Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก END สั่งนิยายได้ที่ สนพ Rev. มาแจ้งจ้าา
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก END สั่งนิยายได้ที่ สนพ Rev. มาแจ้งจ้าา  (อ่าน 63721 ครั้ง)

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน9 6/7/15
«ตอบ #150 เมื่อ06-07-2015 23:49:00 »

หวังว่าจะได้เจอคนดีๆนะเรย์

ออฟไลน์ naoai

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-5
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน9 6/7/15
«ตอบ #151 เมื่อ07-07-2015 02:00:36 »

คุณพ่อรู้สึกผิดเมื่อสายไปสินะ เพราะอคติคำเดียว คุณพ่อจะทำยังไงต่อไป เรย์จะหนีไปไหนหรือฆ่าตัวตาย อยากอ่านต่ออ่าาาาา

ออฟไลน์ namngern

  • Flowers need to bloom
  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1848
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-2
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน9 6/7/15
«ตอบ #152 เมื่อ07-07-2015 10:44:54 »

อยากให้เรย์ไปอยู่ข้างนอก ถึงจะไม่มีเย็นแต่ก็ไม่อยากให้ล้มเลิกความตั้งใจ
พ่ออะ สำนึกได้ก็ดีแล้ว แต่เราไม่ยกโทษให้ง่ายๆหรอกนะ
ความผิดที่ทำ มันไม่ได้หายไปแค่คำขอโทษหรอกนะ
เพราะความรู้สึกมันเสียไปแล้วไง
เราร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหลไปหมด อินจริงๆค่ะ555
รออ่านต่อนะคะ

ออฟไลน์ naoai

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 395
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-5
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน9 6/7/15
«ตอบ #153 เมื่อ08-07-2015 13:04:59 »

แอบมาดัน อยากอ่านต่อ  :katai1:

ออฟไลน์ hello_lovestory

  • >>I'm C-Z@<<
  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 881
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +47/-0
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน9 6/7/15
«ตอบ #154 เมื่อ08-07-2015 23:29:32 »

น้ำตาตกเลย ตอนนี้ เรย์รีบกลับมาเป็นคนร่าเริ่งนะ

ออฟไลน์ Ugly Duckling

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน9 6/7/15
«ตอบ #155 เมื่อ09-07-2015 08:14:26 »

 :sad4: :sad4:อ่านไปน้ำตาไหล555 :mew1:

ออฟไลน์ aaoo

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 97
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน9 6/7/15
«ตอบ #156 เมื่อ09-07-2015 12:50:22 »

 :hao5: :hao5: :hao5: สงสาร อ่ะ

ออฟไลน์ sirikanda28

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1758
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +117/-3
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน9 6/7/15
«ตอบ #157 เมื่อ09-07-2015 20:16:27 »

แย่มากค่ะ เป็นพ่อ
ที่จะเรียกว่าเลวก็
ได้

ออฟไลน์ oilzii

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 611
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +32/-0
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน9 6/7/15
«ตอบ #158 เมื่อ22-07-2015 18:34:34 »

ฮือ เรย์ อ่านไปร้องไห้ไป  :hao5:

มาต่อเร็วๆนะ เค้ารอออ

ออฟไลน์ beedy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน9 6/7/15
«ตอบ #159 เมื่อ22-07-2015 18:59:24 »

นานไปแล้วนะ คิดถึงเรย์ :ling1: :ling1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน9 6/7/15
« ตอบ #159 เมื่อ: 22-07-2015 18:59:24 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ saotome

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 641
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +35/-2
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน9 6/7/15
«ตอบ #160 เมื่อ12-08-2015 11:17:08 »

รออยู่เน้อ คิดถึงเรย์

ออฟไลน์ dusitta

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 330
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +95/-0
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน9 6/7/15
«ตอบ #161 เมื่อ12-08-2015 15:14:06 »

ขอบคุณ คนแต่งกลับ ที่ถ่ายทอดเรืองราว ส่วนลึกได้ดีมาก
ในใจทุกคนมีปม ที่ไม่สามารถสะสางออกได้ หันมองใจตัวเอง แล้ค่อย ๆ สะส่งออกนะครับ ก่อนที่มันจะสายเกินไป
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
เป็นเรื่องที่ดีมาก ครับ ผมขอบชม (ผมได้พล๊อตไอเดีย อีกสองเรื่อง 5555)
เป็นกำลังใจให้นะครับ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++
ปล.การเขียนนิยาย บางครั้งมันคือปมที่ค้างคาใจคนเชียนเอง ที่พยายามระบายออกมา ในรูปแบบหนึ่ง ยิ้มนะครับ ยิ้มให้กับตัวเรา ที่เราสามารถสู้มาได้ถึงเพียงนี้ แม้ว่าเราจะไม่ได้ อยู่ เป็น คือ 100% แต่มันคือสิ่งที่เราต้องก้าวต่อไป
++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ขอบคุณครับ จะติดตามนะครับ

ออฟไลน์ Take

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน10-15 15/11/15
«ตอบ #162 เมื่อ20-11-2015 12:55:06 »



ตอนที่ 10

ค่ำคืนที่มืดมิดไม่เห็นแม้กระทั่งดวงดาว ในคืนเดือนมืดผมเดินอยู่ริมถนนคนเดียวอย่างเคว้งคว้าง ในโลกที่ไม่มีเย็นผมก็ไม่อยากจะอยู่ ผมเจ็บเหลือเกินเจ็บเหมือนจะขาดใจตายให้ได้ พอไม่มีเย็นแล้วผมจะทำยังไงต่อยังไม่รู้เลยแค่ตอนนี้ผมอยากผมจะไปที่ไหนผมยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ ได้แต่เดินไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย

“ฮือ ฮือ”

ผมทรุดตัวนั่งร้องได้ด้วยความปวดร้าวไปทั้งใจ ทั้งไม่มีที่ไปและที่ให้กลับ นี่ผมเป็นคนไร้ค่าขนาดนี้เลยเหรอ?
ผมเงยหน้ามองรถบนถนนที่แล่นไปแล่นมาอย่างไม่มีวันหยุดก่อนที่จะตัดสินใจลุกขึ้นยืนขึ้นเต็มตัว ดวงตาทั้งสองข้างยังคงเหม่อลอยไปข้างหน้า ในเมื่อไม่มีใครต้องการผม ผมก็ไม่รู้จะอยู่ไปเพื่ออะไร ถ้าไม่มีใครรักผมก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่

เย็น.....

รอผมก่อนนะ.....

สายตาของผมทอดยาวไปเบื้องหน้าอีกฝากของถนน ผมเห็นใครคนนึงที่คุ้นตากำลังยืนยิ้มมาที่ผมอยู่พร้อมกับกวักมือเรียกให้ผมเข้าไปหาด้วยท่าทีที่อ่อนโยน พอรู้ว่าเป็นใครมันก็ทำให้ผมยิ้มกว้างขึ้นมาทันที สมองของผมในตอนนี้ไม่ได้คิดอะไรนอกจากอยากจะเดินไปหาอีกคนที่อยู่อีกฝากของถนน

เย็นมารับผมใช่ไหม.....

ปรื้น!!!!!

เอี๊ยด!!!!!!

เฮือก!

ผมที่กำลังจะก้าวลงบนท้องถนนกว้างแต่กลับรู้สึกเหมือนมีอะไรมาฉุดผมจากทางด้านหลังทำให้ไม่สามารถก้าวลงไปได้ รถที่แล่นด้วยความเร็วสูงก็วิ่งฉิวเฉียดผ่านร่างไปทันที ใจของผมกระตุกวูบด้วยความนึกกลัวจนแข้งขาอ่อนไปหมดทำให้ทรุดตัวลงไปนั่งกับพื้นอีกครั้ง ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองหรือเปล่าแต่ผมกลับรู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังห้ามผมอยู่ ไม่อย่างนั้นผมอาจจะถูกรถชนตายไปแล้วก็ได้ ความอบอุ่นที่คุ้นเคยกำลังปลอบผมไม่ให้ตื่นกลัว ความอบอุ่นที่เหมือนกับอ้อมกอดของเย็น.....

“เฮ้ย! อยากตายนักหรือไงวะ! ถ้าจะตายไปตายที่อื่น อย่ามาตายกับรถกู”

คนขับรถคันนั้นเปิดกระจกออกมาแล้วตะโกนต่อว่าผมด้วยน้ำเสียงขุ่นอย่างคนโกรธๆ แววตาของเขาจับจ้องมาที่ผมด้วยสายตาแข็งกร้าว

“ขอ.....ขอโทษครับ”

“เออ คราวหลังก็อย่าทำอีกละกัน”ผู้ชายคนนั้นบอกผมด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง คงเห็นผมตกใจมากเลยคิดสงสารผมสินะ
ผมมองไปอีกฝากฝั่งของถนนที่ตอนนี้ไม่มีใครยืนอยู่แล้ว มีแต่เพียงความว่างเปล่ากับรถที่วิ่งสวนกันไปมาเท่านั้น มันทำให้ผมอดที่จะคิดไม่ได้ ถ้าเย็นอยู่กับผมตรงนี้แล้วคนที่ผมเห็นเป็นใคร? หรือว่าเย็นกำลังปกป้องผมอยู่ เย็นคงไม่อยากให้ผมตาย
ในเมื่อเย็นอยากให้มีชีวิตอยู่ผมก็จะอยู่ ผมหันหลังกลับให้กับความตายที่เพิ่งคิดจะทำแล้วก้าวเดินไปอีกทาง ชีวิตของผมและอนาคตของผมที่เย็นยังไม่ได้เห็นผมยังทำมันไม่สำเร็จเลย ผมจะทำให้เย็นภาคภูมิใจให้เย็นได้รู้ว่าถึงไม่มีเย็นอยู่แล้วผมก็ยังอยู่ได้ ผมจะต้องไม่ทำให้เย็นเป็นห่วง เย็นจะต้องได้ไปผุดไปเกิดโดยที่ไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง

ขอบคุณนะเย็น.....

ผมจะไม่คิดสั้นอีกแล้ว.....

.....ค่ะ

.....คุณเรย์


ใบหน้าซีดเผือดจับจ้องผู้เป็นนายจากทางด้านหลังก่อนที่จะหันไปอีกฝากถนน วิญญาณสัมภเวสีที่รอตัวตายตัวแทนแล้วหลอกล่อให้ฆ่าตัวตายเพื่อที่จะได้ไปเกิดใหม่กำลังมองเธอด้วยแววตาโกรธแค้น หากแต่เธอกลับใส่ใจไม่ เธอคงยอมไม่ได้หรอกที่จะให้คุณหนูของเธอกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงคราวเคราะห์

.....มีชีวิตอยู่ต่อไปนะคะคุณเรย์

.....เย็นจะคอยมองคุณอยู่เสมอ

.....คุณหนูของเย็น


ฟิ้วววว

สายลมที่พัดผ่านตัวมันทำให้ผมหันไปมองด้านหลังอัตโนมัติ ผมรู้สึกเหมือนกับว่าเย็นกำลังมองผมอยู่แต่มันกลับไม่มีใคร
ผมตัดสินใจจะเข้าบ้านอีกครั้งแต่ครั้งนี้ไม่ได้กลับไปอยู่แต่แค่กลับไปเอาของเท่านั้น โชคดีจริงๆ ตอนที่ผมแอบออกจากโรงพยาบาลเอากระเป๋าเงินออกมาด้วยไม่อย่างนั้นผมคงไม่มีเงินติดตัวสักบาทแล้วก็ไม่รู้จะมาที่บ้านยังไง ผมอาศัยนอนโรงแรมที่อยู่แถวๆ นั้นไปหนึ่งคืนแล้วตอนเช้าค่อยอาศัยตอนที่พวกเขาไม่อยู่บ้านเข้าไปเอาของก็แล้วกัน
.
.
.

เช้า

ผมแอบบ้านของผมจากอีกทางคอยซุ่มดูว่าพวกเขาจะออกไปข้างนอกกันหรือยัง มันน่าหัวเราะจริงๆ ทั้งๆ ที่เป็นบ้านตัวเองแท้ๆ
แต่ผมกลับทำลับๆ ล่อๆ เหมือนกับว่าจะมาเป็นขโมยซะงั้น
ไม่นานนักผมก็เห็นรถสีดำคันที่พ่อขับเป็นประจำขับออกจากบ้าน ผมเลยเลือกที่จะรออีกหน่อยแล้วดูต้นทางให้แน่ใจ ถ้าเดาไม่ผิดคนที่น่าจะอยู่ในบ้านตอนนี้ก็น่าจะเป็นหนึ่งและคนรับใช้ในบ้านสองสามคน ผมอาศัยจังหวะที่ประตูบ้านกำลังจะถูกปิดวิ่งเข้าไปด้วยความเร็วที่สุดก่อนที่จะได้ยินเสียงร้องเรียกชื่อผมไล่หลังดังออกมา

“คุณเรย์!”

ผมเก็บของจำเป็นใส่กระเป๋าเป้ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าที่จำเป็นแล้วก็เอกสารต่างๆ รวมทั้งเงินที่อยู่ในบัญชีส่วนตัวที่เอาไว้ใช้จ่ายในยามจำเป็น หลังจากที่เก็บทุกอย่างอย่างลวกๆ เรียบร้อยแล้วผมก็ตั้งหน้าตั้งตาวิ่งออกจากบ้านอีกครั้งโดยที่ไม่หันไปมองบ้านหลังนั้นอีกเลย

ผมยังไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน ได้แต่สะพายกระเป๋าเดินไปตามท้องถนนเหมือนกับเมื่อคืน ผิดที่ว่าตอนนี้มันเป็นตอนกลางวันก็เท่านั้น ผมคิดถึงครูน้อยผมไม่กล้าไปหาเพราะผมรู้ว่าไม่ว่าจะยังไงครูน้อยต้องยอมให้ผมอยู่ด้วยแน่ๆ แต่ผมไม่อยากให้ครูน้อยลำบาก ถึงจะมีเงินเก็บอยู่ในบัญชีแต่ผมก็คงใช้เท่าที่จำเป็นเอาไว้เพื่อเวลาฉุกเฉินจะได้มีเงินไว้ใช้ คงจะหาที่พักแบบคอนโดหรูๆ ใจกลางเมืองไม่ได้เพราะมันเกินความจำเป็น

“คงต้องหาที่อยู่หลังจากนั้นค่อยหางานทำสินะ”

ผมแบกกระเป๋าเป้ใบไม่ใหญ่ไปในสถานที่ต่างๆ เพื่อหาห้องเช้าที่ราคาถูกๆ ผมเดินไปหลายที่พอสมควรเจอทั้งดีบ้างและไม่ดีบ้างคละกันแต่เนื่องจากที่ผมอยู่ค่อนข้างจะอยู่ในตัวเมืองทำให้ราคาห้องเช่าสูงขึ้นไปด้วย

“ค่ามัดจำสองเดือนสี่พันบาท ค่าเช่าเดือนละสองพัน”

ผมมองห้องที่ถูกเปิดออกกว้างทำให้เห็นด้านใน มันเป็นห้องที่โล่งกว้างไม่มีอะไรเลยนอกจากเตียงนอนและที่นอนราคาถูกๆ เท่าที่หามาที่นี่ก็น่าจะดีที่สุดแล้ว ที่นี่เป็นตึกสี่ชั้นสีขาวมีระเบียงเล็กๆ ตรงด้านหลัง แล้วก็มีห้องน้ำในตัว ห้องที่ผมมาดูจะอยู่ชั้นสี่บนสุดแล้วก็ดูท่าว่าจะเหลือห้องสุดท้ายด้วย

“ตกลงเอาไง เหลือห้องสุดท้ายแล้วนะ”

“เอ่อ เอาครับเอา นี่ครับเงิน”

“นี่กุญแจห้อง ห้องน้ำแล้วก็ระเบียง ถ้าหากทำหายจะเสีย 100 เพื่อป้ำกุญแจใหม่นะ”

“ครับ”

เจ้าของห้องเช่าอธิบายนิดๆ หน่อยๆ ให้พอผมเข้าใจ ผมพยักหน้ารับแล้วรับกุญแจมาถืออยู่ในมือ ห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ ที่เล็กกว่าห้องคนใช้ในบ้านที่ผมเคยอยู่ ชีวิตหลังจากนี้จะเป็นยังไงผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ลูกคุณหนูที่มีพร้อมทุกอย่างแต่กลับหนีออกจากบ้านกระทันหันเพื่อหนีทุกคนที่ใจร้าย แม้ว่าผมจะถูกมองว่าอ่อนแอแต่ผมก็ไม่สนเพราะผมเจ็บมามากพอแล้ว มากเกินที่จะต้องทนอยู่ในบ้านที่ไม่มีใครต้องการ

จากนี้ไปผมต้องเริ่มใช้ชีวิตคนเดียว สิ่งที่ผมจะทำสิ่งแรกคือต้องซื้อข้าวของเท่าที่จำเป็นอย่างเช่นพัดลมเพราะตอนนี้อากาศในห้องมันร้อนมากพอสมควร ถ้าหากว่าผมต้องนอนที่นี่รับรองนอนไม่ได้แน่ๆ หลังจากนั้นค่อยหางานทำแล้วก็หาที่เรียน ผมยอมรับว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผมเริ่มคิดอะไรจริงๆ จังๆ กับชีวิตขึ้นมา เมื่อก่อนตอนที่ผมยังอยู่ในบ้านหลังนั้นผมไม่เคยคิดอะไรแบบนี้ด้วยซ้ำ ถึงเคยคิดว่าอยากจะออกมาอยู่ข้างนอกก็ตามแต่เพราะตอนนั้นมีเย็นอยู่ด้วยเลยทำให้ไม่ได้คิดอะไร แต่ผมกลับคิดผิดถนัดเพราะวันนี้ไม่มีเย็นอยู่ด้วย ไม่มีคนคอยทำอะไรๆ ให้ผมทุกอย่าง แล้วก็ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าการออกมาใช้ชีวิตภายนอกจะลำบากขนาดนี้

เย็น.....

เป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะ.....

.
.
.
อีกด้านหนึ่ง

“เรย์!”

พจน์เหมือนรู้สึกถึงหัวใจที่แตกสลายหลังจากที่รู้ข่าวว่าลูกชายอีกคนได้หนีหายออกไปจากบ้าน เขาไม่คิดเลยจริงๆ ว่าเรย์จะกล้าทำถึงขนาดนี้ ลูกคุณหนูที่อยู่สุขสบายแต่กลับต้องออกไปใช้ชีวิตภายนอกคนเดียวมันจะเกิดอะไรขึ้นบ้างก็ไม่รู้

“เรย์ พ่อขอโทษ”

“คุณคะ!”

ผู้เป็นภรรยาโอบประคองสามีด้วยความเป็นห่วงด้วยกลัวว่าสามีของเธอจะเกิดอาการช็อกจนต้องเข้าโรงพยาบาลอีกคน เพราะตั้งแต่งานศพของเย็นเสร็จสิ้นมันก็ดูเหมือนว่าจะมีแต่เรื่องร้ายๆ เข้ามา

“นัน ฉันจะทำยังไงดี”

“คุณไม่ต้องห่วงนะคะ เรย์จะต้องปลอดภัย”นันยิ้มอย่างอ่อนโยนเพื่อปลอบประโลมผู้เป็นสามี

“คุณท่านคะ มีคนมาขอพบคะ”หญิงสาวรับใช้เอ่ยออกมาทันทีหลังจากที่เข้าหาผู้เป็นนายใหญ่ของบ้าน

“ไปบอกเขาว่าตอนนี้ฉันไม่ต้องการพบใคร”

“แต่.....”

“แม้แต่ฉันอย่างนั้นเหรอคะ คุณพจน์!”

ยังไม่ทันที่สาวใช้จะพูดจบก็มีเสียงๆ หนึ่งดังขึ้นเพื่อขัดจังหวะ น้ำเสียงที่คุ้นเคยทำให้พจน์ถึงกับหันไปมองทันที

“วาริน!”

“ยังจำฉันได้อีกเหรอคะ ฉันคิดว่าคุณลืมฉันไปแล้วซะอีก”

เหมือนมีอะไรมาจุกที่ลำคอของพจน์ทันทีที่เห็นหน้าผู้ที่เคยเป็นภรรยาตน ผู้หญิงตรงหน้าดูแทบไม่เปลี่ยนเลยสักนิดแม้ว่าเวลาจะล่วงเลยมาเกือบสิบปีแล้วก็ตามแต่พจน์ก็ยังยอมรับว่าเธอดูสวยสะพรั่ง

“เธอ.....”

“ตกใจมากเหรอคะที่เห็นฉัน”

วารินยกยิ้มหวานมองอดีตผู้เป็นสามีด้วยแววตาเย็นชา

“คุณมาที่นี่ได้ยังไงวาริน”

พจน์กล่าวเสียงสั่นๆ แทบไม่อยากเชื่อสายตาตัวเอง ความทรงจำเมื่อครั้งวันวานถูกย้อนเข้ามาในสมองเป็นฉากๆ ผู้หญิงที่อยู่ตรงหน้าทำให้พจน์แทบไม่เชื่อสายตา ผู้หญิงคนนี้ที่เคยได้ชื่อว่าเป็นอดีตภรรยา คนที่เคยทำให้เขากับนันเกือบจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน คนที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการและเป็นคนที่ร้ายกาจ วารินหายตัวไปอย่างลึกลับเมื่อสิบปีก่อนไม่คิดเลยว่าจะได้เจอกันอีกครั้ง
.
.
.
ย้อนความ

ภายในคฤหาสน์หลังใหญ่ พจน์ในวัยหนุ่มจับจ้องไปที่รจนาผู้หญิงที่ได้ชื่อว่าเป็นแม่บังเกิดเกล้าด้วยความน้อยใจ ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าจะถูกบังคับขนาดนี้ จะให้ต้องแต่งงานกับผุ้หญิงที่ไม่ได้รักอย่างนั้นหรือ...คงไม่มีทาง!!!

“ผมไม่แต่ง! ยังไงผมก็จะไม่แต่งงานกับคนที่ผมไม่ได้รักเด็ดขาด!”

“แม่ไม่ยอม!”

รจนาเอ่ยอีกครั้งต่อหน้าลูกชายของเธอ

“ผมก็ไม่ยอม! ผมไม่ได้รักวาริน”

“แต่หนูวารินเป็นผู้หญิงที่คู่ควรกับลูกมากที่สุด”

“คุณแม่ มันก็แค่ยศฐาบรรดาศักดิ์”

พจน์กล่าวด้วยเหตุผล พยายามทำให้รจนาเข้าใจว่าความรักไม่จำเป็นที่จะต้องมองถึงความเหมาะสมอะไรทั้งนั้น

“แต่คนที่พจน์รักเขาเป็นคนที่คิดจะมาปลอกลอกพจน์ แม่เป็นผุ้หญิงทำไมแม่จะดูไม่ออกว่าใครรักพจน์จริง”

“นันไม่ทำแบบนั้นหรอกครับคุณแม่ ต่อให้ผมไม่มีอะไรนันเขาก็รักผมแล้วผมก็เชื่อด้วยว่าความรักของเราเป็นรักแท้”

“พจน์อยากให้แม่เสียใจใช่ไหม! อยากให้แม่ช้ำใจตายไปเลยใช่ไหม ฮึก ฮือ ถ้าอยากแต่งงานกับผู้หญิงคนนั้นนักก็ไปเลย! อะ โอ๊ย!!!”

“คุณแม่!!!”

พจน์วิ่งเข้าไปประคองร่างของรจนาด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นผู้เป็นมารดาล้มไปต่อหน้า ร่างสูงเอ่ยเรียกชื่อซ้ำแล้วซ้ำเล่าก่อนที่จะพาไปโรงพยาบาล

ด้วยสภาพที่อ่อนแอของรจนาทำให้พจน์ไม่อาจคิดที่จะขัดขืนได้ จนในที่สุดเขาก็ยอมที่จะแต่งงานกับวารินผู้หญิงที่รจนาเลือกให้ แต่ด้วยนิสัยของพจน์ที่ไม่เคยรักวารินทำให้เขาไม่สามารถที่จะตัดใจจากนันได้จนทำให้พจน์ทำเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง
พจน์มีเมียน้อย...

ผู้หญิงทุกคนที่ได้แต่งงานกับผู้ชายเรื่องเมียน้อยย่อมเป็นเรื่องต้องห้าม วารินไม่เคยมีความสุขเลยสักครั้ง เธอร้องไห้อย่างเจ็บปวดทุกครั้งที่พจน์ไม่สนใจ ทุกสิ่งทุกอย่างแม้กระทั่งความรักเธอก็ไม่เคยได้มันมาเลยสักครั้ง แม้ว่าพจน์จะทำหน้าที่สามีที่ดีต่อหน้าสังคมเธอยอมรับในส่วนนี้ แต่ว่าหน้าที่ของพ่อพจน์กลับไม่คิดที่จะทำมันเลย

“เรย์”

“ฮับ”

วารินลูบใบหน้าลูกชายตัวน้อยวัยเพียงห้าขวบด้วยความรัก ด้วยน้ำตาเรื้อ เด็กน้อยยกยิ้มกว้างบนใบหน้าด้วยรอยยิ้มบริสุทธิ์จนทำให้วารินอดที่จะยิ้มตามไปด้วยไม่ได้

“รอแม่อยู่นี่นะเรย์”

“ฮับ”

เด็กน้อยพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ

“คุณแม่ไปทำงานก่อนนะครับ แล้วคุณแม่จะกลับมารับ”

วารินเอ่ยกับลูกน้อยอีกครั้งพร้อมโอบกอดร่างเล็กๆ รู้สึกใจหายเหมือนกันที่จะต้องจากลูกชายไปแบบนี้แต่มันเป็นเพราะเรื่องงานเลยทำให้เธอจำเป็นที่จะเดินทางไปต่างประเทศ ถ้าไม่อย่างนั้นก็คงจะไม่ยอมจากอกลูกน้อยไปแน่

“ฮับ คุณแม่กลับมาเร็วๆ นะ จะรอ...”

เรย์ในวัยเด็กยิ้มรับด้วยใบหน้าซื่อบริสุทธิ์ วารินเองก็เช่นกัน ตอนนี้เธอตัดสินใจแล้วว่าจะตัดขาดกับพจน์ แต่ขอเพียงเวลาอีกนิดหน่อยขอแค่เธอทำงานนี้เสร็จก็จะกลับมารับลูกแล้วไปใช้ชีวิตอยู่กันสองคนตามประสาแม่ลูก แต่วารินกลับไม่คิดเลยว่า
วันนั้นจะไม่มีวันเป็นจริงๆ...



ออฟไลน์ Take

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน10-15 15/11/15
«ตอบ #163 เมื่อ20-11-2015 12:59:07 »



ตอนที่ 11

“วาริน...คุณ?...”

“กรุณาเรียกใหม่ด้วยคะคุณพจน์ วารินคนเก่าได้ตายไปแล้ว ชื่อของฉันคือโรส...”

โรสเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่น สายตาเรียวจับจ้องไปที่ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาใหม่ของพจน์ด้วยรอยยิ้มเยาะเล็กๆ ทำไมเธอจะจำไม่ได้ว่าผู้หญิงคนนี้เป็นใคร ถ้าหากว่าไม่ใช่ผู้หญิงที่ได้ขึ้นชื่อว่าเคยเป็นเมียน้อยของอดีตสามีเธอมาก่อน! มือบางกำซองเอกสารไว้แน่นจนแทบฉีกยิ่งเห็นแบบนี้แล้วมันก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกหมั่นไส้นันไม่น้อยเลยทีเดียว

“สวัสดี นัน...เราไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”

“เอ่อ”

นันรู้สึกทำตัวไม่ถูก ไม่กล้าสู้หน้า ทำไมเธอจะจำไม่ได้ว่าเคยถูกวาริน ไม่ใช่สิ...โรสทำอะไรไว้บ้าง

“แต่เอาเถอะ วันนี้ฉันไม่ได้มาหาเธอ สบายใจได้เพราะคนที่ฉันมีธุระด้วยมีแค่คนเดียวเท่านั้น ใช่ไหมค่ะ คุณพจน์!”

โรสพูดนิ่งๆ ท่าทีสง่างามดั่งนางพญาหงส์ของเธอทำให้รอบข้างถึงกับผวาเล็กๆ ทั้งพจน์ทั้งนั้นต่างก็คิดไม่ถึงว่าโรสจะกลับมาอีกทั้งๆ ที่ก็หายไปจากที่นี่ไปเป็นสิบปี

“เรย์อยู่ที่ไหนคะ ฉันต้องการพบลูกของฉัน”

“คุณยังมีหน้ามาถามหาลูกอีกเหรอ เป็นคุณเองไม่ใช่เหรอที่ทิ้งเรย์ไป”

พจน์พยายามทำใจให้สงบ ถึงจะแปลกใจที่ได้เจอโรสอีกครั้งแต่ด้วยความคิดที่ว่าเขาไม่ผิดยังคงมีอยู่เต็มเปี่ยม ยังไงซะคนที่ผิดก็คือโรสที่ทิ้งลูกตัวเองไปแล้วตอนนี้ยังมีหน้ากลับมาถามหาทั้งๆ ที่ไม่เคยสนใจใยดีแท้ๆ

“ฉันไม่ได้มาพบคุณเพื่อแก้ตัวว่าฉันหายไปไหนมา แต่ที่ฉันมาพบคุณวันนี้คือฉันต้องการพบลูกของฉัน!!!”

“.....”

ทุกอย่างรอบตัวนิ่งเงียบลงทันที

“ทำไมจะไม่มีสิทธิ์ ในเมื่อคนที่เลี้ยงดูเรย์คือผม! ไม่ใช่คุณ!!!”
พจน์ตอบกลับด้วยแววตากร้าวไม่แพ้กัน...

“คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง”
โรสถามเสียงนิ่ง…

“คุณทำอะไรคุณก็น่าจะรู้ดีแก่ใจ”

“.....”

“คุณต่างหากที่หายไปจากชีวิตเรย์ แล้วทิ้งลูกไป!”

โรสหรี่ตามองผู้เป็นอดีตสามีเล็กๆ ริมฝีปากคลี่ยิ้มออกมาเพียงนิด ใบหน้าที่นิ่งเฉยมีหรือจะเหมือนกับหัวใจที่เต้นระรัวแทบกระเด้งออกมานอกอก ไม่ใช่เพราะตื่นเต้น ไม่ใช่เพราะว่าคิดถึง แต่เป็นเพราะว่าเธอกำลังโกรธอยู่มากๆ จนสามารถทำอะไรๆ ก็ได้ หากแต่ว่าโรสก็ยังทำนิ่งเฉยเพื่อเป็นการให้เกียรติผู้เคยเป็นสามี

“นี่คุณจะบอกว่าฉันเป็นคนผิดงั้นเหรอ”

“.....”
พจน์เงียบ ไม่ตอบคำถาม...
“คุณจะบอกว่าฉันเป็นแม่ที่แย่ ที่ทิ้งลูกตัวเองไปสินะ ใช่! ฉันยอมรับว่าฉันเป็นแม่ที่แย่”

“.....”

“แต่คุณรู้อะไรไหมคุณพจน์ คุณเองก็แย่ไม่ต่างจากฉันเหมือนกัน! ไม่สิ...คุณไม่ได้แย่ แต่เป็นคุณเป็นพ่อที่ไม่ได้เรื่อง!”
โรสกำซองเอกสารในมือแน่น ภายในใจเดือดพล่านหนักยิ่งกว่าเก่า นึกอยากทำมากกว่านี้แต่ก็ต้องพยายามทำใจเย็นเอาไว้

“ถ้าผมไม่ได้เรื่อง คุณก็ไม่ได้เรื่องเหมือนกัน! ผมเป็นคนเลี้ยงดูแกมา ในระหว่างที่คุณไปอยู่กับชู้! ไปสำเริงสำราญอยู่เมืองนอก นี่เพิ่งคิดได้หรือไงว่าตัวเองมีลูกถึงได้กลับมานะ ห่ะ!”

พจน์ที่โดนว่ากลับรู้สึกทนไม่ได้ขึ้นมาทันที ชายร่างสูงพยายามทำให้ตัวเองไม่กลายเป็นคนผิดไปมากกว่านี้ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วเรื่องที่โรสพูดมามันก็เป็นความจริง แต่ด้วยหน้าตาในสังคมที่เป็นที่ยอมรับทำให้เป็นพ่อที่ดีของสายตาคนอื่นๆ ทำให้พจน์ไม่สามารถที่จะยอมรับความจริงข้อนี้ได้ว่าตัวเองเป็นคนผิด คนภายนอกรู้ว่าเขามีลูกชายสองคนและมีภรรยาที่รักที่ดูเหมือนจะเป็นครอบครัวที่อบอุ่น หากแต่มันไม่ใช่อย่างที่เห็นสักนิด พจน์ไม่ใช่คนอย่างที่สังคมเห็นเขาเป็นเพียงแค่พ่อที่รักลูกไม่เท่ากัน

“ฉันจะไปทำอะไรอยู่ที่ไหนมันก็เรื่อง ของ-ฉัน”

โรสพูดอย่างกลั้นใจ มือบางที่กำซองเอกสารสั่นระริกจนแทบห้ามไม่อยู่ หมดกันแล้วความอดทนอดกลั้นกลับผู้ชายคนนี้

“เมื่อกี้คุณบอกว่าอะไรนะ เลี้ยงดูอย่างนั้นเหรอ หึ อย่าพูดให้ฉันหัวเราะหน่อยเลย ฉันเองอยากรู้จริงๆ ว่าคุณเลี้ยงดูประสาอะไรถึงได้ทิ้งลูกแบบนี้!!!”

พรึบ!

ซองเอกสารที่อยู่ในมือถูกปาไปตรงหน้าพจน์ด้วยความโมโห โรสพยายามที่จะกลั้นอารมณ์ของตัวเองให้แน่นิ่ง ทั้งที่ตั้งใจจะมาเจรจาด้วยดีๆ แท้ๆ แต่กลับถูกพูดมาแบบนี้ทำให้ความอดทนของเธอหมดลงเช่นกัน โรสอยากจะตะโกนใส่หน้าของพจน์จริงๆ ว่าคนที่เลี้ยงดูเรย์เป็นเขาแน่เหรอ? ถ้าจำไม่ผิดข้อมูลที่หามาได้ดูท่าจะไม่ใช่เขานะ...

“ลองดูสิคะว่าฉันได้อะไรมา แล้วคุณช่วยบอกฉันหน่อยได้ไหมว่าในนั้นคือใคร คนที่อยู่ในรูปเป็นคุณหรือเปล่า”

พจน์ค่อยๆ แกะซองเอกสารออกช้าๆ สิ่งที่อยู่ด้านในทำให้เขาถึงกับผงะตัวออกมาเช่นกัน ภายในซองสีน้ำตาลอ่อนเป็นข้อมูลต่างๆ ของลูกชายอีกคนแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ภาพไม่กี่ใบที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นานแต่มันก็ฟ้องอยู่ทนโท่ ภาพถ่ายสองมุมที่มีวันที่และเวลาเดียวกันหนึ่งรูปกำลังหัวเราะต่อกระซิกกันอย่างมีความสุขของพ่อแม่ลูก แต่อีกมุมกลับกลายเป็นภาพถ่ายแห่งน้ำตาและความเสียใจ

“คุณช่วยบอกฉันหน่อยได้ไหมว่าสิ่งที่ฉันเห็นมันคืออะไร!”

“.....”

“ทั้งข้อมูลที่ฉันได้รับและรูปที่ฉันเห็น คุณช่วยบอกฉันหน่อยได้ไหมว่าทำไมถึงไม่มีคุณ!!!”

“แต่คุณก็ทิ้งลูกเหมือนกัน! คุณหายไปเป็นสิบปีแต่เพิ่งมาโผล่ตอนนี้มันหมายความว่ายังไง”

“แล้วคุณคิดว่าฉันอยากทิ้งหรือไง ห่ะ!!!”
โรสจ้องหน้าอดีตผู้เป็นสามีตาไม่กระพริบ...

“ถ้าฉันรู้ว่าวันนั้นฉันจะไม่ได้กลับมาหาลูกอีกฉันคงไม่ไปหรือไม่ฉันก็คงเอาลูกไปด้วย ไม่ทิ้งแกให้อยู่กับพ่อแย่ๆ อย่างคุณหรอก!!!”
นัยน์ตาคู่สวยของโรสเรื้อไปด้วยน้ำตาเล็กๆ ตอนที่เธอเห็นข้อมูลของลูกชายตัวเองครั้งแรกมันก็ทำให้รู้สึกตกใจไม่น้อยเหมือนกัน ไม่คิดเลยจริงๆ ว่าผู้ชายคนนี้จะกลายเป็นพ่อคนได้ การรักลูกไม่เท่ากันมันก็เป็นแทบทุกครอบครัวแต่ว่าเธอไม่คิดเลยจริงๆ ว่าเขาจะลำเอียงขนาดนี้!!!

“คุณพ่อ คุณแม่ เรย์หนีออกจากโรงพยายบาลจริงเหรอครับ!!!”

เสียงใสๆ ก้องกังวานเอ่ยมาด้วยความตกใจสอดแทรกผู้ใหญ่ทั้งสามที่กำลังยืนประจันหน้ากันอย่างไม่รู้ หนึ่งเดินเร็วกึ่งวิ่งด้วยความตื่นตระหนกเล็กๆ กับข่าวที่เพิ่งได้ยินมาก่อนที่จะหยุดชะงักกลางคันเมื่อเห็นว่ามีแขก

“เอ่อ ผม ผมขอโทษครับ ไม่คิดว่าจะมีแขก”

หนึ่งกล่าวอย่างสุภาพอย่างรู้สึกสำนึกผิด รู้สึกโกรธตัวเองนิดๆ ที่วิ่งทะเล่อทะล่าไม่ดูตาม้าตาเรือ ดวงตากลมโตทั้งสองข้างช้อนมองโรสนิดๆ นึกชื่นชมอยู่ในใจไม่น้อยเหมือนกัน ดูเธอช่างเป็นผู้หญิงที่สวยมากจริงๆ ทั้งดวงตาและใบหน้าแบบนี้มันช่างคุ้นเคยอย่างบอกไม่ถูก ช่างเหมือนกับใครบางคนที่รู้จักเสียจริงๆ

“ไม่เป็นไรจ๊ะ”

โรสตวัดสายตามองหนึ่งชั่วครู่แล้วเอ่ยตอบอย่างเป็นมิตรแต่อารมณ์ข้างในในตอนนี้ของเธอไม่ได้ยิ้มตามสักนิด ถ้าเป็นในตอนปกติเธอคงจะนึกชื่นชมไม่น้อย เด็กผู้ชายตัวเล็กผิวขาวดูท่าทางน่าทะนุดถนอม หากแต่คำที่ถูกเอ่ยออกมาแบบไม่ทันได้ตั้งใจของเจ้าตัวทำให้โรสถึงกับอดที่จะคิดตามไม่ได้

เรย์...

หายไป!!!...

“คุณพจน์ ทำไมลูกฉันถึงเข้าโรงพยาบาล”

โรสหันถามผู้เป็นสามีอีกครั้ง อยากรู้เสียจริงว่าทำไมลูกที่เธอออกตามหาตอนนี้ถึงได้ไปอยู่โรงพยาบาลได้ แต่สิ่งที่ได้รับยังคงมีแต่ความเงียบของเจ้าตัวและคนรอบข้าง

หนึ่งมองหญิงสาวตรงหน้าด้วยความนึกฉงน คำพูดของเธอที่เอ่ยออกมาเมื่อสักครู่มันทำให้รู้เลยว่าหมายถึงใคร แต่พอลองมองดีๆ แล้วมันก็มีส่วนคล้ายกันจริงๆ ทั้งใบหน้าที่สวยและดวงตาที่ดื้อรั้นมันเหมือนกับเรย์ไม่มีผิดเพี้ยน

“ว่าไงคะ คุณพจน์ ทำไมลูกของฉันถึงเข้าโรงพยาบาล เรย์ไปอยู่ที่นั่นได้ยังไง!”

โรสถามอย่างเสียงดังอย่างนึกโมโหนัก! แค่อยากรู้ในคำตอบก็แค่นั้นแต่เธอไม่เข้าใจสักนิดว่าทำไมพจน์ถึงตอบไม่ได้

“เรย์ไม่สบายนิดหน่อย”

“.....”

มันเป็นคำตอบที่แทบไม่อยากจะเชื่อเลยสักนิด ถึงจะแค่เข้าโรงพบาบาลจริงๆ ก็เถอะแต่ว่าทำไมคนเป็นพ่อถึงได้มาอยู่ตรงนี้ได้!

“เรย์ไม่สบายถึงขนาดต้องเข้าโรงพยาบาล แล้วคุณเป็นพ่อภาษาอะไรถึงได้ทิ้งลูกแบบนี้!!!”

“คุณว่าแต่ผมทิ้งลูก! แต่คุณเองก็ทิ้งลูกเหมือนกันไม่ใช่หรือไง!!!”

พจน์ตอบกลับทันทีที่โรสเอ่ยจบ สาวตาดุมองไปที่อดีตภรรยาด้วยท่าทางนิ่งเรียบ...

“คุณหนีไปกับคนอื่น! หนีไปกับชายชู้แล้วทิ้งลูกไว้กับผม ทำอย่างกับว่าคุณเป็นแม่ที่ดีมากนักงั้นแหละ!”

“ฉันบอกคุณแล้วไงว่าฉันไม่ได้คิดทิ้งลูก! แล้วคุณเคยคิดที่จะถามฉันบ้างหรือเปล่าว่าฉันไปไหน เกิดอะไรขึ้นฉันถึงได้หายไป คุณ
มีแต่จะโยนความผิดให้ฉันทั้งๆ ที่คุณเองก็รู้ดีที่สุดว่าคุณนั่นแหละเป็นคนผิดตั้งแต่แรก!”

“.....”

“คุณบอกว่าฉันหนีไปกับชู้ แล้วตัวคุณละดีแค่ไหน? คุณมีมันทั้งๆ คุณก็แต่งงานกับฉัน”
โรสปรายตามองนันเล็กน้อยอย่างรู้สึกโมโห...

“คุณก็รู้ว่าผมแต่งงานกับคุณโดยที่ไม่ได้รักคุณ!”

“เหรอคะ? ไม่ได้รักแต่คุณก็ยังเก็บฉันเอาไว้ จนกระทั่งเรามีลูกกัน คุณไม่รักฉันฉันไม่ว่า แต่กับลูกคุณกลับไม่รักแก แล้วคนอย่างคุณเนี่ยเหรอที่จะเรียกได้ว่าเป็นพ่อคน!!!”

“.....”

พจน์เงียบ สบตากับโรส...

“ลูกฉันอยู่ในโรงพยาบาลคุณที่เป็นพ่อทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ คุณเป็นพ่อทำไมถึงทิ้งให้แกอยู่คนเดียว ทั้งๆ ที่คุณเป็นพ่อแท้ๆ คุณบอกมาสิว่าทำไม!!!”

“.....”

“ถ้าลูกของฉันเป็นอะไรขึ้นมา ฉันเอาเรื่องคุณแน่คุณพจน์!”

หญิงสาวจับจ้องผู้เคยเป็นสามีอย่างเอาเรื่อง ในเมื่อไม่มีคำตอบที่น่าพอใจมีหรือที่เธอจะต้องเสียเวลามายืนอยู่ตรงนี้ การสืบหาความจริงไม่ใช่เรื่องยากสักนิด แล้วก็อย่าให้รู้ก็แล้วกันว่าลูกชายของเธอถูกทำอะไรอีกบ้างถึงขนาดต้องเข้าโรงพยาบาล!
พจน์มองตามร่างบางที่เดินกลับออกไปด้วยแววตาสั่นเล็กๆ ก่อนที่จะทรุดนั่งงบนโซฟาพร้อมผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ ตั้งแต่เย็นเสียชีวิตไปเรื่องทุกอย่างก็ประดังเข้ามาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว พจน์ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าสิ่งที่โรสพูดไม่ใช่เรื่องจริง แล้วความผิดนั้นมันก็กำลังตอกย้ำอยู่ในจิตใจ

“คุณคะ”

นันที่เงียบมาตลอดเอ่ยเรียกสามีขึ้น พจน์ยกมือห้ามกุมหัวใจตัวเองเอาไว้เบาๆ แล้วพยักหน้ารับเชิงบอกว่าตัวเองไม่ได้เป็นอะไร ทั้งที่ความจริงแล้วในตอนนี้เขาแทบคิดไม่ออกด้วยซ้ำว่าจะทำอะไรต่อไป ปัญหาทุกอย่างมันประดังเข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัว
เพราะเรย์เหมือนกับแม่มากเกินไปจนทำให้พจน์คิดถึงความร้ายกาจของผู้หญิงคนนั้นจนทำให้เป็นเขาเองที่พยายามอยู่ห่างจากเรย์ ความห่างเหินที่มากไปจนกลายเป็นความเคยชินทำให้คิดว่ามันเป็นเรื่องปกติจนไม่ทันสังเกตุว่าตัวเองได้ทำผิดพลาดครั้งใหญ่หลวง ทำให้เขาทิ้งลูกคนนึงโดยที่ไม่ตั้งใจ

‘พ่อขอโทษ...’

.
.
.

‘คุณพ่อ’
ร่างเล็กๆ ในวัยแปดเผยรอยยิ้มกว้างออกมาเมื่อเห็นว่าคนที่รอคอยกลับมาสักที เพราะความเหงาที่ต้องอยู่บ้านคนเดียวและไม่มีเพื่อนเล่นทำให้เรย์เฝ้าแต่รอคอยเวลาที่พ่อจะกลับ
‘คุณพ่อกลับมาแล้วเหรอฮะ’
เรย์โผเข้ากอดผู้เป็นพ่อด้วยความคิดถึง แต่สิ่งได้มากลับมีแต่เพียงความว่างเปล่าของอ้อมกอดที่ควรจะได้
สายตาคมมองไปยังลูกชายตัวน้อยๆ ที่อยู่ตรงหน้า แม้จะเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้นแต่เรย์ก็รู้สึกถึงความเฉยชาที่ผ่านมาทางสายตาได้เป็นอย่างดี
“อย่าเพิ่งมากวน พ่อกลับมาเหนื่อยๆ”
“แต่คุณพ่อ ผมคิดถึงคุณพ่อ”
“จะคิดถึงอะไร เจอหน้ากันอยู่ทุกวัน”
“เจอกันแค่แปปเดียวเอง คุณพ่อออกไปทำงานแต่เช้ากลับก็ดึก”
เรย์ยังคงคะยั้นคะยอโอบกอดผู้เป็นพ่อด้วยรอยยิ้มใสซื่อ...
“ขึ้นไปเล่นบนห้องไป พ่อเหนื่อย”
“ฮะ แต่คุณพ่อ...”
“เรย์ พูดให้รู้เรื่อง!”
“ฮะ”
คำที่เอ่ยออกมาจากปากไม่มีแม้แต่คำว่าคิดถึงหรือห่วงหา คำพูดของผู้ใหญ่ที่ทำร้ายเด็กน้อยตาดำๆ เรย์ได้แต่นิ่งเงียบก้มหน้าต่ำมองพื้นพลางรับคำเบาๆ เท่านั้น
ใจของเด็กน้อยแทบแหลกสลายไม่มีชิ้นดี ร่างเล็กๆ เดินคอตกกลับขึ้นห้องด้วยจิตใจที่ห่อเหี่ยว เสียงปิดประตูที่ดังเบาๆ ไม่ได้ทำให้คนกระทำรู้เลยสักนิดว่าลูกน้อยของตนกำลังเสียใจขนาดไหน
“คุณพ่อเหนื่อย ต้องเข้าใจ...ฮึก”
ถึงจะคิดแบบนั้นหากแต่น้ำตาเจ้ากรรมกลับไหลออกมาซะได้ เรย์กอดหมอนที่ตัวเองใช้หนุนประจำไว้แน่นแนบอกพลางซุกใบหน้าหวานเพื่อซ่อนน้ำตาที่กำลังไหลออกมา
.
.
.

“เย็น”
เรย์ในวัยสิบขวบเผยรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าเรียกพี่เลี้ยงคนสนิทด้วยแววตาแพรวพราว ในมือถือกระดาษที่ม้วนเป็นกลมๆ ไว้แน่นราวกับว่ามันเป็นสมบัติที่ล้ำค่า
“คะ คุณเรย์”
“คุณพ่อละ กลับมาหรือยัง”
“คุณท่านยังไม่กลับเลยคะ คุณเรย์มีอะไรหรือเปล่าคะ”
เย็นเอียงคอถามคุณหนูตัวน้อยด้วยรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า
“ดูนี่สิ คิกๆ”
เรย์เผยยิ้มกว้างออกมาด้วยความดีใจพลางยืนกระดาษแผ่นขาวไปให้พี่เลี้ยงคนสนิท...
“โห คุณหนูวาดเองเหรอคะ สวยจัง”
“ได้รางวัลด้วยละ มีคุณพ่อ คุณแม่ มีเรย์แล้วก็เย็นด้วยนะ”
“คุณเรย์”
เย็นเอ่ยยิ้มด้วยน้ำตาคลอเล็กๆ รู้สึกตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อเห็นภาพวาดที่อยู่ตรงหน้า
“ผมจะให้คุณพ่อดู คุณพ่อจะดีใจไหมนะ”
“ต้องดีใจสิคะ”
ปรี๊นๆ
สิ้นคำของเย็นเสียงแตรรถก็ดังขึ้น ทำให้ร่างเล็กรู้ทันทีเลยว่าคนที่รอคอยกำลังมาถึง เรย์ยิ้มหน้าระรื่นอย่างปิดไม่อยู่ ก่อนที่จะวิ่งออกไปยังหน้าประตูเพื่อไปต้อนรับ
“คุณ...พ่อ”
“ลงมานี่สิลูก นี่บ้านใหม่ของเรา”
เรย์พูดเสียงแผ่วลงเมื่อเห็นพจน์พาใครอีกคนที่ไม่รู้จักออกมาจากรถ ร่างเล็กๆ ตัวขาวๆ มองซ้ายมองขวาด้วยความตื่นกลัวกอดผู้เป็นพ่อเอาไว้แน่นจนทำให้พจน์อดที่จะยิ้มตามออกมาไม่ได้
“ไม่ต้องกลัว นี่บ้านใหม่ของเรานะ”
ของเรา...
ใจเด็กน้อยแทบสลายลงเมื่อได้ยินคำเอ่ยที่ไม่พึงประสงค์ เรย์มองคนทั้งคู่สลับกันด้วยความสับสนก่อนที่จะไปหาคนเป็นพ่อด้วยความคิดถึง
“คุณพ่อ กลับมาแล้วเหรอฮะ ดูนี่สิ”
“เรย์ เอาไว้ก่อนนะ เห็นไหมว่าพ่อพาใครมาด้วย”
พจน์เอ่ยปฏิเสธเบาๆ
“แต่คุณพ่อ...”
“พูดให้รู้เรื่องหน่อยสิเรย์”
“ฮะ...”
เด็กชายตัวเล็กตอบเสียงเบา กำกระดาษที่อยู่ในมือแน่น เรย์ได้แต่ก้มหน้าต่ำมองพื้นพยายามสกัดกลั้นน้ำตาที่มันจะไหลออกมาให้ได้ ความรู้สึกของคนเด็กตัวเล็กที่ต้องการคำชมถูกทำลายอย่างไม่มีชิ้นดี สิ่งที่เรย์ทำได้ก็มีแต่เพียงคำว่าอดทนเท่านั้น
อดทนให้กับบาดแผลในใจ...
อดทนให้กับความเฉยชาของพ่อบังเกิดเกล้า...
อดทนให้คนอื่นเข้ามาในชีวิตแทนคนเป็นแม่ของตัวเอง...
อดทนที่จะไม่ร้องไห้...
เพราะความอดทนที่หล่อเลี้ยงจิตใจมาตั้งแต่เด็ก ทำให้เด็กชายตัวเล็กๆ กลับแทนที่จะร่าเริงสมวัยเยาว์แต่กลับกลายเป็นคนก้าวร้าวและเย่อหยิ่ง น้ำตาที่ตกข้างในสอนให้เป็นคนแข้งแข็ง ความเหงาและความเปล่าเปลี่ยวที่ขาดความอบอุ่นทำให้เรย์นึกอิจฉาทุกครั้งที่ไม่ได้รับความรัก
คุณพ่อ...


พจน์หลับตานิ่งๆ อยากจะร้องไห้จนเกินทน พอนึกถึงสีหน้าของลูกชายอีกคนก็เจ็บในอกจนแทบทนไม่ไหว ความรู้สึกผิดบาปที่อยู่ภายในจิตใจเริ่มก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น

“คุณคะ”
นันเอ่ยเรียกสามีเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวทำท่าจะลุก...

“ไม่ต้องห่วงผม ผมต้องไปตามหาเรย์”

“แต่คุณไม่สบายอยู่นะคะ”
นันห้ามด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นพจน์พยายามลุกขึ้นแต่ยังกุมหัวใจตัวเองไว้แน่น...

“ผมไม่เป็นไร”

พจน์ยกมือห้ามพลางพยักหน้าเบาๆ เชิงบอกว่าไม่เป็นอะไร ถึงตอนนี้จะเป็นยังไงเขาก็ไม่คิดจะสนแล้ว สิ่งที่เขาสมควรทำในตอนนี้มากที่สุดในฐานะคนเป็นพ่อคือตามหาลูกที่หายไป...

‘เรย์ อย่าเป็นอะไรนะลูก’






ออฟไลน์ Take

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน10-15 15/11/15
«ตอบ #164 เมื่อ20-11-2015 13:01:52 »



ตอนที่ 12

“หึหึ ฮ่าๆๆ ฮ่าๆๆ”
เสียงหัวเราะที่ดังกึกก้องด้วยพลังเสียงที่ทรงอำนาจหลังจากที่ได้ข่าวบางอย่างมา ลูกชายอีกคนของบริษัทฯ คู่แข่งได้หนีออกจากบ้าน แล้วคนเป็นพ่อก็ไม่คิดที่จะตามหาให้เสียชื่อเสียงของวงษ์ตระกูล แน่นอน! เขามั่นใจได้เลยว่าพจน์ไม่คิดที่จะป่าวประกาศตามหาแน่ๆ
“หึ ดูคุณพ่อท่าทางจะมีความสุขนะครับ”
ชายหนุ่มมองบิดาของตนด้วยรอยยิ้มจางๆ แค่ฟังจากเสียงหัวเราะเขาก็รู้ได้ทันทีว่าพ่อของเขาตอนนี้อารมณ์ดีขนาดไหน
“จะไม่ให้ดีได้ยังไงไอ้ลูกชาย ลูกของไอ้พจน์มันหนีออกมาจากบ้านแล้ว ฮ่าๆ”
บดินทร์พูดพลางมองสบตากับ ‘เอเดน’ ลูกชายสุดที่รักของเขา...ลูกชายที่เป็นความภาคภูมิใจเพียงหนึ่งเดียว “พ่อละซะใจ!”
“แต่ผมว่า...แค่นี้ยังไม่ซะใจหรอกครับ” เอเดนยิ้มอย่างมีเลศนัย
“หมายความว่ายังไง?”
“คิดดูซิครับ ถ้าเรา...เอาเรย์เข้ามาเป็นพวกได้ แล้วจัดการกับคู่แข่งของคุณพ่อ มันไม่สะใจกว่าเหรอ” ชายหนุ่มเสนอความคิดเห็น แล้วนั้นมันก็ทำให้บดินทร์ถึงกับคลี่ยิ้มกว้างออกมาอีกครั้งด้วยความชอบใจ เขาเห็นด้วยกับแผนของลูกชายคนนี้เหลือเกิน
“แล้วจะทำยังไง?” บดินทร์ถามอีกครั้ง
“ไม่ต้องห่วง ผมให้คนไปสืบเรื่องของเรย์มาเรียบร้อยแล้ว”
“มันจะยอมเราหรือเปล่า”
“หึ ไม่ยอมก็ต้องยอมละครับคุณพ่อ เรื่องเรย์ไม่ต้องห่วง...ผมจะจัดการเอง”
รอยยิ้มร้ายผุดขึ้นบนใบหน้าหล่อ การจะปราบกวางพยศสักตัวมันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขาเลย...อย่างเรย์มันก็เป็นของง่ายๆ ที่เขาจะทำให้ยอมมาสิโรราบแทบเท้าเขา แล้วเราจะได้เจอกัน!
.
.

“ฮัตชิ้ว!”
ผมจามออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัวก่อนที่จะเอานิ้วมาถูๆ ไถๆ ตรงจมูก เห็นเขาบอกว่าอาการจามเกิดจากควันและฝุ่นละอองหรือไม่ก็เป็นหวัด แต่อาการอย่างผมน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่าเพราะรู้สึกว่าช่วงนี้จะจามบ่อยเหลือเกิน
“เรย์! ไปจดออร์เดอร์โต๊ะ 4 ที”
“คะ ครับ”
คำสั่งที่ตะโกนมาจากหน้าเค้าเตอร์ทำให้ผมรีบกุลีกุจอเข้าไปจดรายการอาหารที่แขกกำลังสั่ง ตอนนี้ผมได้งานทำเป็นเด็กเสริฟร้านอาหารแห่งหนึ่งที่อยู่แถวๆ สุขุมวิท ด้วยความโชคดีของผมที่หางานมาหลายแห่งแล้วก็เป็นช่วงที่ร้านอาหารขาดคนพอดีเลยทำให้ผมได้งานทำ แต่เพราะคนค่อนข้างเยอะมันก็เลยทำให้เด็กใหม่แบบผมไม่ค่อยคุ้นเท่าไหร่
“น้อง! พี่ไม่ได้สั่งนะอันนี้”
“อันนี้พี่ก็ไม่ได้สั่ง น้องจดออร์เดอร์ยังไงของน้องเนี่ย!”
“ขะ ขอโทษครับ”
ผมก้มหน้าขอโทษด้วยความรู้สึกผิดแล้วก็รับออร์เดอร์ใหม่อย่างเร่งรีบ ได้แต่นึกโทษตัวเองจริงๆ ที่สับสนไม่ระวังให้ดีทำให้ทำงานผิดพลาด
“ไม่ต้องรับออร์เดอร์แล้ว รับผิดๆ ถูกๆ แบบนี้ร้านฉันก็แย่นะสิ ไปเช็ดโต๊ะซะ”เจ้าของร้านมองหน้าผมตอนที่เอารายการอาหารมาให้ ก่อนที่จะบอกให้ผมเปลี่ยนไปเช็ดโต๊ะแทน ผมเองก็ต้องก้มหน้าก้มตาทำอย่างขัดไม่ได้
โครม!
“เฮ้ย! เรย์!!!”
ดูเหมือนว่าวันนี้โชคจะไม่เข้าข้างผมเพราะไม่ว่าทำอะไรผมก็ผิดพลาดตลอด ผมที่กำลังเก็บจานอยู่แต่เกิดสะดุดหกล้มทำให้ข้าวของที่ถืออยู่หล่นแตกกระจาย บางส่วนก็กระเด็นไปโดนลูกค้าในร้าน ความผิดพลาดที่เกิดขึ้นทำให้ผมหน้าซีดรีบขอโทษขอโพยทันที
“พอๆ ไม่ต้องอยู่แล้วหน้าร้าน เก็บที่แตกเสร็จแล้วไปช่วยงานในครัวโน่น!!!”
“คะ ครับ”
ผมเม้มปากแน่นก้มหน้าก้มตาเก็บด้วยความรู้สึกอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนี ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาเบาๆ คงไม่ต้องบอกก็รู้ว่าพวกเขากำลังหัวเราะเยาะผมแต่ก็ทำอะไรไม่ได้เพราะผมยังไม่อยากถูกไล่ออกตอนนี้ พอผมเก็บจานที่แตกเสร็จผมก็เดินเข้าไปในครัว พนักงานในร้านบางคนมองหน้าผมอย่างเอือมๆ ที่ผมทำอะไรก็เหมือนกับผิดไปหมด
“เอ่อ ให้ผมช่วยนะครับ”
“อย่าเลยเดี๋ยวทำข้าวของเสียหายอีก ฉันไม่อยากถูกเถ้าแก่ว่า”คำพูดของเขามันทำให้ผมสะอึกในอกเล็กๆ
“เฮ้อ เอางี้ นายไปล้างจานก็แล้วกัน”
“ครับ”
ทันทีที่ได้ยินคำสั่งผมก็รีบรับปากรับคำอย่างไม่รีรอ มองจานกองโตที่อยู่ตรงหน้าแล้วมันก็ทำให้รู้สึกกลัวไม่น้อย จะบอกว่าตั้งแต่เกิดมาผมยังไม่เคยล้างจานเองด้วยซ้ำ
‘เอาวะ! เป็นไงเป็นกัน’
เพล้ง!
เสียงจานที่แตกดังสนั่นไปทั่ว จนทำเอาผมถึงกับทำตัวไม่ถูกต้องรีบก้มลงเก็บจานที่แตกทันที แต่คิดว่ายังไงซะคงเก็บไม่ทันที่เจ้าของร้านจะมาหรอก
“ทำจานแตกอีกแล้วเหรอ!”
“ขะ ขอโทษครับ”
ผมหน้าซีดก้มหน้าตอบ ไม่กล้าที่จะเงยหน้ามองเจ้าของร้านตรงๆ รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองทำผิดร้ายแรงอย่างนั้นแหละ แต่มันอาจจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็ได้
“พอๆ เลย ไม่ต้องมาทำงานกับฉันแล้ว”
“ไม่นะครับ! ขอผมทำเถอะ”
“ไม่! เป็นพนักงานเสริฟก็ไม่ได้เรื่อง ให้เข้ามาช่วยในครัวก็ยังทำจานแตกจนตอนนี้จานของฉันจะหมดร้านแล้ว ถ้าทำอีกมีหวังเจ๊งแน่ๆ”
“ขอโทษครับ”
“ตอนแรกเห็นหน้าตาดีเลยรับเอาไว้มาเป็นพนักงานเสริฟ แต่ไม่คิดจริงๆ ว่าจะไม่ได้เรื่องขนาดนี้”
“.....”
ผมก้มหน้ารับผิดแต่โดยดี มันเป็นอย่างที่เขาว่าจริงๆ นั่นแหละ ผมมันทำอะไรไม่ได้เรื่องเลย ไม่ได้เรื่องสักนิด ทำอะไรก็ไม่เป็นสักอย่างถ้าจะถูกไล่ออกก็ไม่แปลก
‘หน้าตาก็ดีแต่ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่องสักอย่าง.....’
‘ก็อย่างว่าแหละ คนเราห้ามมองกันที่หน้าตา....’
‘นั่นนะซิ ดีนะที่ฉันพอทำอะไรเป็นบ้างไม่แย่แบบนี้.....’
‘ฉันว่าฉันทำงานแย่แล้วนะ แต่ยังมีคนแย่กว่าฉันอีก.....’
‘แต่เล่นทำอะไรไม่เป็นเลยแบบนี้มันก็ไม่ไหวนะ เป็นฉัน ฉันก็ไม่เอาหรอก.....’
‘อืม ใช่ๆ’

เสียงนินทาเบาๆ จากคนรอบข้างถึงจะพูดแบบกระซิบกระซากแต่ผมก็พอจับใจความได้ว่าพวกเขาพูดอะไรกันออกมาบ้าง ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะโกรธ ไม่มีสิทธิ์ที่จะไม่พอใจเพราะผมก็เป็นอย่างที่พูดจริงๆ
“เอ้า นี่เงิน ถือว่าเป็นค่าเสียเวลาแล้วไปซะ”
“ขอบคุณครับ งั้นผมขอตัว”
ผมถอดผ้ากันเปื้อนออกพร้อมกับขอบคุณเจ้าของร้านที่ยอมรับผมเข้าทำงานแต่ผมไม่ได้รับเงินเขา พูดลาเสร็จผมก็เดินออกมาจากร้านเลย
“หึ”
ผมหัวเราะให้กับความน่าสมเพชตัวเองเบาๆ ทำงานได้แค่สองวันแต่กลับถูกไล่ออก ไม่คิดเลยจริงๆ ว่ามันจะลำบากขนาดนี้ ผมเงยหน้ามองท้องฟ้าพยายามสกัดกลั้นน้ำตาที่ไหลออกมา ทั้งๆ ที่ท้องฟ้ามันใสขนาดนี้แล้วทำไมใจของผมมันถึงได้ช้ำแบบนี้นะ ทุกอย่างที่อยู่รอบตัวมันมืดมนไปหมด ผมสมัครงานทุกที่ทุกตำแหน่งแต่ก็อย่างว่าเด็กเพิ่งจบอย่างผมจะมีใครรับ ถึงผมอยากจะทำงานที่มีตำแหน่งสบายๆ แต่ก็ใช่จะหาได้ง่ายๆ ผมหางานอยู่หลายที่มากกว่าจะได้แต่ทุกอย่างมันก็ล้มไม่เป็นท่า
ผมที่ไม่เคยทำงาน ไม่เคยทำอะไรเองสักอย่าง ในทุกๆ วันจะมีเย็นคอยช่วยทำให้เสมอแต่วันนี้ไม่มีเย็นแล้วมันก็ทำให้ผมรู้ว่าตัวเองเป็นคนไม่ได้เรื่องขนาดไหน แค่งานง่ายๆ ผมยังทำไม่ได้เลย
ภายในห้องที่ไม่ได้กว้างมีแค่พัดลมหนึ่งตัวกับที่นอนเท่านั้น ผมนั่งกอดเข่าตัวเองด้วยความรู้สึกหมดหวังแต่ทำไมน้ำตากลับไม่ไหลออกมานะ ทั้งๆ ที่ตอนเดินออกจากร้านมันตั้งท่าจะไหลออกมาท่าเดียว ความเงียบเหงามันทำให้ความนึกคิดของผมคิดไปไกล ผมยอมรับตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยแตะต้องงานอะไรเลยสักอย่างแม้แต่กระทั่งเก็บผ้าปูที่นอน การใช้ชีวิตคนเดียวมันลำบากขนาดไหนผมเพิ่งรู้ตอนนี้เอง
‘ถ้าหากว่าจะกลับไปได้ไหมนะ’
‘กลับไปใช้ชีวิตเหมือนเดิม’
‘ถ้ากลับไปที่นั่น ผมก็ไม่ต้องลำบาก ถึงไม่มีเย็นก็ยังมีคนอื่นอีกมากมายทำแทนอยู่ดี’

“ไม่ๆ คิดอะไรเนี่ยเรา”
ผมส่ายหน้ารัวไล่ความคิดที่มันกระเจิดกระเจิง ในเมื่อตัดสินใจที่จะมีชีวิตอยู่ต่อ ตัดสินใจที่จะหันหลังให้กับทุกคนในบ้านหลังนั้น ผมก็ต้องสู้จนถึงที่สุด!!! จะไม่มีทางหันกลับไปเด็ดขาด ผมไม่อยากให้พวกเขามาสมเพชเวทนา ไม่อยากให้คนพวกนั้นมาดูถูกว่าผมจนตรอกจนต้องกลับไป ต่อให้ต้องอดตายอยู่ข้างทางผมก็ไม่มีวันกลับไปเด็ดขาด!!!
.
.
.
วันต่อมา
หลังจากที่ได้นอนไปหนึ่งคืนทั้งกำลังกายและกำลังใจของผมเริ่มกลับมาอีกครั้ง ผมตั้งหน้าตั้งตาหางานทำอย่างไม่คิดจะย่อท้อแม้ว่าจะถูกปฏิเสธก็ตาม แสงอาทิตย์ที่ร้อนแรงมันทำให้เหงื่อผมแตกพลั่ก ร้อนก็ร้อน แต่ก็ต้องทน
“เฮ้อ”
ผมถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยอ่อน นี่ก็สมัครไปทั่วแล้วแต่ทำไมงานมันถึงได้หายากแบบนี้นะ เด็กจบแค่ ม.6 อย่างผมคงจะหางานไม่ได้ง่ายๆ
ช่วงจังหวะที่ผมกำลังเดินทอดน่องเพื่อหางานใหม่อีกที่ สายตาของผมเหลือบมองไปเห็นหญิงชราคนนึงกำลังเงยหน้าชูลูกอมที่ห่อพาสติกเพียงไม่กี่เม็ดเพื่อขายให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมา ภาพของผู้หญิงแก่ๆ คนนึงที่แทบไม่มีแรงต้องมานั่งตากแดดทำแบบนี้มันสะเทือนใจผมอย่างจัง ผมไม่เข้าใจสักนิดว่าทำไมลูกหลานของพวกเขาถึงได้ปล่อยให้คนแก่ที่ช่วยเหลืออะไรตัวเองไม่ได้มานั่งทำอะไรแบบนี้ ไม่เข้าใจว่าเขาไม่มีลูกหลานคอยดูแลเหรอ?
“ผมขอสักถุงนะครับยาย”
“ขอบใจมากจ๊ะหนู”
ยายคนนั้นยิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตรก่อนที่มือสั่นๆ ของแกจะยื่นถุงลูกอมมาให้ผม ผมยื่นแบ้งค์ร้อยไปให้โดยที่ไม่ได้รับเงินทอนแต่อย่างใด ผมยิ้มให้กับยายคนนั้นก่อนที่จะเดินออกมา ผมไม่รู้ว่าเขาจะเป็นมิจฉาชีพหรือเปล่าที่หลอกใช้ความน่าสงสารแต่มันก็ใช้ได้ผล มันทำให้ผมรู้สึกสงสารแกจริงๆ แต่ไม่รู้สิใจของผมมันรู้สึกสงบแปลกๆ
“เอาวะ! สู้เว้ย!!!”
ต่อจากนี้ไปผมจะเจออะไรบ้างก็ไม่รู้ ในวันข้างหน้าผมอาจจะต้องลำบากมากกว่านี้ก็เป็นได้ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกถึงคุณค่าของชีวิตมากขึ้น บทเรียนในคราวนี้มันทำให้ผมรู้แล้วว่าทุกเส้นทางมันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ทุกอย่างมันต้องมีอุปสรรคเสมอ ต่อให้ผมไม่ได้งานในวันนี้แต่ก็ใช่ว่าจะไม่ได้ตลอดไป ขอแค่ผมพยายามมันก็คงจะไม่เกินกำลังผมเท่าไหร่
ขอเพียงแค่พยายาม...

สายตาคมทอดมองตรงไปยังร่างเล็กๆ ที่เดินอยู่ตรงหน้า รอยยิ้มที่มุมปากเกิดขึ้นด้วยความรู้สึกพึงพอใจ สิ่งที่เรย์ทำทั้งหมดตกอยู่ในสายตาของเขาตลอดเวลาก็ว่าได้ แล้วอีกเพียงไม่นานเจ้าตัวจะต้องตกหลุมพรางที่เขาขุดเอาไว้
“นายครับ”
“หึ ส่งคนตามต่อไปอย่าให้คลาดสายตา ไปสมัครงานที่ไหนก็เอาเงินให้ซะ ทำยังไงก็ได้ไม่ให้เรย์มีงานทำ”
“ครับ”
ชายหนุ่มพยักหน้าให้กับเจ้านายของตนเบาๆ พลางเอ่ยปากรับคำสั่ง...
ร่างสูงยกยิ้มที่มุมปากอีกครั้ง เพียงไม่นานนักตัวรถก็เคลื่อนที่ออกไป ผ่านร่างเล็กๆ ของเรย์ที่กำลังเดินตรงฝุตบาตด้วยความเหนื่อยล้า
‘อีกไม่นานเราต้องได้เจอกันอีกแน่ๆ เรย์’

แกร็ก
“เฮ้อ สรุปวันนี้ก็ไม่ได้งานจนได้”
ตกเย็นผมก็กลับมาที่พักหลังจากที่หางานมาแทบทั้งวันเล่นทำเอาผมเหนื่อยสุดๆ จนอยากที่จะลงไปพักผ่อนกับที่นอนแข็งๆ ในห้องเหลือเกิน
ตุบ!
ผมทิ้งร่างตัวเองลงบนที่นอนทันที ตอนนี้รู้สึกเหนื่อยมากจริงๆ ไม่อยากทำอะไรเลยแม้แต่จะอาบน้ำ ขอนอนสักงีบก่อนแล้วก่อนอย่างอื่นค่อยว่ากันทีหลังเพราะตอนนี้ผมไม่ไหวแล้วจริงๆ
ทำไมงานมันถึงได้หายากขนาดนี้นะ...
ผมนอนหลับตานิ่งๆ คิดถึงวันเก่าๆ ตอนที่ผมยังสุขสบาย เพราะมีเงิน มีอำนาจเลยทำให้สามารถทำอะไรๆ ก็ได้ แต่ดูวันนี้สิผมกลับไม่เหลืออะไรเลย...
หลังจากวันนั้นผมก็ยังหางานไปเรื่อยๆ แต่ดูเหมือนว่างานมันจะไม่เป็นใจให้ผมสักเท่าไหร่เลย ทั้งมองหางานจากหนังสือหางาน ส่งเอกสารรับสมัครงานไปก็เยอะแต่ก็ไม่มีที่ไหนตอบกับมาเลย เงินที่มีก็ต้องใช้อย่างประหยัด ถ้ายังหางานไม่ได้แบบนี้สักวันผมต้องแย่แน่ๆ
“จะทำยังไงดีนะ”
ผมกอดอกบอกกับตัวเองเบาๆ อย่างใช้ความคิด อีกไม่นานก็ต้องไปสมัครเรียนอีก ไหนจะค่าเทอม ค่าอยู่ ค่ากินอีก
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ไปรษณีย์ครับ”
เสียงเคาะประตูดังขึ้นท่ามกลางความคิดของผม ผมหันหน้าไปมองนิดหน่อยก่อนที่จะลุกขึ้นไปเปิดประตูให้
ไปรษณีย์อย่างนั้นเหรอ? นี่ผมสั่งอะไรไปตอนไหนนะ...
แอ๊ดดด
“ครับ?”
ผมถามออกไปอย่างงงๆ พลางมองหน้าบุรุษไปรษณีย์ตรงหน้า
“มีเอกสารมาส่งครับ”
“เอ่อ ครับ”
ผมรับเอกสารจากมือของเขาแล้วเซ็นรับเอาไว้ ก่อนที่จะกลับเข้าไปในห้องเหมือนเดิม ผมเดินไปนั่งที่เตียงนอนพลางเปิดซองเอกสารไปด้วย ข้างในเป็นกระดาษสีขาวธรรมดาๆ แต่สิ่งที่เป็นเนื้อหาข้างในมันทำให้ผมถึงกับตื่นตะลึงไปด้วยความตื้นเต้น
ใบเข้ารับการทำงาน!
ผมมองเอกสารที่อยู่ในมืออย่างถี่ถ้วนด้วยหัวใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ นี่ผมกำลังจะได้งานทำจริงๆ สินะ...
แล้วคืนนั้นทั้งคืนผมก็แทบนอนไม่หลับเลยก็ว่าได้ เช้ามาผมก็รีบตื่นแต่เช้าเตรียมความพร้อมที่จะไปหางานทำ เสื้อผ้าที่ผมใส่ก็พยายามหาตัวที่ดูดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ผมมองตัวเองในกระจกบานเล็กๆ ที่ใช้ส่องหน้าทุกวันแล้วสูดอากาศเข้าปอดยาวๆ ด้วยความมุ่งมั่น เพื่อสร้างกำลังใจให้กับตัวเอง...
ครั้งนี้แหละ! ผมจะไม่พลาดอีกแล้ว...
“เอ่อ ที่นี่เหรอ?”
ผมมองไปที่บริษัทฯ ใหญ่ตรงหน้าด้วยความฉงนพอสมควร นี่ผมเคยสมัครงานที่นี่จริงเหรอ? แต่ถึงจะจริงแล้วทำไมเขารับเด็กที่จบแค่ ม.6 อย่างผมเข้าทำงานกันนะ...ด้วยความที่ไม่คิดอะไรมากไปกว่านี้ผมก็เลยเลือกเดินเข้าไปข้างในแล้วตรงไปยังประชาสัมพันธ์
“สวัสดีครับ”
ผมกล่าวทักทายหญิงสาวตรงหน้าด้วยท่าทีสุภาพ...
“ค่ะ”
เธอหันมายิ้มให้กับผมเช่นกัน...
“เอ่อ ผมมาติดต่อเรื่องงานครับ”
“อ้อ คุณณัฏฐกานต์ อธิพัฒน์เดชากร ใช่ไหมคะ”
“ครับ”
“ท่านกำลังรออยู่ข้างบนเลยคะ เชิญขึ้นไปที่ห้องได้เลย”
“เอ่อ แล้วห้องไหนครับ?”
“ขึ้นลิฟท์ที่อยู่ทางขวามือนะคะ ไปชั้นที่ 15 แล้วเลี้ยวซ้ายนะคะ”
ประชาสัมพันธ์บอกกับผมอีกครั้ง ผมเองก็ทำตามที่เธอว่าอย่างว่าง่ายแม้ว่ามันจะอดแปลกใจไม่ได้ก็เถอะ...
พอผมมาถึงชั้นที่เธอบอกผมก็เดินตรงมาเรื่อยๆ จนกระทั่งเจอเลขาหน้าห้อง ผมไม่ต้องพูดอะไรเลยด้วยซ้ำเธอก็ให้ผมเข้าห้องอย่างไม่มีอิดออดเลยด้วยด้วยซ้ำ
“เชิญคะ”
“ขอบคุณครับ”
ผมบอกยิ้มๆ แล้วเดินเข้าไปในห้องกว้าง ดูท่าว่าจะเป็นห้องทำงานของประธานบริษัทฯ ลูกจ้างเล็กๆ อย่างผมจำเป็นที่จะต้องสัมภาษณ์งานกับคนใหญ่คนโตขนาดนี้ด้วยเหรอ?
ผมเดินเข้าไปกลางห้องด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ ในมือก็ถือเอกสารไว้แน่นใจของผมในตอนนี้แทบเต้นระรัวออกมานอกอกเมื่อเห็นใครบางคนกำลังนั่งหันหลังบนเก้าอี้ทำให้
“เอ่อ สวัสดีครับ...”
ผมพูดพยายามทำเสียงให้เป็นปกติที่สุด แต่เพียงแค่พูดได้ประโยคเดียวแค่นั้นแหละ คนที่นั่งหันหลังให้ผมก็ค่อยๆ หันมาอย่างช้าๆ แต่ว่ามันกลับทำให้ผมถึงกับพูดอะไรไม่ออก
เอเดน!!!


ออฟไลน์ Take

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน10-15 15/11/15
«ตอบ #165 เมื่อ20-11-2015 13:05:46 »


ตอนที่ 13

[ตะวัน]

เรย์...หายไป...
สมองของผมแทบคิดอะไรไม่ออก รู้สึกว่าเนื้อตัวของผมสั่นไปหมด สั่นจนทำอะไรไม่ถูกเลย ผมส่ายหน้ารัวอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยินแล้วผมก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองทำอะไรลงไปบ้าง รู้ตัวอีกทีผมก็ออกตามหาเรย์ไปจนทั่ว ไปในที่ๆ คิดว่าเรย์จะไป แต่ไม่ว่าจะพยายามหาเท่าไหร่ผมก็ไม่พบเลยสักนิด
ตุบ!
ผมทิ้งร่างกายตัวเองด้วยความอ่อนล้าลงบนโซฟาตัวใหญ่ภายในห้องโถง ผมหลับตาลงช้าๆ เพื่อพักจิตใจที่ว้าวุ้นให้สงบลงแต่ว่ามันดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย
ผมยังคิดถึงเรย์...
“ตะวัน”
หนึ่งเรียกชื่อผมเบาๆ ผมลืมตาขึ้นมาแล้วยิ้มให้กับเขาเหมือนอย่างเคย
“มีอะไรเหรอหนี่ง”
ผมถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบ...
“เหนื่อยเหรอตะวัน”
หนึ่งพูดขึ้น มือเล็กๆ ของเขาก็เอื้อมมาจับแขนผมเอาไว้เหมือนกับให้กำลังใจ...
“นิดหน่อยนะ”
“แล้วเจอเรย์ไหม?”
“ไม่...”
ผมส่ายหน้าตอบ...
ไม่ว่าจะตามหายังไง ไม่ว่าจะหาที่ไหนก็ไม่มีสักนิด ผมทั้งกลัวทั้งกังวล ผมกลัวเหลือเกินว่าเรย์จะคิดสั้น กลัวเหลือเกินว่าเขาจะทำอะไรโง่ๆ หรือไม่ก็ถูกล่อลวงไปทำอะไรมิดีมิร้าย ผมกลัวไปหมดจนทำอะไรไม่ถูกแล้วจริงๆ
“ถ้าเหนื่อย...ก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจเถอะนะ”
หนึ่งจับแขนผมแน่นพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเชิงเป็นห่วง...
“ไม่!”
ผมตอบออกไปทันที...
จะปล่อยให้ผมอยู่เฉยๆ แล้วรอให้ตำรวจจัดการนะเหรอ! บอกเลยว่าไม่มีทาง!!! ผมไม่ยอมอยู่เฉยๆ งอมืองอเท้าอย่างเดียวหรอก
หนึ่งมองผมด้วยสีหน้าหมองเล็กๆ เขาทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ออกมา มือสั่นๆ ของเขาก็ยังคงจับผมไม่ปล่อย
"ตะวัน...ทำไมละตะวัน ถือว่าหนึ่งขอร้อง หนึ่งไม่อยากให้ตะวันเหนื่อย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของตำรวจเถอะ"
หนึ่งพูด...ผมหันไปสบตากับเขาอีกครั้ง
"ขอโทษนะหนึ่ง ตะวันทำไม่ได้จริงๆ"
"ทำไมละ? ทำไมถึงทำไม่ได้"
"..."
"หนึ่งเป็นห่วงเรย์ พ่อก็เป็นห่วงเรย์ ทุกคนเป็นห่วงเรย์กันทั้งนั้นไม่ใช่แค่ตะวันคนเดียวซะหน่อย แต่ถ้าตะวันจะยังฝืนตัวเองแบบนี้ ตะวันต่างหากที่จะแย่"
หนึ่งพยายามอธิบายเหตุผลให้ผมฟัง...
"แล้วจะให้ตะวันงอมืองอเท้า รอความช่วยเหลือจากตำรวจอย่างเดียวนะเหรอหนึ่ง! หนึ่งไม่คิดเลยเหรอว่าถ้าเกิดเรย์เกิดเป็นอะไรไปขึ้นมาจะทำยังไง"
"แต่ว่า..."
"หยุดพูดเรื่องนี้เถอะ ตะวันอยากพักผ่อน...หนึ่งกลับไปก่อนเถอะ"
ผมบอกพร้อมกับค่อยๆ แกะมือของหนึ่งออกจากแขนของผม เขามองผมด้วยสายตาไม่น่าเชื่อ ทั้งๆ ที่ปกติผมจะไม่เคยทำกับเขาแบบนี้ ไม่ว่าหนึ่งจะร้องขออะไรผมก็ไม่เคยขัดใจเขาก็ว่าได้ แต่ยกเว้นเรื่องของเรย์เท่านั้นที่ผมทำไม่ได้ ทำไม่ได้จริงๆ...
ผมมันเป็นคนไม่เอาไหน ปกป้องเรย์ก็ไม่ได้ ทำอะไรไม่ได้สักอย่าง...ทั้งๆ ที่ผมบอกกับตัวเองไว้แล้วแท้ๆ ว่าจะปกป้องเขาให้ดีที่สุดแต่ผมกลับทำไม่ได้
เรย์อยู่ที่ไหน? ผมไม่รู้ รู้แต่ว่าผมจะต้องตามหาเขาให้พบ ตามหาหัวใจของผม
กลับมาเถอะนะ...
เรย์...
.
.
.
.
[หนึ่ง]

ผมทรุดหน้าลงบนเตียงด้วยหัวใจที่ปวดร้าว ยิ่งเห็นตะวันให้ความสำคัญกับเรย์มากเท่าไหร่ก็ยิ่งทำให้ผมเจ็บไปทั้งใจเลยก็ว่าได้
"ฮึก ฮือ ฮือ"
ผมร้องไห้ออกมาเบาๆ ทั้งเสียใจและน้อยใจอย่างบอกไม่ถูก...
"ตะวันบ้า! บ้า! บ้า! ที่สุด"
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
มือเล็กๆ ของผมก็ทุบไปตรงที่นอนหลายต่อหลายครั้งเพื่อระบายความอัดอั้นที่อยู่ในใจ ทั้งน้อยใจและเสียใจจริงๆ
ทำไมกันนะตะวัน...
หลังจากที่เรย์หายไปก็ปาไปเกือบเดือนแล้ว แต่พวกเราก็ยังตามหาเรย์ไม่เจอ แม้ว่าจะประกาศออกหน้าหนังสือพิมพ์หรือออกสื่อโทรทัศน์ก็ตาม...
ทั้งพ่อและทั้งตะวันต่างก็ตามหากันแทบเรียกได้ว่าจะผลิกแผ่นดินเลยก็ว่าได้ ส่วนผมกับแม่ก็ได้แต่รอฟังข่าวเงียบๆ อยู่ที่บ้าน ไม่ใช่ว่าผมไม่ห่วงเรย์หรอกนะ ผมห่วงเรย์เหมือนกับทุกคนที่เป็นห่วง แต่ว่า...ผมก็ทำได้แค่รอฟังข่าวก็เท่านั้น
"คุณพ่อ..."
ผมเรียกเบาๆ พร้อมเดินเข้าไปหาผู้ชายร่างท้วมที่กำลังเดินเข้ามาในบ้านด้วยสภาพอิดโรยก่อนที่จะพยุงไปนั่งที่โซฟา
"ดูคุณพ่อเครียดๆ งานมีปัญหาเหรอครับ"
ผมถามด้วยความเป็นห่วง เพราะนอกจากตามหาเรย์แล้วพ่อยังต้องทำงานด้วย แล้วก็ดูเหมือนว่าช่วงนี้บริษัทเริ่มมีปัญหานิดหน่อย ก็ยิ่งทำให้พ่อเหนื่อยเป็นเท่าตัว
"ไม่มีอะไรหรอก หนึ่งไม่ต้องห่วง"
พ่อบอกแล้วลูบหัวผมเบาๆ มือที่อบอุ่นของพ่อที่ผมเห็นมาตั้งแต่เด็กกับรอยยิ้มนิดๆ ที่แสดงบนใบหน้ามันทำให้ผมรู้เลยว่าพ่อกำลังมีปัญหามากแน่ๆ
"ถ้าเหนื่อยก็พักนะครับ ผมเป็นห่วง"
พ่อพยักหน้าให้ผมเบาๆ แล้วก็ยิ้มให้กับผมก่อนที่จะถามขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเรียบๆ แต่มันก็แฝงไปด้วยความเหนื่อยอ่อน
"แม่ละ?"
"อยู่บนห้องครับ"
"อืม..."
"คุณพ่อจะขึ้นไปพักผ่อนบนห้องไหมครับ หนึ่งจะพาไป"
"ก็ดี"
พ่อพูดขึ้นเบาๆ จากนั้นผมก็ค่อยๆ พยุงร่างหนาๆ ให้ลุกขึ้นแล้วเดินไปส่งที่หน้าประตูห้อง จริงๆ แล้วผมก็อยากที่จะเข้าไปส่งในห้องนะ แต่ว่าพ่อก็บอกว่าไม่ต้องผมเลยได้ส่งแค่หน้าประตูแทน พอเห็นพ่อเป็นแบบนี้แล้วมันทำให้ผมรู้สึกปวดใจอยู่เหมือนกัน
พ่อทำงานหนัก...หนักมากเกินไปจริงๆ ผมกลัวว่าสักวันพ่อจะทรุดเพราะร่างกายทนไม่ไหว แต่ว่าพ่อก็หัวดื้อมากไม่ยอมพักเลย ทั้งทำงานด้วยแล้วก็ออกตามหาเรย์ด้วย คงจะเหนื่อยแย่...
เพล้ง!
เฮือก!
ขณะที่ผมกำลังจะก้าวขาลงบันได้ จู่ๆ ผมก็ได้ยินเสียงเหมือนอะไรแตกจากห้องของพ่อ ผมรีบวิ่งกลับไปที่เดิม แต่ว่ายังไม่ทันที่จะเปิดประตูผมก็ได้ยินเสียงพ่อเล็ดลอดออกมา
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโมโห...
"คุณจะบอกว่าเป็นความผิดของผมหรือไง!"
"แล้วมันจริงไหมล่ะ! ถ้าคุณไม่มัวแต่ตามหาเรย์ ธุรกิจมันก็คงไม่แย่แบบนี้!"
"เรย์เป็นลูกของผม! จะไม่ให้ผมตามหาได้ยังไง!!!"
"ฉันรู้ว่าเรย์เป็นลูกคุณ ฉันเองก็ห่วงเรย์ไม่น้อยกว่าคุณ แต่คุณก็ยังมีอีกหลายชีวิตไว้ดูแล ลูกจ้างของคุณเป็นพันๆ คนจะต้องตกงานเพราะคุณ! เข้าใจไหมคุณพจน์!!! แล้วคุณจะรับผิดชอบพวกเขาไหวเหรอ ห่ะ!"
"คุณหยุดพูดเรื่องนี้ได้ไหม! ผมเบื่อ!!! แค่งานกำลังมีปัญหาก็แย่พออยู่แล้ว แล้วยังต้องมาทะเลาะกับคุณอีกเกือบทุกวัน ผมเบื่อ!!!"
ผมได้แต่ยืนฟังนิ่งๆ ไม่กล้าแม้แต่จะขยับไปไหน ตั้งแต่เล็กจนโตผมไม่เคยเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกันเลย ถึงจะมีบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับขนาดทำลายข้าวของแบบนี้ อย่างมากก็แค่งอนๆ กัน แล้วนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกันรุนแรงแบบนี้ มันทำให้ผมรู้สึกเสียใจมากจริงๆ...
หลังจากวันที่ผมเห็นพ่อกับแม่ทะเลาะกันวันนั้น พ่อกับแม่ก็เริ่มที่จะรู้สึกห่างเหิรกันมากจริงๆ ถึงเวลาที่อยู่ต่อหน้าผม พวกท่านจะทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม แต่ว่าบรรยากาศที่อยู่รอบตัวที่เต็มไปด้วยความอัดแน่น มันก็ทำให้ผมรู้อยู่ดี
"เฮ้อ..."
ผมได้แต่ถอนหายทิ้งด้วยความเหนื่อยอ่อน รู้สึกไม่ชอบเลยที่เห็นพ่อกับแม่เป็นแบบนี้
"คุณหนึ่ง...ไม่สบายใจเรื่องอะไรเหรอคะ"
"เปล่าครับพี่นิด หนึ่งไม่เป็นอะไร"
ผมหันไปบอกพี่เลี้ยงของผมด้วยรอยยิ้มเบาๆ...
"ถ้างั้นนิดขอตัวก่อนนะคะ"
"ครับ"
ผมยิ้มแล้วพยักหน้าให้ พี่นิดวางแก้วนมข้างๆ หัวเตียงเสร็จแล้วไม่นานก็ออกไปจากห้อง...
ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้ง ใบหน้าของผมก็แปรเปลี่ยนเป็นเศร้าหมองทันที แล้วมันก็ทำให้ผมคิดถึงเรื่องของพ่อกับแม่...
ผมคิดวนไปวนมาอยู่แบบนั้นอยู่หลายชั่วโมงจนทำให้ผมหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ตื่นมาอีกทีมันก็บ่ายมากแล้ว ผมค่อยๆ ลุกออกจากเตียงช้าๆ แล้วเดินไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าให้ตื่น จากนั้นก็พาตัวเองไปข้างล่าง
รู้สึกหิวนิดๆ แฮะ ...คงเพราะแทบไม่ได้ค่อยทานอะไรเลย มันก็เลยทำให้ผมรู้สึกหิวพอสมควร
"พี่นิด..."
"จริงเหรอวะแก คิดว่าพวกคุณท่านทะเลาะกันเหรอวะ"
ในช่วงจังหวะที่ผมกำลังเรียกพี่นิดจู่ๆ ก็มีเสียงพูดอีกคนแทรกมา ถ้ามันเป็นเรื่องของคนอื่นผมก็คงจะไม่สนใจ แต่เพราะสรรพนามที่เรียกทำให้ผมถึงกับหยุดอยู่กับที่
"จริง เมื่อคืนตอนฉันมาปิดไฟ ฉันก็ได้ยินพวกคุณท่านทะเลาะกัน แรงมากด้วย"
"เฮ้ย แต่ตอนเช้าฉันก็เห็นว่ายังปกติเลยนะเว้ย"
"นังน้อย แกจะรู้อะไร แกไม่ได้มาเป็นคนปิดไฟแบบฉันนี่ คงเพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่ากำลังมีปัญหาถึงได้ปิดเงียบไง"
"เออวะ จริงของแก"
"ฉันว่านะ ตั้งแต่คุณหนึ่งหนีออกจากบ้าน พวกคุณท่านก็เอาแต่ทะเลาะกันวะ"
"แกคิดอย่างนั้นเหรอวะ"
"ก็ใช่นะซิ"
ผมฟังแค่นั้นแล้วก็เดินออกมาทันที สิ่งที่ผมได้ยินมันก็ยิ่งทำให้ผมคิดมากขึ้นไปอีก ทั้งๆ ที่พยายามจะไม่คิดแล้วนะ แต่ผมก็ทำไม่ได้อยู่ แค่คิดกับตัวเองไม่เท่าไหร่แต่พอได้ยินคนอื่นมาพูดแบบนี้แล้วมันทำให้ผมรู้สึกแย่...
Rrr Rrr Rrr
ในขณะที่ผมกำลังจะเดินขึ้นห้องจู่ๆ เสียงรอสายก็ดังขึ้น ผมมองไปที่หน้าจอชั่วครู่ก่อนที่จะกดรับ
"ครับ..."
//คุณหนึ่งใช่ไหมครับ ผมเป็นเลขาของคุณพจน์นะครับ//
"เอ่อ ครับ?"
ผมขานรับอย่างงงๆ เลขาของพ่ออย่างนั้นเหรอ? แล้วเขาจะโทรหาผมทำไมกันนะ แต่ว่าสิ่งที่ผมได้ยินจากปากของเขามันทำให้ผมถึงกับตัวสั่นขึ้นมาทันที
//คุณหนึ่ง ตอนนี้คุณพจน์อยู่โรงพยาบาล!//
!!!

ออฟไลน์ Take

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน10-15 15/11/15
«ตอบ #166 เมื่อ20-11-2015 13:08:09 »


ตอนที่ 14
[ตะวัน]

ตึก ตึก ตึก
"หนึ่ง!"
ผมวิ่งไปตามทางเดินของโรงพยาบาลด้วยความเร่งรีบก่อนที่จะตรงเข้าไปหาร่างบางที่อยู่ตรงหน้าห้อง
"ตะวัน..."
หนึ่งร้องไห้ออกมาด้วยน้ำตานองหน้า ใบหน้าขาวซีดเผือดจนน่ากลัว หนึ่งมองหน้าผมเพียงชั่วครู่ก่อนที่จะเข้ามาโอบกอดเต็มอ้อมแขน
"ฮือ ฮือ ตะวัน...ฮือ ฮึก ฮือ"
"หนึ่ง"
ผมจับหัวไหล่เขาเบาๆ...
"ตะวัน ฮึก พ่อ ฮือ ฮือ คุณพ่อ..."
"ไม่เป็นไร คุณลุงต้องไม่เป็นไรแน่ๆ เชื่อมือหมอเถอะ"
ผมพยายามพูดให้กำลังใจอีกฝ่ายมากที่สุด แล้วพาร่างกายที่สั่นสะท้านไปนั่งที่เก้าอี้เหมือนเดิม หนึ่งยังคงร้องไห้ไม่หยุด เขาจับมือผมไว้แน่นราวกับเด็กเล็กๆ ที่กำลังกลัว...
"หนึ่ง! ตะวัน!"
ไคที่ตามมาทีหลังวิ่งด้วยหน้าตาตื่น เขามองมาที่ผมกับหนึ่งก่อนที่จะมองไปที่มือของพวกเราทั้งสองคน ผมจึงค่อยๆ เลื่อนมือออกอย่างช้าๆ แล้วทำหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"หนึ่ง ไม่เป็นไรนะ..."
เขาเข้ามานั่งข้างๆ หนึ่งแล้วถามด้วยความเป็นห่วง...
"...ฮึก ฮือ"
หนึ่งส่ายหน้าตอบเบาๆ...
ตอนนี้ลุงพจน์กำลังอยู่ห้องผ่าตัด อาการจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ ทั้งๆ ที่ลุงพจน์แข็งแรงมาตลอดแท้ๆ นี่ก็เป็นครั้งแรกด้วยที่ลุงพจน์เป็นหนักขนาดนี้ แล้วตอนนี้แม่ของหนึ่งก็บินไปฮ่องกงซะด้วยเลยทำให้หนึ่งขวัญเสียมากพอดู
"เพราะเรย์แน่ๆ เลยทำให้ลุงพจน์เข้าโรงพยาบาล"
ผมหันไปมองไคที่เป็นคนพูดประโยคนี้ขึ้นมา...การที่ลุงพจน์เข้าโรงพยาบาลมันเกี่ยวอะไรกับเรย์ด้วย...
"เรย์เกี่ยวอะไร?"
"ทำไมจะไม่เกี่ยว ถ้าเรย์ไม่หายไปลุงพจน์ก็ไม่ต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะอดหลับอดนอนออกไปตามหา"
"ไค! หยุดกล่าวหาเรย์ได้แล้ว!!!"
ผมขึ้นเสียงใส่ด้วยความโมโห ถึงมันจะเป็นเพียงแค่คำพูดไม่กี่คำแต่มันกลับทำให้ผมรู้สึกเดือดขึ้นมาจริงๆ
"กูไม่ได้กล่าวหา กูพูดจริงๆ"
"ไค!!!"
ผมลุกขึ้นแล้วจับไปที่คอเสื้อของเขาอย่างเอาเรื่อง การกล่าวหาคนอื่นทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิดมันทำให้ผมไม่ชอบ โดยเฉพาะการที่ไคมากล่าวหาเรย์แบบนี้มันยิ่งทำให้ผมไม่ชอบเข้าไปใหญ่...
"ทำไม?...มึงปกป้องเรย์"
ไคถามผมด้วยสีหน้าจับผิด...
"ใช่"
ผมตอบด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบ...
"คนอย่างเรย์มีอะไรต้องน่าปกป้อง มึงก็รู้ว่าเรย์ร้ายขนาดไหน เขาทำร้ายหนึ่ง ทำร้ายคนรอบข้าง มึงเองก็น่าจะรู้..."
ผมกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ ผมไม่คิดเลยว่าไคจะมองคนแค่เพียงเปลือกนอกที่สร้างขึ้น ใช่! เมื่อก่อนผมก็เคยเป็นแบบนั้น ผมเองก็ผิดเหมือนกันที่เคยมองเรย์แบบนั้น
เปลือกนอกที่ผมและทุกคนเห็นเป็นเพียงสิ่งที่เรย์สร้างขึ้นเพื่อปกป้องตัวเอง เป็นเพียงแค่ภาพลวงตาที่เขาทำมันขึ้นมาเพื่อปิดบังตัวตนที่อ่อนแอ...เขาดูเหมือนร้าย เขาดูเหมือนเป็นเด็กที่เอาแต่ใจ แต่จะมีใครสักคนรู้หรือเปล่าว่าจริงๆ แล้วมันไม่ใช่สักนิด...
ใหน้าที่เย่อหยิ่งแต่กลับเต็มไปด้วยน้ำตา...ท่าทีที่แข็งกร้าวแต่เหมือนราวกับแก้วบางๆ ที่พร้อมจะแตกสลาย เรย์ร้องไห้ไม่ให้ใครเห็น น้ำตาของเขาถูกซ่อนเอาไว้ภายในจิตใจที่เปราะบาง...
"กูไม่คิดเลยว่ามึงจะมองคนแค่นี้...กูผิดหวังในตัวมึงจริงๆ"
ผมส่ายหน้าแล้วพูดขึ้นเบาๆ ก่อนที่จะหันหลังเดินจากไปแบบไม่สนใจใครอีกเลย แม้แต่เสียงของหนึ่งที่พยายามเรียกผมเอาไว้เหมือนกัน...
ผมเจ็บปวด...เจ็บปวดที่ทำให้เรย์เคยเสียใจ เจ็บปวดที่เคยมองเขาในแง่ไม่ดีตั้งหลายครั้ง
ผมคิดถึงเรย์...
หลังจากที่ผมออกมาจากโรงพยาบาล ผมก็ขับรถออกมาด้วยความเร็วพอสมควร ในหัวสมองของผมในตอนนี้มันแทบไม่ได้คิดอะไรเลยนอกจากเรื่องของเรย์...
เขาไปอยู่ที่ไหน...ไปอยู่กับใคร...แล้วป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง...มันมีแต่คำถามพวกนี้เต็มไปหมด แต่ผมก็ไม่รู้จะไปตามหาเขาได้ที่ไหน เพราะทุกที่ที่ผมคิดว่าเรย์ไป หรือแม้แต่โรงพยาบาล โรงพัก ทั้งออกข่าว ผมก็ทำมาหมดแล้ว...แต่ผมก็ยังตามหาเขาไม่เจอ...
ผมคิดเรื่องของเรย์ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งรถมาติดไฟแดงที่แยกๆ หนึ่ง คงเพราะมันเป็นในช่วงบ่ายเลยทำให้ไม่ค่อยมีรถมากเท่าไหร่ ผมละมือออกมาจากพวงมาลัยรถแล้วมองไปยังด้านซ้ายมือของตัวเอง แต่สิ่งที่เห็นมันทำให้ผมถึงกับตะลึง...
เรย์!...
คนที่ผมกำลังคิดถึงนั่งอยู่ในรถอีกคัน กระจกรถบานทึบสีดำที่ถูกเปิดลงในคราวแรกค่อยๆ เลื่อนปิดใบหน้าเรย์ทีละนิดๆ พร้อมกับเด็กคนนึงที่ถอยออกห่างจากรถแล้ววิ่งไปตรงฟุตบาต แล้วมันก็เป็นจังหวะเดียวกันกับที่ไฟเขียวพอดี ทำให้รถที่ผมเห็นค่อยๆ เคลื่อนตัวไปข้างหน้า
บรืน...
ผมรีบขับรถตามไปทันทีอย่างไม่รีรอ ตอนนี้หัวใจของผมกำลังเต้นดังโครมครามอย่างห้ามไม่อยู่
ในที่สุด! ผมก็เจอเขาแล้ว!!!...
ผมเจอเรย์แล้ว!!!...

บรืน...
ผมขับรถตามด้วยความเร็วพอสมควร แต่ไม่ว่าจะพยายามตามสักเท่าไหร่ผมก็ตามไม่ทัน เหมือนราวกับว่ากำลังจงใจที่จะหนีผมอยู่
ปรี๊นๆ!
ผมกำพวงมาลัยไว้แน่นแล้วเหยียบคันเร่งอย่างไม่คิดที่จะผ่อน ทั้งปาดซ้ายปาดขวาพร้อมกับบีบแตรใส่เพื่อหวังเรียกให้หยุด แต่มันก็ไม่ได้เป็นผลสักนิด รถคันนั้นนอกจากจะไม่สนใจแล้วยังขับหนีผมอีก
ผมเองก็เร่งความเร็วตามไปเรื่อยๆ แต่มันก็เหมือนเดิม...ผมขับตามรถคันนั้นไม่ทัน! แต่ผมก็ไม่คิดจะยอมแพ้ยังคงขับตามแบบระยะประชิด จนกระทั่งมาถึงแยกๆ นึงที่กำลังติดไฟแดงอยู่ มันทำให้ผมอดที่จะยิ้มออกมาด้วยความดีใจไม่ได้
"โธ่เว้ย!!!"
แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิด เมื่อจู่ๆ ก็มีรถใครก็ไม่รู้ดันขับมาจอดตรงหน้าผม ทำให้ปิดกั้นระหว่างรถผมกับรถที่เรย์นั่งอยู่
ผมตบพวกมาลัยด้วยความโมโหแล้วปลดเข้มขัดนิรภัยออกก่อนที่จะเปิดประตูรถแล้ววิ่งไปที่รถคันนั้น อีกเพียงแค่ไม่กี่ก้าว อีกเพียงแค่นิดเดียว!!!
"เรย์!"
ผมร้องเรียกเจ้าตัวด้วยน้ำเสียงดัง แต่มันกลับคว้าได้แค่เพียงอากาศ รถที่เรย์นั่งอยู่ค่อยๆ ขับเคลื่อนออกตัวไปโดยที่ผมได้แค่วิ่งตามหลังแล้วก็มองตามเท่านั้น หัวใจที่เต้นดังโครมครามด้วยความปิติในคราวแรกค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นสั่นไหวไปด้วยความกลัว...
ปรื้น!!!
ไฟเขียวแล้วแต่ผมก็ยังยืนอยู่ที่เดิม เสียงแตรรถจากคนอื่นๆ ก็ดังไล่ผม แต่ผมกลับรู้สึกว่าร่างกายตัวเองมันช่างอ่อนล้าเกินไปจริงๆ มันไม่มีแรงจะทำอะไรเลยแม้กระทั่งเดินกลับไปที่รถตัวเอง...
"เฮ้ย! เร็วๆ สิวะ คนกำลังรีบ!!!"
ผู้ชายคนหนึ่งโผล่หน้ามาจากกระจกรถคันที่อยู่ด้านหลังของผม ผมได้แต่หันหน้ามองนิดหน่อยแล้วยิ้มให้เชิงเป็นการขอโทษ
พอขึ้นมาบนรถผมก็รีบสตาร์ทรถออกไปด้วยสมองที่ว่างเปล่า มันคิดอะไรไม่ออกเลยจริงๆ ไม่รู้จะทำยังไงต่อไปดี...
เรย์อยู่ในรถคันนั้น...เขานั่งอยู่กับผู้ชายอีกคนที่ผมไม่เห็นหน้า ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าเป็นใครเหมือนกัน ทั้งๆ ที่ผมได้เจอกับเรย์แล้ว ทั้งๆ ที่เขาอยู่ใกล้แค่เอื้อม อีกเพียงแค่นิดเดียวผมก็จะได้เจอกับเรย์...แต่ผม...
ผมตามเรย์ไม่ทัน...
.
.
.

อีกด้านหนึ่ง
เรย์!...
ร่างเล็กหันหน้าไปมองทางด้านหลัง เมื่อรู้สึกเหมือนราวกับว่ามีใครบางคนกำลังเรียกหาอยู่ แต่ก็พบเพียงความว่างเปล่าเท่านั้น
"มีอะไร?"
เสียงทุ้มต่ำของชายหนุ่มที่อยู่ข้างตัวเอ่ยถามขึ้น...
"เปล่า...ไม่มีอะไร"
ร่างเล็กเอ่ยตอบเสียงเบาแล้วยิ้มบางๆ ก่อนที่จะหันหน้าไปมองไปยังด้านนอกเหมือนเดิม...
ชายหนุ่มยกยิ้มบนใบหน้านิดๆ ทำไมเขาจะไม่รู้ว่ามีรถอีกคันกำลังตามเขาอยู่ แล้วก็กว่าจะสลัดให้หลุดโดยที่ไม่ทำให้ร่างเล็กรู้มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกัน ตลอดระยะทางที่รถคันนั้นวิ่งตามมาติดๆ เขายอมรับว่าคนๆ นั้นคงจะเก่งมากพอดูถึงได้ขนาดตามคนขับรถของเขาได้ แถมยังตามติดชนิดที่ว่าไม่คิดที่จะปล่อยจนทำให้รู้สึกรำคาญเล็กๆ เหมือนกัน
ชายหนุ่มมองร่างบางด้วยความหวงแหนก่อนที่จะจับมือเล็กๆ ไว้แน่นโดยที่อีกคนยังคงนั่งนิ่งเฉยไม่แสดงท่าทีอะไรออกมาทั้งนั้นนอกจากดวงตาที่สะท้อนแต่ความเศร้าหมอง...

.
.

กว่าผมจะกลับมาบ้านได้ก็ใช้เวลาหลายชั่วโมง พอมาถึงผมก็นั่งหย่อนตัวที่โซฟาตัวเดิมที่อยู่กลางด้วยความปวดร้าวไปทั้งใจ ภาพที่ผมเห็นเรย์นั่งอยู่บนรถคันนั้นมันยังคงเด่นชัด ยิ่งคิดก็ยิ่งเจ็บใจตัวเองที่ทำได้แค่นี้...
"คุณตะวันคะ มีจดหมายคะ"
"อืม"
ผมพยักหน้าเบาๆ เป็นคำตอบให้กับแม่บ้านที่ดูแลบ้านผมอยู่ แล้วจากนั้นเธอก็เดินออกไป
ผมมองซองสีขาวที่อยู่บนโต๊ะแล้วก็ทำเป็นไม่สนใจต่อ ซองของมันเป็นสีชมพูดหวานดูก็รู้ว่าคงเป็นการ์ดงานเลี้ยงธรรมดาๆ ถ้าเดาไม่ผิดก็คงจะเป็นพวกสังคมไฮโซที่ส่งการ์ดมาเชิญผมมากกว่า แล้วยิ่งในช่วงนี้ผมไม่มีกระจิตกระใจที่จะสนใจอะไรกับงานพวกนี้ด้วย มันก็เลยทำให้ผมเฉยๆ
"เฮ้อ...เมื่อไหร่ฉันจะได้เจอนายอีกนะเรย์"
ผมถอนหายใจเบาๆ แล้วเอนหลังพิงโซฟาเหมือนเดิม ไม่ว่าจะพยายามยังไงผมก็ไม่สามารถสะบัดเรื่องของเรย์ให้หลุดออกจากหัวได้จริงๆ
.
.

หลายวันผ่านไป‬
"งานอะไรนะ..."
ผมหันไปถามหนึ่งด้วยสีหน้างุนงงเล็กๆ เมื่อหนึ่งชวนผมให้ไปงานเลี้ยงอะไรสักอย่าง จะไปตอนนี้นะเหรอ? ทั้งๆ ที่คุณลุงก็ยังอยู่ในโรงพยาบาล...
"ใช่...งานจะมีมะรืนนี้ มีการ์ดเชิญด้วย..."
หนึ่งพูดพร้อมกับยื่นการ์ดมาให้ผมดู มันเป็นซองเดียวกับที่ผมเคยได้...พอผมเปิดไปดูข้างในมันก็เป็นซองสีขาวอมชมพูสวย ภายในบอกทั้งสถานที่ที่ไปงานกับเวลา แต่มันไม่ได้บอกว่าเป็นงานของใคร
"มันสำคัญมากเหรอหนึ่ง คุณลุงกำลังไม่สบายอยู่นะ"
"ก็ไม่รู้สิ แต่ว่าเขาบอกว่าต้องให้คุณพ่อไปให้ได้นะ แล้วคุณพ่อเองก็หัวรั้นจะไปด้วย..."
"แต่..."
"นะ...ตะวัน ไปเป็นเพื่อนหนึ่งหน่อย ตอนนี้หนึ่งก็มีแค่ตะวันเท่านั้นที่พอจะช่วยได้ แม่ก็ไปต่างประเทศยังไม่กลับ หนึ่งไม่รู้จะพึ่งใครจริงๆ"
หนึ่งร้องขอผมด้วยสีหน้าอ้อนวอน มันเลยทำให้ผมจำใจที่จะต้องรับปากอย่างช่วยไม่ได้ ถึงแม้ว่าใจจริงแล้วไม่อยากให้ไปก็เถอะ ผมเองก็ไม่เข้าใจสักนิดว่าทำไมพ่อของหนึ่งจะต้องรั้นไปด้วย ทั้งๆ ที่มันก็แค่เป็นงานเลี้ยงธรรมดาๆ แท้ๆ จะปฏิเสธไปเลยก็ได้ หรือว่ามันสำคัญต่อธุรกิจกันนะ...
พอถึงวันงานผมกับไคก็ไปรับหนึ่งกับลุงพจน์ที่โรงพยาบาล ด้วยร่างกายที่ยังเจ็บออดๆ แอ๊ดๆ ของลุงพจน์มันทำให้ผมนึกห่วงไม่น้อย ถ้าเกิดว่าเป็นลมล้มไปกลางงานจะทำยังไง!
"อุ๊ก!"
"คุณพ่อ!!!"
หนึ่งถามด้วยสีหน้าเป็นห่วง เมื่อเห็นลุงพจน์กำลังทำท่าที่จะวูบ แต่ลุงพจน์ก็พยักหน้าแล้วยิ้มให้เหมือนเดิม พยายามทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ในงานเต็มไปด้วยผู้คนมากหน้าหลายตา พวกเขาต่างก็แต่งองค์ทรงเครื่องกันอย่างเต็มยศเพื่อแข่งกันว่าใครจะดูดีที่สุด นี่แหละสังคมไฮโซที่เต็มไปด้วยหน้ากาก...
พรึ่บ!
แต่ยังไม่ทันที่งานจะเริ่มจู่ๆ ไฟที่สว่างจ้ากลับดับลงกระทันหัน ทำให้ทั้งงานเต็มไปด้วยความมืด บางคนถึงกับสะดุ้งด้วยความตกใจ...ผมหันมองไปรอบๆ ตัว มันมืดจนมองแทบไม่เห็นอะไรด้วยซ้ำ แต่ก็ไม่นานนักไฟที่ปิดสนิทก็ค่อยๆ ฉายออกมาทีละนิดๆ แต่ว่าแสงไฟกลับมุ่งตรงไปแค่ทิศทางทางเดียวคือตรงเวที...
แต่สิ่งที่เห็นมันทำให้ผมถึงกับอึ้งพูดไม่ออก ไม่ใช่เพราะงานที่ถูกจัดแต่งอย่างสวยหรู ไม่ใช่ดารานักร้องที่มาร้องเพลงอยู่บนเวที แต่มันเป็นคนที่ผมคุ้นเคยแล้วก็ตามหามาตลอด...
เรย์!!!

ออฟไลน์ Take

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน10-15 15/11/15
«ตอบ #167 เมื่อ20-11-2015 13:10:28 »




ตอนที่ 15

ท่ามกลางแสงไฟที่สาดส่องมายังตัวผมพร้อมกับภาพมอนิเตอร์ทางด้านหลังที่กำลังฉายภาพของผมในทุกกริยาบทต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่ผมนั่งเหม่อ ตอนที่ผมแอบหลับในห้องเรียนหรือแม้แต่กระทั่งตอนที่ผมกำลังเล่นเปียโน ทุกภาพล้วนแต่เป็นการแอบถ่ายทั้งนั้น...
เสียงดนตรีซึ้งๆ ที่กำลังเล่นไปตามจังหวะทำนองเพลงมันก็ทำให้ผมเต้นตามไปด้วย
ผมมองไปยังผู้ชายตรงหน้าด้วยแววตาสั่นระริก แต่ดวงตาของผมกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มแห่งความดีใจ เขาค่อยๆ เดินมาทางผมอย่างช้าๆ ก่อนที่จะจับมือผมเอาไว้ แล้วสิ่งที่เขาทำก็สร้างความฮือฮาไม่น้อยเหมือนกัน...
"ทุกคนครับ ผม เอเดน"
เอเดนประกาศชื่อตัวเองใส่ไมล์พร้อมกับมองหน้าผมแล้วส่งยิ้มมาให้ รอยยิ้มของเขามันช่างทำให้ผมรู้สึกดีจนอดที่จะยิ้มตามไม่ได้
"ที่ผมเชิญพวกคุณมาในวันนี้ก็ไม่มีอะไรมาก ผมแค่มีเรื่องที่อยากจะบอกับทุกคนเท่านั้น"
"..."
"ผู้ชายคนนี้ที่ยืนข้างๆ ผม...เขาเป็นคนที่ผมรักและคนที่ผมอยากจะอยู่ด้วย"
มือที่อบอุ่นของเอเดนจับมือผมไว้แน่นก่อนที่จะค่อยๆ ยกมือผมให้สูงขึ้นแล้วจูบลงมาบนฝ่ามือด้านหลัง ตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่ารอบตัวผมเต็มไปด้วยเสียงกรีดกร๊าดของพวกผู้หญิงกันเลยทีเดียว
"แต่งงานกันนะเรย์..."
พูดจบรอบตัวผมก็เต็มไปด้วยเสียงโห่ร้องและเสียงเชียร์อย่างไม่ขาดสาย พวกเขาดูลุ้นระทึกกับคำตอบของผมมากจริงๆ
"แต่งเลยๆ"
"แต่งเลยๆ ฮิ้วว..."
แปะๆ แปะๆ
ผมน้ำตาซึมออกมาเล็กๆ มันตื้นตันใจอย่างบอกไม่ถูกเลย นี่ผมไม่รู้จริงๆ ว่าเอเดนเขาจะจัดงานแบบนี้เพื่อผม ทั้งๆ ที่ตอนแรกเขาแค่บอกกับผมว่าเป็นแค่งานเลี้ยงธรรมดาๆ เท่านั้น แต่พอมาถึงงานเขากลับเซอร์ไพร์ผมด้วยวิธีนี้ มันเลยทำให้ผมทำตัวไม่ถูกจริงๆ
"เอเดน..."
ผมครางเรียกชื่อเขาเบาๆ...
"ตกลงนะเรย์ แต่งงานกันนะ"
เอเดนย้ำกับผมอีกครั้ง แววตาของเขาสั่นเล็กๆ เหมือนกับว่ากำลังลุ้นกับคำตอบของผมอยู่...
"อืม"
เฮ...
ทันที่ผมพยักหน้าเบาๆ เป็นคำตอบ เสียงโห่ร้องแห่งความยินดีก็ดังขึ้นพร้อมกับเสียงปรบมือ
เอเดนกอดผมไว้แน่นแนบอกแกร่งของเขา ผมเองก็กอดตอบเขาเหมือนกัน...เราสองคนผละออกจากกันแล้วมองไปยังรอบๆ ตัว ผมเอามือเช็ดน้ำตาตัวเองไปด้วยแล้วก็ยิ้มให้กับคนรอบตัว จนกระทั่งสายตาของผมโฟกัสไปเห็นยังคนกลุ่มๆ นึงที่กำลังมองมาทางผมอย่างไม่วางตาเช่นกัน...
สายตาที่เขามองมายังผมเป็นสายตาที่บ่งบอกถึงความแปลกใจที่ยังเห็นผมยืนอยู่ตรงนี้...คงจะแปลกใจมากสินะที่ผมยังไม่ตายหรือว่ากำลังแปลกใจว่าทำไมผมถึงได้มีความสุข...
ผมเดินไปหาพวกเขาด้วยรอยยิ้มนิดๆแต่ภายใต้รอยยิ้มของผมมันกลับเต็มไปด้วยเพลิงไฟที่ลุกโชย...ไฟแห่งความแค้น!!!
"เรย์..."
เขาเรียกชื่อผมเบาๆ พร้อมกับค่อยๆ ก้าวเดินเข้ามาหาผมช้าๆ ทำท่าทีเหมือนกำลังจะเข้ามากอด
หึ แสดงละครงั้นเหรอ!...
"เรย์...ลูกพ่อ..."
แรงโอบกอดเบาๆ จากผู้ชายตรงหน้า เขาเอ่ยเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ทั้งๆ ที่มันเคยเป็นอ้อมกอดจากคนในครอบครัว แต่ทำไมผมกลับไม่รู้สึกอบอุ่นสักนิด...
"เรย์..."
เขาเรียกชื่อผมอีกครั้งก่อนที่จะผละตัวออกมานิดหน่อย มือของเขาก็จับที่ใบหน้าของผมทำเหมือนราวกับว่าไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองว่าผมยืนอยู่ตรงนี้
แล้วการกระทำของเขามันกลับทำให้คนรอบข้างซึ้งกับภาพที่เห็น แต่ว่า...มันกลับไม่ใช่กับผมสักนิด! ผมไม่ได้ซึ้งไปกับเขา ไม่ได้รู้สึกอะไรทั้งนั้นนอกจากความเฉยชา
ผมเคยเจ็บปวด ผมเคยร้องไห้เพราะคนๆ นี้มามากเหลือเกินจริงๆ มากจนผมไม่รู้สึกอะไรให้แล้ว...มันสายเกินที่ผมจะหันหลังกลับไป แล้วที่ผมกลับมาที่นี่อีกครั้งก็เพื่อที่จะมาเอาคืน!!!
"พ่อครับ..."
ผมโอบกอดเขาด้วยน้ำตา...เรียกชื่อเขาเอาไว้เพื่อย้ำให้เขารู้ว่าผมเองก็ดีใจเหมือนกันที่ได้เห็นหน้าเขา...
การแสดงละครมาถึงแล้วสินะ...

ข่าวหน้าหนึ่ง‬
ทายาทตระกูลดังประกาศงานแต่งงานกับนักธุรกิจหนุ่มไฟแรงโดยที่ไม่สนใจเลยว่าพวกเขาจะเป็นผู้ชายเหมือนกัน...และ บล
าๆ

ผมมองข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ออนไลน์ที่ในตอนเช้า มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับผมทั้งนั้น แล้วทุกๆ ฉบับก็จะพูดเรื่องงานแต่งงานของผมกับเอเดน บางคนก็วิพากษ์วิจารณ์ก็มี แสดงความยินดีก็มี...แต่เรื่องนั้นช่างมันเถอะ! อีกไม่นานข่าวพวกนี้ก็จะหายไป...
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
"เรย์.."
เสียงเคาะประตูดังขึ้นพร้อมกับเสียงเล็กๆ ที่ผมคุ้นเคยเอ่ยเรียกผมจากด้านนอก
ผมเดินไปเปิดประตูให้ก็เห็น ใบหน้าหวานยิ้มกว้างให้กับผม...อา จริงสิ...ตอนนี้ผมกลับมาอยู่ที่บ้านแล้วนี่นา...
"ว่าไง มีอะไรเหรอหนึ่ง"
ผมยิ้มตอบ...
"หนึ่งมาตามไปทานข้าวเช้านะ"
"อืม กำลังจะออกไปพอดีเลย ไปกันเถอะ..."
ผมตอบปกติแล้วจูงมือเล็กๆ ของหนึ่งให้เดินไปทันที...จนกระทั่งพวกเราเดินมาถึงบันไดที่จะลงไปยังชั้นล่าง...
จะเอายังไงดี...
"ไปเร็วหนึ่ง..."
"อ่ะ เรย์ อย่าวิ่ง..เดี๋ยวตก"
ผมจับมือของหนึ่งเอาไว้แล้ววิ่งลงบันไดด้วยความเร็ว ด้วยความที่หนึ่งยังไม่ทันได้ตั้งตัวมันก็เลยทำให้เขาวิ่งตามผมไม่ทัน ผมยิ้มเยาะบนใบหน้านิดหน่อยก่อนที่จะเร่งความเร็วขึ้น...แล้วบันไดบ้านผมก็ใช่ว่าจะสั้นที่ไหน...
ตุบ ตบ ตุบ
"เรย์! เดี๋ยวตก"
หนึ่งร้องบอกอีกครั้ง...
"ไม่ตกหรอกน่า เรย์หิวข้าวจะแย่อยู่แล้ว..."
ผมพูดแต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยความนึกสนุก ผมมองไปยังบันไดที่อยู่ข้างล่างแล้วสาวเท้าเร็วมากกว่าเดิมก่อนที่จะแกล้งหยุดกระทันหันแล้วทำเป็นหลุดมือปล่อยแขนแขนของหนึ่งออก จนทำให้หนึ่งที่อยู่ด้านหลังของผมวิ่งหยุดไม่ทัน แต่แค่นั้นยังไม่พอ ผมยังยื่นขาออกไปนิดหน่อยตรงที่หนึ่งอยู่...แล้วรอดูผลที่จะตามมา
ตุบ!
"โอ๊ย!"
ร่างเล็กๆ สะดุดขาของผมแล้วกลิ่งตกบันไดลงไปที่ชั้นล่าง...ใบหน้าหวานเหยเกไปด้วยความเจ็บปวด แต่ผมนี่สิ...กลับยิ้มร้ายออกมา...
แหม...เสียใจจริงๆ ที่มันแค่ไม่กี่ขั้นเลยทำให้หนึ่งเจ็บไม่หนักเท่าไหร่...แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นแต่ผมก็ยังคงต้องแสดงละครต่อไป...แสดงให้เห็นว่าผมไม่ได้ตั้งใจที่จะทำให้เขาตกลงไปเจ็บตัวแบบนี้...
"หนึ่ง! หนึ่งเป็นอะไรไหม!!!"
ผมทำท่าวิ่งไปดูเขาด้วยความเป็นห่วง...
"ฮึก จะ เจ็บ..."
หนึ่งร้องบอก...
หึ แค่ตกบันได้แค่ไม่กี่ขั้นแต่กลับร้องไห้ สำออยซะจริง!
"หนึ่ง! เรย์! เกิดอะไรขึ้น!!!"
แล้วคงเพราะเสียงที่ดังมากมันเลยทำให้ทกคนในบ้านที่ได้ยินวิ่งเข้ามาดูว่าเกิดอะไรขึ้น...
"คุณพ่อ..."
ผมเรียกชื่อผู้ชายตรงหน้าด้วยน้ำเสียงสั่นๆ ก่อนที่จะพูดขึ้นอีกครั้ง...
"ผมผิดเองครับ ฮึก ผม...ฮือ ฮือ"
"ไม่เป็นไรๆ เรย์ไม่ต้องร้อง..."
เขาลูบหัวผมเบาๆ เชิงเป็นการปลอบประโลม...น่าแปลกนะ...ตอนที่ผมต้องการความรักจากเขา...กลับไม่เคยสนใจใยดี แถมยังผลักไสไล่ส่งอีกต่างหาก แต่พอผมไม่ต้องการ...เขากลับมาทำดีกับผมซะงั้น
แล้วหลังจากนั้นทุกคนก็พาหนึ่งไปที่โซฟา...โชคดีหน่อยที่ตกเพียงแค่ไม่กี่ขั้นเลยทำให้หนึ่งแค่ขาแพลงเท่านั้น...มันทำให้ผมรู้สึกเสียดายนิดๆ เหมือนกัน...
ทำไมขาไม่หักไปเลยนะ!!!...

ผมทำเป็นเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพียงแค่มีมารยานิดหน่อย ออดอ้อน แล้วบอกว่าไม่ได้ตั้งใจพร้อมกับบีบน้ำตานิดๆ หน่อยๆ แค่นี้ก็ไม่มีใครว่าผทแล้ว แถมยังจะปลอบใจผมอีกต่างหาก!
แหม รู้อย่างนี้แล้วก็น่าจะทำตั้งแต่แรก...
"คุณพจน์! ฉันได้ข่าวว่า...เรย์!!!"
เสียงเล็กแหลมดังขึ้นพร้อมกับการมาของคนที่ผมรู้จักเป็นอย่างดี
"อ้าว คุณนัน...กลับมาแล้วเหรอ"
พ่อถามด้วยน้ำเสียงเรียบ...
แต่ผิดกับเธอที่กลับมองผมด้วยแววตาสงสัยคละแปลกใจ แต่ก็ยังคงแสดงสีหน้านิ่งเรียบไว้อยู่...
มาได้จังหวะดีจริงๆ!...
ส่วนผมนะเหรอ...ก็แค่ยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตรนะสิ!!!...
"กลับมาเมื่อไหร่" เธอถาม...
"เมื่อวานครับ" ผมตอบยิ้มๆ
"..."
แล้วเธอก็ไม่พูดอะไรออกมา ได้แต่ยืนกอดอกมองมาทางผม ไม่มีคำว่าคิดถึงหรือว่าคำพูดที่แสดงความยินดีที่ผมกลับมาสักนิด จะมีก็เพียงแววตาที่พยามกลั้นสั่นเท่านั้น...
เหมือนกับว่าเธอกำลังกลัวบางอย่างอยู่!...
"ผมดีใจ...ที่ได้เจอคุณ"
ผมพูดพร้อมกับลุกเดินไปหาแม่เลี้ยงสุดที่รัก! ของผม...แล้วโอบกอดเบาๆ ด้วยความคิดถึงแบบสุดๆ ก่อนที่จะกระซิบบอกบางอย่างกัลเธอให้ได้ยินเพียงแค่สองคนเท่านั้น...
'ผม...'
แม้ไม่ต้องบอกก็รับรู้ได้ดีเลยละ...ว่าตอนนี้เธอกำลังตื่นกลัว...แล้วก็คงกำลังโกรธมากจริงๆ ไม่อย่างนั้นคงไม่กำมือแน่นขนาดนี้หรอก!
มันทำให้ผม อยากจะหัวเราะออกมาจริงๆ!!!...
"ผมขอโทษนะครับคุณนัน ที่เคยทำไม่ดีกับคุณไว้ ตอนนี้ผมคิดได้แล้ว"
ผมแกล้งทำเป็นเสียงน่าสงสารแล้วจับมือเธอไว้แน่น...แต่แค่เหมือนจับนะ...ความจริงแล้วผมกำลังจิกเล็บลงไปที่ฝ่ามือของเธอต่างหาก! แต่เธอก็ยังคงเก็บอาการไว้ได้ดีจริงๆ...
"ไม่เป็นไรจ๊ะ"
เธอพูดกับผมด้วยน้ำเสียงปกติ แต่แหม...ทำไมผมกลับดูว่าเธอกำลังทนกันนะ
"ถ้าอย่างนั้น ให้ผมเรียกคุณว่าแม่นะครับ"
ผมพูดด้วยน้ำเสียงออดอ้อนอีกครั้งพร้อมกับมองเธอด้วยแววตาใสซื่อเหมือนกับหนึ่ง
"นะครับ..."
เมื่อเห็นว่าเธอไม่ตอบ ผมจึงอ้อนอีกครั้ง...
"..."
แต่เธอก็ไม่ตอบผม...เพียงแค่ปรายตามองไปที่พ่อแล้วพยักหน้าให้เบาๆ เท่านั้น...
หึ ไม่กล้าพูดสินะ...
แต่ไม่ต้องห่วง หลังจากนี้ไปผมจะเอาทบต้นทบดอกเลย! ทั้งแม่!!! ทั้งลูก!!!
.
.
.

อีกด้านหนึ่ง
กึก กึก กึก
ห้องนอนห้องกว้างมีเพียงเครื่องปรับอากาศเย็นๆ กระทบร่างกับเสียงกัดเล็กกระทบกันดังเป็นจังหวะท่ามกลางความมืดที่มีเพียงแสงไฟสลัวๆ เท่านั้น
‘มันกลับมาแล้ว!’
‘จะทำยังไงดี!!!’
ความคิดของคนในเงามืดฟุ้งซ่านเสียจนควบคุมแทบไม่อยู่ ได้แต่คิดถึงคนที่เพิ่งกลับมาอย่างหงุดหงิดและเต็มไปด้วยความกังวลใจ
“มันจะกลับมาทำไม! จะทำยังไงดี!!! ใช่! ต้องโทรหามัน!!!”
สีหน้าหวั่นวิตกแสดงออกมาจนเห็นได้ชัด เจ้าตัวบ่นไปมาก่อนที่จะตัดสินใจโทรหาใครอีกคน...
Rrr Rrr Rrr
“ฮัลโหล!”
//มีอะไร//
ปลายสายเอ่ยเสียงเรียบ...
“ยังจะถามว่ามีอะไรอีก!!! คุณทำแบบนี้หมายความว่าไง!!!”
//ฉันจะทำอะไรมันก็เรื่องของฉัน คุณแค่มีหน้าที่ทำตาม//
“แต่มันผิดข้อตกลงของเรา!!!”
//หึ แล้วฉันทำผิดข้อตกลงตรงไหน//
ปลายสายหัวเราะเบาๆ ออกมาจากลำคอจนสร้างความไม่พอใจให้กับคนที่คุยด้วยไม่น้อย...
“นี่!!! อย่ามาเล่นลิ้นกับคนอย่างฉันนะ!!!”
//จุ๊ๆ ฉันยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ อย่าลืมสิ...ว่าเป็นคุณต่างหากที่เลือก...//
ว่าจบก็วางสายไป...
“เดี๋ยว!!!”
ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด
“โธ่เว้ย!!!”
โครม!
ยังไม่ทันที่เจ้าตัวจะพูดจบปลายสายก็วางไปทันทีจนทำให้อารมณ์เสียไม่น้อยจนต้องเขวี้ยงของที่อยู่ในมือจนแตกกระจายด้วยความโมโหอย่างถึงที่สุด
“จะทำยังไงดี!!!”
ใบหน้าบูดเบี้ยวคละไปกับความกังวลที่มีอยู่ภายในใจแต่เพียงไม่นานก็แปรเปลี่ยนเป็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มร้าย
“หึ ฉันไม่มีทางให้แกได้ลอยหน้าลอยตาอย่างมีความสุขแน่ๆ!!!”
เรย์!...





TAKE

หายไปนานเบยย ค้าขอโต๊ดนะตะเองงง มาชดเชยให้ 5 ตอนรวดเลยทีเดียว แฮ่ๆ >< หายโกรธเทคนะ นะๆๆๆๆ น้าาาาาาาาาา

ออฟไลน์ rogerr

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 834
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +12/-0
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน10-15 20/11/15
«ตอบ #168 เมื่อ30-11-2015 23:06:23 »

ยังไม่หายโกรธ ขอเพิ่มอีก2ตอน อิอิ

ออฟไลน์ fida

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 352
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-0
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน10-15 20/11/15
«ตอบ #169 เมื่อ01-12-2015 22:56:43 »

อ่านแล้วร้องไห้หนักมาก เมื่อเช้าตาบวมไปทำงานเลยอ่ะ :monkeysad: :m15:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน10-15 20/11/15
« ตอบ #169 เมื่อ: 01-12-2015 22:56:43 »





ออฟไลน์ bebe

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 672
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-5
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน10-15 20/11/15
«ตอบ #170 เมื่อ02-12-2015 03:55:08 »

เรื่องปมเยอะจังน่าสนุก แสดงว่ายัยแม่เลี้ยงนิร้ายมาตั้งแต่แรกสินะ

ออฟไลน์ beedy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 49
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน10-15 20/11/15
«ตอบ #171 เมื่อ03-12-2015 09:38:25 »

มาแล้วๆๆๆ ปล่อยให้รอเป็นปีเลยนะครับ. แฮ่ๆๆๆ

คิดถึงตลอด. มาต่ออีกไวๆนะครับ

แวะมาให้กำลังใจคนแต่งครับ :z2:

ออฟไลน์ •♀NoM!_KunG♀•

  • *,*โสดสนิทศิษย์พยักหน้า*,*
  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +181/-8
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน10-15 20/11/15
«ตอบ #172 เมื่อ04-12-2015 02:31:33 »

งะ แร้วมันจะออกมารูปแบบไหนกันนะ

ออฟไลน์ Take

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน16-25 10/12/15
«ตอบ #173 เมื่อ10-12-2015 18:35:29 »

 
ตอนที่ 16

"ไม่! ไม่! ม่ายย!!!!"
เฮือก!
ท่ามกลางแสงไฟสลัวที่มีเพียงแสงจากไฟด้านนอกส่องมาทางหน้าต่างเท่านั้น ผมสะดุ้งตัวตื่นขึ้นมาจากฝันร้ายที่ฝันเห็น...มันเป็นความฝันที่ผมไม่ค่อยอยากนึกถึงเท่าไหร่
ใบหน้าของผมก็เต็มไปด้วยเหงื่อที่ซึมออกมาแม้ว่าทั้งห้องจะเปิดแอร์เย็นช่ำ เสียงหัวใจของผมก็เต้นระรัวจนหยุดไม่อยู่เมื่อนึกถึงความฝันเมื่อสักครู่ แต่ผมก็ทำให้เพียงแค่อยู่นิ่งๆ เท่านั้น
00.35 นาฬิกา...
"เพิ่งจะเที่ยงคืนครึ่ง..."
ผมพูดกับตัวเองเบาๆ เมื่อมองไปยังนาฬิกาที่หัวเตียงแล้วก็ดูท่าว่าคืนนี้คงหลับไม่ลงแน่ๆ หรือไม่ก็คงอีกนานกว่าผมจะหลับ...
ผมก็เลยเลือกที่จะลุกออกมาเดินเล่นข้างนอกด้วยความรู้สึกเบื่อเล็กๆ อย่างน้อยผมก็อยากคิดว่าท้องฟ้าในคืนนี้มันจะช่วยทำให้ผมลืมความฝันเมื่อสักครู่ไปได้ชั่วคราว
"ดาวสวยจัง"
ผมเปรยเบาๆ ออกมา...
ท้องฟ้าในคืนนี้มันดูสวยมากจริงๆ นั่นแหละ...ดาวเต็มท้องฟ้าเลย...
หมับ!
"อ่ะ อื้ม!!!"
ในขณะที่ผมกำลังคิดอะไรเพลินๆ จู่ๆ ก็มีคนมาจับตัวผมเอาไว้ แล้วก็ปิดปากผมเพื่อไม่ให้ร้องเสียงดัง ผมทั้งดิ้นหนีและพยายามรั้งตัวหนีแต่ก็ทำอะไรมากไม่ได้ เพราะแรงที่เขาจับผมมันมีมากกว่าเหลือเกิน แล้วจากนั้นตัวผมก็ถูกลากไปอีกทาง
"อื้อ!!! อ่อย!!!"
ทั้งมือทั้งเท้าของผมปัดไปทั่ว หวังว่าจะช่วยตัวเองให้รอดพ้นจากสถานการณ์แบบนี้ แต่ว่า...จู่ๆ ผมกลับรู้สึกถึงแรงกอดรัดเบาๆ จากทางด้านหลังของผมแทนโดยที่มือของเขายังคงปิดปากผมเอาไว้
ผู้ชายที่จับตัวผม!...เขากำลังกอดผมอยู่!!!
"เรย์..."
เสียงกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูมันทำให้ผมหยุดนิ่งแล้วหันไปมองทางด้านหลังช้าๆ
"ตะวัน!!!"
ผลัก!
แต่พอรู้ว่าเป็นใครแค่นั้นแหละ มันทำให้ผมรีบใช้แรงที่มีผลักให้เขาออกห่างจากตัวทันที ผมมองเขาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ! โกรธมากๆ ซะด้วย!!!
เขาเป็นใคร! กล้าดียังไงมาทำแบบนี้!!!
"ทำบ้าอะไรของนายเนี่ย!"
"ฉันมีเรื่องจะพูดด้วย"
"เหอะ! แล้วนายก็มาทำกับฉันแบบนี้เนี่ยนะ"
ให้ตายสิ! มีเรื่องจะพูดกับผมแต่กลับทำตัวเหมือนโจร!!! แถมยังบุกรุกเข้ามาบ้านคนอื่นในยามวิกาล อย่างนี้มันข้อหาบุกรุกชัดๆ!!!...
"นายมาทางไหนกลับไปทางนั้นเลย"
ผมชี้มือไปอีกทางตรงที่เป็นบ้านของตะวัน...แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ฟังคำของผม เขาไม่ไปแถมยังเดินเข้ามาเข้าใกล้ผมอีก...
"นี่! ฉันบอกให้ออกไป! ไม่ได้ยินหรือไง!!!"
ผมบอกอีกครั้ง...
"ฉันไม่ไป แล้วเราต้องพูดกันให้รู้เรื่อง"
"โอ๊ย! เป็นบ้าอะไรของนายเนี่ย! ปล่อยฉันนะ!!!"
ผมร้องบอกเมื่อตะวันใช้จังหวะที่ผมไม่ทันตั้งตัวจับมือผมเอาไว้ก่อนที่จะกอดผมไว้แน่นแนบอกแกร่ง
"ปล่อยฉันนะ!!! ไม่งั้นฉันจะร้องให้คนช่วยด้วย!!!"
"ก็เอาสิ...อยากให้คนอื่นมาเห็นเวลาเรากอดกันก็ตามใจ"
ตะวันตอบอย่างลอยหน้าลอยตา...
ผมเม้มปากแน่นแล้วมองไปที่ผู้ชายตรงหน้าอย่างเหลืออด...มันจะอะไรกันนักกันหนานะ!!! แค่พูดๆ ก็จบใช่ไหม! เขาจะได้ปล่อยผมแล้วไปสักที!!!...
"มีอะไรก็ว่ามาสิ! แล้วปล่อยฉันได้แล้ว!!!"
"หึ"
ตะวันยิ้มเบาๆ ที่มุมปาก ไม่ใช่เป็นการยิ้มเยาะแต่มันเป็นแค่รอยยิ้มขำๆ ซะมากกว่าที่เห็นท่าทีของผม แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยอมปล่อยผมแต่โดยดี...
"มีอะไรก็รีบๆ พูดมาซิ! ง่วงแล้ว!"
พอเห็นเขาขำไม่หยุดผมก็เลยรีบพูดขึ้น...ตะวันมองผมอย่างชั่งใจชั่วครู่ก่อนที่จะทำสีหน้าจริงจังแล้วเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง...
"เรย์...เอเดนมันบังคับนายใช่ไหม"
"บังคับอะไร?"
ผมมองหน้าตะวันอย่างงงๆ...
"เรื่องหมั้น เรื่องแต่งงาน มันบังคับนายใช่ไหม! บอกฉันมาสิ...ฉันจะช่วยนายเอง..."
เขาพูดอะไรของเขาน่ะ?...
แล้วเอเดนมาเกี่ยวอะไรด้วย?...
"หนึ่งเดือนที่นายหายไป รู้ไหมว่าฉันตามหานายแทบบ้า"
"..."
"แต่พอมาเจอ นายกลับประกาศแต่งงานกับเอเดน!...มันบังคับนายใช่ไหม! บอกฉันมาสิเรย์!!!"
เขายังพูดไม่หยุด ส่วนผมก็ได้แต่เงียบอยู่เหมือนเดิม...
"บอกฉันสิเรย์! ว่ามันทำร้ายนาย บังค้บนาย!"
"พอได้แล้ว!!!"
ผมพูดเสียงดังแล้วดันตัวตะวันให้ออกห่างจากตัว เริ่มชักจะทนไม่ไหวแล้วนะ! เอเดนเขามาเกี่ยวอะไรด้วย...มันไม่ใช่เรื่องที่ตะวันจะต้องเข้ามายุ่งวุ่นวายสักนิด!
"ฟังนะ...เอเดนไม่ได้บังคับฉัน ทุกอย่างที่เกิดขึ้น ฉันเต็มใจ!"
ผมบอกเสียงนิ่ง...มองหน้าตะวันด้วยแววตาจริงจัง...
"เรย์..."
ตะวันครางเรียกชื่อผมเบาๆ...
แต่ผมก็ไม่คิดที่จะสนใจแล้วคิดจะเดินหนีไปอีกทางเพื่อกลับไปที่ห้องของตัวเอง แต่ก็เดินได้ไม่เท่าไหร่ก็ถูกมือหนาของตะวันรั้งตัวให้หันกลับไปสบตากับเขาอีกครั้ง...
"ปล่อยฉันนะตะวัน!"
"ไม่!...นายโกหก! จนกว่านายจะพูดความจริง"
"มันไม่มีความจริงอะไรทั้งนั้น!"
"ฉันไม่เชื่อ...บอกความจริงฉันมาสิเรย์ ฉันพร้อมี่จะเชื่อนาย พร้อมที่จะช่วยนาย"
"เอ๊ะ! พูดไม่รู้เรื่องหรือไง!!! มันไม่มีอะไรทั้งนั้น!!!"
"..."
"ฉันกับเอเดน...เรารักกัน!"
ผมจ้องหน้าตะวันด้วยความเหลืออด...
"ฉันไม่เชื่อ..."
ตะวันจับแขนผม จนผมรู้สึกเจ็บเล็กๆ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังไม่แสดงสีหน้าว่าเจ็บออกมาให้เห็น แต่ผมคิดว่ามันจะต้องแดงมากแน่ๆ...
"ไม่เชื่อก็เรื่องของนาย! ปล่อยฉันได้แล้ว!!!"
"ไม่!"
"ปล่อย!!!"
"ไม่!"
"ฉันบอกให้ปล่อยยังไงเล่า!!! อื้อ!!!..."
ผมกับตะวันเยื้อหยุดกันชั่วครู่ ก่อนที่ริมฝีปากของผมจะถูกครอบครองอย่างไม่ทันตั้งตัว...
ตะวันจูบผม!!!
“อื้ม!!! ปล่อย!”
ลำแขนแกร่งของตะวันโอบกระชับผมไว้แน่นมากกว่าเดิม ลิ้นของเขาก็พยายามรุกล้ำเข้ามาในโพรงปากของผม ร่างหนาดันตัวผมจนชิดกับต้นไม้ที่อยู่ด้านหลังจนทำให้ผมไม่สามารถขยับหนีไปไหนได้
“อืม เรย์...”
น้ำเสียงทุ้มต่ำเอ่ยเรียกชื่อผมเมื่อตอนที่เขาละริมฝีปากออกมานิดหน่อยก่อนที่จะประกบจูบลงมาอีกครั้งโดยที่ผมยังไม่ทันได้ตั้งตัวเหมือนเดิม ความรุนแรงในคราวแรกแปรเปลี่ยนเป็นความอ่อนโยน แต่มันก็ทำให้ผมไม่สามารถหนีเขาไปได้อยู่ดี
“อืม...”
เสียงครางหวานของผมดังขึ้นเมื่อตะวันหยอกล้อกับลิ้นเล็กๆ ของผม ทั้งๆ ที่ผมควรจะผลักไสและรังเกียจแต่ทำไมผมต้องรู้สึกแปลกๆ ด้วยนะ...
ไม่!...
มันต้องไม่เป็นแบบนี้!...
“ปล่อยฉันนะ!!!”
เพี๊ยะ!
ผมสะบัดตัวอย่างแรงและตบไปที่ใบหน้าซีกซ้ายของตะวัน ดวงตากร้าวมองไปที่เขาด้วยความโกรธแบบสุดๆ หลังมือทั้งสองข้างก็สลับกันเช็ดริมฝีปากอย่างรังเกียจ
“ฉันเกลียดนาย! เกลียดนายที่สุด!!!”
“เรย์...ฉัน”
ตุบ!
ผมไม่ฟังอะไรทั้งนั้นก็จัดการผลักตะวันไปแรงๆ แล้วเดินหนีทันที...
คนอะไรน่ารังเกียจที่สุด!...
แต่ว่า...ทำไมใจของผมถึงได้เต้นแรงขนาดนี้นะ...
ตึกตัก ตึกตัก ตึกตัก
 .
.
.
เช้า
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนพาผมแทบนอนไม่หลับ ไม่ว่าพยายามข่มตายังไงก็สะบัดเรื่องของตะวันไม่ออก
ทำไมต้องไปคิดเรื่องของเขากันนะ!!!...
“เรย์...”
ผมปรายตามองไปยังร่างเล็กๆ ที่เอ่ยเรียกผมจากอีกทาง...แหม กำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่พอดีเลย...
“หนึ่ง ลงมาทำไม...หายแล้วเหรอ”
ผมถามด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วงแล้วเข้าไปช่วยประคองให้หนึ่งเดินถนัดๆ
ดูผมเป็นคนดีไหมละ...
“ขอบใจนะ...ดีขึ้นแล้วละ”
หนึ่งบอกผมด้วยรอยยิ้มน่ารักๆ...
“ถ้างั้นก็ใกล้หายแล้วสิ?”
“ใช่...”
“เหรอ?”
ใกล้หายแล้วสินะ...ถ้าอย่างนั้นคงต้องทำให้หายช้าหน่อยแล้วละมั้ง ไม่สิ! ทำให้ไม่หายขาดไปเลยดีกว่า...
ผลั่ก!
“อะ โอ๊ย!”
ผมผลักร่างเล็กๆ ล้มอย่างจัง แล้วผมก็เหยียบลงบนขาที่เป็นแผลด้วยใบหน้าที่แสดงถึงความสะใจแบบสุดๆ
“อะ โอ๊ย!!! เรย์!!! ฮือ ฮือ เจ็บ”
ใบหน้าหวานเหยเกไปด้วยความเจ็บปวด แล้วก็พยายามคลานหนีแต่ผมก็ไม่สงสารสักนิด กลับยิ่งทำมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ
ก็บอกแล้วไง...
ว่าผมนะ เป็นคนดี...
แต่แค่เหมือนจะดีเท่านั้นนะน่ะ...
“เรย์!!! โอ๊ย!!! เจ็บๆ ฮือ ฮือ เจ็บๆๆๆ”
ยิ่งเจ้าตัวร้องไห้ดิ้นทุรนทุรายมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งทำให้ผมสะใจมากจริงๆ ผมบดขยี้ฝ่าเท้าของตัวเองหนักๆ แล้วกระทืบลงไปซ้ำๆ ย้ำๆ ตรงที่ขา
แล้วถ้าถามว่าการที่ผมทำแบบนี้แล้วผมไม่กลัวคนอื่นเห็นอย่างนั้นเหรอ? ผมบอกได้เลยว่าไม่! เพราะตอนที่ลงมาผมได้ทุกคนที่อยู่ในบ้านออกไปจนหมด แค่ให้เงินแล้วใช้ไปซื้อของ แค่นี้ก็ระริกระรี้วิ่งแจ้นออกไปแล้ว ส่วนพ่อก็ออกไปบริษัทฯ ตั้งแต่เช้าแล้ว จะเหลือก็เพียงแค่ผม หนึ่ง แล้วก็อีกคนที่ยังอยู่ในบ้านก็เท่านั้น...
“โอ๋...เจ็บเหรอหนึ่ง ขอโทษนะที่ทำรุนแรงนะ ดูสิ...ขาบวมเป่งเลย ฮ่าๆ จะหักไหมนะ...แต่คงไม่หรอกมั้ง...”
ผมหยุดแล้วเดินไปนั่งยองๆ ข้างหนึ่ง มือของผมก็จิกผมสีดำสนิทให้หันขึ้นมาสบตากับผม
ดูสิ...น้ำตานองหน้าเลย ช่างหน้าสงสารจัง...
“หนึ่ง!!!”
ในช่วงจังหวะที่ผมปล่อย เสียงของผู้หญิงอีกคนก็ได้ดังขึ้น เธอมองมายังผมและลูกชายของเธอด้วยความตกตะลึงเมื่อเห็นสภาพร่างกายของหนึ่งที่กำลังนอนร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนจะขาดใจอยู่ข้างๆ ตัวผม...
ว้า...ตัวช่วยมาช้านะ...
ถ้าเปรียบเหมือนละครก็คงจะละครน้ำเน่าที่ตำรวจมักจะมาทีหลังเสมอสินะ...
“แกทำอะไรลูกของฉัน!!!”
เธอถามเสียงกร้าว มองผมเหมือนราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ...
“ก็เปล่านี่ ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”
ผมพูดยิ้มๆ แล้วทำท่าผยุงหนึ่งขึ้นมา
“ออกไป!!! ออกไปเลยนะ! อย่ามาแตะต้องลูกชายฉัน!!!”
เธอผลักผมอย่างแรงจนร่างของผมเซเล็กน้อย แล้วก็เข้ามาประคองหนึ่งแทนผม
ก็อย่างว่าละ...ไม่ได้อยู่ต่อหน้าพ่อแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องแสดงละครอีก ยังไงซะ...คนที่เป็นลูกเธอก็ไม่ใช่ผม
“ฮือ ฮือ คุณแม่ ฮือ ฮึก ฮือ”
หนึ่งร้องไห้โฮ แล้วกอดแม่ตัวเองเอาไว้...
“เจ็บมากไหมลูก!”
“เจ็บ ฮึก ฮือ ฮือ หนึ่งเจ็บขา”
“แก!!! ทำแบบนี้หมายความว่ายังไง!”
เธอหันมาตวาดผมทันทีที่หันไปมองขาของหนึ่ง...
“ฮ่าๆ ผมก็แค่ช่วยสงเคราะห์เอง กลัวขาจะไม่หัก”
“ฉันจะฟ้องคุณพจน์!!!”
“ก็เชิญฟ้องสิครับ เชิญฟ้องเลย...แล้วผมก็จะฟ้องคุณบ้าง...อ้อ แล้วอย่าลืมเอาคำที่ผมพูดเมื่อกี้ไปบอกด้วยนะครับ คุณแม่! ฮ่าๆ”
ผมหัวเราะร่อนออกมาด้วยก่อนที่จะเดินไปอีกทาง โดนแค่นี้มันยังน้อยไป เจ็บน้อยไปด้วยซ้ำ สิ่งที่พวกเขาจะเจอมันยังไม่ถึงครึ่งที่ผมเจ็บสักนิด!!!
 .
.
.
หนึ่ง PASS
“ฮึก ฮือ ฮือ คุณแม่”
“ไม่เป็นไรนะหนึ่ง แม่จะพาไปหาหมอ”
ผมพยักหน้าให้เบาๆ แล้วพยายามกลั้นเสียงสะอื้นเอาไว้ ถึงจะเจ็บมากแต่ผมก็ไม่ได้อยากให้แม่เป็นห่วงเลยได้แต่ทน
“นี่!!! มีใครอยู่บ้าง!!! มาช่วยฉันหน่อย!”
แม่ร้องเรียกให้คนมาช่วย แต่กลับไม่มีใครมาสักคนเลย...
“คอยดูนะ! ถ้าคุณพ่อกลับมาเมื่อไหร่แม่จะฟ้องคุณพ่อ!”
“อย่านะครับ!!!”
ผมร้องห้ามทันทีที่แม่พูดจบ...
“ไม่ไม่ยอม! มันทำร้ายหนึ่ง!!!”
“ฮึก หนึ่งไม่เป็นไร คุณแม่อย่าฟ้องคุณพ่อเลยนะ ฮึก แค่นี้คุณพ่อก็เครียดเรื่องงานมากแล้ว อีกอย่างเรย์เพิ่งกลับมาผมไม่อยากให้มีเรื่องในตอนนี้ หนึ่งเป็นห่วงคุณพ่อ...”
ผมบอกเหตุผลออกไป...
“ไม่! ยังไงแม่ก็จะบอก!”
“ถือว่าหนึ่งขอร้อง อย่าบอกคุณพ่อนะครับ ฮืก”
ผมร้องบอกด้วยน้ำตา พยายามร้องบอกอีกครั้งเพื่อไม่ให้แม่เอาเรื่องที่เรย์มาทำร้ายผมไปพูด แล้วถึงแม่จะไม่พอใจเท่าไหร่แต่ก็ยอมผมแต่โดยดี...
ส่วนขาของผมที่บวมไม่มากในตอนแรก ตอนนี้กลับบวมและเขียวช้ำจนน่ากลัว...
ผมไม่เข้าใจ...ทั้งๆ ที่คิดว่าพวกเรากำลังจะดีกันได้แท้ๆ แต่ความจริงเรย์ก็แค่หลอกให้ผมตายใจ...ผมไม่เข้าใจสักนิด ไม่เข้าใจจริงๆ...
 
ทำไมกันนะ นายถึงทำแบบนี้...
 

 
 

ออฟไลน์ Take

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน16-25 10/12/15
«ตอบ #174 เมื่อ10-12-2015 18:36:53 »


 
ตอนที่ 17

เอเดน PASS
ผมทอดมองไปยังหน้าต่างด้านนอกด้วยสีหน้านิ่งๆ แต่ภายในใจกลับยกยิ้มไปด้วยแผนการร้ายที่กำลังเริ่มต้น...
“เป็นไง ไอ้ลูกชาย...ฮ่าๆ”
บดินทร์...พ่อของผมแตะบ่าผมด้วยเสียงหัวเราะแห่งความสุข ที่ทุกอย่างกำลังจะไปได้ด้วยดี...
ตระกูลผมกับตระกูลของเรย์เป็นบริษัทฯ คู่แข่งกัน พวกพ่อของพวกเราต่างก็ทำธุรกิจส่งออกกันทั้งคู่ ดังนั้นที่ผ่านมาทั้งพ่อของผมและพ่อของเรย์ก็สูสีกันมาตลอด...แข่งกันทำธุรกิจ
แต่จะเป็นอะไรไหมละ? ถ้าผมอยากที่จะได้บริษัทฯ ของเรย์มาไว้ครอบครองในมือ...แทนที่จะคอยแข่งกันทางธุรกิจสู้เอาธุรกิจของอีกฝ่ายมาเป็นของผมก็สิ้นเรื่อง...
ง่ายกว่าเยอะ!...
ผมกับเรย์เราเรียนที่เดียวกัน เรย์เป็นคนหยิ่งและดูร้ายกาจแต่กลับกันผมกลับมองว่าเขามีเสน่ห์จนอดที่จะมองตามไม่ได้เหมือนกัน...
ผมไม่ใช่คนดี...
แล้วก็ไม่คิดที่จะเป็นด้วย...
วันที่ผมเจอกับเรย์ในห้องน้ำ จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ความบังเอิญ แต่มันเป็นเพราะผมตั้งใจต่างหาก! ผมเดินตามเรย์แล้วแกล้งชนเขา แล้วก็ด้วยท่าทีของเรย์มันก็เลยอยากให้ผมคิดที่จะลองสนุกกับเขาดู แต่ว่าน่าเสียดายจริงๆ ที่มีคนมาขัดขวางซะได้...
“เป็นยังไง หืม กำลังไปได้สวยใช่ไหม”
“หึ พ่อคิดว่าผมเป็นใคร เรื่องแค่นี้เด็กๆ”
ผมตอบกลับด้วยความมั่นใจแบบสุดๆ...
ใช่!...เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นผมเป็นคนจัดการทั้งหมด ทั้งเรื่องที่เอาเรย์มาอยู่กับผมและยังงานประกาศงานหมั่นนั่นอีก ก็เป็นผมอีกเหมือนกัน
“ป่านนี้พจน์มันคงกำลังชะล้าใจ เห็นว่าพวกเรากำลังจะดองกันอยู่สินะ ฮ่าๆ”
พ่อหัวเราะร่อนออกมาด้วยความสุข...
ส่วนผมก็ได้แต่มองแล้วยกยิ้มให้นิดๆ เท่านั้น...เรื่องมันเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น...เกมส์มันยังไม่จบหรอกนะ!...
 
ผมกับพ่อคุยกันสักพักก่อนที่พ่อจะออกไปทำธุระข้างนอก ผมก็ยังอยู่ในห้องทำงานของตัวเองเหมือนเดิม...เพื่อรอใครบางคน
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“คุณเรย์มาขอพบคะ”
คิดถึงก็มาพอดีเลย...
“ให้เข้ามา”
“คะ”
สิ้นเสียงของผมบานประตูก็ถูกเปิดออกกว้างพร้อมกับร่างเล็กๆ ของว่าที่คู่หมั่นผมเดินเข้ามา สีหน้าของเรย์ที่มองผมเป็นแววตานิ่งๆ เขายิ้มให้ผมนิดหน่อยก่อนที่จะมานั่งที่เก้าอี้ตรงโต๊ะทำงาน...
ผมเดินเข้าไปใกล้เรย์แล้วเท้าแขนกับโต๊ะพร้อมกับเล่นผมนิ่มๆ ของเขาเบาๆ แล้วม้วนไปม้วนมาเป็นวงกลมเล็กๆ พร้อมกับค่อยๆ ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ทีละนิดๆ เฉียดใบหูและแก้มก่อนที่จะเคลื่อนตัวไปที่ริมฝีปาก...
“พอเถอะ...”
แทนที่เราทั้งคู่จะได้จูบกันแต่เรย์กลับหันหน้าหนีผมไปทางอื่นนิดหน่อย ผมเลยละตัวออกมา...
“เรื่องที่ให้จัดการ...ฉันทำอยู่”
“หึ ไม่เป็นไร...ฉันยังรอนายเสมอ”
“ไม่ละ...ฉันไม่อยากอยู่บ้านหลังนั้นนานๆ จะรีบทำให้เร็วที่สุด”
“หึ”
ผมหัวเราะเบาๆ แล้วเล่นผมเขาต่อ...เส้นผมที่อ่อนนุ่มมันสร้างความเพลินตาไม่น้อยจริงๆ
นายนะ...เป็นของฉันรู้ไหมเรย์...
 .
.
.

เรย์ PASS
ผมมาหาเอเดนที่บริษัทฯ ของเขา...ที่ต้องมาที่บริษัทฯ ก็เพราะเรื่องงาน แล้วก็เป็นเรื่องที่ผมกำลังจะทำซะด้วย...แต่เพียงแค่ต้องรอเวลาแค่นั้นแหละ
“จอด...”
“ครับ”
ผมสั่งให้คนขับรถจอดที่ตลาดแห่งหนึ่ง ที่เต็มไปด้วยร้านค้า ผมมองไปยังร้านๆ นึงที่เป็นร้านขายของเล่น...พอเห็นแบบนี้แล้วมันก็ทำให้ผมคิดถึงใครบางคน...คนที่ผมรัก...
“คุณเรย์! ระวังครับ!”
ปรี๊น!!!
ขณะที่ผมกำลังจะข้ามถนน จู่ๆ ก็มีมอเตอร์ไซน์คันหนึ่งแล่นมาทางที่ผมกำลังยืนอยู่ ตัวของผมเซไปอีกทางทันที แต่โขคดีที่ไม่ล้ม มอเตอร์ไซน์คันนั้นจอดรถแล้วหันมามองผมนิดหน่อยก่อนที่จะเร่งเครื่องขับรถออกไป ผมทั้งตื่นกลัวและสั่นสะท้านไปทั่วร่าง...
น่ากลัว!...
น่ากลัวมากจริงๆ!...
“คุณเรย์...”
“ไม่เป็นไร...ผมไม่เป็นไร”
ผมตอบด้วยน้ำเสียงสั่นๆ...พยายามฝืนทำตัวให้ปกติที่สุด แต่มันก็ช่างยากเย็นจริงๆ เพราะมันทำให้ผมนึกถึงเหตุการณ์ในวันนั้น...
 
“ไม่ได้เรื่อง! เรื่องแค่นี้ดันพลาด!!!”
//ก็ทางนั้นเขามีคนคุ้มครอง จะให้ทำไง// ปลายสายเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่ง...
”ไอ้พวกไม่ได้เรื่อง!”
//ขอเงินค่าจ้างด้วย//
“ฉันไม่ให้!!! งานก็ทำพลาดแล้วยังจะมาขอเงินอีกหรือไง!”
//อ้าว พูดแบบนี้แสดงว่าจะไม่ให้พวกกูใช่ไหม//
“ถ้าพวกแกอยากได้เงินก็ไปหาทางจัดการมันซะ! งานสำเร็จเมื่อไหร่ค่อยมาเอา!”
ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด
สิ้นคำคนในเงามืดก็วางสายไปทันทีด้วยความรู้สึกโมโห เจ็บใจนักที่คนของตัวเองทำอะไรไม่ได้เรื่อง!
กึก กึก กึก
เสียงกัดเล็บดังขึ้นเป็นระรอกๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยย่นและความเครียด พลางคิดหาวิธีที่จะกำจัดคู่แข่งออกไป
เขามองไปยังรูปถ่ายที่ถูกวางไว้อยู่บนโต๊ะ ก่อนที่จะหยิบขึ้นมาดูเต็มๆ ตา พอยิ่งเห็นเจ้าตัวแบบนี้แล้วก็ยิ่งทำให้เคืองแค้นอย่างรุนแรงจนต้องฉีกรูปถ่ายใบนั้นเป็นชิ้นๆ
“ฉันเกลียดแก! ฉันเกลียดแก!!!”
แคว้ก!
 
แอ๊ด...
หลังจาที่เกิดเหตุการณ์รถเฉี่ยวผมก็กลับมาที่บ้าน ถึงในตอนแรกจะรู้สึกสั่นๆ แต่พอไม่นานผมก็เริ่มเป็นปกติ...ตอนนี้ไม่มีใครอยู่บ้านนอกจากผม แล้วผมก็ยังต้องมีสิ่งที่ทำอยู่...จะมามัวแต่นั่งหวาดกลัวแบบนี้ไม่ได้
แอ๊ด...
ผมค่อยๆ เปิดประตูเข้าไปที่ห้องทำงานของพ่อ ซึ่งที่ปกติจะล็อคอยู่...ผมอยู่บ้านหลังนี้มานาน แล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องยากที่ผมจะเปิดประตูเข้าไป...มันไม่อยากเลยถ้าผมมีกุญแจสำรอง...ไม่...ผมไม่ได้ไปหาเขา แต่มาเพื่อที่จะหาของบางอย่างก็เท่านั้น...
เอกสารสำคัญ...ที่เก็บไว้เฉพาะในห้องทำงาน ในลิ้นชักที่ถูกปิดสนิท...
ในตอนแรกผมก็พยายามเปิดเปิดลิ้นชักออกแล้วก็รื้อค้นด้านในแต่จนแล้วจนรอดมันก็ไม่มีอะไรนอกจากเอกสาร...ถึงจะเป็นเอกสารเหมือนกันแต่มันก็ไม่ใช่อันที่ผมต้องการสักนิด...
“อยู่ไหนนะ”
ผมเปรอยออกมาเบาๆ แต่ก็ยังไม่หยุดมือ แล้วเวลาของผมเองก็มีไม่มากเท่าไหร่ซะด้วยซิ...
สงสัยคงต้องถอยก่อน...
“คุณเรย์คะ”
เฮือก!
ทันที่ก้าวออกมาจากห้องก็มีเสียงเรียกจากทางด้านหลังทำให้ผมรู้สึกตกใจมากพอสมควร แต่ผมก็ต้องแสดงท่าทีว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น...เป็นนิดนั่นเองที่เรียกผม...
“มีอะไร”
“มีคนมาขอพบคะ”
“ใคร?”
“เขาไม่บอกชื่อคะ แต่บอกว่าต้องการพบคุณเรย์ให้ได้”
คนต้องการมาพบผมอย่างนั้นเหรอ?...ใครกันนะ...
“อืม” ผมพยักหน้าเบาๆ เป็นการตอบ...แล้วนิดก็ขอตัวไปทำอย่างอื่นต่อ...
พอมาถึงห้องนั่งเล่นผมกลับไม่เจอใครสักคนมีแต่เพียงห้องว่างเปล่า...ใครมาเล่นบ้าอะไรกันเนี่ย!!!
หมับ!
“เฮ้ย!”
ก่อนที่ผมจะหันหลังกลับไปจู่ๆ ร่างของผมก็ถูกรวบจากทางด้านหลังแล้วผมก็พยายามดิ้นเพื่อให้ตัวเองเป็นอิสระ แต่คนที่กอดผมกลับไม่ยอมปล่อยเลย...
“ตะวัน! ปล่อยนะ!!!”
“ไม่ปล่อย”
ตะวันตอบหน้าตาย...
“นายไม่มีสิทธิ์มาทำแบบนี้กับฉัน! ปล่อย!!!”
“ไม่ปล่อย”
ผู้ชายอะไรหน้าด้านจริงๆ!!!...
“ฉันจะตะโกนให้คนช่วย!”
ผมหันหน้าไปบอกกับเจ้าตัวอีกครั้ง...
“ก็ร้องไปสิ ตอนนี้ไม่มีใครอยู่นอกจากเราสองคน”
ได้! ท้านักใช่ไหม! ถ้าจะไม่มีใครอยู่สักคนให้มันรู้ไปสิ!!! พอคิดได้แค่นั้นผมก็เลยร้องตะโกนออกไปทันที...
“ช่วยด้วย! ปล่อยฉันนะ! ช่วยด้วย!!!”
“คุณน้าพาหนึ่งไปหาหมอ ส่วนนิดกับน้อยและคนอื่นๆ ก็ออกไปซื้อของเมื่อกี้ ลุงพจน์ไปทำงาน”
ตะวันร่ายยาวให้ผมฟังจนทำให้ผมต้องหยุดแล้วหันหลังไปมองเขาอย่างโกรธๆ แต่ว่าพอคิดไปคิดว่ามันก็เป็นจริงอย่างที่เขาพูด...จะมีใครอยู่บ้านได้ยังไงก็ในเมื่อผมเป็นคนทำหนึ่งให้ต้องเข้าโรงพยาบาลนี่นา...
น่าสมน้ำหน้าดีจริงๆ...
ฟอดด...
ในขณะที่ผมกำลังใช้ความคิด จู่ๆ ตะวันก็ทำในสิ่งที่ทำให้ผมถึงกับอ้าปากค้างด้วยความตกใจพอสมควร
เขาหอมแก้มผม!!!...
“เฮ้ย!”
“คิดถึง”
ตะวันพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังโดยที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว...มันเลยทำให้ผมหน้าแดงซ่านอยู่ในอ้อมกอดของเขา
“ทำบ้าอะไรของนาย!!!”
“ก็หอมแก้ม...ฟอดด...”
ไม่ว่าเปล่า ตะวันก็ก้มลงมาหอมแก้มผมอีกครั้ง...
“อะ ไอ้บ้า! ปล่อยฉันนะ!!! ไอ้บ้า ไอ้ตะวัน!!!”
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
ผมทุบไปที่อกเขาแบบรัวๆ และแรงๆ แต่ตะวันก็ไม่ยอมปล่อยผมให้เป็นอิสระอยู่ดี...
ฟอดด...
“ตะวัน!”
ฟอดด...
“ปล่อย!”
ฟอดด...
ยิ่งผมพยายามดิ้นมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งก้มหน้าลงมาหอมแก้มผมมากขึ้นเท่านั้น ราวกับว่ากำลังจงใจแกล้งผมอยู่...สลับซ้ายบ้าง สลับขวาบ้าง จนทำให้แก้มของผมช้ำไปหมดเลย...
“ถ้ายังดิ้นอีก ฉันก็จะหอมนายอีก”
เขาพูดเสียงนิ่ง แต่มันได้ผลชะมัด! ผมถึงกับหยุดตัวเองทันที...
“หึ”
แล้วมันก็ดูเหมือนว่าจะทำให้เขาพอใจซะด้วย...
พอผมหยุด เขาก็หยุด ตะวันมองผมนิดหน่อย แต่ผมไม่มองเขาหรอกนะ! ถ้าจะให้พูดจริงๆ ผมไม่อยากเห็นหน้าเขาด้วยซ้ำ...
“เรย์...เรื่องของหนึ่ง”
เราเงียบกันอยู่ชั่วอึดใจหนึ่งก่อนที่ตะวันจะเริ่มเป็นฝ่ายพูดออกมา แต่ว่าเพียงแค่ประโยคเดียวมันถึงกับทำให้ผมหันขวับไปมองหน้าเขาทันที...
“นายได้ทำหรือเปล่า”
เหอะ! ที่แท้มาพบผมก็เพื่อสิ่งนี้ใช่ไหม!...
“ใช่! ฉันทำเอง” ผมเงยหน้าตอบ...
“ทำไม?” ตะวันมองผมอย่างไม่เข้าใจ...
“ทำไมไม่ไปถามมันเอาละ!!! ถามมันสิว่าฉันพูดอะไรบ้าง ทำอะไรบ้าง!”
“...”
ผมพูดอย่างท้าทายแต่ตะวันกลับเงียบ...ไม่พูดอะไรออกมาทั้งนั้น...แล้วนั่นมันก็ทำให้ผมรู้สึกไม่ดี...รู้สึกไม่ดีมากๆ แต่ผมก็ทำได้แค่กัดฟันทน แล้วผลักร่างหนาให้ออกไปห่างจากตัว...
“ฉันมันผิด! นายก็กลับไปหาเขาสิไป!!!”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรทำให้ผมพูดประโยคนี้ออกมา รู้แต่ว่าผมไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้ว...อยากไปให้ไกลเลย...
“มันไม่ใช่แบบนั้นเรย์”
ตะวันพูดแล้วรั้งผมไว้เหมือนเดิม...
“ทำไม? นายจะบอกว่าอยู่ข้างฉันเหรอ? จะบอกว่าฉันไม่ผิดเหรอ?”
“ใช่...ฉันอยู่ข้างนาย”
ผมมองตะวันอย่างไม่เข้าใจในคำตอบที่พูดออกมาแบบไม่คิดของเขา พูดออกมาได้ไงว่าจะเชื่อผม? ทั้งๆ ที่เขาไม่รู้อะไรเลยแท้ๆ
“อย่ามาพูดหน่อยเลย...ฉันเป็นคนทำร้ายหนึ่ง นายจะมาเข้าข้างฉันทำไม?”
“แต่ฉันเชื่อ...เชื่อว่านายจะต้องมีเหตุผล...”
ตะวันบอกผม...แววตาและสีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเชื่อมัน จริงจัง...มันเป็นสายตาที่บ่งบอกว่าจะอยู่เคียงข้างผม...
เชื่อมันในตัวผม...
ผลัก!
แต่ผมก็เลือกที่จะหนีออกมาอีกครั้ง ผมผลักตะวันแล้ววิ่งหนี...หนีไปบนห้องของตัวเอง ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตะวันกำลังมองผมด้วยแววตาแบบไหน...รู้แต่ว่าตัวผมในตอนนี้ยังไม่อยากหันหลังกลับไปมองจริงๆ...
ปัง!
ผมปิดประตูแล้วล็อคกลอนไว้แน่น หลังของผมก็พิงประตูเอาไว้ หัวใจของผมเองก็กำลังเต้นแรง...มันเป็นเพราะอะไรกันนะ...
Rrr Rrr Rrr
ขณะที่ผมกำลังใช้ความคิด จู่ๆ มือถือของผมก็ดังขึ้น หยิบมันขึ้นมาแล้วมองอย่างชั่งใจชั่วครู่ก่อนที่จะกดรับ...
ใกล้ถึงเวลาแล้วสินะ...
 .
.
.

ค่ำ
อากาศในยามค่ำคืนมีเพียงความมืดและแสงจันทร์สอดส่อง ทั้งๆ ที่มันดูสวยแต่กลับไร้ดาวเคียงคู่ ช่างดูเหงาหงอยจัง...
“ดูอะไรอยู่”
“คุณพ่อ...”
ผมหันไปมองคนที่เดินมานั่งข้างๆ ผมแล้วยิ้มให้ก่อนที่จะหันไปมองบนท้องฟ้าต่อ
“คืนนี้พระจันทร์สวยนะ”
“...ครับ” ผมตอบเบาๆ...
แล้วพวกเราก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก...ก็ไม่รู้จะพูดอะไรนี่นาเพราะที่ผ่านมา ผมกับเขาก็แทบไม่ได้มีความทรงจำที่ดีต่อกันเลย...
“เราไม่เคยทำอะไรแบบนี้ด้วยกันเลยนะ”
ผมหันขวับไปมองเขาทันทีที่พูดจบ...รู้สึกตกใจเล็กๆ ที่เขากำลังคิดเรื่องเดียวกันกับผม
“ลูกของพ่อ...โตขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
ก็แหงละ...วันๆ มัวแต่สนใจลูกอีกคนนี่นา...ถ้าสังเกตก็คงแปลกแล้วนะ...
“ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนยังตัวเล็กอยู่เลย”
“...”
“เรียนเป็นยังไงบ้าง พ่อไม่เคยถามสักคำ”
“...”
“...พ่อไม่เคยเตือนเรื่องเพื่อน ไม่เคยพาเรย์ไปเที่ยว”
ผมนิ่ง...แล้วฟังที่เขาพูดต่อ...สิ่งต่างที่เขาพูดพามันก็เป็นอย่างที่พูดจริงๆ นั่นแหละ ช่วงเวลาแบบนั้นของผมกับเขา...มันไม่มีจริงๆ...
พจน์มองหน้าลูกชายตัวเองอย่างกล้ำกลืน ผีห่า ซาตาน ตัวไหน...ที่มันเข้าสิงร่างเขากันนะ...มัรเลยทำให้เขาทิ้งลูกชายตัวเองได้ลงคอ...
บอบบางขนาดนี้...
อ่อนแอขนาดนี้...
แล้วทำไมคนเป็นพ่อแบบเขาถึงได้มองข้ามแล้วไม่ใส่ใจ หากจะบอกว่าเรื่องราวในอดีตทำให้เขาละเลย...มันก็ช่างเป็นคำแก้ตัวที่น่าละอายจริงๆ
“...คุณพ่อ”
เสียงเล็กๆ เอ่ยเรียกด้วยความแผ่วเบาเมื่อถูกมือหนาของพจน์ยื่นไปจับที่ใบหน้าด้านซ้ายของตัวเอง...
พจน์มองใบหน้าของเรย์อย่างพิจารณา สิ่งที่เขาจำได้ก็มีแค่ความเฉยชาและดวงตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังเท่านั้น สองมือเล็กๆ ที่เคยยืนมาทางตนเพื่อเรียกหาและเป็นที่ยึดเหนี่ยว แต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาคิดจะจับมือนั้นตอบ...
พจน์แทบนึกภาพไม่ออกจริงๆ นึกภาพที่ตัวเองทำแบบนั้นไม่ได้ อ้อมกอดของเขาก็คอยผลักไสไล่ส่ง พอคิดได้แบบนั้นแล้ว...มันก็น่าลงโทษตัวเองนัก!
“เรามาเริ่มต้นกันใหม่นะเรย์”
พจน์เอ่ยเสียงเบาแล้วโอบกอดร่างเล็กๆ ตรงหน้า หากแต่กลับคำตอบที่น่าจะเอื้อนเอ่ยออกมาจากริมฝีปากบาง มันมีแต่ความเงียบส่งมาเท่านั้น...
พจน์ได้แต่หวัง...หวังว่ามันจะขดเชยส่วนที่เขาเคยทำผิดพลาดไว้...ชดเชยในส่วนที่พ่อแย่ๆ อย่างเขาเคยทำ...
 
แอ๊ดด...
บานประตูที่ถูกเปิดออกพร้อมกับร่างชราเดินเข้ามาด้านใน...พจน์เดินไปนั่งบนเก้าอี้ประจำ หลังก็พิงไปที่ด้านหลังเก้าอี้ด้วยความเหนื่อยล้าก่อนที่จะค่อยๆ เอนตัวไปเปิดลิ้นชักที่ถูกปิดสนิทเอาไว้
พจน์หยิบซองเอกสารสีน้ำตาลขึ้นมาดู ข้างในเป็นเอกสารสำคัญที่ไม่สามารถให้ใครเห็นได้ เพราะมันเป็นข้อมูลของบริษัทฯ ทั้งหมด! ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจหรือคู่แข่ง พจน์จึงไม่สามารถเก็บไว้ที่ทำงานได้เพราะเขาไม่ไว้ใจใครแม้แต่คนเดียว...
“เฮ้อ...”
เขาถอนหายใจออกมาเบาๆ ด้วยความหน่าย ไหนจะงานที่ต้องทำ ไหนจะคู่แข่ง แต่โชคยังดีที่ตอนนี้เขาสามารถดองกับอีกบดินทร์คนที่เป็นคู่แข่งคนสำคัญได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นเพราะลูกชายของพวกเขาทั้งคู่หมั่นกันก็เถอะ แต่อย่างน้อยก็ถือว่าดีทีเดียว...
พจน์คิดทบทวนสิ่งที่ทำเพียงชั่วครู่ก่อนที่จะเริ่มรู้สึกตัวว่าตัวเองเริ่มที่จะมีอาการวิงเวียนศรีษะ ภาพตรงหน้าเริ่มที่จะพร่ามัวไม่ชัดขึ้นเรื่อยๆ พจน์สะบัดใบหน้าไปมาสองสามครั้งเพื่อเรียกสติ แต่มันก็เท่านั้นเมื่อเขายังรู้สึกว่าความง่วงเริ่มก่อกุมมากขึ้นๆ
ตึง...
จนในที่สุดร่างทั้งร่างของพจน์ก็ฟุบหลับไปที่โต๊ะอย่างไม่รู้ตัว...แล้วใครบางคนก็เดินเข้ามาในห้อง ท่ามกลางความมืดในยามวิกาลพร้อมกับรอยยิ้มร้ายโดยที่คนถูกมองไม่รู้ตัวสักนิด...
หึ...
 
พจน์ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ตอนเช้าอีกวัน สิ่งแรกที่เขาทำคือมองเอกสารที่อยู่บนโต๊ะ เพียงแค่เห็นก็ทำให้เขารู้สึกโล่งใจพอสมควรที่มันยังอยู่ครบ...แต่สิ่งที่พจน์คือไม่ออกคือเขาหลับไปตอนไหนก็เท่านั้น คิดว่าเมื่อคืนจะต้องเหนื่อยมากแน่ๆ ถึงได้หลับไม่รู้เรื่องไปแบบนั้น...
“คุณพ่อ...”
พอลงมาถึงชั้นล่าง เสียงเล็กๆ ของหนึ่งก็เอ่ยดังขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มบริสุทธิ์
“จะไปทำงานแล้วเหรอครับ”
“อืม ขาเป็นยังไงบ้าง”
พจน์เดินไปนั่งข้างๆ หนึ่งพลางลูบหัวเบาๆ ด้วยความอ่อนโยน...
“เอ่อ ใกล้หายแล้วครับ”
 
หนึ่งยิ้มตอบ พยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด...ทั้งที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่เลยสักนิด หนึ่งยังเจ็บขา...เจ็บอยู่มาก แถมยังมากขึ้นกว่าเก่าด้วยซ้ำ แต่หนึ่งยังไม่อยากให้พจน์เป็นห่วงเลยได้แต่ตอบว่าไม่เป็นอะไร...อีกใจนึงก็อดห่วงไม่ได้ นึกกลัวเสียจริงว่าเรย์จะมาไม้ไหนอีก
 
 

 
 

ออฟไลน์ Take

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน16-25 10/12/15
«ตอบ #175 เมื่อ10-12-2015 18:38:03 »



 
18
 
เมื่อคืน...มันก็เป็นอีกคืนที่ผมนอนไม่หลับ...คอยวนเวียนแต่จะคิดเรื่องที่เขาพูดเอาไว้...
เริ่มต้นใหม่...อย่างนั้นเหรอ...
เหอะ!...มันก็แค่คำพูดที่สวยหรูก็แค่นั้นแหละ!...คำว่าเริ่มต้นใหม่สำหรับผมนะ...มันไม่มีอีกแล้ว...
ผมลุกออกมาจากห้องตัวเองแล้วเดินลงมาที่บันได แต่ผมก็ลงมาได้แค่ครึ่งทางเท่านั้น สายตาของผมก็มองไปเห็นใครบางคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟาห้องรับแขก...สงสัยคงต้องทักทายซะหน่อยละมั้ง...
“ว่าไงหนึ่ง...ตื่นเช้าจังนะ”
“ระ เรย์!...” หนึ่งเรียกผมด้วยน้ำเสียงสั่นๆ เชิงหวาดกลัว...แล้วก็เปลี่ยนเป็นลุกยืนขึ้นด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ
“เป็นอะไร? เสียงสั่นเชียว ไม่สบายเหรอ?” ผมถามแล้วเดินเข้าไปใกล้...
“ปะ เปล่า...เรย์มีอะไรกับหนึ่งเหรอ?”
หนึ่งยิ้มตอบ...พยายามทำตัวไม่ให้สั่น แต่กลับค่อยๆ เขยิบตัวหนีทุกครั้งเวลาที่ผมเดินเข้าไปใกล้
“คิกๆ ไม่ได้กลัว...แล้วหนีทำไมละ?”
อา...ผมรู้สึกว่าเสียงหัวเราะของผมในตอนนี้มันช่างเหมือนผู้ร้ายซะจริง...
“คะ คือ...คือหนึ่ง...อะ โอ๊ย!!!”
ตุบ!
คงเป็นเพราะเดินไม่ถนัดและเอาแต่เดินถอยหลังหนีผมเลยทำให้หนึ่งสะดุดกับโต๊ะล้มแบบไม่รู้ตัว...
แล้วผมก็ไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือ ผมเข้าไปประชิดตัวร่างบางที่ล้มระเนระนาดอยู่บนพื้นแล้วจับกระชากหัวอย่างรุนแรง จนทำให้เจ้าตัวถึงกับเบ้หน้าด้วยความเจ็บ
“โอ๊ย! เจ็บ! ระ เรย์ ฮึก หนึ่งเจ็บ!!! ปล่อยนะ!”
“อ่า...ขอโทษทีไม่ได้ตั้งใจ”
พูดไปยิ้มไปแต่การกระทำของผมกลับตรงกันข้ามเลย...
“เมื่อวาน...เรย์ทำให้หนึ่งต้องเจ็บขาสินะ?”
“ระ เรย์...” หนึ่งมองผมด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว...
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้ก็เอามือก็แล้วกันเนอะ...”
ตุบ!
ผมจับหัวของหนึ่งให้กระแทกลงไปบนพื้นแรงๆ ถึงหัวจะไม่แตกแต่ผมก็รับรองเลยว่าคงจะเจ็บและมึนไม่น้อย
“เจ็บ!!! ฮือ ฮือ โอ๊ย เจ็บ...”
ดูสิ...หนึ่งร้องไห้เลย...
ว่าแล้วผมก็จับให้หนึ่งนอนคว่ำหน้าแล้วจับมือบางของเขาให้แนบลงกับพื้น...ดูสิ สีหน้าของหนึ่งในตอนนี้ซีดเป็นไก่ต้มเลย...
“เรย์...จะทำ...อะไร...”
“ทำแบบที่หนึ่งคิดไง”
“อย่า!!!”
ผัวะ!
ผมไม่รอฟังเสียงร้องของอีกฝ่ายเลย ฝ่าเท้าของผมก็เหยียบลงไปบนมือขาวๆ ของหนึ่งเต็มๆ แถมยังเป็นมือข้างขวาซะด้วย...
“ฮือ ฮือ เจ็บๆ ปล่อยๆ โอ๊ย! เรย์!!! หนึ่งเจ็บ!!!”
ฮ่าๆ หนึ่งร้องเสียงหลงเลย...
ผมไม่สนหรอก ผมบดขยี้อย่างแรงจนมือของหนึ่งแดงอย่างน่ากลัว ผมเหยียบเข้าไปซ้ำๆ ราวกับว่ามันเป็นสิ่งของที่น่าจะทำลาย...ไม่สิ...มันก็น่าทำลายจริงๆ นั่นแหละ
“ฮือ ฮือ ช่วยด้วย! ใครก็ได้...ช่วยด้วย...”
ตุบ ตุบ ตุบ
ร้องเข้าไป...ขอความช่วยเหลือเข้าไป...แล้วยิ่งหนึ่งร้องก็ยิ่งทำให้ผมเกิดอยากที่จะทำให้แรงขึ้นไปอีก ผมไม่ออมมือหรอกนะ แม้ว่าอีกฝ่ายจะเจ็บมากแค่ไหนก็ตาม...
“เรย์!!! พอเถอะนะ หนึ่งเจ็บ ฮือ ฮือ ฮึก พอๆ เจ็บๆ”
ผมเพิ่มแรงขยี้ไปที่นิ้วเล็กๆ อีกมือนึงของหนึ่งก็พยายามจับเท้าของผมเอาไว้เพื่อห้าม...แต่คิดว่าจะห้ามผมได้เหรอ ฮ่าๆ คิดผิดซะแล้วละ...บอกเลยว่าแค่นี้ห้ามผมไม่ได้หรอก
ร้องเข้าไป!...
อ้อนวอนเข้าไป!...
ยิ่งร้องผมก็ยิ่งสะใจ! อยากทำให้เจ็บเหมือนกับที่ผมเคยเจอ...
“หนึ่ง!!! ไอ้เรย์!!!”
“กรี๊ดด คุณหนึ่ง!!!”
แล้วเพียงไม่นานผมก็ได้ยินเสียงร้องจากคนรอบข้าง พวกเขามองผมอย่างตกตะลึงก่อนที่จะพากันมาผลักผมให้ออกห่างๆ
“ฮือ ฮือ  คุณแม่...”
หนึ่งร้องไห้โฮแล้วพาร่างกายที่สะบักสะบอมลุกขึ้นลุกไปหาผู้หญิงคนนั้น...
“โธ่หนึ่ง เจ็บไหมลูก...”
เธอมองไปที่มือของลูกชายตัวเองแล้วเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง...
“คุณเรย์ ทำไมทำคุณหนึ่งแบบนี้ละคะ” นิดถามผม...
“ใช่คะ! ทำไมทำแบบนี้ละคะ” น้อยพูดขึ้น...
“ฮ่าๆ สะใจไงละ”
ผมหัวเราะออกมาแล้วก็ตอบ...ก็แล้วยังไงในเมื่อผมรู้สึกสะใจจริงๆ นี่นา...ไม่! ผมไม่ได้รู้สึกผิดอะไรเลย ไม่เคยมีความคิดแบบนั้นใส่หัวสักนิดเลยละ...แล้วที่ผมเลือกทำมือขวาแทนที่จะเป็นมือซ้าย เพราะมือขวานะ...
หนึ่งถนัดในการใช้เล่นเปียโน!...
“ฉันทนไม่ไหวแล้วนะ! ฉันจะฟ้องคุณพจน์!!!”
แม่ของหนึ่งพูดขึ้นอย่างเหลืออด เธอมองผมราวกับว่าอยากจะกินเลือดกินเนื้อเลยก็ว่าได้
“ฮ่าๆ ฟ้องไปเลย! อยากจะฟ้องอะไรก็ฟ้องไป ฮ่าๆๆ”
“แก!!!”
“แต่ก่อนที่จะฟ้องนะ ผมขอทำอะไรให้มันคุ้มหน่อยก็แล้วกัน!”
พูดจบ...ผมก็ตรงดิ่งไปยังสองแม่ลูกนั่น แล้วผลักให้ผู้หญิงคนนั้นถอยออกอย่างแรง จนเธอล้มไปอีกทาง...ส่วนนิดกับน้อยก็มัวแต่ตะลึงอ้าปากค้างด้วยความตกใจ เลยทำให้พวกเขาห้ามผมไม่ทัน...กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนที่หนึ่งมาอยู่ในมือผมแล้ว...
“มานี่!!!”
“โอ๊ย!!! คุณแม่!!!”
“กรี๊ด!!! ปล่อยลูกของฉันนะ!!!”
ผมจับร่างเล็กๆ ของหนึ่งแล้วกระชากให้เดินตามมาอย่างแรง ด้วยความที่ว่ายังไม่ทันตั้งตัวเลยทำให้หนึ่งล้มลุกคลุกคลานไปบ้าง
ยัง...มันยังไม่จบแค่นั้น...
ผมลากหนึ่งไปทางหน้าบ้านตรงสระว่ายน้ำ โดยที่มีเสียงร้องห้ามดังมาตามหลังเป็นระรอกๆ
“โอ๊ย!!! ปล่อย! เรย์...ปล่อย!!! เจ็บๆ”
“หึหึหึ ปล่อยแน่...”
ผมแสยะยิ้มร้าย...
“จะ...ทำ...อะไร!”
หนึ่งถามเสียงสั่นๆ...
“ก็ทำอย่างที่หนึ่งคิดไงละ”
“ม่าย!!!”
ตูม!
ผมผลักหนึ่งตกน้ำ แล้วหัวเราะออกมานิดหน่อยด้วยความสะใจแบบสุดๆ แต่ก่อนที่พวกนั้นจะตามมาห้ามได้ทันผมก็ต้องเล่นอะไรสักหน่อย...
“แค่ก แค่ก แค่ก ช่วย...”
“อ้าว จะรีบขึ้นมาทำไม อยู่ในนั้นก่อนสิ”
คำพูดที่แสนเย็นชาและการกระทำที่แสนเย็นชา...ผมไม่ให้หนึ่งได้ขึ้นมาจากในน้ำได้ ผมเอื้อมมือไปจับหัวของหนึ่งเอาไว้แล้วกดลงไปในน้ำ ไม่สิ...เขาเรียกว่าจิกผมเลยละ...
หนึ่งที่กำลังเจ็บแขนเจ็บขาอยู่ก็ทำให้ไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ เขาดิ้นทุรนทุรายอยู่ในน้ำพยายามที่จะเอาชีวิตรอด...ส่วนผมนะเหรอ? ไม่มีความสงสารเลย...มีแต่หัวเราะสะใจล้วนๆ
“เรย์!!! ปล่อยหนึ่ง!!! แค่ก แค่ก แค่ก”
ซ่า...
“ปล่อย!!!”
ตูม!...
“ปล่อย อึก!”
ฮ่าๆ คิดว่าผมจะปล่อยเหรอ? ไม่มีทางซะหรอก!...
“กรี๊ด!!! หนึ่ง!!! ไอ้ชั่ว ไอ้เลว!!! แกปล่อยลูกฉันนะ!!!”
“คุณหนึ่ง!/คุณหนึ่ง!”
แล้วหลังจากนั้นความโกลาหลก็ได้เกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อผู้หญิงคนนั้นและนิดกับน้อยตามมาได้ทันก่อนที่หนึ่งจะเริ่มขาดอากาศหายใจ
พวกเขาผลักผมให้ออกห่างแล้วรีบช่วยหนึ่งขึ้นมาจากน้ำ แววตาที่ดุดันของเธอมองมายังผมด้วยความโกรธแค้นแบบสุดๆ
ร่างของผมเองก็ถูกจับจากนิดกับน้อย พวกเขาต่างก็พยายามจับผมไว้แน่นเพื่อกันไปทำร้ายหนึ่งอีก...ผมไม่ดิ้น ไม่หนี ไม่ทำอะไรทั้งนั้น อยากจับหรือทำอะไรทำเลย...
“ฉันจะตบสั่งสอนแกสักหน่อยเถอะ!”
อา...นี่ละนะ นิสัยของผู้หญิง กำลังจะเริ่มออกมาแล้วละ...ในเมื่อทำคนเดียวไม่ได้ก็อาศัยคนที่มากกว่ารุม
เพี๊ยะ!
ใบหน้าผมถูกตบไปทางด้านซ้ายอย่างแรง...เพียงแค่ฉาดเดียวที่โดนแต่ผมก็รู้สึกเจ็บมากอยู่เหมือนกัน...
“...” ผมนิ่ง...ไม่หือ ไม่อือ ไม่ร้องออกมา ก่อนที่จะค่อยๆ หันหน้าไปมองผู้หญิงคนนั้นช้าๆ
“หึ”
ผมหัวเราะออกมาเบาๆ...
แล้วอาศัยแรงที่มากกว่าผู้หญิง ก็แน่ละ...ผมเป็นผู้ชายนี่นา...ยังไงซะแรงก็ต้องมากกว่าผู้หญิงอยู่แล้ว ผมสะบัดตัวอย่างแรงแล้วผลักให้นิดกับน้อยตกน้ำ
“ว้าย!”
“ว้าย!”
ตูม! ตูม!
ส่วนผู้หญิงคนนั้นพอไร้คนช่วยก็เกิดอาการหวาดกลัว แต่ผมก็ไม่รอให้เธอตั้งตัวได้เช่นกันก็ผลักเธอล้มลงไปกับพื้นอย่างรุนแรง
“ว้าย!!!”
“คุณแม่!!!”
หนึ่งประคองร่างที่เจ็บออดๆ แอดๆ ของตัวเองเข้าหา...
ยังไม่สะใจผมเท่าไหร่เลย...ผมหัวเราะนิดหน่อยก่อนที่จะเดินออกมา ได้ยินเสียงด่าทอมาตามหลังด้วยละ แต่ก็แล้วยังไง? ผมไม่สนใจอยู่แล้ว...
“แก! ไอ้ลูกที่ไม่มีใครสั่งสอน!!! ไอ้ชั่ว! ฉันจะฟ้องคุณพจน์! ฉันจะฟ้องคุณพจน์!!!”
“ฮ่าๆ”
ตามสบายครับ...คุณแม่!!!...
 
“เชิญครับ”
พอมาถึงหน้าบ้านก็มีคนรถมารอรับผมอยู่ ผมพยักหน้าเบาๆ ให้แล้วขึ้นไปนั่ง จากนั้นก็หันไปมองบ้านที่ตัวเองเพิ่งกลับมาอยู่หมาดๆ อยู่ได้แค่เพียงไม่กี่วันผมก็ต้องจากไปอีกแล้ว...
แต่มันก็ดีแล้วละ...ผมรู้สึกว่าไม่ค่อยอยากที่จะอยู่ที่นี่นานๆ สักเท่าไหร่ รีบๆ ทำงานให้เสร็จๆ แล้วก็จบไปซะ...
ลาก่อน...
 .
.
.

อีกด้านหนึ่ง
พจน์ที่กำลังประชุมอย่างเคร่งเครียดในห้องประชุมใหญ่ เหล่ากรรมการและผู้บริหารทั้งหมดแสดงสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกกันอย่างถ้วนหน้า...
ปัง!
เอกสารถูกวางอยู่บนโต๊ะอย่างแรงเพื่อต้องการคำตอบที่ชัดเจน...
“มันเป็นแบบนี้ได้ไง!”
พจน์กล่าวด้วยน้ำเสียงดุดัน...เพียงแค่คืนเดียวแต่กลับทำให้บริษัทฯ ถึงกับเกือบล้มเพราะธุรกิจ!
แต่ทุกอย่างที่ถามไปกลับมีเพียงแต่ความเงียบตอบกลับมาเท่านั้น...เหล่าคนที่นั่งประชุมอยู่ที่นี่มีแต่ก้มหน้าก้มตามองพื้น ไม่มีใครสักคนที่จะตอบคำถามเขาสักนิด
“ผมถามพวกคุณเพื่อต้องการทางแก้! ไม่ใช่ให้มานั่งเงียบแบบนี้!!!”
พจน์ถามอีกครั้ง...
“พวกเราก็อยากหาทางแก้ให้นะครับคุณพจน์ แต่ตอนนี้ทางพวกเราเองก็มืดแปดด้านจริงๆ”
“ใช่ ใครมันจะคิดว่าบริษัทฯ เราจะล้มเพียงข้ามคืน”
เหล่าคณะกรรมการบริหารพยายามที่จะเสนอเหตุผลออกไป แล้วนั่นมันก็ทำให้พจน์ถึงกับแทบควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่
“เฮ้อ...”
พจน์กุมขมับตัวเองด้วยความปวดหัว แล้วพยายามเก็บอารมณ์ที่กำลังเดือดพล่านให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
ในเมื่อธุรกิจกำลังมีปัญหา อาจถึงขั้นล้มละลายได้...ทางที่ดีที่สุดในตอนนี้คือหาทางแก้ เพื่อปรับให้หุ่นที่ตกอยู่กลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม แต่สิ่งที่คาใจพจน์มากที่สุดคือใคร! ที่มันทำแบบนี้ได้ เพราะดูจากสถานการณ์แล้วข้อมูลของบริษัทฯ รั่วไหลแน่นอนเลยทำให้สินค้าที่ส่งออกบางตัวถูกระงับและมีคู่แข่งคนอื่นสวมรอยแทน ไหนจะหุ้นที่ตกอีก ถ้าหากว่าไม่หาทางแก้ในตอนนี้...
พจน์หมดตัวแน่ๆ!!!...
“ใคร...เป็นคนทำ”
ปัง!...
“มีอะไรให้ผมช่วยไหมละคุณพจน์!”
!!!
บานประตูที่ถูกเปิดออกจาบุคคลภายนอก กับคำพูดที่ถูกเอ่ยออกมาทำให้คนในห้องประชุมหันไปมองเป็นตาเดียว ไม่เว้นแม้แต่พจน์เองก็เหมือนกัน...
บดินทร์!!!...
 
“กลับมาแล้วเหรอคะคุณเรย์”
“อืม...”
ทันทีที่ผมกลับมาที่ๆ เดิม...ไม่สิ ที่ๆ ผมอาศัยอยู่มาร่วมเดือนต่างหาก คนรับใช้ก็ออกมาต้อนรับผมพร้อมกับหาน้ำมาให้ มันเหมือนกับเป็นภาพซ้อนเลย...
ภาพที่ใครบางคนที่แสนจะคิดถึงกำลังทำแบบนี้กับผม เธอดูแลผมด้วยรอยยิ้ม เธอห่วงผม หวงผมและรักผมยิ่งกว่าใคร...
คิดถึง...
‘คุณเรย์คะ’
เธอกำลังเรียกผมอยู่ ผมหันไปมองเธอเช่นกัน...
‘น้ำคะ’
เธอยกน้ำมาให้ผมพร้อมกับนั่งลงข้าง...
รอยยิ้มของเธอ เสียงหัวเราะของเธอ ตอนนี้มันไม่มีอีกแล้ว...มีแต่ผมคนเดียวที่ต้องเผชิญชะตากรรม มีแต่ต้องคิดถึง...
 
สวบ
“คิดอะไรอยู่ หืม”
ผมลืมตาขึ้นมาอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นชินเอ่ยถาม เอเดนนั่งลงข้างๆ ผมแล้วใช้หลังมือเกลี่ยผมของผมเบาๆ ทั้งสีหน้าและแววตาที่เขามองมายังผมเต็มไปด้วยความหวงแหนและรักใคร่
“...เปล่า”
“ฉันดีใจที่นายกลับมา”
“อืม”
ผมพยักหน้าตอบเบาๆ...
ดีใจที่ผมกลับมาอย่างนั้นเหรอ...มันก็คงต้องเป็นแบบนั้น ผมต้องดีใจใช่ไหมที่ได้กลับมาอยู่ที่นี่อีกครั้ง ผมจะต้องดีใจ...แต่ว่า....
ทำไม...
ผมถึงได้เจ็บปวดแบบนี้นะ...
 
หลังจากนั้นผมก็ขอตัวขึ้นมาบนห้อง ห้องที่ผมอาศัยอยู่นานเกือบเดือน ถึงห้องที่ผมอยู่จะดูหรูหรามากเท่าไหร่ แต่ผมก็ยังไม่รู้สึกคุ้นชินมันอยู่ดี
ผมนั่งกอดเขาอยู่เงียบๆ ในห้องของตัวเอง ในหัวมันก็คิดแต่เรื่องเดิมๆ ซ้ำๆ วนไปวนมาอยู่แบบเดิม...
 
ตาของผมก็มองไปยังนาฬิกาที่อยู่บนหัวเตียง ตอนนี้ก็กินเวลาไปเกือบบ่ายแล้ว แล้วทางนั้นคงกำลังเดือดร้อนกันยกใหญ่แน่ๆ ก็แหงละ...ก็ธุรกิจกำลังสั่นสะเทือนนี่นา...เป็นใครก็คงจะอยู่นิ่งไม่ได้หรอก...
 
 
 

 

ออฟไลน์ Take

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน16-25 10/12/15
«ตอบ #176 เมื่อ10-12-2015 18:39:13 »




 


 
ตอนที่ 19

“เข้ามาได้ยังไง!”
พจน์กล่าวด้วยน้ำเสียงแน่นิ่ง มองชายตรงหน้าด้วยแววตาเรียบเฉย... ทำไมผู้ชายที่เป็นขู่แข่งของตัวเองถึงได้เข้ามาอยู่ภายในห้องนี้ได้! ทั้งๆ ที่ความเป็นจริงแล้วที่นี่ไม่สมควรให้คนอย่างบดินทร์เข้ามา ถึงเขาและบดินทร์จะเป็นเหมือนทองแผ่นเดียวกันแล้วก็ตามแต่เพราะความไม่ชอบขี้หน้าเป็นทุนเดิมเลยทำให้เขากับบดินทร์ไม่ค่อยที่จะลงรอยกันเท่าไหร่
“หึหึ ทำไมจะเข้ามาไม่ได้ละคุณพจน์ เพราะที่นี่นะ...มันจะกลายเป็นของผมแล้ว”
ชายสูงวัยเดินเข้าไปประจันหน้ากับผู้บริหารใหญ่...ไม่สิ แต่มันจะกลายเป็นเพียงแค่อดีตต่างหาก! เพราะต่อจากนี้ไปเขานี่แหละจะกลายมาเป็นคนดูแลที่นี่เอง! “ผมแค่ได้ข่าวว่า บริษัทฯ คุณกำลังจะมีปัญหา หุ้นของคุณตกและอยู่ในช่วงวิกฤษ ผมก็แค่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเท่านั้นเอง”
“ไม่จำเป็น! บริษัทฯ ของฉัน ฉันดูแลเองได้”
“ไม่เอาน่าคุณพจน์...คุณอย่าลืมสิ พนักงานอีกหลายๆ คนของคุณยังอยู่ ไหนจะลูก จะเมียของคุณอีก คุณจะติดหนี้ธนาคารเป็นพันๆ ล้าน ต่อให้ชาตินี้ชดใช้ยังไงก็ไม่ชดใช้ไม่หมด...คิดดูดีๆ นะคุณพจน์” บดินทร์เว้นคำ “แค่ขายหุ้นให้ผมซะ แล้วคุณก็จะสบาย”
รอยยิ้มร้ายฉายชัดขึ้นบนใบหน้าที่แสนเจ้าเล่ห์ของบดินทร์จนทำให้คนที่ได้ฟังถึงกับกัดฟันกรอดด้วยความโมโห มันก็เป็นจริงอย่างที่บดินทร์พูด...ถ้าปล่อยเอาไว้แบบนี้บริษัทฯ ที่เขาสร้างเองมากับมือต้องล้มไม่เป็นท่าแน่ๆ ครั้นจะปล่อยให้ไปอยู่ในมือของคนอื่นมันก็กระไรอยู่ ไม่มีทาง! ไม่มีทางซะหรอกที่เขาจะยอมให้บริษัทฯ ต้องมาล้มละลาย มันต้องมีทางออกสิน่า!
“ฉันจะไม่ยอมให้บริษัทฯ ของฉันต้องตกไปอยู่ในมือของคนอื่น!”
แววตากร้าวมองคู่แข่งของตัวเองอย่างไม่ยอมแพ้
“ฮ่าๆ ผมก็คิดไว้แล้วว่าคุณจะต้องตอบแบบนี้...เอาเป็นว่าผมจะคอยดูก็แล้วกันว่าคุณจะประคองบริษัท? อยู่ได้นานสักเท่าไหร่”
บดินทร์พูดขึ้นพร้อมกับมองคู่แข่งของตัวเองก่อนที่จะเดินออกไปจากห้อง...
“เฮ้อ” พจน์ถอนหายใจออกมาเบาๆ พลางคิดถึงปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น เขาเป็นถึงผู้นำบริษัทฯ เป็นถึงประธาน กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ผ่านอะไรมานักต่อนัก กะอีแค่เรื่องแค่นี้เขาก็ต้องสามารถผ่านไปได้เหมือนกัน!
 
“คุณคะ...เป็นยังไงบ้าง”
นันเอ่ยถามสามีของเธอทันทีด้วยความเป็นห่วง
“ไม่มีอะไร”
พจน์ยิ้มบางๆ ให้กับภรรยาตน จะไม่ให้มีอะไรได้อย่างไรเล่า...ก็ในเมื่อตอนนี้ปัญหามันประดังเข้ามาจนแทบจะแก้ไม่ทัน แต่เพื่อลูกและเมีย ไหนจะยังคนใบริษัทฯ อีก อย่างเขานะหรือที่จะยอมล้มง่ายๆ
“น้ำครับคุณพ่อ”
หนึ่งยื่นน้ำเปล่าให้กับพจน์
“ขอบใจนะ...อ้าว แล้วเรย์ละ เรย์หายไปไหน?”
พจน์รับพลางเอ่ยถามถึงลูกชายอีกคน เพราะตั้งแต่กลับมาถึงบ้านเขาก็ไม่เห็นหน้าเรย์เลยสักนิด หรือว่าจะอยู่ข้างบนห้อง? แต่สิ่งที่ได้กลับมีความเงียบเป็นคำตอบ
“มีอะไร?” พจน์ถามอีกครั้ง
“จะมีอะไรละคะ ก็ลูกชายของคุณนะซิ ขนข้าวขนของออกไปจากบ้านนี้แล้ว!”
!!!
“คุณแม่!”
“ก็มันจริงนี่”
สิ่งที่ได้ยินมันทำให้พจน์แทบทรุด มือหนาสั่นค่อยๆ วางแก้วลงบนโต๊ะด้วยช้าๆ เพื่อตั้งสติของตัวเอง พลางความคิดบางอย่างก็แล่นเข้ามาในหัว
เรย์หนีไปพร้อมๆ กับที่บริษัทฯ กำลังมีปัญหา
ไม่ต้องเดาอะไรให้มาก พจน์ก็รับรู้ได้ทันทีว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของเรย์ที่กลับมาเพื่อจะแก้แค้นเขา เรย์กลับมาเพื่อที่จะเอาทุกอย่างไปจากเขา...แม้อีกใจจะบอกกับตัวเองว่าอย่าไปเชื่อ มันไม่จริง...เรย์ไม่มีทางทำกับเขาผู้เป็นพ่อได้ลงคอหรอก
เรย์คงไม่ทำแบบนั้น...
แต่ใครจะรู้ว่าสิ่งที่เขาคิดทั้งหมดมันเป็นแค่การปลอบใจตัวเอง...
 .
.
.
.

เรย์ PASS
“คิดไว้แล้วเชียว ว่าคงไม่ยอมง่ายๆ”
ผมประสานมือกับตัวเองแล้วมองไปยังชายสูงวัยตรงหน้าด้วยสีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม แต่มันเป็นรอยยิ้มแห่งความชั่วร้าย รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความต้องการที่อยากจะเอาชนะ...ทุกอย่างเป็นไปตามที่ผมคิดไว้ไม่มีผิด ผู้ชายคนนั้นคงไม่ยอมที่จะขายหุ้นให้คนอื่นง่ายๆ แน่ๆ
“แต่อีกไม่นานมันก็ต้องขายให้เราแน่”
บดินทร์เอนหลังพิงกับโซฟาสีเข้มอย่างสบายใจ
“ไม่จำเป็น” แต่คำที่เอ่ยออกมาจากริมฝีปากบางของผมทำให้ทั้งเอเดินและพ่อของเขามองผมด้วยความสงสัย “ผมไม่ชอบรออะไรนานๆ”
“เธอมีแผน?” เอเดนถาม
“ไม่มีหรอก แผนนะ...ไม่มีอะไรทั้งนั้น แต่ผมจะทำให้คุณอาได้อะไรๆ มาจากเขาโดยที่ไม่ต้องเสียสักบาท”
ตุบ!
ผมวางเอกสารลงบนโต๊ะกระจกสีใส
“นี่มัน!...ฮ่าๆ ฮ่าๆ ถูกใจ! ถูกใจฉันจริงๆ”
บดินทร์หยิบมันขึ้นไปดูก่อนที่จะหัวเราะออกมาอย่างชอบใจสุดๆ ผมยกยิ้มสายให้อย่างเช่นเคย...ก็แน่ละ จะไม่ให้ดีใจได้ยังไง ในเมื่อเอกสารตรงหน้าเป็นเอกสารขายหุ้นให้กับบดินทร์ด้วยราคาถูกแสนถูกแล้วก็ยังถูกต้องตามกฏหมาย! ไม่ใช่เพียงแค่หุ้นในบริษัทฯ มันยังรวมถึงที่ดินและบ้าน ถ้าจะพูดกันง่ายๆ ก็คือ...
ผู้ชายคนนั้นหมดตัวแน่ๆ
“แต่ถ้าทำแบบนี้มันก็ฟ้องร้องได้” บดินทร์พูด
“นั่นสิ” เอเดนพูด
“อยากรู้จริงๆ ว่าไอ้พจน์มันจะทำหน้ายังไง”
“พรุ่งนี้ก็รู้”
ผมแสยะยิ้มพลางนึกถึงวันพรุ่งนี้...มันคงน่าสนุกไม่น้อยเลย อยากรู้เหมือนกันว่าเขาจะทำยังไงถ้ารู้ว่าตัวเองกำลังจะหมดตัว!
 
หลังจากนั้นผมก็กลับเข้ามาในห้องตัวเอง ห้องที่มีเพียงผมและใครอีกคนที่เดินตามเข้ามาด้วย...ชายหนุ่มในชุดสุดสีดำมันขับผิวขาวๆ ของเขาให้ดูเด่นและหล่อขึ้นมากกว่าเดิม ผมยอมรับว่าเอเดนเป็นคนที่หน้าตาดีคนนึง ไม่สิ...เป็นคนที่หล่อมาก มากจนทำให้ผู้หญิงและผู้ชายหลายๆ คนยอมที่จะพลีกายเข้าแลกเพื่อให้ได้ตัวเขามา
“ฉันไม่ว่าเธอจะทำได้”
เขายืนกอดอกถาม
“ฉันทำได้มากกว่าที่นายคิดเยอะ”
ผมเดินไปนั่งตรงเตียงนุ่มพลางมองสบตาร่างสูงด้วยแววตายั่วยวน เอเดนยิ้มมุมปากแล้วเดินมาตรงหน้าพร้อมกับโน้มตัวเข้ามาใกล้ๆ ลำแขนแกร่งทั้งสองข้างก็ปิดกั้นอิสระของผม
“แล้วอย่างอื่นทำได้หรือเปล่าละ”
“แล้วคิดว่ายังไง” ผมยิ้มถาม
“เธอทำให้ฉันแปลกใจได้เสมอ”
มือของผมถูกจับขึ้นมาทาบกับริมฝีปากร้อนของเอเดน แววตาที่ส่องประกายเต็มไปด้วยความต้องการมองผมเช่นกัน
“คนเรามันก็ต้องมีบ้าง ฉันเจ็บมาเยอะ...แค่แก้แค้นนิดหน่อยๆ จะเป็นไรไป...นายเองก็เหมือนกันเอเดน...ระวังฉันให้ดี ฉันอาจแว้งกัดนายก็ได้นะ”
“ถ้าทำได้ก็ลองดู”
ผมคล้องคอเอเดนเอาไว้พร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้...
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
แต่ยังไม่ทันที่ริมฝีปากของเราทั้งคู่จะชนกันจู่ๆ เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นขัดจังหวะซะก่อน ร่างสูงทำท่าจิจ๊ะในลำคออย่างไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ แล้วดูเหมือนว่าเอเดนจะไม่สนใจเสียงนั้นด้วยเขาค่อยๆ โน้มใบหน้าหล่อเข้ามาเข้าใกล้ผมอีกครั้ง
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“นายครับ ท่านให้ผมมาเรียกเพื่อพานายไปประชุมครับ”
แต่ยังไม่ทันเท่าไหร่เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้งแต่คราวนี้กลับมีเสียงของคนข้างนอกดังขึ้นมาด้วย... เอเดนกำหมัดแน่นพยายามที่จะระงับอารมณ์ตัวเองไม่ให้พลุ่งพล่าน พอเห็นเขาทำท่าทำทางแบบนี้แล้วมันก็ทำให้ผมอดไม่ได้เหมือนกันที่จะจูบลงไปที่แก้มของเขาเบาๆ เพื่อเป็นการปลอบประโลม
“ไปทำงานเถอะ”
“อืม”
ร่างสูงพยักหน้ารับก่อนที่จะยอมละออกจากตัวผมแต่โดยดี ช่วงนี้งานของเขาเยอะมาก...ไหนจะต้องช่วยบดินทร์บริหารกิจการ และไหนที่จะเรื่องของผู้ชายคนนั้นอีก อีกอย่างเอเดนก็ยังอยู่ในช่วงเรียน ถึงจะอยู่ในช่วงปิดเทอมแต่ก็ยังเป็นวัยนักศึกษาธรรมดาๆ แต่ความรับผิดชอบกลับหนักหนากว่าคนอื่นๆ นี่หรือเปล่านะที่เขาเรียกว่าผู้สืบทอด
ผมมองส่งเอเดนออกไปจากห้องตัวเอง ผู้ชายที่เป็นบอดี้การ์ดก็หันมามองผมพร้อมกับโค้งรับเบาๆ แล้วเดินตามหลังเอเดนออกไป...จากนั้นห้องทั้งห้องก็สู่เข้าความเงียบเชียบอีกครั้ง
ให้ตายสิ! ขยะแขยงชะมัด!
ต้องมาแสดงว่ารักเขาขนาดไหน มันช่างน่าอายซะจริงๆ แต่ว่าผมจำเป็นที่จะต้องทำ! ทำเพื่อให้พวกเขาไว้ใจมากที่สุด
ผมมองไปที่เตียงตัวเองที่มีโทรศัพท์วางอยู่ หน้าจอของมันปรากฏรายชื่อคนที่โทรเข้ามา มันทำให้ผมรู้ทันทีเลยว่าใกล้ถึงเวลาแล้วสินะ
อีกเพียงแค่นิดเดียว...
 
วันต่อมาผมก็เข้าไปที่บริษัทใหญ่ของผู้ชายคนนั้น เข้าไปนั่งรอในโต๊ะตำแหน่งของท่านประธานเพื่อเฝ้ารอให้คนๆ นั้นเข้ามา ป่านนี้ก็คงรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับบริษัทฯ ของตัวเอง ถ้าเดาไม่ผิดคงกำลังวิ่งหน้าตั้งเข้ามาแน่ๆ ส่วนลุงบดินทร์กับเอเดนตอนนี้กำลังประชุมสำคัญกับคณะกรรมการบริหารอยู่ในห้องประชุมใหญ่ ที่ผมไม่เข้าไปเพราะผมจะรอคนๆ นั้นให้เข้ามาหาผมต่างหาก
ชักจะอดใจรอไม่ไหวแล้วสิ
อยากเห็นสีหน้าของเขาจัง
คงจะผิดหวังและเสียใจน่าดู แต่ชื่อเถอะ...มันไม่ถึงครึ่งที่ผมต้องเจ็บเพราะเขาหรอกนะ แม้กระทั่งตอนนี้แค่หลับตาลง ผมก็ยังจำได้ถึงแววตาที่มองมามีแต่ความสมเพชและชิงชัง เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดมันจะโทษใครไม่ได้...ต้องโทษตัวเขาเองนั้นแหละ
ปัง!
และแล้วก็เป็นอย่างที่ผมคิด...คนที่ผมกำลังรอคอยเปิดประตูเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นๆ แต่ผมกลับเผยยิ้มกว้างให้เขาแล้วทักทายด้วยน้ำเสียงสดใส
“สวัสดีครับ คุณพ่อ”
“เรย์!”
ผมลุกจากเก้าอี้ผู้บริหารแล้วหันมองเขาชัดๆ
“ครับ?”
“ทำแบบนี้ทำไม! ทำแบบนี้ได้ยังไง!!!”
เสียงสั่นของผู้ชายวัยกลางคนตะคอกใส่ผมด้วยความโมโห ก็แน่ละ...ผมเล่นทำขนาดนี้ถ้าไม่โมโหคงไม่รู้จะว่ายังไงละ
“ผมทำอะไร? ผมก็แค่เอาของๆ เราคืน”
ผมเอียงหน้าตอบ
“ของๆ เรางั้นเหรอ? หึ! สิ่งที่แกทำมันเรียกว่าของๆ เราอย่างนั้นเหรอ! คิดบ้างไหมว่าฉันจะรู้สึกยังไง! บริษัทฯ ที่ทำมากับมือ ทำแบบนี้ได้ยังไง!!!”
“แล้วคุณเคยคิดถึงความรู้สึกของผมบ้างหรือเปล่า” ผมมองหน้าเขา “คุณเคยบ้างไหมตลอดเวลาสิบกว่าปีที่ผมอยู่กับคุณ ผมจะมีความสุขเหมือนลูกรักของคุณบ้างไหม! คุณเมินเฉยผม! คุณทิ้งผม! คุณทรมานผมด้วยความรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น!”
ผมพยายามสกัดกลั้นน้ำตาของตัวเอง พอคิดถึงภาพเก่าๆ คิดถึงอดีต คิดถึงตอนที่เย็นตาย มันก็ทำให้ผมแทบอยากร้องไห้ออกมา แต่สิ่งที่ผมทำได้ในตอนนี้คือสกัดกลั้นมันเอาไว้แล้วแสดงสีหน้ายิ้มเยอะออกมามากกว่า
นี่แหละตัวผมที่จะทำในตอนนี้
“แต่เรื่องนั้นกับเรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกัน! ทำไมต้องเอาบริษัทฯ มาเกี่ยวข้อง! ทำไม! ถ้าคิดจะแก้แค้นทำไมไม่ทำวิธีอื่น!!! เพราะแก! แกทำให้ฉันต้องเสียบริษัทฯ ต้องเสียทุกสิ่งทุกอย่าง!!! เพราะแก!!!”
เขายกมือขึ้นกลางอากาศทำท่าเหมือนจะตบผมเหมือนอย่างที่เคยทำ แววตากร้าวเต็มไปด้วยความโกรธมองผมแบบไม่ลดละ
“เอาสิ...จะตบผมไม่ไม่ใช่เหรอ?”
ผมท้าทายยืนนิ่งๆ ปกติผมก็โดนจนชิน ถ้าจะโดนอีกครั้งมันจะเป็นไรไป
“โธ่เว้ย!”
เขาสบถออกมาพร้อมกับละมือลงไป แต่การกระทำของเขามันไม่ได้ทำให้ผมใจชื้นเลย เขาแค่พยายามปิดกั้นอารมณ์ตัวเอง...ก็เท่านั้น
“ทำไมไม่ทำละ ทำเหมือนอย่างที่คุณเคยทำสิ...ตบผม ตีผม แล้วก็มองผมด้วยแววตารังเกียจ มันเป็นสิ่งที่คุณถนัดไม่ใช่เหรอ? ผมไม่ใช่ลูกรักของคุณ คุณไม่จำเป็นที่จะต้องรู้สึกผิด...ไม่ต้องรู้สึกอะไรเลย”
“...”
“เพราะผมเองก็เลิกรักคุณไปนานแล้วเหมือนกัน” ผมกลืนน้ำลายลงคอแล้วเสหน้าไปมองทางอื่น ผมเองก็ไม่รู้หรอกนะว่าเขาจะทำหน้าแบบไหน แต่มันก็ไม่สำคัญเลย...ไม่สิ ผมไม่อยากรู้ด้วยซ้ำ
ภาพเก่าๆ ที่เขาเคยทำร้ายผมวนเวียนอยู่ในห้วงความคิดเหมือนหนังฉายซ้ำ ไม่มีเลยสักครั้งที่ผมจะหลับตาลงอย่างเป็นสุข ทุกวัน ทุกคืน ผมเห็นแต่น้ำตาตัวเองที่ไหลเปียกหมอน ในวันที่ผมคิดจะตัดสินใจจากเขาไปเป็นวันเดียวกับที่ผมสูญเสียคนสำคัญที่สุดในชีวิต ผู้หญิงที่รักผมยิ่งกว่าใคร เธอเป็นเหมือนแม่ที่คอยอุ้มชูเลี้ยงดูผม เธอเป็นเหมือนพ่อที่คอยปกป้องผมจากทุกคน และเธอเป็นเหมือนเพื่อนที่อยู่กับผมในวันที่ผมเหงาและไม่มีใคร
เย็นเป็นทุกสิ่งทุกอย่างของผม
แต่เขาไม่...เขาไม่เคยทำในสิ่งที่ตัวเองเรียกว่าพ่อ เหอะ! บอกว่า ‘เริ่มต้นกันใหม่’ อย่างนั้นเหรอ? ผมอยากจะหัวเราะออกมาให้ดังๆ อ้อมกอดที่ผมโหยหา ทุกครั้งที่ผมมองหน้าเขามีแต่ความเย็นชา ตอนที่ผมไม่สบายเขาไปอยู่ที่ไหน ตอนที่ผมกลัวเสียงฟ้าผ่าเขาหายไปไหน แล้วตอนที่ผมอยากกอดเขาที่สุด...แต่เขากลับทิ้งผม
ถ้าเขารักผม...สักนิด แค่สักนิดก็ยังดี แค่เขาคิดจะรักผมบ้างคงไม่ต้องให้ผมทนทุกข์ทรมานขนาดนี้หรอก ถ้าเขาคิดจะรักผม...เหมือนอย่างที่เขารักหนึ่ง...ผมคงไม่เจ็บปวดขนาดนี้
“เชิญออกไปได้แล้ว อ้อ รบกวนช่วยพาเมียและลูกของคุณเก็บของออกจากบ้านของผมด้วย ให้เสร็จภายในวันพรุ่งนี้ ผมจะให้คนไปรับ”
แล้วนั่นก็คือสิ่งสุดท้ายที่ผมพูดกับเขา
 
 
“ว่าไงนะ! เรย์นะเหรอ?”
ชายหนุ่มขมวดคิ้วแล้วถามอีกรอบ หลังจากที่ได้ยินข่าวมาว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นฝีมือของ ‘เรย์’
“หนึ่งพูดจริงๆ นะตะวัน เรย์เขา...เรย์เขาทำร้ายหนึ่ง ทำร้ายคุณพ่อ”
ร่างเล็กเอ่ยเสียงแผ่วเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ทำให้เขาเจ็บตัวก็ยิ่งกลัวเรย์ขึ้นมาจับใจ แต่ตอนนี้เขาจะทำอะไรได้ เพราะทุกคนกำลังวุ่นวายกันหมด
“เห็นไหมละตะวัน! เรย์มันเชื่อไม่ได้จริงๆ เหอะ! กลับมาแล้วแสดงเป็นลูกที่ดีอย่างนั้นเหรอ ฉันคนนึงละที่ไม่เชื่อ!” ไคเสริมขึ้น ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโหนัก! คนอะไรก็ไม่รู้ร้ายได้ใจ ต่อให้บอกว่าเจ้าตัวเปลี่ยนใจกลับมาดี คงมีแต่เขาเท่านั้นแหละที่ไม่เชื่อ!
“ตะวัน?”
หนึ่งเอื้อมมือไปจับแขนของตะวันเมื่อเห็นว่าเงียบไปนาน ร่างสูงยิ้มให้กับเพื่อนตรงหน้าพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ ให้
แน่นอน! เขาไม่เชื่อเด็ดขาดว่าเรย์จะเป็นคนทำ แต่ถึงแม้ว่าจะทำจริงๆ เรย์ก็ต้องมีเหตุผลอย่างแน่นอน เขาไม่คิดเชื่อว่าร่างเล็กที่มักแอบร้องไห้เป็นประจำจะทำได้ถึงขนาดนี้ แม้ว่าตะวันจะไม่รู้ว่าเหตุผลนั้นคืออะไร แต่ยังไงซะเขาก็เชื่อมั่นในตัวเรย์
‘นายต้องมีเหตุผลใช่ไหมเรย์’
“แต่ฉันว่า...”
“คิดจะเข้าข้างเรย์อีกแล้วใช่ไหมตะวัน”
ไคพูดขัดขึ้นเมื่อเห็นตะวันกำลังจะเอ่ยปากพูด แค่เห็นสีหน้าของเพื่อนตัวดีเขาก็รู้แล้วว่ากำลังคิดอะไรอยู่ คิดจะเข้าข้างคนที่ทำผิดเหมือนครั้งก่อนตอนที่อยู่โรงพยาบาลอย่างนั้นเหรอ? ยังไงซะครั้งนี้เขาก็ไม่มีทางยอมง่ายๆ แน่ๆ เพราะรู้ๆ กันอยู่ว่าคนทำผิดเป็นใคร!
หนึ่งเม้มปากแน่นมองชายตรงหน้าด้วยความรู้สึกที่อัดแน่น แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป...ร่างเล็กก้มหน้าต่ำมองพื้นด้วยความรู้สึกสับสนพลางกำมือแน่นอย่างไม่รู้ตัว นึกน้อยใจชายตรงหน้าเสียจริงที่ไม่สนใจกันเลย ผิดกับไคที่พยายามปลอบประโลมทุกวิธีทาง แต่ตะวันนี่สิ...ทำแค่เพียงยิ้มให้กับตนเท่านั้น ตะวันจะรู้บ้างไหนนะว่าการที่เขาทำเมินเฉยแบบนี้มันทำให้ใจดวงน้อยเจ็บ...เจ็บมากจริงๆ
 
ตะวันเดินวนไปวนมาอย่างใช้ความคิดหลังจากที่อยู่ตัวคนเดียวแล้ว ใจของชายหนุ่มร้อนรุ่มดั่งไฟเผา อยากจะเข้าไปถามคนที่กำลังเป็นโจทย์ตอนนี้ซะให้รู้แล้วรู้รอด แต่ติดตรงที่ว่าเขาไม่รู้ว่าเรย์อยู่ที่ไหนนี่สิ! แต่ก็ไม่นานนักร่างสูงก็เลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อย ถ้าสถานที่ที่เรย์จะไปอยู่ก็คือบ้านของเอเดน แต่เขาจะเข้าไปยังไงให้เข้าใกล้ตัวเรย์ได้นี่สิปัญหา
“เอาไงดีวะ”
ตะวันสบถกับตัวเองพยายามที่จะคิดหาหนทางที่จะเข้าใกล้เรย์ให้ได้ มันต้องมีสักทางสิน่า! เพราะยังไงเขาก็ไม่มีทางเชื่อ ไม่เชื่อเด็ดขาด!
 

“ฉันเชื่อนายนะเรย์”
 

ออฟไลน์ Take

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน16-25 10/12/15
«ตอบ #177 เมื่อ10-12-2015 18:40:17 »





 
ตอนที่ 20

พจน์เดินออกมาจากบริษัทฯ ของตัวเองด้วยใจหดหู่ สายตาหม่นมองไปยังตึกสูงระฟ้าอย่างคนห่อเหี่ยว ต่อไปนี้จะไม่มีอีกแล้ว...เขาไม่ใช่ผู้บริหารของที่นี่อีกแล้ว ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วไปหมด เพียงแค่ข้ามคืนของๆ เขาก็ตกไปอยู่ในเงื้อมมือของคนอื่นอย่างง่ายดาย โดยคนที่ทำนั้นเป็นลูกชายของตัวเอง!...ทันทีที่รู้ข่าวจากทนายเขาก็รีบเข้ามาในบริษัทฯ แต่พอมาถึงก็เจอกับศัตรูทางธุรกิจและพวกคณะกรรมการบริหารกำลังนั่งประชุมอยู่ภายในห้องประชุม
ในคราวแรกพจน์ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่พอเห็นเอกสารซื้อขายหุ้นรวมทั้งทรัพย์สินทั้งหมดของบริษัทฯ เลยทำให้รู้ตัวว่าเขาถูกบดินทร์เล่นงานเข้าให้แล้ว พจน์คัดค้านสุดตัวว่ามันเป็นของปลอม เขาไม่มีทางยกของๆ เขาให้คนอื่นง่ายๆ
แต่พจน์ทำอะไรไม่ได้เลย...คนพวกนั้นที่เคยอยู่ร่วมงานและเคยอยู่เคียงข้างเขากลับปลีกตัวไปอยู่กับบดินทร์! มันทำให้พจน์ไม่เหลือใคร...ไม่เหลือแม้แต่กำลังที่จะต่อสู้ เพราะทุกสิ่งที่เขามีถูกเอาไปจนหมดตัว
“คุณคะ!”
นันปรี่เข้าหาผู้เป็นสามีด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนก เธอรอฟังข่าวอยู่ที่บ้านด้วยใจไม่สู้ดีนัก รู้สึกหวั่นๆ เสียจริงเมื่อเห็นหน้าสามีของเธอ
“คุณพ่อ!”
หนึ่งเองก็เช่นกัน
ไร้คำตอบจากคนตอบ มีแต่เพียงความเงียบงัน พจน์ในตอนนี้ไม่อยากพูดอะไรออกมาทั้งนั้น มันรู้สึกจุกในอกจนแน่นไปหมด ชายวัยกลางคนเดินไปนั่งตรงโซฟาตัวที่นั่งเป็นประจำอย่างคนหมดแรง เขาในตอนนี้แทบไม่เหลืออะไรอีกแล้ว เงินทองและทรัพย์สมบัติก็ถูกริบไปหมด
“คุณพจน์ ว่ายังไงคะ! คุณอย่าเอาแต่เงียบสิ เรื่องบริษัทฯ เป็นยังไงบ้าง คุณพจน์...คุณพจน์!”
นันไม่พูดเปล่าแต่กลับไปนั่งข้างสามีของเธอพลางเขย่าแขนไปมาเพื่อเร่งรัดเอาคำตอบ
“คุณพจน์!”
“เงียบสักทีได้ไหมนัน!”
แต่จนแล้วจนรอดพจน์ก็ทนไม่ไหวพลั้งเผลอขึ้นเสียงใส่หญิงคนรัก
“คุณพ่อ”
หนึ่งมองบิดาตนอย่างไม่น่าเชื่อหูตัวเอง เพราะตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกันมาไม่เคยมีสักครั้งที่พจน์จะตะคอกหรือขึ้นเสียงใส่
“ขอโทษ”
พจน์พยายามทำใจเย็นแล้วมองไปที่ภรรยาและลูกชายอีกครั้ง เหมือนมีบางอย่างจุกในลำคอจนทำให้กลืนไม่เข้าคายไม่ออก จะเริ่มพูดยังไงดี จะทำยังไงดี จากที่เคยอยู่สุขสบาย จากที่ไม่มีเรื่องต้องทุกข์ร้อนและมีเงินมีทองใช้ แต่ดูตอนนี้สิ...พจน์ไม่เหลืออะไรเลย แม้กระทั่งบ้านที่จะซุกหัวนอนก็ยังไม่มีเลย
“คุณนัน หนึ่ง...” พจน์กลืนน้ำลายลงคอ “เรา...ต้องเก็บของ”
นันและหนึ่งขมวดคิ้วด้วยความงุนงง...ไม่เข้าใจว่าสิ่งที่พจน์พูดหมายความว่าอะไรกันแน่?
“เก็บของ? เก็บของทำไมคะคุณพจน์”
“นั่นสิครับคุณพ่อ”
ชายสูงวัยมองหน้าลูกเมียทั้งสองอีกครั้ง มือหนาพลางเอื้อมมือไปลูบหัวลูกชายตัวเองเบาๆ ถึงไม่อยากยอมรับแต่เขาจำเป็นที่จะต้องทำ! ทั้งหมดมันเป็นเพราะเขาผิดเอง...เป็นคนผิดตั้งแต่แรก ถ้าเขาใส่ใจเรย์สักนิดคงไม่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
“พวกเรา...หมดตัวแล้วคุณนัน”
!!!
“ว่าอะไรนะคะ! หมดตัว? คุณหมายความว่ายังไง”
นันถามอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ จู่ๆ ก็มาบอกว่าหมดตัวอย่างนั้นเหรอ? มันจะเป็นไปได้ยังไง! พจน์ต้องโกหก ต้องโกหกแน่ๆ!!!
“คุณพ่อล้อเล่นใช่ไหมครับ”
หนึ่งถามอีกคนแต่สิ่งที่ได้มากลับเป็นการส่ายหน้าปฏิเสธของผู้เป็นพ่อ พร้อมทั้งสีหน้าที่แสดงถึงความเจ็บปวดและสิ้นหวัง ทำให้คนตัวเล็กรู้เลยว่าพจน์พูดความจริง
เพียงไม่นานนักเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นก็ค่อยๆ ออกมาจากริมฝีปากหนาคู่นั้นทีละเรื่องๆ ทั้งหนึ่งและนันต่างก็ตั้งใจฟัง แต่สิ่งที่พจน์เอ่ยออกมานั้นมันกลับทำให้ลมแทบจับ นันแทบอยากจะเป็นลมล้มทั้งยืนด้วยซ้ำ ส่วนหนึ่งเองก็เช่นกัน ถึงแม้จะตกใจแต่ก็พยายามครองสติให้อยู่ ร่างบางส่ายหน้าช้าๆ อย่างคนไม่เชื่อหูตัวเอง...
มันจะเป็นไปได้ยังไง!
ไม่! ต้องไม่ใช่แบบนี้!
“ไปเก็บของซะ พวกเราจะไปจากที่นี่กัน”
พจน์เอ่ยพลางไม่กล้าสบตาลูกและเมียตัวเอง
“ไม่ไป! ฉันไม่ไป!!! ที่นี่เป็นบ้านของคุณ มันเป็นบ้านของฉันกับคุณ! ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น!!!”
เสียงแข็งกร้าวบอกแก่ผู้เป็นสามีอย่างคนไม่ยอม ที่นี่เป็นบ้านของเธอ! ไม่สิ...ถึงจะเป็นบ้านของพจน์แต่เธอที่เป็นภรรยาก็เปรียบเสมือนเจ้าของบ้านเหมือนกัน จะให้เธอออกไปอยู่ที่อื่นอย่างนั้นหรือ? ยังไงซะก็ไม่มีวันยอมเด็ดขาด!
“คุณแม่”
“เพื่อนของคุณก็มีไม่ใช่เหรอ! โทรไปสิ! โทรไปขอร้องเพื่อนของคุณให้ช่วย! เดี๋ยวนะ...เพื่อนของฉันก็มี เพื่อนๆ ที่เป็นนักธุรกิจของฉันก็เยอะ ฉันจะลองโทรไปให้พวกเขามาช่วย”
นันเลิกลักคว้าไปที่โทรศัพท์ของตัวเองแล้วกดโทรออกไปยังปลายสาย หัวใจของเธอเต้นระรัวจนแทบกระเด้งออกมานอกอกเพื่อรอลุ้นให้อีกคนกดรับสายของเธอ
“ฮัลโหล คุณอ้อยเหรอคะ...นี่ฉัน...”
ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด
แต่ยังไม่ทันที่นันจะเอ่ยคำออกไป ปลายสายก็ถูกตัดทิ้งเสียก่อน ใบหน้าสวยหรี่ตามองไปที่หน้าจอตัวเองเล็กน้อยก่อนที่จะตัดสินใจโทรไปอีกครั้ง แต่มันก็เหมือนเดิม
ไม่มีเสียงตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก
“ฮึ๊ย! คนอื่นก็ได้!” กดไปที่อีกเบอร์ “ฮัลโหล คุณกาญเหรอคะ”
ตู๊ด ตู๊ด ตู๊ด
แต่ผลตอบรับก็เหมือนเดิม
มือบางกำโทรศัพท์แน่นพยายามโทรหาเพื่อนๆ ของเธออีกหลายๆ คน แต่ผลตอบรับก็ไม่ได้ต่างอะไรกับสองคราแรก...สายถูกตัดและไม่มีการรับสายแต่อย่างใด
“กรี๊ดด!!! ไอ้พวกบ้า!”
นันกรีดร้องอย่างโมโหเมื่อมันไม่เป็นดั่งใจนึก
“พอเถอะคุณนัน”
พจน์ห้าม เขามองภรรยาตัวเองด้วยความอดสู สิ่งที่นันทำมันทำให้เขาคิดว่าช่างไร้ศักดิ์ศรีจริงๆ ที่เที่ยวร่ำร้องขอความช่วยเหลือจากคนอื่นๆ ทั้งๆ ที่ไม่มีใครจะยื่นมือเข้ามาช่วยอยู่แล้ว แต่พจน์เข้าใจนันดีว่ารู้สึกยังไง เพราะเขาเองก็ไม่ได้ต่างอะไรจากนันเหมือนกัน แต่เพราะเขาเป็นหัวหน้าครอบครัว ไม่สามารถที่จะอ่อนแอได้เลยต้องพยายามทำตัวเองให้เข้มแข็ง ทั้งที่ใจจริงแล้วอยากร้องไห้แทบเป็นแทบตาย
“ไม่! ฉันไม่ยอม! ฮือ ฮือ”
หัวใจของนันแทบแหลกสลาย เธอร้องไห้ออกมาอย่างนึกอดสู... ไม่เคยนึกเลยว่าจะมีวันนี้จริงๆ วันที่เธอต้องกลับไปยากจนอีกครั้ง ริมฝีปากสีแดงฉานร่ำร้องด้วยความเจ็บปวดพลางนึกถึงอดีตที่อยากจะลืม ทั้งๆ ที่เธอพยายามมาจนได้ขนาดนี้มีหรือที่จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม
 .
.
.

[เรย์]
ภายในห้องที่ประดับประดาไปด้วยเฟอร์นิเจอร์หรู ถึงมันจะเรียบง่านแต่สไตล์การตกแต่งกลับสวยงามและเพอร์เฟ็กสมกับเป็นผู้ใช้จริงๆ ใบหน้าสวยของคนที่ผมมาพบกำลังคลี่ยิ้มหวานมาให้จนทำเอาผมอดที่จะยิ้มตามด้วยไม่ได้ ผมมาพบ ‘เธอ’ หลังจากที่จัดการทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย แต่มันไม่ใช่การแค่พบกันธรรมดาๆ เท่านั้น แต่มันเป็นการแอบมาพบ แม้กระทั่งเอเดนก็ไม่รู้เรื่องนี้
“มีใครตามหรือเปล่า”
‘เธอ’ ถามผมด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ไม่มีครับ...วางใจได้”
“อืม...แล้ว อีกนานแค่ไหน”
“อีกไม่นานครับ”
ผมยิ้มตอบ...แต่ดูจากสีหน้าของเธอแล้วท่าจะไม่พอใจสักเท่าไหร่ที่ผมยังคงดื้อดึง แต่ผมหยุดตอนนี้ไม่ได้จริงๆ มันสายเกินไปแล้ว...
“เฮ้อ”
“ผมไม่เป็นไรหรอก”
ผมเข้าไปโอบกอด ‘เธอ’ เอาไว้แน่น เพื่อเป็นคำมั่นว่าผมจะจบงานนี้ให้เร็วที่สุด...เธอกอดผมไว้แน่นด้วยความเป็นห่วงและเติมเต็มไปด้วยความรัก อ้อมกอดที่แสนอบอุ่น อ้อมกอดที่ผมไม่เคยมี
“อย่าประมาทนะเรย์ งานนี้มันเสี่ยง”
“ครับ ผมรู้”
ผมรู้ว่าควรจะจัดการงานนี้ยังไง...ผมรู้ว่าจะต้องทำยังไง เหลืออีกเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น...เรื่องทุกอย่างก็จะจบลง
“ถอนตัวเถอะนะ ตอนนี้มันยังไม่สาย”
เธอทำเสียงร้องขอ พลางมองหน้าผมด้วยแววตาเว้าวอน ผมไม่อยากให้เธอต้องเสียใจเลย แต่ผมหันหลังกลับไปไม่ได้จริงๆ แล้วดูเหมือนว่าเธอจะรู้คำตอบดีอยู่แล้วก็เลยได้แต่ถอนหายใจอีกรอบในความดื้อดึงของผม
“ผมสัญญา จบงานนี้เมื่อไหร่ ผมจะไปจากที่นี่ ช่วยรออีกนิดนะครับ”
ผมกอดเธอไว้แน่นพลางหลับตาลงช้าๆ ต้องจัดการงานนี้ให้เร็วที่สุด...
 
“หายไปไหนมา”
น้ำเสียงทุ้มเอ่ยถามผมทันทีที่ผมกลับมาที่บ้านของเอเดน...ใบหน้าของเขาดูท่าว่าจะไม่ชอบใจเท่าไหร่ที่ผมไปไหนมาไหนโดยที่ไม่ได้บอกเขา เพราะปกติตั้งแต่มาอยู่ด้วยกันเอเดนก็ให้คนคอยตามผมตลอด แทบไม่ปล่อยให้ผมคลาดสายตาเลย
“ไปเดินเล่น”
ผมสบตาตอบ
“แล้วทำไมถึงไม่บอกกู! มึงรู้ไหมกูเป็นห่วงมึงขนาดไหน ห่ะ!”
อีกแล้ว...ถ้าเขาโมโหเมื่อไหร่ เขาจะขึ้นมึงขึ้นกูกับผมทันที แต่ถ้าเป็นอารมณ์ปกติจะเรียก ‘ฉัน’ และ ‘นาย’
เอเดนปรี่เข้ามาจับแขนผมแน่นจนรู้สึกเจ็บ
“ขอโทษ...แต่อย่าโกรธเลยนะ” ผมเอื้อมไปจับมือหนา
“...”
“ที่ไม่บอกเพราะว่าเห็นเอเดนกำลังประชุมงานอยู่ เลยไม่อยากกวน”
แต่ดูท่าว่าเอเดนจะไม่ยอม แรงที่มีมากกว่าของเขามันทำให้ผมเจ็บจนผมต้องเบ้หน้าด้วยความเจ็บเล็กๆ ก่อนที่จะจับไปที่ใบหน้าหล่อแล้วเอื้อมไปจูบเบาๆ ที่แก้ม
จุ๊ฟ
“หายโกรธนะเอเดน”
ผมก้มหน้าต่ำมองพื้นด้วยความเขินอาย ให้ตายเถอะ! การที่ต้องมาง้อผู้ชายร่างสูงๆ เหมือนกับผู้หญิงแบบนี้แล้วอายชะมัด!
“นายก็รู้ว่าพ่อฉันยังไม่ไว้ใจนาย คราวหลังอย่าทำแบบนี้อีกนะ”
เอเดนกอดผม มือหนาก็ลูบผมของผมเบาๆ
“อืม”
อย่างที่เอเดนพูด...ผมรู้ว่าลุงบดินทร์ยังไม่ไว้ใจผม เขาไม่วางใจที่ผมยังอยู่ในบ้านเขา ถึงได้ให้ผมหมั่นกับเอเดนเพื่อกันไว้ก่อน ถึงเขาจะพอใจกับผลงานของผมที่ทำให้ได้ทรัพย์สมบัติของผู้ชายคนนั้น แต่เหตุผลที่ลุงบดินทร์ยังไม่ไว้ใจผมเต็มร้อยก็คงจะเป็นเพราะผมเป็นลูกของผู้ชายคนนั้น คงกลัวว่าผมจะแว้งกัดเอาได้ง่ายๆ เขาก็เลยมักจะส่งคนคอยตามผมตลอด
“นายเป็นของฉันนะเรย์”
“ฉันรู้”
ผมตอบเขาเสียงเบา...กี่ครั้งแล้วนะที่เอเดนพูดคำนี้กับผม เขามักบอกกับผมเสมอว่าผมเป็นของเขา...แล้วมันก็อาจจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็ได้
 
วันต่อมา
ผมพาลูกน้องอีกหลายๆ คนไปที่บ้าน ‘อธิพัฒน์เดชากร’ บ้านที่ผมเคยอาศัยอยู่ตั้งแต่เล็กจนโต ป่านนี้แล้วคนพวกนั้นก็คงจัดการเก็บของเรียบร้อยแล้วสินะ หึ อยากเห็นหน้าคนพวกนั้นจริงๆ ว่าจะทำหน้ายังไง คงกำลังรอต้อนรับเจ้าของบ้านคนใหม่อย่างผมอยู่ละมั้ง
“ถึงแล้วครับคุณเรย์”
คนขับรถหันมาบอกกับผมก่อนที่จะวิ่งลงมาจากรถเพื่อเปิดประตูให้ มันน่าขำดีนะ...เมื่อไม่กี่วันก่อนผมยังมาอยู่ที่นี่อยู่เลย แต่มาวันนี้กลับกลายมาเป็นเจ้าของบ้านซะเอง
ผมเดินเข้าไปด้านในบ้านที่เงียบเชียว มันเงียบมากกว่าที่ผมคิด เหมือนราวกับว่าไม่มีใครอยู่บ้าน...แต่จริงๆ พอเดินเข้าไปข้างในมันกลับไม่ใช่อย่างที่ผมคิด ทุกคนที่ผมคุ้นตายังนั่งอยู่ตรงโซฟา โดยที่มีผู้หญิงที่ผมเกลียดที่สุดนั่งหน้าเชิดไม่ยอมแม้กระทั่งหันมามองผม ส่วนหนึ่งและผู้ชายคนนั้นก็นั่งอยู่ข้างๆ โดยที่ยังมีคนรับใช้นั่งด้วย
หึ ทำท่าเหมือนนางพญา
“ออกไปจากบ้านหลังนี้ซะ ผมเอาคนมารับพวกคุณแล้ว”
ผมยืนกอดอกมองการกระทำของคนพวกนั้น อยากรู้เสียจริงๆ ว่าจะทำยังไงต่อไป...พวกคนรับใช้ก็ยังไม่ยอมขยับ ยังคงก้มหน้านิ่ง
คงได้รับคำสั่งมาจากคนเป็นนายมาสินะ
“ผมบอกให้ออกไป!”
“ฉันไม่ออก!”
แต่ยังไม่ทันที่ผมจะพูดอะไร ผู้หญิงคนนั้นก็หันมาบอกกับผมด้วยแววตาแข็งกร้าว เธอมองผมราวกับว่าจะกินเลือดกินเนื้อ สายตาของเธอมีแต่ความเกลียดชัง ไม่เหมือนกับผู้หญิงที่ผมอยู่ด้วยมาเป็นสิบๆ ปีเลย เพราะถ้าเป็นเมื่อก่อนเธอคงไม่มีทางทำเสียงและสีหน้าแบบนี้ใส่ผมแน่ๆ แต่ก็อย่างว่า...นี่แหละมนุษย์ พอศูนย์สิ้นทุกอย่างไปก็เริ่มแสดงตัวตนจริงๆ ออกมา
“คุณแม่” หนึ่งครางเรียกชื่อเสียงสั่นๆ ก่อนจะหันมาสบตากับผม “เรย์...อย่าทำแบบนี้เลยนะ หนึ่งขอร้อง”
“ไม่ต้องไปพูดดีกับมัน หนึ่ง!” เธอรีบสวนทันที “ยังไงซะ พวกฉันก็ไม่ออกไปจากบ้านหลังนี้! แกนั่นแหละที่ต้องออกไป ไอ้ลูกเนรคุณ!”
คำกล่าวหาถูกสาดซัดใส่ผม...ตายจริง นี่ผมกลายเป็นลูกเนรคุณไปแล้วเหรอเนี่ย มันก็คงจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็ได้...ทำร้ายผู้บังเกิดเกล้าได้ลงคอ ยึดทรัพย์แล้วไล่ออกจากบ้านอีก รู้ถึงไหนคงถูกประณามแน่ๆ แต่แล้วยังไง? ผมไม่แคร์หรอก...แค่มีเงินก็จัดการได้ทุกอย่าง จะสร้างเรื่องจริงเป็นเรื่องเท็จ หรือ เรื่องเท็จเป็นเรื่องจริงยังไงก็ได้ แค่ใส่สีตีไข่สักหน่อยแค่นี้ก็ไม่ต้องกลัวแล้ว...แค่บีบน้ำตาแล้วก็ร้องขอความเห็นใจจากสังคม ขี้คร้านจะมีแต่คนสงสารผมซะมากกว่า
“ไม่เอาน่า...คุณแม่ ออกไปดีๆ ซะเถอะ อย่าให้ผมต้องใช้กำลัง”
ผมเอ่ยเรียก ‘คุณแม่’ ด้วยสายตายียวน
“ฉันไม่ออก! แกทำพ่อแกอย่างนี้ได้ยังไง ห่ะ! แกทำแบบนี้ได้ยังไง! เขาเป็นคนเลี้ยงดูแกมานะ แกจะไล่คุณพจน์และพวกฉันออกจากบ้านไม่ได้!!!” เธอยืนขึ้นประจันหน้ากับผมแล้วชี้มือใส่
“โหว ผมจำเป็นที่จะต้องขอบคุณพวกคุณสินะที่เลี้ยงดูผมเป็นอย่างดี? แต่ผมไม่ยักจะจำได้เลย คุณไม่เคยรักผมเหมือนลูกแท้ๆ อยู่แล้วนี่นา ส่วนคนพวกนี้ก็เหมือนกันเป็นคนใช้แต่ดันมานินทาเจ้านาย อย่างนี้สมควรเอาไว้ที่ไหน ส่วนพ่อเหรอ? ผมไม่เห็นเคยรู้จัก...เพราะเท่าที่จำได้พ่อของผมได้ตาย! ไปแล้ว”
เป็นไงละ...ผมพูดเรียงคนเลย...ใครทำอะไรกับผมไว้บ้างผมจำได้หมด พากันพูดไม่ออกเลย...พวกที่เป็นคนรับใช้ของผู้หญิงคนนั้นก็ได้แต่ก้มหน้า ไม่กล้ามองสบตากับผมเหมือนเดิม...
"ไอ้!"
“พอได้แล้วคุณนัน!”
หลังจากที่เงียบมานานเขาก็พูดขึ้น
“ฮึก คุณแม่...”
ผมหันไปมองหนึ่งที่ตอนนี้น้ำตาคลอเบ้า คอยจับแม่ตัวเองเอาไว้พลางมองไปที่ขา ดูเหมือนว่าอาการบาดเจ็บจะเริ่มดีขึ้นบ้างแล้ว แต่น่าเสียดายเล็กๆ ผมน่าจะทำจนกว่าจะนั่งรถเข็นนะเนี่ย
“ไปเก็บของแล้วออกไปจากบ้านหลังนี้ซะ พวกเรา...ต้องไปอยู่ที่อื่นกันแล้ว”
เขาลุกขึ้นสบตากับผม...มันเป็นสายตาที่เย็นเฉียบ สายตาที่แน่นิ่งและไร้ความรัก เหมือนอย่างแต่ก่อน...ไม่สิ จะเรียกได้ว่าเป็นสายตาที่แสดงถึง...ความเฉยเมย
“จัดการซะ พาคนพวกนี้ออกไปจากบ้านหลังนี้ให้หมด”
“ครับ”
ผมสั่งลูกน้องที่อยู่ทางด้านหลังแล้วพาตัวเองเชิดหน้าทำเหมือนไม่ใส่ใจ ใช่! ทั้งๆ ที่มันต้องเป็นแบบนั้นแต่ทำไมผมถึงได้รู้สึกเจ็บปวดแบบนี้นะ ทำไมผมจะต้องสนใจแววตาของเขาด้วย ผมไม่ได้เจ็บ...ไม่ได้รู้สึกอะไรสักนิด
จุดเริ่มต้นของผม...เริ่มมาจากตรงไหนกันแน่นะ ตอนไหนกันที่ผมต้องกลายเป็นคนแบบนี้...ทรยศครอบครัว สมรู้ร่วมคิดกับศตรูของครอบครัวตัวเอง แต่มันก็ดีแล้วนี่...สาสมกับที่พวกเขาทำกับผม แต่แค่นี้ยังไม่พอหรอก พวกเขายังต้องชดใช้มากกว่านี้อีก
‘ไอ้ลูกเนรคุณ!’
นี่แหละ...ตัวผม
 


ออฟไลน์ Take

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน16-25 10/12/15
«ตอบ #178 เมื่อ10-12-2015 18:41:47 »




 

 
ตอนที่ 21

“จัดการซะ อย่าให้พลาด”
“ครับ”
บดินทร์เอ่ยสั่งลูกน้องที่อยู่ทางด้านหลัง รอยยิ้มเหี้ยมฉายชัดบนใบหน้า ถึงจะได้ทุกอย่างอย่างที่ต้องการแล้วก็ตาม แต่แค่นี้มันยังไม่พอหรอก ทุกอย่างมันต้องเป็นของๆ เขาแล้วก็ต้องไร้เสี้ยนหนาม! ทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มันต้องถูกกำจัด แม้กระทั่ง...เรย์!
แต่เรื่องนี้เอเดนจะรู้ไม่ได้เพราะเขารู้ว่าตอนนี้เอเดนกำลังหลงเรย์ขนาดไหน ถึงกับออกโรงปกป้องและให้คนคอยคุมทุกฝีก้าว แต่สำหรับเขาแล้วเรื่อง ‘ความรัก’ มันเป็นเพียงแค่เรื่องตลกที่ไม่น่าพิสมัย แต่ถ้าเอามาเป็นเมียบำเรอฆ่าเวลาเล่นๆ ก็ไม่เท่าไหร่ เรย์เองก็เหมือนกัน...แต่ถึงยังไงซะเรย์ก็เป็นลูกของศัตรู ถึงเจ้าตัวจะไม่เคยทำอะไรให้แต่บดินทร์ก็ยังอยากตัดไฟแต่ต้นลม เรย์เปรียบเสมือนงูพิษขนาดทรยศพ่อแม่ของตัวเองได้ แล้วเขาเป็นใคร? บดินทร์ก็เป็นเพียงแค่คนนอก... งูพิษตัวนั้นอาจแว้งกลับมาได้เหมือนกัน!
“แต่ท่านครับ คุณเอเดน”
“อย่าให้เอเดนรู้”
“ครับ”
ชายหนุ่มโค้งรับคำสั่งกับผู้เป็นนายอีกครั้งก่อนที่จะเดินออกไปจากห้อง เหลือแต่เพียงรอยยิ้มร้ายของบดินทร์ที่ยังคงฉายชัดเท่านั้น
เพียงแค่กำจัดคนหนึ่งคนมันคงไม่ยากเท่าไหร่สำหรับบดินทร์ ผู้ชายที่มีอำนาจ ทั้งเงิน ทองบารมี แค่เรื่องจัดฉากมันง่ายเพียงนิดเดียว
อย่าโทษกันเลยก็แล้วกัน!
 
พจน์มองบ้านที่อยู่ใหม่ของตัวเองอย่างไม่น่าเชื่อสายตาตัวเอง...นี่เหรอที่สถานที่ที่เขาและครอบครัวจะมาอยู่ มันไม่ได้ต่างอะไรกับพวกคนสลัมเลยด้วยซ้ำ บ้านไม้ผุๆ เก่าๆ ไม่มีแม้กระทั่งเครื่องอำนวยความสะดวกสักชิ้น
“อะไร! นี่พวกฉันต้องมาอยู่ที่นี่เหรอ”
นันตวาดกับชายหนุ่มสวมแว่นดำตรงหน้า
“ครับ มันเป็นคำสั่งของคุณเรย์”
ร่างสูงตอบด้วยน้ำเสียงแน่นิ่ง
“ฉันไม่อยู่! ฉันไม่อยู่สถานที่สกปรกแบบนี้หรอก! ฉันจะไปอยู่ที่อื่น!!!”
หมดแล้วซึ่งความอดทน นันทนรับสิ่งพวกนี้ไม่ไหวจริงๆ ถ้าต้องมาอยู่ในที่ที่แบบนี้แล้วละก็สู้เธอตายๆ ไปซะยังดีกว่า
หนึ่งเองก็เช่นกัน มองบ้านหลังใหม่ตัวเองอย่างไม่น่าเชื่อ จากคุณหนูที่สุขสบายต้องมาอยู่ในบ้านโกโรโกโสแบบนี้เหรอ? มันเปลี่ยนแปลงเร็วเกินไปจนหนึ่งรับมือไม่ทัน ถึงอยากจะท้วงแต่หนึ่งก็ทำได้แค่ทน เพราะตอนนี้เรย์มีทั้งเงินและอำนาจ จนหนึ่งไม่สามารถไปต่อกรได้
“ถ้าพวกคุณมีเงินมากพอ ก็เชิญครับ ผมขอตัว”
ชายหนุ่มเอ่ยอีกครั้งก่อนที่จะเดินออกไป
พจน์ทรุดนั่งลงอย่างคนหมดแรง กลิ่นเหม็นอับของไม้และฝุ่น บ่งบอกได้เลยว่าที่นี่ยังไม่ได้ทำความสะอาด นี่เขาตกอับขนาดนี้ภายในชั่วข้ามคืน มาดเจ้าของบริษัทฯ ผู้ยิ่งใหญ่ บัดนี้เหลือแต่ตาแก่ที่ไม่มีใคร ไม่มีคนรับใช้
“คุณพ่อ...”
หนึ่งเอ่ยเรียกเสียงเบาหวิว
“เอาของเข้าไปเก็บเถอะหนึ่ง”
พจน์คลี่ยิ้มบางให้กับลูกชายตน ถึงยังไงซะเขาก็ยังเป็นหัวหน้าครอบครัว ยังคงต้องดูแลปกป้องต่อให้เหนื่อยเจียนตายหรือเจ็บจนแทบขาดใจ แต่จะล้มไม่ได้เด็ดขาด!
หนึ่งมองไปรอบๆ ห้องของตัวเอง ที่นี่มีแต่เพียงแค่ตู้เสื้อผ้ากับเตียงนอนเท่านั้น ไม่มีเฟอร์นิเจอร์สวยๆ หรือการตกแต่งแบบหรูอย่างที่ตัวเองเคยอยู่ ถ้าจะให้อยู่แบบนี้ตลอดไปนะเหรอ? เขาเองก็คงทนไม่ได้เหมือนกัน แต่ขาก็ยังเจ็บ ร่างกายก็ยังระบมอยู่ เขาจะทำอะไรได้มากกว่านี้ก็ไม่ได้นอกเหนือเสียจากหาคนช่วย แล้วคนแรกที่หนึ่งนึกถึงก็คือตะวัน... ทำไมนะ ตะวันหายไปไหน เสียงออกจะดังขนาดนี้แต่ทำไมตะวันถึงไม่มาช่วย ยิ่งนึกมันก็ยิ่งน้อยใจ แต่หนึ่งก็เลือกที่จะหยิบโทรศัพท์แล้วโทรไปหาคนที่คิดถึงที่สุด แต่ไม่นานนักดวงตาสดใสก็แปรเปลี่ยนเป็นหม่นหมองลงเมื่อปลายสายไร้เสียงตอบรับจากหมายเลขที่เรียก
ในเมื่อหนึ่งคนโทรไม่ติด หนึ่งจึงตัดสินใจที่จะโทรไปยังอีกสาย อย่างน้อยหนึ่งก็รู้แน่นอนว่ายังไงซะไคก็ไม่ทิ้งเขาเด็ดขาด แล้วไคจะต้องหาทางมาช่วยแน่ๆ ถ้าจะให้ทนอยู่ในสภาพแบบนี้นานๆ หนึ่งเองก็คงจะทนไม่ไหวเหมือนกัน!
ต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง
 .
.
.
.
[เรย์]
ผมเอนหลังพิงเบาะรถด้วยความอ่อนล้า พลางหลับตาลงด้วยความเหนื่อยอ่อนนิดๆ วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผมรู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยเหลือเกิน หลังจากนี้ต้องทำอะไรอีกนะ...ผมจะต้องทำอะไรอีก ยังมีเรื่องอีกมากมายที่ผมยังไม่ได้ทำ แต่ว่าทำไมผมอยากรู้สึกพักจังเลย...มันเหนื่อยเกินไป เหนื่อยมากจริงๆ รู้สึกว่าตัวเองอยากหยุดพักเหมือนกัน แต่ผมยังคงพักตอนนี้ไม่ได้
“คุณเรย์ครับ”
เสียงคนขับรถเรียกชื่อผม
“ฉันไม่เป็นไร ขับรถต่อไปเถอะ”
“ครับ”
เสียงขับเคลื่อนรถยนต์แล่นบนท้องถนนแต่ผมก็ยังคงหลับตาอยู่...ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนที่ผมไม่สบายใจผมคงไปยังที่ที่นึง ไปหาคนที่มีแต่คนรักผม เสียงเด็กเล็กๆ ที่ต่างก็เรียกชื่อผมด้วยความรักใคร่ รอยยิ้มของทุกคนมันทำให้ผม...คิดถึง
ผมคิดถึงหนูนา
ผมคิดถึงเด็กๆ นี่นั่น
แต่ผมยังกลับไปตอนนี้ไม่ได้ เพราะถ้าเป็นแบบนั้นแล้ว...ทุกคนจะ...
“เดี๋ยว”
ผมลืมตาขึ้นแล้วบอกให้รถหยุด
“ครับ”
“ขับรถไปที่...”
“ครับ”
คนขับรถของผมพยักหน้ารับคำก่อนที่จะเปลี่ยนเส้นทางไปอีกทาง เส้นทางที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี ผมเบนสายตามองไปตามถนนที่เต็มไปด้วยผู้คนคับคั่ง ป่านนี้แล้วความรู้สึกของผมก็ยังไม่ดีขึ้นเลยสักนิด มันมีแต่จะแย่ลงด้วยซ้ำไป ถ้าเป็นไปได้ก็อยากกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน ตอนที่ผมยังไม่มีอำนาจ เงิน...ที่มี มันไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกมีความสุขสักนิดเดียว
แล้วความสุขของผมคืออะไร
ผมสั่งให้คนของผมขับรถแล่นผ่านบริเวณหน้าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ถึงจะเป็นแค่เพียงชั่วแวบเดียวผมก็รู้สึกอิ่มเอมอย่างบอกไม่ถูก เด็กทุกคนในนั้นกำลังวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน เรย์กำลังคิดถึง...คิดถึงช่วงเวลาเก่าๆ อยากกลับไปอยู่ตรงนั้นเหลือเกินแต่เรย์ในตอนนี้ไม่สามารถที่จะกลับไปทำแบบเดิมได้จริงๆ
“กลับมาแล้วเหรอหนูเรย์”
ทันทีที่กลับมาถึงบ้านลุงบดินทร์ที่นั่งอยู่กลางห้องก็เอ่ยทักด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“ครับ คุณลุง”
“ทำไมเรียกคุณลุงละ เราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ”
เขามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า มันน่าดีใจนะที่เขาพูดแบบนี้ออกมา แต่สำหรับผมดูๆ แล้วมัน...ออกจะน่าสงสัยด้วยซ้ำไป
“ครับ แต่ผมถนัดเรียกแบบนี้มากกว่า”
ผมยิ้มตอบ ผมรู้ว่าลุงบดินทร์ไม่ได้จริงใจกับผม...เพราะถ้าเขาจริงใจที่จะช่วยผมตั้งแต่แรก คงไม่ช่วยให้ผู้หญิงคนนั้นหนีรอดไปต่างประเทศได้หรอก! ผมทำประโยชน์ให้เขา ถึงต่อหน้าจะบอกว่าชอบผมอย่างโน้น อย่างนี้ แต่เมื่อผมหมดประโยชน์เขาต้องจัดการผมแน่ๆ
ไม่มีใครปล่อยเสี้ยนหนามให้อยู่หรอกนะ
“วันนี้ผมเหนื่อยแล้ว ผมขอตัวเข้าห้องก่อนนะครับ”
“อืม...”
ลุงบดินทร์พยักหน้าตอบเชิงเป็นการอนุญาต ผมก็เดินขึ้นไปบนห้องของผมทันที พอเห็นหน้าเขาแล้วมันก็ทำให้อดนึกถึงตอนนั้นไม่ได้จริงๆ วันที่ผม...เจอกับเอเดนอีกครั้ง
 .
.
.
.
เอเดน!
ผมมองหน้าผู้ชายตรงหน้าด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความตกใจ ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่! หรือว่าทั้งหมดเป็นฝีมือของเอเดนอย่างนั้นเหรอ?
“สวัสดี เราไม่เจอกันนานเลยนะ”
น้ำเสียงที่เย็นเฉียบทำให้ร่างกายของผมแทบไร้เรี่ยวแรง หัวสมองของผมในตอนนี้อื้ออึงไปหมดจนแทบคิดอะไรไม่ออก ขาทั้งสองข้างก็ไร้เรี่ยวแรงที่จะหนีได้แต่เดินก้าวถอยหลังทุกครั้งยามที่เขาเดินเข้ามาใกล้ แล้วมันทำให้ผมนึกถึงภาพในห้องน้ำในวันนั้น วันที่เขาคิดจะรังแกผม!
“ไม่ต้องกลัว กูแค่จะมาตกลงกับมึงนิดๆ หน่อยๆ”
“ตกลง? ตกลงอะไร!”
“หึ เรื่องพ่อของมึง”
!!!
แต่สิ่งที่เอเดนพูดกลับทำให้ผมตกใจยิ่งกว่า แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพ่อของผม! นี่เอเดนต้องการจะพูดอะไรกันแน่!
“มึงไม่แค้นเหรอ? ไม่โกรธเหรอที่เขาไม่ได้รักมึง ลูกที่เขาเกลียดแสนเกลียด ลูกที่ไม่ต้องการอย่างมึงหายไปสักคนเขาคงไม่คิดจะตามหาหรอก”
“ต้องการพูดจะอะไร!”
ผมถาม แต่เอเดนกลับยิ้มขำ เขายังมองผมด้วยแววตาแน่นิ่งแต่มันกลับน่ากลัว
“มาร่วมมือกับกูสิ มาร่วมมือทำลายพ่อของมึง!”
“ฉันไม่ทำ!”
แน่นอน...ผมปฏิเสธทันที ถึงผมจะเกลียดเขามากมายสักเท่าไหร่ ถึงผมจะน้อยใจที่เขาไม่เคยสนใจผม แต่ผมก็ไม่เคยคิดที่จะทำลายเขา
“กลับไปคิดดูดีๆ สิเรย์”
เอเดนที่อยู่ห่างจากผมไม่เท่าไหร่เข้ามาประชิดตัว
“อะ โอ๊ย! ปะ ปล่อยนะ!”
มือหนาบีบแขนผมจนรู้สึกเจ็บไปหมด น้ำตาผมแทบเล็ดออกมาแต่ผมจะแสดงความอ่อนแอให้เขาเห็นไม่ได้เด็ดขาด! เลยได้แต่เชิดหน้าสบตากับเขาด้วยความแข็งกร้าว แต่ดูเหมือนว่าการกระทำของผมจะทำให้เอเดนชอบใจซะมากกว่า
“กลับไปคิดดูดีๆ สิเรย์ ผู้ชายคนนั้นไม่เคยสนใจมึง ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่เหรอที่เป็นคนทำให้คนที่มึงรักที่สุดต้องตาย”
คำพูดของเอเดนมันทำให้ผมรู้สึกเหมือนกับตัวเองถูกสะกดจิตเพียงแค่พูดถึงคนที่ผมรักมากที่สุดมันก็ทำให้ผมแทบหลงลืมไปว่า เอเดนกำลังอยู่ตรงหน้าผม...
“ปล่อย!”
แต่สุดท้ายผมก็เลือกที่จะวิ่งหนีออกมา หนีจากผู้ชายคนนั้น พูดเป็นเล่น! จะให้ผมทรยศพ่อตัวเองนะเหรอ
ไม่มีทาง!!!
‘ไปทางบันไดหนีไฟดีกว่า’
ด้วยความกลัวว่าเอเดนจะส่งคนตามผมมา ผมก็เลยแอบลงไปทางบันไดหนีไฟ แต่ใครจะคิดว่าการที่ผมเจอกับเอเดนวันนั้นมันจะทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปตลอดกาล
เป็นลูกเนรคุณ

 .
.
.

เฮือก!
ผมลืมตาขึ้นมาท่ามกลางความมืด นี่ผมเผลอหลับไปอย่างนั้นเหรอเนี่ย...ดันฝันไปถึงตอนนั้นอีกจนได้ แล้วหลังจากวันนั้นผมก็มาอยู่กับเอเดนสินะ
“พอๆ ไม่คิดๆ”
ผมสะบัดหัวไล่ความคิดไปมาพยายามที่จะไม่คิดฟุ้งซ่านอะไรให้มาก เรื่องมันผ่านไปแล้ว มันกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้อีกแล้ว สิ่งที่ทำได้ในตอนนี้คือเผชิญหน้ากับมันแล้วรับมือกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นก็เท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นก็อย่าเพิ่งไปคิดเลย
ส่วนตะวัน...ป่านนี้ก็คงจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับหนึ่ง แล้วเขาก็คงกำลังโกรธผม ไม่สิ...เกลียดผมไปเลยต่างหาก ก็แหงละ...ทำเพื่อนเขาขนาดนี้แล้วไม่เกลียดก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว แต่พอคิดแบบนั้นแล้วทำไมใจของผมมันถึงเจ็บแปลกๆ นะ พอหลับตาลงสัมผัสที่ริมฝีปากที่ถูกตะวันจูบมันยังตราตรึงในห้วงความทรงจำของผมอยู่เลย
รสจูบที่อ่อนโยนและหอมหวาน
 
เช้า
หลังจากนั้นผมก็หลับไปอีกครั้ง ตื่นมาอีกทีก็เช้าแล้ว ส่วนเอเดนตั้งแต่เมื่อวานผมก็ยังไม่เห็นเขาเลย ช่วงนี้คงกำลังยุ่งๆ กับงานบริษัทฯ ละมั้ง แต่ก็ช่างเถอะ...การไม่เจอหน้าเขาก็ดีเหมือนกัน ผมเองก็จะได้ไม่ต้องเล่นละครตบตาว่าต้องการเขามากขนาดไหน
“เชิญครับ”
ผมมองผู้ชายสวมแว่นดำตรงหน้าอย่างสงสัย ตื่นเช้าขึ้นมาก็เจอเขารออยู่ที่รถแล้วมาบอกว่าเอเดนให้มารับผมไปที่บริษัทฯ แต่ผมไม่ค่อยคุ้นหน้าเขาเลยหรือว่าเป็นคนของเอเดนกันนะ อีกอย่างนึงทำไมถ้าจะเข้าบริษัทฯ พร้อมกับทำไมเอเดนไม่รอผมก่อน หรือว่าเขารีบ
“ต้องไปตอนนี้เลยเหรอ”
“ครับ”
“แล้วทำไมเอเดนไม่รอฉันละ” ผมเอียงคอตอบ
“คุณเอเดนบอกว่ามีประชุมผู้บริหารด่วนในตอนเช้า เลยล่วงหน้าไปก่อนครับ แล้วให้คุณเรย์ตามไปทีหลัง”
บานประตูรถยังคงเปิดอยู่เพื่อรอให้ผมเข้าไป มันก็คงจะเป็นแบบนั้นจริงๆ ก็ได้ ยิ่งช่วงนี้เปลี่ยนผู้บริหารใหม่งานก็ยิ่งหนักขึ้นเป็นเท่าตัว แล้วก็ด้วยช่วงนี้ผมไม่อยากคิดอะไรมากผมก็เลยทำตามที่เขาบอกอย่างว่าง่าย แล้วไม่นานนักตัวรถที่จอดอยู่ก็ขับเคลื่อนออกไปอย่างช้าๆ
พอขึ้นรถได้ผมก็คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย มองไปตามถนนที่มีรถวิ่งสวนไปมา แต่ยิ่งรถวิ่งเท่าไหร่หนทางที่มันควรจะเข้าบริษัทฯ กลับยิ่งแปลกไป แต่ผมก็ยังไม่กระโตกกระตาก ยังคงนั่งนิ่งๆ อยู่ที่เดิม ผมรู้เลยว่าเพราะตัวเองประมาทเลยทำให้ติดกับศัตรูเข้าเต็มๆ
“จอดรถ”
ผมเอ่ยน้ำเสียงเรียบเพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต
“คุณเรย์จะไปไหนเหรอครับ”
เขายังคงถามอยู่โดยที่ยังไม่จอดรถ ถ้าเป็นปกติแล้วเพียงแค่ผมสั่งออกไปพวกเขาก็ต้องทำตามไม่มีข้อต่อรองหรือคำถามใดๆ ทั้งสิ้น แต่นี่เขากลับไม่ทำตามซ้ำยังขับรถเร็วขึ้นๆ อีกต่างหาก
“...นายเป็นใคร ต้องการอะไร”
ในเมื่อคิดว่าไม่มีทางหนีแล้วผมจึงตัดสินใจพูดออกมา แต่เขากลับไม่ตอบผม เพียงแค่ค่อยๆ ถอดแว่นตาและวิกผมสีดำออกมาเท่านั้น แล้วนั่นมันก็ทำให้ผมได้เห็นหน้าเขาเต็มๆ
ตะวัน!
“นี่นาย!”
“นายนี่ฉลาดเหมือนกันนะ”
เขาไม่ตอบคำถามผมอีกแล้ว อะไรของผู้ชายคนนี้นะ! ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมต้องทำถึงขนาดนี้ด้วย!!!
“ทำแบบนี้ทำไม!”
ผมตะคอก รู้สึกโมโหจริงๆ นะ
“เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
“ฉันไม่คุย! ฉันไม่มีอะไรจะคุยกันนาย! พาฉันไปส่งบ้านเดี๋ยวนี้นะตะวัน!!!”
“เราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง”
“ก็บอกว่าฉันไม่คุยไงเล่า! พูดไม่รู้เรื่องหรือไง!”
“ถ้าไม่คุยก็นั่งอยู่ในรถนี่แหละ”
“ตะวัน!”
ตะวันไม่ยอมทำตาม เขายังคงขับรถไปเรื่อยๆ มุ่งหน้าตรงไปยังเส้นทางที่ไม่ใช่ทางไปบริษัทฯ ผมไม่รู้หรอกนะว่าเขาพาผมไปที่ไหน แล้วเขาต้องการอะไรจากผมถึงต้องมาทำอย่างนี้ แต่ที่แน่ๆ ผมกลับรู้สึกว่าผมเกลียดเขามากที่สุดเลย!
 
“คุณเรย์ออกไปแล้วครับ”
“อืม จัดการมันซะ”
บดินทร์เอ่ยสั่งลูกน้องของตัวเองด้วยรอยยิ้มเหี้ยม เขาไม่มีทางปล่อยให้เรย์อยู่นานแน่ๆ ยังไงซะก็ต้องถูกำจัด ยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี! ส่วนพจน์ค่อยกำจัดเอาทีหลังหลังจากที่เรย์ตายไปก็ยังไงได้ เพราะพวกเขาก็เปรียบเสมือนลูกไก่ในกำมืออยู่แล้ว
จะบีบก็ตาย จะคลายก็รอด
แต่บดินทร์เลือกที่จะให้ตายซะมากกว่า!
“เพิ่มคำสั่งจากฉันให้เอเดนไปติดต่องานที่ต่างประเทศ ด่วนที่สุด!”
“ครับ”
 

ลูกน้องของบดินทร์รับคำก่อนที่จะเดินออกไปเช่นเคย



ออฟไลน์ Take

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 80
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
Re: Drama นาง(นาย)ร้าย ที่รัก ตอน16-25 10/12/15
«ตอบ #179 เมื่อ10-12-2015 18:43:25 »


 
ตอนที่ 22

ผมหน้าบูดบึ้งมองคนที่กำลังทำหน้ายิ้มแป้นอย่างไม่รู้สึกรู้สา นี่เขาจะรู้ตัวหรือเปล่านะว่าตัวเขาทำอะไรลงไป นี่ขนาดลงทุนปลอมตัวเข้ามาในบ้านของเอเดนเพื่อที่จะคุยกับผมเนี่ยนะ! บ้าหรือเปล่า...ถ้าเกิดถูกจับได้ขึ้นมาจะทำยังไง!
“มีอะไรก็พูดมาสิ!”
ผมกอดอกถาม ถ้าถามในเรื่องไม่เป็นเรื่องนะ...ผมจะ...จะ...โอ๊ย!!! ทำไมชีวิตผมจะต้องมาอยู่กับผู้ชายคนนี้ด้วยเนี่ย!!! แถมมือถือของผมก็ถูกยึดไปอีก ไม่สิ...เรียกได้ว่าขว้างออกไปนอกรถจะดีกว่า แบบจงใจสุดๆ ด้วย ก็ตอนที่ผมกำลังจะโทรให้คนมาช่วย จู่ๆ ตะวันก็เอื้อมมือมาแย่งแล้วก็โยนทิ้งนอกรถอย่างหน้าตาเฉย ทำให้ตอนนี้ผมไม่มีเครื่องมือสื่อสารอะไรติดตัวเลย! แล้วเขาก็ขับมาที่ไหนก็ไม่รู้ รู้แต่ว่ามันออกมานอกเส้นทางกรุงเทพฯ แล้ว!
“ย้ายมานั่งข้างหน้าซะ”
ตะวันออกคำสั่งอีกครั้ง
“ไม่! ฉันไม่ย้าย ฉันจะนั่งตรงนี้ นายนั่นแหละมีอะไรก็ถามมา!”
เรื่องอะไรที่ผมจะต้องย้ายไปนั่งหน้าด้วยละ ใครใช้ให้เขาปลอมตัวเป็นคนขับรถเอง อยากเป็นคนขับรถนักก็นั่งอยู่ตรงนั้นแหละ
“ถ้าไม่มาก็ขับเล่นอยู่แบบนี้แหละ”
“ตะวัน!”
“ครับ”
เขายังทำลอยหน้าลอยตา ไม่สนใจคำห้ามของผมเลย ต่อให้ผมทำท่าฟึดฟัดไม่พอใจตะวันก็คงจะไม่ยอมง่ายๆ แน่ๆ นี่ผมเพิ่งรู้นะเนี่ย! ว่าภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉยและแน่นิ่งของเขาแฝงไปด้วยความเจ้าเล่ห์จนน่าหมั่นไส้! ผมเองก็ไม่ยอมเหมือนกันดูซิว่าเขาจะทนได้สักกี่น้ำ ผมยังคงนั่งหน้าเชิดนิ่งอยู่แบบเดิม ส่วนตะวันก็ยังขับรถออกไปนอนเส้นทางเรื่อยๆ
โอ๊ย!!! นี่กะว่าให้ผมทำตามอย่างนั้นใช่ไหม! ได้ๆ ทำก็ได้!
“ฮึ๊ย!”
ผมสะบัดอารมณ์ออกมานิดหน่อยก่อนที่จะย้ายตัวเองไปนั่งด้านหน้า อย่าให้ถึงคราวผมมั่งนะ จะเอาให้หนักเลย!
“มีอะไรก็รีบๆ พูดมา...”
ปุ!
แต่ในขณะที่ผมยังไม่ทันจะพูดจบคำ อะไรบางอย่างก็มากระทบตัวรถทำให้ตะวันถึงกับขับเซเล็กน้อย ผมรีบหันไปมองทางด้านหลังอัตโนมัติเห็นว่ามีมอเตอร์ไซต์คันนึงกำลังขับตามรถที่ผมนั่งอยู่ พวกมันมีอยู่สองคน คนนึงขับอีกคนก็กำลังเล็งปืนมาทางผม ผมไม่เห็นหน้าพวกมันเพราะหมวกกันน็อคสีดำสนิทที่ใส่ปิดบังใบหน้า
ปุ! ปุ!
พวกมันยิงกระสุนใส่ตัวรถ ตะวันมองไปที่กระจกทางด้านหลังแล้วพยายามขับหนีด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เอี๊ยด!
“นี่มันอะไรกันเนี่ย”
ตะวันถามไปพยายามบังคับรถไป ดูเขาแล้วก็คงจะงุนงงไม่น้อยแต่ก็หยุดรถไม่ได้เพราะถ้าจอดรถเมื่อไหร่เป็นอันจบเห่กันพอดี
“ฉันจะไปรู้เหรอ!”
“ก้มลงไปซะ!”
“อะ โอ๊ย! มากดหัวฉันทำไม ฉันไม่ก้ม!”
ผมร้องออกมาเมื่อตะวันก็จับหัวผมให้มุดลงไปที่เบาะที่นั่งคนขับ แรงอย่างกับควาย! ถ้าคอผมหักจะทำยังไงละ!
“เดี๋ยวก็ตายหรอก ก้มไปเถอะ!”
ปุ! ปุ!
เอี๊ยด!!!
ยิ่งสถานการณ์ย่ำแย่ลงทุกทีๆ ดูเหมือนว่าพวกนั้นจะจงใจที่จะฆ่า...ฆ่าใคร? ฆ่าผมอย่างนั้นเหรอ...แล้วมันก็คงจะเป็นแบบนั้นจริงๆ แสดงว่าผู้ชายคนนั้นทำงานเร็วมาก คิดจะฆ่าผมทันทีที่ทำงานจบ หึ แต่ก็อย่างว่านั่นแหละ ธุรกิจแบบนี้ไม่เข้าใครออกใคร หมดประโยชน์เมื่อไหร่เป็นอันต้องถูกกำจัด แต่ตอนนี้ไม่ใช่จะมาห่วงเรื่องแบบนั้น! เพราะว่าสิ่งที่น่าห่วงที่สุดก็คือคนที่นั่งข้างๆ ผม เขากำลังขับรถหนีอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่ที่ร้ายแรงยิ่งกว่านั้นคือตะวันกำลังโดนเล็ง!
ชายชุดดำสวมหมวกสีดำปิดบังใบหน้า ขับมอร์เตอร์ไซต์มาขนาบข้างด้านฝั่งที่ตะวันนั่งอยู่
“ตะวัน! ระวัง!”
ปุ!
เพล้ง!
เอี๊ยดด!!!!
ผมจับเบาะรถไว้แน่นหลับตาปี๋อัตโนมัติ รู้สึกถึงแรงเหวี่ยงของตัวรถมหาศาลเมื่อตะวันพยายามหักพวงมาลัยรถหลบไปอีกทางและพายามทรงตัวให้อยู่ ตอนนี้ไม่รู้อะไรเป็นอะไรแล้ว มันดูน่ากลัวไปหมดเลย ผมได้แต่ภาวนาขอให้มันจบลงโดยเร็ว
“โธ่เว้ย!”
ปุ! ปุ!
เอี๊ยด! เอี๊ยด!
ดูเหมือนว่าตะวันจะหัวเสียพอดู เขาสบถออกมาอย่างนึกโมโหแต่ก็ยังพยายามสะบัดให้หลุดจากผู้ร้ายทั้งสองคน เพราะถ้าไม่อย่างนั้นได้จบเห่กันแน่! จะทำยังไงดีนะ! พวกมันมีอาวุธ มีปืน แต่พวกเราไม่มีอะไรเลย จะเอาตัวรอดยังไงดี!!!
ตะวันพยายามปกป้องผม เขาไม่ถามด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น สีหน้าเคร่งเครียดของเขาในตอนนี้มันทำให้ผมรู้เลยว่าเขากำลังพยายามที่จะเอาตัวรอดจากสถานการณ์แบบนี้ยังไง ส่วนผมก็คงทำได้แค่หลับตาแล้วก้มตัวหลบ
น่าสมเพชดีจัง
“ไม่เป็นไรแล้วเรย์”
เสียงทุ้มเอ่ยบอกกับผมพร้อมกับตัวรถที่ค่อยๆ ขับเคลื่อนช้าขึ้น ตะวันสะบัดพวกนั้นหลุดออกแล้ว แต่ดูท่าว่ารถของเขาจะได้รับความเสียหายมากพอดูเหมือนกัน เล่นโดนยิงซะขนาดนั้น ดีหน่อยที่พวกมันยิงไม่โดนตัวไม่อย่างนั้นป่านนี้ก็คงได้ตายไปแล้ว
“อะ อะไร”
ร่างสูงหันหน้ามามองผมด้วยสีหน้านิ่งเรียบ จนทำเอาใจคอผมสั่นไปหมด
“คนพวกนั้นเป็นใคร”
เขาถามพลางขับรถไปเรื่อยๆ
“คะ ใครมันจะไปรู้เล่า! ฉันก็มาพร้อมกับนายเนี่ย!”
ผมแสร้งทำเป็นไม่รู้แล้วเบี่ยงหน้าหนีไปทางอื่น ต้องทำตัวไม่ให้น่าสงสัยที่สุดไม่อย่างนั้นคนอย่างตะวันถามไม่หยุดแน่ๆ
“หึ ดี...ถ้าไม่บอกก็อยู่กับแบบนี้แหละ!”
แต่แทนที่ตะวันจะซักไซ้ตามที่ผมคิดแต่ผมก็กลับคิดผิดเมื่อจู่ๆ เขาก็ประกาศกร้าวขึ้นมา ถ้าหากว่าผมไม่ยอมบอกเขาก็คงจะพาผมไปแบบนี้เรื่อยๆ อย่างแน่นอน
“ตะวัน! นายจะพาฉันไปไหน ฉันไม่ไป! พาฉันกลับบ้านเดี๋ยวนี้นะ! ตะวัน!!!”
!!!
 .
.
.

“บัดซบ!”
เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!
“ปล่อยมันหนีไปได้ยังไง!”
บดินทร์ฟาดมือไปยังใบหน้าของลูกน้องตัวเองด้วยความโมโห หลังจากที่พวกมันปล่อยให้เรย์หนีไปได้ ทั้งๆ ที่เขาอุตสาห์ไม่ส่งคนตามแล้วเชียว! แถมยังสั่งไม่ให้คนของเอเดนคุมอีก ก็ยังจะทำงานผิดพลาดกันได้! มันน่าโมโหนักเชียว!
“ขอโทษครับ”
“ขอโทษครับนาย”
ร่างสูงใหญ่ก้มหน้ารับความผิด
“ฮึ๊ย! ไป! ไปหน้าพ้นหน้าฉัน! ถ้ากำจัดมันได้เมื่อไหร่ค่อยโผล่หน้ากลับมา!”
บดินทร์ชี้นิ้วไล่ ทำให้ลูกน้องทั้งสองคนรีบปรี่ออกไปทันที
นับว่าโชคดีนักนะที่สามารถหนีรอดไปได้ แต่จะรอดได้สักกี่น้ำ เชื่อได้เถอะว่าอีกไม่นานบดินทร์จะต้องได้รับข่าวดีแน่ๆ ถ้ากำจัดเรย์ได้เมื่อไหร่เรื่องทำลายหลักฐานก็ไม่ต้องห่วงเลย แค่มีเงินและมีอำนาจแค่นั้น ทุกอย่างก็สามารถดลบันดาลให้ทุกอย่าง ถึงแม้ว่าเรย์ในตอนนี้จะอยู่ในสถานะของคู่หมั่นลูกชายตัวเองก็ตาม
ปัง!
“คุณพ่อ!”
บานประตูที่ถูกเปิดออกพร้อมกับร่างสูงของเอเดนเดินสาวเท้าเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งเครียดแลดูถึงความโกรธจัด
“กลับมาแล้วเหรอ”
บดินทร์คลี่ยิ้มให้เหมือนอย่างเคย
“พ่อทำแบบนี้ได้ยังไง!”
แต่สิ่งที่เอ่ยออกมาจากริมฝีปากของเอเดนมันกลับทำให้บดินทร์รู้สึกแปลกใจไม่น้อย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังแสดงสีหน้าทำเหมือนไม่รู้เรื่อง
“อะไร?”
“พ่อส่งคนไปฆ่าเรย์!”
เอเดนแสดงถึงความโกรธจัด ใช่! ตอนนี้เขากำลังโกรธบดินทร์! ที่สั่งคนไปฆ่าเรย์ลับหลังเขาแบบนี้! ถึงว่าช่วงนี้บดินทร์ถึงได้ให้งานหนักๆ แถมยังส่งปำงานที่อื่นอีก นี่ถ้าหากว่าเขาไม่นึกเอ๊ะใจและไม่สั่งให้คนแอบตามสืบคงไม่รู้ว่าพ่อของตัวเองกำลังมีแผนการสังหารเรย์อยู่เป็นแน่!
“หึ ใช่ ฉันเป็นคนสั่งเอง”
“พ่อทำแบบนี้กับผมได้ยังไง! พ่อสัญญากับผมแล้ว อีกอย่างตอนนี้เรย์ก็เป็นคู่หมั่นผม!”
“แล้วแกคิดจริงๆ เหรอว่าฉันจะให้แกแต่งงานกับผู้ชาย ห่ะ!”
“แต่!...”
“ไม่มีแต่อะไรทั้งนั้น! อย่าลืมสิเอเดน ตระกูลเรายังต้องการทายาท เรย์ให้แกไม่ได้ แล้วอีกอย่างขนาดพ่อมันมันยังหักหลังมาแล้ว คิดเหรอว่าคนที่เป็นคนอื่นแบบแกกับฉันเรย์จะหักหลังไม่ได้! อย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาปนกับธุรกิจ... เข้าใจไหมเอเดน”
คำกล่าวอ้างถึงเหตุผลต่างๆ นาๆ ทำให้เอเดนนิ่งงันไปชั่วครู่ เขามองหน้าผู้เป็นพ่อด้วยสายตาที่แสดงถึงความผิดหวัง เอเดนกำลังผิดหวังในตัวบดินทร์แต่ก็ไม่อาจถกเถียงถึงสิ่งที่เอ่ยกล่าวออกมาได้แต่อย่างใด บดินทร์พูดถูกทุกอย่าง ขนาดพ่อของเรย์...เรย์ยังทำมาแล้วได้เลย นับประสาอะไรกับคนอื่นอย่างเขา มันไม่มีทางที่เรย์จะหวังทำดีด้วยได้อยู่แล้ว ถึงตอนนี้เรย์อาจไม่คิดแต่ภายในอนาคตใครมันจะไปรู้
บดินทร์ยกยิ้มอย่างพอใจเมื่อเห็นว่าเอเดนกำลังคิดตามตัวเอง นี่แหละ...มันต้องฉลาดแบบนี้ ผู้ที่จะรีบสืบทอดบริษัทฯ ต่อจากเขา ชายวัยกลางคนจับไปที่บ่าของลูกชายตัวเอง
“ต่อจากนี้แกจะรักใครชอบใครหรืออยากเล่นๆ กับใครฉันจะไม่ว่า ตามใจแก...กลับไปทำงานซะ ส่วนเรื่องเรย์ ฉันจะจัดการทุกอย่างเอง”
“แต่สำหรับผมมันไม่ใช่! เรย์เป็นของผม! พ่อไม่มีสิทธิ์มายุ่ง!”
เอเดนหันไปมองบดินทร์ด้วยสีหน้าที่แสดงออกถึงความไม่พอใจ
“แกรักมัน?”
บดินทร์ข่มความโกรธเอาไว้แล้วกัดฟันถาม นึกแค้นใจนักที่ผู้ชายคนเดียวทำให้เอเดนเกิดอาการต่อต้าน ทั้งที่ผ่านมาไม่เคยมีสักครั้งที่เอเดนจะไม่เชื่อฟังเขา
ทั้งหมดมันเป็นเพราะเรย์!
เพราะเรย์เพียงคนเดียว!!!
“ผมไม่รู้ ผมรู้แต่ว่าผมต้องการเรย์! แล้วพ่อก็ไม่มีสิทธิ์มายุ่งกับเรย์!”
“เอเดน! เอเดน! โธ่เว้ย!”
เอเดนตอบเสียงกร้าวก่อนที่จะหันหลังเดินจากออกไปโดยที่ไม่ได้สนใจเสียงเรียกของบดินทร์ที่ดังมาตามหลัง
ร่างสูงขบกรามแน่นพลางคิดถึงคนร่างเล็กที่ตอนนี้กำลังหนีหายอย่างไร้ร่องรอย สิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้คือตามหาตัวเรย์ให้พบ ส่วนเรื่องหลังจากนั้นค่อยว่ากันทีหลัง ถ้าครอบครัวของเรย์จะถูกกำจัดให้หายออกไปจากโลกนี้ยังไงซะเขาก็ไม่สน แต่เพียงแค่เรย์เท่านั้น! ที่ไม่สามารถปล่อยไปได้
‘นายต้องเป็นของฉัน เรย์!’
 .
.
.
.
“ตะวัน! นายปล่อยฉันออกไปเดี๋ยวนี้นะ!!!”
ปัง! ปัง! ปัง!
ผมทุบไปที่บานประตูรัวๆ อย่างโมโห! ใช่! ผมกำลังโมโหมาก!!! มากถึงมากที่สุด! ตะวันพาผมมาที่ไหนก็ไม่รู้ รู้สึกว่าผมจะอยู่แถวๆ แม่ฮ่องสอนที่อยู่ตรงไหนสักที่นี่แหละ พอมาถึงเขาก็ลากผมเข้ามาในบ้าน ผมที่พยายามหนีแล้วหนีอีกก็หนีไม่พ้นจนถูกจับมาขังแบบนี้แหละ
“นายก็บอกฉันมาสักทีสิ ว่าพวกนั้นเป็นใคร”
ตะวันที่อยู่อีกฝากประตูพูดขึ้นเกี่ยวกับเหตุการณ์เดิมๆ ที่ผมเพิ่งเอาตัวรอดไปหมาดๆ
“ฉันจะไปรู้ไหมเล่า! ปล่อยฉันนะ!”
“แค่นายบอกฉันมาว่าพวกนั้นเป็นใคร ทำไมถึงตามล่านาย แล้วสิ่งต่างๆ ที่นายทำ ฉันก็พร้อมที่จะปล่อยนายออกมา”
“ฉันก็บอกว่าไม่ไม่รู้เรื่องไงเล่า! ฟังไม่รู้เรื่องหรือไง อีกอย่างคนที่พวกนั้นตามอาจจะเป็นนายก็ได้”
“อย่าคิดว่าฉันโง่นะเรย์ ฉันไม่เคยมีศัตรูที่ไหน”
ตะวันยังคงทำตัวดื้อดึงเหมือนเดิม ก็จริงที่เขาพูด...ตะวันไม่เคยมีศัตรูที่ไหน เพราะฉะนั้นคนๆ เดียวที่จะถูกตามล่าได้ก็มีแค่ผม
“ไม่รู้! ก็บอกว่าไม่รู้ไงเล่า!”
“ถ้าอย่างนั้นนายก็อยู่ในนั้นไปนั่นแหละ”
“ตะวัน! ตะวัน!!!”
ปัง! ปัง! ปัง!
แต่ดูท่าทีแล้วตะวันคงไม่ยอมเปิดให้ผมง่ายๆ แน่ๆ แล้วตอนนี้ผมก็เจ็บมือมากด้วยกับอาการอ่อนเพลียของร่างกายที่เพิ่งเจอมา มันก็เลยทำให้ผมหยุดทุบประตูเซ๋งเคร็งนี่แล้วพาร่างตัวเองไปที่เตียง ตะวันกล้าดียังไงมาสั่งผม! เขากล้ามากที่มาขังผมด้วย! รู้จักกันมาตั้งนานนะแต่ผมไม่เคยรู้เลยว่าตะวันจะกลายเป็นคนแบบนี้ ทั้งเอาแต่ใจและยังชอบบังคับอีก!
ฮึ๊ย! คิดแล้วขัดใจ!
แล้วก็ด้วยความเบื่อหน่ายที่ต้องมาจับเจ่าอยู่กับที่เลยทำให้ผมเลือกที่จะเอนตัวนอนพลางนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นาน ผมเพิ่งทำงานให้เขาเสร็จก็สั่งเก็บผมเลยเหรอเนี่ย ฮ่าๆ มันน่าตลกดีนะ ทำเหมือนกับในละครเลย ผมรู้...คนอย่างบดินทร์ไม่คิดที่จะปล่อยผมให้รอดไปได้ง่ายๆ แน่ๆ เขาจะต้องหาทางกำจัดผมอีก แล้วถ้าเป็นแบบนั้นตะวันก็จะตกอยู่ในอันตราย
“ไม่ๆ คิดอะไรเนี่ย!”
ผมส่ายหัวตัวเองไปมาเพื่อไล่ความคิด ทำไมต้องไปห่วงผู้ชายพรรณนั้นด้วย! เขาทำตัวของเขาเอง มายุ่งกับผมเอง ถ้าจะตายมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับผมนี่
 

ไม่เกี่ยวกันเลยสักนิด
 

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด