..
..
คุณชาย
อนุรักษ์กดปุ่มโทรออกในรายชื่อนี้ทันทีที่หลังเลิกงาน
ไม่รู้ทำไมระยะเวลาทำงานวันนี้ดูยาวนานกว่าปกติ หรืออาจเป็นเพราะเขามัวเหลือบมองนาฬิกาบ่อยๆ จนพี่ตาสังเกตเห็นท่าทางกระวนกระวายถึงกับถามว่ามีธุระสำคัญอะไรรึเปล่า พนักงานแคชเชียร์ดีเด่นเลยพยายามดึงสติกลับมาตั้งใจทำงาน ภาวนาให้เข็มนาฬิกาเร่งเดินไวๆ
พอตอกบัตรออกปุ๊บ เขาก็ทำตัวเป็นแฟนโทรจิก ไม่เกินสิบห้านาที รถญี่ปุ่นคันเล็กก็มาจอดรออยู่หน้าป้ายรถเมล์
อนุรักษ์เปิดประตูเข้าไป ยกมือไหว้คุณชายราวกับผู้ปกครองมารับนักเรียนกลับบ้าน
"แชมพูอยู่หลังรถ เดี๋ยวฉันจะไปส่งเธอที่หอ บอกทางมาด้วยแล้วกัน"
คนขับหมุนพวงมาลัยให้รถเคลื่อนไปบนถนนอีกครั้ง ...สี่ทุ่มครึ่งน่าจะเป็นเวลาพักผ่อน แต่คุณชายก็ยังอุตส่าห์ขับรถเอาแชมพูมาให้แถมยังจะไปส่งเขาอีก ...นึกเกรงใจ แต่ก็ต้องข่มเรื่องมารยาทเอาไว้ เพราะก่อนหน้านี้เขาตัดสินใจว่าจะไม่อ้อมค้อมอีกแล้ว
"คุณชายครับ"
เกริ่นเรียกเจ้านายตัวเองที่ยังคงไม่ละสายตาจากถนน หากท่าทีบางอย่างทำให้รู้ว่ากำลังรอฟังเขาพูด อนุรักษ์สูดลมหายใจลึก เอ่ยสิ่งที่สงสัยมาตลอดทั้งวัน
"พรีเซนเตอร์โฆษณาที่ผูกสัญญากับ ATM คนนั้นคือใครครับ"
มือซึ่งจับพวงมาลัยขยับเข้าหากันเล็กน้อย พร้อมการตอบตัดบทสั้นๆ
"เธอไม่จำเป็นต้องรู้"
"แต่ผมเป็นครีเอทีฟช่วยคิดโฆษณานะครับ ผมมีสิทธิที่จะรู้"
“แล้วสิทธิในการเป็นหัวหน้าของเธออยู่ที่ฉันรึเปล่า"
ประโยคย้อนเล่นเอาแทบจุก ในเมื่อไม้อ่อนไม่ได้ผล เห็นทีคงต้องใช้ไม้แข็ง
"พรีเซนเตอร์โฆษณาคนนั้น...ใช่คุณน้ำตาลแฟนเก่าของคุณรึเปล่าครับ"
คำถามตีแสกหน้าตรงๆ ทำให้ดวงตาเรียวหันมาสบมองเขาเป็นครั้งแรก
"เธอได้ยินมาจากไหน"
อนุรักษ์จึงเล่าเรื่องที่เมื่อวานบังเอิญเจอคุณน้ำตาลคุยกับคุณเฮงด้วยท่าทีลับๆ ล่อๆ และปิดท้ายด้วยการตั้งข้อสงสัย
"ผมว่าคุณเฮงอาจเป็นคนทรยศคุณอยู่ก็ได้"
ยอดนักสืบคาดหวังให้คุณชายตื่นเต้นไปกับการค้นพบคนร้ายของเขา ทว่าเจ้าตัวดันแย้งด้วยท่าทางเคร่งเครียด
"แต่เธอไม่มีหลักฐาน จะกล่าวหาลอยๆ ไม่ได้"
...มันก็จริง ผู้ร้ายส่วนใหญ่มักอ้างเหตุผลนี้ไว้เป็นคาถาป้องกันตัวกันทั้งนั้น
"งั้นคุณหาหลักฐานไปถึงไหนแล้วครับ"
"ยังไม่คืบหน้าเท่าไร ฉันไม่ได้แค่อยากรู้ว่าเขาเป็นใคร แต่ฉันอยากรู้ด้วยว่าเขาทำไปเพราะอะไร"
"แล้วคุณจะปล่อยให้เขาทำลายคุณต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้เหรอครับ"
แค่เขาพลาดงานโฆษณาเดียวที่ทุ่มเทแรงใจแรงกายก็เจ็บใจแทบตาย แต่คุณชายยังเลือกยืนเป็นเป้านิ่งให้คนมายิงซ้ำๆ แล้วแล้วยังยึดกับแผนการเดิมๆ
“ขอมือถือเธอให้ฉันดูหน่อย”
อนุรักษ์ยกมือถือของตนเองไปให้อย่างว่าง่าย หากเขาก็ยังหวนคิดถึงบทสนทนาที่ได้คุยกับไอ้ทัต เรื่องช่องโหว่งต่างๆ ที่คุณชายฝากซิมไว้กับเขา
“อาศัยแค่ซิมนั้นเป็นหลักฐานอย่างเดียวจะพอเหรอครับ ผมว่าเรามาลองคิดหาทางอื่นดีไหม เผื่อจะจับสปายได้เร็วขึ้น”
เขาพยายามเสนอตัวเข้าไปช่วย แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นการผลักไสให้ออกห่าง
“ไม่ต้อง เธอไม่เข้าใจ”
ใช่...เขาไม่เข้าใจ เพราะคุณชายไม่ยอมบอกอะไรเขาเลย...
มีหลายเรื่องมากมายที่เขาสงสัย แต่ที่ผ่านมาเขาแกล้งทำเป็นมองไม่เห็น เพราะคิดว่าถ้าคุณชายอยากจะพูดก็คงพูดออกมาเอง แต่ความอดทนคนเรามีจำกัด การทำงานร่วมกันต้องอาศัยความเชื่อใจ หากความเชื่อมั่นนั้นสั่นคลอน
...เขาอยากรู้ว่าคุณชายจะรู้สึกแบบเดียวกับเขาตอนนี้รึเปล่า
"คุณรู้ไหม เมื่อวานตอนที่ผมโทรบอกคุณว่าถึงหอแล้ว ความจริงผมยังนั่งอยู่หน้าคอนโดคุณอยู่เลย พอวางสายจากคุณ ผมก็ไปดูหนังอีกสองเรื่องควบ กว่าจะกลับหอตั้งเกือบสี่ทุ่ม"
คุณชายละสายตาจากโทรศัพท์ขึ้นมามองเขาทันควัน ด้วยท่าทางตกใจมากกว่าจะโกรธ
"อะไรนะ!? ทำไมเธอทำแบบนั้น"
"ก็ไม่ต่างจากคุณที่เก็บทุกอย่างเอาไว้คนเดียวหรอกครับ ...ถ้าผมไม่บอก คุณก็ยังคิดว่าผมเป็นเด็กดีรีบกลับหอตามคำสั่งคุณใช่ไหมครับ"
"เธอนี่มัน..." ราวกับสรรหาคำมาโต้ตอบไม่ได้คงรู้แล้วว่าโดนจงใจเอาคืน แต่เขาแสร้งทำเป็นชี้ไปยังตึกแถวใกล้สี่แยก
"เดี๋ยวรบกวนช่วยจอดรถตรงเซเว่นข้างหน้าด้วยครับ"
คุณชายไม่เอ่ยถามเหตุผล พอไฟเปลี่ยนเป็นสีเขียวก็จอดรถแนบริมฟุตบาทตามคำขอ อนุรักษ์หายเข้าไปในร้านสะดวกซื้อ ไม่นานก็หิ้วถุงใส่กระป๋องเบียร์กลับขึ้นมา ก่อนเปิดฝาดื่มอึกๆ โดยไม่คิดจะเกรงใจเจ้าของรถที่นั่งข้างๆ อีกต่อไป
เขาไม่ได้ตั้งใจเมา แค่อยากให้แอลกฮอลล์ไปละลายความกลัว เพราะเรื่องที่เขาตัดสินใจเล่าต่อจากนี้ ...มันเจ็บปวดทุกครั้งที่ย้อนความทรงจำกลับไป
"...ตอนพ่อแม่ผมเสีย คุณเชื่อไหมว่าผมไม่ร้องไห้เลย"
ในที่สุดหลังกระดกเบียร์ไปค่อนกระป๋อง อนุรักษ์ก็เริ่มต้นเล่าเรื่องทั้งหมดดังม้วนฟิลม์กรอกกลับ
...หลังอุบัติเหตุ ทุกอย่างผ่านพ้นไปรวดเร็ว งานศพถูกจัดขึ้น ญาติๆ รวมตัวกัน ป้ารับเป็นผู้ปกครองดูแลเขา ทำให้เขาต้องขนข้าวของย้ายไปต่างจังหวัด รวมทั้งจัดการเอกสารย้ายโรงเรียน มีเรื่องหลายเรื่องประดังประเดเข้ามาจนแทบไม่มีเวลาเสียใจ
อนุรักษ์ที่อายุสิบห้ารู้เพียงแค่ว่า เขาต้องไม่ทำตัวมีปัญหา เพราะไม่อยากให้ป้ารับภาระหนักกว่านี้ เขาไม่เรียกร้องเอาแต่ใจ พูดจาน้อยลง ทานอาหารน้อยลง ขังตัวเองไว้กับโทรศัพท์ที่มีข้อความสุดท้ายของแม่ ทุกคืนภาพในฝันซ้ำๆ เขาได้ย้อนเวลากลับไปมองอุบัติเหตุครั้งนั้น และกล่าวโทษทุกสิ่งทุกอย่างที่ไม่เอาตัวเขาไปแทนพ่อและแม่
น้ำหนักเขาหายไปหลายกิโล ร่างกายผอมแห้งจนป้าต้องพาไปโรงพยาบาลเพราะนึกว่าเขาป่วย หลังจากนั้นเขาจึงรู้ว่าตนเองป่วยจริงๆ ...ด้วยโรคซึมเศร้าระยะเริ่มต้น
เขาไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง เพื่อนสนิทอย่างไอ้ทัตเขาก็แค่บอกเรื่องอุบัติเหตุ แต่ไม่เคยรู้ว่าเขาป่วยเป็นโรคซึมเศร้าหวุดหวิดใกล้จะฆ่าตัวตาย เขาปรึกษาจิตแพทย์และทานยาอยู่เกือบปีอาการจึงดีขึ้นเรื่อยๆ
ยกเว้นเพียงอาการเดียวที่ยังไม่หายขาด ...คือการเก็บโทรศัพท์เครื่องสำคัญไว้ไม่ห่างกาย เพื่อเป็นเครื่องย้ำเตือนความเศร้าที่กลายเป็นแผลลึกในใจ
อนุรักษ์กระดกเบียร์อีกครั้ง ก่อนเฉลยความลับอีกเรื่องให้คนซึ่งนั่งเงียบฟังเขามาตลอด
"ตอนที่ผมเอาสมาร์ทโฟนคุณไปซ่อม ผมขอโทษที่เสียมารยาทเปิดดูอัลบั้มรูปของคุณ แต่ทั้งอัลบั้มผมเห็นมีรูปถ่ายแค่คนคนเดียว ...คนนั้นใช่น้องชายคุณรึเปล่าครับ"
เขาไม่คาดหวังว่าคุณชายจะตอบ เผลอๆ อาจโดนดุใส่เพราะดันไปเปิดข้อมูลส่วนตัวโดยไม่ได้รับอนุญาต และที่สำคัญ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ...ที่เขาตัดสินใจเล่าออกมา แค่ต้องการให้เห็นว่า เขาเองก็เคยเก็บปัญหามากมายเอาไว้กับตนเองเพียงลำพัง คิดว่าจะแบกรับทุกสิ่งทุกอย่างไหว แต่สุดท้ายมันกลับย้อนมาทำร้ายตัวเขาเอง
คุณชายทอดสายตามองไปยังกระจกหน้า แสงไฟถนนกระทบใบหน้าคมซึ่งยังนิ่งเฉย ขณะเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
"สองปีก่อน น้องชายฉันมาหา ฉันควรจะไปส่งเขา แต่ฉันมัวยุ่งอยู่กับโฆษณารถ เขาเลยขอกลับเอง ระหว่างทางแท็กซี่คันนั้นประสบอุบัติเหตุ"
เป็นการอธิบายเรื่องที่สั้นกว่าเขามาก แต่ได้ใจความครบถ้วน และแม้ท่าทีของคุณชายไม่เปลี่ยน หากเขาสังเกตเห็นนัยน์ตาเรียวสะท้อนแสงไฟสั่นไหว คล้ายยังคงติดอยู่กับความผิดกล่าวโทษตัวเองที่เป็นสาเหตุทำให้คนสำคัญต้องจากไป
"ที่คุณเข้าหาผม เพราะคุณเห็นผมเหมือนน้องชายคุณใช่ไหมครับ"
ตัดสินใจถามสิ่งที่อยากรู้มานาน แต่คุณชายกลับส่ายหน้า
"เธอไม่เหมือนน้องชายฉันเลย น้องฉันเป็นเด็กซื่อๆ ฉันบอกอะไรก็จะยอมทำตาม แต่เธอน่ะมันดื้อ หัวรั้น ชอบเอาชนะ"
คำเปรียบเทียบเหมือนเขาเป็นเด็กนิสัยเกเรฟังเอาฉุน ทว่าพิจารณาจากวีรกรรมแสนแสบวันนี้ก็คงเป็นจริงตามนั้น
"แต่...เธอทำให้ฉันนึกถึงน้องชายตัวเอง เวลาฉันอยู่กับเขา ฉันจะคิดไอเดียดีๆ ได้เสมอ เหมือนตอนที่ฉันอยู่กับเธอ...ฉันสบายใจ"
คุณชายน่ะเหรออยู่กับเขาแล้วสบายใจ เห็นมีแต่ทำหน้านิ่งๆ เดาอารมณ์ไม่ค่อยถูก เช่นเดียวกับตอนนี้ที่อีกฝ่ายทำตัวเป็นผู้ปกครองเคร่งระเบียบ ดึงกระป๋องเบียร์จากมือเขาไปใส่ไว้ในช่องว่างแก้วข้างฝั่งตนเอง
"เธอไม่ควรกินเยอะมากขนาดนั้น ดึกป่านนี้กลับกันได้แล้ว"
เป็นอันปิดฉากการสนทนาย้อนความหลัง
อนุรักษ์นั่งเงียบให้คุณชายออกรถไปยังจุดหมายเดิมอีกครั้ง ไม่เกินสิบนาทีก็มาถึงหอพักโดยสวัสดิภาพ
เขาลงจากรถพร้อมคนขับซึ่งออกมาเปิดประตูท้ายหยิบถุงเจคิงส์ซูปเปอร์ที่มีแชมพูสามขวด รวมทั้งถุงใส่กล่องขนมสีชมพูลายวินเทจรูปดอกไม้น่ารัก แบบไม่เหมาะกับบุคลิกของผู้ที่ยื่นส่งมาให้
“อะไรน่ะครับ”
“ฉันซื้อมาฝาก”
เขารับมาเปิดกล่องออกดู คัพเค้กหกชิ้น สีสันตกแต่งหวานไม่แพ้เนื้อขนม เป็นของฝากช่างอยู่คนละขั้วกับการกระดกเบียร์แบบฮาร์ดคอร์ไปเมื่อครู่ ทั้งที่เขาเพิ่งแสดงออกว่าเป็นผู้บรรลุนิติภาวะเสียขนาดนั้น แต่คุณชายยังคงติดมองภาพลักษณ์เขาเป็นเด็กน้อยไม่หาย
ตรงข้าม...ถ้าเป็นบทบาทเรื่องงาน กลับวางใจสั่งการเขาต่อเนื่องทันที
"พรุ่งนี้ช่วยแวะมาบริษัทด้วยนะ เธอต้องเซ็นเอกสารรับรองฝึกงานเป็นครีเอทีฟ ฉันแจ้งฝ่ายบุคคลไว้แล้ว เตรียมแค่บัตรนักศึกษามาก็พอ"
"จะรับผมเข้าตำแหน่งนี้จริงๆ เหรอครับ ไหนคุณบอกว่าผมมีความสามารถไม่พอ"
ก็ใช่ที่เขาสนใจงานโฆษณาและอยากได้ประสบการณ์ แต่การใช้ตำแหน่งครีเอทีฟบังหน้าเจเนรัลเบ๊ก็สร้างความลำบากใจให้ไม่น้อย เกิดโดนสัมภาษณ์ หรือมีใครถามถึงเนื้องานเบื้องลึกขึ้นมาจะทำยังไง
ชั่วขณะนั้นเอง เขารู้สึกถึงสัมผัสของมือที่ลูบศีรษะเบาๆ
"ตำแหน่งของเธอให้ใครมาแทนที่ไม่ได้...อย่าคิดมาก"
...คุณชายทำเหมือนเขาเป็นเด็กอีกแล้ว แต่แปลกตรงคราวนี้เขาไม่ได้หงุดหงิดหรือโกรธเคืองใดๆ เลย
หลังเอ่ยจบอีกฝ่ายก็ขึ้นรถขับออกไปโดยมีอนุรักษ์ยืนส่ง ก่อนเขาจะเดินกลับห้องตนเองบ้าง เปิดประตู วางข้าวของลงบนโต๊ะ แล้วเปิดกล่องคัพเค้ก หยิบขึ้นมากัดชิมลงไปคำหนึ่ง
สมกับที่คุณชายเป็นนักโฆษณา จริงอยู่ว่าคำหว่านล้อมย่อมไม่มีประโยชน์ หากผู้ซื้อใจแข็งมากพอ เขามีสิทธิจะถอยห่างจากคุณชายได้ทุกเมื่อ และถึงจะรู้ความจริงไปบางส่วนก็ยังเหลือข้อสงสัยอีกมากมาย
ทว่า...แค่เพียงความหวานของขนมชิ้นเดียว มันกลับสามารถโน้มน้าวให้เขายอมรับ
ถ้าจะถูกหลอก...ตอนนี้เขาก็จะขอยอมโดนหลอกอยู่ในฐานะ ‘ลูกน้องชื่ออนุรักษ์’ เคียงข้างพระเอกต่อไปอีกสักระยะก็แล้วกัน
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ร่างสูงในชุดสูทก้าวผ่านโถงทางเดินของคอนโดตกแต่งด้วยโคมไฟแชนเดอเลียโอ่อ่าหรูหรา ห้องชุดแต่ละห้องถูกวางตำแหน่งไว้ห่างกันค่อนข้างมาก เหมาะสำหรับผู้อยู่อาศัยที่ชอบความเป็นปัจเจก เฟอร์นิเจอร์สวยงามราคาแพงจึงมีไว้เพื่อกลบเกลื่อนบรรยากาศเงียบงันไร้ความเป็นมิตร
มือขวายกกดแสกนรหัสประตูห้องตนเอง ส่วนมืออีกข้างถือกระป๋องเบียร์ซึ่งเหลือปริมาณอยู่ไม่มาก ครั้นถอดรองเท้าก้าวเข้าไปด้านใน หุ่นยนต์ดูดฝุ่นก็เคลื่อนมาหยุดอยู่ใกล้ๆ พอดี
“ออกมารับฉันหรือ”
พึมพำกับเครื่องทำความสะอาดเหมือนสัตว์เลี้ยงเฝ้ารอคอยเจ้าของอย่างซื่อสัตย์ ก่อนจะเดินเข้าไปในครัว เพื่อจัดการทิ้งกระป๋องเบียร์ลงถังขยะ แต่เสียงเพลงอิเล็กทรอนิคป็อบดันดังแทรกขึ้นจากสมาร์ทโฟนสีขาว ซึ่งเขาแยกไว้สำหรับติดต่องาน รวมถึงบุคคลสำคัญโดยเฉพาะ ดังนั้นเมื่อเห็นชื่อปรากฏบนหน้าจอ เขาจึงรีบวางกระป๋องเบียร์บนเคาท์เตอร์ครัว กดรับพร้อมกรอกเสียงสุภาพ
“ครับท่าน”
“งานชิ้นล่าสุดมีปัญหาอีกแล้วรึ”
น้ำเสียงทอนไม่เชิงตำหนิ เป็นการถามไถ่ด้วยความเป็นห่วงเสียมากกว่า หากชายหนุ่มรู้ดีว่าข้อผิดพลาดหลักๆ เกิดขึ้นเพราะมีเขาเป็นต้นเหตุ
“ต้องขอโทษด้วยครับ ผมรับรองว่าจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้อีก”
“น่าแปลกนะ โฆษณาลิปสติกคราวที่แล้วเธอจัดการแก้ปัญหาได้เร็ว แต่คราวนี้แค่เพราะใช้ดาราเป็นพรีเซนเตอร์ เธอกลับไม่มีแผนรับมือดึงลูกค้าเราคืนมาเชียวหรือ”
ดีที่เป็นการคุยโดยไม่เห็นหน้า มิเช่นนั้นอาการกระตุกมือเข้าหาโทรศัพท์เพียงเล็กน้อยของเขาอาจทำให้ข้อสงสัยลอยๆ เพิ่มน้ำหนักขึ้นราวกับถูกล้วงความลับในใจ
...แผนน่ะมีวางไว้พร้อมแล้ว
ไม่ใช่เรื่องยากที่นักครีเอทีฟจะสามารถนำเสนอบริษัทลูกค้าว่าการใช้พรีเซนเตอร์ก่อให้เกิดผลเสียอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะวิธีจ้างดาราซึ่งเป็นกระแสดังและรับงานโฆษณาหลายชิ้นในเวลาพร้อมๆ กัน
ข้อแรก ผู้บริโภคจะเกิดความเบื่อหน่าย เพราะพบเห็นหน้าดาราคนเดิมบ่อยครั้ง
ต่อมาอาจสร้างความสับสนในภาพลักษณ์ เนื่องด้วยพรีเซนเตอร์ที่พ่วงโฆษณาหลายแบรนด์เกินไป ย่อมมีสินค้าที่ไม่สอดคล้องกับบุคลิกได้ทั้งหมด ทำให้ขาดความน่าเชื่อถือ กลายเป็นทัศนคติเชิงลบ
รวมถึงในแง่การลงทุน ค่าตัวผูกสัญญากับดาราซูเปอร์สตาร์ระยะยาวก็ไม่คุ้มค่าเงินที่สูญเสีย
...กรณีโฆษณาผงปรุงรสต้มยำและ ‘น้ำตาล’ เข้าข่ายหลักการนี้ทั้งหมด
แต่สาเหตุหลักที่เขายอมถอนตัวง่ายๆ ไม่ใช่เพราะเขาอยากจะไถ่โทษให้กับผู้หญิงซึ่งตั้งสถานะเอาเองว่าเป็น ‘แฟน’ ทั้งที่ไม่มีเรื่องเกินเลยใดๆ
เขาเจอน้ำตาลในงานอีเวนท์โฆษณาที่เคยรับทำโปรเจคเมื่อสามเดือนก่อน หลังจากนั้นไม่รู้ว่าเธอเอาเบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวของเขามาจากไหน แต่น้ำตาลเพียรตามเฝ้าถึงที่ทำงาน จนทั้งบริษัทลือกันเองว่าเธอเป็นแฟนเขา คำแก้ต่างเปล่าประโยชน์ เมื่อน้ำตาลยิ่งทำให้ข่าวลือหนักข้อด้วยการบินไปนิวยอร์กพร้อมกับเขาซึ่งต้องไปดีลงานโฆษณาสินค้า แต่นั่นเป็นเรื่องดีที่ทำให้เธอพบหนุ่มคนใหม่ จนยอมปล่อยมือเลิกรา ทว่าก็ไม่วายผูกใจเจ็บเอาคืนภายหลัง
...การมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงมักนำไปสู่เรื่องน่าปวดหัว
ด้วยหน้าตาและฐานะ เขาต้องรับมือกับผู้หญิงมากมายที่เข้ามาหาตั้งแต่สมัยเรียนจวบจนทำงาน แต่เขาไม่เคยคิดอยากจะผูกพันธะใดๆ เพราะสบายใจที่ได้ทำงานมากกว่าไปคอยทุ่มเทดูแลเอาใจใคร มีไม่กี่คนที่สามารถทำให้เขาละจากงานมาได้ ซ้ำล่าสุดยังเป็นผู้ชายอายุน้อยกว่าเกินสิบปี
“เอาเถอะ...อะไรพลาดไปแล้วก็ให้แล้วไป ฉันรู้ว่าช่วงนี้เธอคงเจอเรื่องหนักสักหน่อย ฉันก็ไม่อยากสร้างความกดดันให้เธอมาก แต่งานถัดไปมีคนฝากฝังมา...หวังว่าเธอคงจะเข้าใจนะ”
คำสั่งอ้อมๆ เพียงพอให้ทราบความหมายแฝงนัย ก่อนสายจะถูกตัดไป
ดวงตาเลื่อนมองกระป๋องเบียร์บนเคาท์เตอร์ครัว นึกถึงคำพูดแบบเด็กๆ ที่โมโหแทนเขา
‘แล้วคุณจะปล่อยให้เขาทำลายคุณต่อไปเรื่อยๆ แบบนี้เหรอครับ’
รู้สึกดีที่อีกฝ่ายเป็นเดือดเป็นร้อน หากใจหนึ่งก็อดห่วงไม่ได้
ถึงแม้รักษ์จะเป็นเด็กฉลาดพอจะคิดวิเคราะห์ แต่มักชอบใจอ่อนทำตามความรู้สึกมากกว่าเหตุผล ขนาดยอมเปิดปากเล่าอดีตอันเจ็บปวดที่สูญเสียพ่อแม่ เพื่อช่วยเยียวยาบาดแผลในใจให้เขาที่เสียน้องชายไป
...ตอนเขาแอบซ่อนซิมโทรศัพท์ไว้ในเครื่องก็เช่นเดียวกัน
มันง่ายมากหากเจ้าของจะถอดทิ้ง แล้วแสร้งทำเป็นไม่เห็น แต่รักษ์กลับนำมาคืน และยังเต็มใจช่วยในเรื่องที่เขาร้องขอ โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ เลย
ความเป็นธรรมชาติตรงไปตรงมานี้เอง เป็นเหตุผลที่ทำให้เขาอยู่ด้วยแล้วสบายใจ ขณะเดียวกันก็ต้องคอยจับตาดูเด็กจอมดื้อรั้น เพราะในเกมธุรกิจอันเต็มไปด้วยคมเขี้ยวเล่ห์เหลี่ยมกลโกง ถ้าไม่ระวังให้ดีก็อาจถูกกัดเป็นแผลใหญ่
...เหมือนหมากตานี้ซึ่งเขาเดินเกมถอย แต่ไม่ได้หมายความว่าเขากำลังเสียเปรียบ
ชายหนุ่มเปิดถังขยะในครัว ข้างในมีกล่องขนมสีชมพูนอนนิ่งอย่างว่างเปล่า มันทำให้เขาหวนคิดถึงเรื่องในอดีต เป็นภาพทับซ้อนของกล่องเค้กลวดลายวินเทจดอกไม้เล็กๆ เหมือนกันกับของที่เขาเพิ่งให้ใครบางคนไป เพียงแต่สิ่งที่บรรจุก่อนหน้านี้ไม่ใช่คัปเค้ก แต่มันคือธนบัตรสีเทาจำนวนมากพอจะซื้อคัปเค้กได้เป็นร้อยๆ ชิ้น มือใหญ่ทิ้งกระป๋องเบียร์ตามลงไป ขณะนั้นเองที่โทรศัพท์อีกเครึ่องหนึ่งดังขึ้น เบอร์โทรสาธารณะไม่คุ้นตา แต่เขากดรับรอให้ปลายสายพูด
ความเงียบทิ้งตัวอยู่นานราวกับวัดใจ กระทั่งสัญญาณถูกตัดไป เช่นเดียวกับที่เคยขึ้นกับรักษ์มาก่อน
ชายหนุ่มจ้องมองจดจำตัวเลขเบอร์โทรศัพท์นั้น เรื่องนี้เขาคงไม่อาจรับมือได้เพียงคนเดียวอีกแล้ว
ร่างสูงรีบต่อสายไปยังเบอร์หนึ่ง เอ่ยประโยคขึ้นทันทีหลังได้ยินเสียงกดรับ
“ผมมีเงื่อนไขมาเสนอ คิดว่าเราน่าจะได้ประโยชน์กันทั้งสองฝ่าย...”
วงการโฆษณาไม่มีมิตรหรือศัตรูถาวร ถ้าอยากจะชนะ บางครั้งก็ต้องเล่นบท ‘ผู้ร้าย’ ให้เป็น
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
TBC
กลับไปอ่านตอนที่ 11 ตามลิงค์นี้เลยค่ะ 
บทที่ 11 : เล็กๆ ไม่ ใหญ่ๆ ทำ