-7-
นานๆทีแก้งผมจะอยู่กับครบนอกห้องเรียนครับ (เอาจริงๆในห้องเรียนแม่งก็ไม่ค่อยครบหรอก -_- )
คือปกติแล้วมันจะต้องขาดสักคนล่ะวะ ไม่คนใดก็คนนึง
แต่วันนี้มากันแบบครบทีม ผม ไอ้เบอร์1 ไอ้เบอร์ 2 และ ไอ้คุณโคนัน
พวกเรามาดูฟาสฯ7 กัน และ กลับออกมาในสภาพที่ไอ้เบอร์ 2 มัน...
ตาแดงเป็นเด็ก 5 ขวบ มันร้องไห้เพราะจะได้ดูหนังของไอดอลของมันเป็นเรื่องสุดท้าย
ถามว่าผมเศร้ามั้ย ก็เศร้านะครับ ผมไปดูฟาสท์ฯ กับไอ้พวกนี้กี่ภาคแล้วก็ไม่รู้ แต่ก็ดูด้วยกันตลอด
แต่ความเศร้าของผมแม่งโดนได้เบอร์ 2 ปาดหน้าไป ตอนนี้ผมเลยต้องมาขำมันแทน
มันบอกว่ามันมาดูกับแฟนไปแล้วรอบนึงแต่ต้องกลั้นน้ำตาเอาไว้
พอมาดูกับพวกผมเลยร้องออกมาจริงจังมากด้วยความอัดอั้นครับ
ร้องจนพวกผมเกือบไม่อินกับหนัง แล้วมาอินกับการรุมหัวเราะเยาะมันแทน -_-
ระหว่างที่กำลังหัวเราะไอ้เบอร์ 2 ที่เดินเบะปากออกมาจากโรงหนังในสภาพน่าสมเพชมาก
สายตาของผมก็เหลือบไปเห็นผู้หญิงกลุ่มนึง ผมมองอยู่สักพักก็แน่ใจว่านั่นแก้งเพื่อนยิ้มหวานนี่หว่า
ว่าแต่ -- เจ้าตัวหายไปไหน?
มองๆอยู่ไม่นาน ฝั่งโน้นเค้าก็เหมือนจะรู้ตัวเหมือนกัน เลยมองกลับมาครับ
ผมยิ้มมุมปากส่งไปให้แล้วยักคิ้วทัก พร้อมกับได้ยินเสียงไอ้เบอร์ 1 พูดออกมา
“เจ้าชู้นะไอ้สัด กูฟ้องยิ้มหวานแน่"
“เจ้าชู้เหี้ยไรล่ะ นั่นเพื่อนเค้า ทั้งแก้งเลย"
“อ่าว แล้วยิ้มหวานอ่ะ ไม่มาเหรอวะ?”
“ไม่รู้ดิ ตอนเย็นบอกกูว่าทำงานอยู่ที่ตึกคณะ"
“อ๋อ กูนึกออกละ กลุ่มที่เจอตอนไปกินเหล้าวันนั้นนี่หว่า"
“เออ ควายนะมึง แค่นี้ลืม”
พวกเราเริ่มคุ้นหน้ากันครับ เพราะวันก่อนผมกับเพื่อนๆเจอกลุ่มนี้ที่ร้านเหล้าพอดี ผมเลยได้คุยกับเพื่อนเขานิดหน่อยด้วย
เรื่องที่คุยก็ไม่มีอะไรนอกจากเรื่องของคนที่ไปเที่ยวกับครอบครัวเลยไม่ได้มากับเพื่อนๆเค้านี่แหละ
พอมองมาเห็นพวกผมปุ้บ เพื่อนคนเดียวกับที่ลากเขามาปล่อยทิ้งไว้ที่โต๊ะผมวันที่อ่านหนังสือก็เดินตรงมาเลยครับ
รองเท้าสูงมาก ท่าเดินก็โคตรจะดุ
“หวัดดีหมอ"
“อืม หวัดดี เพื่อนไปไหนอ่ะ?”
รีบถามเลยครับ -- ออกตัวว่าจะจีบเพื่อนเค้าแล้ว ไม่มีเก็บอาการแล้วนาทีนี้ -_-
“อ่าว มันไม่ได้ไปกับหมอเหรอ?”
“ไม่ดิ เพิ่งดูหนังเพิ่งเสร็จเนี่ย"
“อ่าว!"
นาทีแรกผมงงครับ ว่าจะตกใจอะไร เห็นเขาขมวดคิ้วแล้วทำท่าเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่
ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมา ก้มหน้าก้มตาอ่านไลน์ เห็นอย่างนั้นผมเลยถาม
“มีอะไรเปล่า?”
“แป้บนึงๆ"
เขาตอบผมระหว่างที่กำลังพิมพ์ไลน์ไปด้วย สักพักก็เงยหน้าขึ้นมาตอบ
“ตอนแรกมันจะมากินข้าวกับพวกเรานี่แหละ เพิ่งออกจากตึกคณะกันเนี่ย แต่รถมันดันจอดอยู่อีกตึก เลยแยกไปเอารถ พวกเราจะไปเป็นเพื่อน มันก็บอกว่าไม่เป็นไร คือมันจอดที่นั่นประจำไง"
“แล้ว?”
“สักพักแม่งก็ไลน์มาบอกว่าไปไม่ได้แล้ว เราก็แซวดิ คิดว่าไปกินข้าวกับหมอ คือมันก็ตอบมาว่าใช่ แต่หมออยู่นี่ แล้วมันอ่ะ?"
อ่าว... อึ้งครับ
ไม่ใช่แค่ผม ทั้งเพื่อนผมเพื่อนเขานิ่งไปหมด
คือก่อนหน้าที่คุยกันผมก็ไม่ได้ถามอะไรมาก
เพราะเห็นว่าเขาอยู่กับเพื่อน แถมยังทำงานอยู่เลยไม่อยากกวน
“แป้บๆ เราโทรหามันแป้บ"
คือผมก็อยากจะไลน์ถามโทรหานะ แต่รู้สึกเหมือนนาทีนี้มันยังเป็นหน้าที่ของเพื่อนเขาอยู่
เลยได้แต่รอ
“ไม่รับว่ะ เมื่อกี้ไลน์มันบอกว่าไปกินข้าวกับหมอแถวสาธร"
“อ่าว...” ผมพูดเบาๆเหมือนกำลังคุยกับตัวเอง ก่อนจะพูดต่อ
"คือ...ไลน์ถามบ้างได้มั้ยวะ? จะดูยุ่งเรื่องส่วนตัวมากไปป่ะ?”
อืม... – คือผมค่อนข้างแคร์เขานะ
ถึงจะบอกออกไปตรงๆแล้วว่าผมจีบเขา แต่ก็ยังไม่อยากจะกดดันจนเขารู้สึกอึดอัด
อยากให้ความสัมพันธ์ของเรามันเริ่มต้นขึ้นอย่างช้าๆแบบที่เราทั้งคู่รู้สึกสบายใจกับมันมากกว่า...
“เอาดิ ถามเลย"
“เออ กูว่าไลน์ถามเหอะ"
โดนยุจากทั้งสองฝั่งครับ
คือตอนนี้บรรยากาศแม่งดูอึดอัดกันมาก
ไม่รู้ดิ -- ในสายตาผม ยิ้มหวานดูไม่ใช่คนชอบโกหก
“เออ เป็นห่วงว่ะ"
ผมพูดออกมาเบาๆ ก่อนจะพิมพ์ข้อความไป
*ทำงานเสร็จยัง? เขาตอบมาทันทีอ่ะครับ
เร็วมาก!
*เสร็จแล้ว
*กำลังกลับบ้านอ่ะ
*อือๆ “บอกว่ากำลังกลับบ้าน"
ผมตอบออกไปตามข้อความที่อ่านมา
ก่อนเพื่อนยิ้มหวานจะหน้าเครียดมากกว่าเดิม แล้วหันไปมองหน้ากันเองในกลุ่มแบบงงๆ
“แม่งแปลกๆ – คือปกติมันไม่ค่อยโกหกนะเว่ย แทบไม่โกหกเลย หมอแกใจเย็นนะ"
เขาพูดเหมือนพยายามจะปลอบให้ผมดูใจเย็นลง ตอนนั้นเองครับที่เพิ่งรู้ตัวว่ากำลังขมวดคิ้วมากขนาดนี้
คือตอนนี้ในใจกำลังมีความคิดสองอย่างที่ต่อสู้กันครับ
อันแรกดูแย่หน่อย – เขาอาจจะไปกับใครนอกจากผม ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นผมก็ไม่มีสิทธิ์โกรธหรอก
ทำได้แค่หึง หวง ห่วง เอออะไรประมาณนั้นแหละวะ -_-
อีกความคิดคือ เขาอาจจะกำลังอยู่ในอันตราย โดนลักพาตัวป่ะ? – อันนี้ก็นิยายเกิน
แต่โลกของยิ้มหวานก็ดูเหมือนจะมีแค่ เรียน ปั่นงาน นอน กินขนม เดินเล่น
ไม่น่าจะมีอะไรมากไปกว่านี้แล้ว
“คือไม่ได้โกรธ แต่เป็นห่วง ไปไหนวะเนี่ย?"
ผมพูดพลางรู้สึกว่ารอไม่ได้แล้วครับ เลื่อนมือถือไปจะกดโทรหาละ แต่เพื่อนเขาดันมาห้ามไว้ก่อน
“เอ้ยๆ เดี๋ยวโทรให้ เผื่อมันไปกับกิ๊กหมอจะได้ไม่เงิบ"
ยังจะหัวเราะร้ายใส่กันอีก -_-
ถ้าเขาไปกับคนอื่นจริง ผมก็คงเฟลอ่ะ แต่ที่รู้สึกไม่สบายใจอยู่ตอนนี้เพราะกลัวจะไปทำอะไรอันตรายมากกว่า
ไปไหนเนี่ย ดื้อเอ้ย!
เพื่อนเขาต้องโทรจิกอยู่ประมาณสามสี่รอบครับ กว่าอีกคนจะยอมรับสาย
พอรับปุ๊บ ผู้หญิงตรงหน้าผมก็ทำเสียงดุพูดลงไปทันที
“มึง – อยู่ - ไหน" โหห -- ยิ่งกว่าแม่
“ไม่ต้องเลย ไม่ต้องมาโกหกกูเลย ไอ้หมออยู่ตรงหน้ากูเนี่ย"
“ว่าไง ตกลงมึงอยู่ไหน?”
“ไม่บอกความจริงกู ต่อไปนี้ก็ไม่ต้องมามองหน้ากันเลยนะ เลิกคบ!”
หลังจากนั้นเขาก็เงียบไปสักพักครับ ทั้งผม เพื่อนผม เพื่อนเขาคนอื่นๆ กำลังยืนมองผู้หญิงคนนึง เอาโทรศัพท์แนบหู พร้อมกับปรับสีหน้าให้เครียดขึ้นเรื่อยๆ ทุกคนดูลุ้นมากว่ะ
“ห้ะ?" "แล้วทำไมไม่โทรบอกพวกกู?”
“ให้มันได้อย่างนี้สิ มึงห่วงพวกกูแล้วตัวมึงอ่ะ มึงอายุเท่าไหร่วะ มึงคิดได้แค่นี้ใช่มั้ย?"
ผมยืนมองเงียบๆครับ แต่เหมือนเพื่อนเขาจะโกรธขึ้นเรื่อยๆ
โหดชะมัด... ปกติผมติดจะไม่ชอบพวกผู้หญิงบีบเสียงเล็กๆ แล้วร้องกรี้ดๆ
แต่คนตรงหน้านี่ไม่ใช่เลยครับ ยิ่งโกรธเสียงเสียงยิ่งเย็น เย็นชาขึ้นเรื่อยๆ
ลึกๆก็รู้สึกวางใจ เพราะยิ้มหวานใจดีอ่ะ ดีกับคนไปทั่ว
มีเพื่อนแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน....
“....ไม่! ทำไมกูต้องไม่โกรธมึง คุยกับไอ้หมอไป"
พูดจบก็ยื่นโทรศัพท์มาให้ผมซะดื้อๆ
"จัดการมันเลย แม่งรถเสียแล้วกลัวเพื่อนเป็นห่วง เลยนั่งรอช่างอยู่คนเดียวเนี่ย แล้วตรงนั้นก็โคตรมืด"
ได้ยินอย่างนั้นปั๊บผมก็ยกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา สามทุ่มกว่าแล้ว
แล้วยังนั่งอยู่คนเดียวเนี่ยนะ?!
ผมรับโทรศัพท์มาแล้วรีบพูดลงไปอย่างรีบร้อน
แม่ง – น่าตีว่ะ!
“อยู่ไหน?” “หมอ...เรา...”
“อยู่ไหน?” [/b]
เสียงพูดผมห้วนกว่าเดิม
เป็นห่วงนี่ โทษที
คือผมไม่ได้โกรธอะไรเขามากมายนะ แต่รู้สึกโมโหนิดๆเหมือนเวลาโดนยัยน้องสาวดื้อใส่ว่ะ
ประมาณนั้นมากกว่า....
“อาคารจอดรถอ่ะ"
“เดี๋ยวไปหา"
“ไม่เป็นไร ช่างจะมาแล้ว"
“จะให้โกรธจริงๆใช่มั้ย รออยู่ตรงนั้นเลย เดี๋ยวโทรหา แค่นี้นะ"
พูดจบผมก็วางสายแล้วคืนโทรศัพท์ให้เจ้าของไป เพื่อนเขารับโทรศัพท์คืนไป พร้อมกับถามสั้นๆ
“จะไปเอง?”
เพื่อนยิ้มหวานถามผมแบบนั้น ก่อนจะมองด้วยความไม่มั่นใจ
“อืม เห็นบอกว่าช่างจะมาแล้ว เดี๋ยวคงไปรอเป็นเพื่อนแหละ ผู้หญิงหลายๆคนอย่าไปเลย อันตรายว่ะ ตรงนั้นโคตรมืด"
“ไว้ใจแกได้ใช่ป่ะ?”
“มากโคตร สาบานเลย! เอาบัตรประชาชนไปเก็บไว้ก่อนเลยมั้ย?”
ผมพูดแล้วยิ้มมุมปากนิดนึงพร้อมยักคิ้ว แล้วทำท่าจะหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกางเกง พอเพื่อนเขาเห็นอย่างนั้นก็รีบยกมือขึ้นมาห้ามกัน
“พอๆ ตลกละหมอ รีบไปหามันเหอะไป"
ผมรับคำ แล้วหันไปมองพวกเพื่อนๆที่มันแยกกันไปยืนรุมเยาะเย้ยไอ้เบอร์ 2 ต่อ ตอนที่ได้คำตอบแล้วว่าคนก่อเรื่องอยู่ที่ไหน
ผมบอกลาเพื่อนๆของเขา ก่อนจะแยกมาคุยกับพวกมันแบบที่เร็วที่สุด
เรื่องของเรื่องคือวันนี้ผมไม่เอารถมา โหนบีทีเอสแบบง่วงๆมาเรียนตั้งแต่เช้า
แล้วก็วางแผนไว้แล้วว่า จากที่นี่ไปคณะของคนที่รออยู่ นั่งวินมอ'ไซไปน่าจะเร็วที่สุด
เอารถยนต์ไปก็ติดเปล่าๆ บอกลาพวกมันพร้อมขอบคุณสั้นๆเสร็จก็แทบจะวิ่งออกจากตรงนั้น
ผมเดินไปหน้าลิฟต์โดยเร็วที่สุด แต่ก็กดโทรศัพท์ต่อสายอีกคนไปด้วย รอไม่นานเขาก็รับ
เสียงหงอได้อีก
“ฮัลโหล...”
“อยู่คนเดียวใช่มั้ย?”
ผมกำลังลงลิฟต์แล้วครับ ไม่นานน่าจะถึง
“อืม...”
“แล้วรถเป็นอะไร"
“มันสตาร์ทไม่ติดอ่ะ เราก็ไม่รู้เหมือนกัน"
“อืม อย่าวางสายนะ กำลังรีบไป"
“อืม...”
ผมถือโทรศัพท์ที่ต่อสายเอาไว้ตลอด แล้วก็ถามเป็นระยะๆว่ายังอยู่ไหม
ก่อนจะวิ่งไปขึ้นมอ'ไซบอกว่าจะไปไหน แถมยังกำชับว่าขอแบบเร็วที่สุด
ขอบคุณพี่วินมอไซ – แทบพากูบินข้ามสี่แยกครับ
แป้บเดียวก็เข้ามาถึงที่ๆยิ้มหวานอยู่ แต่ยังต้องวิ่งจากประตูเข้าไปตรงที่จอดรถอีก
เหงื่อท่วมแล้วตอนนี้...
ยิ่งมาเห็นที่เขานั่งอยู่ก็ยิ่งโมโหครับ
ตรงนี้มืดมาก และรถเขาก็ไม่ได้เปิดไฟหน้าเอาไว้ด้วยซ้ำ
ฝ่ายนั้นเหมือนจะสังเกตเห็นผมก่อน เลยลงจากรถที่เปิดประตูทิ้งไว้แล้วยืนรอผมอยู่
พร้อมกับโบกมือให้มาแต่ไกลกับหน้าหงอยๆ
“เรา...เราขอโทษ"
คือผมก็อยากจะยิ้มแล้วก็บอกว่าไม่เป็นไรนะ
แต่อีกส่วนก็ยังรู้สึกแบบ – ถ้ามีปัญหาแล้วจะไม่บอกใคร ทิ้งให้ตัวเองอยู่คนเดียวแบบนี้
จะมีผมไว้ทำไมวะ? “อืมๆ ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว"
“อื้อ-- ไม่โกรธดิ”
“ไม่โกรธแล้วจริงๆ"
“แต่หน้ากับเสียงไม่ใช่เลย"
เหมือนเขายังจับน้ำเสียงได้ ว่าตอนนี้ผมรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่
ตรงนี้มืดมาก แต่ยังดีที่ไฟถนนที่ส่องเข้ามาก็ช่วยได้มาก
นึกขอบคุณที่มหาลัยอยู่กลางเมืองก็วันนี้...
“ขอโทษจริงๆ ทำให้วุ่นวายกันไปหมดเลย รู้สึกผิดว่ะ"
“ก็อย่าทำอีก"
“หายโกรธเราได้แล้วนะ -- นะะะ”
พูดจบเขาก็ขยับเข้ามาใกล้แล้วเลื่อนมือมาจับมือผมไปกุมเอาไว้แบบที่นิ้วทั้ง 5 ของเราประสานกัน
แล้วก็กระตุกแขนผมซ้ำๆ
ถามจริง เจอแบบนี้ใครจะยังโกรธต่อไหวอีกวะ?
“ใจเย็นๆ เราโอเคแล้ว เราไม่เป็นอะไร อย่าทำหน้างี้ดิ"
“ไม่ได้โกรธ – แค่ไม่ชอบที่ห่่วงคนอื่นจนไม่ห่วงตัวเองแบบนี้"
“อืม... ก็เพื่อนเราเป็นผู้หญิงหมดเลย ถ้าบอกพวกมัน มันก็ต้องมานั่งรอมืดๆแบบเรา อันตรายดิ"
“แต่ถ้าเพื่อนมา อย่างน้อยก็ยังเปิดไฟหน้ารถส่องให้ได้ อยู่หลายคนยังไงก็ปลอดภัยกว่าอยู่คนเดียวมั้ย?”
“...”
“แล้วเราอ่ะ? มีไว้ทำไม ทำไมไม่โทรบอก?”
เขาหน้ามุ่ยครับ คราวนี้เถียงไม่ออก...
ผมมองหน้าหงอยๆของเขาแล้วในที่สุดก็ใจอ่อน...ยกมืออีกข้างที่ยังว่างอยู่ขึ้นไปขยี้ผมเขาเบาๆสองสามที ก่อนจะพูดต่อ
“โอเคๆ ไม่ดุละ ไปนั่งรอที่รถกัน"
ตอบรับผมเสร็จเขาก็ทำท่าจะปล่อยมือที่จับมือผมอยู่ -- แต่ใครจะยอมวะ?
แทนทีจะปล่อยให้นิ้วมือของเขาคลายออก ผมกลับจับมือแน่นเข้า
จนเจ้าของมือที่ผมกุมมือต้องหันมาหรี่ตาใส่ แต่ก็ยอมให้ผมจูงมือเดินไปหยุดพิงรถเขาเอาไว้
พอได้ที่ยืนเรียบร้อย เขาก็ยกมือถือขึ้นมาให้ผมดู
“ดูเพื่อนเราไลน์มาดิ"
*หมอมันฆ่าแกแน่
*ท่าทางมันโกรธมากว่ะ
*แผ่ออร่าดาร์คทำลายล้างสุดๆ
*เรียกรถพยาบาลเลยมึง
*ไม่ทันมีผัวก็จะโดนซ้อมซะละ
*เฮ้อออออ ผมหลุดขำออกมานิดหน่อยกับสิ่งที่เพื่อนเขาส่งมา
ก่อนจะได้ยินเขาพูดขึ้น
“...ซะที"
“หื้อ?”
“ทำหน้าเหมือนเดิมสักที"
เอาจริงๆผมก็ไม่ค่อยรู้หรอกครับว่ากำลังทำหน้ายังไง
คือรู้สึกยังไงก็แสดงออกไปแบบนั้นป่ะวะ?
“แล้วเมื่อกี้หน้ายังไง?”
“หน้าแบดอ่ะ"
พูดถึงสีหน้าของผมแล้วขำนี่มันดีป่ะวะ?
“แบด? บี-เอ-ดี อ่ะนะ?”
“เปล่า -- หน้าเหมือนแบดแบดมารุอ่ะ ตัวสีดำๆที่บนหัวมีสามเหลี่ยมสามสี่อัน รู้จักป่ะ?"
ไอ้หัวแหลมๆที่ตาบนเป็นขีดตรงเนี่ยนะ?
คือผมก็มีน้องสาวที่ชอบซื้อของพวกนี้เป็นชีวิตจิตใจ โดนลากไปช่วยเลือกก็บ่อยอยู่เลยพอรู้จักบ้าง
จำได้ว่าไอ้ตัวนี้มันหน้าตากวนตีนผิดกับตัวอื่นๆอย่างเห็นได้ชัดครับ พอได้ยินชื่อก็นึกภาพขึ้นมาได้ทันที...
ระหว่างที่ผมกำลังขมวดคิ้วเข้ากับคำตอบที่ได้ยิน
เขาก็ส่งยิ้มมาให้ผมเจือเสียงหัวเราะ เห็นแค่นั้นผมก็ยอมแพ้
เอาวะ – ยอม...
“ปล่อยมือเราด้วย ไม่เนียน!”
พูดจบเขาก็ฉวยโอกาสดึงมือตัวเองออก ส่วนผมก็ได้แต่ยิ้มขำ
ทำไมน่ารักนักวะ? เขาดึงชายเสื้อให้ผมขยับห่างออกมาจากรถ แล้วเปิดประตูออก
“เข้าไปนั่งดิ จะได้ไม่ต้องยืน เมื่อย~”
ได้ยินอย่างนั้นผมก็เข้าไปนั่งตรงที่นั่งข้างคนขับ แล้วก็รู้สึกว่าไอ้รถสวยๆยี่ห้อนี้แม่งเล็กชะมัด
เข่าจะชนอยู่แล้ว -_-
ก่อนอีกคนจะเดินอ้อมรถไปนั่งตรงที่นั่งอีกฝั่ง
“สักพักเดี๋ยวช่างก็มาแล้วมั้ง"
เขาพูดพลางยกมือถือขึ้นมา เหมือนจะไลน์บอกเพื่อนๆว่าผมถึงแล้ว
ก่อนจะหันมายิ้มให้กัน
“ร้อนอ่ะดิ เมื่อกี้วิ่งมาด้วย เหงื่อออกเต็มเลย"
พูดจบเขาก็ยกมือขึ้นมาพัดใส่ผม ก่อนจะขยับตัวไปหาอะไรก็ไม่รู้จากหลังเบาะ
แล้วหันกลับมากับน้ำขวดเล็กๆพร้อมทิชชู่เปียกที่เจ้าตัวเคยแนะนำให้ผมรู้จัก
“อ่ะ กินน้ำ เช็ดหน้า"
ถึงแม้เราจะเปิดประตูรถเอาไว้ทั้งสองฝั่ง แต่มันก็ยังร้อนอยู่ดีแหละครับ
ผมทั้งดื่มน้ำ เช็ดหน้าจนรู้สึกสดชื่นขึ้นนแล้วจริงๆ ก็หันมาหาคนข้างๆที่นั่งมองผมแล้วยิ้มขำๆ
เห็นหน้ายิ้มๆของคนที่ทำเอาคนอื่นเค้าห่วงกันไปหมด แล้วก็นึกอยากจะดุขึ้นมาอีก
“พูดจริงๆนะ แบบวันนี้ไม่เอาอีกแล้วนะ
ยิ้มหวาน"
“อ...อื้อ รู้แล้ว ไม่ทำแล้วจริงๆ"
พูดจบก็ยิ้มอ้อนผมอีกยก
จะเล่นงานกันจนกว่าผมจะหมดทางสู้จริงๆสินะ
“วันที่ไปส่งกลับบ้านวันแรกบอกอะไรไว้จำได้ป่ะ?”
เขาเหมือนจะกำลังนึกอยู่นิดหน่อย แล้วก็หันมาพยักหน้าใส่ผม พร้อมเม้มปากเขินๆ
ผมบอกว่ากำลังจีบเค้าอยู่ “เวลาจีบคนอื่นอ่ะ ใครๆเค้าก็อยากโชว์แมนใช่มั้ย? -- เปิดโอกาสให้โชว์มั่งดิ"
“...” ได้ยินอย่างนั้นเขาก็หันมามองผม ยิ้มให้ ก่อนจะหยักหน้ารับ
“ถ้าอย่างนั้น วันหลังมีอะไรต้องรีบบอกนะ บอกคนแรกได้ยิ่งดี โอเคปะ?”
“โอเคครับ" ^ ^
“...”
“เรื่องวันนี้ขอบคุณนะ"
“อืม – เต็มใจว่ะ"
“ก็รู้ว่าเต็มใจ อยากขอบคุณไม่ได้รึไง?”
“โอเค"
วันนี้จะไม่ยอมให้ผมชนะสักเรื่องเลยสินะ?
,
สักพักช่างก็มาถึงครับ ดูๆเช็คๆไม่นานแล้วก็พบว่าปัญหาน่าจะเป็นที่แบตเตอร์รี่ เขาเลยจัดการให้มันใช้ได้ชั่วคราวไปก่อน แล้วพรุ่งนี้จะไปรับรถจากที่คอนโดมาเช็คดูอีกที
เอาจริงๆ เรื่องแบบนี้โคตรเกินความสามารถผมเลย
ถ้ารถผมเสียเหมือนกันก็คงต้องนั่งรอช่างแบบเขานี่แหละ -- สงสัยต้องไปหัดซ่อมรถบ้างแล้วว่ะ
ผมยืนดูพี่ช่าง 2 คน ช่วยกันทำโน่นทำนี่อยู่ไม่นาน ในที่สุดมินิคันจิ๋วของเขาก็กลับมามีชีวิตเหมือนเดิม
คนข้างๆผมขอบคุณพี่ช่างซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกระทั่งพี่เขาขับรถออกไป
ก่อนที่เขาจะได้หันกลับไปขึ้นรถ ผมก็ยื่นมือออกไปตรงหน้าเขาแล้วกระดิกนิ้วนิดหน่อย
เห็นอย่างนั้นเขาก็หันมามองหน้าผม แล้วขมวดคิ้วให้เหมือนจะถามว่า อะไร?
“เอากุญแจมา เดี๋ยวขับให้"
แว้บแรกที่เขาได้ยินผมพูดอย่างนั้น เจ้าตัวทำหน้าเหมือนไม่ค่อยแน่ใจ จนผมต้องพูดซ้ำ
“เหอะน่า นั่งรถที่เราขับกี่รอบแล้ว? เชื่อมือดิ!"
“ไม่ได้ไม่เชื่อ แต่รถเราเราขับเองก็ได้"
ได้ยินอย่างนั้นผมก็หันไปสบตากับเขา แล้วย้ำอีกครั้ง
“ก็อยากขับให้ -- อยากขับมินิสักครั้งในชีวิตมาตั้งแต่เด็กๆแล้วเนี่ย นะ...”
เขามองสีหน้าผม แล้วย่นจมูกใส่ ก่อนจะยอมยื่นกุญแจให้กันในที่สุด พร้อมกับบ่นออกมา
“ทำเป็นอ้อน"
ทนไม่ไหวว่ะ – ผมแอบทำท่าดีใจนิดนึง ก่อนจะเดินไปขึ้นรถบ้าง เพื่อจะพบว่า รู้สึกเหมือนเข่าจะชนพวงมาลัยยังไงไม่รู้
พอผมขึ้นมาเขาก็อธิบายคราวๆว่าอะไรอยู่ตรงไหน ก่อนที่ผมจะขับรถออกมาช้าๆ
พร้อมกับได้ยินเสียงคนข้างๆพูดขึ้นมาลอยๆ
“ถ้ารถดับกลางทางเราจะขึ้นแทกซี่กลับแล้วปล่อยให้คนขับเข็นรถต่อจนกว่าจะถึงคอนโดเรานะ"
ได้ยินที่เขาพูดแล้วผมก็หลุดขำออกมา ก่อนจะตอบกลับไป
“คนแถวนี้ไม่ใจร้ายหรอกน่า"
“ใครบอก? เราใจร้ายจะตาย"
ผมเหลือบมองเขานิดหน่อย ก่อนจะเห็นว่าเล่นโทรศัพท์อีกแล้ว จนต้องทัก
“ติดมือถือนะเราน่ะ"
“อือ แม่เราก็บ่น แต่เพื่อนเราไลน์กันทั้งวันอ่ะ บางทีก็แค่เข้าไปตามอ่านเฉยๆ ไม่ได้พิมพ์อะไรหรอก – คนแถวนี้ก็ติดพอกันเหอะ"
“ไม่เถียงครับ"
พอเขาพูดออกมาแบบนี้ผมถึงได้นึกออก
"เออใช่! ฝากตอบไลน์หน่อยดิ ไอ้พวกนั้นมันบอกว่าจัดการเรื่องรถเรียบร้อยแล้วให้รายงานด้วย มือถืออยู่ในกระเป๋ามั้ง"
จำได้ว่าหยิบออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วหย่อนลงไปในกระเป๋าถือนะ
“ได้ๆ งั้นเราขอเปิดกระเป๋านะ"
"เอาดิ รื้อก็ได้ ไม่หวง"
"ใครจะไปรื้อเล่า"
พูดจบเขาก็เปิดกระเป๋าผมแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ก่อนจะหันมาทำหน้ามุ่ยใส่
"มันล็อคอ่ะ"
“พาสเวิร์ด 2512ไลน์ก็เหมือนกัน”
“โอเค"
แล้วเขาก็เงียบไปสักพัก ก่อนจะถามออกมาอีก
“เราต้องตอบกรุ๊ปไหนเนี่ย?”
คำถามของเขาทำให้ผมหลุดขำ ก่อนจะตอบชื่อกรุ๊ปออกไป อายปากเหี้ยๆครับบอกเลย
"กรุ๊ป
หล่อสัดรัสเซีย"
“อันนี้อ่ะนะ...เจอละ"
“อืม ฝากบอกหน่อยว่าช่างมาทำรถเรียบร้อยแล้ว กำลังกลับละ"
“โอเค...”
เขาเงียบไปสักพักครับ ผมเองก็ไม่ได้มองเขาเลย
เพราะไม่คุ้นมือกับรถคันที่ขับอยู่เท่าไหร่ เลยต้องตั้งใจขับเป็นพิเศษ
“เพื่อนตอบมาละ ว่าอย่างนี้ –
เออดีละ กลับบ้านดีๆนะมึง ดูแลยิ้มหวานของกูด้วย"
พอเขาอ่านมาถึงนี่ผมนี่หลุดปาก
สัด! ออกมาเบาๆ จนเขายังขำตาม
“มีอีกๆอย่างนี้ –
เดี๋ยวนี้คำพูดคำจามุ้งมิ้งนะไอ้เหี้ย อยู่กับคนน่ารักก็ต้องทำเป็นเปิดโหมดอ่อนโยน ตอแหลไอ้ห่า ผีเข้ามึงใช่มั้ยไอ้หล่อ"
เชื่อมั้ยครับ – สารพัดคำหยาบที่พวกผมพิมพ์กันในไลน์นี่
พอถูกคนข้างๆผมอ่านออกเสียง ทุกอย่างก็ดูเลวน้อยลงเกินครึ่ง
“หมดละ"
“ตอบดิ"
“ให้เราตอบว่าไงอ่ะ?”
“อะไรก็ได้ ตามใจ ตอบไปเลย"
“แน่ใจอ่ะ?”
“อืม...ตอบเลย!"
เขาเงียบไปอีกรอบครับ น่าจะตอบไลน์อยู่
จนผมต้องชวนคุยต่อ
“ยังไม่ได้กินข้าวเย็นอ่ะดิ?”
“เจอหน้าเราทีไรก็ชวนกินตลอดอ่ะ"
“ก็ไม่รู้จะถามอะไร วันหลังอยากให้ถามอะไรล่ะ?”
“นั่นดิ ก็ไม่รู้เหมือนกัน"
“หวัดดี วันนี้อุณหภูมิกี่องศาวะ โคตรร้อนเลย เปิดแอพดูให้หน่อย – พรุ่งนี้เอาแบบนี้ดีมั้ย?”
“บ้าดิ" เขาพูดพลางหัวเราะออกมา แล้วเลื่อนศอกมาจิ้มต้นแขนผม
"แต่ก็หิวจริงๆนั่นแหละ...”
เขาพูดออกมาสั้นๆ แล้วทำหน้ายู่ จนผมต้องหลุดขำก่อนจะถามต่อ
“อยากกินอะไรอ่ะ?”
“ไม่รู้ หิวนะ แต่ก็ดึกแล้ว"
“หิวก็กินดิ"
“ก็อยากกินอยู่ แต่วันก่อนใครแซวอ่ะ ว่าในรูปเราพุงป่อง"
ผมเองแหละครับ -- จะใครซะอีก -_-
ก็เขาไปออกงานมา แล้วใส่สูทแบบติดกระดุมคู่ แล้วเสื้อมันก็ป่องออกมานิดหน่อย
น่ารักดิ ผมเลยแซว จริงๆเพราะเห็นว่าเขาติดนิสัยกินขนมด้วยแหละ
ผมหัวเราะคำพูดของเขา ก่อนจะสรุปให้เสร็จสรรพ
“แยกหน้ามีโจ๊กร้านนึงอร่อยมาก เดี๋ยวแวะกินกัน"
“โอเค ถ้าได้ยินใครบ่นว่าเราอ้วนเราจะตี"
ได้ยินอย่างนั้นผมก็หลุดขำ แล้วปล่อยมือจากพวงมาลัยข้างนึง แล้วยื่นมาตรงหน้าเขา
“อ่ะ ตีเลย"
เขาตีมาจริงๆครับ หนึ่งทีเบาๆ
แปลกดีที่ผมโดนตีแต่กลับหัวเราะออกมาซะอย่างนั้น
,
ห้าทุ่มกว่าแล้วแต่ลูกค้าที่ร้านโจ๊กยังนั่งกันอยู่เยอะพอตัวเลยครับ ผมจอดรถเทียบฟุตบาทหน้าร้านแล้วเดินเข้าไปในร้านกับคนข้างๆ
สั่งโจ๊กเรียบร้อยเราก็เดินไปนั่งลงที่โต๊ะตัวนึงที่ว่างอยู่
ตอนนั้นเองที่คนตรงหน้าส่งโทรศัพท์คืนมาให้ พร้อมกับพูดออกมา
“ไม่หวงมือถือเลยเนอะ"
“หวงกับบางคน – ไม่หวงก็กับบางคน"
“แหวะ"
เขาพูดออกมาทันทีที่ได้ยิน พร้อมกับแลบลิ้นนิดหน่อย
น่ารักอยู่ดีนั่นแหละ
“แหวะอะไร เดี๋ยวเฮียแกก็เอากระบวยตักโจ๊กมาฟาดหรอก"
"เราไม่ได้แหวะโจ๊ก -- เราแหวะหมอนั่นแหละ ถ้าเฮียมองมา เราจะชี้หมอเลย"
"ครับๆ"
ผมไม่เถียงต่อ แล้วปลดล็อคมือถือ ตั้งใจจะเข้าไปดูในไลน์กรุ๊ปว่าคุยกันไปถึงไหน
เลื่อนย้อนขึ้นไปนิดหน่อย ผมก็เห็นสิ่งที่เขาพิมพ์ตอบที่เพื่อนๆผมพิมพ์มา
*เดี๋ยวนี้คำพูดคำจามุ้งมิ้งนะไอ้เหี้ย
*อยู่กับคนน่ารักก็ต้องทำเป็นเปิดโหมดอ่อนโยน
*ตอแหลไอ้ห่า
*ผีเข้ามึงใช่มั้ยไอ้หล่อ
*นี่ไม่ใช่หมอ
*นี่โจรขโมยไอโฟนหมอครับ
* ^ ^
*โอ๊ย อิจฉาแม่ง
*ขนาดไลน์มึงยังไม่ตอบเองนะเดี๋ยวนี้ และคำด่าอื่นๆตามมาอีกมากมาย...
ผมมองคนที่นั่งยิ้มทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้อยู่ตรงหน้า
แล้วหรี่สายตามองคาดโทษ
แสบนักนะยิ้มหวาน tbc.
❤ ❤ ❤
talk
พอบอกว่าจะลงให้ได้วันละตอนก็ไม่ได้ลงซะงั้น
ช่วงนีชีวิตเราตะกุกตะกักนิดหน่อยค่ะ คือน้องแมคบุ๊คเราป่วย
นางเปิดไม่ติดไปซะอย่างนั้น เธอไปไม่ลาสักคำ...ไม่ทันได้เตรียมใจ -_-
จริงๆดับหลายวันแล้ว ที่ร้านบอกคีย์บอร์ดตายค่ะ รอของมาส่งอยู่ โถ่ถัง
เราเลยต้องขโมยคอมน้องลง อาจจะหายแว้บๆ เป็นระยะน้า
อีกเรื่อง มีคนถามเรื่องชื่อตัวละครกันมาเยอะมากเลย : )
ตอนแรกว่าจะไม่บอก ให้เดากันไปเรื่อยๆว่าจะมีชื่อตัวละครมั้ย
เรื่องของเรื่องคืน เราเริ่มเขียนเรื่องนี้ ด้วยความตั้งใจจะเขียนเป็นเรื่องสั้นตอนเดียวจบค่ะ
เขียนไปเขียนมาติดใจ เลยเขียนต่อเรื่อยๆ (ตอนนี้สิบตอนแล้วค้าบบบ)
แต่เราก็ไม่อยากเปลี่ยน concept ที่เราคิดไว้ตอนแรก ว่าตัวละครจะไม่มีชื่อค่ะ
เรื่องมันเลยออกมาเป็นแบบนี้ ซึ่งเราว่ามันก็นา่รักดีนะ : )
รึเปล่า?
แล้วก็ ในเนื้อเรื่องบอกเอาไว้แล้วด้วยค่ะ
ว่าทั้งสองคนได้ผ่านการ 'ส่อง' กันและกันมาก่อนหน้าที่จะเจอได้คุยกันแล้ว
แสดงว่าก็ต้องรู้จักชื่อกันอยู่แล้ว ใช่มั้ยล่ะะะ
ดังนั้น ด้วยเกียรติของเนตรนารีขอสัญญาว่า
เด็กสองคนนี้จะไม่มีชื่อไปจนจบเรื่องค่ะ : )
ขอบคุณที่รักเจ้าสองคนนี้มากๆเลยค่ะ