❤ ก่อนอ่านนิยาย เรามีเพลงมาฝาก เป็นเพลง ฝันรึเปล่า เวอร์ชั่นไลฟ์ค่ะ
กดตรงหัวใจเลย [❤]- 8 -
“เย็นนี้ว่างป่ะ" คำถามของผมทำให้คนที่นั่งทำหน้าเครียดอยู่กับแม๊คบุ๊คแอร์ต้องเงยหน้าขึ้นมามอง
เขาขมวดคิ้ว ก่อนจะส่ายหน้าให้ผมเป็นคำตอบ
วันนี้เป็นวันเสาร์ - และเรานั่งกันอยู่ที่ร้านกาแฟตรงมุมเดิม “ต้องไปงานวันเกิดเพื่อนม.ปลายอ่ะ มีไรเปล่า?”
เขาถามผมกลับ พร้อมกับเอื้อมมือไปหยิบป็อกกี้คุ้กกี้แอนด์ครีมที่วางอยู่ใกล้ๆขึ้นมา
กินขนมอีกแล้วครับ -_-
“ไม่มีอะไรหรอก"
“อ่าว? ไม่มีอะไรแล้วถามทำไม?"
เขาถามพร้อมขมวดคิ้วใส่ผมนิดหน่อย
พอเห็นหน้าตาอย่างนั้นแล้วผมก็รู้สึกหมั่นเขี้ยวขึ้นมา เลยยื่นมือไปหยิบกล่องป๊อกกี้ของเขามาวางไว้ใกล้ๆตัวเอง แล้วยักคิ้วให้
“เย็นนี้ต้องไปซ้อมร้องเพลงอ่ะดิ นึกว่าว่างจะชวนไปด้วย"
“ร้องเพลง...อ๋อ!”
เขาพูดพลางทำหน้าเหมือนกำลังใช้ความคิด ก่อนจะยิ้มออกมานิดๆตอนที่นึกออก
“กับชมรมโฟล์คไง"
“อือๆ นึกออกละ"
คนตรงหน้าตอบออกมาสั้นๆ ก่อนจะพยายามหยิบป๊อกกี้ที่วางอยู่ข้างๆผมกลับไป
แต่พอเขายื่นมือออกมา ผมก็ดึงกล่องป๊อกกี้หนี แล้วมองสบตาพร้อมยักคิ้วให้คนที่นั่งทำหน้ามุ่ย
“เอามา -- จะกิน~”
“วันจันทร์ไปป่ะ?”
ผมถามพลางหยิบป๊อกกี้ออกมาอันนึง แล้วส่งไปให้ แต่พอเขายื่นมือออกมาจะรับ ผมก็ก่อนดึงมือหนี
นั่นทำให้คนที่นั่งอยู่ตรงหน้าผมต้องทำหน้ามุ่ยเข้าไปใหญ่
“ไม่ไปแล้ว! เอาขนมเรามา~~"
“ไม่ไป ไม่คืนอ่ะ"
ผมพูดพลางหัวเราะออกมาเบาๆ ทนไม่ไหวแล้วว่ะ – น่ารักมาก!
“ซื้อใหม่ก็ได้!”
“อ่ะๆๆ"
ผมพูดพลางยื่นป็อกกี้อันที่ยังอยู่ในมือไปให้เขาตรงหน้า แต่พออีกฝ่ายยื่นมือมาเพื่อจะหยิบมันไป ผมก็ดันดึงมือหลบ ก่อนจะหยุดมือเอาไว้ตอนที่ขนมเจ้าปัญหานี่อยู่ใกล้ๆริมฝีปากของเขา ผมแตะเนื้อครีมรสนมลงไปที่ริมฝีปากของเขาเบาๆ
นั่นทำให้เขาทำหน้าบึ้ง ก่อนจะอ้าปากรับขนมไปคาบไว้ พร้อมกับยกมือข้างนึงขึ้นมาจับข้อมือผมไว้แน่น
ส่วนมืออีกข้างของเขาก็ชูนิ้วชี้กับนิ้วกลางขึ้นมา แล้วฟาดลงบนแขนผมดังเพี๊ยะ
ถามว่าเจ็บมั้ย – ก็แค่มีรอยแดงๆ 2 รอยคู่ขนานกันขึ้นมาผมแขนผมเลยอ่ะ
คิดดูดิ...
“นี่แน่ะ!! -- สมน้ำหน้า"
เขาพูดพลางเอาป๊อกกี้ที่แหว่งไปแล้วชี้หน้าผม ก่อนจะยื่นมือมาหยิบกล่องขนมของตัวเองกลับไป
แล้วกอดมันเอาไว้แน่นราวกับสมบัติล้ำค่า พร้อมกับส่งสายตาหวาดระแวงมาให้
ซึ่ง...
น่ารักโคตร “ตกลงวันจันทร์ไปนะ"
“ไม่ไป...”
“โถ่ ใบหน้างามๆไม่น่าใจดำเลยแก้วตา"
ผมแค่พูดออกมานะ ยังไม่ถึงขั้นร้องเป็นเพลง
ซึ่งผมได้เพลงนี้มาจากไอ้เบอร์ 1 ครับ อยู่ดีๆมันก็เอามาโพสหน้าวอล แล้วแทคเพื่อนเป็นสิบ
ผมเองก็เผลอกดฟังไปด้วย ฟังแค่รอบเดียว เล่นเอาติดหูไปซะอย่างนั้น
แต่ได้ผลด้วยว่ะ ริมฝีปากสีส้มอ่อนๆที่กำลังคว่ำลงหลุดยิ้มมุมปากตอนนิดหน่อยตอนที่ผมพูดเนื้อเพลงลูกทุ่งรุ่นเก่าออกมาอย่างหน้าตาเฉย จนผมต้องพูดต่อ
“ไม่ไปจะให้ประธานชมรมโฟล์คอุ้มมาผูกไว้กับเวที"
ไอ้ประธานชมรมโฟล์คนี่เป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนผมเองครับ แล้วก็เป็นรุ่นพี่คณะเขาด้วย
ความลับของทางราชการคือ – ไอ้รุ่นพี่คนนี้นี่แหละ ที่คอยตามสืบข่าวเรื่องของเขาให้ผมอยู่เรื่อยๆ
แล้วก็ไอ้ประธานคนนี้นี่แหละ ที่มันชวมผมไปช่วยร้องเพลงในคอนเสิร์ตของชมรม
ตอนแรกผมเหวอไปเลย กลัวจะเป็นงานใหญ่ แต่พอพี่มันบอกว่า เป็นแค่เวทีเล็กๆ ร้องกันตรงลานโล่งๆ จัดกันทุกปีอยู่แล้ว บรรยากาศแบบสบายๆ คล้ายๆที่ผมกับมันเคยร้องตอนม.ปลาย ผมก็เลยรับปากไป
แล้ว 1 อาทิตย์หลังจากนั้น รูปผมที่โดนเบลอหน้าก็ถูกโพสลงบนเพจของชมรม
พร้อมกับตัวหนังสือที่คาดผ่านกลางตัวเลยว่า...
เตรียมผมกับเซอร์ไพร์สแขกรับเชิญพิเศษ อะไรประมาณนี้แหละ...
ผมเห็นแล้วตกใจไปนิดหน่อย เพราะคอมเม้นท์ข้างล่างมีแต่คนรู้ว่าไอ้คนที่โดนเบลอนั่นคือผม
แล้วพอเอารูปมาถามคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามกันตอนนี้ เจ้าตัวก็บอกว่า
เราเห็นรูปตั้งแต่เที่ยงแล้ว แค่สีผมกับจิวที่หูคนเค้าก็รู้หมดแล้วว่าเป็นใคร
ขนาดนั้นเลย?
“ถึงขั้นลักพาตัวเลยเหรอ? – ไปดิไป เพื่อนเราไปเยอะแยะ"
ในที่สุดเขาก็ยอมรับปากพร้อมกับส่งยิ้มมาให้ผมจนตาหยี
โอย – ตาลาย...
นิสัยน่ารักแล้วยังใจดีอีก
แฟนในอนาคตใครวะเนี่ย?
ห้ามแย่งตอบนะเว้ย
ว่าที่แฟนผมเอง -_- .
.
.
พอวันจริง ผมกลับรู้สึกเหมือนใครๆในม.ก็มารวมกันอยู่ตรงลานที่ใช้จัดคอนเสิร์ตหมดเลยครับ
ผมมาที่นี่ทันทีที่เลิกเรียน ก่อนจะไปเปลี่ยนชุดนิสิตเป็นเสื้อยืดสีดำกับกางเกงยีนส์สีเข้มพอกัน
แล้วก็เดินมานั่งลงตรงโต๊ะม้าหินเยื้องๆกับเวทีพร้อมไอ้เบอร์ 2 กับ ไอ้โคนัน ส่วนไอ้เบอร์ 1 มันเอารถไปวนหาที่จอดอยู่ครับ
“มึงเจอเฮียยัง?”
ผมถามหาไอ้รุ่นพี่ประธานชมรมจากไอ้เบอร์ 2 ที่นั่งรออยู่ตรงนี้ตอนที่ผมไปเปลี่ยนชุด กับไอ้โคนัน
“เมื่อกี้แวะมาแล้ว ดูยุ่งๆว่ะ เฮียบอกให้มึงนั่งรอเฉยๆตรงนี้แหละ หิวก็ไปกินข้าวก่อน ข้าวส่วนกลางก็มี เฮียบอกหยิบได้"
“เออๆ"
ผมรับคำ ก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาแล้วไลน์หาใครบางคน
แน่นอนอยู่แล้วว่าต้องเป็นเขา -
ยิ้มหวานของผม *มาถึงงานแล้วบอกด้วยดิ แล้วตามด้วยสติ๊กเกอร์บราวขี่จักรยานตัวนึงครับ
เอาจริงๆป่ะ – ปกติผมไม่เคยส่งไอ้สติ๊กเกอร์พวกนี้เลยเว่ย
แต่เวลาไลน์ไปหาเขา ผมก็แค่ไม่อยากให้มันห้วนไป สุดท้ายเลยต้องส่งไอ้หมีนี่ปิดท้ายตลอด
พิมพ์ไปแค่นั้นแล้วก็ไม่เซ้าซี้ต่อครับ
เจ้าตัวเขาอ่านเมื่อไหร่เดี๋ยวคงตอบเอง
ผมหันมานั่งคุยกับไอ้พวกนี้สักพัก ก่อนที่มือถือจะดังเตือนว่ามีคนไลน์มา...
*อยู่หน้างานละ
*เพิ่งได้ที่จอดรถเนี่ย
*ครับผม
*เราแวะไปกินข้าวก่อนนะ
*กินไรยัง?
*ฝากเราซื้อมั้ย? “พวกมึงจะกินไรป่ะ – ยิ้มหวานถาม เค้าจะซื้อมาให้"
ไอ้สามคนตรงหน้านี่ (รวมไอ้เบอร์1ที่เพิ่งจะเดินมา) มองหน้าผมด้วยสายตาหมั่นไส้ถึงขีดสุด ท่าทางดัดจริตจนผมเห็นแล้วยังเพลีย ก่อนจะพูดขึ้นมาพร้อมกันเสียงดังโคตรๆ
“ชีวิตดี๊ดี!!!" ถามจริง พวกมึงไปแอบซ้อมบทกันลับหลังกูใช่มั้ย? -_-
"ดี๊ดีเหี้ยไร จะแดกไม่แดก?”
“ไม่ต้องก็ได้มึง พวกเราแม่งแดกเยอะชิบหาย เกรงใจเค้า"
“เออกูก็ว่า"
พอไอ้โคนันกับเบอร์ 2 ตอบมาอย่างนั้น ผมเลยพิมพ์ตอบเขาไป
*พวกนี้มันเกรงใจว่ะ
*ถ้าหิวคงออกไปซื้อกันเองแหละ
*อืม
*^ ^ พวกผมนั่งคุยไร้สาระทักคนโน้นคนนี้ไปเรื่อย จนกระทั่งอยู่ดีๆก็มีใครคนนึงตรงเข้ามาพร้อมรอยยิ้มตาสระอิ ที่ทำเอาหัวใจผมรู้สึกยุบยิบเหมือนถูกจั๊กกะจี้ขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ - ก็มีอยู่คนเดียวนั่นแหละ
“หวัดดี ^ ^”
ยิ้มทีนึงนี่ หลอดไฟในงานจะแตกเอาครับ
มันฆ่าตัวตายเพราะแพ้ความสว่างไสว
เออๆ – ปล่อยผมไปเหอะ -_-
ไอ้พวกเพื่อนๆผมนี่ก็ดูจะดี๊ด๊าโคตรที่เห็นเขาเดินตรงมาทางนี้ ยิ้มหวานมาคนเดียวด้วย เพื่อนไปไหนเนี่ย?
พอเขาเดินเข้ามาถึงที่โต๊ะ ผมเลยเห็นว่าเจ้าตัวถือของมาเต็ม 2 มือ
“เราซื้อของกินมาฝาก" ^ ^
พูดจบเขาก็วางสารพัดถุงก๊อบแก๊บในมือลงบนโต๊ะ
ไอ้พวกนี้ขอบคุณยิ้มหวานใหญ่เลยครับ ขอบคุณมากจนเกิดธรรมดาสามัญของมนุษย์โลกที่เค้าจะขอบคุณกัน
จนผมต้องส่งสายตาไปห้ามพวกมันคนละที คือแม่งก็หยุดนะ แต่ทำหน้ากวนตีนมาให้ผมแทน
ส่วนคนใจดีเขาก็ยิ้มรับเขินๆ
เอาของกินมาส่งเสร็จก็ทำท่าจะเดินไปไหนไม่รู้จนผมต้องเรียกเอาไว้
“นั่งกันอยู่ตรงไหนอ่ะ?"
“ไม่รู้ดิ"
“อ้าว? แล้วเพื่อน?”
“โดนลากเข้าห้องแต่งตัวพวกผู้หญิงไปแล้ว เราเลยจะไปนั่งรอแถวนั้นแหละมั้ง"
“งั้นก็นั่งนี่เหอะ ดีกว่าไปรออยู่คนเดียว"
ผมพูดพลางตบเก้าอี้ของผมอีกฝั่งนึงที่ยังว่างอยู่ เขาก็ว่าง่ายมากครับ
ผมบอกให้นั่งก็นั่งอ่ะ แถมยังหันไปทักเพื่อนผมแล้วชวนกินของกินที่ซื้อมา
“กินกันๆ ที่โรงอาหารคนเยอะอ่ะ ถ้าจะไปกินข้าวต้องรอคิวนานแน่ๆ กินพวกนี้รองท้องไปก่อนแล้วกัน"
ผมมองถุงก๊อบแก๊บที่วางอยู่ตรงหน้าสักสามสี่ถุงได้ ส่วนใหญ่เป็นพวกของกินเล่น มีผลไม้ด้วย แล้วก็น้ำเปล่า
“ทั้งหมดเท่าไหร่เนี่ย?”
“ไม่รู้ดิ เราลืมนับอ่ะ"
“คือ...ถ้าให้เงินก็จะไม่เอาใช่มั้ย?”
“ใช่แล้ว ^^ ก็ถือว่ามาช่วยงานรุ่นพี่คณะเราไง”
เจ้าตัวพูดพลางยิ้มกว้างให้ผมอีก
เห็นหน้ายิ้มๆนั่นแล้วผมโคตรจะก็รู้สึกอยากแกล้งเลยครับ
ใกล้ป่วยทางจิตแล้วครับ
รู้สึกแบบเห็นหน้ายิ้มๆแล้วอยากแกล้งให้หน้ามุ่ยเล่นตลอดเลย - สนุกดี
ผมนั่งมองคนที่แจกจ่ายสารพัดของที่ซื้อมาให้เพื่อนๆผม แล้วก็ค่อยๆคิดวางแผนอยู่ในใจ
จะแกล้งอะไรดีวะ?
เขาแบ่งของให้ทุกคนเสร็จเรียบร้อย แล้วก็ยื่นถ้วยโฟมที่มีลูกชิ้นทอดอยู่ข้างในมาให้ผม แล้วบอกสั้นๆ
“อ่ะ ลูกชิ้น"
“กินด้วยกันดิ"
“ไม่เอา เรากินข้าวมาแล้ว อิ่มจะแย่"
“เหรอ...? อย่าให้เห็นว่าหยิบขนมออกมากินนะ”
ผมพูดแบบลากเสียงนิดหน่อยครับ
คงจะกวนตีนน่าดูอ่ะ อีกคนเลยถลึงตากลับมาให้ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงขึ้นมา
ผมเหลือบตาแอบดูแบบที่คิดเอาเองว่าโคตรเนียน ก่อนจะเห็นว่าเขาไลน์ไปบอกเพื่อนว่านั่งรออยู่กับผมแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง
“เมื่อกี้กินข้าวกับอะไร"
“ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่เหมือนเดิมแหละ"
ปากนี่ตอบผมครับ แต่มือยังเถียงกับเพื่อนในไลน์อยู่ โดนแซวเรื่องที่มาอยู่กับผมอีกแล้ว
“น้ำอ่ะ?”
“น้ำฝรั่ง – หมอเป็นนักโภชนาการเหรอ?”
เดี๋ยวเหอะ! -_-
“เปล่า เป็นนักศึกษาแพทย์"
ผมตอบพลางเอาไม้จิ้มลูกชิ้นขึ้นมาหักปลายแหลมๆออก เคยเห็นแม่ทำให้น้องตอนเด็กๆครับ
แม่บอกว่าเดี๋ยวปลายแหลมมันจะจิ้มปากแล้วน้องจะเจ็บ
หักเสร็จก็ยื่นมือไปจิ้มลูกชิ้นเอาไว้ 2 ลูก พร้อมกับถามคนข้างๆที่ถล่มส่งสติ๊กเกอร์สู้กันกับเพื่อนอยู่
ดูจากมุมนี้สยองมากครับ คือสติ๊กเกอร์เดี๋ยวนี้แม่งขยับได้
เลยทำให้ไอ้ตัวในจอมือถือเค้าก็ขยับพร้อมกันทีละสามสี่ตัว
ตัวเดียวมันก็น่ารักดีอยู่หรอก แต่พอมาเป็นแถวแล้วดูหลอนไปเลย
“วันนี้กินหนมป่ะ?”
“กิน กินโคลอน" เขาตอบสั้นๆ แล้วยอมพักสงครามสติ๊กเกอร์ไลน์ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผม "ถามมากเพราะเราเอาแต่เล่นมือถือใช่ป่ะ ไม่เล่นแล้วก็ดะ.....อื้ออ!”
ตอนนั้นเองที่ผมอาศัยจังหวะที่เขาหันมาพูด ใส่ลูกชิ้นเข้าไปในปากเขารวดเดียวทั้ง 2 อัน
แบบนี้ไม่เรียกว่าป้อนนะครับ – เรียกว่ายัดใส่ปาก -_-
เจ้าตัวเขาตกใจพอตัวเลยอ่ะ พอตั้งตัวได้ก็รีบยกมือขึ้นมาปิดปากทันที
อาจจะเป็นเพราะว่าเขาหน้าเล็กนิดเดียวด้วยล่ะมั้ง พอยกมือขึ้นมาปิดปากแบบนี้ มันเลยทำให้หน้าเขาก็หายไปเลยครึ่งนึง เหลือแต่ตาโตๆที่มองมาทางผมแบบโคตรเคือง
“กินเข้าไป กินเยอะๆ จะได้โตไวๆ" -_-
ผมพูดแล้วทำหน้านิ่งๆเหมือนไม่ได้ทำอะไรผิด พร้อมกับมองคนที่เคี้ยวลูกชิ้นแก้มตุ่ยกับหน้าบึ้งๆ
ก่อนจะหลุดยิ้มออกมาอย่างมีความสุข –
แกล้งแล้วสนุกจริงๆนั่นแหละ ตอนนี้คนตรงหน้าผมดูเหมือนหนูแฮมสเตอร์ เวลาที่อมอะไรเอาไว้ในแก้มเยอะๆอะครับ
ประมาณนั้น...
พอมองกลับมาอีกทางนึง ผมกลับเห็นสายตาสามคู่ที่มองมาแบบหมั่นไส้ผมโคตรๆ
ถ้าไม่ใช่เพื่อนกัน ผมว่าพวกมันลุกขึ้นมาถีบยอดหน้าผมแล้วเนี่ย
ผมยิ้มไม่รู้ไม่ชี้ ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบขวดน้ำมาเปิด ใส่หลอดให้อันนึง
แล้วยื่นไปให้คนที่ยังคงนั่งทำหน้ามุ่ยเคี้ยวตุ้ยๆอยู่ไม่หาย
“อ่ะกินน้ำด้วย เดี๋ยวติดคอ"
เขารับน้ำที่ผมยื่นไปให้ ดูดเข้าไปอีกใหญ่ ก่อนจะกลืนทุกอย่างลงคอ
แล้วบอกผมด้วยเสียงเรียบๆ หน้าบึ้งๆ
“นิสััยดีจังเลย” ผมหัวเราะรับไม่สะทกสะท้าน
ยิ้มหวานนี่น่ารักชะมัด
ระหว่างที่พวกผมนั่นกินของที่เขาซื้อมา เจ้าตัวเขาก็เล่มเกมในมือถือ พร้อมกับกินอะไรที่ผมส่งไปให้บ้าง รู้ตัวอีกที ตรงหน้าก็มีแต่ถุงเปล่าๆ หมดเกลี้ยงเหมือนเสกให้หายไปอ่ะครับ
พวกผมรวมขยะให้เหลือถุงเดียว ก่อนไอ้สามคนนั้นมันจะพากันเอาไปทิ้ง
คือมึงแห่ขยะรึไง? ถุงเดียวต้องไปกันตั้งสามคน
แล้วก็ทิ้งผมไว้ที่โต๊ะกับคนข้างๆ ก่อนจะเห็นว่าเขากำลังเล่นเกมทายชื่อหนังจากไอ้หน้ายิ้มๆ เค้าเรียกอะไรวะ? อิโมจิป่ะ?
เออนั่นแหละ... -_-
อันไหนที่คิดไม่ออก เค้าก็หันมาถามผม พอเพื่อนผมกลับมาก็ถามเพื่อนผมต่อ
ถามไปถามมาเลยกลายเป็นว่าช่วยกันเล่นไปซะอย่างนั้น
เล่นเกมบ้าง คุยกันบ้าง สักพักก็มีกลุ่มเด็กผู้หญิงเดินตรงมาทางพวกผมครับ มาขอถ่ายรูปเหมือนเดิมนั่นแหละ
พอกลุ่่มนึงมาขอถ่ายรูปผม อีกกลุ่มก็มาขอถ่ายยิ้มหวาน ไอ้แกงค์เพื่อนผมสามคนก็เลยโดนไปด้วย
ถ่ายรูปไปพลางคุยกับพวกน้องๆไปพลางก็สนุกดีนะผมว่า
คุยเล่นกันไปสักพัก พอพวกน้องๆเค้าไม่ค่อยเขิน ก็โดนเลยครับ
เพราะอยู่ดีๆก็มีคนขอถ่ายรูปผมกับยิ้มหวานคู่กันซะอย่างนั้น
ผมหันไปถามเขาเหมือนจะถามว่าได้รึเปล่า?
พอเจ้าตัวส่งยิ้มแล้วพยักหน้ากลับมาก็เป็นอันเข้าใจ...
ผมเดินเข้าไปใกล้ๆเขาก่อนจะยืนข้างๆกันให้พวกเด็กๆถ่ายรูปไป
ท่าทางดูสนุกกันมากอ่ะครับ ถ่ายกันรัวๆเหมือนพวกนักข่าวเลย
เล่นไปเล่นมาไอ้สามคนนั้นมันก็ขอตัวแยกจะไปหาอะไรกิน
เลยเหลือผมกับยิ้มหวานอยู่สองคน พอพวกเด็กๆไปกันหมด พวกผมก็กลับมานั่งลงตรงที่เดิม
แล้วก็เห็นว่ามีน้องคนนึงเดินตรงเข้ามา มาถึงปุ๊บก็ยื่นถุงขนมให้ยิ้มหวานทันทีเลย
...บอกแล้วคนนี้เค้าดังจริงๆ “หนูซื้อขนมมาฝากค่ะ"
คนข้างๆผมที่ตอนนี้ ไปนั่งที่เก้าอี้อีกตัวนึงแล้วชี้ตัวเองเหมือนจะถามว่า ให้เราเหรอ?
พอน้องเค้าพยักหน้ารับ เขาก็ยื่นมือไปรับถุงขนมมา
“ขอบคุณมากเลย กินด้วยกันมั้ย แกะแล้วกินด้วยกันเลยมะ?"
ใจดีปะล่ะ?ผมว่าน้องเขาก็ตกใจไม่แพ้ผมอ่ะ ได้ยินที่เขาพูดปุ๊บน้องก็รีบยกมือขึ้นมาโบกปฏิเสธทันที
ก่อนจะยิ้มเขินๆแล้วถามต่อ
“ว่าแต่ -- พี่สองคนสนิทกันเหรอคะ?”
เปลี่ยนฝ่ายแล้วครับ คราวนี้คนที่ตกใจคือคนข้างๆผมแทน
เขายิ้มรับคำถามแล้วขมวดคิ้วนิดหน่อยเหมือนกำลังใช้ความคิด ก่อนจะตอบออกมา
“ก็...สนิทนิดนึงมั้ง"
“สนิทก็สนิทสิคะ มีสนิทนิดนึงด้วยเหรอ?”
ดีมาก – ไอ้น้องพูดดี!
ผมหลุดหัวเราะออกไป แล้วก็โดนคนข้างๆหันมามองด้วยหน้ามุ่ยๆ
เห็นอย่างนั้นผมก็เลยหันไปสรุปให้ หวังดีเลยนะเนี่ย
“สนิทนิดนึงก็คือสนิทแหละเนอะ"
“ใช่ค่ะพี่หมอ!”
พอได้ยินที่ผมพูด น้องเค้าดูกระตือรือร้นขึ้นมาเลย
เหมือนในตามีลูกไฟอะไรประมาณนั้น...
“ถ้าอย่างนั้นหนูไปแล้วนะคะ ต้องไปเดินเล่นกับเพื่อนต่อ"
พอได้ยินแบบนั้นผมกับยิ้มหวานก็หันไปส่งยิ้มแล้วโบกมือให้น้องเขา
ก่อนจะเห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆในกระโปรงสีน้ำเงินกึ่งวิ่งกึ่งกระโดดออกไปได้สักสองสามก้าว แล้วหยุด พร้อมกับหันมามองหน้าพวกผมอีกที
“ขนมก็แบ่งกันกินนะคะ หนูซื้อมาชิ้นเดียวแบ่งกันนะค้าาาา"
ปล่อยให้ผมกับคนข้างๆหันมามองหน้ากันแบบงงๆ
เด็กพวกนี้นี่นะ... ความสงบมาเยือนเราไม่นานหรอกครับ...
นั่งนิ่งๆได้ไม่เกิน 5 นาที อยู่ดีๆ เฮียแม่งก็โผล่มาพร้อมไอ้ 3 คนที่มันแอบไปกินข้าวมา
อิ่มแล้วสิพวกมึง -_-
พอมองผ่านพวกมันสามคนไป ผมก็เห็นผู้หญิงสวยจัดคนนึงในมุมที่ผมไม่คุ้นตา
เขาคือรุ่นพี่ที่โรงเรียนผมเองครับ วันนี้แต่งหน้าทำผมเรียบร้อยพร้อมใส่ชุดครุยเดินมาข้างๆเฮียแกด้วย
ได้ยินมาเหมือนกันว่าพี่เค้ากำลังจะรับปริญญาปีนี้ สงสัยจะมาถ่ายรูปล่ะมั้ง
จากมุมที่ผมมองอยู่ตรงนี้ เฮียแกเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆอย่างช้าๆ แต่ยิ่งใกล้ ผมก็ยิ่งรู้สึกได้เลยว่าลางไม่ดีว่ะ
ดูสีหน้าเฮียแม่งดิ เดินทำหน้าเหี้ยมแต่ไม่มีม.ม้ามาแต่ไกลเลยแม่ง -_-
รีบสารภาพก่อนจะโดนแฉก็ได้ครับ
พี่เค้าคือคนที่ผมแอบชอบสมัยเด็กๆ “มานี่เลยมึง มาถ่ายรูปกับรักครั้งแรกของมึงซะ!"
นั่นไง – กูว่าแล้ว...สิ่งแรกที่ผมทำคือหันไปมองคนข้างๆก่อนเลย เขาเองก็หันหน้ามามองผมแล้วก็หลุดขำนิดๆ ก่อนจะหันกลับไปยกมือไหว้เฮียกับว่าที่บัณฑิตที่ยืนอยู่ข้างๆ ไหว้ปุ๊บเฮียแกก็แนะนำให้รู้จักกันปั๊บ บอกชื่อคณะอะไรกันเสร็จ
เฮียแกก็ทิ้งท้ายเอาไว้อย่างงดงามว่า....
“และเหนือสิ่งอื่นใด พี่เค้าเป็นรักครั้งแรกของไอ้หมอมัน"
พูดจบไอ้สามคนข้างหลังก็หัวเราะชั่วปิดท้าย
สะใจมากสินะพวกมึง...
ยิ้มหวานยังคงยิ้มขำๆอยู่ครับ ส่วนผมนี่โดนลากให้ลุกขึ้นไปยืนถ่ายรูปเรียบร้อยแล้ว
ถ้าถามว่าเขินไหม – ก็นิดนึงอ่ะครับ
ต่อให้ตอนนี้ผมไม่ชอบพี่เค้าแล้วก็เหอะ ยังไงแม่งก็เขินนิดๆอยู่ดีล่ะวะ
และไอ้ความเขินนิดนึงของผมนี่ดูเหมือนจะยังไม่สาสมใจไอ้พวกเหี้ยสามตัวและ 1 ท่านที่ยืนมองอยู่
เพราะอยู่ดีๆ ไอ้เบอร์ 1 แม่งก็พูดออกมา
“สัดหมอมึงเขินไปมั้ย หูแดงหมดแล้วไอ้ห่า"
ได้ยินอย่างนั้นผมแม่งก็ยกมือขึ้นจับหูทันที
แม่ง จิตอ่อนเกินไปนะกู – อยากฟาดกบาลตัวเองชิบ -_-
“ถ้ามึงจะเขินขนาดนั้นมึงก็สารภาพไปเลยไป ว่าตอนอายุ 14 มึงแม่งหัดร้องเพลงเล่นกีต้าร์เพราะพี่เค้า แต่พอร้องได้เล่นได้ก็เสือกอกหักเพราะพี่เค้าดันมีแฟนไปซะแล้ว"
เชี่ย – ผมว่าผมโดนแกล้งว่ะ
แม่งเหมือนรวมหัวกันสร้างความร้าวฉานให้ผมกับยิ้มหวานอ่ะสัดเอ้ย!
ถ่ายไปสองสามรูปมั้งครับ ก่อนที่พี่เค้าจะเรียกยิ้มหวานให้ลุกขึ้นไปถ่ายด้วยกัน
แล้วสักพักพี่เค้าก็เรียกทุกคนมารวมกัน แล้วก็ถ่ายรูปรวมอีก
หมุนซ้ายหมุนขวาถ่ายไปถ่ายมา พอไม่รู้ว่าจะโพสท่าอะไรแล้วก็แยกย้ายกันครับ
เฮียสั่งผมทิ้งท้ายว่าเดี๋ยวอีกครึ่งชั่วโมงให้ไปสแตนบายหลังเวที
พอหันมาอีกด้านนึง ยิ้มหวานก็ยืนมองหน้าผมอยู่แล้ว พร้อมกับพูดออกมา
“เพื่อนเราออกมาจากห้องแต่งตัวแล้วอ่ะ เราไปหาเพื่อนก่อนนะ"
“โอเคๆ – ไปหาเพื่อนเหอะ อย่าลืมมาดูด้วยล่ะ"
“อือฮึ"
เขารับคำพร้อมกับยิ้มน่ารักๆมาให้ผม โบกมือลาทุกคนแล้วเจ้าตัวก็เดินผละไปอีกทางนึง
ลับหลังยิ้มหวานปุ๊บ เสียงไอ้พวกเวรสามตัวนี่ก็ดังขึ้นมาทันทีครับ
“งอนนน"
“งอนมึงแน่"
“งอนแน่นอน วะฮะฮ่าาา!!"
พูดจบแม่งก็หันไปแทคมือกันอย่างมีความสุข พร้อมตบมือรัวๆ
พ่องเป็นแมวน้ำซาฟารีเวิร์ลเหรอ ตบมือแม่งอยู่ได้
“กวนตีนไอ้เหี้ย"
อย่าคิดว่าพวกมันจะสะทกสะท้านกับคำด่าของผมครับ
เดินทำหน้าแรดไปนั่งกันอยู่โน่น...
ผมเดินไปหยิบของที่วางอยู่ ก่อนจะชวนพวกมันเข้าไปหลังเวทีด้วยกัน
เฮียบอกอีกครึ่งชั่วโมง แต่ไปก่อนเวลาก็ไม่แปลกป่ะวะ
เผื่ออีกคนจะไปอยู่หลังเวทีเหมือนกัน
.
.
.
ยิ้มหวานไม่อยู่ครับ...
พอหาเขาไม่เจอที่หลังเวที ผมเลยแอบโผล่หน้าออกมาส่องด้านนอก
แล้วก็เห็นว่าตอนนี้นั่งอยู่ตรงหน้าเวทีบนโต๊ะม้าหินอีกฝั่งนึงกับพวกเพื่อนๆ ก็คุยเล่นกันตามปกตินั่นแหละ
เขาอ่ะปกติ แต่ผมนี่โคตรจะไม่ครับบอกเลย
กลัวเขางอน ทั้งๆที่รู้ว่าเจ้าตัวก็ดูไม่น่าจะเป็นคนไม่มีเหตุผลขนาดนั้น
แต่ยังไงในใจผมแม่งก็อยากอธิบายให้เขาฟังอยู่ดีอ่ะ
แต่ตอนนี้ต้องร้องเพลงก่อน
ผมเพิ่งรู้ว่าคอนเสิร์ตมันจริงจังกันขนาดนี้ครับ คือแต่งตัวสบายๆกันจริงๆ
แต่เพลงที่ร้องนี่หลากหลายโคตร นอกจากเพลงไทยแล้วพวกเพลงฝรั่ง เกาหลี ญี่ปุ่น ก็ถูกเอามาร้องด้วย คนดูกรี้ดกร้าดกันน่าดู
ผมนั่งรออยู่ข้างเวที แล้วอยู่ดีๆ เฮียแกก็เดินมานั่งลงข้างๆกันแล้วยื่นน้ำดื่มให้ขวดนึง
ผมรับน้ำมา พร้อมกับขอบคุณ ก่อนจะบ่นเรื่องวันนี้ออกมา
“เฮียแม่ง – เล่นกันเองเฉย!”
“อะไรวะ?”
“เรื่องวันนี้ไง"
“อ๋อ! เรื่องรถไฟไทยชนชินคันเซ็นของมึงอ่ะนะ?”
“เออ"
ผมตอบสั้นๆ ยิ่งเห็นหน้าตาสะใจของเฮียแล้วก็ยิ่งอยากทำหน้านิ่งครับ กวนตีนชิบ พี่ใครวะ!
“ก็มึงทำให้กูหมั่นไส้ก่อน ทำมาเป็นถามโน่นถามนี่แล้วบอกว่าไม่กล้าจีบ แค่มองเฉยๆ มองเหี้ยไร กูเห็นอีกทีป้อนลูกชิ้นกันละแม่ง! วันเสาร์เจอกันก็ไม่บอกกูสักคำ"
พูดจบพี่แกก็ยกมือขึ้นมาตบหัวผมด้วยครับ เจ็บเลยแหละ
แต่สิ่งที่ผมทำคือมองเฮียแกกลับไปแล้วยักคิ้วให้สองสามที
“ตอนแรกจะชวนเค้าไปด้วยอ่ะ ดันไม่ว่างว่ะ – แต่ยังไม่ได้คบกันนะเว่ยบอกก่อน ก็คุยๆกันอยู่เฉยๆ"
“หือ น่าถีบว่ะ แต่เลิกป๊อดก็ดีละ – ตอนมึงปอดแหกแม่งน่าสมเพชชิบ นี่กูชมนะ"
สาบานว่านั่นชม...
แล้วก็อดไม่ได้ที่จะนึกไปถึงตอนที่ผมชอบยิ้มหวานใหม่ๆครับ ผมถามเฮียว่ารู้จักคนนี้มั้ย
ถามออกไปแค่นั้น เฮียมันดันตอบกลับมาเป็นคำถามทันทีเลยว่า
ทำไม – มึงชอบเค้าเหรอ? อะไรจะขนาดนั้น?
ตอนแรกผมไม่ยอมรับหรอกครับว่าชอบ แต่พอถามมากๆเข้า ในที่สุดมันก็ต้องยอมสารภาพออกไปจนได้
ว่าผมชอบคนที่เฮียอธิบายให้ผมฟังแบบง่ายๆว่า...
มีคนชอบเยอะ แต่คนกล้าเข้ามาจีบน้อย (ส่วนใหญ่ก็ปอดแหกเหมือนมึงนั่นแหละ -_- )
ใจเย็น เลยเป็นคนคอยเคลียร์ตลอดเวลาเพื่อนมีปัญหา
ใจดี เคยขับรถไปส่งเพื่อนถึงบ้านแถมอัมพวาตอนดึกๆดื่นๆ กว่าจะถึงบ้านตัวเองก็เกือบเช้า
และ ตอนนี้ดูเหมือนจะยังไม่ได้คบกับใคร “เฮียว่าผมจะจีบติดป่ะ?”
“ไม่!!”
“เฮ้ย!”
“กูล้อเล่น – ไม่น่าจะแห้วว่ะ"
“ถามจริง?”
“เออ ก็กูรู้จักมึง กูรู้จักมัน เด็กนั่นน่ะ ถึงจะดูเหมือนจะเปิดรับใครก็ได้ แต่มันก็มีเส้นของมัน ดูเหมือนมันจะให้ความสำคัญกับทุกคน แต่มันก็ให้ทุกคนเท่าๆกันนั่นแหละวะ เพราะคนเข้าหามันแบบหวังผลประโยชน์เยอะ น้องมันดัง หน้าตาแม่งก็ดี บ้านยังเสือกรวยอีก มันก็เลยแก้ปัญหาด้วยการใจดีกับทุกคน แต่ไม่ค่อยเปิดรับใครเข้ามาในโลกส่วนตัวของมัน"
“...”
“แต่มึงมันไม่ใช่พวกขี้เอาใจนี่ กูเห็นเวลามึงห่วงใคร เดี๋ยวมึงก็บ่นเดี๋ยวมึงก็ด่า – เด็กที่ใครๆก็คอยเอาใจเพื่อหวังผลประโยชน์อย่างมันน่ะ ได้เจอกับมึงกูก็ว่าดี"
“เหี้ย – เฮียแม่ง เล่นซะเขินเลย"
“ไอ้สัด หูแดงหมดแล้ว ทุเรศตาว่ะ"
ผมเขินจริงๆนะ เหมือนจังหวะหัวใจแม่งตกร่องไปแล้วว่ะ
พอหันไปมองหน้าเฮียก็โดนแกฟาดลงมากลางหน้าผากเต็มๆ
ไม่ทันที่ผมจะได้โวยวายกลับ เสียงเตือนจากโทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้นมา
ผมหยิบมือถือในกางเกงขึ้นมาเปิดดู ก่อนจะเห็นว่าคนที่นั่งอยู่ไกลออกไป แต่ก็ยังพอมองเห็นกันได้ ส่งข้อความมาหาผม
*นินทาอะไรเราอ่ะ?
*รู้ได้ไง? ผมพิมพ์ตอบ ก่อนจะยื่นโทรศัพท์ไปให้เฮียดูว่าอีกคนพิมพ์อะไรมาครับ
*ก็เฮียมองหน้าเราแล้วยิ้มแปลกๆตลอดเลย
*บอกมาเลยนะว่านินทาอะไรเ?
*ไม่ได้นินทา
*แค่พูดถึง
* -_-
*พูดถึงว่าไงอ่ะ?
*ในแง่ดีเหรอไม่ดี?
*เฮียบอกว่า
*เด็กถาปัตย์ต้องมีแฟนเป็นหมอ เนียนกว่าบีบีครีมก็กูนี่แหละ
เห้ย – ผมไม่ได้โกหกนะ แค่เปลี่ยนคำพูดนิดเดียวเอง
ส่งกดข้อความไปเสร็จผมก็เงยหน้ามองคนที่นั่งอยู่ไกลออกไป
พอเห็นว่าใบหน้าน่ารักๆของเขาพยายามจะเบะริมฝีปากให้คว่ำลง ทั้งๆที่เจ้าตัวกำลังจะยิ้ม
ผมก็ได้แต่หัวเราะอย่างอารมณ์ดี ก่อนจะแลบลิ้นไปให้เขาทีนึง
สุดท้ายเขาก็หลุดยิ้มออกมาจนได้
“กูไปละ เบื่อเด็กจีบกันว่ะ"
เฮียแกคงนั่งดูอยู่สักพักแล้วอ่ะครับ ก่อนจะลุกขึ้นปัดกางเกงสองสามที แล้วพูดต่อ
“ฟังคิวด้วย จำได้ใช่มั้ยว่ามึงต้องขึ้นตอนไหน อย่ามัวแต่จีบน้องกูอยู่"
“ผมก็น้องเฮียนะเว่ยยย"
“มึงอยากเป็นน้อง? -- เลือกเอา มึงจะเป็นแค่น้องกู หรือจะเป็นน้องเขย?”
ผมนี่ปิดปากสนิทเลยครับ ไม่เถียงแล้ว
ต้องยอมแพ้เฮียแกจริงๆ ก่อนจะตอบออกไปเบาๆ
“ยอมแพ้"
[ต่อ]