องน้ำล้างเท้าล้างมือ ไม่ลืมหยิบแก้วติดมือมาด้วยเพื่อกินของฟรีเหมือนทุกๆวัน


ไอ้แมนมองหน้าผมมันไม่พูดอะไรออกมาแค่มองเหมือนทุกครั้ง ผมก็ไม่สนใจมันรินเหล้าใส่แก้วได้ก็กระดกเข้าปากทันที สมองว่างมากพลันจะคิดเรื่องเก่าๆให้มันกลับมาทำร้ายตัวเอง ทั้งๆที่บอกว่าจะลืม บอกจะพยายามแต่เอาเข้าจริงก็คิดว่าสิ่งที่ทำผมทำถูกไหม


"เป็นอะไร" อีกฝ่ายถามเมื่อเห็นผมกระดกเหล้าไม่พูดไม่จา


"เปล่า"


"เก็บไว้คนเดียวอกแตกตาย"


ผมเงยหน้ามองมันก่อนจะยิ้มเมื่อคิดว่าถ้าอกแตกตายไปจริงๆก็ดีสิ  "จำแบบบ้านที่กูวาดได้ไหม"


"อืม ทำไม"


"บ้านกู เขาบอกสร้างให้กู"



"ก็ดีนิ แล้วทำไมต้องทำหน้าแบบนั้น"  มันถามด้วยความสงสัย


"มึงว่าที่กูทำอยู่มันดีแล้วจริงๆเหรอวะ"


"......"


"มึงคิดว่ากูกับเขาจะกลับมาเป็นครอบครัวกันได้จริงๆเหรอวะ" ผมไม่รู้ว่าทั้งหมดที่ทำลงไปสุดท้ายมันอาจจะเป็นแค่การแสดงว่าเราไม่โกรธ ไม่เกลียดกันแล้ว แต่ความจริงอดีตมันยังคั่งค้างอยู่ในใจของเราทั้งคู่ แล้วถ้าเป็นเช่นนั้นจริงๆที่เราทำมาทั้งหมดมันก็สูญเปล่า


อีกฝ่ายไม่เอ่ยอะไรออกมามันเพียงแค่มองหน้ามองแก้วเหล้าตรงหน้าของมันเท่านั้น


ผมถอนหายใจพลางคิดเรื่องราวในอดีตขึ้นมาเหมือนทุกครั้งที่สมองว่างเปล่า แม่ผมต้องเสียใจเพราะความรักที่มันไม่เป็นดั่งใจหวัง ปู่ย่า ตายาย กำหนดความรักของลูกหลานเพียงเพราะอยากจะรักษาผมประโยชน์ที่ตนสร้าง และผมก็เกิดดมาจากสิ่งผิดพลาดนั้น


ผมไม่รู้ว่าควรวางอคตินั้นไว้แล้วเดินหน้าต่อ หรือผมต้องแบกมันไว้กับตัวเพื่อจะเอามันมาตอกย้ำตนเองในเรื่องเก่าที่เคยเจอ หรือสุดท้ายฝังกลบมันเอาไว้ในความทรงใจ รู้ว่ามันมีอยู่แต่ไม่ไปแตะต้องมัน


ผมไม่รู้ว่าควรเลือกทางไหนดีสำหรับทุกคน


"มึงมีความสุขกับสิ่งที่ทำไหม" มันเอ่ยถามผมหลังจากนั่งเงียบอยู่นาน


"กูกำลังพยายามมีความสุขอยู่" ผมตอบ


"ความพยายามของมึงจะไม่สูญเปล่า ถ้ามันมาจากใจจริงของมึง"


มันจะไม่สูญเปล่าจริงๆใช่ไหม ถ้าผมพยายามจะรักเขา พยายามจะสร้างครอบครัวที่พังลงไปให้กลับมาเป็นครอบครัวอีกครั้ง


ถ้าเป็นเช่นนั้นผมจะพยายาม



TALK : ขอโทษที่หายไปนาน ตาเจ็บเนื่องจากใส่คอนแท็คเลนส์ แสบตาและปวดตามาก ลืมตาไม่ขึ้นเลย นิยายยังไม่ได้อ่านหลายเล่มมาก พอตาเริ่มหายดีก็มานั่งแต่งนิยายทันที ขอโทษที่หายไปนานนะคะ

ออฟไลน์ black sakura

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1657
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-8
มาแล้วววววดราม่ามาวินคงจะหมดแล้วน้าา
รอดูคู่นี้เค้ารักกันขอบคุณคร้าาา
ถ้าไม่ไหวก็พักก่อนนะค่ะเดี๋ยวจะป็นมากกว่าเดิม

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12
สู้ๆๆๆนะวิน เอาใจช่วย
เรื่องครอบครัวเป็นเรื่องอ่อนไหวจริงๆ

ออฟไลน์ ❁INDY_FAMILY❁

  • -ทำไมต้องเดินตามรอยเท้าใคร เราสามารถสร้างรอยเท้าของเราเองได้-
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 608
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-12
ผมไม่ใช่พ่อเด็ก
ตอนที่ ๓๙ หวั่นไหว



-มาวิน-

บ้านเริ่มเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้นด้วยเม็ดเงินที่เขาลงทุนเพื่อผม ในระยะเวลาไม่ถึงเดือนเขาหาที่ทางตามที่ผมต้องการได้ สร้างบ้านได้อย่างรวดเร็วราวกับเนรมิตมันขึ้นมาภายในเวลาไม่กี่เดือน เพราะมีเงินอะไรๆก็ง่ายขึ้น


ผมยังคงทำงานแลกเงินที่บริษัทของเขาและยังคงอยู่ที่หอพักเดิม แต่ถ้าบ้านเสร็จเมื่อไหร่ผมคงต้องย้ายไปอยู่ที่นั้น แม้ว่าจะไกลจากมหาลัยอยู่พอสมควรแต่ผมก็ยินดีที่จะใช้เวลาเดินทางมากขึ้น ถ้าผมจะได้ใกล้กับคำว่าครอบครัว


เหลือปัญหาอย่างเดียวที่ผมไม่รู้จะจัดการยังไง ก็ไอ้คนที่อยู่ร่วมหอพักเดียวกันกับผม ที่มันเกาะติดผมไม่ห่างเมื่อผมย้ายออกไปหวังว่ามันจะหายไปจากชีวิตผมเสียที เพราะยิ่งเราอยู่ใกล้กันมันจะยิ่งผูกพันธ์ และผมกลัวใจของผมเองที่ยังคงโหยหาความรักอย่างไม่ลืมหูลืมตา ใครทำดีด้วยหน่อยก็รักเขาไปเสียหมด สุดท้ายก็เสียใจกับความรักที่ไม่สมหวังทุกคราว


ผมกลัวว่าวันนึงผมจะหลงรักความใกล้ชิดและสุดท้ายก็เป็นผมเองที่เสียใจ



"กูจะคืนหอแล้วนะ" ผมบอกคนที่มาอาศัยอยู่ร่วมกับผมในหลายเดือนมานี่


"แล้ว" มันสวนกลับมาด้วยใบหน้ามึนๆไม่รู้ร้อนรู้หนาว


"ที่กูบอกก็เพราะจะให้มึงเตรียมตัวย้ายออก"


"บ้านมึงเสร็จแล้วเหรอ" มันถามผมหน้านิ่ง


"ยังอ่ะแต่กูบอกมึงไว้ก่อน"


"ไว้เสร็จค่อยไล่กูแล้วกัน" ความหน้าด้านมันยังคงที่ วันแรกยังไงวันนี้ก็เหมือนเดิม


เราไม่พูดถึงเรื่องนี้กันอีก เพราะพูดไปคำตอบก็คงเดิมคือรอ


ผมไม่รู้ว่ามันจะรออะไร


ทุกวันผมก็ใช้ชีวิตตามปกติของผมไป แต่เรื่องมันไม่ค่อยปกติก็ตรงที่เทียนกลับมา และมันกลับเข้ามาในความรู้สึกของผมอีกครั้ง กลับเข้ามาทำให้ผมหวั่นไหว แต่มีแค่ผมที่หวั่นไหวเพราะมันไม่เคยรู้สึกอะไรกับผมมากกว่าคำว่าเพื่อน


เรานัดเจอกันคุยกันไปดูหนัง ทานข้าวด้วยกัน เมาหัวราน้ำเหมือนเมื่อก่อน


ทุกอย่างเหมือนเดิม ทั้งความรู้สึกของผม


รักยังไงก็รักอยู่อย่างนั้น


และมันเองก็เหมือนเดิม........



ไม่รักยังไงก็ไม่รักอย่างนั้น


ต่างกันในความรู้สึก


แต่มันกลับมั่นคงเหมือนกัน





วันนี้ผมกลับห้องไวเพราะเขากับน้าพีต้องไปดูงานที่สิงคโปร์ เขาเร่งทำงานทุกอย่างเพื่อให้ได้มีเวลาอยู่กับผมมากขึ้น ผมเคยต้องการมันมาตลอดเมื่อในอดีต ตอนนี้ผมไม่รู้ว่ายังต้องการเวลาจากเขาไหม แต่ทุกครั้งที่ผมอยู่กับเขาผมรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่น ผมคงเสพติดมันเข้าสักวันเมื่อถึงวันนั้นผมคงขาดใจเมื่อคความอบอุ่นนี้หายไป





ผมกลับมาถึงห้องก็เจอเข้ากับผู้อาศัยที่ทำตัวเหมือนเจ้าของห้องไปทุกที มันกำลังนั่งดื่มเหล้าอยู่กลางห้องเหมือนทุกๆวัน ตับมันไม่แข็งหมดแล้วรึไง


ผมเดินผ่านมันเข้าไปในห้องอาบน้ำล้างเหงื่อไคลที่สะสมมาทั้งวัน ก่อนจะออกมาหาอะไรกิน ผมจัดการเวฟข้างกล่องที่มันซื้อมาจากในซุปเปอร์เมื่อหลายวันก่อนโดยไม่ขออนุญาตเจ้าของที่แท้จริง


"ถ้ามึงไม่อาบน้ำคืนนี้นอนที่โซฟานะ" ผมเดินถือจานข้าวที่เวฟเสร็จแล้วมายังโซฟา ก่อนจะเอ่ยปากร้องบอกคนขี้เมาที่นั่งดราม่าอยู่กับขวดเหล้า


"เออ" น้ำเสียงแบบนี้คาดว่าคงมีเรื่องในใจ


"เป็นไรวะ" ผมถาม


"เปล่า" มันตอบ


ในเมื่อเจ้าตัวบอกว่าไม่มีอะไรผมก็ไม่เซ้าซี้เพราะไม่ใช่นิสัยของผมอยู่แล้วที่จะไปถามโน้นนี่นั้นเรื่องของคนอื่น เราต่างฝ่ายต่างนั่งกันเงียบๆในมุมของแต่ละคนผมก็นั่งทานข้าว ส่วนมันก็นั่งดื่มเหล้าของมันไปมีเพียงเสียงเพลงที่มันเปิดจากคอมเท่านั้นที่ส่งเสียงขับกล่อมให้ภายในห้องยังพอมีเสียงอยู่บ้างไม่เหงียบเหงาเหมือนอยู่ในป่าช้า


"มึงคิดว่าคนเราจะผูกพันธ์กันจนกลายเป็นความรักได้ไหมวะ" เสียงคนใกล้เมาเอ่ยถามผม


"อาจจะ" ผมตอบก่อนจะลุกขึ้นเดินไปล้างจานที่เพิ่งกินหมด  "ถามทำไมวะ"


อีกฝ่ายทำสีหน้าลังเลเหมือนมีเรื่องอะไรในใจ "ไม่มีอะไรว่ะ"


"ทำไมไปแอบรักใครเขาอีกรึไง" ผมเดินกลับมายังกลางห้อง ใช้เท้าเขี่ยๆอีกฝ่ายที่นั่งอยู่ที่พื้นให้เขยิบพื้นที่ให้ผมได้นั่งบ้าง


มันขยับตัวเว้นพื้นที่ให้ผม ก่อนจะจ้องหน้าผมเขม็ง "ประมาณนั้น" ผมนั่งลงข้างมัน  "ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่"


"ใครวะ มึงลืมธูปหมดใจแล้วรึไง" วันก่อนเมาเหล้ายังพร่ำเพ้อหาอยู๋เลย


"ต่อให้ไม่ลืมยังไงก็ไม่มีทางรักกัน แล้วกูจะดันทุรังเพื่ออะไรวะ" มันพูดก็ถูกของมัน


"แล้วคนใหม่เนี่ยใครวะ"  อย่าหาว่าสอดรู้เลยครับ วันๆเห็นมันไปเรียนแล้วก็กลับมาขลุกอยู่ที่ห้อง ผมเลยสงสัยว่าใครที่เป็นคนใหม่ของมัน


"แถวๆนี้แหละ" แถวๆนี้ก็แถวๆหอผมล่ะมั้ง ถึงว่าวันๆขลุกอยู่แต่ที่หอ คงเพราะเหยื่อรายใหม่คงไม่แคล้วคนที่อาศัยร่วมตึกเดียวกัน


ผมนั่งร่วมวงกับมันดื่มกันไปเรื่อยๆจนเริ่มกรึ่มๆมันก็เงยหน้าขึ้นถามผม คำถามของมันทำเอาบรรยากาศดีๆหายวับไปกับตา


"แล้วมึงเลิกรักเทียนมันรึยัง" ผมนั่งนิ่งไม่ตอบอะไรออกไป เพราะผมรู้ตัวดีว่าผมยังรักเทียนอยู่


เลิกรักมันง่ายเหมือนกดปุ่ม Delete อย่างนั้นเหรอ


"เงียบแบบนี้แปลว่ายังรักอยู่" เสียงมันยังคงพูดอะไรของมันไปเรื่อย ผมเองก็ไม่ได้สนใจฟัง  "คนที่รักไม่ได้ยังไงก็รักไม่ได้มึงเข้าใจป่ะวะ ต่อให้มึงพยายามหลอกตัวเองยังไง ความจริงก็คือ รักไม่ได้"


มือผมกำแก้วเหล้าแน่นเมื่อใครอีกคนยังคงพูดต่อไปไม่มีทีท่าว่าจะหยุด คำพูดแต่ละคำกระแทกลงตรงกลางใจผมทุกถ้อยคำ ทุกประโยค มันตอกย้ำในเรื่องที่ผมพยายามหลอกตัวเองมาตลอดว่าสุดท้ายถ้าผมพยายาม เทียนจะกลับมามองเห็นผมบ้าง


แต่สุดท้าย.....ผมแค่หลอกตัวเอง


"กูจะรักหรือไม่รักใครมึงเกี่ยวอะไรด้วยวะ" สุดท้ายความอดทนผมก็หมด เมื่อผมทนฟังคำพูดของมันที่ตอกย้ำใจผมไม่ได้


มันเงยหน้ามายิ้มเยาะผม "มองคนอื่นบ้างก็ดีนะมึง คนที่เขาไม่มีพันธะ จะได้ไม่เจ็บ"


"ความรักมันเปลี่ยนกันได้ง่ายๆรึไง และถึงจะเจ็บก็ตัวกู ใจกู"


"ถ้ามึงอยากเจ็บก็โง่ต่อไปเถอะ ลืมตาแล้วมองคนอื่นเขาบ้างไม่ใช่หลับตาอยู๋แต่ในฝันบ้าบอของมึงแบบนี้!!"


"แล้วจะให้กูมองใคร มึงรึไง ห๊า!!" ผมถามออกไปด้วยไม่คิดอะไร แต่อีกคนกับชะงัก แก้วเหล้าในมือค้างกลางอากาศ


มันหันกลับมาจ้องหน้าผมเขม็ง แววตามันเริ่มเปลี่ยนไปไม่เหลือเคล้าความล้อเล่นให้เห็น


"แล้วเป็นกูไม่ได้เหรอวะ"


"พูดเหี้ยไรวะ เฮ้ย ขยับมาใกล้กูทำไม" ผมร้องลั่นเมื่อมันขยับตัวเข้ามาใกล้ผมจนแทบจะสิงร่างกันอยู่กลางห้อง


"เป็นกูไม่ดีตรงไหน" มันถาม


"ไม่ดีตรงที่เป็นมึงเนี่ยแหละ เขยิบออกไปดิอึดอัด เฮ้ย!!"


นอกจากจะไม่ขยับตัวออกห่างอย่างที่ผมสั่งมันกลับผลักร่างผมนอนราบลงบนพื้นโดยที่ตัวมันตามมาทาบทับไม่ให้ผมได้หนี


"เล่นเหี้ยไรเนี่ย" ถามออกไปแบบนั้นแต่ดูจากสีหน้ามันผมก็รู้ว่ามันไม่เล่น แต่มันกำลัง


เอาจริง......


"กูไม่ได้เล่น" มันตอบกลับมา


"ลุกไปเลยกูหนัก"


"ไม่.....จนกว่ามึงจะบอกว่ากูไม่ดีตรงไหน ทำไมเป็นกูไม่ได้"


"เพราะกูไม่ได้รักมึงไง" ให้มองมันในแบบที่มองเทียน บอกเลยว่าผมจะอ้วก ผู้ชายคนเดียวที่ทำให้ผมรักได้คงมีเทียนคนเดียว ขนาดธูปที่หน้าตาเหมือนกันกับเทียนผมพยายามแล้วแต่ก็ไม่ได้รัก เพราะธูปไม่ใช่เทียน


"มึงดันทุรังไปก็มีแต่เสียใจ"


"เรื่องของกู"


"เราสองคนเข้ากันได้ดีเชื่อกูเถอะ มาวิน" ไม่บ่อยที่มันจะเรียกผมด้วยชื่อจริงแบบนี้ ฟังดูขนลุกแปลกๆ


"แล้วคนใหม่ที่มึงว่ามึงเอาเขาไปไว้ไหนแล้วล่ะ" เพิ่งพูดอยู่หยกๆว่ามีรักใหม่แล้ว ไม่ทันไรกลับมาถามอะไรบ้าๆแบบนี้กับผม


"ก็อยู่ตรงหน้านี่ไง"


ผมอ้าปากค้างกับคำพูดของมัน ผมเนี่ยนะคนที่มัน เอิ่ม......ช่างเถอะอย่าให้ต้องย้ำกันเลย ขนลุก


"เป็นกูไม่ได้เหรอวิน" อย่ามาทำเสียงอ้อนแบบนี้ไม่สมกับตัวมึงเลย


"ฟังกูนะแมนเมือง" ผมใช้น้ำเสียงจริงจังเพื่อให้อีกฝ่ายรู้ว่าผมเริ่ม ซีเรียสกับเรื่องนี้มากๆ  "กูรักมึงไม่ได้"


"รักไม่ได้" มันยิ้ม  "ไม่ได้แปลว่าไม่รัก"


"รักไม่ได้ หรือไม่ได้รัก สุดท้ายปลายทางมันก็คือ 'ไม่' เหมือนกันนั่นแหละ" ผมพยายามดันอกมันให้ลุกออกจากตัวผมแต่ไอ้เวรนี้กลับทิ้งตังลงมาทับร่างผมทั้งร่าง ตัวอย่างกับควายทิ้งตัวลงมาแบบนี้คิดว่าผมไม่หนักเหรอ


"กูเหนื่อยวะวิน"


"แต่กูหนัก ลุกไปได้แล้ว"


"มึงเองก็ไม่มีใคร กูเองก็เข้าใจมึงดีกว่าใคร ทำไมมึงไม่ลองเปิดใจวะ"


"กู ไม่ ใช่ เกย์" ผมเน้นย้ำทีละคำ


มันผงกหักขึ้นมามองหน้าผม สายตาแมร่งบ่งบอกว่ากวนตีนมาก  "ไม่ใช่เกย์แต่ชอบผู้ชาย นิยายมากเหอะมึง"


ผมหันหน้ามองฝ้ามองเพดานก่อนจะอ้อมแอ๋มตอบมันกลับไปไม่เต็มเสียงนัก


"ผู้ชายคนเดียวที่กูรักก็คือเทียน คนอื่นกูทำใจให้รักไม่ได้วะ"


มันทำหน้าสลดลงไปนิดก่อนจะพูดกับผมอย่างอ่อนใจ  "กูไม่รู้ว่าเริ่มรู้สึกกับมึงตอนไหน รู้ตัวอีกที่ในหัวกูก็มีแต่เรื่องของมึงเต็มไปหมด กูพยายามคิดว่ามันเป็นเพราะเราอยู่ใกล้กัน เป็นเพราะเจอกันทุกวัน แต่กูรู้ว่าจริงๆมันไม่ใช่........



.......ความใกล้ชิดมันทำให้กูแค่หวั่นไหว แต่เพราะเป็นมึงที่กูรู้สึกดี"



ผมรู้สึกงงๆในหัวตื้อๆคิดอะไรไม่ออกชั่วขณะ ในอกมันฟูฟ่องพองๆแปลกๆ ผมว่าผมเริ่มพูดไม่รู้เรื่องแล้วนะเนี่ย



"มึงก็รู้ว่ากู......วิ่งตามความรักมาตลอด ตอนนี้กูเหนื่อยแล้ว กูไม่อยากวิ่งตามมันอีกแล้ว"


ผมเหนื่อยที่ความรักไม่เคยหยุดรอผมสักครั้ง


ผมเหนื่อยจริงๆ


"กูอยู่ตรงนี้ มึงไม่ต้องวิ่งตามใครอีกแล้ววิน เราจะเดินไปด้วยกัน เหนื่อยก็นั่งพักมีแรงค่อยลุกเดินใหม่ ดีไหม"


ทำไมหน้ามันร้อนๆจังวะ


"ม ไม่รู้"


จุ๊บ


"เฮ้ย!! ทำไรวะ" ผมยกมือถูแก้มตัวเองทันทีที่มันเอาปากมาโดน


"หอมแก้มไง ไม่รู้จักเหรอ" ไม่ใช่ ไม่ใช่หอมแก้ม มันเป็น เอ่อ เป็นปากโดนแก้ม


ถ้าไม่อยากระเห็จออกจากห้องอย่าทำแบบนี้อีก" ผมผลักมันสุดแรงก่อนจะเดินปึงปังเข้าห้องนอน


เสียงมันตะโกนตามหลังมา "เฮ้ย เขินเหรอมึงหน้าแดงเชียว"


ผมเปิดประตูออกมาตะโกนกลับไป "นอนนอกห้องไปเลยไป๊!!"  พร้อมกับปิดประตูล็อคกลอนเพื่อกันไม่ให้มันเข้ามา


ผมยืนพิงประตูยกมือขึ้นกุมอกตัวเอง


ตึก ตึก ตึก


เสียงหัวใจเต้นแรงจนกลัวว่ามันจะทะลุออกมานอกอก ผมใจเต้นกับคนอย่างมันเนี่ยนะ


ไม่มีทาง............

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ ▶August5th◀

  • it was fate
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +184/-2
ตามอ่านทันแล้วววววว

หวั่นไหวๆๆ ตอนล่าสุดนี่อ่านไปละเขิลแทนวิน
แมนหอมแก้มวินด้วยอะ แอบลุ้นคู่นี้อยู่นะครับ 555

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12
ยอมรับซะเถอะวิน
เดี๋ยวอดลงจากคานไม่รู้ด้วยนะ 5555

ออฟไลน์ black sakura

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1657
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-8
อร้ายยยยยเขินแรงอ่ะดิตัวเธอววว

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ❁INDY_FAMILY❁

  • -ทำไมต้องเดินตามรอยเท้าใคร เราสามารถสร้างรอยเท้าของเราเองได้-
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 608
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-12
ผมไม่ใช่พ่อเด็ก 
ตอนที่ ๔๐ หลอกใช้



-มาวิน-


หลังจากวันนั้นผมก็ทำตัวให้ยุ่งเข้าไว้ งานอะไรที่บริษัทผมรับมาทำแทบทั้งหมด ไหนจะงานที่ต้องทำส่งอาจารย์อีก ผมแทบไม่มีเวลากินข้าวทำงานจนเพื่อนๆทักว่าผมจบไปคงนั่งแท่นผู้บริหารได้เลย ผมมีเหตุผลที่ต้องทำ เพราะผมไม่อยากปล่อยให้ตัวเองมีเวลาว่าง เหตุผลเพราะผมไม่อยากนึกถึงเรื่องวันนั้น


วันที่มันขอร้องให้ผมมองมันในฐานะผู้ชายคนนึง มองมันเหมือนที่มองเทียน พอคิดถึงตอนที่มันเอาปากมาโดนแก้มผมแล้ว รู้สึกหน้าร้อนแปลกๆใจเต้นโครมครามจนกลัวว่าใครต่อใครจะได้ยิน ผมจึงต้องเลี่ยงไม่เจอหน้ามันและพยายามทำตัวให้ยุ่งเพื่อที่จะลืมขอเสนอของมัน


ข้อเสนอที่ผมไม่มีวันให้มันได้


ผมกับมันไม่มีทางเป็นได้มากกว่ารูมเมท สถานะของเราเป็นได้แค่นี้ก็ดีมากพอแล้ว เพราะผมรู้ว่าถ้าวันใดวันนึงเราสองคนก้าวข้ามสิ่งที่ขีดไว้นี้เมื่อไหร่ ผมจะยึดมันไว้กับผมเพียงคนเดียว ผมจะเห็นแก่ตัว ผมรู้เพราะตั้งแต่เล็กจนโตเมื่อผมรักใครเขาก็มีอันต้องจากผมไปทั้งนั้น และเมื่อมันเสนอตัวว่าผมรักมันได้จะแปลกอะไรถ้าผมจะยึดมันไว้คนเดียว แต่เพราะความกลัวที่มีมากกว่าสุดท้ายผมจึงต้องหันหลังให้กับสิ่งที่มันเสนอ


ตอนนี้เขากลับมาจากสิงคโปร์กับน้าพีแล้ว แต่เขาก็ทำงานหนักเสียจนเราไม่ค่อยได้ใช้เวลาร่วมกัน ผมโหยหาความรักมาตั้งแต่เด็กๆแต่ผมไม่รู้วิธีรักษามัน ถ้าวันนึงความรักที่ทุกคนพร้อมจะหยิบยื่นให้ผมทำหลุดมือไป ผมไม่รู้ว่าจะเสียใจมากแค่ไหน จะทนอยู่คนเดียวได้เหมือนที่ผ่านมารึเปล่า


ดังนั้นอย่ารักกันเสียตั้งแต่ตอนนี้จะดีกว่า


เพราะผมคงรักษาความรักได้ไม่ดีพอ


"กลับมาดึกขนาดนี้ถ้าไม่บอกว่าทำงานที่บริษัทกูคงคิดว่ามึงหลบหน้ากู"


ผมสะดุ้งเมื่อไฟในห้องเปิดขึ้นทันทีเมื่อผมเปิดประตู พร้อมกับใครอีกคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ผมมองนาฬิกาที่บอกเวลาตีสองพอดี ปกติถ้ามันไม่เมาหลับคาโซฟามันก็ออกไปสังสรรค์กับเพื่อนในกลุ่ม หรือไม่ก็เข้านอนแล้ว แต่ทำไมวันนี้มันจึงมายืนเสนอหน้าอยู่ตรงนี้ในตอนนี้


ตอนที่ผมไม่พร้อมจะเจอที่สุด


"งานเยอะหน่ะ" ผมตอบ


"เมื่อคืนทำไมไม่เข้าไปนอนในห้อง" เดินตามผมเข้ามาถึงหน้าห้องน้ำ


"เหนื่อยเลยหลับไป" ผมโกหกคำโตออกไป เหตุผลจริงๆคือผมอยากอยู่ห่างจากมัน กลัวความใกล้ชิดจะวกกลับมาทำร้ายตัวเอง


"โกหก!!" มันตะคอกกลับมาทันควัน


ผมหันกลับไปมองมันด้วยสายตาที่ว่างเปล่าพยายามทำตัวเย็นชาไม่แสดงพิรุธอะไรออกมาให้มันเห็น


"กูเหนื่อย อยากพัก" ผมบอก และมันไม่มีทีท่าว่าจะเดินออกไปจากห้อง  "คนเดียว" ผมย้ำอีกครั้งด้วยเสียงที่บ่งบอกว่าเริ่มไม่พอใจ


เรายืนจ้องตากันอยู่นานผมเองก็ไม่ยอมส่วนมันก็ดื้อรั้น เกมส์จ้องตาไม่มีวี่แววว่าจะจบลงง่ายๆเมื่อเราทั้งคู่ยังคงยืนจ้องตากันอย่างไม่มีใครยอมใคร


สุดท้ายเป็นผมเองที่แพ้ ผมหลบตาเสมองไปทางอื่น "กูง่วงแล้ว และเหนื่อยด้วยกูอยากนอนบนเตียงสบายๆ"


"กูนอนพื้นข้างๆมึงก็ได้" มันไม่พูดเปล่าเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบที่นอนปิคนิคที่ผมไปเล่นปาโปงในงานวันดกับเทียนออกมาปูลงตรงข้างเตียง


"ทำอะไร" ผมถาม


"ก็กลางที่นอนไง" ผมตอบหน้าซื่อ


"กูหมายถึงมึงเอามันออกมาทำไม"


มันหันมองหน้าผมทำเหมือนผมโง่มากที่ถามอะไรแบบนี้  "มึงจะนอนก็นอนไปดิวะ กูไม่กวนมึงหรอก"


มันทิ้งตัวลงบนที่นอนปิคนิคข้างเตียงผมล้วงเอาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงออกมาเล่นโดยไม่สนใจผมที่ยืนหน้าหงิกอยู่ตรงปลายเท้ามัน


"ออกไปนอนข้างนอก!!" ผมตวาดมันลั่นอย่างลืมตัว เพราะผมกลัวใจตัวเองจะเจ็บอีกจึงต้องทำเสียงดังกลบเกลื่อน


มันลุกขึ้นมองหน้าผมเหมือนไม่พอใจแต่มันไม่พูดอะไรนอกจากเดินออกจากห้องไปเงียบๆ


ผมล้มตัวลงนอนที่นอนปิคนิคนั้น ความอบอุ่นยังคงมีอยู่ กลิ่นกายยังคงมีให้ได้กลิ่นจางๆ แต่ความกลัวของผมมันมีมากกว่า พอคิดได้ดั่งนั้นผมก็ลุกขึ้นไปนอนที่เตียง ยกแขนขึ้นโอบกอดตัวเองมันไม่อุ่นแต่ปลอดภัยเพราะผมไม่มีวันทำร้ายตัวผมเอง ยังไงก็ไม่มีทางเจ็บเพราะตัวเองแน่นอน


วันนี้หลังเลิกเรียกผมก็ต้องรีบมาทำงานที่บริษัท หลังจากโหมงานทำอาจารย์จนแทบไม่ได้นอน เกือบเดือนแล้วที่ผมหลบหน้ามันอยู่ทำงานที่มหาลัยกินนอนห้องเพื่อน ผมไม่ได้เข้าบริษัทเขาเองก็รู้เพราะผมต้องทำงานส่งอาจารย์ คณะผมตัวสอบไม่เยอะแต่คะแนนงานมันสามารถตัดสินได้เลยว่าห้าปีในรั้วมหาลัยผมจะอยู่หรือไป ดังนั้นผมจึงต้องทุ่มเทกับมันเต็มที่



"ถ้าพ่อเลิกงานเร็วเราไปทานข้าวกันนะลูก" เขาบอกผมหลังจากได้รับโทรศัพท์ให้ไปดูงานที่ชลบุรี


"ครับ" ผมตอบรับ


"รอพ่อนะวิน" เขาลูบหัวผม  "พ่อรักลูกมากนะ ลูกรู้ใช่ไหม" เขายิ้มให้ผม เขาดูอิดโรยและอ่อนล้ามาก คงเพราะทำงานหนักเพื่อผม


"ครับ ผมรู้" เขายิ้มอย่างดีใจ บอกลาผมและรีบออกไปดูบริษัทกับน้าพี


แม่ครับดีใจกับวินไหมที่วินกำลังจะได้ครอบครัวได้รับความสุขที่วินร้องหามาทั้งชีวิต วินคิดถึงแม่นะครับ วินอยากให้แม่อยู่ตรงนี้ตรงที่วินที่ความสุข อยากให้เราอยู่เป็นครอบครัวกันอีกครั้ง


มีคนเคยพูดไว้ว่าความสุขมักผ่านไปเร็วเสมอ


ผมได้รับโทรศัพท์จากโรงพยาบาลในคืนวันนั้นเขาและน้าพีประสบอุบัติเหตุคนเมาขับรถตัดหน้า เข้าขับรถไปดูบริษัทกับน้าพีสองคนขากลับเขาเป็นคนขับ และเพราะความรักที่เขามีต่อน้าพีมาก รักกว่าชีวิตตัวเองเขาจึงหักพวงมาลัยเอาฝั่งที่เขานั่งอยู่กระแทกกับต้นไม้อย่างแรง เขาหมดสติในที่เกิดเหตุจนตอนนี้อยู่ในห้องผ่าตัดยังไม่ออกมา


ผมมาถึงโรงพยาบาลได้อย่างไรไม่รู้เหมือนกัน ความทรงจำสุดท้ายที่จำได้คือผมยืนถือโทรศัพท์ค้างอยู่กลางห้อง น้ำตามันไหลออกมาช้าๆอย่างไม่รู้ตัว พอได้สติผมก็มาอยู่ที่นี่แล้ว ผมยืนนิ่งมองเข้าไปในห้องผ่าตัดภาพหมอและพยาบาลวิ่งวุ่นกันทำเอาใจผมเสีย ภาพตรงหน้าถูกบดบังไปด้วยน้ำตา น้าพีที่มีผ้าพันแผลอยู่ที่ศรีษะเดินเข้ามากอดผมร้องไห้สะอึกสะอื้นโทษตัวเองสารพัดแต่คำพูดเหล่านั้นไม่เข้าหูผมเลยแม้แต่นิดเดียว


ตำรวจบอกว่าเขาค่อนข้างอาการหนักสภาพรถพังยับเยินยังดีที่เขาคาดเบลล์แต่ก็ติดอยู่ในรถจนต้องรถเครื่องตัดถ่าง เขาหมดสติเพราะศรีษะกระแทกอย่างแรง เป็นตายเท่ากัน


คำนี้ทำเอาผมทรุดลงไปกองกับพื้น


ผมห่วงคนที่อยู่ในห้องนั้นทำไมเขาเข้าไปนานจัง ทำไมผมจึงมีความสุขอย่างใครเขาไม่ได้เลยหรือไง ทำต้องพรากความสุขไปจากผมด้วย แม่ครับแม่ช่วงเขาด้วยนะครับ อย่าให้ใครเอาตัวเขาไป อย่าให้วินต้องอยู่คนเดียวเลยนะครับ


วินเหงาเหลือเกิน



"วินลุกขึ้นมานั่งดีๆเถอะ" ความอบอุ่นที่โอบรอบตัวผมทำให้ได้สติ ผมหันไปมองเจ้าของมือก็เจอกับผู้อาศัยร่วมห้องกับผม


ตอนนี้ผมต้องการหลักยึด ผมยืนไม่ไหวผมไม่มีแม้แต่แรงหายใจสติที่มีก็ลางเลือนเต็มที จึงทำให้ผมผมไม่ได้ตรองว่าสิ่งที่กำลังทำต่อไปนี้มันไม่สมควร


"แมนเขาอยู่ในนั้น เขาจะเป็นอะไรไหม" ผมโผเข้ากอดมันแน่นร้องไห้สะอื้นจนตัวโยน มันโอบกอดผมเอาไว้ลูบหลังปลอบผมว่าคนที่ผมห่วงจะไม่เป็นอะไร


"พ่อมึงเขาต้องปลอดภัย"


"แต่เขาเข้าไปนานแล้วนะ กูเป็นห่วงเขา" น้ำตาผมไหลออกมาไม่หยุด ผมซบหน้าลงบนบ่ามัน ถึงผมจะสูงกว่ามันแต่ตอนนี้ผมดูตัวเล็ก และอ่อนแอจนถึงขีดสุด


"น้าขอโทษ ถ้าคุณภาคไม่ขอขับรถเองเพราะนัดกับวินเอาไว้" น้าพีหยุดพูดเพราะปล่อยโหออกมาเมื่อคิดว่าทั้งหมดคือความผิดของตนเอง


ผมผละออกจากอกมันหันไปดึงตัวน้ามากอด น้าพีตัวสั่นคงกลัวไม่แพ้ผมเหมือนกัน  "น้าไม่ผิดหรอกครับ อย่างโทษตัวเองเลยนะ" น้าพีส่ายหัวอยู่ตรงอกผม พร่ำบอกว่าเขาไม่ค่อยได้นอนเพราะอยากเร่งทำงานเพื่อให้ได้อยู่กับผม


ทำไมต้องทำเพื่อผมขนาดนี้ด้วย ทำไมต้องทำอะไรให้ผมมากมายขนาดนี้


ผมหันกลับไปหาความอบอุ่นอีกครั้งหลังจากที่น้าพีดูสงบลง มันอ้าแขนรับตัวผมทั้งตัว เรายืนกอดกันอยู่หน้าห้องนั้น เขาเข้าไปนานจนใจผมไม่ดี นึกกลัวไปทุกอย่าง กลัวว่าสุดท้ายแล้วผมจะอยู่คนเดียว


ผมผละออกจากความอบอุ่นนั้นเมื่อคิดว่าตัวเองเริ่มยืนไหว มันปล่อยให้ผมนั่งลงข้างๆน้าพี ผมโอบบ่าน้าและกดศรีษะน้าให้ซบที่ไหล่ผม น้าพีต้องการหลักยึดไม่แพ้ผมอาจจะมากกว่าผมด้วยซ้ำ น้ากำลังอ่อนแอไม่แพ้ผมหรืออาจจะมากกว่าผม แต่ผมก็เสียใจไม่แพ้น้าพีเหมือนกัน


"แกทำหน้าที่ของแกยังไงลุกชายฉันถึงเป็นแบบนี้" เสียงด่าทอดังลั่นทางเดินโดยไม่คิดจะเกรงใจใคร


เพลี้ย!!


เสียงฝ่ามือกระทบใบหน้าของคนที่ผมโอบกอดอยู่บนเก้าอี้ น้าพีโดนย่ากระชากให้ลุกขึ้นก่อนจะตบเข้าที่หน้าของน้าอย่างแรง


"ย่า" ผมดึงตัวน้าพีมาหลบที่ด้านหลัง ใช้ร่างกายที่ใหญ่โตของตัวเองบังน้าเอาไว้ ปู่และย่ามองมาที่น้าพีเหมือนเป็นตัวอะไรสักอย่างที่น่ารังเกลียด


หลังจากที่เรายืนเงียบกันอยู่นานตาและยาย ตามด้วยลุงภัทรที่มากับผู้ญิงคนใหม่ของลุง ผมยกมือไหว้ผู้ใหญ่ทุกคนตรงหน้า พวกท่านลูบหน้าลูบตาผมถามสารทุกข์สุขดีที่ไม่ได้เจอผมมานาน โดยที่ทุกคนลืมไปว่าคนที่เจ็บจากเหตุการณ์รถชนนั้นไม่ใช่ผม


แต่เป็นน้าพี


ตายายไม่มองหน้าน้าพี ไม่แม้จะแลสายตามามองลูกชายตัวเองที่บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย ส่วนปู่และย่านั้นไม่ต้องพูดถึงท่านทั้งสองคนโทษว่าทั้งหมดเป็นความผิดของน้าพี กล่าวโทษตั้งแต่เหตุการณ์ครั้งหลังกล่าวโทษว่าน้าพีคือตัวซวยที่ฉุดชีวิตลูกชายของพวกท่านให้ตกต่ำ น้าพีก้มหน้ารับทุกคำกล่าวหาไม่เคยโต้แย้ง และตายายเองก็ไม่เคยยื่นมือมาช่วยเหลือ เพราะท่านทั้งสองคนเห็นพันธมิตรทางธุรกิจสำคัญกว่าเลือดเนื้อของตนเอง



ผมเดินเข้าไปหาน้าพีกุมมือเล็กๆนั้นผมยิ้มให้น้า บอกน้าว่าผมอยู่ตรงนี้ อยู่ข้างน้าตลอดมาและตลอดไป ผมจะไม่มีวันทิ้งให้น้าต้องแบกรับเรื่องบ้าๆนี้คนเดียวอีกแล้ว


"ตาวินมาหาย่า" ย่าเสียงแข็งเมื่อเห็นผมนั่งให้กำลังใจน้าพี


"ตาวินย่าสั่งให้มาหาย่าเดี๋ยวนี้!!" ย่าตะเบ็งเสียงออกคำสั่งเมื่อเห็นว่าผมยังนั่งอยู่ทีเดิม


"ไปหาย่าเถอะวิน น้าไม่เป็นไร" น้าพียิ้มและพยักหน้าให้ผมไปหาคนที่ยืนตัวสั่นเมื่อผมขัดคำสั่งท่าน


"ไม่อ่ะ ผมจะอยู่กับน้า"


"แกกล้าขัดคำสั่งย่ารึไงตาวิน!!" ปู่ตะคอกถามโดยไม่เกรงใจว่าสถานที่ที่เราอยู่นั้นต้องการความเงียบสงบ


"ผมไม่ได้ขัดคำสั่ง แต่ผมไม่เคยทำตามคำสั่งใครอยู่แล้ว" ผมหันกลับไปตอกใส่หน้าพวกเขา


ย่ากระฟัดกระเฟียดเดินเข้ามาทุบตีน้าพี ปากก็ด่าว่าน้าพีสารพัดหาว่าน้าพีเสี่ยมให้ผมแข็งข้อกับพวกท่าน ผมทนมองภาพนั้นไม่ไหวเดินไปแยกย่าและน้าออกจากกัน ย่าจะเข้ามาทำร้ายน้าพีแต่ก็กลัวจะทำให้ผมเจ็บไปด้วย สุดท้ายย่าจึงหยุดและเชิดหน้าคอตั้งเหมือนเดิม สลัดคราบแม่ค้าสวมวิญญาณผู้ดีคอตั้งเหมือนเดิม


"คุณดูลูกชายตัวดีของพวกคุณนะ ฉันเริ่มลังเลแล้วสิว่าจะร่วมหุ้นต่อไปหรือจะถอนหุ้นที่มีอยู่ออกไปดี" ย่าพูดกดดันฝั่งตายายของผม


"แกมันตัวซวยทำแต่เรื่อง!!" ตาชี้หน้าด่าน้าพีทันทีเมื่อได้ยินว่าย่าจะถอนหุ้นในบริษัท


"พอสักที!!" ผมตะเบ็งเสียงดังโดยไม่สนใจใครหน้าไหน น้าพีผิดอะไรทำไมต้องด่าและทำร้ายกันขนาดนี้ แค่น้ารักเขามันผิดมากมายเลยหรือไง


"ตาวิน!!" ย่าตกใจที่ผมแสดงกิริยาไร้ความเป็นผู้ดี ย่าคงรับไม่ได้ที่มีหลานสถุนอย่างผม แต่ใครสนพวกท่านสนแต่ตัวเองเท่านั้นแหละ


"ถ้าจะมาชวนทะเลาะก็กลับไปเถอะครับ" ผมบอก


"วินพูดกับพวกท่านดีๆหน่อย ท่านเป็นปู่ยาวินนะ" ลุงภัทรที่เงียบอยู่นานปรามผมขึ้นมา


"ให้ผมพูดดีกับคนที่ไม่เคยมองว่าผมเป็นหลานหน่ะเหรอครับลุง ตั้งแต่แม่ตายกี่ปีมาแล้วที่ผมไม่เคยเจอหน้าคนที่ผมควรเรียกว่าปู่ย่า" ผมปลายตามองผู้ใหญ่สี่คนที่ยืนอยู่ตรงหน้า "ตายาย กี่ปีแล้วครับลุงภัทรที่ผมเห็นหน้าะวกท่านผ่านหนังสือพิมพ์"


"........"


"คนเดียวที่ผมเห็นตอนลำบากก็คือน้าพี คนเดียวที่กอดผมตอนร้องไห้ก็คือน้าพี คนเดียวที่อยู่ข้างๆผมก็คือน้าพี แล้วปู่ย่าตายายของผมอยู่ที่ไหนครับ ไม่ในงานสังคมก็คงสนามกอล์ฟ หรือไม่ก็เมืองนอก"


ผมหัวเราะเหมือนคนบ้าเมื่อเห็นพวกท่านยืนนิ่ง คงเพราะไม่มีข้อแก้ตัวอะไร


เพลี้ย!!


หน้าผมสะบัดไปตามแรงตบที่ปะทะเข้ามามันไม่เจ็บคงเพราะผมด้านชากับเรื่องพวกนี้แล้ว ปู่ตัวสั่นด้วยความโกรธเมื่อเห็นผมแข็งข้อ สุดท้ายท่านก็ลงที่น้าพี กล่วหาว่าน้าพีทำให้ผมเป็นเด็กเหลือขอ


ไอ้แมนมันเดินเข้ามายืนข้างผมตั้งแต่ที่ผมโดนต่อยผมหันไปเห็นมันที่ทำสีหน้าเจ็บปวด ผมโดยต่อยยังไม่แสดงอาการเจ็บปวดเหมือนมันเลย แล้วทำไมมันต้องทำหน้าอย่างนั้น ทำไมต้องทำเหมือนเจ็บแทนผมด้วย


"ตั้งแต่พรุ่งนี้แกต้องย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านฉัน" ปู่ร้องสั่ง


"ไม่" ผมปฏิเสธ


"ไอ้วิน!!" เมื่อไม่ได้อย่างใจปู่ก็ออกคำสั่ง  "ฉันขอสั่งแกถ้าไม่อยากให้น้าสุดที่รักของแกเป็นอะไรล่ะก็ พรุ่งนี้แกต้องย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านฉัน และเตรียมตัวหมั้นกับหนูแก้ว"


"ผมไม่ทำตามคำสั่งคุณ"


การที่ท่านทั้งสี่เดินทางมาที่นี่ไม่ใช่เป็นห่วงลูกหลานตัวเอง แต่พวกท่านรู้ว่าผมต้องมาและพวกท่านก็วางแผนไว้แล้ว ปูทางโดยจับผมใส่พานให้ลูกหลานนักธุรกิจเพื่อผลประโยชน์ เหมือนครั้งที่แม่ผมถูกกระทำมากก่อน


"แกเป็นหลานฉัน ต้องตอบแทนบุญคุณฉัน" ในเมื่อบัคับไม่ได้ปู่ก็เรียกร้องบุญคุณที่ผมไม่เคยได้รับ


"พวกคุณทำอะไรให้ผมอย่างนั้นเหรอครับ" ผมย้อนถาม จะไม่มีการอ้อนข้อให้พวกท่านมาบงการชีวิตผมแน่นอน ชีวิตเป็นของผมไม่ใช่ของใคร


"ถ้าสั่งฉันให้หมั้นแกก็ต้องหมั้น" ตาเสริมทัพเข้ามาช่วย ผมว่าครอบครัวคู่หมั้นของผมคงร่ำรววยและมีอำนาจมาก ไม่อย่างนั้นท่านทั้งสี่คนคงไม่สละเวลาอันมีค่าเพื่อเดินทางมาที่นี่แน่นอน


"ผมคงทำอย่างที่พวกท่านต้องการไม่ได้"


"ทำไม" พวกท่านถามด้วยความสนใจ


"เพราะผมมีคนรักอยู่แล้ว" ผมโกหกเพราะไม่รู้ว่าจะเอาเหตุผลอะไรมาอ้าง ในหัวคิดได้แค่เรื่องนี้เท่านั้น


"มันเป็นใคร"


ผมไม่ตอบแต่หันไปมองมันที่ยืนอยู่ข้างผม ก่อนที่สมองจะคิดอารมณ์มันก็เดินนำหน้าไปก่อนแล้ว ผมยกมือกุมใบหน้ามันก่อนจะกดริมฝีปากบดจูบมันโดยไม่สนเสียงกรีดร้องของใคร มันยืนอึ้งอยู่สักพักก่อนจะสอดลิ้นเข้ามาในปากของผม มันยกมือกอดเอวผมเอาไว้ มันขบเม้นปากผมดูดลิ้นผมอย่างอารมณ์ดี


ผมผละจูบจากมันอย่างอ้อยอิ่งหันไปสบตากับผู้ใหญ่ที่ยืนอึ้งตาค้างกันตรงหน้า


"ผมเป็นเกย์ และเป็นเองไม่เกี่ยวกับน้าพี" ผมดักทางเมื่อเห็นว่าย่าจะพุ่งเข้ามาทำร้ายน้าพีที่ยืนอึ้งอยู่ด้านหลังผม


"เป็นได้ก็เลิกได้ ตอนพ่อแกฉันยังทำได้คราวแกฉันก็ทำได้เหมือนกัน" ปู่เบนสายตาหันไปมองมันที่ยืนข้างผม


"......."


"คราวพ่อแกฉันยังใจดีเพราะอย่างน้อย ก็เป็นน้องชายของแม่แก และเป็นลูกของคนที่ฉันจะทำธุรกิจด้วย แต่คราวนี้"


ปู่ยิ้มมุมปาก


"ฉันไม่เก็บไว้แน่นอน" ผมจบก็เดินกลับไป ตามด้วยย่าลุงภัทรและผู้หญิงของลุง


ตายายส่ายหน้าช้าๆก่อนจะเดินตามหลังไป น้าพีนั่งจับแขนผมขอโทษที่ปกป้องผมไม่ได้ ผมนั่งลงที่เก้าอี้พร้อมน้าพีและมันที่ยิ้มห่าอะไรก็ไม่รู้


"วินไม่ได้เป็นอะไรกับมัน" ผมบอกเมื่อน้าพีกำลังจะเอ่ยปากถาม


"อ้าว" น้าพีทำหน้างง


"วินคิดอะไรไม่ออกเลยโกหกไป ขอโทษ" ผมบอกน้าก่อนจะหันไปพูดกับมัน


มันไม่พูดอะไรกับผมหันหน้าหนีแต่ไม่ได้ลุกไปไหน น้าพีบอกกับผมว่าปู่ทำได้ทุกอย่างท่านมีอำนาจมืดอยู่ในมือ ที่น้าต้องไปเมืองนอกก็เพราะโดนคุกคาม ปู่ยังใจดีเพราะเห็นว่าเป็นน้องชายของแม่ แต่กับมันที่ไม่ได้มีความสัมพันธ์กัน น้าพีเป็นห่วงว่าผมจะดึงมันเข้ามาในเกมส์ธุรกิจ


"ผมขอตัวไปโทรศัพท์ก่อนนะครับ" มันบอกก่อนจะลุกขึ้นเดินเลี่ยงไป


"ถ้าไม่ได้คิดอะไรกับเขา วินควรบอกปู่นะไม่อย่างนั้นเพื่อนวินอาจจะตกอยู่ในอันตราย"


ผมหันมองตามร่างสูงใหญ่ที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู๋ไม่ใกล้ไม่ไกล ถ้ามันเป็นอะไรไปผมคงรู้สึกบาปที่ดึงคนที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาเดือดร้อน ถึงเวลาที่ผมกับมันต้องจากกันจริงๆแล้วสินะ ทำไมแค่คิดผมถึงได้เจ็บในอกขนาดนี้

ออฟไลน์ black sakura

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1657
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +67/-8
ปู่ย่าตายายช่างร้ายนักทั้งๆที่เห็นตัวอย่าง
ของลูกแท้ๆของตัวเองแล้วว่ามันไม่ได้เป็น
ผลดีพอรุ่นหลานยังมาบังคับแบบเดิมอีก
ช่างเป็นคนที่เห็นแก่ตัวจริงๆจะตายวันตาย
พรุ่งยังไม่รู้แกขนาดนั้นแทนที่จะคิดได้

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12
ซวยละงานนี้

ออฟไลน์ ❁INDY_FAMILY❁

  • -ทำไมต้องเดินตามรอยเท้าใคร เราสามารถสร้างรอยเท้าของเราเองได้-
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 608
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-12
ผมไม่ใช่พ่อเด็ก 
ตอนที่ ๔๑ กอด


หลังจากเหตุการณ์วันนั้นที่โรงพยาบาลผมก็ไม่ได้เจอหน้ามันอีก มันหายไปเลยไม่กลับมานอนที่ห้องไม่เคยมาให้ผมเห็นหน้า และผมก็ไม่รู้จะไปตามมันที่ไหน เพราะผมไม่สามารถติดต่อมันได้เลย ไม่มีสักทาง สุดท้ายกว่าจะรู้ตัวว่าผมเคยชินกับการที่มีมันอยู่ข้างๆก็ตอนที่มองไปทางไหนก็ไม่เห็นมันแล้ว กลิ่นของมันที่อยู่รอบตัวจางและหายไปตามกาลเวลาแต่ภาพของมันกลับชัดเจนจนผมหวั่นใจ สุดท้ายหัวใจผมก็ทรยศตัวเองเสพติดความเคยชินจนขาดมันไม่ได้


เพิ่งรู้ตัวว่าขาดมันไม่ได้ก็ตอนที่เสียไปแล้ว และไม่รู้ว่าจะไปตามหามันได้ที่ไหน ผมไปนั่งรอที่คณะก็ไม่เจอถามหากับเพื่อนๆของมันก็ปิดปากเงียบกันทุกคน ไม่มีใครบอกอะไรกับผมเลยสักอย่าง มันทรมานนะกับการที่เราโหยหาแต่ไขว่คว้าเอาไว้กับตัวไม่ได้


สุดท้ายก็ว่างเปล่า......


ความรักมันน่ากลัวอย่างนี้นี่เอง ใช่ความรัก ผมรู้ตัวว่ารักมันก็ตอนที่มันหายไปจากผมแล้ว จากไปโดยไม่ลาสักคำ ทำไมเวลาผมรักใครทุกคนต้องหายไปจากผมทุกครั้ง








ผมมาเยือนเขาที่โรงพยาบาลอาการเขาดีขึ้นมากแต่หมอยังไม่อนุญาตให้กลับบ้านได้ยังคงต้องตรวจอย่างละเอียด น้าพีดูแลเขาอย่างดีบริการทุกอย่างทั้งตัดเล็บ สระผม พาไปเดินเล่น อ่านหนังสือพิมพ์ให้ฟังทุกเช้าจนผมที่มองดูภาพนั้นยังตื้นตัน เวลาเรารักใครสักคนเราก็อยากทำอะไรดีๆเพื่อเขา ดูแลกันไปยามเจ็บป่วย อิจฉานะที่เขามีคนรักอย่างน้าพี ผมนั่งมองภาพนั้นซึมซับมันเอาไว้เพราะในชีวิตผมคงไม่มีวันเจอความรักดีๆแบบเขาและน้าพีหรอก


"วินลูก" เขาผงกหัวขึ้นมาเรียกผม ระหว่างที่เราทั้งสามคนกำลังดูข่าวกันในช่วงเย็น


"ครับ" ผมลุกเดินไปหาเขาที่นอนอยู่บนเตียง


"เรื่องที่ปู่กับย่าพูดลูกอย่าไปคิดมากเลยนะเดี๋ยวพ่อจะจัดการทุกอย่างเอง"


เขาจับมือผมบีบมันเบาๆเหมือนต้องการจะบอกให้ผมเชื่อใจเขาว่าเรื่องทั้งหมดเขาสามารถจัดการมันได้


"คุณจะทำยังไง" ผมถามด้วยความข้องใจ นั่นคือพ่อแม่เขาคือคนที่เคยบังคับเขาทำลายชีวิตเขามาแล้ว และเขาจะทำยังไงจะงัดกับบุพการีตัวเองเพื่อผมเหรอ


"พ่อจะทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกมีความสุข" คำพูดของเขามันหนักแน่น และผมเองก็เชื่อว่าเขาทำได้อย่างที่พูด


"ครับ วินเชื่อใจพ่อ"


ผมเชื่อใจเขาผมเชื่อว่าเขาทำเพื่อผมได้ เชื่อว่าเขายอมทิ้งทุกอย่างและทุกคนได้เพื่อผม


ผมเชื่อ


และมันก็ถึงเวลาแล้วที่ผมจะเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ เริ่มจากการยอมรับเขา เรียกเขาว่า 'พ่อ' อย่างที่ควรจะเรียกมานาน


".........." เขาและน้าพีดูตกใจกับประโยคที่ผมเพิ่งเอ่ยออกมา น้าพีถึงกับทำช้อนหล่นลงพื้น ส่วนเขาก็ตาแดงๆปริ่มจะร้องไห้


ผมว่ามันถึงเวาลาแล้วที่ผมจะปล่อยวางและทิ้งทิฐิที่กัดกินใจผมมานานนับปี ถึงเวลาที่ผมต้องเริ่มใหม่กับคำว่าครอบครัวจริงๆเสียที


"วิน" เขาตาแดงๆ จับมือผมแน่น มือเขาสั่น "ขอบใจนะลูกที่ยอมรับพ่อขอบใจจริงๆที่เชื่อใจพ่อ  ขอบใจนะลูก"


"ครับ" เราสามคนยิ้มให้กัน มันเป็นรอยยิ้มที่ยิ้มมาจากใจไม่ได้ฝืนหรือแสร้งทำ ถือว่าผมเริ่มต้นมันด้วยดีล่ะนะ






หลังจากนั้นไม่นานพ่อก็ออกจากโรงพยาบาลถึงจะไม่ชินกับคำว่า 'พ่อ' แต่ผมก็พยายามพูดและปรับตัวเพื่อให้ทุกอย่างระหว่างเราดีขึ้น


พ่อเข้าไปพบปู่ที่บ้านใหญ่ทันทีเพื่อพูดเรื่องของผม ปู่โวยวายด่าทอสารพัด อ้างบุญคุณทุกอย่างที่สร้างมาเพื่อลูกหลาน สุดท้ายพ่อก็ทำตามที่สัญญากับผมเอาไว้จริงๆ พ่อยกหุ้นของพ่อคืนให้ปู่เมื่อปู่ไม่ยอมที่จะยกเลิกงานหมั้น พ่อประกาศกร้าวตัดขากเดินออกมาจากตระกูลนั่นมาแต่ตัว ปู่ไม่รั้งเพราะคิดทนงว่าอย่างไรพ่อก็ต้องซมซานกลับมา และสุดท้ายปู่ก็จะควบคุมพวกเราไม่ให้ดิ้นไปไหนได้


แต่ปู่ไม่รู้ว่าที่พ่อและน้าพีโหมงานหนักนั้น เพราะทั้งคู่ปูทางธุรกิจของตัวเองมาพักใหญ่แล้ว พ่อและน้าพีทำธุรกิจโรงแรมอยู่ที่ชลบุรีและหัวหิน ปู่และย่ายังไม่รู้เรื่องนี้ คิดแค่ว่าพ่อเดินออกไปตัวเปล่าปู่คิดว่าพ่อไม่มีทางทำธุรกิจอะไรได้ถ้าปู่ปิดทางทำมาหากินทุกอย่างเส้นสายทุกทางของปู่ที่มีถูกนำมาใช้ตัดแขนตัดขาพ่อทั้งหมด เพื่อให้พ่อเริ่มทำธุรกิจไม่ได้ แต่ปู่คิดช้าไปเพราะพ่อใช้ชื่อปู่เพื่อปูทางธุรกิจของพ่อเรียบร้อยแล้ว จนตอนนี้ธุรกิจอยู่ตัวและไม่ต้องอาศัยบารมีของปู่มาหนุนหลังอีกต่อไป


ปู่กอบโกยจากลูกหลานมากพอแล้วถึงเวลาที่ต้องแบ่งปันบ้าง


พ่อและน้าพีอยู่ที่โรงแรมของตนเองที่ชลบุรีระหว่างรอบ้านสร้างเสร็จ ส่วนผมยังอยู่ที่หอเหมือนเดิม เพราะผมกลัวว่ามันจะกลับมาแล้วไม่เจอผม


ไม่รู้เหมือนกันว่ามันจะกลับมาที่นี่อีกรึเปล่าแต่ผมก็รอ


ผมนั่งลงบนเก้าที่วางไว้ตรงระเบียง อัดสารนิโคตินเข้าปอดก่อนจะพ่นควันบุหรี่ล่องลอยในอากาศ


ชัดเจนและจางไป.......


คิดถึง......คำนี้วนเวียนอยู่ในหัวผมตลอดเวลาเมื่อกลับมาอยู่คนเดียวในที่ที่เคยมีมันอาศัยอยู่ร่วมกัน ทำไมถึงรู้ตัวช้า ทำไมถึงหายไปตอนที่ผมเพิ่งรู้ใจตัวเอง


ผมเช็ดน้ำตาที่ไหลลงมาจากตาก่อนจะดับบุหรี่กับกระถางต้นไม้ลุกขึ้นเดินเข้าห้อง ทิ้งตัวนอนบนเตียงกอดตัวเองหลับตาลงพยายามหลับแต่สุดท้ายก็ไม่สามารถทำได้ดั่งใจคิด


แกร๊ก


เสียงไขกุญแจห้องเรียกสติผมให้กลับมาผมลุกขึ้นวิ่งออกไปนอกห้องทันทีเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตู


"แมน" ผมโผเข้ากอดมันอย่างไม่ออมแรง มันเซไปด้านหลังเกือบจะล้มลงไปทั้งคู่ดีที่หลังของมันพิงกับประตูห้อง มันดูงงๆกับท่าทีของผมก่อนจะยกมือขึ้นกอดตอบผม


"ร้องไห้ทำไม หืม"


"ไอ้เหี้ย มึงหายไปไหนมาทิ้งกูไว้คนเดียวได้ไงวะ" ผมโวยวายกล่าวโทษมันสารพัด


มันลูบหลังผมเบาๆก่อนจะผละออกจากกันมันถอดรองเท้าวางไว้ในตู้ก่อนจะเดินจูงมือผมกลับเข้ามาในห้องนอน


"กูไปทำสัญญากับที่บ้าน" มันตอบผมและเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่แขวนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าปล่อยให้ผมนั่งเอ๋ออยู่บนเตียงคนเดียว "จริงๆตอนนี้กูต้องอยู่ที่งานเลี้ยงต้อนรับลูกค้ากับพ่อ แต่กูห่วงมึงเลยหนีมา"


"หนีมา" ผมถามด้วยความสงสัย หนีใคร หนีทำไม


"อืม" มันพยักหน้าตอบผมไปด้วยถอดเสื้อผ้าไปด้วย "กูอาบน้ำก่อนเดี๋ยวจะเล่าให้ฟังทั้งหมด รอนะ" ขนาดนี้แล้วใครจะไม่รอวะ


ผมรอมันอาบน้ำไม่นานนักมันก็เดินออกมาในสภาพตัวเปียก หยดน้ำพราวตามร่างกายมันนุ่งแค่ผ้าเช็ดตัวผื่นเดียวเท่านั้น


"ไปแต่งตัวดีๆก่อนดิวะ" ผมไล่เมื่อเห็นมันนั่งลงบนเตียง


"กูว่าคืนนี้กูไม่ต้องใส่เสื้อผ้านอนหรอกวะ" มันเขยิบมานั่งใกล้ๆผมที่นั่งขัดสมาธิอยู่กลางเตียง 


"ไม่ใส่ก็ไปนอนนอกห้อง" ผมทำท่างจริงจัง ส่วนมันก็ยกเจ้าเล่ห์กลับมา


"ไม่เอากูจะนอนกับมึง ว่าแต่มึงอยากถามอะไรกูไหม"


"ทะลึ่งนะมึง เล่ามาเลยว่ามึงหายไปไหนมา"  ผมเปิดประเด็นถามมันเมื่อเห็นว่ามันกำลังพาออกทะเล


มันยิ้มก่อนจะเริ่มเล่าว่าหายไปเพราะเข้าไปที่บ้านตกลงกับพ่อแม่มันว่าจะเริ่มเรียนรู้ธุรกิจของบ้านมันเพื่อแลกกับการที่พ่อแม่มันจะช่วยให้ผมไม่ต้องแต่งงาน ฟังถึงตอนนี้ผมก็งงว่าพ่อแม่มันจะช่วยอะไรผมได้


"พ่อกูกำลังจะร่วมลงทุนกับที่บ้านมึง บอกไว้เพื่อมึงไม่รู้ว่าปู่มึงมาหาพ่อกูเช้าเย็นเพื่อจะหลอกล่อให้พ่อกูเสียเงิน หึ ถ้าปู่มึงรู้ว่าบ้านกูจะร่วมหุ้นแต่แลกกับการที่กูจะขอมึง ปู่มึงจะว่าไง"


"อะไรนะ มึงบอกว่าขอกู ขอกูจากใคร ขอทำไม"


"ขอมึงจากปู่จอมบงการของมึงไง คล้ายๆว่าเอาเงินไปขอมึงอ่ะ"


งงหนักเลยทีนี้


มันเห็นผมทำหน้าสงสัยเลยไขข้อข้องใจให้ฟัง ได้ความว่ามันยอมทิ้งความฝันที่จะทำงานถ่ายภาพอะไรของมันนี่แหละเพื่อจะเป็นนักธุรกิจตามที่ครอบครัวต้องการแลกกับการที่ทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้ผมและมันได้คบกัน พอพ่อกับแม่มันฟังก็ตกใจแทบหงายหลังที่ตกใจไม่ใช่เรื่องลูกเป็นเกย์ เพราะบ้านมันเขารับรู้กันตั้งแต่มันเรียนมอต้น แต่ที่ตกใจเพราะแม่มันที่สนิทกับแม่ผม แน่นอนว่าท่านต้องรู้ว่าบ้านผมเป็นอย่างไร ท่านตกใจเพราะรู้ว่าปู่อยากผูกสัมพันธ์กับนักธุรกิจท่านนึงเพื่อผมของธุรกิจ


ดังนั้นแม่มันจึงคิดหาหนทางเพื่อให้ลูกชายคนเล็กสมหวังโดยการล่อปู่ผมโดยเอาเรื่องธุรกิจบังหน้าเพื่อให้ปู่ยอมทำสัญญา และเมื่อถึงตอนนั้นปู่ก็ไม่สามารถปฏิเสธเงินตรงหน้าได้ เพราะหุ้นที่บ้านผมลงทุนไปนั้นมันมากพอที่จะทำให้ปู่ลืมข้อเสนอของท่านคุณหญิงผมกระบังลมนั้น และมันก็ต้องแลกกับการเรียนรู้งานเพื่อเข้ารับตำแหน่งเมื่อเรียนจบ เหมือนๆกับผมที่ต้องกลับไปเรียนรู้งานโรงแรมของพ่อเหมือนกัน แต่ของผมจะดีกว่าตรงที่ยังไม่โอกาสได้ใช้สิ่งที่เรียนมาในการพัฒนากิจการของพ่อ


และเรื่องที่ผมเพิ่งรู้อีกเรื่องก็คือมันเข้าไปหาพ่อผมพูดคุยขอผมจากพ่อและน้าพีเรียบร้อยแล้ว เหลือแค่จัดการทางปู่ให้สำเร็จทั้งสองบ้านจึงจะพูดคุยเรื่องของผมกับมันอย่างจริงจังอีกที


สรุปมันเอาผมจริงๆเหรอเนี่ย


"เหมือนพ่อกูกับบ้านมึงรวมหัวกันเล่นงานปู่กูเลย แล้วเรื่องที่มึงเล่าทำไมพ่อไม่บอกกูเลย เรื่องจริงป่ะเนี่ย"


ผมก็แค่สงสัยว่าพ่อปิดปากเงียบ แถมเนียนจนผมไม่รู้อะไรเลย


"กูขอไว้เองอยากบอกมึงเอง"


"จริงจัง"


"ขนาดนี้กูคงเล่นๆมั้ง แต่กูบอกไว้ก่อนนะว่ากูยังตัดธูปไม่หมด ในใจกูยังมีธูปอยู่แต่มันก็มีมึงอยู่เหมือนกัน และมึงเองก็กำลังเบียดธูปตกจากขอบแล้วเหมือนกัน อีกนิดกูคงลืมธูปหมดใจ รอกูหน่อยนะ"


มันเอื้อมมือมาลูบแก้มผม ระยะห่างของเราสองคนสั้นลงจนสุดท้ายปลายจมูกของเราก็แตะกัน ใกล้จนสัมผัสถึงลมหายใจของอีกฝ่ายมันมองหน้าผมเหมือนจะขออนุญาต ผมไม่ตอบแต่เป็นฝ่ายเริ่มก่อน


ผมขยับใบหน้าเข้าไปใกล้มันมากขึ้นจนปากเราสองคนแตะกันผมกลั้นใจเพราะไม่รู้ว่าจะเดินหน้าหรือหยุดแค่ปากแตะกันไว้เพียงแค่นั้น แต่อีกฝ่ายเหมือนจะรู้ความคิดผม มันจับคอผมล็อคไว้ก่อนจะสอดลิ้นเข้ามาในปากเกี่ยวกระหวัดกับลิ้นผม


มันดันตัวผมนอนราบบนเตียงก่อนที่ตัวมันจะตามมาขึ้นคร่อมร่างผมเอาไว้ มันซุกไซร์ซอกคอผมดูดเม้มให้เกิดรอย มือมันลูบวนแถมหน้าท้องผมก่อนจะเลื่อนลงต่ำ แต่ผมหยุดมือปลาหมึกนั้นเอาไว้ก่อนมือนั้นจะซุกซนลงไปในจุดอันตราย


"ทำไม" เสียงมันสั่นพร่า


"กูไม่รับ" ผมบอก


"แต่กูรุก" มันตอกกลับมา


"งั้นเราคงต้องคุยกันเรื่องนี้อีกที" ผมดันตัวมันออกก่อนจะลุกขึ้นนั่ง


มันเองก็โวยวายใหญ่นอนดิ้นๆอยู่บนเตียงมันคงลืมไปว่าทั้งตัวมันมีแค่ผ้าเช็ดตัวปกปิดอยู่แค่ผืนเดียว และตอนนี้ผ้าเช็ดตัวนั้นก็เลิกขึ้นจนเห็นไปไหนต่อไหน


"วินอ่ะ กูทำเพื่อมึงขนาดนี้มึงไม่เห็นใจกูหน่อยเหรอ"


"ทวงบุญคุณใช่ไหม"


"เปล่าแต่กูอยากกอดมึงอ่ะ กูทำงานมาเหนื่อยอยากได้กำลังใจ"


"กอดของมึงนี่คือกอดแบบไหน"


"กอดอ่ะกอด มึงคิดอะไรเนี่ย กอดก็คือกอดดิวะ"


ผมหรี่ตามองมันเพราะไม่ค่อยเชื่อไอ้ท่าทางดีดดิ้นของมันเท่าไหร่ สุดท้ายก็แพ้ลูกอ้อนของมัน ผมกางแขนออกก่อนจะเอ่ยปากเชิญชวนมัน


"กอดดิ" มันกระเด้งตัวลุกขึ้นมานั่งมองหน้าผมก่อนจะกระโจนเข้าคลุกวงใน


มือมันบีบสะโพกผมแรงๆจนรู้สึกเจ็บ และผมก็เข้าใจคำว่ากอดของมันกับผมนั้นความหมายมันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง


ผลั๊ก


ไอ้แมนกลิ้งลงไปนอนก้นกระแทกพื้นด้วยฝ่าเท้าของผมเมื่อนิ้วมันล่วงล้ำเข้ามาในร่างกายผม


"ไปนอนนอกห้องเลยไป๊!!"


ผมตะโกนลั่นห้องก่อนจะโยนผ้าเช็ดตัวที่หลุดออกจากร่างกายมันใส่หน้าไอ้คนที่นั่งหน้ามึนอยู่ตรงหน้า


คิดจะรุกผมเหรอ ไม่ง่ายอย่างที่คิดหรอกนะ

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12
สงสารแมนเลยอ่ะ  5555

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
55555 แมนเอ้ยแอน

ออฟไลน์ ❁INDY_FAMILY❁

  • -ทำไมต้องเดินตามรอยเท้าใคร เราสามารถสร้างรอยเท้าของเราเองได้-
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 608
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-12
ผมไม่ใช่พ่อเด็ก 
ตอนที่ ๔๒ ขอโทษ......หัวใจ



-ธูป-


ผมกลับมาถึงบ้านก็ตรงปรี่เข้าห้องล็อคห้องไม่ต้อนรับใครทั้งนั้นผมอยากอยู่คนเดียวไม่พร้อมจะเผชิญหน้ากับใคร เข้ามาในห้องได้ก็เดินเหมอลอยไปที่ห้องน้ำนั่งอยู่ใต้ฝักบัวปล่อยให้สายน้ำไหลผ่านร่างกาย ขัดถูตัวเองจนแขนขาถลอก ผมไม่ได้รังเกลียดตัวเองที่ถูกผู้หญิงคนนั้นกระทำอย่างนี้ แต่ผมสมเพชตัวเองที่ไม่สามารถขัดขืนอะไรเธอได้ ผมไม่รู้ว่าพี่พายจะยอมรับผมได้ไหม ร่างกายผมไม่ใช่ของพี่พายคนเดียวอีกแล้ว ตอนที่พี่มันเข้าช่วยเธอคนนั้นก็อยู่บนตัวผม พี่พายเห็นเต็มสองตา และผมก็รู้สึกผิดเกินกว่าจะทำเป็นไม่รู้เรื่องอะไร และยืนเคียงข้างพี่พายต่อไปโดยไม่รู้สึก


แต่ถ้าให้เลิกกันผมก็ทำไม่ได้ ตอนนี้มันสับสนไปหมด คิดอะไรไม่ออก อยากร้องไห้ อยากกอดพี่พายแต่ก็อยากหนีไปให้ห่างเช่นกัน



หลังจากนั่งแช่น้ำจนป่วยผมก็ถูกป๊าม๊าดุเสียยกใหญ่ ลากผมไปโรงพนาบาล นอนค้างอยู่หนึ่งคืนหมอจึงยอมให้กลับบ้านได้ ครอบครัวผมดูแลผมดีและทุกคนใส่ใจผมและไม่มีใครพูดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา คล้ายว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น พี่พายมาเยี่ยมผมที่โรงพยาบาลแต่เพราะยังไม่กล้าสู้หน้าผมจึงขอร้องพี่ไฟให้ช่วยบอกพี่พายทีว่าผมยังไม่พร้อม


พี่พายรับคำง่ายๆและหายไปไม่มาให้เห็นหน้ามีเพียงส่งข้อความมาว่าไปทำอะไรที่ไหน ซึ่งตอนนี้พี่พายกำลังลงใต้ดูแลงานที่เพิ่งได้สัมประทานมา พี่พายทำงานหนักแต่ไม่เคยลืมที่จะส่งข้อความมาหา บอกย้ำซ้ำๆว่ารักผม คิดถึง และไม่เคยรังเกลียด พี่พายบอกผมให้ทานข้าวทั้งๆที่ตัวเองทำงานจนลืมเวลากิน บอกให้ผมนอนหลับฝันดีแต่พี่พายกลับทำงานหามรุ่งหามค่ะ บอกให้ผมดูแลตัวเอง แต่พี่พายกลับโหมงานจนทรุด


ที่ผมรู้เพราะน้องเค้กบอกผมทุกอย่าง พี่พายทำงานจนลืมเวลาเพราะไม่อยากคิดถึงผม งานคือเรื่องเดียวที่พี่พายให้ความสนใจในตอนนี้ รองจากเรื่องของผม


'คิดถึง ทานข้าวเยอะๆนะ'


ผมกอดโทรศัพท์แนบอกน้ำตาคลออยู่ที่เบ้าตา ผมอ่านทุกข้อความของพี่พายอ่านซ้ำๆทุกตัวอักษร แต่ไม่สามารถกดพิมพ์ความรู้สึกส่งผ่านไปได้ เพราะกลัว


กลัวใจตัวเองจะทำร้ายพี่พายมากไปกว่านี้ กลัวใจจะเรียกหาพี่พายจนพี่เขาทิ้งงานและกลับมาหาผม ผมอยากเคลียร์ตัวเองก่อน เคลียร์ใจตัวเองก่อนจะกลับไปเจอพี่พาย


ผมอยากคบกันโดยแน่ใจว่าผมลืมฝันร้ายที่ผ่านมาจนหมดแล้วจริงๆ




"เป็นอะไรครับ" พี่ไฟผละออกจากงานในครัวเดินเข้ามาถามผมอย่างเป็นห่วง


"เปล่าครับ" ผมก้มหน้าหลบสายตาดุจเหยี่ยวที่กำลังจ้องมองอย่างจับผิด


"ธูปมองพี่" ทำไมต้องทำเสียงดุใส่ด้วยเล่า


ผมจำต้องเงยหน้ามองพี่ไฟ พยายามกระพริบตาเพื่อไล่น้ำตาและความคิดโง่ๆของตัวเองให้ออกห่างจากตัว พี่ไฟถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะลากผมให้เเดินตามออกมาหลังร้าน


"เป็นอะไรครับ บอกพี่ได้ไหม"



"........."



"รู้ไหมครับทุกคนเป็นห่วงธูปมาก ทุกคนรักธูปมากนะครับ" พี่ไฟลูบหัวผมเบาๆส่งสายตาเป็นห่วงมาให้อย่างจริงใจ



"........"



"ถ้าอยากเล่าอยากระบายอะไรพี่อยู่ข้างๆธูปเสมอนะครับ" น้ำเสียงอ่อนโยนขับกล่อมให้ผมโงนเงนได้ง่าย



น้ำตาที่กลั้นเอาไว้มันทลายในพริบตา ผมโผเข้ากอดพี่ไฟร้องไห้สะอึกสะอื้นปากก็พร่ำบอกในสิ่งที่เก็บเอาไว้ไม่เคยบอกใคร ผมไม่สามารถพูดกับใครได้ว่าผมรู้สึกอย่างไร ป๊าม๊าแม้แต่เทียนเองผมรู้ว่าทุกคนเป็นห่วงผมแต่ผมละลายเกินไปที่จะเล่าให้ทุกคนฟัง


ผมกลัวว่าพวกเขาจะผิดหวัง


แต่ตอนนี้ผมอยากระบายทุกอย่างที่อัดอั้นอยู่ในใจ อยากพูดอยากบอกใครสักคนว่าผมรู็สึกอย่างไร และเมื่อพี่ไฟเดินเข้ามามันก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ผมต้องการใครสักคน


"เราละอายต่อเขาใช่ไหม" ผมพยักหน้าเมื่อพี่ไฟถามกลับมา เมื่อผมเล่าจบ


"ธูปไม่กล้ามองหน้าพี่พาย ธูปไม่รู้ว่าพี่พายจะรับธูปได้ไหมที่....."



".......ที่เรานอนกลับคนอื่น" พี่ไฟต่อประโยคให้ผม และมันก็ตรใจกับผมที่สุดแล้ว


ผมได้แต่พยักหน้าโดยไม่พูดอะไรออกมา มันจุกจนพูดไม่ออก


"ธูปฟังพี่นะ" พี่ไฟเริ่มเข้าโหมดจริงจัง  "ธูปไม่ได้เต็มใจ ทุกอย่างที่เป็นไปมันเกิดขึ้นเพราะผูหญิงคนนั้นบังคับ แฟนเราเขารู้และเขาก็ไม่เคยโทษธูป ดังนั้นธูปอย่าโทษตัวเอง



ความรักหน่ะนะธูป ถ้าเรามัวคิดไปเอง ความคิดมันจะย้อนมาทำร้ายเรา คุยกันซะว่าเราคิดอะไร อยากพูดอยากบอก รู้สึกยังไงก็พูดออกไปให้หมด ปล่อยไว้นานพาลจะสายเกินแก้"


พี่ไฟจับไหล่ผมให้หันไปด้านหลัง ร่างสูงใหญ่ปรากฏสู่สายตา ภาพของใครบางคนที่คุ้นตา


"พี่ไปทำงานก่อน ค่อยๆคุยกัน" พี่ไฟบอกผมพร้อมกับยิ้มมาให้ "ฝากน้องชายผมด้วย"


เสียงตบหลังพี่พายดังอั๊ก แต่พี่ไฟหาสนใจไม่ พูดจบก็เดินกลับเข้าร้านทิ้งผมไว้กับคนที่ผมหลบหน้านานหลายวัน


"เด็กขี้แง" พี่พายเดินเข้ามาใกล้ ยกมือขึ้นใช้นิ้วโป้งปาดน้ำตาที่ไหลลงมาให้อย่างเบามือ


ผมผงะถอยหลังหนีสัมผัสนั้นเหมือนมีกระแสไฟวิ่งผ่าน จริงอย่างพี่ไฟว่าความคิดในห้วทำให้เรากลัวเพราะคิดไปเอง


พี่พายดูตกใจชะงักมือค้างกลางอากาศ แต่สุดท้ายก็ยิ้มอ่อนโยนส่งมาให้ผมได้ใจชื่นว่าพี่แกไม่โกรธกับสิ่งที่ผมทำลงไปเมื่อครู่


"ขอโทษ" ผมก้มหน้าไม่กล้าสบตาพี่พาย   "กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่"


"เมื่อวานน่ะ เค้กใกล้คลอดแล้วพี่เลยรีบเคลียร์งาน อีกอย่างพี่คิดถึงธูปด้วย"


"......." ผมเงียบพี่พายจึงเดินเข้ามาลังเลว่าจะแตะตัวผมดีหรือเปล่า สุดท้ายพี่พายก็จับมือผมเพื่อให้เดินตามเขาไปที่รถ


"พี่โทรขอพ่อแม่ธูปแล้วท่านอนุญาต" พี่พายบอกก่อนจะเปิดประตูให้ผมเข้าไปนั่งด้านใน ผมไม่ได้พูดอะไรเข้าไปนั่งในรถเงียบๆไม่ถามว่าไปไหน ไม่ถามอะไรเพราะไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี ผมเหนื่อยแล้วอยากทิ้งตัวลงในอ้อมกอดใครสักคน อยากนอนนิ่งๆไม่ต้องคิดอะไร



ผมมองออกไปนอกรถข้างทางเริ่มร้างไกลผู้คน มีป่าและนาข้าวเราคงกำลังออกต่างจังหวัด พี่พายขับรถไปเงียบๆระหว่างเรามีเพียงเสียงเครื่องยนต์และเพลงที่ช่วยไม่ให้มันเงียบเกินไป






รถจอดหน้าบ้านหลังหนึ่งซึ่งผมจำได้ดีว่าครั้งหนึ่งเคยเข้าใจเจ้าของบ้านผิดๆมาแล้ว


ผู้หญิงร่างอุ้ยอ้ายเดินออกมาพร้อมผู้ชายคนนึงที่ประคองอยู่ไม่ห่าง รอยยิ้มสดใสยังมีมาให้เสมอ


"พี่มิลล์ สวัสดีครับ พี่สวัสดีครับ" ผมยกมือไหว้พี่มิลล์และผู้ชายที่ยืนข้างๆเธอ


"สวัสดีค่ะ เข้าบ้านก่อนเร็ว" พี่ผู้ชายพยักหน้ารับ พี่มิลล์จึงชวนเราทั้งคู่เข้าบ้าน


"พี่ให้คนทำความสะอาดห้องให้แล้วนะ อ่อนี้คุณหมอที่รักษาพี่ที่พี่เล่าให้ฟังไงจ้ะ"


ผมยิ้มให้ผู้ชายที่นั่งข้างพี่มิลล์ เขายิ้มตอบกลับมาก่อนจะหันไปจัดยาให้พี่มิลล์กิน เขาดูแลพี่มิลล์ดีมากๆดูห่วงใยและใส่ใจ


"ทานข้าวมารึยังล่ะธูป"


"ยังครับ" จริงๆก็กินอะไรไม่ลงมาหลายวันแล้ว


"เดี๋ยวพี่ไปอุ่นกับข้าวแล้วทอดไข่ให้นะ" พี่มิลล์กำลังจะลุกขึ้นแต่ผมห้ามเอาไว้ก่อน ใช้คนท้องทำอาหารให้กินมันใช่ที่ไหนล่ะครับ


"ไม่เป็นครับเดี๋ยวธูปจัดการเองดีกว่า ลำบากพี่เปล่าๆ"


"ไม่ลำบากหรอก คุณหมอบอกว่าคนท้องต้องเดิน ต้องทำอะไรเยอะอยู่เฉยๆคลอดยาก"


"ถึงอย่างนั้นก็เถอะธูปเกรงใจ"


"เดี๋ยวเราไปทำให้ธูปเอง มิลล์นั่งคุยกับธูปไปเถอะ คุณหมอไปช่วยผมหน่อยได้ไหมครับ"


"ครับ ด้วยความยินดี" พี่พายลุกขึ้นเดินเข้าครัวไปกับคุณหมอทิ้งผมไว้กับพี่มิลล์สองคนในห้องรับแขก


"ธูปมีอะไรไม่สบายใจรึเปล่าคะ" พี่มิลล์ขยับเข้ามาใกล้ ถามผมด้วยความห่วงใย


"ผม......" 


มือเรียวสวยเอื้อมมาลูบหลังผม สัมผัสอ่อนโยนนั่นทำให้ใจผมสงบ


"พี่พอจะรู้มาบ้าง คนที่จับตัวธูปไปค่อนข้างมีอิทธิพล พายเขาเลยต้องใช้เส้นสายหลายทาง เพื่อนๆเลยช่วยกัน ธูปอย่ากังวลไปเลยนะ คนพวกนั้นจะไม่มายุ่งกับธูปอีก"


ผมมองหน้าพี่มิลล์อยากบอกเหลือกเกินว่าผมไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น แต่เรื่องที่ผมห่วงคือ ผมกลัวสัมผัสจากพี่พาย


"หรือธูปไม่สบายใจเรื่องอื่น"


"ผมไม่รู้เหมือนกัน มันตีรวนกันไปหมด ผมกลัวขยะแขยงตัวเอง พอพี่พายเอื้อมมือมาจับผมก็รู้สึกไม่ดี มันเหมือนตัวผม แบบ"


"สกปรก ใช่ไหม" พี่มิลล์พูดต่อประโยค และผมก็พยักหน้ารับ


"ธูปเคยฟังเรื่องพี่แล้วนี่คะ พี่เข้าใจความรู้สึกธูปดี แต่ถ้าเราคิดลบความคิดมันก็จะกลับมาทำร้ายเรา เรากลับไปแก้ไขอดีตไม่ได้นะคะธูปแต่ตอนนี้ นาทีนี้มีคนที่รักเรา รับเราได้ ทำไมเราจะต้องคิดมาก



ธูปไม่ได้สกปรกนะ มันก็แค่ฝันร้ายธูปตื่นขึ้นมาแล้ว ตื่นมาพบกับคนที่รักเรา เหมือนพี่ไงคะ" พี่มิลล์เหลือบมองเข้าไปในครัว ที่คุณหมอกำลังทำอาหารอยู่กับพี่พาย



พี่มิลล์ลูบท้องตัวเองยิ้มอบอุ่นเมื่อสิ่งมีชีวิตเล็กๆในท้องนั่นดิ้นตอบรับสัมผัสจากมารดา


"อดีตที่เป็นตราบาปของพี่ อย่างน้อยก็มีเรื่องดีๆ ธูปเองก็มองหาด้านดีของเรื่องนี้ว่ามันคืออะไร อะไรแย่ๆที่คิดแล้วทำร้ายเราก็ปล่อยมันทิ้งไว้กับวันวาน อย่าไปเก็บมันมาให้หลอกหลอนเราอีก เพราะสุดท้ายเราก็จะไม่มีวันตื่นจากฝันร้ายนั้นอีกเลย"


หลังจากพูดจบพี่มิลล์ก็เดินเข้าไปในครัว ก่อนจะบอกให้คุณหมอพาไปพักผ่อน บนโต๊ะอาหารจึงเหลือแค่ผมกับพี่พายที่นั่งทานข้าวกันเงียบๆสองคนโดยไม่มีใครพูดอะไร พอทานข้าวเสร็จพี่พายก็จัดการเก็บโต๊ะล้างจานและบอกให้ผมขึ้นนอน เสื้อผ้าของใช้พี่พายจัดไว้ให้แล้ว ผมไม่พูดอะไรเดินขึ้นมาบนห้องที่พี่พายบอกก่อนจะจัดการตัวเองตามที่พี่พายบอก


หลังจากนั้นไม่นานพี่พายก็เปิดประตูเข้ามา ผมนั่งอยู่บนเตียงมองพี่พายถอดเสื้อผ้าแล้วเดินเข้าห้องน้ำไปโดยที่สายตาผมยังจับจ้องอยู่ที่ร่างสูงใหญ่นั้นไม่คลาดสายตา ในหัวเริ่มตีกันวุ่นไปหมด ใจนึงก็อยากคุยอยากถาม ใจนึงก็อยากหนีไม่กล้ามองหน้า มันรู้สึกเหมือนอยู่ตรงกลางแล้วไม่รู้จะเลือกเดินทางไหน


พี่พายออกมาจากห้องน้ำเปิดตู้เสื้อผ้าแต่งตัวโดยไม่ได้สนใจผมที่ยังนั่งอึนอยู่ที่เตียง พอใส่เสื้อผ้าเสร็จพี่พายก็เดินไปที่ประตู ผมตั้งสติได้ก็ร้องถามทันที


"พี่พายจะไปไหน"


พี่พายหันมายิ้มให้  "พี่จะไปนอนอีกห้องนึง"


แล้วพาผมมาที่นี่ทำไมอ่ะ นึกว่าเราจะคุยกัน


"ธูปนอนเถอะ ฝันดีนะ" พี่พายเอื้อมมือมาใกล้ก่อนจะชักมือกลับเพราะคิดว่าผมคงหลบสัมผัสจากมือนั้น แต่ผมเลือกจะคว้ามือนั้นเอาไว้ได้ทัน


พี่พายดูแปลกใจแต่ก็ยอมให้ผมจับมือโดยไม่พูดอะไร


"ธูปขอโทษ" พี่พายคว้าตัวผมเข้าไปกอดไว้แน่น ปากพร่ำบอกแต่คำว่าไม่เป็นไรๆซ้ำๆ


คืนนั้นเรานอนคุยกันทั้งคืน แม้ยังเกร็งเวลาที่พี่พายกอดแต่ผมก็คิดถึงคำของพี่มิลล์หรือแม้แต่พี่ไฟ ถ้าผมไม่คิดความคิดก็จะไม่สามารถทำร้ายผมได้ พี่พายแค่กอดและรับฟังผมตลอดทั้งคืนระหว่างเราไม่มีเรื่องอย่างว่าเข้ามาเกี่ยว ถามว่าโหยหาไหมตอบได้เลยว่าถ้าเป็นพี่พายผมโหยหาแต่อีกใจก็กลัวพี่พายจะรังเกียจ สุดท้ายความลังเลทำให้ผมไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกไปนอกจากเรื่องที่อยู่ในใจ


พี่พายเองก็เหมือนจะรู้ว่าผมรู้ยังไงเขาก็ไม่ได้ขอ เราทั้งสองคนแค่นอนกอดกันส่งความอบอุ่นผ่านอ้อมกอดของกันและกันเพียงเท่านั้น แต่ผมกลับรู้สึกดี อาจเพราะได้พูดสิ่งที่อยู่ในใจออกไปให้พี่พายได้รับรู้ และพี่พายก็ไม่ได้คิดรังเกียจ พี่พายไม่โทษผม บอกเพียงให้ลืมแล้วเริ่มต้นกันใหม่


ผมไม่รู้เหมือนกันว่าวันข้างหน้าชีวิตผมจะเป็นอย่างไร ขอแค่มีผู้ชายคนนี้อยู่ข้างๆ ผมก็สามารถก้าวเดินต่อไปได้อย่างมั่นคง



ขอบคุณที่รักกัน


และขอโทษที่ทำให้เสียใจ

ออฟไลน์ rmlab

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1679
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +120/-2
โถ น้องธูป ตอนนี้เลยสงสารพี่พายมาก

ออฟไลน์ Poseidon

  • Unconditional love
  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5081
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +260/-12
สงสารทั้ง2คนเลย.....ฝันร้ายมันจบลงแล้วนะธูป เริ่มใหม่เนอะ
พี่พายใจเย็นมวก ดูแบบสุขุมไปเลย

ออฟไลน์ ❁INDY_FAMILY❁

  • -ทำไมต้องเดินตามรอยเท้าใคร เราสามารถสร้างรอยเท้าของเราเองได้-
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 608
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-12
ผมไม่ใช่พ่อเด็ก 
ตอนที่ ๔๓ ฉันดีใจที่มีเธอ



-ธูป-


 หลังจากวันนั้นพี่พายก็ทุ่มเวลาเกือบทั้งหมดที่มีให้กับผมทั้งๆที่เขาต้องลงไปดูงานที่ภาคใต้ที่เขาประมูลสัมปทานรังนกได้ แต่พี่พายก็ไม่ห่างผมถึงตัวจะไกลกันแต่เราคุยกันมากขึ้น และผมก็เลิกฝันร้ายและนอนผวาตอนดึกๆแล้วเพราะกำลังใจดีๆจากคนที่อยู่รอบตัวทำให้ผมเลิกคิดมากและเลิกโทษตัวเอง


ตอนนี้เข้าสู่ช่วงสอบผมจึงทุ่มให้กับการอ่านหนังสือจนลืมเรื่องร้ายๆที่ผ่านมา น้องเค้กเองก็ท้องแก่ใกล้กำหนดคลอดเข้าไปทุกที มหาลัยของน้องสอบใกล้เสร็จแล้วและน้องคงต้องไปนอนที่โรงพยาบาลหลังจากนั้น ระหว่างนี้ไอ้เทียนก็ไปๆมาๆระหว่างบ้านน้องเค้กกับที่ร้าน


ส่วนผมก็หมกตัวอ่านหนังสืออยู่ที่บ้านและมีเพื่อนๆมาสุมหัวกันเพราะบ้านผมเป็นร้านอาหาร ของกินไม่ต้อห่วงมีตลอดทั้งวันพวกมันเลยเลือกบ้านผมเพราะเหตุนี้ แต่น่าแปลกที่มีคนนึงที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับคณะพวกผมแต่มันก็มา


ไอ้มาวิน


ตอนแรกพวกผมก็งงว่ามันมาทำไมแต่มีคนภูมิใจนำเสนอจนน่าหมั่นไส้ ไอ้แมนเมืองมันประกาศว่ามันกับไอ้มาวินคบกัน เล่นเอาพวกผมงงเป็นไก่ตาแตก แต่ก็ยินดีกับมันสองคนที่ในที่สุดก็เจอความรักของตัวเองเสียที


อ่านหนังสือกันไปได้ไม่เท่าไหร่ร่างสูงสะดุดตาที่การแต่งตัวกระชากอารมณ์ก็ปรากฎตัวขึ้นตรงหน้า


"มาทำไม" ไอ้ชาลุกขึ้นตั้งการ์ดทันทีเมื่อเด็กเนิร์ดร่างสูงเดินหอบหิ้วขนมเข้ามาใกล้


อีกฝ่ายไม่พูดอะไรทำเพียงแค่วางของลงบนโต๊ะและขอตัวลากลับไปเงียบๆ ไอ้ชาหงุดหงิดที่ฝ่ายนั้นไม่สนใจมันแม้แต่นิดเดียว มันบ่นงึมงำฟังไม่ได้ศัพท์ก่อนจะลุกเดินตามเด็กเนิร์ดนั้นออกไป ถึงจะงงๆกับการกระทำของทั้งคู่แต่ก็ไม่มีใครถามอะไรเพราะรู้ว่าถามไปก็ไม่มีใครสามารถง้างปากไอ้ชาได้


สุดท้ายเลยเลิกสนใจกลับมาเวียนหัวกับตัวหนังสือในมือกันต่อ ผมอ่านหนังสือไปด้วยคว้าขนมที่ม๊าเอามาให้ใส่ปากไปด้วยโดยตัดขาดจากสิ่งรอบตัว วิชานี้ค่อนข้างยากถ้าพลาดคือผมอาจจะจบช้ากว่าเพื่อนๆเพราะวิชานี้เปิดแค่ปีละครั้งเท่านั้น ดั้งนั้นสู้ตายล่ะครับ


จึ๊กๆ


รู้สึกเหมือนกำลังโดนรบกวนผมละสายตาจากตัวหนังสือมากมายตรงหน้าหันมองทางด้านขวาของตัวเองก็เจอกับมนุษย์ไม่เข้าพวกกำลังทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ข้างๆ


"มีไร" ผมถามพร้อมกับปิดหนังสือวางมันลงข้างตัว


"เอ่อ......" มันเงียบพลางมองซ้ายมองขวาเหมือนกลัวใครจะได้ยินเรื่องที่มันกำลังจะพูด


"มีไรวะ" ถามย้ำไปอีกครั้ง


"ออกมาคุยกับกูหน่อย" มันพูดพร้อมกับลุกขึ้นกำลังจะเดินออกไปจากห้อง แต่เสียงเพื่อนสนิทผมก็ร้องทักขึ้นมาเสียก่อน


"ไอ้วินมึงจะไปไหน"


เจ้าของเรื่องที่บอกว่ามีเรื่องจะคุยกับผมหันไปหาแฟนมันก่อนจะทำหน้ายักษ์ใส่


"กูมีเรื่องจะคุยกับธูป ถามมากน่ารำคาญอ่านหนังสือไป"


ไอ้แมนเมืองกำลังจะถามต่อเป็นอันต้องหุบปากเพราะไอ้มาวินชี้หน้าพร้อมกับทำหน้ายักษ์แถมมาด้วย


กลัวแฟนนิหว่า


"ตกลงมีเรื่องอะไร" เราหยุดยืนอยู่ตรงทางเชื่อมระหว่างบ้านและร้านอาหาร


"คือ......." และมันก็เงียบไม่พูดอะไรต่อ


"มึงเรียกกูออกมาดูมึงอั้มอึ้งเนี่ยนะ"


"ไม่ใช่แต่แบบมันพูดยาก คือกูไม่คิดว่าวันนึงต้องมาปรึกษามึงเรื่องนี้นี้หว่า" มันเกาหัวแกรกๆไม่ยอมสบตากับผม ทำตัวน่าสงสัย


"เรื่องอะไรวะ"


"คือ" มันเขยิบเข้ามาใกล้ป้องปากกระซิบที่ข้างหู  "ตอนมึงโดนเอาครั้งแรกเจ็บไหมวะ"


ไอ้เวรมึงถามอะไร


กลายเป็นผมที่เงียบและยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น


"ตอบดิวะ" เร่งทำไมมันใช่เรื่องที่คนเขาเอามาพูดคุยกันเหรอวะ


"ยะ อยากรู้ไปทำไม"


"คือ......"


"หรือมึงจะ อื้อออออ" ผมชี้หน้าไอ้มาวินแต่มันกลับกระโดดเอามือมาปิดปากผม


"จะตะโกนให้พ่อมึงได้ยินหรือไง"


"อ่อย อู"


มันลดมือลงปล่อยปากผมให้เป็นอิสระก่อนจะพูดความในใจออกมา "คือกูกับไอ้แมนมีปัญหาเรื่องตำแหน่งกันนิดหน่อย"


"แล้ว"


"ก็อย่างที่บอกไม่มีใครยอมรับ"


"เรื่องแบบนี้ถึงเวลาก็รู้เองล่ะว่าใครตำแหน่งไหนอ่ะ" กูจะตอบยังไงว่าตอนกูน่ะกูก็อยากรุกแต่ก็นะ แต่ไปๆมาๆลุกไม่ขึ้นซะงั้น


"ความสัมพันธ์ของกูสองคนเหมือนย้ำอยู่กับที่วะมันแบบไม่ไปไหนสักที"


"มึงเลยจะเอาเซ็กส์มาทำให้มันเดินหน้าว่างั้น"


"ไม่เชิง คือกูกลัวมันทิ้งกูถ้ามันไปเจอคนที่เขายอมนอนกับมันง่ายๆ"


"ทำไมคิดแบบนั้น"


"มึงดูกู" มันชี้หน้าตัวมันเอง  "ตรงไหนที่ดูว่าจะเป็นเมียใครเขาได้ แล้วมึงดูเพื่อนมึงตรงไหนที่ดูเป็นรับ คือกูสองคนดูยังไงก็รุกทั้งคู่ป่ะวะไม่เหมือนมึง"


คือกูเกี่ยวอะไรด้วยวะ


"แล้ว เอาเนื้อๆเลยว่ามึงลากกูออกมาเพื่ออะไร"


มันถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะขยับเข้ามาใกล้ผมและกระซิบที่ข้างหูอีกครั้ง


"กูอยากรู้ว่ารับมันเจ็บไหม เลือดออกรึเปล่า แล้วต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง"


"ถามเหมือนมึงจะรับ เฮ้ย อย่าบอกนะว่า"


มันพยักหน้า


"ก็ถ้าไม่มีใครรับกูคิดว่ามันคงไม่เสียหายอะไร" อือหือ สุดยอดมนุษย์แฟนจริงๆ


"ก็......" จะบอกมันยังไงดีว่ะ ว่าเรื่องแบบนี้มันเกี่ยวกับขนาดและการร่วมมือกันของคนสองคน


"........"


"........."


ผมเงียบไอ้มาวินก็เงียบบรรยากาศกระอักกระอ่วมแปลกๆ
.
.
.
.
.
.
.
สอบเสร็จแล้วเว้ย!!!!!


อยากจะแหกปากร้องด้วยความดีใจหลังจากก้มหน้าอ่านหนังสือจนแทบอ้วกวันนี้ไอ้ธูปเป็นไทแล้วครับ ผมนั่งทานข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวมีครอบครัวพี่พายมาร่วมด้วย บรรยากาศเป็นไปอย่างราบรื่นพรุ่งนี้น้องเค้กต้องเข้าพักที่โรงพยาบาลเพราะพ่อของน้องไม่อยากให้มีอะไรผิดพลาด กว่าน้องจะคลอดก็นับจากนี้ไปอีกประมาณสองถึงสามวัน


หลังจากทานอาหารกันเสร็จพี่พายก็ขออนุญาตพาผมแยกออกมา เรานังข้างกันเงียบๆทอดสายตามองสายน้ำที่อยู่ตรงหน้า พี่พายกุมมือผมมือเขาสั่นนิดๆแต่เมื่อผมไม่ได้ขัดขืนมือใหญ่นั่นก็กระชับแน่นขึ้น


มันยังคงอบอุ่นเหมือนเดิม


ผมเอนตัวซบไหล่ของพี่พายหลับตานึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมา จากความเข้าใจผิดก่อเกิดเป็นความรักระหว่างเรา เรื่องมันไม่ง่ายเลยที่คนสองคนจะรักกันเริ่มความสัมพันธ์กันในรูปแบบของคำว่า 'คนรัก'



"เรื่องแบบนี้มันอยู่กับความเอาใจใส่ในคู่ของมึง กูตอบไม่ได้หรอกว่ามึงจะเจ็บไหม หรือรู้สึกดีรึเปล่า ทุกอย่างมันอยู่ที่คนสองคนที่จะตอบคำถามของมึงได้ มึงต้องลองเองแล้วจะเจอคำตอบ"



ผมยิ้มเหมือนนึกถึงคำตอบที่ตอบไอ้มาวินไปผมก็ไม่รู้ว่ามันใช่คำตอบที่ดีไหม ผมรู้เพียงแค่ว่านั้นคือคำตอบที่ตรงใจผมที่สุดแล้ว


"คิดอะไรอยู่" เสียงทุ้มติดดุดังขึ้นข้างตัว


"คิดว่าธูปโชคดีที่เจอพี่"


เสียงหัวเราะดังขึ้นเมื่ออีกฝ่ายได้ยินคำตอบจากผม พี่พายก้มลงจูบหน้าผากผมเบาๆ


"พี่สิต้องเป็นคนที่โชคดี"


"ตอนแรกที่เจอพี่โหดมากเลยนะ น่ากลัวว่าจะฆ่าธูปก่อนจะรู้ความจริง"


"ตอนนั้นมันโมโหนิหว่า"


"แล้วตอนนี้ล่ะ" ผมเงยหน้าสบตาคมดุคู่นั้นอย่างไม่นึกกลัวเหมือนคราวแรกที่เจอกัน


"รัก รักมาก" คำบอกรักง่ายๆที่ได้ยินมันกลับรู้สึกพิเศษอย่างบอกไม่ถูก


"เหมือนกัน" พี่พายลูบหัวผมเรานั่งมองดูบรรยากาศเบื้องหน้าโดยไม่มีใครพูดอะไรออกมาหลังจากนั้น แต่มันดูผ่อนคลายและเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุด
.
.
.
.
.
.
.
.
.
"ผมยืนเกาะกระจกมองดูหลานชายตัวน้อยทั้งสองคนที่หลับอยู่บนเตียงอันเล็กๆ หลานชายตัวน้อยหลับตาพริ้มคงกำลังฝันดี


พี่พายกุมมือผมเอาไว้เขาถามผมเสมอว่าอยากมีลูกบ้างไหม อยากสร้างครอบครัวบ้างรึเปล่า ผมก็ตอบกลับไปทุกครั้งว่าแค่มีเขาสำหรับผมก็เพียงพอกับคำว่าครอบครัวแล้ว ไม่จำเป็นที่เราจะต้องมีทายาทเราก็รักกันได้ คำว่าครอบครัวไม่จำเป็นต้องประกอบด้วยพ่อ แม่ ลูก ถึงจะสมบูรณ์


แค่มีกันและกันมีความรักให้กันมันก็เป็นครอบครัวแล้วในความคิดของผม


คืนนั้นเราสองคนร่วมรักกันถึงแม้ในตอนแรกพี่พายจะไม่ยอมเพราะถึงปากผมจะบอกว่าไม่เป็นไรแต่เอาจริงๆผมสั่นและพลันจะนึกถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น แต่เสียงพี่พายเรียกสติผม และเขาบอกให้ผมมองหน้าเขาคิดถึงแต่เขา ความรู้สึกขยะแขยงตัวเองจึงค่อยๆหายไป ความเสียวซ่านเข้ามาแทนที


เรากอดกันหลังจากกิจกรรมนั้นจบลงพี่พายโอบกอดผมเอาไว้คำรักที่ฟังไม่รู้เบื่อกระซิบอยู่ที่ข้างหูจนผมหลับไปเพราะความเหนื่อยเพลีย


ผมไม่รู้นะว่าคู่อื่นๆเริ่มต้นความสัมพันธ์กันอย่างไร แต่สำหรับผมเพราะความเข้าใจผิดในวันนั้นทำให้ผมได้เจอกับเขา ผมดีใจที่วันนั้นยอมตกลงรับข้อเสนอของพี่พาย เพราะในวันนี้ทำให้ผมมีเขา ผู้ชายที่ไม่ได้ดีเลิศแต่ดีที่สุดสำหรับผม ผู้ชายที่ทำให้ผมยิ้ม ร้องไห้ หัวเราะ คิดถึง ผู้ชายที่ไม่หวานแต่ก็รักผมอย่างจริงจัง


ผมไม่รู้ว่าวันข้างหน้าจะเจอกับอะไรแต่ในวันนี้ผมดีใจที่มีเขาอยู่ข้างกาย


พี่พายเข้ามาคุยกับที่บ้านผมโดยมีพี่ไฟคอยหนุนหลังให้ตามสัญญาผมไม่รู้ว่าทั้งสองคนไปสัญญาอะไรกันไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่แต่เพราะพี่ไฟจึงทำให้ป๊าม๊าใจอ่อนยอมให้ผมย้ายไปอยู่กับพี่พายที่บ้านได้ แต่ต้องกลับมาบ้านในช่วงวันหยุและยังต้องทำงานแลกค่าเทอม ทั้งๆที่พี่พายบอกจะส่งเสียแต่เป็นผมเองไม่ยอมรับข้อเสนอนั้น


ไอ้เทียนและน้องเค้กต่างก็เห่อลูกกกไว้ข้างตัวไม่ห่าง มองเผินๆดูเป็นครอบครัวที่น่ารัก แต่เมื่อมองดูดีๆแล้วจึงรู้ว่าไม่ใช่ทั้งสองคนดูเหมือนคนรัก


แค่เหมือน


สายตาน้องเค้กไม่ได้มองที่ไอ้เทียน เช่นเดียวกับน้องชายฝาแฝดของผมที่มันไม่เคยหยุดสายตาที่น้องเค้กเช่นกัน แต่ถึงอย่างนั้นทั้งคู่ก็ทำหน้าที่พ่อและแม่ได้ดี ดีจนคนรอบข้างไม่ทันได้สังเกตุถึงสิ่งผิดปกติของทั้งสองคน


ทั้งคู่ปฎิเสธที่จะจัดงานแต่งงานโดยต่างก็หยิบยกเหตุผลของแต่ละคน ฝ่ายผู้ใหญ่จึงไม่ค้านและยอมตามใจ แต่มีคนนึงที่ผมไม่คิดเลยว่าจะร่อนการ์ดแต่งงานสีชมพูหวานแหววก่อนใครเพื่อน


เจ้ชีส


ผู้หญิงซึ่งห่างไกลกับคำว่าเจ้าสาว และการแต่งงานมากๆ แต่เจ้แกก็ได้แต่งเป็นคนแรก งานแต่งเจ้ชีสจัดขึ้นที่ชายหาดแห่งนึง กลิ่นอายความรักอบอวลอยู่ทุกที เจ้าสาวถูกจับแต่งตัวในชัดเดรสสีขาวยาวคลุมเข่า ผมถูกดัดลอนแต่งหน้าอ่อนๆ รอยยิ้มสดใสส่งมอบให้ทุกคนในงานได้ยิ้มตาม


เจ้าบ่าวคนโหดแม้จะเฮฮากับเพื่อนฝูงแต่สายตาก็คอยจับจ้องที่เจ้าสาวอยู่ตลอดเวลา หลังจากเอาชนะใจเจ้ชีสได้เฮียตุลย์ก็พาผู้หญ่ไปสู่ขอเจ้ชีสกับพ่อแม่ทันที กว่าเจ้แกจะใจอ่อนเฮียตุลย์ก็น่วมไปเยอะเหมือนกัน


ผมยิ้มทักทายพูดคุยกับเพื่อนๆเกาะกลุ่มกันไม่ห่าง พี่พายเองก็อยู่ข้างๆเช่นกัน พ่อลูกอ่อนกว่าจะยอมห่างลูกตัวน้อยก็นานจนผมนึกว่าวันนี้จะไม่ได้มาเสียแล้ว


ไอ้มาวินและไอ้แมนเมืองกำลังหัวเราะกับมุกตลกกากๆของไอ้น้ำเหนือ มันสองคนดูเข้าใจกันมากกว่าเก่า ผมไม่รู้นะว่ามันมีอะไรกันรึยังแต่จากที่เห็นในวันนี้มันก็ดูจะใส่ใจกันมากกว่าเดิม คงเพราะคุยกันมากขึ้น รุ้ว่าต่างฝ่ายต่างต้องการอะไร การจะเดินไปด้วยกันแค่เซ็กส์อย่างเดียวคงไม่ใช่ มันมีอะไรมากกว่านั้น


ช่วงสวมแหวนและปฎิญาณตนว่าจะรักและดูแลกัน ทำเอาผมขนลุกนึกถึงภาพตวเองกับพี่พาย แม้ไม่เคยต้องประกาศต่อหน้าใครๆแต่เราทั้งคู่ก็รู้ว่ายังไงเราสองคนก็จะซื่อสัตย์และรักกันจนวันสุดท้ายของชีวิต แม้อนาคตไม่มีใครตอบได้ว่าเราจะทำได้ตามนั้นไหม แต่อย่างน้อยเราก็ทำมันให้ดีที่สุด ก็เพียงพอแล้ว


เรื่องราวของผมคงต้องจบลงแต่เพียงเท่านี้ แต่ความรักของผมกับพี่พายยังคงดำเนินต่อไปจนกว่าจะถึงทางตัน ผมก็หวังว่าเส้นทางความรักของเราสองคนจะไม่มีทางแยก หรือทางตัน อาจจะคดเคี้ยว ลำบากไปบ้างแต่อย่างน้อยเราจะจับมือกันเพื่อเดินไปด้วยกันอย่างนี้ตลอดไป


ขอให้คุณเจอความรักที่ดีที่สุดสำหรับคุณนะครับ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด