【*...สุดที่รักษ์...*】
บทที่ 07 : เป็นมากกว่าความอร่อย...อนุรักษ์เป็นลูกผู้ชายรักษาคำพูดเสมอ
ในเมื่อสัญญากับคุณชายไว้ว่าจะให้ข้อมูลแบบ
'ซุปเปอร์สเปเชี่ยล' เขาก็จัดให้ตรงตามตัวอักษร
"นี่อะไร"
คำถามเสียงโมโนโทนจากคนในชุดสูทซึ่งนั่งตรงข้ามเขาเอ่ยขึ้น หลังมองชามร้อน ๆ สองใบบนโต๊ะ
"ก็ 'ซุปเปอร์สเปเชี่ยล' ไงครับ หรือถ้าแปลเป็นไทย เขาเรียกว่า...
ต้มยำตีนไก่แบบพิเศษ "
อนุรักษ์อธิบายขณะใช้ช้อนคนน้ำซุปสีเข้มด้วยส่วนประกอบของ พริกแห้ง เครื่องต้มยำ และขาไก่ขาวอวบที่ใส่เยอะจนเต็มชาม เพราะเขาสั่งมาในราคาพิเศษ 80 บาท แล้วยังสั่งเพิ่มข้าวสวยสองจานแถมให้ด้วย
"เจ้านี้ผมกินประจำตอนเลิกกะดึก เขาเปิดขายช่วงห้าทุ่มถึงตีสาม ขอบอกเลยน้ำซุปเด็ดมาก แล้วไม่รู้เขาต้มตีนไก่ยังไงถึงเปื่อยสุด ๆ ตอนดูดเนื้อเนี่ยนะ หูยย...ไม่ต้องออกแรง แทบละลายในปาก ...คุณลองชิมดูสิ อร่อยนะ"
จบการบรรยายราวกับเซลล์ชวนชิม อนุรักษ์ก็ไม่รอช้ารีบตักน้ำต้มยำร้อน ๆ ซัดโฮกเข้าไปหนึ่งคำ ฝนหยุดตกไปแล้ว ทิ้งลมหนาวตอนกลางคืนให้พัดมาเย็น ๆ พอได้อะไรอุ่นกระเพาะสักหน่อยจึงรู้สึกสบายตัว คล้ายได้ยาฟื้นกำลังที่เหนื่อยล้ามาตลอดทั้งวัน
กลิ่นหอมเครื่องเทศอ่อน ๆ กระตุ้นความอยากอาหาร บวกกับรสกลมกล่อม เปรี้ยว เค็ม และเผ็ดจี้ดถึงใจ ทำให้หยุดไม่ได้ที่จะเผลอตักเข้าปากเรื่อย ๆ โดยเฉพาะขาไก่เนื้อเปื่อยซึมซับน้ำซุป ซึ่งต้องใช้มือตัวเองหยิบดูดจนกระดูกร่อน ทานพร้อมข้าวเปล่าอร่อยเหาะแทบลืมโลก
เขาเพลิดเพลินกับการแทะขาไก่อย่างเมามันหมดไปเกือบครึ่งชาม จึงเพิ่งสังเกตเห็นว่าคนร่วมโต๊ะยังไม่ได้เริ่มแม้แต่จะขยับช้อน
"อ้าว ไม่กินล่ะครับ เดี๋ยวก็หายร้อนหรอก"
คุณชายนั่งนิ่งเฉยชากับคำเตือน เพียงแค่ปรายตามองอนุเสาวรีย์กองกระดูกไก่ย่อม ๆ บนกระดาษทิชชู่ของเขา แล้วตอบสั้น ๆ
"ฉันกินไม่เป็น"
อนุรักษ์เลิกคิ้ว
...กินไม่เป็น? มันจะยากตรงไหนก็แค่ใส่ปากเคี้ยว ทีผงซุปต้มยำผสมน้ำรสชาติพิสดารขนาดนั้น คุณชายยังกินเข้าไปได้เลย นี่อุตส่าห์จัดเครื่องมาเต็มครบรสต้มยำไทยแท้ ๆ ดันไม่ยอมแตะ
...หรือบางทีคุณชายอาจจะคุ้นเคยแต่กับพวกอาหารฝรั่ง?
อย่างคราวที่แล้วก็พาเขาไปทานร้านหรู ๆ เมนูตะวันตกทั้งนั้น ...เทียบกับครั้งนี้ ร้านอาหารตั้งอยู่ในตึกแถวเก่าโทรมคูหาเดียว โต๊ะเก้าอี้เป็นพลาสติกมีลูกค้าจับจองอยู่ไม่เกินสามที่ ข้างผนังตกแต่งด้วยโปสเตอร์โฆษณาน้ำอัดลมสีซีดจาง พรีเซนเตอร์ดาราวัยรุ่นยุค 90 ในรูปปัจจุบันท้องลูกสองไปแล้ว โดยรวมเป็นร้านสไตล์ลูกทุ่งข้างทาง ไม่มีแม้กระทั่งป้ายชื่อ หรืออะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ
อนุรักษ์เชื่อว่าของที่ดูหรูหราไฮโซสุดในร้าน ...ก็คงเป็นคนที่นั่งตรงข้ามกับเขาเนี่ยแหละ
ผู้ชายมาดดีใส่สูทเต็มยศมานั่งอยู่ในร้านต้มซุปเปอร์ตอนห้าทุุ่มคงเป็นภาพหายาก ไม่แปลกถ้าจะตกเป็นเป้าสายตาใครต่อใคร และบทสนทนาของพวกเขาสองคนคงลอยเข้าหูโต๊ะข้าง ๆ จนต้องหันมาร่วมวงคุยด้วย
"น้องชาย ต้มซุปเปอร์ร้านนี้ของดีเลยนะ ลุงลองชิมมาหลายร้านแล้ว ที่ไหนก็สู้ที่นี่ไม่ได้ มันบ่แซ่บ ต้องกลับมาตายรังทู๊กที!"
คุณลุงผมบางหุ่นอวบในเครื่องแบบคนขับแท็กซี่ สำเนียงเจือเหน่อแบบคนอีสานพูดเชียร์สนับสนุน อนุรักษ์สังเกตเห็นบนโต๊ะนั้น มีจานข้าวเปล่าว่าง ๆ กับต้มยำสองชามที่น้ำซุปแทบหมดเกลี้ยงถ้วย บ่งบอกว่าเจ้าตัวคงชอบจริง ๆ ตามคำอ้าง
หากแทนทีคนฟังเริ่มมีปฏิกิริยาคล้อยตาม คุณชายใช้ช้อนตักขาไก่ขึ้นมาพิจารณา โดยไม่ปกปิดอาการคลางแคลงใจ
"ของแบบนี้ยังมีคนเอามากินได้ด้วยหรือ"
...อย่าว่าแต่ตีนไก่เลย ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ผู้อยู่บนห่วงโซ่ชั้นบนสุดของอาหาร ต่อให้เป็นตีนหมี ม้าน้ำ สมองลิง แมงกระจั๊ว ก็สรรหามากินได้ทั้งนั้น ...ขาไก่ถือเป็นวัตถุดิบเบสิค ไม่ใช่ของประหลาดพิลึกอะไร ถึงรูปร่างของมันจะน่าเกลียดไม่ชวนมอง ความจริงกลับซ่อนความอร่อยไว้อัดแน่น คนที่ทานเฉพาะเนื้อปีก เนื้อน่อง มาตลอดอาจไม่เข้าใจ แต่คุณชายก็ไม่มีสิทธิมาดูถูกรสนิยมความชอบของคนอื่น
อนุรักษ์เตรียมจะสั่งสอนสวนกลับ ทว่ายังไม่ทันเริ่ม ใครบางคนดันเป็นฝ่ายแย่งลงมือแทนด้วยแรงอารมณ์มากกว่าสองเท่า
"ที่นี่เป็นร้านต้มซุปเปอร์ ใครกินไม่เป็นก็ออกไป อย่ามานั่งเกะกะลูกค้าคนอื่น!!"
เสียงดังจากหน้าร้านซึ่งวางหม้อต้มขาไก่ร้อน ๆ คนถือกระบวยตักน้ำซุปคือเด็กหนุ่มอายุไม่น่าเกินสิบแปด ความสูงตามวัยกำลังโตจึงยังอยู่ที่ร้อยหกสิบ แต่ดวงตาคู่นั้นแกร่งกล้าคมกริบ ไร้ความเกรงกลัว ซ้ำยังฉาบแววดุจ้องมองมายังโต๊ะเขาด้วยท่าทางหาเรื่อง
เขาคิดอยู่แล้วว่า สักวันคำพูดแสนกวนประสาทไม่รักษาน้ำใจของคุณชาย คงได้ไปจุดระเบิดต่อมโมโหของใครเข้า แต่คาดไม่ถึงว่าจะเป็นในร้านขายต้มซุปเปอร์เจ้าประจำที่ชอบ ขืนมาทะเลาะกันตรงนี้ เขาคงไม่มีโอกาสเหยียบร้านอีกแน่
อนุรักษ์พยายามหาทางไกล่เกลี่ย แต่เป็นอีกครั้งที่เขาโดนชิ่งตัดหน้า
"ปลื้ม! ไปพูดแบบนั้นได้ยังไงกันลูก"
หญิงชราร่างผอมบางเดินลงบันไดมาจากด้านหลังร้าน นักเลงโตเมื่อครู่รีบวางมาดโหด ๆ ทิ้งลงทันที กลายสถานะเป็นหลานชายผู้พูดด้วยความเป็นห่วง
"ยายออกมาทำไม ไปพักเถอะ ปลื้มทำคนเดียวได้"
"ขืนยายปล่อยให้ปลื้มทำคนเดียว ลูกค้าคงหนีหมดร้านพอดี"
"แต่ยายยังไม่ค่อยหาย"
"ยายดีขึ้นเยอะแล้ว พรุ่งนี้ปลื้มก็ต้องไปเรียนแต่เช้าไม่ใช่เหรอ แล้วมีงานต้องส่งครูรึเปล่า ทำเสร็จหมดรึยัง"
"เรียนช่างศิลป์งานไม่เยอะหรอกยาย"
"อย่าโกหกยายนะปลื้ม ยายบอกแล้วว่าหน้าที่ของปลื้มคือเรียน ไม่ต้องห่วงเรื่องอื่น"
"แต่..."
"กลับไปทำหน้าที่ของเราให้เรียบร้อยแล้วค่อยมาช่วยยาย"
...พอโดนดุเข้าหนัก ๆ ก็ต้องยอมพ่ายแพ้ เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ ก่อนเดินขึ้นบันไดไปชั้นสอง ปล่อยให้ร้านกลับมาอยู่ในดูแลของ 'ยายแม้น' เจ้าของตัวจริงที่อนุรักษ์คุ้นเคย
ใบหน้าร่วงโรยตามวัยขึ้นเลขหก แต่ดวงตาฉายแววเอื้ออารีอยู่เสมอ ...เหตุผลอีกอย่างที่เขาชอบมากินต้มซุปเปอร์ร้านนี้บ่อย ๆ ก็เพราะความใจดีของคุณยาย ...ชอบตักข้าวเยอะ ๆ บ้าง ...ตักขาไก่แถมให้เป็นพิเศษกับลูกค้าประจำบ้าง และหลายครั้งเขายังเห็นยายแม้นตักต้มซุปเปอร์ใส่ถุงให้คนไร้บ้านแต่งตัวซ่อมซ่อเอาไปกินฟรี ๆ ด้วย
วันนี้เขาเองก็แปลกใจที่ไม่เห็นหญิงชราอยู่หน้าร้าน แต่ครั้นสังเกตสีหน้าค่อนข้างซีดเซียวกว่าปกติ และฟังจากบทสทนาเมื่อครู่จึงพอเดาสาเหตุได้ว่าคงเกี่ยวข้องกับสุขภาพ หากยายแม้นก็ยังไม่ยอมละทิ้งหน้าที่บริการลูกค้า เดินตรงมายังโต๊ะของพวกเขา
"ต้องขอโทษด้วยนะที่หลานชายยายพูดไม่ดีแบบนั้น"
"ผมต่างหากครับที่ต้องขอโทษ" คุณชายเป็นฝ่ายออกรับแทน "ผมพูดให้เขาเข้าใจผิดเอง จริง ๆ ผมไม่ได้มีเจตนาไม่ดี แต่ผมไม่เคยทานมาก่อน เลยแปลกใจที่เอาขาไก่มาทำต้มยำได้ด้วย"
อนุรักษ์หันมองอย่างแปลกใจ ตอนตักขาไก่ขึ้นมาดู เขานึกว่าคุณชายรังเกียจ ที่แท้คุณชายแค่กำลังสงสัยอยู่หรอกหรือ แต่สีหน้านิ่ง ๆ ตลอดศกแบบนั้นใครจะไปเดาออกว่ากำลังคิดอะไร
"ถ้าไม่เคยทาน งั้นลองชิมดูก่อนสิ ชอบไม่ชอบไม่เป็นไร"
ยายแม้นคะยั้นคะยอ คราวนี้คุณชายจึงหยิบช้อนขึ้นมาเริ่มตักน้ำซุปอีกครั้ง ชิมคำแรกแล้วก็นิ่ง ก่อนตักคำที่สองโดยติดขาไก่มาด้วย ....อนุรักษ์หวังจะเห็นภาพคุณชายแทะตีนไก่เป็นบุญตา แต่คนเนี้ยบยังคงรักษามาดผู้ดี ใช้แค่ช้อนส้อมจัดการอย่างคล่องแคล่ว เนื้อขาไก่ก็หลุดจากกระดูกได้ง่าย ๆ แล้วจึงส่งเข้าปาก ท่ามกลางสายตาลุ้นของคนที่ถามความเห็นอยู่ข้าง ๆ
"เป็นยังไงบ้างจ๊ะ"
"หอมสมุนไพร เปรี้ยวนำ เค็มตาม แล้วหวานติดปลายลิ้นจากน้ำซุปกระดูก ขาไก่ต้มได้เนื่อเปื่อยนุ่มกำลังดี ส่วนความเผ็ดสำหรับผมอาจเข้มข้นไป แต่โดยรวมแล้วอร่อยมาก ๆ ครับ"
เพียงลิ้มรสสองคำ คุณชายก็สามารถสวมวิญญาณยอดเชฟมิชลินสามดาว วิจารณ์ตรงไปตรงมาเป็นฉาก ๆ ไม่ใช่เจาะจงพูดเอาใจเจ้าของร้าน แต่แค่นี้ก็ทำให้แม่ครัวยิ้มหน้าบาน
"จริงเหรอจ๊ะ เฮ้อ...ได้ยินแล้วยายก็โล่งใจ สมัยนี้น่ะไม่ค่อยมีใครชอบต้มซุปเปอร์กันเท่าไรแล้ว เด็กรุ่นใหม่ ๆ เขาก็ไปอยู่ที่โน้นกันหมด"
...ที่โน้น มองจากร้านตรงนี้ก็ยังเห็นป้ายโลโก้เด่นชัด
ร้านฟาร์ดฟู้ดขายไก่ทอดแฮมเบอร์เกอร์แฟร์ไชน์เจ้าดัง เปิดตลอด 24 ชั่วโมง ตั้งดักอยู่หน้าปากซอย ฝั่งตรงข้ามเป็นเซเว่น ฉะนั้น แม้จะใกล้เที่ยงคืน ถนนในตรอกเล็ก ๆ นี้จึงค่อนข้างสว่างไม่เงียบร้าง ส่วนหนึ่งอาจเพราะบริเวณนี้เป็นแหล่งหอพักนักศึกษา อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยที่เขาเรียน ช่วงดึก ๆ เด็กมหาลัยเลยเลือกฝากท้องที่ร้านฟาร์ดฟู้ด มากกว่าร้านต้มซุปเปอร์เฉิ่มเชย ไม่โมเดิร์น ทำให้ร้านไม่สามารถเรียกลูกค้ากลุ่มวัยรุ่นเข้ามาได้
ทว่าวันนี้ลูกค้ารายใหม่ที่เข้ามากลับเป็นหนึ่งในกลุ่มประเภทนั้น...
เสียงรถมอเตอร์ไซต์ดังกระหึ่มก่อนหยุดลงตรงหน้าร้าน พร้อมกับแก๊งเด็กอายุสิบเจ็ดสิบแปดสไตล์แว๊นบอยสี่คนเดินเข้ามานั่งที่โต๊ะ คุณยายรีบละจากพวกเขาไปทำหน้าที่เมื่อได้ยินเสียงตะโกนสั่ง
"เอาต้มซุปเปอร์สี่ชาม แล้วขอเหล้ากับโซดาด้วย"
"ที่นี่ไม่ขายเหล้าจ้ะ"
"งั้นเบียร์ก็ได้"
"เบียร์ก็ไม่มีจ้ะ"
"อะไรวะ! เปิดร้านอาหารแล้วไม่ขายเหล้าได้ยังไง"
ไอ้หนุ่มผมทองไถข้างโวยวายเสียงดัง เพื่อนที่มาด้วยกันกวาดตามองรอบร้านด้วยสายตาดูถูก
"นั่นดิ มิหน่าร้านถึงเงียบ ๆ ดูไม่ค่อยมีคนกิน"
"เออ งั้นป้าไปซื้อเหล้ามาให้หน่อย เซเว่นอยู่ตรงนี้เองไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวแถมทิปให้ด้วย"
คนที่ท่าทางเป็นลูกพี่ใหญ่สุดและดูรวยสุดควักแบงค์พันออกมาโบก แต่ยายแม้นก็ยังยืนกราน
"ไม่ได้หรอก ยายให้เข้ามาดื่มในร้านไม่ได้จริง ๆ แล้วพวกเธอก็ยังเด็กอยู่ด้วย"
"ป้าอย่าเรื่องมากได้ป่ะ รู้ไหมผมลูกใคร รีบ ๆ ไปทำตามที่บอกซะ ถ้าไม่อยากให้ร้านของป้ามันเงียบถาวร"
ได้ยินคำพูดจาไม่เคารพกับผู้สูงอายุ อนุรักษ์ชักทนฟังต่อไปไม่ไหว ต่อมเลือดพลเมืองดีมันเดือดพล่าน แต่เขาก็ออกตัวช้าไปตลอด
"น่าสงสารว่ะ! ตัวเองเป็นลูกใครยังจำไม่ได้ ถึงมาเที่ยวถามคนอื่นไปทั่ว!!"
เจ้าของประโยคหยุดอยู่ตรงบันได คงเพราะได้ยินเสียงเอะอะเลยลงมา กลุ่มเด็กแว๊นหันไปเขม่นมอง ผู้เป็นยายจึงรีบเข้าไปเอ็ดหลานชายอีกครั้ง
"ปลื้ม! ยายบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ให้พูดแบบนั้น"
แต่คราวนี้คนฟังไม่สนใจ เพราะมัวแต่จ้องไปยังนักเลงกลุ่มใหญ่ซึ่งยังคงเอ่ยวาจาถากถาง
"อ้อ...มึงเป็นหลานของอีป้านี่เหรอ กวนตีนไม่แพ้กันเลยนะ สงสัยอยากจะลองดีทั้งคู่"
"ก็เอาสิวะ นึกว่ากูกลัวเหรอ มึงเข้ามาเลย!"
ตะโกนพลางถลกแขนเสื้อเตรียมปรี่เข้าไปตามคำท้า อนุรักษ์ที่อยู่ใกล้ ๆ ต้องรีบลุกมาดึงไหล่ขวางไว้
"ใจเย็น ๆ ก่อนน้อง"
ถึงเขาจะอยากสั่งสอนไอ้เด็กกลุ่มนั้นเหมือนกัน แต่การใช้กำลังชกต่อยไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา ที่สำคัญเขาสังเกตเห็นคนที่เป็นหัวหน้าแก๊งล้วงกระเป๋ากางเกงกำบางสิ่งเอาไว้ ไม่แน่อาจเป็นอาวุธพวกมีดคัตเตอร์หรือปืนก็ได้ ขืนเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้าจะทำให้เรื่องเลวร้ายลงกว่าเดิม แต่คนอารมณ์ร้อนกลับพยายามขืนตัวออก
"ปล่อยนะโว้ย อย่ามาห้าม!"
ประมาทว่าตัวเล็กกว่า แต่แรงดันเยอะจนสะบัดมือเขาหลุดง่าย ๆ ก่อนพุ่งตรงดิ่งไปยังเป้าหมาย ฝ่ายนั้นลุกขึ้นยืนทั้งโต๊ะเตรียมพร้อมออกศึก เหลืออีกไม่กี่ก้าวก็จะเข้าปะทะ ถ้าไม่ใช่เพราะเสียงราบเรียบหยุดเอาไว้
"ที่นี่เป็นร้านต้มซุปเปอร์ ใครคิดจะมีเรื่องก็เชิญออกไปข้างนอก อย่ารบกวนลูกค้าคนอื่น"
เจ้าของประโยคที่โดนย้อนรอยชะงักเท้า ฉุกใจคิดถึงสิ่งที่ตัวเองเคยเตือนใครบางคนด้วยเหตุผลทำนองเดียวกัน ปลื้มหันกลับมามองคุณชาย และเลยมามองโต๊ะข้าง ๆ ของลุงคนขับแท็กซี่ ซึ่งตอนนี้ขยับลงไปหลบข้างโต๊ะเพราะกลัวโดนลูกหลง ก่อนจะหยุดสายตาที่ยายแม้น...คนผู้ให้ความสำคัญกับร้านนี้มากที่สุด
สติเริ่มกลับเข้ามาหลังจากถูกแรงอารมณ์พัดพาไป ปลื้มตัดสินใจหันหลังให้แก๊งค์เด็กแว๊นจึงถูกทั้งกลุ่มสบถโห่ไล่
"โธ่เว้ย! แม่งไม่แน่จริงนี่หว่า"
"คนที่ไม่ได้ตั้งใจจะมาทานก็เชิญด้วย"
...อนุรักษ์เพิ่งรู้ข้อดีของการใส่สูทมานั่งกินต้มซุปเปอร์ก็คราวนี้ เพราะมันช่วยขับบารมีคนสวมให้แผ่รังสีมีอำนาจโดยไม่จำเป็นต้องอ้าปากถามว่า
...รู้ไหมกูลูกใคร? ถ้าที่นี่เป็นประเทศญี่ปุ่น คุณชายคงให้ภาพลักษณ์คล้ายยากูซ่ามาเฟีย พวกนักเลงกระจอกพอโดนบรรยากาศกดดันจากใบหน้านิ่งและนัยน์ตาเยียบเย็นเข้าข่มก็เกรงกันไปหมด
"กะ...กูก็ไม่อยากมาแดกร้านโทรม ๆ นี้ให้เสียปากหรอก ที่เข้ามาเพราะนึกว่าจะมีเหล้ากิน แต่ถ้าไม่มีพวกกูไปกินร้านนู้นก็ได้!"
เจอคนแน่จริงมวยคนละรุ่นเข้าไป กลุ่มเด็กแว๊นก็ยอมถอย ขึ้นขี่มอเตอร์ไซต์ออกไปยังร้านฟาร์ตฟู้ดที่เปิดอยู่ไม่ไกลแทน
...บรรยากาศในร้านกลับสู่ความสงบอีกครั้ง ลุงคนขับแท็กซี่ลุกขึ้นมานั่งเก้าอี้เหมือนเดิมหลังสถานการณ์คลี่คลาย ทำให้ยายแม้นต้องเอ่ยเกรงใจ
"ต้องขอโทษด้วยนะจ๊ะที่ทำให้ตกใจ"
"บ่เป็นหยังครับ เออ...ว่าแต่แล้วทำไมร้านนี้ถึงไม่ขายเหล้าล่ะครับ"
ต้นเหตุหลักของปัญหาย่อมไม่แปลกที่จะถูกสงสัย ยายแม้นทอดสายตาไปไกลพลางอธิบาย
"...ลูกยายเสียไปเพราะเหล้าน่ะ ยายเลยไม่อยากขายให้ใครดื่ม"
ปลื้มเองก็เบี่ยงสายตาก้มหน้ามองลงพื้น ...กับคนที่เสียพ่อแม่ไปเช่นเดียวกัน อนุรักษ์เข้าใจความหวั่นไหวในแววตานั้นดี
"พอไม่ขายเหล้า ลูกค้าก็เลยไม่ค่อยเข้าร้าน ยายอายุก็มากแล้วชักเริ่มทำไมไหวเปิด ๆ ปิด ๆ บ้าง ไม่รู้ว่าร้านนี้จะอยู่ได้นานแค่ไหน"
หญิงชราถอนใจอย่างเหนื่อยอ่อน ถึงใจจะสู้แต่สภาพแวดล้อมไม่อำนวยก็ยากจะหาหนทางไปต่อ แม้หลานชายจะยังคงยืนกราน
"ปลื้มบอกยายแล้วว่าจะช่วย ยังไงร้านนี้ก็ต้องอยู่"
"แต่ปลื้มอยากเป็นจิตรกรไม่ใช่เหรอลูก ไปทำตามความฝันของปลื้มเถอะ ยายจะอยู่ส่งปลื้มเรียนเอง"
ความรักอันยิ่งใหญ่ของผู้เป็นยายพาให้คนฟังสะท้อนใจ ลุงแท็กซี่แอบปาดน้ำตาเบา ๆ อนุรักษ์เองก็นึกถึงป้าที่คอยส่งเสียเลี้ยงเขามา ทั้ง ๆ ที่การศึกษาของคนคนหนึ่งจำเป็นต้องใช้ทุนค่อนข้างมาก และผู้เรียนก็ตระหนักถึงความจริงข้อนี้
"แต่ร้านขายไม่ดี ยายจะเอาเงินมาจากไหน"
"...แล้วถ้าผมมีวิธีทำให้ร้านกลับมาขายดีได้ล่ะครับ"..
..